ครูของแผ่นดินวันอาทติ ย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เวลา ๙.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินนี าถ เสดจ็ โดยเฮลิคอปเตอร์ผ่านท้องที่อำเภอภูเวียงถึงกระดึง แล้วเสด็จลงมาบ้านสีฐานพ.ต.จ. ต่อศักดิ์ ยมนาค ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เข้าเฝ้าทรงเยี่ยมราษฎรแล้วประทับรถยนต์พระที่นั่งไปทรงทอดพระเนตรการเพาะเลย้ี งคร่งั ของกรมป่าไม้ และจากนั้นได้เสด็จที่ว่าการอำเภอวังสะพุง และเสด็จประทับแรมณ ศาลากลางจงั หวดั เลยวนั จนั ทรท์ ี่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เสด็จโดยรถยนต์พระที่น่ังไปทอดพระเนตรกิจการชลประทานน้ำหมานแล้วประทับเครื่องบินกองทัพอากาศเสด็จฯ ถึงสนามบินจังหวัดอุดรธานีขุนบริบาลบรรพตเขตต์ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีเข้าเฝ้า แล้วเสด็จประทับแรมณ ที่พกั ผวู้ ่าราชการภาค ๔ ด้านทศิ เหนือหนองประจกั ษ์ 41
ครูของแผน่ ดินวันอังคารที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่น่งั ไปประทบั ณ ปะรำหน้าศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดกราบทูลพระกรณุ า นำราษฎรเข้าเฝา้ แลว้ เสด็จฯ เย่ยี มกองบังคบั การจงั หวัด ทหารบกอดุ รธานี ค่ายประจักษศ์ ลิ ปาคม กองตำรวจตระเวนชายแดน คา่ ยเสนียร์ ณยุทธวันพุทธท่ี ๙ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เสดจ็ โดยรถยนต์พระที่นัง่ ไปถึงที่วา่ การอำเภอทา่ บอ่จังหวดั หนองคาย นายกำจัด ผาติสุวัณณ์ ผู้ว่าราชการจังหวดั หนองคาย เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อนำราษฎรเฝ้าฯ แล้วเสด็จฯ ลงประทับเรือยนต์คริสคราฟท์ของกองกำกับการตำรวจนั่งท่ี ๖ ล่องตามลำน้ำโขงถึงจังหวัดหนองคาย ให้ราษฎรเฝ้าแล้ว เสด็จโดยรถยนต์พระทนี่ ่งั กลบั จังหวดั อดุ รธานี 42
ครขู องแผน่ ดนิ วนั ศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจกิ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๘ เสดจ็ โดยรถยนตพ์ ระทน่ี ง่ั ไปประทบั หนา้ ทว่ี า่ การอำเภอ หนองหาร เพอื่ ให้ราษฎรไดเ้ ฝา้ เสด็จไปอำเภอสว่างแดนดนิ นายพนั ตำรวจเอกเนอ่ื ง รายะนาค ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั สกลนคร เข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลนำราษฏรเฝ้าฯ เสด็จอำเภอพรรณานิคม เสดจ็ ถึงท่ที ำการประมงหนองหาร จงั หวัดสกลนครซึ่งจัดถวาย เป็นที่ประทับแรม เสด็จฯ หน้ามุขศาลากลางจังหวัดให้ ราษฎรเขา้ เฝ้า ประพาสบริเวณเมอื ง วัดพระธาตุเชิงชมุ วนั เสารท์ ่ี ๑๒ พฤศจกิ ายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ เสด็จโดยรถยนต์พระท่ีน่ังไปจังหวัดนครพนมเยี่ยม ค่ายทหาร ร.๑๓ พัน ๑ บ้านภูเขาทองถึงจังหวัดนครพนม นายฉลอง ระมิตานนท์ ผู้ว่าราชการจงั หวดั นครพนม เฝ้าทลู ละอองธลุ พี ระบาทเสดจ็ ขน้ึ ประทบั ณ ทพ่ี กั ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นครพนมซง่ึ จดั ถวายเป็นที่ประทับแรม เสด็จประทบั ณ ปะรำ สนามกฬี านครพนม ราษฎรประกอบพธิ บี ายศรี ทลู เกลา้ ฯถวาย ตามประเพณีพื้นเมือง เวลากลางคืน ได้เสด็จลงพลับพลา รับเสด็จริมแม่น้ำโขงเพื่อทอดพระเนตรการลอยกระทง 43
ครูของแผน่ ดิน วันอาทิตย์ท่ี ๑๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่ง ไปยังวัดพระธาตุพนม วรมหาวหิ าร เพอ่ื ทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ล และสมโภชองคพ์ ระ มหาธาตุแล้ว เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่มารอเฝ้า รบั เสดจ็ ฯ อยา่ งเนอ่ื งแนน่ แลว้ เสดจ็ ฯ กลบั ในเวลา ๑๖.๐๐ น. ไดเ้ สดจ็ ลงพลบั พลารมิ แมน่ ำ้ โขงเพอ่ื ทอดพระเนตรการแขง่ เรือ พายและการแห่ปราสาทผึง้ ทางเรอื วันจนั ทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เสด็จฯ โดยรถยนต์พระทนี่ ัง่ จากจงั หวดั นครพนมไป ยังจังหวัดสกลนคร หยดุ ประทบั ณ ท่ีทำการประมงหนองหาร จงั หวดั สกลนคร แลว้ เสดจ็ ตอ่ ไปจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ โดยพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขับรถยนต์พระท่ีน่ังด้วยพระองค์เอง ขบวนรถยนตพ์ ระทน่ี ง่ั ผา่ นเทอื กเขาภพู านถนนบางชว่ งวกเวยี น บางชว่ งหกั งอเป็นข้อศอก และทรงหยุดพักที่หลักกิโลเมตร ที่ ๖๓ ซึ่งทางจงั หวดั กาฬสินธุไ์ ด้จดั สร้างพลับพลารับเสด็จฯ ไว้ สามารถมองเห็นภูมิทัศน์ไดโ้ ดยรอบ 44
ครูของแผ่นดิน พระยารามราชภัคดี ปลัดกระทรวงมหาดไทยเฝ้าทูลละอองชุลีพระบาท เบิกนายเชวง ไชยสุตผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบงั คมทลู เชญิ เสดจ็ ฯ เพื่อเสวยพระกระยาหารกลางวันและขอพระบรมราชานุญาต นำการแสดงชุด เขมรเอวบาง “ ราษฎรจังหวัดกาฬสนิ ธสุ์ ว่ นใหญม่ ฐี านนะยากจนโดยนักเรียนหญิงเล็กๆ จากอำเภอสหัสขันธ์แสดงถวาย ฝนแล้วทำนาไม่ได้ผล ๒ ปีหลังจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดกราบบังคมทูลพระกรุณาข อ พ ร ะ ร า ช ท า น น า ม บ ริ เว ณ ที่ ป ร ะ ทั บ เ ส ว ย พ ร ะ ทุกคนปลม้ื ปติ ทิ ่ีไดเ้ หน็ ท้งั สองพระองค์กระยาหารนี้ว่า “ผาเสวย” ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทอดพระบาทลงที่จังหวดั น้ีพระราชทานตามที่ขอ ต่อมาบริเวณดังกล่าวได้จัดสร้างเป็นสวนสาธารณะให้เป็นท่ีพักผ่อนของผู้เดินทาง ถือเป็นศุภมหามงคลอันประเสริฐ และขอถวายพระพรชยั ใหท้ รงพระเกษมสำราญมี พระชนมายยุ ่งิ ยนื นาน ” เมื่อรถพระที่นั่ง ลงจากเขาภูพานแล้ว ก็หยุด บรเิ วณสแ่ี ยกระหวา่ งอำเภอสหสั ขันธ์ กบั อำเภอกุฉนิ ารายณ์เพื่อทรงเยี่ยมราษฎร จึงทรงแนะนำให้ทำสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ประกอบกับการทำนาด้วย ยังความปลื้มปิติแก่ราษฎรเป็นอยา่ งยิ่ง ขบวนรถพระทนี่ ่ังถึงศาลากลางจงั หวดักาฬสนิ ธ์ุ แลว้ เสดจ็ ขน้ึ ไปประทบั ยังหน้ามขุ นายเชวง ไชยสตุผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบงั คมทลู ถวายรายงานความตอนหนึง่ ว่า 45
ครูของแผน่ ดนิ จากนั้นได้เสด็จฯ ลงเยี่ยมราษฎรและทรงรับของที่ “ ขอบใจผมู้ ีส่วนเกย่ี วข้องในการรบั เสดจ็ราษฎรนำทลู เกล้าฯ ถวายเปน็ จำนวนมาก พระบาทสมเดจ็ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ราษฎร ทม่ี ากนั อย่างเนอื งแน่นพระเจา้ อยหู่ ัว ได้พระราชทานเหรียญรตั นาภรณแ์ กน่ ายเชวงไชยสตุ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นายฉลอง สตู รสวุ รรณ ปลดั จงั หวดั ขอให้ขยันหมน่ั เพียรในการประกอบอาชีพนายเลิศ จุฬารนั ต์ อยั การจังหวัด น.พ.ประสงค ์ เศวตศวิ า เพือ่ ความสมบูรณพ์ ูนสขุ ของตนเอง ”ผอ.โรงพยาบาล.กาฬสนิ ธ์ุ ร.ต.ต.เอิน สโรพล นายอำเภอเมือง นายพภิ พ สทิ ธทิ ลู นายอำเภอกฉุ นิ ารายณ ์ นายสพุ นั ธ ์ เวชวฒั น์ กระแสพระราชดำรสั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวนายอำเภอสหสั ขนั ธ ์ พ.ต.ท.อานนั ท ์ บรู ณะวทิ ย ์ ผ.ก.ก. กาฬสนิ ธ์ุ ทรงพระราชทานแก่ราษฎรที่มารับเสด็จและนายนพ เปล่อื งอนชุ วานิช อนามยั จงั หวัดกาฬสินธ์ุ เมอ่ื ขบวนรถพระทน่ี ง่ั ออกจากจงั หวดั กาฬสนิ ธท์ุ รงแวะเยย่ี มราษฎรท่อี ำเภอยางตลาด แลว้ เสดจ็ พระราชดำเนนิ ตอ่ ไปยังจังหวดั มหาสารคามเวลา ๒๐.๐๐ น. ขบวนรถพระท่ีนั่งถึงจวนผวู้ า่ ราชการจังหวดั มหาสารคาม ซ่ึงได้จดั ข้นึ ใหม่อยา่ งสวยงาม และทางราชการจัดถวายให้เป็นที่ประทับแรมหลวงอนมุ ัตริ าชกจิ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามเฝ้าทูลละอองธลุ ีพระบาทกราบบงั คมทลู เชญิ เสด็จฯ ข้นึ ยงั ท่ปี ระทบัแรมและทรงเสวยพระกระยาหารค่ำ ณ จวนท่ีประทบั46
ครูของแผน่ ดนิ วันองั คารท่ี ๑๕ พฤศจิกายน พทุ ธศักราช ๒๔๙๘ ทรงเยย่ี มราษฎร ณ ทป่ี ระทบั ศาลากลางจงั หวดั ประมาณ ๒ ชั่วโมง ก็ทรงเสด็จต่อไปเย่ียมราษฎรต่อที่จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด ขบวนรถพระที่นั่งถึงบริเวณศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด เวลา ๑๓.๐๐ น. ขนุ อกั ษรสารสทิ ธ์ิ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั รอ้ ยเอด็ เฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทและในเวลาเยน็ ทง้ั สองพระองคไ์ ดเ้ สดจ็ เยี่ยมราษฎร วนั ท่ี ๑๖ – ๑๘ พฤศจกิ ายน ๒๔๙๘ เสด็จเยย่ี มราษฎรจังหวดั อุบลราชธานี วนั เสารท์ ี่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ เสด็จประทับรถไฟพระที่น่ังจากสถานีอุบลราชธานี ผ่านสถานกี ันทรารมณ์ สถานศี รีสะเกษ สถานีอุทมุ พรพิไสย สถานศี รขี รภมู ิ สถานสี รุ นิ ทร์ ซง่ึ ทกุ สถานที รงโปรดใหห้ ยดุ เพอ่ื ใหข้ า้ ราชการและประชาชนเขา้ เฝา้ และบางสถานี ทรงลงประทบั รถยนตพ์ ระทน่ี ง่ั เพอ่ื ปฏบิ ตั พิ ระราชภาระกจิ ในวนั นท้ี รงประทบั แรม ณ ศาลากลางจังหวดั สุรนิ ทร์ ซ่ึงพนั ตำรวจเอกนิรนั ดร ชยั นาม เปน็ ผูร้ กั ษาการในตำแหน่งผ้วู า่ ราชการจังหวดั 47
ครขู องแผน่ ดินวันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เสดจ็ ฯ ประทบั รถไฟพระทน่ี ง่ั จากสถานสี รุ นิ ทร์ ถงึ สถานบี รุ รี มั ย์ เสด็จประทับศาลากลางจังหวัดให้พันเอกจำรญู จำรญู รณสิทธิ์ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นำราษฎรเฝา้ ฯ จากนน้ั เสดจ็ จากสถานบี รุ รี มั ยถ์ งึ สถานีลำปลายมาศ สถานที ่าช้าง อำเภอจกั ราช โปรดใหร้ ถไฟหยุด ทุกสถานี เพื่อใหร้ าษฎรไดเ้ ฝา้ รับเสดจ็ ขบวนรถไฟพระที่นั่งถึงสถานีนครราชสีมา เวลา ๑๕.๐๐ น. และเสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยงั สนามบนิ จงั หวดั นครราชสีมา โดยมีนักเรียนและประชาชนมาถวายการต้อนรับและส่งเสด็จเปน็ จำนวนมาก 48
ครูของแผน่ ดนิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เ ส ด็ จ ป ร ะ ทั บ เ ค รื่ อ ง บิ น พ ร ะ ท่ี น่ั งซง่ึ กองทพั อากาศจดั ถวายเมอ่ื เวลา๑๖.๐๐น.ถึงสนามบนิ ดอนเมือง เวลา ๑๗.๐๐ น.เป็นการเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ หลงั จากทไ่ี ดเ้ สดจ็ เยย่ี ม ทกุ ขส์ ขุ ราษฎร ในจังหวดั ภาคอีสานเป็นเวลา ๑๙ วัน 49
ครูของแผน่ ดินพระมหากรณุ าธคิ 5ณุ0 ปกเกลา้ ฯ ชาวมหาสารคาม
ครูของแผน่ ดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชนิ นี าถ เสดจ็ ฯ ไปทรงเยย่ี มราษฎรจงั หวดั มหาสารคามเป็นครง้ั แรก วันที่ ๑๔ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๘ หลงั จากทรงเย่ยี มราษฎรทีจ่ งั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ โดยเสดจ็ พระราชดำเนิน “ จังหวัดนมี้ ีผืนแผ่นดนิ แห้งแลง้ผ่านเส้นทางอำเภอยางตลาด แลว้ เสดจ็ พระราชดำเนินต่อมา ฝนไม่พอทำนามากว่า ๓ ปีแล้วยงั จังหวดั มหาสารคามเวลา ๒๐.๐๐ น. ขบวนรถพระทนี่ ั่งถงึ ราษฎรอตั คดั ขาดแคลน แต่ก็ปลาบปลม้ื ยนิ ดีจวนผวู้ ่าราชการจังหวดั มหาสารคาม ซ่ึงไดจ้ ดั ขนึ้ ใหม่อย่างสวยงามและทางราชการจัดถวายให้เป็นท่ีประทับแรมหลวง ที่ทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินอนมุ ัติราชกจิ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามเฝ้าทูลละออง มาถึง และเป็นนิมิตอันดีที่ฝนได้โปรยปรายมาธุลีพระบาทกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ขึ้นยังที่ประทับแรม ใหไ้ ดร้ บั ความรม่ เยน็ นบั แตว่ นั ทเ่ี สดจ็ พระราชดำเนนิและทรงเสวยพระกระยาหารค่ำ ณ จวนท่ปี ระทบั ออกจากกรุงเทพมหานครมา ได้ทรงพาความ ร่ ม เ ย็ น ม า สู่ ภ า ค อี ส า น โ ด ย เ ฉ พ า ะ จั ง ห วั ด น้ีวนั องั คารท่ี ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ให้ได้รับความร่มเย็นตลอดปี และขอถวาย เวลา ๙.๐๐ น.พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระพรชัยมงคลให้ทรงพระเกษมสำราญพระนางเจา้ พระบรมราชนิ นี าถ เสดจ็ ฯไปยังศาลากลางจังหวัด เจริญพระชนมายยุ ่งิ ยนื นาน ”โดยรถยนตพ์ ระทน่ี ง่ั แลว้ เสดจ็ ขน้ึ ประทบั ยงั หนา้ มขุ ศาลากลางจังหวัดหลวงอนุมัติราชกิจ (อั๋น อนุมัติราชกิจ) ผู้ว่าราชการจังหวดั มหาสารคาม เฝ้าทูลละอองชลุ ีพระบาทกราบบังคบทลูถวายรายงานความตอนหนงึ่ ว่า 51
ครูของแผน่ ดิน“ ขอบใจผู้วา่ ราชการจังหวดั และเจ้าหนา้ ที่ทกุ ฝา่ ย ตลอดจนราษฏรท่ีมาตอ้ นรบั เป็นจำนวนมากและขอให้ราษฏรมคี วามมานะพากเพียรในการประกอบอาชีพเพอ่ื ความเจรญิ ของแต่ละครอบครัว อันจะเปน็ ประโยชนต์ ่อสว่ นรวม และขอใหร้ าชการและราษฎรทัง้ หลาย ......ให้อยู่เยน็ เป็นสุขโดยทั่วกนั .... ” กระแสพระราชดำรัส พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงพระราชทานแกร่ าษฎรท่มี ารบั เสดจ็ 52
ครูของแผ่นดนิ นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจและ จากนั้นได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์แก่หลวงมอิ าจลมื เลอ่ื นไดใ้ นครง้ั นน้ั คอื มชี ายคนหนง่ึ ไมไ่ ดเ้ ตรยี มสง่ิ ของ อนมุ ตั ริ าชกจิ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นายบญุ สง่ ศภุ โตษร ปลดั จงั หวดัเพื่อทูลเกล้าฯถวาย เพราะคงคาดไม่ถึงว่าจะได้หมอบเฝ้า พ.ต.ท.ม.ล.อดลุ ย์ นพวงศ์ ผู้กำกบั การตำรวจภธู ร พ.ต.ต.อุ่นรับเสดจ็ อยู่แทบเบอื้ งพระยุคลบาทด้วยความจงรักภักดี มริ ู้จะ พลสวุ รรณ รองผกู้ ำกบั การฯนายสนั ตสิ งิ ห์ สรรพากกรจงั หวดัแสดงออกประการใด ชายคนนั้นจึงนำปากกาที่ติดตัวมา นายประภาสภวไมย นายชา่ งกำกบั การทาง นายผนิ อม่ิ สวุ รรณทูลเกลา้ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับไว้ นายอำเภอบรบือ นายเฉลมิ บัณฑติ ย์ นายอำเภอกนั ทรวิชัยดว้ ยพระเมตตา นางทองเลย่ี ม เวยี งแกว้ กลา่ วอยา่ งปลม้ื ใจวา่ และหัวหน้าสถานตี ำรวจอำเภอกันทรวชิ ยั‘ฉนั ยงั จำ ภาพนนั้ ได้ด’ี จากน้ัน ไดเ้ สด็จฯลงเย่ียมราษฎรท่มี ารอเฝา้ รับเสด็จฯ ในการพักแรมในจวนผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม อย่างเนืองแน่น โดยทรงไต่ถามความทุกข์สุขของราษฎรย่างพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ ทรงเครง่ ครดั ตอ่ พระรตั นตรยั ทว่ั ถงึ ซ่ึงตอ้ งใช้เวลานานกวา่ ๒ ชวั่ โมง ทีจ่ ังหวดั มหาสารคามมาก เวลาเสด็จออกก็ไปจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย มีผู้มาคอยเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนหลายหมื่นคน เดนิ ทางก่อนเสด็จกลับก็มากราบพระรัตนตรัย เป็นหน้าทขี่ อง กันมาก่อนล่วงหน้าเป็นเวลา ๒ – ๓ วัน บริเวณตลาดและขนุ รตั นแสง ศกึ ษากร จัดธูปเทียนไว้ใหม่ เวลาเสด็จกลับ ในเมืองจึงเต็มไปด้วยผู้คน ที่พักนอนกันเต็มไปหมดทั้งเมืองในหลวงทรงกราบพระรัตนตรัยอีกดังนี้ทุกคร้ังท่ีเสด็จออก เพอื่ จะรอเฝ้ารบั เสดจ็ อย่างใกล้ชิดและเสด็จกลับ พระมหากรณุ าธคิ ณุ ทม่ี ตี อ่ พสกนกิ รชาวจงั หวดั มหาสารคามนับแต่วันน้ันยังคงต่อเน่ืองมาจนถึงปัจจุบันท้ังด้านการศึกษาศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรมและการเกษตรกรรม อนั ยงั ประโยชนส์ ขุแก่ชาวจังหวัดมหาสารคามทงั้ สนิ้ 53
ครขู องแผน่ ดิน 54
ครขู องแผ่นดิน การเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มายังจังหวัดมหาสารคามในวันนน้ี ับวา่ เปน็ คร้ังแรกทท่ี ้งั สองพระองคไ์ ด้เสดจ็ มา และไดม้ รี าษฎรรอรบั เสด็จอย่างเนอื งแนน่ นางทองเลย่ี มเวียงแก้ว อายุ ๘๔ ปี (ขณะน้ีคือ ผู้อาวโุ สเมอื งมหาสารคาม) ซ่งึ ขณะน้นั มีอายุ ๓๐ ปี ไดไ้ ปรับเสดจ็ ทีห่ นา้ ศาลากลางจงั หวัดมหาสารคามเลา่ ว่า “ ไมเ่ คยเห็นคนมหาสารคามมารวมตวั กันมากมายเช่นน้มี ากอ่ น บางคนเดนิ ทางมาล่วงหนา้ ๒ -๓ วัน มาค้างคนื ตามบา้ นญาตพิ นี่ อ้ งตามศาลาวัดเต็มเมอื ง ไปหมด เมือ่ เสด็จมาถึง ชาวบ้านได้ทูลเกล้าฯ เชน่ กล้วย อ้อย ดอกไม้ ปากกา เป็นตน้ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ก็ทรงรบั ไวโ้ ดยมไิ ด้ทรงรังเกยี จแมแ้ ตน่ อ้ ย ” 55
ครูของแผน่ ดินหนงั สือพิมพส์ ารเสรี (ฉบับประจำวนั ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘)ได้เสนอขา่ วการเสดจ็ พระราชดำเนินเย่ียมพสกนิกรภาคอีสานในชว่ งน้ี ดังน้ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีเสด็จ ทางรถยนต์พระที่นั่ง เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร จากอดุ รธานี หนองคาย สกลนคร นครพนม แล้วย้อนเขา้ มากาฬสินธ์ุ มหาสารคาม และรอ้ ยเอด็ แม้ทาง จะเต็มไปด้วยฝุ่น และต้องประทับนั่งบนรถพระที่นั่งเป็นเวลานาน แต่ทั้งสองพระองค์ก็ทรงพระเกษมสำราญ ประชาชนชาวอีสาน ห้อมล้อม ชมพระบารมีอย่างคับค่งั ตลอดระยะทางที่เสด็จผ่าน 56
ครขู องแผ่นดิน เมื่อคืนวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ทั้งสองพระองค์เสด็จถึงจังหวัดมหาสารคามและประทับแรมที่จังหวัดนี้หนึ่งคืน แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีจะเสดจ็ มาถึงจงั หวัดนีใ้ นเวลากลางคนื แตป่ ระชาชนก็ไมย่ อ่ ท้อตา่ งหล่ังไหล มาจากทศิ านทุ ศิรอชมพระบารมีอย่างคับคั่งเช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ในเวลาบ่ายตาม หมายกำหนดการพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั และสมเด็จพระนางเจา้ พระบรมราชนิ ี จะเสดจ็ จากจังหวัดมหาสารคามตรงไปยงั จงั หวดั รอ้ ยเอด็ ประชาชน จากอำเภอต่างๆได้เดินทางเข้ามารอชมพระบารมีอย่างคับคั่งอยู่แล้ว ส่วนนอนค้างตามศาลาวัด ต่างก็หวังเข้าชมพระบารมีอย่างใกล้ชิดทางจังหวดั ได้เตรียมเครอ่ื งทอพนื้ เมอื งไว้ทลู เกล้าฯ ถวายสว่ นประชาชนก็จัดหาของป่าแปลก ๆ ตดิ ไมต้ ดิ มอื มาทลู เกล้าฯ ถวายเช่นเดยี วกนั 57
ครขู องแผ่นดิน ตอ่ มาชาวมหาสารคามไดร้ บั เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ พระบรมราชนิ นี าถเปน็ คร้ังท่ี ๒ เมื่อวนั ที่ ๒๗ ตุลาคม พทุ ธศักราช๒๕๑๔ การเสด็จพระราชดำเนนิ ในคร้งั นี้ ได้ทรงเป็นประธานในพิธีเปดิ ป้ายโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ทอี่ ำเภอวาปปี ทุม จงั หวดั มหาสารคาม ทัง้ น้ี เน่อื งมาจากการเกิดวาตภยั ครง้ั ใหญ่ เม่อื วันที่ ๙ เมษายน พทุ ธศักราช ๒๕๑๔ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น ทำให้โรงเรยี นประชาบาล๓ แห่งคือ โรงเรียนบ้านกอก โรงเรียนบ้านแดง และโรงเรียนบ้านเหล่าก้างปลา ถูกพายุพัดอาคารเรียนเสียหายจนใช้การไม่ได้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ได้ทรงพระราชทานความช่วยเหลือผ่านมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ โดยสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้พร้อมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดป้ายอาคารเรียนโรงเรียนประชานุเคราะห์ทั้ง ๓ แหง่ ที่อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคามนายศรจี ันทร์ ดนรุ ตั ย์ ผใู้ หญบ่ า้ นกอก ในขณะนั้น ได้5เ8ลา่ เหตกุ ารณด์ ้วยความสำนกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ว่า
ครูของแผน่ ดิน “ หลงั จากไดร้ ายงานความเสียหาย ไปตามลำดบั ก็ ไ ด้ ข่ า ว ว่ า ใ น ห ล ว ง ท่ า น ท ร ง พ ร ะ ก รุ ณ า โ ป ร ด เ ก ล้ า ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชนูประถัมภ์ มาสร้างอาคารเรียน หลังใหม่ให้ ยิ่งเมื่อได้รู้จักนายหลวง และพระราชินีจะเสด็จมาประกอบพิธีเปิดป้ายอาคารเรียน ก็ยิ่งปลาบปลื้มมากยิ่งขึ้น ชาวบ้านและทางราชการต่างก็ ร่วมมือรวมใจกันเตรียมการรับเสด็จกว่าสองเดือนด้วย ความสำนึกในพระมหากรณุ าธคิ ุณของพระองคท์ า่ น ” 59
ครขู องแผ่นดิน มลู นธิ ิราชประชานุเคราะหแ์ ละการปกครองกระทรวงมหาดไทย ได้จดั สรรงบประมาณให้สร้างอาคารเรียนขึน้ ใหม่ เมอื่ เสร็จเรยี บร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั และสมเดจ็ พระเจา้ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนิน พรอ้ มดว้ ยสมเด็จพระเจา้ลกู เธอเจา้ ฟา้ สริ นิ ธรเทพรตั นสดุ า กติ วิ ฒั นาดลู โสภาคย์ และสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอเจา้ ฟา้ จฬุ าภรณวลยั ลกั ษณ์ อคั รราชกมุ ารี เพอ่ื ทรงเปน็ประธานในพธิ เี ปดิ ป้ายอาคารเรยี นทีไ่ ดพ้ ระราชทานนามใหม่ คือ โรงเรียนบา้ นกอก เป็นโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๑๖ โรงเรยี นบา้ นแดง เปน็ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๑๗ โรงเรยี นบา้ นเหล่าก้างปลา เปน็ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๑๘ การเสดจ็ ราชดำเนนิ เพอ่ื ทรงเปดิ ปา้ ยอาคารโรงเรยี นราชประชานเุ คราะหน์ น้ั มปี ระชาชนหลง่ั ไหลไปรอรบั เสดจ็ และชน่ื ชมพระบารมีดว้ ยความจงรกั ภกั ดเี ปน็ จำนวนมาก นางพิม อนุสัตย์ ได้แสดงความรู้สึกว่า ชาวบ้านไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นอย่างไรไดย้ นิ แตช่ อ่ื กเ็ ลยพากันมาดู ทา่ นงามมาก พระราชนิ ีก็งาม งามทั้งสองพระองศห์ ลงั จากปฏบิ ัตพิ ระราชกจิ เกี่ยวกบั โรงเรยี นทั้ง ๓ แห่ง 60
ครูของแผน่ ดนิและให้ประชาชนเข้าเฝ้าชมพระบารมีแล้วได้เสด็จพระราชดำเนนิ ทอดพระเนตรโบราณสถานกสู่ ันตรัตน์ ซ่งึ เป็นศาสนสถานประจำอโรคยศาล สร้างขึ้นในพทุ ธศควรรษท่ี ๑๘ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งอาณาจกั รขอมสรา้ งดว้ ยศิลาแลงและหินทราย ล้อมรอบดว้ ยกำแพงศลิ าแลง มซี มุ้ ประตหู รอื โคปรุ ะขนาดใหญท่ างดา้ นทศิ ตะวนั ออก นอกกำแพง ดา้ นทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มสี ระนำ้ กรผุ นงัด้วยศิลาแลง จากการขุดแต่งโดยกรมศลิ ปากร ในปพี ุทธศักราช ๒๕๑๔ พบประตมิ ากรรมสำคญั ๓ ชนิ้ คือ พระพุทธรูปนาคปรก๒ องศ์ พระโพธิ์สัตว์วัชรธร ๑ องศ์ทั้งหมดเป็นรูปเคารพในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ลักษณะศิลปขอมแบบบายน(ราวพุทธศกั ราช ๑๗๒๐-๑๗๘๐) นายฐาน ปะนะโท ผู้ใหญ่บ้านบ้านโนนเมือง ตำบลกู่สันตรัตน์ ในขณะนน้ั เล่าถึงเหตุการณท์ เ่ี สดจ็พระราชดำเนินมายงั โบราณสถานแหง่ นี้ว่า 61
ครูของแผ่นดิน “..ทง้ั กอ่ นหนา้ และวนั ทใ่ี นหลวงและพระราชนิ จี ะเสดจ็ ฯ นอกจากนน้ั พระราชราชกรณยี กจิ ของพระบาทสมเดจ็มาที่กู่นั้นอากาศร้อนมาก พระองศ์เสด็จฯมาถึงประมาณบ่ายสโ่ี มงพอพระองศเ์ สดจ็ ฯ ลงจากเฮลคิ อปเตอรก์ เ็ กดิ ปรากฎการณ์ พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชีนีนาถเมฆบังพระอาทิตย์ให้ร่มเงาแก่พระองศ์และประชาชนที่มารอ ในการเสด็จพระราชดำเนินมายังจังหวัดมหาสารคามยังได้รับเสด็จ ชาวบ้านที่รอรับเสด็จในวันนั้นต่างจำเหตุการณ์นั้น พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้ได้ดี เมื่อพระองศ์เสด็จออกมาจากกู่ก็ทรงเยี่ยมเยียนราษฎร สำเรจ็ การศกึ ษาและพระราชทานท่ี ร อ รั บ เ ส ด็ จ อ ยู่ เ ป็ น จ ำ น ว นมากและพระองศ์มีรับสั่งกับ พระราชทานธงประจำรุ่นลูกเสือชาวบา้ นวา่ ใหช้ ว่ ยกนั ดแู ลโบราณสถานแหง่ นใ้ีหด้ ี ..” การเสดจ็ พระราช ชาวบา้ นในจงั หวดั มหาสารคาม อกีดำเนนิ ทอดพระเนตรโบราณสถานกสู่ นั ตรตั นน์ น้ั เปน็ สริ มิ งคลแก่ชาวอำเภอนาดูนและชาวมหาสารคามเปน็ อยา่ งย่ิง ๓ ครง้ั คอื พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗ และพ.ศ. ๒๕๑๙ และครั้งที่ ๖ พระราชดำเนนิ ทรงเปน็ องคป์ ระธาน ในพธิ เี ททองหลอ่ พระพทุ ธกนั ทร วิชัยอภิสมัยธรรมนายก ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๔ การเสด็จพระราช ดำเนินในแต่ละครั้งชาวมหาสารคามต่างปล้มื บิตเิ ปน็ ลน้ พ้น 62
ครขู องแผน่ ดิน 63
ครูของแผน่ ดนิ สรปุ พระราชกรณยี กิจที่ทรงมีต่อจงั หวดั มหาสารคามเสดจ็ ฯ ไปยงั โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ วันที่ ๒๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๔ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ ไดเ้ สดจ็ ฯไปทรงเปิดป้ายอาคารเรยี นหลงั ใหมข่ องโรงเรยี นประชาบาล ๓ แห่งในทอ้ งท่อี ำเภอวาปปี ทุม และพระราชทานนามใหมว่ ่าโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๑๖,๑๗ และ ๑๘ โรงเรียนทั้ง ๓ แหง่ นีแ้ ต่เดมิ ถูกพายุพัดพังเสียหายจนไมส่ ามารถทำการเรยี นการสอนได้ และมูลนธิ ริ าชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ได้จดั สรรงบประมาณสร้างอาคารเรยี นหลังใหมท่ ดแทนให้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรโบราณสถานกูส่ ันตรัตน์ วันที่ ๒๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ นี าถเสดจ็ ฯไปทอดพระเนตรโบราณสถาน กู่สนั ตรัตน์ อำเภอนาดนูเสด็จฯ ไปทรงประกอบพิธเี ททอง “พระพทุ ธกันทรวิชัย” วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี สมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟา้ จุฬาภรณวลยั ลกั ษณ์ฯ ทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระพทุ ธรูป ณ บริเวณปะรำพธิ ีหน้าอาคาร ๒ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม พระราชทานนามวา่ พระพทุ ธกนั ทรวิชยัอภสิ มัยธรรมนายก และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อญั เชิญอกั ษรพระปรมาภไิ ธย ภปร ประดษิ ฐานบนผ้าทพิ ยด์ า้ นหนา้ ของฐานพระพทุ ธรปู ดว้ ย วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารีเสดจ็ ฯ แทนพระองค์ทรงเป็นองค์ประธานในการประกอบพธิ พี ทุ ธาภิเษกพระพทุ ธกันทรวิชัยอภสิ มัยธรรมนายก 64
ครูของแผ่นดินเสด็จฯ ไปพระธาตุนาดูน วนั ท่ี ๑๒ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๓๐ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช ฯสยามมกฎุ ราชกมุ าร เสดจ็ ฯ แทนพระองคไ์ ปทรงประกอบพธิ อี ญั เชญิ พระบรมสารรี กิ ธาตุ เขา้ บรรจใุ นองคเ์ จดยี พ์ ระธาตนุ าดนูเสดจ็ ฯ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเรจ็ การศึกษาและทรงเยีย่ มราษฎร วนั ท่ี๒๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๑๗ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ เจ้าฟา้ จุฬาภรณวลัยลกั ษณ์ อคั รราชกุมารี พระราชทานธงประจำร่นุ ลกู เสอืชาวบ้านจงั หวดั มหาสารคาม และทรงเยีย่ มราษฎร วันท่ี ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมดว้ ยสมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี สมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจฬุ าภรณวลยั ลกั ษณ์ฯ พระราชทานปรญิ ญาบตั รแก่ผู้สำเร็จการศึกษา พระราชทานธงประจำรุ่นลกู เสือชาวบา้ น จงั หวดั มหาสารคาม และทรงเยย่ี มราษฎร วันท่ี ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร เสดจ็ ฯ แทนพระองค์ทรงเย่ียมราษฎรที่ประสบภยั นำ้ ท่วม ณ ศูนยช์ ่วยเหลือประชาชน อาคาร ๑ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วนั ท่ี ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารเี สด็จฯ แทนพระองค์ ทรงเป็นองค์ประธานในพธิ พี ระราชทานเพลงิ ศพพระอรยิ านุวตั ร เขมจารี ณ เมรชุ ัว่ คราวนกหัสดลี ิงค์ สนามกีฬากลาง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วันท่ี ๑๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารีเสดจ็ ฯ แทนพระองค์ พระราชทานปรญิ ญาบัตรแก่ผู้สำเรจ็ การศึกษา ณ หอประชุมกลาง วันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารเี สดจ็ ฯ แทนพระองค์ พระราชทานปรญิ ญาบตั รแก่ผู้สำเรจ็ การศึกษา ณ หอประชมุ กลาง อนง่ึ การเสดจ็ พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเรจ็ การศึกษาของมหาวิทยาลยั มหาสารคามน้ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มใหส้ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารีเสดจ็ พระราชดำเนนิ แทนพระองคม์ าพระราชทานปริญญาเป็นประจำทุกปี 65
ครูของแผ่นดนิ พสกนิกรชาวมหาสารคามผูด้ ำเนนิ รอยตามแนวพระราชดำรพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั 66
ครูของแผ่นดนิ หมูบ่ า้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง หมู่บ้านชนบทอีสานที่หลุดพ้นจากความยากจนและ “บ้านดอนมนั ” วงั วนของอบายมขุ ดว้ ยการรวมพลงั ชมุ ชนอยา่ งเขม้ แขง็ โดยมีผูน้ ำ ที่เปน็ แบบอย่าง จนสามารถทำใหส้ มาชิกทุกคนของหมู่บ้านต. ขามเรียง อ.กนั ทรวชิ ยั จ.มหาสารคาม ดำเนินชีวิตภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และใช้แนวทาง ทฤษฎีใหม่สำหรับผลิตปัจจัยพื้นฐานเพื่อบริโภคในครัวเรือน จัดตั้งและบริหารกองทุนหมู่บ้าน และรวมกลุ่มอาชีพเพื่อสร้าง ผลผลิตต่าง ๆ จนมีรายได้เพยี งพอแก่การเล้ียงครอบครัว และชมุ ชนอยา่ งเปน็ สุข ตลอดจนเป็นหมบู่ ้านปลอดอบายมขุ ทั้งเหล้า ยาเสพตดิ และการพนนั ทุกชนดิ 67
ครขู องแผน่ ดนิเกษตรกรผู้พบโชคจากการใชป้ ญั ญา “ผู้มีปัญญา มกั จะพบโชคเสมอ” พระราชดำรัสของพระบาท สมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว ทีด่ ังกอ้ งจากจอโทรทัศนใ์ นคำ่ คืนหนึ่ง เป็นเสมือน นายจนั ทร์ นาชยั ดนู กำลังใจที่ปลุกปลอบให้นายจันทร์ นาชัยดูน กษตรกรยากจนแห่งบา้ น บ้านหนองแหน กง่ิ อำเภอกุดรงั หนองแหน มีความหวังวา่ สักวนั เขาจะเป็นคนโชคดี หากรู้จักใชป้ ญั ญา หลงั จากเพยี รทำไรม่ นั สำปะหลงั บนผนื ดนิ รอ้ นแลง้ ไปพรอ้ มๆ กบั ทำนาบนทด่ี อน จงั หวัดมหาสารคาม มานบั สบิ ปี นายจันทร์กค็ ้นพบวา่ หนสี้ ินบนไร่มนั ไมเ่ คยหมดไปแตก่ ลบั เพมิ่ ขน้ึ ทกุ ปี สว่ นผนื นากไ็ มเ่ คยใหข้ า้ วทพ่ี อกนิ แมก้ ระทงั่ เมอ่ื หมดหนา้ นา ตอ้ งทิ้งลกู เมียไปทำงานกอ่ สรา้ งในกรุงเทพ เงนิ ทไี่ ดม้ ากย็ ังไม่พอเป็นทุน ทำไร่มนั ในปีตอ่ ไป วงจรชีวิตวนเวยี นเชน่ นอ้ี ย่างไมร่ ้จู บ “ทำไร่ปอ ไร่มนั ทุกปี ทกุ ปี ไม่เหลืออะไร มีแต่หนี้สนิ ประมาณ ปี ๒๕๓๖ คิดว่าหยุดดีกว่า เพราะทำได้ก็เอาเงินไปใช้หนี้ แล้วกู้มาใหม่ ยง่ิ ทำมาก ก็ยงิ่ เปน็ หนี้มาก ขณะท่คี ่าปยุ๋ คา่ จา้ งคนมาช่วยข้ึนราคาทกุ ปี เริ่มมองหาว่าจะทำอะไรได้ ชว่ งนน้ั ทางราชการมีโครงการแจกพันธไ์ุ ม้ผล เราไม่ไดร้ บั แจก แตเ่ ห็นแล้วอยากปลกู อยากมีผลไม้เยอะๆ จะได้มกี นิ มขี าย 68
ครขู องแผน่ ดิน “ ไม่เคยปลูกไม้ผลมาก่อน ไม่มีความรู้อยากได้ “ช่วงนั้นเขามีโครงการผักสวนครัวรั้วกินได้เลยตั้งใจอะไรกไ็ ปซอ้ื ตน้ มาปลกู ทง้ั สม้ โอ มะไฟ ลำไย ชมพู่ ขนนุ มะมว่ ง ว่าจะทำคันนากินได้บ้าง ได้ยินพระราชดำรัสในหลวง มะกรดู มะพรา้ ว ตามคนั นา กเู้ งนิ มาลงทนุ ไปเยอะคอยหาบนำ้ ‘ผู้มีปัญญา มักจะพบโชคเสมอ’ เริ่มคิด วางแผนใช้ปัญญาไปรด ไม่มคี วามรู้ ว่าอะไรปลูกได้หรือไมไ่ ด้สองปีแรกลม้ เหลว ไตร่ตรองก่อน แล้วจึงเริ่มลงมือทำ เริ่มปลูกมะละกอ ปลูกตน้ ไมท้ ป่ี ลกู ไวต้ ายเกอื บหมด เพราะคนั นาเลก็ เกนิ ไป แลว้ ตน้ ไม้ แตงไทยเปน็ อนั ดับแรก เพราะเกบ็ กิน เก็บขายได้กอ่ นบางอย่างไม่เหมาะกบั ดนิ ของเรา “ จากนั้นปรบั ดิน จ้างรถมาทำคนั นาซอ้ื ป๋ยุ คอกมาใส่ เพราะเคยลองใชป้ ยุ๋ เคมี กบั ไรม่ นั แลว้ ดนิ เสอ่ื มลงเรอ่ื ยๆ พอปี พ.ศ. ๒๕๓๘ - ๒๕๓๙ ได้เข้าอบรมการทำเกษตรตามแนว ทฤษฎีใหม่ของโครงการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งหัวใจ สำคัญอยู่ที่การแบ่งสัดส่วนการใช้ที่ดินและน้ำ เลยนำมาลอง ใช้โดยปรับตาม ความเหมาะสมของที่ดินของเรา เช่น ตรงนี้ เปน็ ท่ีลุม่ กข็ ุดเป็นสระนำ้ ตรงน้เี หมาะจะเป็นแปลงนา เหมาะ สำหรับปลูกไม้ผล ปลูกผัก และจากประสบการณ์ที่เราเคย ทำมา เริม่ รู้ว่าดินฟา้ อากาศบ้านเรา ควรปลูกอะไร ” 69
ครูของแผ่นดิน ครอบครัวนาชัยดูนช่วยกันลงแรงพลิกผืนดินสร้าง หลงั อาบนำ้ กนิ ขา้ วเสรจ็ นายจนั ทรม์ ภี ารกจิ สำคญั ทท่ี ำเปน็ กจิ วตั รคนั นากนิ ไดม้ าเปน็ เวลากวา่ ๑๐ปีลองผดิ ลองถกู และขวนขวาย “ พอถึงสองทุ่มจะคอยดูข่าวในพระราชสำนัก คอยฟังหาความรู้ เชน่ การเข้าอบรม กับหน่วยงานตา่ งๆ ของรัฐ แม้ว่า ว่าวันนี้ในหลวงจะพูดว่าอะไร เพราะเชื่อว่าท่านมีข้อคิดบางครั้งจะไม่มรี ายชอ่ื เปน็ ผ้รู ับเชิญก็ยังขอสมัครเขา้ ไปเองเพอื่ มีสิ่งดีๆ ให้กับประชาชนเสมอ ถ้าคนนำมาทำตามจริงๆสะสมความรู้สรา้ งปญั ญาแลว้ นำมาปฏบิ ตั จิ นวนั นผ้ี นื ดนิ ๑๓ไร่ จะเกดิ ประโยชนอ์ ยา่ งแนน่ อน อยา่ งทค่ี รอบครวั เรามคี วามสขุท่ีเคยแห้งแลง้ ดินท้ังแขง็ และเคม็ กลบั อุดมช่มุ ฉ่ำดว้ ยสระน้ำ อยู่ทกุ วนั น้ี ก็คิดว่าเป็นความโชคดีที่เกิดการใช้ปัญญาใสเย็นถงึ ๓บอ่ นาข้าวสุกปลั่งเปน็ สีทองทิวมะพรา้ วเหยยี ดยาว อยา่ งที่ในหลวงท่านเคยพูดไว้ ”สดุ คนั นา กล้วย มะละกอ มะม่วง ฝรั่ง ผลัดกันออกผลตามฤดูพริก มะเขอื แตง หอม ผกั ชี ออกใบออกผลงอกงาม รอให้พ่อคา้ แมค่ า้ แวะเวยี นมาเจรจา ขอซื้อแทบทุกวนั นอกจากนัน้ ยังมีน้ำสม้ ควันไม้ ผลติ ภัณฑ์ขจดั ศัตรูพืชอันเป็นผลพลอยได้จากการเผาถา่ น ท่ีกลายมาเป็นสินค้าเดน่ทห่ี ลายคนถามหา นอกจากนค้ี วามรทู้ กุ อยา่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ บนผนื ดนิแหง่ น้ีไดแ้ ตกหนอ่ ออกไปเปน็ เครอื ขา่ ยใหเ้ กษตรกรคนอน่ื ๆ ได้แวะเวียนมาศึกษาหาความรู้จากเกษตรกร ผมู้ ปี ญั ญาคนนแี้ ม้จะเหนด็ เหนือ่ ยจากภารกจิ ในแปลงเกษตรสกั เพยี งใด ทกุ เยน็ 70
ผู้คน้ พบความสขุ ในชีวิตด้วยคำว่า ครขู องแผ่นดนิ “พอเพียงและพ่ึงตนเอง” แมเ้ ปน็ เพียงลูกชาวนากำพร้าพอ่ คำพัน เหล่าวงษี ก็ไมเ่ คยท้อแท้ คำพนั เหลา่ วงษี แตก่ ลับมงุ่ มั่นพยายามท่จี ะเลา่ เรียน โดยทำงานส่งเสียตัวเองจนจบชั้น ปวส. แลว้ เขา้ มาทำงานเปน็ ชา่ งกลงึ ในกรงุ เทพ จนสามารถไตเ่ ตา้ เปน็ ถงึ บ้านดอนแดง อำเภอกันทรวิชัย หัวหน้างาน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานหนักไม่มีวันหยุดตั้งแต่เช้า จรดคำ่ แลว้ ชวี ิตกม็ าถึงจดุ เปลยี่ นเม่อื วนั หนึง่ เขาลม้ ปว่ ยแล้วไม่มีเงนิ เลย เพราะตอ้ งหยุดงาน “ คิดว่ามีงานทำ นายจ้างมีบ้านพักให้ มีรายได้ พอกินพอใช้ใน ครอบครัวไปวันๆ ก็พอใจแล้ว แต่พอล้มป่วยต้องหยุดทำงานก็พบว่า พอไม่ทำงานเราก็ไม่มีกิน เพราะเราต้องใช้เงินซื้อกินทุกบาททุกสตางค์ บ้านช่องก็ไม่มี ตอนนั้นคิดว่าเป็นเพราะเราไมไ่ ด้เป็นเจ้าของกจิ การเลย ไม่มีเงนิ เก็บ ” “ พอดมี โี อกาสไดเ้ ขา้ ไปเปน็ สมาชกิ เครอื ขา่ ยเกษตรกรรมทางเลอื ก ภาคอสี าน ซ่ึงเขาใหแ้ นวคดิ การทำเกษตรแบบพ่ึงตนเอง ไมต่ ้องเปน็ หนี้ คดิ ว่าถงึ เวลาท่ตี อ้ งหาอนาคตทีม่ ่ันคงให้กบั ลกู ๆ ได้แล้ว ไปหาซือ้ ทด่ี นิ ได้ ๖ ไร่ ทำสญั ญาผอ่ นส่ง ๑๐ ปี มาปลูกกระทอ่ ม ปลกู ผักเล้ียงครอบครัว ” 71
ครขู องแผน่ ดิน 72
ครูของแผน่ ดิน “ในเวลาน้ันมีคนในหมู่บ้านได้เข้าโครงการทำ “ตอนนน้ั พยายามไปหาความรู้ ไปเขา้ อบรม ไปถามคน“เกษตรตามแนวทฤษฎใี หม”่ ของในหลวงซงึ่ ราชการคดั เลอื ก ทม่ี คี วามรู้ เรอ่ื งการทำปยุ๋ คอก ปยุ๋ หมกั นำ้ หมกั สมนุ ไพรไลแ่ มลงเกษตรกร ตำบลละ ๑ คน เราไม่ได้คัดเลือก แต่ไปขอเขาดู แล้วใชห้ ลกั ตามแนวทฤษฏใี หม่ จดั แบง่ พน้ื ที่เป็นสัดส่วนให้มีเห็นว่ามีการแบ่งสัดส่วน การใช้ที่ดิน สร้างแหล่งน้ำคิดว่าเรา กิจกรรมครบท้งั สระนำ้ แปลงนา สวนผกั ไม้ยนื ต้น บอ่ ปลาต้องนำหลักการมาใช้กับแปลงเราบ้าง แต่เรามีพื้นที่น้อยจะ บอ่ กบวางแผนอย่างไรให้เหมาะสมเริ่มจากขุดสระ ปลูกไม้ยืนต้น สำหรบั การปลกู ขา้ วศกึ ษาหาวธิ ี ทดลองทำจนพบวา่และปลูกผกั ซ่งึ เป็นส่ิงทเ่ี ราทำอยแู่ ละให้ ผลผลิตเร็ว น่าจะ การจะปลกู ขา้ วใหไ้ ดผ้ ลดีตอ้ งใชก้ ลา้ ตน้ เดยี วส่วนในแปลงผักเป็นรายได้หลักระหว่างที่เรายังไม่มีอะไร แต่ตอนนั้นถ้าจะ ตอ้ งปลกู พชื ทม่ี อี ายตุ า่ งกนั ทต่ี รงนข้ี องผมใชห้ นอ่ ไมฝ้ รง่ั ยนื พน้ืปลกู ผัก ปลูกต้นไม้ ก็ต้องใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ซง่ึ เราไมม่ เี งนิ อกี เพราะเปน็ พชื อายยุ าว สลบั ดว้ ยถว่ั ฝกั ยาว หรอื พชื อายสุ น้ั อน่ื ๆแตใ่ นทส่ี ดุ กน็ กึ ถงึ ในหลวงทท่ี รงบอกใหเ้ ราทำแบบ พึ่งตนเอง เพราะจะทำใหเ้ ราสามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากทด่ี นิ ไดอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ “แล้วก็มานึกถึงว่าพ่อแม่เราไม่ได้เรียนเกษตรมา ทำมาตั้งแต่ ปี ๒๕๔๔ จนถึงวันนี้ กล้าพูดได้ว่าเราอยู่ได้แตท่ ำนา ปลกู ผกั อยมู่ าไดเ้ ลย้ี งตวั เองไดโ้ ดยไมต่ อ้ งพง่ึ ปยุ๋ เคมี มีข้าวกนิ มเี งนิ ใช้ ไม่มีหนีส้ ิน ลูกๆ ไดอ้ ยู่กบั พอ่ แม่ เย็นมาได้ไม่ต้องพึ่งยาฆ่าแมลง ถ้าเราจะอยู่ให้ได้ต้องทำเกษตรแบบ กนิ ขา้ วพรอ้ มหนา้ แลว้ เรายงั มเี วลาถา่ ยทอดความรู้ แลกเปลย่ี นเดียวกันคือ แบบประหยัด แบบมภี มู คิ มุ้ กนั แบบพง่ึ ตนเอง กับเกษตรกรคนอื่นๆ ชีวิตมีความสุข มีความพอเพียงเพราะและพยายามคิดว่า บนที่ดินที่มีจำกัด นี้จะทำอย่างไรให้ได้ เราพง่ึ ตัวเองไดจ้ ริงๆ ”ประโยชนส์ งู สุด 73
เกษตรกรผ้นู ำเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทติ ย์ ครูของแผน่ ดิน มาใช้เพื่อการทำเกษตรกรรมอย่างย่งั ยืน ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ วศิ วกรหนุ่มคนหน่งึ ไดม้ โี อกาสไปติดตัง้ แผงวงจร นายกฤติเดช ศรเี นตรภทั ร์ พลงั งานแสงอาทติ ย์ (Solar Cell) ให้กบั ศนู ยศ์ ึกษาการพฒั นาหว้ ยทรายฯ บา้ นกทู่ อง อำเภอเชียงยนื จงั หวดั เพชรบรุ ี และศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาเขาหนิ ซอ้ นฯ จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา เพือ่ เป็นแหล่งพลังงานตน้ กำเนิดในการจัดการระบบน้ำ ตามพระราชดำริ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ในครง้ั นน้ั ทำใหเ้ ขาไดต้ ระหนกั วา่ พลงั งาน จากแสงอาทติ ยน์ ำมาใชป้ ระโยชนก์ บั การเกษตรไดม้ ากกวา่ ทค่ี ดิ โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ในเรอ่ื งนำ้ อนั เปน็ หวั ใจสำคญั ของการเกษตรทกุ รปู แบบ และวนั หนง่ึ เมื่อเผชิญกับวิกฤติแห่งสุขภาพถึงขั้น “เกือบเอาชีวิตไม่รอด” แนวพระราชดำริที่เคยประทับใจ หวนกลบั มาเปน็ ทางเลือกของชีวิต “ ปี ๒๕๔๗ ผมป่วยเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะเป็นผลจากการ ใช้ชีวิตสิ้นเปลือง ผจญกับสารพิษ มลภาวะต่างๆ จากทุกทาง จึงเริ่ม ตั้งคำถามว่าชีวิตตรงนี้คืออะไร และเริ่มย้อนกลับไปดูตัวเองว่าทำไมเรา มาใชช้ วี ติ อยา่ งน้ี เราเปน็ คนตา่ งจงั หวดั พน้ื ฐานเปน็ เกษตรกร ขณะเดยี วกนั เราเปน็ วศิ วกรดา้ นพลงั งานทดแทน สะสมความรแู้ ละประสบการณม์ ากม็ าก ทำไมเราไม่ใชส้ ่งิ ทเ่ี รามีให้เกดิ ประโยชน์ และมีชวี ติ ท่มี น่ั คงกว่าการทำงาน รับเงนิ เดอื นไปเดือนๆ หนึ่ง 74
ครูของแผน่ ดนิ “ครอบครวั ผมมที ่ีดนิ อยู่ ๒๓ ไร่ ซงึ่ เป็นพนื้ ทีม่ ีปญั หาทั้งความแห้งแล้ง ดนิ เค็ม ดินดาน ขาดความสมบูรณ์ แต่เมอื่ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาของศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งตา่ งๆ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ก็ทำให้ผมเข้าใจวา่ทุกอย่างมีวิธีแก้ ขอให้มีน้ำ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง ” จากนั้น ชายหนุ่มจึงนำความรู้ที่ตนเชี่ยวชาญคือพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานต้นกำเนิดสำหรับเครื่องสูบน้ำ เพื่อสูบนำ้ จากแหลง่ นำ้ มาไว้ในแปลง และใช้เทคนคิการทำบอ่ เกบ็ นำ้ ตา่ งระดบั ใหน้ ำ้ ไหลจากทส่ี งู ลงทต่ี ำ่ หลอ่ เลย้ี งพื้นที่ต่างๆ ในแปลง อย่างทั่วถึง ซึ่งวิธีนี้น้ำจะเป็นตัวช่วยนำพาตะกอนไปเพ่มิ ความสมบรู ณใ์ หก้ ับผืนดินอีกดว้ ย “เมอ่ื มีนำ้ กจิ กรรมทกุ อย่างก็เกดิ ขนึ้ นอกจากจะมนี ำ้สำหรับนาข้าว ผมเริม่ เลีย้ งหอยเชอรี่ในคูส่งน้ำ นำหอยเชอรี่มาเลี้ยงปลาดุก ปลอ่ ยปลาดกุ ลงนาข้าว เพื่อกินหนอนในกอข้าว ปรากฏว่าข้าวงามได้ผลผลิตดีกว่าเดิม ตามท้องร่องผมปลกู ผกั พ้นื บ้านหลายชนดิ ท่คี รอบครัว เรานิยมกนิ เชน่ 75
ครขู องแผ่นดินผกั หวาน ขา่ ตะไคร้ สว่ นในนำ้ ปลกู ผกั พาย ผกั บงุ้ ผกั กระเฉด “ แม้แต่ในหลวงท่านยังทรงนำพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นผกั ทป่ี ลกู งา่ ย และเป็นทีต่ อ้ งการของตลาดโดยเฉพาะ มาใช้ประโยชน์ในการเกษตรเป็นตัวอย่างให้เราดู เรามีข่า ขายง่ายราคาดี เป็นที่ต้องการ ตลอดท้ังปี ต้นแบบที่ดีอยู่แล้ว ถ้านำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง วันหนึ่งสังเกตว่าในแปลงข่ามักมีกบมาอาศัยอยู่ จะพบหนทางทน่ี ำมาสู่ ความยง่ั ยืนของชีวิตได้”เพราะมีความชุ่มชื้นสูง จึงล้อมตาข่ายทดลองเลี้ยงกบในป่าข่าขุดไส้เดือนมาปล่อย ให้กบกินส่วนไส้เดือนจะช่วยให้ดินสมบูรณ์ ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติปล่อยให้พวกเขาอยกู่ นั เอง โดยเราไม่ต้องทำอะไร ” “หลายคนอาจมองว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีต้นทุนสูงแต่ถ้าสามารถจัดการนำมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่จะพบวา่ เกนิ คมุ้ เพราะลงทนุ ครง้ั เดยี ว ตราบใดทย่ี งั มแี สงอาทติ ย์ผมทำเพียง ๒ ปี กถ็ งึ จดุ ทเ่ี ราคดิ วา่ อยไู่ ด้ และคมุ้ ทนุ ปจั จบุ นัครอบครวั ของเรามอี าหารกิน เพยี งพอ ปลอดภัยจากสารพิษและมีรายได้ทุกวัน นอกจากนั้นยังกลาย เป็นแหล่งศึกษาดูงาน เผยแพรค่ วามรแู้ ก่คนอ่ืนๆ 76
คนเราต้องตอบแทนคณุ แผน่ ดนิ ครขู องแผ่นดิน นายล้วน กลุ แก้ว “แก่แล้วเห็นชีวิตมาเยอะ อยากทำสงิ่ ดีเปน็ ตัวอย่างใหล้ ูกหลานดู” บา้ นหลุบควนั อำเภอนาดนู ด้วยเป้าหมายชีวิตดังกล่าว ทำให้นายล้วน กุลแก้ว อดีตผู้ใหญ่บ้าน มีความมุ่งมนั่ วา่ ตอ้ งปฏิบัติตนเป็นตวั อยา่ งอันดีงามแกค่ นรุ่นหลงั จงั หวดั มหาสารคาม “ ผมเป็นชาวนาแทๆ้ ทำนา เลย้ี งวัว เล้ียงควาย มีรายไดห้ ลกั จาก การคา้ ววั คอื รบั ซอ้ื ววั จากชาวบา้ นไปขายใหพ้ อ่ คา้ มอี ยวู่ นั หนง่ึ ขายววั ไป ๔ ตวั แต่ถกู โกง ไมไ่ ดเ้ งินเลยสกั บาทเดียว โกรธมาก เกดิ ความแค้น แตใ่ นทีส่ ดุ ก็ตอ้ งตดั ใจ แล้วกต็ ดั สนิ ใจหยุดทำอาชีพนี้ เพราะรวู้ ่าหากทำตอ่ ไปเราตอ้ ง กลายเปน็ นกั เลง ตอ้ งไปแกแ้ คน้ ทวงเงนิ คนื หลงั จากนน้ั กเ็ รม่ิ มองหาอาชพี ใหม่ วนั หนง่ึ ไดย้ นิ คำพดู ประโยคหนง่ึ จากโทรทศั นว์ า่ คนเราต้องตอบแทน คุณแผน่ ดนิ ” จึงคิดได้ว่าเราควรมชี วี ิตอยู่ด้วยธรรมะ ทำในส่ิงที่ทำใหจ้ ิตใจ เราสงบ ไม่เบียดเบยี นใคร และมปี ระโยชน์แกค่ นอื่นๆ เป็นการตอบแทน แผ่นดินท่ีเราเกดิ มา แต่กอ่ นจะตอบแทนแผน่ ดินได้ กต็ อ้ งพึ่งตัวเองใหไ้ ด้ ก่อน พ่งึ ตวั เองได้นี่หมายถงึ ตอนนีพ้ ึง่ ได้ แล้วตอนแก่ก็ต้องมีเงนิ บำนาญด้วย จะไดไ้ ม่ตอ้ งไปพึง่ ใคร เพราะเห็นขา้ ราชการพอแก่เกษยี ณแลว้ มเี งินบำนาญ เลยคิดว่าชาวนาอย่างเราน่าจะมีบ้าง ถ้าทำได้ชีวิตของเราจะกลายเป็น ตัวอย่างแก่ลูกหลาน ยิ่งได้ยินในหลวงพูดถึงเรื่องพึ่งตนเองหลายครั้ง กย็ งิ่ รสู้ กึ ว่าเราตอ้ งพ่ึงตัวเองใหไ้ ด้ 77
ครขู องแผน่ ดนิ “ลงมือทำเกษตรผสมผสานประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๘ทำนา ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ใหญ่ คิดว่าการพึ่งตนเองควรเริ่มจากปลูกเพื่อให้ตัวเรามีกินคิดเองง่ายๆ ว่าหากคนเรากนิ ขา้ วมอ้ื ละ ๑๐ บาท ครอบครวั หนง่ึ อยกู่ นั ๓ คน เฉพาะคา่กับข้าว วันหนึ่งตั้ง ๙๐ บาท ปีหนึ่งเป็นเงินหลายหมื่นบาทถ้าไม่ต้องซื้อกินก็ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนนี้ “ส่วนเรื่องการหาเงิน พ่อแม่เคยพูดไว้ก่อนตายว่าไปค้า ๓ ปี ไม่สู้มีแม่วัวหรือแม่ควาย ๓ ตัว เพราะวัวควายเพียง ๓ ตัว สามารถออกลูกหลานมาเป็นทรัพย์สินเราได้ทุกปี เลี้ยงง่าย กินแต่หญ้า ไม่ต้องพึ่งพาหัวอาหารใครมีวัวควายไม่ต้อง กลัวจน” จากวันที่เริ่มต้นลงมือทำเพื่อ“พึ่งตนเอง” และ“เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลาน” โดยการใช้ภูมิปัญญาพน้ื บา้ น รวมกบั การลองผดิ ลองถกู มานบั ๑๐ ปี ในปี พ.ศ.๒๕๔๘ พ่อลว้ น ทำใหแ้ ปลงนาท้ายหม่บู ้านหลุบควันกลายเป็นแปลงเกษตรผืนกว้างที่ เต็มไปด้วยผลผลิตนานาชนิดที่สำหรับบริโภคในครัวเรือนและเป็นรายได้ครอบครัว 78
ครขู องแผน่ ดิน “ตอนนี้เรามีเงินรายวันจากผักทุกอย่างที่ขายได้เงิน “ ทกุ วนั นค้ี ดิ วา่ ไดท้ ำความดดี ว้ ยการทำเปน็ ตวั อยา่ งรายเดอื นจากขายใบหมอ่ น ขายไก่ ขายปลา ขายกลว้ ยเงนิ รายปี แก่คนอื่น แปลงเกษตรผสมผสานของเรากลายเป็นที่ศึกษาจากการขายววั ขายไม้ยคู าลปิ ตสั และมีต้นไมย้ นื ตน้ เชน่ ขนุน ดูงาน คนมาอบรมมาอยู่กับเราเพื่อดูงานการทำเกษตรมะม่วง เป็นบำนาญตลอดชวี ติ ถึงตวั เราตายแล้วตน้ ไม้ก็ยังอยู่ แบบผสมผสาน การเลี้ยงไหม และปฏิบัติธรรมถ้าเขาออกลูกออกผลใหล้ ูกหลานได้อกี มาอบรมแล้วได้กลับไปทำจริง มีชีวิตที่ดีขึ้นก็ถือว่า “พอมกี นิ แลว้ คดิ วา่ เราตอ้ งสง่ เสรมิ เรอ่ื งวฒั นธรรมและ เราไดท้ ำประโยชน์ ไดต้ อบแทนคณุ แผน่ ดนิ เหมอื นทใ่ี นหลวงเรื่องธรรมะด้วยตอนแรกเราปลูกหม่อนเพื่อเก็บ ทา่ นไดต้ รสั ไวแ้ ลว้ ”ใบหม่อนขาย แต่ยาย(ภรรยา) เคยปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้าไหมมาก่อน เลยรื้อฟื้นวิธีการเลี้ยงไหม การสาวไหมขน้ึ มาเพอ่ื ใหว้ ฒั นธรรม การเลี้ยงไหม สาวเส้นไหมของคนอีสานได้สืบทอดต่อไป “ นอกจากนน้ั เราสองตายายยงั ชอบเขา้ วดั ปฏบิ ตั ธิ รรมเลยยกทด่ี นิ สว่ นหนง่ึ ใหเ้ ปน็ ทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรมมพี ระธดุ งคม์ าปกั กลดเวลามีคนมาอบรม มาดูงาน ยายจะเป็น คนสอนนั่งสมาธิพอมเี งนิ กส็ รา้ งอาคารสรา้ งกฏุ ิตงั้ ใจจะทำใหเ้ หมอื นวดั คดิ วา่ ธรรมะเปน็ เรอื่ งสำคญั ทตี่ อ้ งชว่ ยกนั ทำใหเ้ กดิ คนเราถา้ มธี รรมะไมว่ า่ จะทำอะไรจะ ประสบความสุขและความสำเร็จ 79
ครขู องแผน่ ดิน 80
ครขู องแผน่ ดิน 81
ครขู องแผ่นดนิ ตกั สลิ าแหง่ อีสานมหาสารคามเป็นดินแดนที่มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอาศยั มานานกวา่ ๔,๐๐๐ ปแี ลว้ จงึ เปน็ แหลง่รวมองค์ความรู้หลากหลายตั้งแต่อดีตกาลอีกทั้งยงั เป็นศูนยก์ ลางการศกึ ษาของภูมิภาคมาชา้ นานจนไดช้ อ่ื วา่ เปน็ “ตกั สลิ าแหง่ อสี าน”มีสถาบันการศึกษาเก่าแก่หลายระดับหลายสาขา แต่ละแห่งล้วนผลิตบุคลากรคุณภาพออกไปพัฒนาท้องถิ่นมากมาย หนึ่งในส ถ า บั น ก า ร ศึ ก ษ า ที่ เ ก่ า แ ก่ ที่ สุ ด คื อ มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม 82
ครขู องแผ่นดนิราชภฏั : มหามงคลนาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม “สถาบันราชภัฏ” ซึ่ง มีความหมายว่า “คนของพระราชา” แก่วิทยาลัยครู ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธุ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ นับเป็นมหามงคลนาม และเป็นพระมหากรุณาธิคุณ เป็นล้นพ้นแก่ชาวราชภัฏ นับแต่นั้นมาวิทยาลัยครู มหาสารคาม ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาเก่าแก่ของ จังหวัดมหาสารคาม จึงเปลี่ยนมาเป็น “สถาบันราชภัฏ มหาสารคาม” และ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม” ในเวลาตอ่ มา 83
ครขู องแผน่ ดิน 84
ครขู องแผ่นดนิพระราชลัญจกรประจำรชั กาล : ตราสัญลกั ษณ์พระราชทาน วนั ท่ี ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจา้ - รูปอุณาโลม ที่มีสัญลักษณ์เหมือนเลข ๙ หมายถึงอยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระราชลญั จกร พระเนตรดวงท่ี ๓ ของพระอศิ วร ทเ่ี ปย่ี มดว้ ยมหาฤทธานภุ าพประจำรชั กาล เปน็ ตราสญั ลกั ษณป์ ระจำสถาบนั ราชภฏั ทกุ แหง่ สามารถเผาจกั รวาลใหเ้ ป็นจลุ หมายความวา่ สถาบันราชภัฏทว่ั ประเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคามจงึ เปลย่ี นสญั ลกั ษณ์ ตอ้ งเปน็ ผูน้ ำทางดา้ นศลิ ปวิทยาการอันเอกอุเพอ่ื ยังประโยชน์จากตราพระวรุณ ซึ่งใช้มาตั้งแต่ยังมีสถานะเป็น “วิทยาลัย ให้เกดิ ขึ้นในทอ้ งถ่นิฝึกหัดครูมหาสารคาม” มาใช้พระราชลัญจกรประจำรัชกาล - รัศมีสีทองเปล่งประกาย ๓๒ แฉก คือสัญลักษณ์เป็นสัญลกั ษณ์ประจำสถาบนั มาจนทกุ วันนี้ แห่งพลังความจริง ความงามที่เปล่งประกายออกไปจากตราสญั ลกั ษณม์ ีความหมายดังนี้ สถาบันราชภฏั เพอ่ื ยงั ความเจรญิ ก้าวหนา้ อนั มั่นคงและย่ังยนื ให้บงั เกิดขึ้นกับท้องถ่ินทกุ แห่ง - รูปเศวตฉัตรสีขาว ๗ ชั้นตั้งบนพระแท่น ๘ ทิศหมายความว่า ชาวราชภัฏคือผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยตั้งอยู่บนความชอบธรรม - รูปวงจักร สัญลักษณ์ของศาสตรา หรือศาสตร์อนั ทรงอานุภาพ หมายความวา่ สถาบันราชภัฏตอ้ งเปน็ แหลง่รวมวทิ ยาการสำหรบั คนทงั้ ปวงในทอ้ งถิน่ 85
ครขู องแผน่ ดนิพระราชทานปริญญาบตั ร นบั จากปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ซงึ่ มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคามยงั มีสถานะเปน็ วทิ ยาลัยครู พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯใหส้ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร เสดจ็ ฯ แทนพระองค์ไปพระราชทานปรญิ ญาบัตรแก่ผูส้ ำเรจ็ การศึกษาเป็นประจำทุกปีจนถงึ ปัจจุบนั 86
ครขู องแผน่ ดิน 87
ครขู องแผ่นดนิสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ เสดจ็ ฯ ราชภัฏมหาสารคาม วนั ท่ี ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๓ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มาทรงเปิดอาคารเฉลมิ พระเกยี รติ ๗๒ พรรษา ณ สถาบนั ราชภฏั มหาสารคาม ยงั ความปลาบปลม้ื ปตี ยิ นิ ดแี กผ่ บู้ รหิ าร อาจารย์ นกั ศกึ ษาและประชาชนท่มี าเฝ้ารับเสดจ็ อยา่ งเนืองแน่น 88
ครขู องแผน่ ดิน 89
ครขู องแผ่นดินทลู กระหมอ่ มหญิงอบุ ลรัตน์ฯ ทรงเสดจ็ เปดิ งาน To Be Number One ทลู กระหม่อมหญิงอบุ ลรัตน ราชกัญญา สริ วิ ฒั นาพรรณวดี ทรงเสดจ็ พรอ้ มด้วย คณุ พลอยไพลิน เจนเซน่ทรงเปิดงาน To Be Number One ทม่ี หาวทิ ยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม เม่ือวันท่ี ๑๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๖ 90
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112