ประมวลจริยธรรมขา้ ราชการพลเรือน และ ความรู้เกีย่ วกบั ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น รวมรวมโดยกลุ่มงานวินยั และทะเบียนประวัติ กองการเจา้ หน้าท่ี
โดยท่ีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๙ กาหนดให้ มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ แต่ละประเภทให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมท่ีกาหนดข้ึนโดยจะต้องมีกลไกและระบบ ในการดาเนินงานเพ่ือให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกาหนดขั้นตอน ก า ร ล ง โ ท ษ ต า ม ค ว า ม ร้ า ย แ ร ง แ ห่ ง ก า ร ก ร ะ ท า ก า ร ฝ่ า ฝื น ห รื อ ไ ม่ ป ฏิ บั ติ ต า ม ม า ต ร ฐ า น ทางจริยธรรมใหถ้ อื ว่าเปน็ การกระทาผดิ ทางวินัย ก.พ. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนได้พิจารณา โ ด ย ถี่ ถ้ ว น แ ล้ ว เ ห็ น ว่ า ต า แ ห น่ ง ข้ า ร า ช ก า ร พ ล เ รื อ น ทุ ก ต า แ ห น่ ง มี ห น้ า ที่ ท่ี ต้ อ ง ป ฏิ บั ติ เพือ่ ใหร้ าชการแผ่นดินในส่วนท่ีตนรบั ผิดชอบเกดิ ประโยชน์สูงสุดแก่สังคม ดังน้ัน การใช้อานาจ เพื่อให้หน้าท่ีที่ตนรับผิดชอบลุล่วง ข้าราชการพลเรือนท้ังปวงจึงต้องมีคุณธรรมซ่ึงเป็นการอัน พึงทาเพราะนาประโยชน์ให้เกิดแก่ส่วนรวมและตนเอง และศีลธรรมซึ่งเป็นการอันพึงเว้น เพราะเป็นโทษแก่ส่วนรวมและตนเอง ประกอบกันขึ้นเป็นจริยธรรมข้าราชการพลเรือน อันเปน็ ความประพฤติทด่ี งี ามสมกบั ความเปน็ ข้าราชการ อนึ่ง มาตรา ๒๘๐ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอานาจหน้าที่เสนอแนะหรือให้คาแนะนา ในการจัดทาหรือปรับปรุงประมวลจริยธรรมตามมาตรา ๒๗๙ และส่งเสริมให้ผู้ดารงตาแหน่ง ทางการเมืองข้าราชการและเจ้าหน้าท่ีของรัฐมีจิตสานึกในด้านจริยธรรม รวมท้ังมีหน้าที่ รายงานการกระทาที่มีการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมเพื่อให้ผู้ท่ีรับผิดชอบในการบังคับการ ให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรม ดาเนินการบังคับให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรม ตามมาตรา ๒๗๙ ดังนั้น บุคคลผู้ดารงตาแหน่งข้าราชการพลเรือนทุกตาแหน่งจึงมีหน้าท่ีดาเนินการ ให้เป็นไปตามกฎหมายเพ่ือรักษาประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ มีความเป็นกลางทางการ เมืองอานวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลโดยจะต้องยึดม่ัน ในค่านยิ มหลักของมาตรฐานจรยิ ธรรมสาหรับผูด้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื งและเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ๙ ประการของสานักงานผ้ตู รวจการแผ่นดิน ดงั น้ี (๑) การยดึ ม่ันในคณุ ธรรมและจริยธรรม (๒) การมีจติ สานึกท่ดี ี ซอ่ื สตั ย์ สุจรติ และรับผดิ ชอบ (๓) การยดึ ถอื ประโยชน์ของประเทศชาตเิ หนอื กวา่ ประโยชนส์ ว่ นตน และไม่มผี ลประโยชน์ทับซอ้ น (๔) การยืนหยดั ทาในส่ิงท่ีถกู ตอ้ ง เปน็ ธรรม และถกู กฎหมาย
(๕) การให้บรกิ ารแกป่ ระชาชนดว้ ยความรวดเร็ว มีอัธยาศัย และไมเ่ ลอื กปฏบิ ตั ิ (๖) การใหข้ ้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถกู ตอ้ ง และไมบ่ ดิ เบือนข้อเท็จจริง (๗) การมงุ่ ผลสมั ฤทธ์ิของงาน รักษามาตรฐาน มคี ณุ ภาพ โปรง่ ใส และตรวจสอบได้ (๘) การยึดมัน่ ในระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมขุ (๙) การยดึ ม่ันในหลักจรรยาวชิ าชพี ขององค์กร เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๒๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบค่านิยมหลักสาหรับผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ ของรัฐอันผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้คาแนะนาให้หน่วยงานท้ังหลายถือปฏิบัติ ก.พ. โดยความ เห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจึงกาหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นเป็นประมวลจริยธ รรม ข้าราชการพลเรือน เพื่อให้ข้าราชการท้ังหลายเกิดสานึกลึกซ้ึงและเที่ยงธรรมในหน้าที่ผดุงเกียรติ แ ล ะ ศั ก ด์ิ ศ รี ข้ า ร า ช ก า ร ค ว ร แ ก่ ค ว า ม ไ ว้ ว า ง ใ จ แ ล ะ เ ช่ื อ ม่ั น ข อ ง ป ว ง ช น แ ล ะ ด า ร ง ต น ตั้งมั่นเป็นแบบอย่างที่ดีงามสมกับความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผทู้ รงเปน็ ตวั อย่างแหง่ ธรรมจรรยาอนั สูงสดุ เพอ่ื ใช้บังคับเป็นมาตรฐานกลางไว้ ประมวลจรยิ ธรรม ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๗๖ กาหนดให้รัฐพึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่น ให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี โดยหน่วยงานของรฐั ตอ้ งร่วมมือและชว่ ยเหลอื กันในการปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ี เพื่อให้การบริหารราชการ แผ่นดิน การจัดทาบริการสาธารณะและการใช้จ่ายเงินงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด เพ่ือประโยชนส์ ขุ ของประชาชน รวมตลอดทั้งพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิดความสะดวก รวดเร็วไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมปี ระสิทธภิ าพ รัฐพึงดาเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม โดยกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ผู้ใด ใช้อานาจ หรือกระทาการโดยมิชอบที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าท่ี หรือกระบวนการแตง่ ตั้งหรือการพิจารณาความดคี วามชอบของเจ้าหน้าท่ีของรฐั รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการ กาหนดประมวลจรยิ ธรรมสาหรับเจ้าหน้าท่ีของรัฐในหน่วยงานน้ันๆ ซึ่งต้องไม่ต่ากว่ามาตรฐาน ทางจรยิ ธรรมดงั กล่าว และมาตรา ๒๕๘ กาหนดให้มีการปรับปรุงและพัฒนาการบริหารงานบุคคลภาครัฐ เพ่ือจงู ใจให้ผมู้ คี วามรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเข้ามาทางานในหน่วยงานของรัฐ และสามารถ
เจริญก้าวหน้าได้ตามความสามารถและผลสัมฤทธิ์ของงานของแต่ละบุคคล มีความซ่ือสัตย์ สุจริต กล้าตัดสินใจและกระทาในสิ่งที่ถูกต้องโดยคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ ส่วนตัว มีความคิดสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อให้ก ารปฏิบัติราชการ และการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาตรการคุ้มครองป้องกัน บุคลากรภาครัฐจากการใช้อานาจโดยไม่เป็นธรรมของผู้บังคับบัญชา โดยสานักงาน ก.พ. ได้รับมอบหมายให้ดาเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทามาตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรม ของหน่วยงานของรัฐ มาตรา ๗๖ วรรคสาม และมาตรา ๒๕๘ ข. (๔) ร่วมกับองค์กรกลาง บริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ ซ่ึงปัจจุบันได้มีการประกาศใช้มาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวแล้ว คือ พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เม่อื วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ มีผลใช้บงั คับต้งั แต่วนั ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๒ เป็นตน้ ไป พระราชบัญญัตมิ าตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ พรบ.มาตรฐานจรยิ ธรรม 2562 มาตรฐานทางจริยธรรม คือ หลักเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของเจ้าหน้าที่ ของรฐั ซ่งึ ต้องประกอบดว้ ย (๑) ยดึ ม่ันในสถาบนั หลักของประเทศ อนั ได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมขุ (๒) ซ่อื สตั ย์สุจริต มีจิตสานกึ ทีด่ ี และรับผดิ ชอบต่อหน้าที่ (๓) กล้าตดั สนิ ใจและกระทาในสิง่ ทีถ่ ูกตอ้ งชอบธรรม (๔) คดิ ถึงประโยชนส์ ่วนรวมมากกวา่ ประโยชน์สว่ นตวั และมีจิตสาธารณะ (๕) มุ่งผลสัมฤทธขิ์ องงาน (๖) ปฏบิ ัตหิ น้าทีอ่ ย่างเปน็ ธรรมและไม่เลอื กปฏิบตั ิ (๗) ดารงตนเปน็ แบบอย่างทดี่ แี ละรักษาภาพลกั ษณ์ของทางราชการ มาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าว ให้ใช้เป็นหลักในการจัดทาประมวลจริยธรรม ของหน่วยงานของรัฐ โดยองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐ มีหน้าท่ี ในการจัดทาประมวลจริยธรรมสาหรับเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบ กรณีขา้ ราชการพลเรอื น องคก์ รกลางบริหารงานบุคคล ไดแ้ ก่ คณะกรรมการข้าราชการ พลเรอื น (ก.พ.) บทเฉพาะกาล กาหนดให้ประมวลจริยธรรมท่ีมีผลใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ (ประมวลจริยธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๙) ให้คงมีผลใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ จนกวา่ จะมีการกาหนดประมวลจรยิ ธรรมตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี .................................
ประโยชน์ทับซอ้ น ประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interests )หรอื ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม การกระทาทอีอยู่ใน่่ายลลประโยชน์ทบั ซ้อนและตัวอย่างพฤติกรรม ๑. รับลลประโยชน์ (Accepting Benefits) คือ การรับสินบนหรือรับ ของขวัญ เช่น เป็นเจ้าพนักงานสรรพากรแล้วรับเงินจากผู้มาเสียภาษี หรอื เปน็ เจ้าหนา้ ท่ีจดั ซ้อื แล้วไปรบั ไมก้ อลฟ์ จากร้านคา้ เปน็ ต้น ๒. ใช้อิทธิพล (Influence Peddling) เป็นการเรียกผลตอบแทนในการ ใช้อิทธิพลในตาแหน่งหน้าที่เพื่อส่งผลที่เป็นคุณแก่ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง อยา่ งไมเ่ ป็นธรรม ๓. ใช้ทรพั ย์สิน่องนายจ้างเพอือประโยชน์ส่วนตน ( Using employer’s property for private advantage) เช่น การใช้รถราชการ หรือใช้คอมพิวเตอร์ ของราชการทางานสว่ นตัว เป็นตน้ ๔. ใช้่้อมูลลับ่องราชการ (Using confidential information) เช่น รู้ว่า ราชการจะตัดถนน แล้วรบี ชงิ ไปซอ้ื ทดี่ ักหนา้ ไวก้ อ่ น ๕. รับงานนอก (Outside employment or moonlighting) เช่น การเปิดบริษัท หาผลประโยชน์ซ้อนบริษัทท่ีตนเองทางาน เช่น นักบัญชีท่ีรับงานส่วนตัว จนไมม่ ีเวลาทางานบัญชใี นหน้าทีใ่ ห้ราชการ ๖. ทางานหลังออกจากตาแหน่ง (Post Employment) เป็นการไปทางาน ให้ผู้อื่นหลังออกจากงานเดิมโดยใช้ความรู้หรืออิทธิพลท่ีเดิมมาเอา ประโยชน์โดยไม่ชอบธรรม เช่น เอาความรู้ในเร่ืองนโยบายและแผน ของธนาคารชาติไปชว่ ยธนาคารเอกชนหลงั เกษยี ณ
การ่ัดกันระหว่างประโยชนส์ ว่ นบุคคลและประโยชนส์ ว่ นรวม (มาตรา ๑๒๖) ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศกาหนด ดาเนินกิจการ ดงั ต่อไปน้ี (๑) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทากับหน่วยงานของรัฐท่ีเจ้าพนักงาน ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะท่ีเป็นเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งมีอานาจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการกากบั ดูแลควบคุมตรวจสอบหรอื ดาเนนิ คดี (๒) เปน็ หุ้นสว่ น หรอื ผู้ถอื หุน้ ในหา้ งหนุ้ ส่วน หรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงาน ของรัฐที่เจ้าพนักงานของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะท่ีเป็นเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งมีอานาจ ไมว่ ่าโดยตรงหรือโดยออ้ มในการกากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดาเนินคดี เว้นแต่ จะเป็น ผู้ถือห้นุ ในบริษัทจากัดหรอื บรษิ ทั มหาชนจากดั ไม่เกนิ จานวนท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด (๓) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซ่ึงสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถ่ิน หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถ่ิน อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทท่ีรับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐซ่ึงมีอานาจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการกากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดาเนินคดี เว้นแต่จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจากัดหรือบริษัทมหาชนจากัด ไมเ่ กินจานวนท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด (๔) เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงาน หรือลูกจ้าง ในธุรกิจของเอกชนซ่ึงอยู่ภายใต้การกากับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐ ท่ีเจ้าพนกั งานของรัฐผู้น้ันสังกัดอยู่ หรือปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งโดยสภาพ ของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนน้ันอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ ทางราชการ หรือกระทบตอ่ ความมอี สิ ระในการปฏิบตั ิหน้าทขี่ องเจ้าพนักงานของรฐั ผู้น้นั ทั้งนี้ ให้รวมถึงคู่สมรส (ที่จดทะเบียนสมรสหรือผู้ซ่ึงอยู่กันฉันสามีภรรยาโดยมิได้ จดทะเบียนสมรส) ของเจ้าพนักงานของรัฐด้วย โดยให้ถือว่าการดาเนินการของคู่สมรส เปน็ การดาเนินกิจการของเจ้าพนักงานของรัฐ เว้นแต่ เป็นกรณีท่ีคู่สมรสน้ันดาเนินการอยู่ก่อน ทเ่ี จา้ พนักงานของรัฐจะเข้าดารงตาแหนง่
การรับทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อนอื ใด่องเจา้ หน้าทอ่ี องรัฐ (มาตรา ๑๒๘) ห้าม มิ ให้ เจ้ า พ นั ก งาน ข อง รัฐผู้ใด รับทรัพ ย์สิน ห รือป ระ โยช น์ อื่น ใด อัน อ าจค าน วณ เป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือ ข้อบังคับท่ีออกโดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่ การรับทรัพย์สิน หรอื ประโยชน์อน่ื ใดโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑแ์ ละจานวนทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดจากบุพการี ผสู้ บื สนั ดาน หรอื ญาตทิ ใี่ ห้ตามประเพณี หรอื ตามธรรมจรรยาตามฐานานุรูป บทบัญญัติในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ซ่ึงพ้น จากการเปน็ เจา้ พนักงานของรฐั มาแล้วยงั ไม่ถงึ สองปีด้วยโดยอนโุ ลม องค์ประกอบ ๑. เจา้ พนกั งานของรฐั ๒. ห้ามรับทรพั ยส์ ินหรือประโยชนอ์ นื่ ใดอนั อาจคานวณเป็นเงินได้ ๓. จากบคุ คล ๔. นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศยั อานาจตามบทบัญญตั ิแห่งกฎหมาย ๕. เว้นแต่ การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจานวน ท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด ๖. ให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ซึ่งพ้นจากการเป็น เจ้าพนกั งานของรัฐมาแลว้ ยังไม่ถงึ สองปีด้วย เจ้าพนักงาน่องรฐั (มาตรา ๔) ได้แก่ ๑. เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐ ๒. ผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง ๓. ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญ ๔. ผูด้ ารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ ๕. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประโยชน์อือนใด ประโยชน์อื่นใด หมายถึง ส่ิงที่มีมูลค่า ได้แก่ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับ การบรกิ าร การรบั ฝึกอบรม หรือสิง่ อนื่ ใดในลักษณะเดียวกัน บคุ คล บคุ คลธรรมดา (มนุษย์) นติ บิ ุคคล (บรษิ ัท หา้ งหนุ้ ส่วนจากัด สมาคม ฯลฯ)
ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมายหรือกฎ่้อบังคับทอีออกโดยอาศัย อานาจตามบทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมาย เงินเดือน เงินประจาตาแหน่งตาม พ.ร.บ. เงินเดือนหรือเงินประจาตาแหน่ง ค่าจ้าง ตามระเบยี บที่เกย่ี วกับค่าจา้ ง เบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าท่ีพัก ค่าพาหนะตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปราชการหรอื ตามระเบยี บขององค์กรอสิ ระตามรัฐธรรมนญู ค่าท่ีพัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าสัมมนาคณะวิทยากร ตามระเบียบกระทรวง การคลังวา่ ด้วยคา่ ใช้จ่ายในการฝึกอบรมการจัดงานและการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕ การรบั ทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชน์อืนอ ใดโดยธรรมจรรยา หมายความว่า การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดจากญาติหรือจากบุคคลท่ีให้กัน ในโอกาสต่าง ๆ โดยปกติตามขนบธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมหรือให้กันตามมารยาท ทปี่ ฏบิ ัตกิ ันในสงั คม หลักเกณฑแ์ ละจานวนทคอี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด ๑. รับจากญาติซงึ่ ให้โดยเสน่หาตามจานวนท่เี หมาะสมตามฐานานุรูป ๒. รับจากบุคคลอื่นซ่ึงมิใช่ญาติ มีราคาหรือมูลค่าในการรับจากแต่ละบุคคลแต่ละโอกาส ไม่เกินสามพนั บาท ๓. รบั ทรัพยส์ นิ หรือประโยชน์อ่นื ใดทีก่ ารให้นั้นเป็นการให้ในลักษณะใหก้ ับบุคคลทั่วไป การรับทรัพยส์ นิ หรอื ประโยชน์ออนื ใดทไอี ม่เ่้า่อ้ ยกเวน้ มีความจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องรับไว้ ต้องรับเพ่ือรักษาไมตรีมิตรภาพหรือความสัมพันธ์ อันดีระหวา่ งบคุ คล วิธกี าร ๑. ต้องแจง้ รายละเอยี ดขอ้ เทจ็ จรงิ เกย่ี วกับทรัพย์สินหรือประโยชน์น้ันต่อผู้บังคับบัญชา ซ่ึงเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้นั้นสังกัด โดยทันทที ส่ี ามารถกระทาได้ ๒. ผบู้ ังคับบญั ชาวินิจฉยั วา่ มีเหตุผลความจาเปน็ ความเหมาะสม และสมควรท่จี ะรับไว้หรือไม่ รบั ได้ สามารถรับทรัพย์สินหรอื ประโยชน์น้ันไวเ้ ป็นสิทธิของตนได้ รับไม่ได้ ให้คืนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นแก่ผู้ให้โดยทันที กรณีไม่สามารถ คืนให้ได้ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นส่งมอบทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นให้เป็น สทิ ธิของหน่วยงานที่สังกัดโดยเรว็ บทกาหนดโทษ ผฝู้ า่ ฝืนต้องระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กนิ ๓ ปี หรือปรับไม่เกนิ ๖๐,๐๐๐ บาท หรือทัง้ จาทงั้ ปรบั
การรบั ลลประโยชน์ (Accepting Benefits) ได้แก่ การรบั ของขวัญหรอื ของกานัลท่ีมคี า่ อื่น ๆ ซ่ึงสง่ ผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ การที่บริษัทสนับสนุนการเดินทางไปประชุม/ดูงานในต่างประเทศ ของผู้บริหาร และอาจรวมถงึ ครอบครัว การทห่ี น่วยงานราชการรับเงนิ บริจาคสร้างสานกั งานจากบริษทั ธุรกิจทต่ี ิดตอ่ กับ หน่วยงาน เจา้ หน้าท่ขี องรัฐรบั ของแถมหรอื ผลประโยชน์ในการปฏบิ ัตงิ านท่ีเกี่ยวกบั การจัดซอื้ จัดจา้ ง การที่บุคคลปฏิบัติหน้าท่ีเอาผลประโยชน์ส่วนตัวไปพัวพันในการตัดสินใจ เพื่อเอื้อ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและเป็นการเสยี ประโยชน์ของทางการ ประโยชน์อนั คานวณเปน็ เงนิ ได้ การปลดหนหี้ รอื การลดหนี้ใหเ้ ปล่า การใหย้ ืมโดยไมค่ ิดดอกเบ้ยี การเขา้ ค้าประกนั โดยไมค่ ิดค่าธรรมเนียม การใหค้ า่ นายหนา้ หรือค่าธรรมเนียมการเป็นตัวแทน การขาย การให้เชอื่ ซื้อทรพั ย์สิน เกินมูลคา่ ทีเ่ ป็นจริงตามทป่ี รากฏเหน็ ในทอ้ งตลาด การใช้สถานท่ี ยานพาหนะ หรือทรัพย์สิน โดยไม่คิดค่าเช่าหรือค่าบริการน้อยกว่า ท่ีคิดกับบคุ ลอน่ื โดยปกตทิ างการค้า การให้ใช้บริการโดยไมค่ ดิ ค่าบรกิ าร หรอื คดิ ค่าใช้บริการนอ้ ยกว่าที่คิดกับบุคคลอ่นื โดยปกติทางการค้า การใหส้ ่วนลดในสนิ ค้า หรือทรพั ยส์ ินที่จาหน่าย โดยการให้ส่วนลดมากกว่าที่ใหก้ ับ บุคคลอ่ืน โดยปกติทางการคา้ การให้เดินทาง หรือขนสง่ บุคคล หรือส่ิงของโดยไมค่ ิดค่าใช้จ่าย หรือคิดค่าใช้จา่ ย นอ้ ยกว่าบุคคลอน่ื โดยปกติทางการคา้ การจัดเล้ยี ง การจดั มหรสพ หรือการบนั เทงิ อื่น ให้โดยไมค่ ดิ คา่ ใช้จ่าย หรอื คิดค่าใชจ้ ่าย น้อยกว่าทค่ี ดิ กับบุคคลอนื่ โดยปกติทางการค้า
่้าราชการประจา...กจิ กรรมทมีอ คี วามเสีอยง !!! การนาเครอ่ื งใชส้ านกั งานไปใช้ทบ่ี ้าน (เพ่อื งานสว่ นตวั ) การใชโ้ ทรศพั ท์ของทางราชการเพ่อื ธรุ กิจส่วนตวั การนารถราชการไปใช้ในกจิ ธรุ ะส่วนตัวและในหลายกรณมี กี ารเบกิ คา่ น้ามันด้วย การนาบุคลากรของหนว่ ยงานไปใช้เพือ่ การส่วนตัว การรับผลประโยชน์หรือการเรยี กรอ้ งสง่ิ ตอบแทนจากการปฏิบัติงานในหน้าที่ ความรับผดิ ชอบ การรับงานนอกหรือการทาธุรกิจที่เบียดบังเวลาราชการ/งานโดยรวมของหนว่ ยงาน การทางานหลงั เกษียณให้กับหน่วยงานทีม่ ีผลประโยชนข์ ดั กบั หน่วยงานต้นสังกัดเดิม การรับงานจากภายนอกจนกระทบตอ่ การปฏิบตั ิหน้าท่ปี ระจา การรับประโยชน์จากระบบการล็อกบัตรคิวให้แก่เจ้าหน้าที่หรือญาติเจ้าหน้าท่ี ในหนว่ ยงาน การใช้สิทธิในการเบิกจ่ายยาให้แก่ญาติแล้วนายาไปใช้ท่ีคลินิกส่วนตัว กรณตี ัวอยา่ งลลประโยชนท์ ับซ้อน การใช้รถยนตร์ าชการ ปี ๒๕๕๑ ข้าราชการหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งไปรับตาแหน่งที่จังหวัดเพชรบูรณ์ พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักในจังหวัดเพชรบูรณ์ อยู่ห่างจากสานักงานซ่ึงเป็นท่ีปฏิบัติงานประมาณ ๑ กิโลเมตร ระหว่างที่ข้าราชการคนดังกล่าวไปรับตาแหน่งได้ให้พนักงานขับรถยนต์ ของสานักงานขับรถยนต์ส่วนกลางของสานักงานไปรับที่บ้านพักมายังท่ีทางานตอนเช้า และขับรถจากท่ีทางานไปส่งยังท่ีพักในตอนเย็น ในช่วงวันจันทร์ถึงวันศุกร์เป็นประจา กระท่ัง ต่อมาปี ๒๕๕๔ มีพนักงานขับรถยนต์ของสานักงาน ๒ คน ได้ใช้รถยนต์ส่วนกลาง ของสานักงาน รบั ส่งข้าราชการคนนั้นในชว่ งวนั ทางานทุกวัน โดยหมุนเวียนเปลี่ยนกันทาหน้าที่ คนละ ๑ สัปดาห์ นอกจากนี้ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ บางวันได้รับคาสั่งให้ขับรถยนต์ส่วนกลาง ของสานักงานพาไปทาธุระส่วนตัว การกระทาของข้าราชการหน่วยงานของรัฐน้ัน ซึ่งเป็น เจ้าพนักงานมีหน้าท่ีจัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ของสานักงาน ถือเป็นการใช้อานาจ ในตาแหน่งโดยทุจริตอันเสียหายแก่รัฐ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่ทางราชการ หรือผ้หู นง่ึ ผู้ใดและเปน็ การปฏิบตั ิหน้าทโ่ี ดยทุจริต ต่อมามีผู้ร้องเรียนไปยังสานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จึงได้ส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวต่อไปยังสานักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และสานักงาน ป.ป.ช. ส่งสานวนให้พนักงาน สอบสวนดาเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และมาตรา ๘๙/๒
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔ กระท่ังปี ๒๕๖๐ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อ กล่าวหาแก่จาเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ และ มาตรา ๑๕๗ จาเลยให้การปฏเิ สธ ปี ๒๕๖๑ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ๖ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทาของข้าราชการหน่วยงานของรัฐนั้น เป็นการใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่สานักงานอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๑ จริง จึงพิพากษาให้ลงโทษจาคุก ๕ ปี (คดีหมายเลขดาที่ อท.๑๒/๒๕๖๑ คดีหมายเลขแดงท่ี อท.๓๓/๒๕๖๑) คาพพิ ากษา อีกท้ังผู้บังคับบัญชาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ขณะนี้อยู่ระหว่าง ดาเนนิ การ ซ่งึ หากมคี วามผิดวนิ ัยรา้ ยแรงจริงกจ็ ะมโี ทษ ๒ อยา่ ง คอื ไล่ออก หรือปลดออก อน่ึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีข้อสังเกตซึ่งสืบเน่ืองมาจากทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเร่ืองร้องเรียนว่า มีข้าราชการบางหน่วยงาน ซ่ึงไม่ได้ไปดารงตาแหน่งท่ีทางราชการ จัดรถประจาตาแหน่งไว้ให้ ได้นารถยนต์ส่วนกลางไปใช้เสมือนเป็นรถประจาตาแหน่ง และมีการเบิกค่าน้ามันเช้ือเพลิงจากทางราชการ ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีการสั่งการ แจ้งไปท่ี สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรีให้มีการควบคุมและตรวจสอบข้อเท็จจริง ซ่ึงถ้าตรวจสอบพบว่า ผู้ใดมีการกระทาอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จะถือว่า เป็นการทาผิด ทางวินัยอย่างร้ายแรง มโี ทษไล่ออกหรอื ปลดออกจากตาแหน่งทันที วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๒ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า มติ ครม.เห็นชอบดาเนินการตามนั้น และถือว่า เป็นความผิดร้ายแรงในการ เอารถราชการท่ตี ัวเองไม่มสี ิทธ์ิใช้ไปใชส้ ่วนตัว จะต้องถกู ลงโทษสถานหนัก คือ ไลอ่ อก ปลดออก แนวทางปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาผลประโยชนท์ บั ซอ้ น การเคลื่อนย้ายผลประโยชน์ส่วนตัวที่ทับซ้อนอยู่ให้ออกไป เพื่อให้ตนเองสามารถ ปฏิบัติภารกิจได้โดยปราศจากอคติวิธีการดังกล่าวนี้เป็นการปิดช่องทางมิให้เอ้ืออานวยต่อการ เกดิ ปญั หาผลประโยชน์ทับซอ้ นจงึ เปน็ วธิ ที ีด่ ที ่ีสดุ วธิ ีหน่งึ ในการจัดการกบั ผลประโยชน์ทบั ซ้อน
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง เศรษฐกิจพอเพยี ง ประกอบดว้ ย ๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียน ตนเองและผอู้ ่นื เช่น การผลิตและการบริโภคท่ีอยใู่ นระดบั พอประมาณ ๒. ความมีเหตุลล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกับระดับความพอเพียงน้ัน จะต้องเป็นไป อย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนคา นึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากการกระทานัน้ ๆ อยา่ งรอบคอบ ๓. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปล่ียนแปลงด้านต่าง ๆ ท่ีจะเกดิ ขึ้น โดยคานึงถงึ ความเปน็ ไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ท่ีคาดวา่ จะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต เงอือนไ่่องการตัดสินใจและดาเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงมี ๒ ประการ ดังน้ี ๑. เงอือนไ่ความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เก่ียวข้องรอบด้าน ความรอบคอบท่ีจะนาความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้เช่ือมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในการปฏบิ ัติ ๒. เงืออนไ่คุณธรรม ท่ีจะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความ ซื่อสัตย์ สุจริต และมคี วามอดทน มีความเพียร ใช้สตปิ ัญญาในการดาเนินชีวิต
หลกั ธรรมาภิบาล หลกั ธรรมาภบิ าล หรอื การบรหิ ารกจิ การบา้ นเมืองทีอดี ซงึ่ เรารจู้ กั กันในนาม “Good Governance” เป็นหลักการอยรู่ ่วมกันในบา้ นเมอื งและสงั คมอยา่ งมคี วามสงบสขุ สามารถประสานประโยชนแ์ ละคลค่ี ลาย ปัญหาข้อขดั แย้งโดยสนั ติวิธแี ละพฒั นาสงั คมให้ยังยนื องค์ประกอบ่องหลักธรรมาภิบาล ๖ ประการ คอื ๑. หลักนิติธรรม (Rule of Law) หมายถึง การตรากฎหมายที่ถูกต้องเป็นธรรม การบังคับการ เป็นไปตามกฎหมาย ปฏิบัติตามกฎกติกาอย่างเคร่งครัด โดยคานึงถึงสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรม ของประชาชน ๒. หลักคุณธรรม (Ethics) หมายถึง การยึดม่ันในความถูกต้องดีงาม สนับสนุนให้ประชาชน ขยนั ซือ่ สตั ย์ ประหยดั อดทน มรี ะเบียบวินยั ประกอบอาชพี ทสี่ ุจริตจนกลายเปน็ นสิ ยั ประจาชาติ ๓. หลักความโปร่งใส (Transparency) หมายถึง ความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ซ่ึงตรงกันข้าม กบั การทุจรติ คอร์รัปชนั และการฉ้อราษฎร์บังหลวง ๔. หลักการมีส่วนร่วม (Participation) หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง การบรหิ าร และการจดั สรรทรพั ยากรของชุมชนเกี่ยวกบั วถิ ชี วี ติ ของชุมชน ๕. หลักความรับผิดชอบ (Accountability) หมายถึง การมีจิตสานึกในหน้าที่ร่วมรับผิดชอบ ต่อสังคม สิทธิและหน้าที่ และปัญหาสาธารณะของบ้านเมือง และเคารพความคิดเห็นท่ีแตกต่างตามหลัก ประชาธปิ ไตย ๖. หลักความคุ้มค่า (Value for Money) หมายถึง การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ อยา่ งจากัด ให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ ผลติ สินคา้ อย่างมีคุณภาพสามารถแขง่ ขนั ได้ในตลาดโลก พัฒนาประเทศ อยา่ งยงั่ ยนื และรักษาทรพั ยากรธรรมชาติ
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: