Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์

83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์

Published by Taddaow06, 2017-07-05 00:07:39

Description: 83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

5/7/2560 83 เรื่องน่ารู้ทาง วทิ ยาศาสตร์ นางสาวทดั ดาว ด่านดอน วทิ ยาลยั อาชีวศึกษานครราชสีมา

83 เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ 1. เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ มนุษย์พลงั งาน เช่ือหรือไม่วา่ ร่างกายของคนผลิตกระแสไฟฟ้ าได้ คนแต่ละคนจะมีพลงั งานเทียบเท่ากบั การเปิ ดหลอดไฟฟ้ าขนาด 120 วตั ต์ เพราะคนที่กินอาหารเขา้ ไปปริมาณ 2,500 แคลอรีในแตล่ ะวนั จะใหพ้ ลงั งานความร้อน104 แคลอรีต่อชว่ั โมง ซ่ึงเทียบเท่ากระแสไฟฟ้ าที่มีพลงั งาน 120 วตั ต์ 2. กะพริบตา ตลอดชีวิตของคนเราน้นั เราตอ้ งกะพริบตาถึง 250 ลา้ นคร้ังทีเดียว เพราะเราจะตอ้ งกะพริบตาทุก ๆ 6วินาที ทาให้กลา้ มเน้ือตาเคล่ือนไหวประมาณ 10,000 คร้ังต่อวนั ถา้ เปรียบกบั การทางานของกลา้ มเน้ือขาแลว้ จะเท่ากบั วง่ิ ระยะทาง 80 กิโลเมตรตอ่ วนั 3. สมองบริโภค เช่ือหรือไมว่ า่ ตอนแรกเกิดสมองของเราหนกั ประมาณ 3% ของน้าหนกั ตวั เทา่ น้นั แตเ่ ม่ืออายไุ ดป้ ระมาณ15 ปี สมองจะหนกั ถึง 1.4 กิโลกรัมและจะมีขนาดคงที่ สมองเติบโตไดเ้ พราะใชพ้ ลงั งานจากอากาศที่เราหายใจเขา้ ไป 20% และใชเ้ ลือดหล่อเล้ียงถึง 15% ของเลือดท้งั หมดในร่างกาย

4. กระบวนการคดิ นกั วทิ ยาศาสตร์พิสูจน์แลว้ วา่ อิริยาบถตา่ ง ๆ มีผลต่อการคิดและการตดั สินใจของมนุษย์ การนอนคิดจะทาให้ความคิดกวา้ งไกล การยนื ทาใหค้ วามคิดแคบลงสามารถตดั สินใจไดเ้ ร็วข้ึน ส่วนการนง่ั เป็ นอิริยาบถที่เหมาะกบั การตดั สินใจท่ีไมร่ ีบร้อนเท่าใดนกั ผมงอก โดยปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วนั จะมีช่วงท่ีผมงอกไดด้ ี 2 ช่วง คือระหวา่ งเวลา 10.00 ? 11.00 น. และ 16.00 ? 18.00 น. แต่ไมต่ อ้ งเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะ เพราะมนั แทบจะมองไมเ่ ห็นเลย 5. เส้นขนแข็งแรง โดยเฉล่ียแลว้ คนเราจะมีเส้นขนประมาณ 5 ลา้ นเส้นทว่ั ร่างกาย ยกเวน้ บริเวณริมฝีปาก ฝ่ ามือและฝ่ าเทา้เส้นขนท่ีแข็งแรงที่สุดคือหนวด เชื่อหรือไม่ว่าหนวดแข็งแรงพอ ๆ กบั ลวดทองแดงที่มีขนาดเท่ากนั เลยทีเดียว 6. ตาแหลมคม ตาของเหย่ียวสามารถมองเห็นแมลงวนั ท่ีอยู่ในระยะคร่ึงไมล์ได้ ส่วนเสือดาวก็สามารถมองเห็นคนกะพริบตาที่ระยะห่าง 100 หลาได้ ตาของคนก็มีความพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแยกแยะความแตกต่างของสีไดม้ ากถึง 17,000 สี 7. ตาทสี่ าม เช่ือหรือไมว่ า่ มนุษยม์ ีสามตา ตาที่สามน้ีก็คือต่อมไพเนียลซ่ึงอยดู่ า้ นหลงั ของกะโหลกศีรษะ ภายในต่อมมีสารเคมีที่มีช่ือว่าเซโรโตนินอยู่เป็ นจานวนมาก เช่ือกนั ว่า สารชนิดน้ีช่วยส่งผลให้มนุษยม์ ีการคิดอยา่ งสมเหตุสมผล นกั วทิ ยาศาสตร์จึงเปรียบตอ่ มน้ีวา่ เป็นตาท่ีสามของมนุษย์

8. ฮัดเช้ย! เม่ือมีสิ่งแปลกปลอมเขา้ มาทาใหจ้ มูกของเราเกิดการระคายเคือง เราจะจามออกมาโดยอตั โนมตั ิ ทุกคร้ังท่ีเราจามจะมีน้าลายฟ้ ุงกระจายออกมาถึง 100,000 หยด ดว้ ยอตั ราเร็ว 152 ฟุตต่อวนิ าที 9. ริมฝี ปาก เคยสงสัยกนั หรือไมค่ รับวา่ ทาไมริมฝีปากของเราจึงมีสีแดงมากกวา่ ส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ท่ีเป็นเช่นน้นัก็เพราะผวิ หนงั บริเวณริมฝีปากบางกวา่ ส่วนอ่ืน ๆ นนั่ เอง จึงทาใหส้ ามารถมองเห็นสีของเลือดใตผ้ วิ หนงั ได้ 10. ยมิ้ แย้ม ร่างกายของเราประกอบดว้ ยกลา้ มเน้ือประมาณ 650 มดั หากเราหนา้ บ้ึงจะตอ้ งใชก้ ลา้ มเน้ือประมาณ 400มดั ในขณะท่ีการยิม้ ใชก้ ลา้ มเน้ือ 15 มดั เท่าน้นั และพลงั งานที่ใชก้ ็นอ้ ยกวา่ การขมวดคิ้ว 1 คร้ังเสียอีก เช่ือกนั วา่ การขมวดคิว้ 200,000 คร้ัง ทาใหเ้ กิดรอยตีนกา 1 รอย

11. เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ฟันปลา เชื่อกนั วา่ เมื่อประมาณ 1 ลา้ นปี ท่ีแลว้ ฟันของมนุษยม์ ีลกั ษณะคลา้ ยกบั ฟันปลาเพราะมีการคน้ พบฟันลกั ษณะเดียวกนั กบั ของมนุษยอ์ ยูใ่ นกรามของปลาฉลามยุคก่อนประวตั ิศาสตร์ ดงั น้นั ฟันของมนุษยแ์ ละปลาฉลามจึงมีโครงสร้างพ้นื ฐานเหมือนกนั แต่ฟันของมนุษยไ์ ดพ้ ฒั นาจนมีรูปร่างเหมือนในปัจจุบนั 12. การทรงตัว เชื่อหรือไม่วา่ หูมีผลต่อการทรงตวั อวยั วะที่ช่วยใหเ้ ราสามารถทรงตวั อยไู่ ดค้ ือ เซมิเซอร์คิวลาร์ คาแนล(semicir-cular canel) ในหูซ่ึงภายในมีของเหลวที่ไวต่อการกระตุน้ ของเหลวน้ีจะทาหนา้ ที่ในการรับรู้สมดุลหากเราหมุนไปรอบ ๆ ตวั เร็ว ๆ หลาย ๆ คร้ัง จะทาใหอ้ วยั วะน้ีเกิดความสับสน เราจึงรู้สึกเวยี นศีรษะ 13. เสียงกรน เสียงกรนเป็นเสียงที่สร้างความราคาญแก่ผไู้ ดย้ นิ เพราะดงั พอ ๆ กบั เสียงของสวา่ นไฟฟ้ าซ่ึงดงั ถึง 70เดซิเบล 14. พลงั ปอด เชื่อหรือไม่ว่าปกติเราจะหายใจเอาอากาศเขา้ ไปประมาณ 6 ลิตรต่อนาที แต่ระหวา่ งออกกาลงั กายและหลงั ออกกาลงั กายใหม่ ๆ เราอาจหายใจเอาอากาศเขา้ ไปไดม้ ากถึง 100 ลิตรตอ่ นาที 15. นา้ หนักวญิ ญาณ เชื่อหรือไม่ครับวา่ วิญญาณของพวกเราก็มีน้าหนกั ดว้ ยเหมือนกนั นกั วทิ ยาศาสตร์ทดลองชง่ั น้าหนกั ของวิญญาณโดยช่ังน้าหนักของคนในขณะที่มีชีวิตอยู่เปรียบเทียบกบั น้าหนักหลงั จากเสียชีวิตทนั ที พบว่าน้าหนกั หายไป 21 กรัม จึงสรุปวา่ ดวงวญิ ญาณของพวกเรามีน้าหนกั 21 กรัมดว้ ย 16. เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ สารฆ่าความเจ็บปวด น้อง ๆ เคยสังเกตไหมว่าทาไมบางคร้ังนักกีฬาท่ีไดร้ ับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขนั ยงั สามารถลงแข่งขนั ไดจ้ นจบหรือทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบยงั คงทนต่อสู้ขา้ ศึกอยไู่ ด้ พวกเขาไม่เจ็บกนั หรือ

นกั วิทยาศาสตร์พิสูจน์แลว้ ครับว่าเมื่อมนุษยเ์ ผชิญสถานการณ์ที่ตึงเครียด สมองจะปล่อยสารออกมายบั ย้งัความรู้สึกเจบ็ ปวดเอาไว้ ทาใหม้ นุษยต์ อ่ สู้กบั ความเจบ็ ปวดได้ 17. ไม่มีนา้ ตา รู้หรือปล่าววา่ ตอนท่ีเราอายุ 4-5 เดือน เราร้องไห้ไม่มีน้าตากนั หรอกครับ แมจ้ ะร้องเสียงดงั แค่ไหนก็ตาม ท่ีเป็ นเช่นน้ีเพราะต่อมน้าตาของคนเราจะพฒั นาข้ึนหลงั จากเกิดมาแลว้ 4-5 เดือน ตอนน้ีพวกเราคงจะร้องไหม้ ีน้าตากนั ทุกคนแลว้ นะครับ 18. หวิ เพราะกลน่ิ พอกล่ินหอมของอาหารลอยมา พวกเราคงเคยรู้สึกหิวตามกล่ินน้นั ไปดว้ ยใช่ไหมล่ะ ก็กลิ่นอาหารเขา้ ไปกระตุน้ ระบบการย่อยอาหารของเราน่ะสิครับ ทาให้น้าย่อยในปากและทอ้ งทางาน เราจึงรู้สึกหิวท้งั ๆท่ีบางคร้ังเราไม่ตอ้ งการกินอีกแลว้ 19. กระเพาะแขง็ แกร่ง ในกระเพาะอาหารของเรามีน้ายอ่ ยท่ีมีฤทธ์ิเป็ นกรดสูงมาก จนสามารถละลายสงั กะสีได้ แต่กรดเหล่าน้ีไม่สามารถละลายผนงั กระเพาะของเราได้ เนื่องจากทุกนาทีเซลล์ผนงั กระเพาะเก่า 5000 เซลล์ จะถูกเซลล์ใหม่แทนที่และเปลี่ยนเป็นเซลลใ์ หม่ท้งั หมดทุกๆ 3 วนั 20. ท้องร้องจ๊อกๆ พวกเราเคยไดย้ ินเสียงทอ้ งร้องเม่ือรู้สึกหิวบา้ งไหมครับ สาเหตุที่ทอ้ งร้องก็เพราะสมองซ่ึงเป็ นส่วนท่ีควบคุมความรู้สึกหิวของเรา จะคอยจดั ลาดับการทางานของกระเพาะอาหารและลาไส้ ถ้าในเลือดมีสารอาหารพอเพียง สมองก็จะส่ังให้ระบบย่อยอาหารทางานช้าลง แต่เม่ือใดท่ีมีสารอาหารในเลือดน้อยระบบยอ่ ยอาหารจะทางานเร็วข้ึนเราจึงไดย้ นิ เสียงทอ้ งร้อง

21. เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ตกใจจนหน้าซีด เม่ือเราตกใจหนา้ จะซีด เน่ืองจากเลือดบริเวณแกม้ จะไหลยอ้ นกลบั อยา่ งรวดเร็วเพื่อทาหนา้ ท่ีฉุกเฉิน คือใหส้ ารอาหารและออกซิเจนแก่กลา้ มเน้ือส่วนอื่น เน่ืองจากร่างกายไม่ไดเ้ ตรียมพร้อมอยตู่ ลอดเวลาวา่ จะตอ้ งเผชิญความตกใจ เม่ือเลือดจากแกม้ ไหลออกไป หนา้ เราจึงซีด 22. เขินอาย เมื่อเรารู้สึกเขินอายหน้าเราก็จะแดง โดยเฉพาะบริเวณแกม้ และลาคอ เพราะขณะท่ีเราเขินอาย เซลล์ประสาทจะถูกกระตุน้ ใหป้ ล่อยสารเคมีที่พลงั งานสูงช่ือวา่ เปปไทด์ (peptide) ออกมา ทาให้เส้นเลือดท่ีแกม้และลาคอขยายตวั หนา้ ของเราจึงแดงมากกวา่ ปกติ 23. มาจากดวงดาว ร่างกายของเราประกอบดว้ ยอะตอมจานวนมาก อะตอมเหล่าน้ีมาจากไหน นกั วทิ ยาศาสตร์บางกลุ่มเช่ือว่าอะตอมเกิดมาจากดวงดาวที่ดบั แลว้ เม่ือ 5000 ลา้ นปี ก่อนท่ีจะมีพระอาทิตยเ์ กิดข้ึน และดวงดวงน้ีเคยมีสิ่งมีชีวติ อาศยั อยกู่ ่อนเม่ือโลกเกิดข้ึน เซลลข์ องส่ิงมีชีวติ น้ีก็ไดพ้ ฒั นาเรื่อยมาจนกลายเป็นคน 24. สารพดั สาร เชื่อหรือไม่วา่ ในร่างกายของเรามีสารอยมู่ ากมาย เช่น มีฟอสฟอรัสในปริมาณที่มากพอจะทาหวั ไมข้ ีดไฟ 2,000 ก้าน มีไขมนั พอท่ีจะทาสบู่ได้ 7 กอ้ น มีเหล็กมากพอท่ีจะทาตะปูได้ 1 ตวั มีปูนขาวท่ีสามารถละลายน้าแลว้ นาไปทาหอ้ งเล็ก ๆ ได้ 1 หอ้ ง มีซลั เฟอร์ 1 ชอ้ นชาและโลหะอีกประมาณ 30 กรัม 25. นอนแล้วสูง การนอนช่วยให้เราสูงข้ึนได้ เพราะเม่ือเรายนื หรือนง่ั แผน่ กระดูกอ่อนที่กระดูกสันหลงั จะถูกแรงดึงดูดของโลกกดลง การนอนช่วยให้แรงกดน้ีหายไป แผน่ กระดูกอ่อนที่ถูกกดก็จะพองตวั ทาใหเ้ ราสูงข้ึนไดอ้ ีก 8มิลลิเมตร แต่เม่ือตื่นมาเราก็จะสูงเท่าเดิม

26. เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ พลงั กาย ร่างกายของคนเราแขง็ แกร่งมากกวา่ ที่เราคิดเสียอีก โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งความสามารถในการยกน้าหนกัเช่น ถา้ เรานอนหลบั โดยห่มผา้ หนกั 2.5 กิโลกรัม หายใจโดยเฉลี่ย 16 คร้ังต่อนาที และนอนนานประมาณ 8ชวั่ โมง ทรวงอกของเราสามารถยกน้าหนกั ไดถ้ ึง 20 ตนั 27. ฉันทาไม่ได้ สิ่งที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถทาได้ คือหายใจและกลืนอาหารไปพร้อม ๆ กนั เพราะกระบวนการกลืนจะไปรบกวนกระบวนการหายใจดว้ ยการปิ ดก้นั อากาศไมใ่ หผ้ า่ นเขา้ ไปขณะท่ีอาหารเคลื่อนจากปากไปยงั คอหอยและผา่ นไปท่ีกระเพาะอาหาร 28. หวั ใจทร่ี ัก ในช่วงชีวิตของมนุษยน์ ้นั หวั ใจจะสูบฉีดโลหิตประมาณ 500 ลา้ นลิตรและเตน้ 2,000 ลา้ นคร้ัง ดงั น้นัใน 1 วนั หวั ใจจะสูบฉีดโลหิตมากกวา่ 13,500 ลิตร และเตน้ 100,000 คร้ัง แตล่ ะวนั หวั ใจจึงตอ้ งทางานหนกัเพื่อใหไ้ ดพ้ ลงั งานมากพอ เช่ือหรือไมว่ า่ พลงั งานที่ไดน้ ้ีสามารถยกรถยนตไ์ ดส้ ูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว 29. เร่ืองของผวิ หนัง เชื่อหรือไม่วา่ พ้ืนที่เพยี ง 1 ตารางนิ้วบนผิวหนงั ของเราน้นั ประกอบไปดว้ ยเซลลถ์ ึง 19 ลา้ นเซลล์ ขน 60เส้น ต่อมน้ามนั 90 ตอ่ ม ต่อมเหงื่อ 625 ต่อม เส้นเลือดยาว 19 ฟุต และเซลลร์ ับความรู้สึก 19,000 เซลล์ 30. เซลล์เม็ดเลอื ด มีผเู้ ช่ียวชาญสนั นิษฐานวา่ ถา้ นาเซลลเ์ มด็ เลือดของเรามาต่อเป็นสายยาวจะสามารถพนั รอบเส้นศูนยส์ ูตร ไดถ้ ึง 4 รอบเลยทีเดียว 31. เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ นา้ ในร่างกาย น้อง ๆ คิดว่า ร่างกายของเรามีสถานะใดตามหลกั วิทยาศาสตร์ หลายคนอาจจะคิดว่า มีสถานะเป็ นของแขง็ แต่นอ้ ง ๆ รู้หรือไม่วา่ ร่างกายของเราประกอบดว้ ยน้าถึง 2 ใน 3 ดว้ ยเหตุน้ีตลอดชีวติ ของคน 1 คนจึงตอ้ งด่ืมน้าเป็นจานวนมากถึง 70,000 ลิตร

32. ความสาคญั ของเกลอื แร่ เกลือแร่เป็ นสารอาหารที่จาเป็ นต่อร่างกาย เพราะช่วยทาให้กระดูกแข็งแรง หากนาเกลือแร่ออกจากกระดูกโดยนากระดูกไปแช่ในน้ากรด เกลือแร่จะละลายออกมาจนสามารถนากระดูกน้นั มาผกู ใหเ้ ป็นปมได้ 33. หนาวส่ัน อาการหนาวส่ันเป็ นอาการท่ีร่างกายแสดงออกมาเพ่ือรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับท่ีเหมาะสม หลงั จากที่ได้รับความเยน็ มากเกินไป เพราะความเย็นจะทาให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทางานชา้ ลง และเป็ นอนั ตรายไดห้ ากอุณหภูมิลดต่าลงมาก ๆ ดงั น้นั กลา้ มเน้ือจึงผลิตความร้อนดว้ ยการทาใหก้ ลา้ มเน้ือหดตวั ไปมาอยา่ งรวดเร็ว 34. สูงและต่า ตอนกลางวนั อุณหภูมิในร่างกายของเราอาจสูงข้ึนไดม้ าก ๆ หากเรารับประทานอาหารม้ือใหญ่ อยใู่ นที่อากาศร้อน หรือออกกาลงั กายอยา่ งหนกั แต่ตอนกลางคืน อุณหภูมิในร่างกายของเราจะค่อย ๆ ลดลงจนต่าที่สุดเม่ือเรานอนหลบั เพ่ือเป็นการรักษาสมดุล 35. ลกู ผู้ชาย การท่ีผูช้ ายเชื่อว่าลูกผูช้ ายตอ้ งไม่หลง่ั น้าตาน้นั ส่งผลกระทบให้ผชู้ ายเป็ นโรคเครียดไดง้ ่ายกว่าผหู้ ญิงเพราะมีโอกาสปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกดดันได้น้อย รู้อย่างน้ีแล้ว ใครที่กาลังเครียดก็ลองหาโอกาสปลดปล่อยอารมณ์บา้ งก็ดีนะครับ แต่ไม่ใช่เอาแต่น่งั ร้องไห้อยู่ล่ะ การออกกาลงั กายก็สามารถช่วยคลายเครียดไดเ้ ช่นกนั 36. เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ตัวยารักษาโรค การฉีดยาเป็ นวธิ ีการรักษาโรคอีกวิธีหน่ึงท่ีแพร่หลาย ทราบหรือไม่วา่ แพทยไ์ ดต้ วั ยามาจากไหน ในยาฉีดน้นั มีส่วนประกอบของแบคทีเรียที่ทาใหม้ ีฤทธ์ิอ่อนลง ซ่ึงไดม้ าจากเช้ือโรคของผปู้ ่ วยรายอื่นที่ป่ วยเป็ นโรคเดียวกบั เรา นอกจากนาไปทาเป็ นยาฉีดแลว้ เช้ือโรคเหลา้ น้นั ยงั สามารถนาไปทาเป็ นวคั ซีนป้ องกนั โรคไดอ้ ีกดว้ ย โดยวคั ซีนจะเขา้ ไปสร้างภมู ิคุม้ กนั โรคชนิดน้นั ๆ ในร่างกาย

37. หาวนอน อาการง่วงเหงาหาวนอนเกิดจากการท่ีเรารู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย ระบบทางเดินหายใจของเราจึงทางานชา้ ลงเป็ นผลใหก้ ลา้ มเน้ือคอหอยปิ ดโดยอตั โนมตั ิ ทาใหร้ ่างกายตอ้ งการอากาศเพม่ิ ข้ึน เราจึงตอ้ งหาวเพ่ือเอาอากาศเขา้ ไปใชใ้ นกระบวนการหายใจ 38. ใบหน้า วนั หน่ึง ๆ เราอาจมีอารมณ์และความรู้สึกเหล่าน้นั ถูกถ่ายทอดออกมาบ่อยคร้ังทางใบหนา้ เช่ือหรือไม่วา่กล้ามเน้ือท้งั ท่ีเป็ นวงกลมและเป็ นเส้นบนใบหน้าสามารถแสดงอารมณ์ที่หลากหลายได้มากกว่า 1,000รูปแบบ 39. นอนหลบั ขณะนอนหลบั เราสามารถเรียนรู้ไดห้ รือไม่ ในสมยั ก่อนนกั วิทยาศาสตร์เช่ือวา่ มนุษยไ์ ม่สามารถเรียนรู้ในขณะนอนหลบั ได้ แต่จากการทดลองอยา่ งละเอียดของนกั วทิ ยาศาสตร์รุ่นหลงั พบวา่ มนุษยจ์ ะไมส่ ามารถเรียนรู้ไดใ้ นขณะที่นอนหลบั สนิท แตจ่ ะสามารถเรียนรู้ไดใ้ นขณะที่อยใู่ นช่วงสะลึมสะลือ 40. ล้มตัวลงนอน เชื่อหรือไม่วา่ ในบรรดาส่ิงมีชีวิต มีสตั วเ์ พียง 2-3 ชนิดเท่าน้นั ที่นอนหลบั โดยเอนหลงั แนบกบั พ้นื และสตั วช์ นิดหน่ึงที่สามารถทาเช่นน้ีไดก้ ็คือมนุษย์ 41. เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์?นา้ หนักลด ไม่ว่าเราจะมีน้าหนกั มากน้อยเพียงใดก็ตาม น้าหนกั ของเราจะสามารถลดลงได้ 300 กรัม ทุกวนั ในขณะท่ีเรานอนหลบั แต่อยา่ เพิ่งดีใจไปนะครับ เพราะทนั ทีท่ีตื่นข้ึนมา น้าหนกั ของเรากจ็ ะเท่าเดิม 42. อาณาจักรแห่งความฝัน นกั วทิ ยาศาสตร์พบวา่ ถา้ วนั หน่ึง ๆ เรานอนหลบั ประมาณ 8 ชว่ั โมง เราจะฝัน 3-5 คร้ังต่อคืน โดยช่วงความฝันแต่ละคร้ังใช้เวลานานประมาณ 10-30 นาที และถา้ เราถูกปลุกข้ึนมาในระหวา่ งท่ีกาลงั ฝันอยู่ เราอาจจะจาความฝันน้นั ไดห้ รือไม่ไดก้ ็ได้

43. ความฝัน เชื่อหรือไม่วา่ ความฝันช่วยทาใหจ้ ิตใจของเราสดชื่นเบิกบานได้ ไม่วา่ เราจะจาความฝันน้นั ไดห้ รือไม่ก็ตาม เพราะความฝันจะแสดงถึงสิ่งที่เราอยากทาเม่ือตื่น แตเ่ ราไมส่ ามารถทาไดด้ ว้ ยเหตุผลนานาประการ 44. เวลาของความฝัน ผูเ้ ชี่ยวชาญแสดงทศั นะเกี่ยวกบั เวลาในช่วงของความฝันไวว้ ่า เวลาที่เราตื่นอยู่ประสาทความรู้สึกเกี่ยวกบั เวลาของเราจะเป็ นแนวต้งั ดงั น้นั เราจึงรับรู้แต่ขณะปัจจุบนั เท่าน้นั แต่เมื่อเราหลบั มนั จะกลายเป็ นเส้นแนวนอนทาใหเ้ ราสามารถเดินทางไปในอดีตและอนาคตได้ 45. สร้างความฝัน ถา้ อยากให้ความฝันสวยงามลองงดดื่มเครื่องด่ืมทุกชนิดประมาณ 1-2 ชวั่ โมงก่อนเขา้ นอนสิครับ เพราะผเู้ ช่ียวชาญเชื่อวา่ จะทาใหค้ วามฝันย่ิงใหญ่ และถา้ ใครเห็นความฝันของตนเองเป็นสีต่าง ๆ ละก็แสดงวา่ เป็นคนที่ไวตอ่ การกระตุน้ ตา่ ง ๆ รอบตวั มากทีเดียว 46. เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ จมูกของมด ใครรู้บา้ งวา่ มดใชอ้ ะไรในการดมกลิ่น คาตอบก็คือใชเ้ ทา้ นนั่ เอง การใชเ้ ทา้ ดมกล่ินช่วยใหม้ นั สามารถตามกล่ินที่เพอ่ื นของมนั ทิ้งไวต้ ามทางได้ นอกจากน้ีมนั ยงั สามารถใชข้ อ้ ต่อท่ีหนวดรับกล่ินไดอ้ ีกดว้ ย 47. นายช่างใหญ่ บีเวอร์เป็นสตั วท์ ี่ชอบสร้างเข่ือนและบา้ นของมนั มาก มนั จะคาบกิ่งไมแ้ ละกินไมเ้ ป็นอาหาร ท่ีเป็นเช่นน้ีก็เพราะถา้ ไม่ไดก้ ดั ไมท้ ุกวนั ฟันของมนั ก็จะงอกและยาวข้ึนอยา่ งรวดเร็วทาให้มนั กินอาหารไม่ไดแ้ ละอดตายในท่ีสุด 48. อฐู ลน่ื อูฐเป็ นสัตวท์ ่ีขาแต่ละขา้ งประกอบดว้ ยนิ้วขนาดใหญ่ 2 นิ้ว ปกคลุมดว้ ยแผน่ รองเทา้ ที่หนาและเหนียวท้งั ยงั มีแผน่ หนงั บาง ๆ เช่ือมนิ้วเทา้ ให้ติดกนั ทาให้เทา้ อูฐแขง็ แรงเหมาะสาหรับเดินในทะเลทราย แต่หากจบั อูฐมาอยใู่ นโคลนละก็ เทา้ แบบน้ีกไ็ ร้ประโยชนเ์ พราะจะทาใหอ้ ฐู ลื่นไถลไดง้ ่าย

49. หางเกบ็ อาหาร มีสัตวอ์ ยหู่ ลายชนิดท่ีมีหางและหางของมนั ก็ใชป้ ระโยชน์ไดแ้ ตกต่างกนั ไป อยา่ งเช่น แกะพนั ธุ์หน่ึงท่ีใชห้ างของมนั ทาหนา้ ท่ีเก็บหญา้ ซ่ึงเป็ นอาหารของมนั ไว้ เมื่อหญา้ ขาดแคลน หญา้ ท่ีถูกสะสมไวท้ ่ีหางก็จะเปลี่ยนเป็นไขมนั เพอ่ื ใหพ้ ลงั งานแก่ร่างกาย 50. หูหนวกเต้นระบา หากใครเคยชมภาพยนตร์อินเดียคงจะเคยเห็นงูท่ีเตน้ ระบาเม่ือได้ยินเสียงปี่ จริง ๆ แลว้ มนั ไม่ไดเ้ ตน้ระบาเพราะเสียงป่ี หรอกครับ งูเป็ นสัตวท์ ่ีหูหนวกจึงไม่ไดย้ ินเสียงป่ี แต่ท่ีมนั เตน้ ส่ายไปส่ายมาก็เพราะจงั หวะการเคล่ือนไหวของหมองูตา่ งหาก ถา้ ลองใชไ้ มแ้ ทนป่ี งูกย็ งั คงเตน้ ระบาไดเ้ หมือนกนั 51. เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ สุนัขนา้ ร้อน สุนขั เป็ นสัตวท์ ี่คนนิยมเล้ียงกนั โดยทวั่ ไป เพราะนอกจากจะใชเ้ ฝ้ าบา้ นแลว้ สุนขั ยงั ทาหน้าท่ีไดห้ ลายอย่าง นานมาแลว้ ชาวอินเดียนแอซเทคนาสุนขั พนั ธุ์เม็กซิโกซ่ึงตวั เล็กนิดเดียวและมีขนส้ันบางมาใช้แทนกระเป๋ าน้าร้อน เพ่ือสร้างความอบอุ่นแก่เทา้ เจา้ ของเมื่ออากาศหนาว 52. ช้างนักกนิ ชา้ งแอฟริกามีขนาดใหญ่มาก หนกั ถึง 7 ตนั ที่ตวั ใหญ่ขนาดน้ีเพราะมนั ใชเ้ วลาในการกินประมาณ18-20 ชว่ั โมงตอ่ หน่ึงวนั โดยกินพชื ผกั ประมาณวนั ละ 350 กิโลกรัมและกินน้า 90 ลิตร 53. กนิ ทางตา โดยปกติสัตวจ์ ะกินอาหารทางปาก แต่สาหรับคางคกและกบแลว้ พวกมนั จะกินอาหารทางตา เม่ือกินอาหารมนั จะปิ ดตาแน่น ดนั ลูกตาท่ีแข็งให้ชนเพดานปากทาให้เพดานปากถูกกดลงมาแนบกบั ลิ้นแลว้ ดนัอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร นอกจากน้ีมนั ยงั ด่ืมน้าโดยการดูดซึมน้าผา่ นทางผวิ หนงั ดว้ ย 54. ปลงิ ป้ องกนั ตัว ปลิงทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิ กมีวธิ ีป้ องกนั ตวั เองที่แปลกคือ เมื่อถูกทาร้ายมนั จะหดตวั ทนั ทีและจะดนัอวยั วะภายในของมนั ออกมา แต่มนั ก็ยงั ไม่ตาย อวยั วะเหล่าน้นั จะเป็ นอาหารของผทู้ ่ีทาร้ายมนั แลว้ มนั จะค่อย ๆ หลบหนีไป จากน้นั 2 ?3 สัปดาห์อวยั วะภายในของมนั กจ็ ะงอกใหม่

55. ตาเคลอ่ื นท่ี ปลาลิ้นหมาไม่ไดม้ ีตาเดียวอยา่ งที่พวกเราเห็นกนั ตอนแรกท่ีมนั เกิดมามนั จะมี 2 ตา แต่เมื่ออายุมากข้ึนตาของมนั จะยา้ ยตาแหน่งมารวมกนั โดยเคล่ือนท่ีไปรวมกบั ตาอีกขา้ งหน่ึงซ่ึงอยบู่ นหวั 56. เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ระเบดิ ควนั ปลาหมึกยกั ษม์ ีวิธีการป้ องกนั ตวั คลา้ ยการสร้างระเบิดควนั ของทหาร เมื่อเผชิญหนา้ กบั ศตั รู มนั จะพ่นหมึกดาในถุงดา้ นหลงั ลาตวั ออกมาทาใหน้ ้าบริเวณรอบ ๆ ข่นุ ดา แลว้ มนั จะรีบหนีไป นกั วทิ ยาศาสตร์พบวา่มนั สามารถเปล่ียนสีหมึกของมนั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มไดด้ ว้ ย เช่น สีแดง สีเหลือง สีเทา เป็นตน้ 57. กบหดตวั กบพาราดอกซิคลั (Paradoxical) ในอเมริกาใตม้ ีความพิเศษคือย่ิงมนั เจริญเติบโตข้ึนตวั ก็ยิ่งเล็กลง เม่ือเป็นลูกออ๊ ดมนั มีลาตวั ยาวถึง 10 นิ้ว แต่เมื่อโตเป็นกบลาตวั จะหดลงจนเหลือขนาดไม่เกิน 3 นิ้วเทา่ น้นั 58. หนอนกระสือ หนอนกระสือตวั เมียจะมีอวยั วะที่เรืองแสงอยบู่ ริเวณใตท้ อ้ งซ่ึงใชส้ ่งสัญญาณไปยงั ปี กของตวั ผทู้ ่ีบินอยู่ดา้ นบน หนอนกระสือตวั เมียสามารถควบคุมการเปล่งแสงได้ โดยจะใชแ้ สงต่อเมื่อตอ้ งการดึงดูดตวั ผเู้ ท่าน้นั 59. แสงนาทาง รู้ไหมทาไมผเี ส้ือกลางคืนจึงชอบบินเขา้ หาแสงไฟในตอนกลางคืน เพราะปกติผเี ส้ือกลางคืนจะใชแ้ สงจนั ทร์นาทาง แต่แสงอ่ืนทาให้มนั สับสนและประสาททางดา้ นทิศทางเสียไป ดงั น้นั มนั จึงพยายามปรับแสงจนั ทร์ปลอมใหท้ ามุมเดียวกนั กบั แสงจนั ทร์จริง ๆ โดยการบินเป็นวงกลมเขา้ มาใกลแ้ สงน้นั มากข้ึน 60. เครื่องขยายเสียง จิ้งหรีดตวั ผูจ้ ะใช้เสียงเพลงซ่ึงเกิดจากขาหน้าเสียดสีกนั การดึงดูดตวั เมีย แต่จะไม่ดงั นัก มนั จึงสร้างเคร่ืองขยายเสียงชนิดพิเศษ โดยการขดุ รังใตด้ ินใหม้ ีอุโมงคท์ างเขา้ สองทาง แลว้ ก็ยนื ส่งเสียงไพเราะอยทู่ างอุโมงคด์ า้ นหน่ึง แต่ท่ีแปลกอีกอยา่ งหน่ึงก็คือ หูท่ีไวตอ่ เสียงของมนั ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ี่หวั แต่ท่ีอยทู่ ี่ขา

61. เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ สัตว์มเี หงอื่ หรือไม่ ? สุนขั ก็มีเหง่ือครับ แต่เหง่ือของมนั จะออกบริเวณฝ่ าเทา้ นอกจากน้ีสัตวอ์ ื่น ๆ เช่น ววั จะมีเหง่ือออกทางจมูก ส่วนเหง่ือของฮิปโปโปเตมสั จะออกมาจากทุกส่วนของร่างกายและจะเป็ นเหง่ือสีแดง ลองสังเกตนะครับวา่ สตั วอ์ ื่น ๆ มีเหง่ือออกท่ีส่วนใดของร่างกาย 62. หน่ึงไม่มสี อง คนเรามีลายนิ้วมือไม่เหมือนกนั มา้ ลายแต่ละตวั ก็มีแถบลายเฉพาะที่ซ่ึงจะไม่ซ้ากับมา้ ลายตวั อื่น ๆเช่นกนั 63. หนูนักร้อง หนูเป็ นสัตวท์ ่ีสามารถร้องเพลงได้ แต่เสียงร้องของมนั จะเป็ นเสียงซูเปอร์โซนิค (Supersonic) ซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นเสียงสูงและรัว ทาใหเ้ ราไม่ไดย้ ินเสียงเพลงของมนั แต่ถา้ มนั ลดระดบั เสียงให้ต่าลงจนถึงระดบัปกติที่เราสามารถไดย้ นิ เรากจ็ ะไดย้ นิ เสียงเพลงจากหนูได้ 64. สัตว์ปากกว้าง สัตวท์ ่ีสามารถอา้ ปากไดก้ วา้ งที่สุดคืองูเหลือมเรติคูเลเตด (Reticulated python) มนั สามารถยดื ตวั ไดถ้ ึง10 เมตร และอา้ ปากกวา้ งจนกลืนกินสตั วท์ ี่มีน้าหนกั 55 กิโลกรัม จึงไม่แปลกที่จะมีคนพบสัตวใ์ หญ่ ๆ อยา่ งเสือดาวในทอ้ งของมนั 65. ไม่เอาไมโครโฟน ไซเมียง (Simiang) เป็ นสัตวบ์ กท่ีมีถุงลมขนาดใหญ่ จึงตะโกนไดเ้ สียงดงั กว่าสัตวอ์ ่ืน ๆ มนั สามารถตะโกนให้สัตวท์ ี่อยหู่ ่างออกไปถึง 8 กิโลเมตรไดย้ ินได้ ส่วนสัตวน์ ้าที่สามารถตะโกนได้เสียงดงั ที่สุดคือปลาวาฬรอร์ควอล (Rorqual whale) มนั สามารถร้องเพลงด้วยความถี่ 20 เฮิรตซ์ ให้ได้ยินไปไกลถึง 150กิโลเมตรเลยทีเดียว

66. เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ นักแม่นธนู ปลาเสือมีวิธีจบั เหย่ือท่ีคลา้ ยกบั การยงิ ธนู โดยมนั จะพ่นน้าไปยงั แมลงท่ีเกาะอย่บู นตน้ พืชเหนือน้า ทาให้แมลงตกลงในน้า จากน้นั ก็จะตรงเขา้ ไปฮุบแมลงน้นั ไวท้ นั ที ปลาเสือสามารถพ่นน้าใส่เหยือ่ ของมนั ในระยะ 3 เมตรไดอ้ ยา่ งแมน่ ยา 67. อาวุธของทากทะเล ทากทะเลไมม่ ีเปลือกห่อหุม้ ร่างกาย ดงั น้นั มนั จึงป้ องกนั ตวั โดยการกินเซลลเ์ ขม็ พษิ ของแมงกะพรุนเขา้ไปเพ่ือใช้เป็ นอาวุธ เข็มพิษน้ีจะไม่ถูกย่อยไปพร้อมกบั อาหาร แต่จะถูกส่งไปเก็บไวท้ ่ีใตผ้ ิวหนังบริเวณดา้ นหลงั เมื่อตอ้ งเผชิญหนา้ กบั ศตั รูมนั กจ็ ะป้ องกนั ตวั ดว้ ยการปล่อยเขม็ พษิ ออกมา 68. ปลาฉลามว่ายนา้ ถา้ เรามีโอกาสไดเ้ ฝ้ าดูปลาฉลามอย่างใกลช้ ิดก็จะพบว่าปลาฉลามตอ้ งว่ายน้าตลอดเวลา หากหยุดวา่ ยน้ามนั จะตาย เพราะปลาชนิดอ่ืน ๆ จะมีถุงลมทาใหห้ ายใจไดแ้ มไ้ ม่เคลื่อนที่ แต่ปลาฉลามไม่มีถุงลม ดงั น้นัถา้ มนั หยดุ วา่ ยน้ากจ็ ะทาใหไ้ ม่มีออกซิเจนไหลผา่ นเหงือกจึงไมม่ ีออกซิเจนใชใ้ นการหายใจ 69. สุดยอดตวั อ่อน ตวั ออ่ นของสัตวท์ ี่กินเก่งที่สุดในโลกคือตวั อ่อนของผเี ส้ือกลางคืนในอเมริกาเหนือ เนื่องจากมนั สามารถกินอาหารที่มีน้าหนกั มากถึง 86,000 เท่าของน้าหนกั ตวั ภายในเวลา 48 ชวั่ โมงแรกท่ีมนั เกิดมา 70. หมอกเพอื่ ชีวติ ดว้ งแอฟริกาใตท้ ่ีอาศยั อยใู่ นทะเลทรายนามิบมีชีวิตอยไู่ ดด้ ว้ ยการกินหมอก ปกติมนั จะอาศยั อยใู่ ตเ้ นินทรายซ่ึงอุณหภูมิค่อนขา้ งคงท่ี แต่เม่ือมนั กระหายน้า มนั ก็จะบินออกมาเกาะยอดเนินแลว้ ปล่อยให้ลดพดั พาหมอกมาจบั บนตวั ของมนั เมื่อหมอกเกิดการควบแน่นจนกลายเป็นหยดน้ามนั ก็จะกินน้าน้นั แกก้ ระหาย

71. เร่ืองน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ เพลงรัก ปูทรอปิ คลั ฟี ดเดลอร์ (Tropical Fiddler) เป็ นปูท่ีมีสีสันสวยงาม กา้ มขา้ งซ้ายของปูตวั ผจู้ ะมีขนาดใหญ่สะดุดตา ซ่ึงมนั จะใชด้ ึงดูดตวั เมียในช่วงฤดูผสมพนั ธุ์ โดยจะขยบั กา้ มไปขา้ งหลงั และขา้ งหนา้ สลบั กนั คลา้ ยการสีไวโอลิน แมจ้ ะไม่มีเสียงออกมา แต่ก็สร้างความประทบั ใจและดึงดูดตวั เมียให้เข้าไปหามนั อย่างรวดเร็วได้ 72. เวลาของพชื คน สัตว์ และพืชเป็ นสิ่งมีชีวติ เหมือนกนั แต่ส่ิงท่ีคนและสัตวต์ ่างจากพืชก็คือ การเจริญเติบโต คนและสัตวจ์ ะมีช่วงที่เจริญเติบโตและหยดุ โตเมื่อถึงอีกช่วงอายหุ น่ึง แต่สาหรับพืชแลว้ มนั จะยงั คงเจริญเติบโตไปเรื่อย ๆ และจะหยดุ กต็ ่อเมื่อมนั ตายเทา่ น้นั 73. ราโตเร็ว ราบราซิเลียน (Brazillian fungus) เป็นพืชท่ีโตเร็วที่สุดมนั จะงอกจากพ้นื ดินดว้ ยอตั ราเร็ว 5 มิลลิเมตรต่อนาที และเจริญเติบโตเตม็ ท่ีภายใน 20 นาที น้าจะช่วยใหม้ นั เจริญเติบโตไดด้ ีเป็นพเิ ศษ และเรายงั สามารถได้เยนิ เสียงปริแตกเนื่องจากอาการบวมน้าและเห็นน้าไหลออกมาไดด้ ว้ ย 74. ต้นไม้พดู ได้ นกั วิทยาศาสตร์พบว่าตน้ ไมส้ ามารถสื่อสารกนั ไดห้ ากอยู่ในบริเวณใกลเ้ คียงกนั พืชมีความรู้สึกชอบและไม่ชอบเช่นเดียวกบั คน ดงั น้นั หากมีตน้ ไมท้ ่ีมนั ไม่ชอบข้ึนบริเวณน้ัน มนั ก็จะปล่อยสารฟี โรโมน(Pheromones) เพ่ือส่ือสารใหต้ น้ อื่นรับรู้ สารน้ีจะไปกระตุน้ ใหพ้ ืชท่ีมนั ชอบเจริญเติบโตและจะทาลายพชื ที่มนั ไมช่ อบ 75. พชื ป้ องกนั ตัว มีพืชอยหู่ ลายชนิดท่ีจะป้ องกนั ตวั เองเมื่อถูกแมลงรบกวน โดยภายใน 1 ชวั่ โมงหลงั จากถูกรบกวน พืชจะปล่อยสารท่ีมีชื่อว่าเทอร์เพนและแทนนิน (Terpene, Tannin) ท่ีบริเวณใบโปรตีนในใบจะเปลี่ยนเป็ นโปรตีนที่ยอ่ ยยากข้ึน แมลงท่ีบุกรุกกจ็ ะขาดโปรตีน พืชกจ็ ะรอดพน้ จากการถูกแมลงรบกวน

76. เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ชีวติ ในความตาย ตน้ ปาลม์ ทาลิพอต (Talipot) เป็นไมด้ อกท่ีมีขนาดใหญท่ ี่สุด มีช่วงชีวติ ประมาณ 70 ปี แตต่ ลอดชีวติ ของมนั จะออกดอกเพียงคร้ังเดียว ดอกสูงถึง 6 เมตร มีเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 1 เมตร กวา่ เมล็ดท้งั หมดจะสุกเป็นผลใชเ้ วลาประมาณ 1 ปี ต่อจากน้นั เม่ือมีการผสมพนั ธุ์อีกคร้ังมนั ก็จะตาย 77. เรื่องบังเอญิ เมื่อประมาณพนั กวา่ ปี มาแลว้ คนดูแลฝงู แกะชาวอบิสซีเนียคน้ พบกาแฟโดยบงั เอิญ เพราะวนั หน่ึงเขาได้กลิ่นหอมของพุ่มไมป้ ่ าที่ถูกเผาจึงลองชิมดูและเกิดติดใจในรสชาติ เขาจึงนาไปตม้ ในน้าเดือด ต้งั แต่น้นั มากาแฟจึงกลายเป็ นส่ิงท่ีนิยมบริ โภค 78. ต้นสารพดั ประโยชน์ ปาลม์ เป็ นตน้ ไมส้ ารพดั ประโยชน์คลา้ ยตน้ กลว้ ยเพราะทุกส่วนนาไปใชป้ ระโยชน์ไดต้ ้งั แต่นาใบมามุงหลงั คา กา้ นนามาทาเป็ นเชือก ผล ลาตน้ และใบอ่อนนามาทาเป็ นอาหาร เปลือกใชท้ าผา้ และกระดาษ เมล็ดนามาทากระดุม นอกจากน้ียางของปาลม์ ยงั สามารถใชท้ าไวน์ไดอ้ ีกดว้ ย 79. ไฟช่วยชีวติ สนเป็ นพืชอีกชนิดหน่ึงที่ตอ้ งใชไ้ ฟป่ าในการแพร่ขยายพนั ธุ์ ความร้อนของไฟจะทาให้ผลของสนปริแตก เมลด็ กจ็ ะกระเด็นไปตกบริเวณอ่ืนแลว้ เกิดเป็นสนตน้ ใหม่ แต่ถึงอยา่ งไรป่ าสนท่ีถูกไฟไหมก้ ็จะตอ้ งถูกทาลายไปเพอื่ แลกกบั ป่ าสนที่จะเกิดข้ึนใหม่ 80. บานวนั ละดอก ตน้ หญา้ บลูอาย มีก้านดอกไม่แข็งแรงพอท่ีจะรองรับน้าหนกั ของดอกท่ีบานมากกว่า 1 ดอก ดงั น้ันธรรมชาติจึงสร้างใหด้ อกของมนั บานในตอนเชา้ แลว้ เหี่ยวแหง้ ตายในตอนกลางคืน เพื่อจะไดม้ ีดอกไมด้ อกใหม่ผลิบานในวนั รุ่งข้ึน 81. เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์ เพราะแสงอาทติ ย์ ตน้ อินเดียนเทเลกราฟ (Indian Telegraph) สามารถเคล่ือนไหวไดด้ ว้ ยตนเอง เม่ืออยทู่ ่ามกลางแสงแดดจา้ ใบของมนั จะเคลื่อนท่ีข้ึนลงและจากขา้ งหน่ึงไปยงั อีกขา้ งหน่ึง แลว้ จะหยดุ เคลื่อนไหว หลงั จากน้นั อีก 2-3 นาทีมนั ก็จะเคล่ือนไหวแบบน้ีอีกคร้ัง 82. สมองพชื เชื่อหรือไม่วา่ พืชสามารถผลิตสารชนิดเดียวกบั ที่สมองของคนและสัตวผ์ ลิตได้ ตน้ ฝ่ิ นสามารถผลิตสารท่ีคลา้ ยกบั เอนโดฟี น (Endorphin) ซ่ึงถูกปล่อยออกมาจากสมองของคน นอกจากน้ีตน้ โจโจบายงั สามารถให้น้ามนั ซ่ึงมีคุณสมบตั ิคลา้ ยสารท่ีไดจ้ ากปลาวาฬเสปิ ร์มอีกดว้ ย

83. ต้นไผ่พศิ วง ในหน่ึงวนั ตน้ ไผฮ่ มั เบิลสามารถเจริญเติบโตไดส้ ูงกวา่ 40 เซนติเมตร คนจีนโบราณจะใชต้ น้ ไผ่น้ีเป็ นเครื่องทรมาน โดยผเู้ คราะห์ร้ายจะถูกนามามดั ติดไวท้ ่ีตน้ ไผโ่ ดยมีหน่ออ่อนของมนั แทงอยทู่ ่ีหลงั ภายใน 2-3ชว่ั โมง หน่อไผก่ ็จะแทงทะลุหลงั ของผเู้ คราะห์ร้าย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook