Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยในชันเรียนวิชาลูกเสือ

วิจัยในชันเรียนวิชาลูกเสือ

Published by อัฒชา คำสีทา, 2022-07-10 07:03:40

Description: วิจัยในชันเรียนวิชาลูกเสือ

Search

Read the Text Version

วิจยั ในช้ันเรียน การพัฒนาทกั ษะทางด้านลกู เสอื เรอ่ื งการผูกเงอ่ื น ของนกั ศึกษา กศน.ตาบลนาดี ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ผู้วจิ ัย นายอฒั ชา คาสที า กลุ่มสาระการพัฒนาสังคม รายวิชา ลูกเสอื กศน. สค32035 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอสวุ รรณคูหา สานกั งานส่งเสรมิ การการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั หนองบวั ลาภู สานกั งานสง่ เสริมการการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย สานักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

วิจยั ในช้ันเรียน การพัฒนาทกั ษะทางด้านลกู เสอื เรอ่ื งการผูกเงอ่ื น ของนกั ศึกษา กศน.ตาบลนาดี ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ผู้วจิ ัย นายอฒั ชา คาสที า กลุ่มสาระการพัฒนาสังคม รายวิชา ลูกเสอื กศน. สค32035 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอสวุ รรณคูหา สานกั งานส่งเสรมิ การการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั หนองบวั ลาภู สานกั งานสง่ เสริมการการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย สานักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

ประกาศคุณูปการ การศกึ ษาวิจยั ในคร้ังนส้ี าเร็จได้ดว้ ยความอนุเคราะหจ์ ากคณะครูผู้ชว่ ย ครูอาสาสมัคร กศน. ที่ได้ให้ ความช่วยเหลอื ให้ความรู้ ความคิด และใหค้ าแนะนา ตลอดจนการตรวจแก้ไขในขอ้ บกพรอ่ งต่างๆเป็นอย่างดี จนงานวจิ ัยครงั้ นสี้ าเร็จสมบรู ณ์ ผู้วิจยั ขอขอบคุณเป็นอย่างสงู ไว้ ณ ท่ีนี้ อัฒชา คาสีทา ผู้วจิ ยั

ชอื่ งานวิจัย การพัฒนาทกั ษะทางด้านลูกเสือ เรอื่ งการผกู เงื่อน ของนกั ศกึ ษา กศน.ตาบลนาดี ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ชอ่ื ผู้วิจัย นายอัฒชา คาสีทา กลมุ่ สาระการพฒั นาสังคม รายวิชา ลกู เสือ กศน. รหสั วิชา สค32035

บทคดั ยอ่ การศกึ ษางานวจิ ัยในครง้ั น้ี มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือ แก้ปญั หาด้านทกั ษะการผกู เงือนของลูกเสือ ของ นักศึกษา กศน.ตาบลนาดี โดยใช้สอื่ การผกู เง่ือนเชือก และการใหฝ้ ึกปฏบิ ัติ โดยใช้ โดยใช้สอื่ การผูกเงื่อนเชือก ทผ่ี ูว้ ิจยั ได้สร้างขน้ึ โดยการทาการวิจยั ในนักศึกษาระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย จานวน 25 คน จากการศึกษาพบว่า การใช้ส่อื การผูกเง่ือนเชือก และการให้ฝกึ ปฏิบตั ิ นกั ศึกษามีพฒั นาการด้านผกู เง่ือนเชอื กดีข้ึน ซึ่งผลสัมฤทธิ์จากการวจิ ยั ในครั้งน้ีมีส่วนสาคญั ที่ทาให้พฒั นาการของนักศึกษามีความเข้าใจ ย่ิงขนึ้ และสามารถผูกเง่ือนเชือกได้ดยี ง่ิ ข้ึน

คานา รายงานการพัฒนาทกั ษะทางด้านลกู เสอื เรอื่ งการผกู เงือ่ น ของนักศึกษา กศน.ตาบลนาดี โดยการใช้ สื่อการผูกเงื่อนเชกื สาหรบั นักศกึ ษาช้นั มัธยมศึกษาตอนปลาย จัดทาขน้ึ เพื่อแกป้ ญั หาด้านทกั ษะทางด้าน ลกู เสือ ของนกั ศกึ ษา โดยใช้ส่ือการผูกเงือ่ น และการฝึกปฏบิ ตั ิ ที่ผู้วิจยั ไดส้ รา้ งขึ้นพบวา่ ผลสัมฤทธิจ์ ากการ วิจัยในคร้ังนี้มสี ่วนสาคัญท่ีทาใหพ้ ฒั นาการของนกั ศกึ ษามีความเข้าใจยิง่ ขนึ้ และสามารถผูกเงือ่ นเชือกได้ดี ยิ่งขนึ้ ผวู้ ิจยั หวงั เป็นอย่างยิง่ วา่ รายงานฉบบั นี้จะเปน็ ประโยชน์แก่คณะครแู ละผู้สนใจ เพอื่ นาไป พัฒนาการ เรยี นการสอนในรายวิชา ลกู เสือ กศน. ต่อไป

สารบัญ หน้า บทท่ี 1 บทนา 1 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง 3 บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการวจิ ยั 10 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 14 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ 15 บรรณานุกรม ภาคผนวก

บทท่ี 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา การเรยี นการสอนในปจจุบนั นี้มีความสาคญั และจาเปนอยางยงิ่ ท่จี ะตองจัดการเรยี นการสอน ให เหมาะสมกบั ผูเรยี น เพ่ือใหผูเรียนสามารถทจี่ ะดาเนนิ ชีวติ ในสังคมและเปนกาลังสาคัญของชาติ ตอไป วิชา ลูกเสือจดั ไดวาเป็นอีกวชิ าหน่ึงทีก่ ระทรวงศึกษาธกิ ารไดพิจารณาเห็นวากจิ การของลกู เสือ - เนตรนารชี วยให เยาวชนของชาติไดพฒั นาทางดานรางกาย สติปญญา จิตใจ ระเบยี บวินัย มคี วาม สามัคคีมคี วามรับผดิ ชอบ เหน็ ใจผูอืน่ มีความเสยี สละ มีการพฒั นาตนเองอยูเสมอ ดงั พระราชประสงคของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจาอยูหัว รชั กาลที่ 6 พระองคพระราชทานกาเนดิ ลูกเสอื ไทยข้ึน เพอื่ พฒั นาเยาวชนใหเปนกาลังสาคัญ สรางความมัน่ คงใหแกชาตบิ านเมอื ง สอนให เยาวชนมีความจงรักภักดีตอชาติศาสนา พระมหากษตั รยิ รจู ัก บาเพญ็ ประโยชนตอผูอนื่ มีบุคลกิ ภาพ และลักษณะนสิ ัยทเ่ี หมาะสมกบั ความตองการของสงั คม วิชาลูกเสอื เปรียบเสมือนโรงเรียนสอนวิชา หนาทพ่ี ลเมือง กรมหมืน่ พิทยลาภพฤฒยิ ากร อดตี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ไดกลาวไววา “วิชา ลกู เสือเปนวชิ าทเี่ นนใหเด็กเปนคนทม่ี ศี ีลธรรม คณุ ธรรมและจริยธรรม เปนวิชาศีลธรรม ภาคปฏบิ ตั ิท่ีมี ความเหมาะสมแกสังคมไทยอยางย่งิ ” วชิ าลูกเสอื สอนธรรมชาติศึกษาและสรางสมรรถภาพของ เด็ก แตละคนโดยการพัฒนาในเร่ืองนิสยั ใจคอและสตปิ ญญา สขุ ภาพและพลังการฝมือและทักษะ เพ่อื ให เด็ก เหลาน้ไี ดรบั ความสนุกสนานและไดรบั ประโยชนกับตนเองและผูอน่ื (กองการลกู เสือกรมพลศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2541 : 1) ในการเรียนวิชาลูกเสอื มีกจิ กรรมมากมายใหผู้เรยี นไดฝกปฏิบตั ิ การผกู เงื่อนกเ็ ปนกจิ กรรม หนงึ่ ที่ต องอาศัยทักษะและตองมกี ารฝกใหเกิดความชานาญ เพื่อใหเหมาะสมกับกจิ กรรมทีจ่ ะใชได อยางถูกตอง รวดเรว็ และไมผดิ พลาด (คณะอนกุ รรมการลูกเสือ ฝายวชิ าการ สานกั งานคณะกรรมการ บริหารลกู เสอื แหงชา ต.ิ 2540 : 54) จากการจดั การเรยี นการสอนวชิ าลูกเสอื กศน. เรอ่ื งการผูกเงอ่ื น ครูใชวธิ ีการสอนโดย ครูเปนผูสาธติ ใหผู้เรยี นไดปฏบิ ัติตาม และจากวิธีการ สอนดงั กลาว สงผลใหผู้เรียนไมสามารถปฏิบัตติ ามขนั้ ตอนตาง ๆ ได ทัน เนอื่ งจากนักเรียนยังไม่คอ่ ยมพี ้นื ฐานและเหน็ การสาธติ ของครไู ดอยางชัดเจน ดวยเหตุผลและปญหาดังกล าว ผวู ิจัยจึงต้องการที่จะให้ผเู้ รียนไดม้ ีความรู้ในเรอื่ งการผูกเงอ่ื นเชอื ก เพ่ือนาไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน ไดอ้ ยางแทจรงิ วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ให้ผู้เรียนมคี วามรูใ้ นกระบวนการด้านทักษะทางลกู เสือในเร่อื งการผกู เงื่อน 2. เพือ่ ใหผ้ ูเ้ รยี นนากระบวนการด้านทักษะการผูกเงือ่ นไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้อยางแทจรงิ ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ บั ผ้เู รยี นมีความรูใ้ นกระบวนการด้านทักษะทางลกู เสอื ในเรอ่ื งการผกู เง่ือนและสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ ในชีวติ ประจาวนั ได้อยางแทจริง

ขอบเขตของการวิจยั 1. กลมุ่ เป้าหมาย นักศกึ ษา กลุ่ม กศน.ตาบลนาดี2 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย จานวน 25 คน 2. ตวั แปรต้น ชุดฝกึ ทกั ษะการผูกเง่ือน 3. ตวั แปรตาม ความสามารถในการผูกเง่ือน ของนักศกึ ษา กลมุ่ กศน.ตาบลนาด2ี ระดับมธั ยมศึกษาตอน ปลาย จานวน 25 คน เนอ้ื หาทใี่ ชในการทดลอง เนอื้ หาทใี่ ช้ในเรื่องการผกู เงื่อน ซงึ่ เป็นสว่ นหนึ่งของรายวชิ าลูกเสือ กศน. โดยแบ่งเน้อื หาออกเปน็ ตอน ดังน้ี ตอนท่ี 1 ประเภทการตอเชื่อก ไดแก เง่อื นพริ อด เงือ่ นประมง เง่ือนขดั สมาธิ ตอนที่ 2 ประเภททาเปน็ บว่ ง ไดแก เง่อื นเก้าอ้ี เงื่อนบว่ งสายธนู ตอนที่ 3 ประเภทผกู กับวตั ถุไดแก เงอื่ นตะกรดุ เบด็ เงื่อนผูกซงุ เง่ือนกระหวัดไม้

บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ้ ง ในการวจิ ัยครั้งนี้ ผูศึกษาไดคนควาเอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ งโดยไดนาเสนอตามหัวขอตอไปน้ี 1. เอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วของกบั การวิจัยและพฒั นาทางการศึกษา 1.1 ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา 1.2 เกณฑการหาประสิทธิภาพ 1.3 งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วของกบการวิจยั และพัฒนาทางการศกึ ษา 2. เอกสารท่เี กี่ยวกับ วิชา ลูกเสือ 1. เอกสารที่เก่ยี วของกับการวจิ ยั และพัฒนาทางการศึกษา การวิจัยและพฒั นาทางการศึกษา (Education Research and Development) เปนกลยทุ ธที่ นา มาใชในการพัฒนาการศกึ ษา และปจจุบันไดพัฒนากาวหนาข้นึ มาก ซ่ึงมีความหมายเพ่ือปรับปรงุ คณุ ภาพ ทางการศกึ ษาและลดชองวางระหวางการวิจัยพน้ื ฐานกบั กระบวนการนาไปใช อานาจ ชางเรียน (2532 : 24 – 28) กลาวถึงการวจิ ัยและขั้นตอนการวจิ ัยพฒั นาทาง การศึกษาวา การวิจยั ทางการศึกษามุงคนควาความรูใหม โดยการวิจยั พ้นื ฐาน หรอื มุงหาคาตอบ เกยี่ วกบั การปฏบิ ัติงาน โดยการวิจยั ประยุกตแมวาการวิจัยประยกุ ตทางการศึกษาหลายโครงการจะมี การพัฒนาผลติ ภณั ฑทาง การศึกษา เชน การวจิ ัยเปรยี บเทยี บประสทิ ธผิ ลของวิธีสอน หรืออปุ กรณการ สอน ผูวจิ ยั อาจพัฒนาส่ือหรอื ผลิตภณั ฑทางการศกึ ษาสาหรับการสอนแตละแบบ แตผลิตภัณฑเหลาน้ี ไดใชสาหรบั การทดสอบสมมุติฐาน ของการวจิ ัยแตละครง้ั เทาน้ัน ไมไดมกี ารพัฒนาไปสูการนาไปใชใน โรงเรียนทั่วไป มนตรี จุฬาวฒั นทล (2537 : 21 – 22) ไดเขียนเก่ยี วกบั การวจิ ัยและพฒั นาไววา วทิ ยาการ ตาง ๆ ในโลกปจจบุ นั มีมากมายและมักไดมาจากการวิจยั คนควาประเทศที่พฒั นาแลวและมีความ เจรญิ กาวหนาดีอย างตอเน่ือง มักจะมีความสนใจแสวงหาความรูใหมและภูมปิ ญญาใหมๆ ดวยตนเอง โดยการวิจยั และพัฒนา (R&D) ซง่ึ เปนที่ยอมรับโดยทั่วกนั วาหากตองการความรูใหมวทิ ยาการใหม ควรจะตองทาการวจิ ยั และพฒั นา ความมงุ หวังของการวิจัยและพัฒนาก็มักจะไดแกการประยุกตใช ความรูใหมน้นั ใหเกิดประโยชนอยางใดอยาง หนึง่ หรือใชความพยายามคิดเปนหลายรอยพนั คน-ป (Man – Year) แตหากตองการผลการวิจัยและพัฒนา มาชวยปรับปรุงแกไขผลิตภณั ฑทม่ี ีอยูเดมิ เวลา หรอื ความพยายามทจ่ี าเปนตองใชอาจนอยกวาการวิจยั และ พัฒนาเพ่ือสรางผลติ ภัณฑใหม บอรกและกอลล (Brog and Gall. 1979 : 798) ไดกลาวถึงหลกั การวิจยั และพัฒนาทาง การศึกษา ไวดงั น้ี การวจิ ยั และพัฒนาทางการศึกษา (Educational Research and Development หรอื R & D) เป นการพฒั นาการศึกษา โดยพ้ืนฐานการวิจยั (Research Based Education Development) เปนกล ยุทธ หรือวธิ ีการสาคัญวิธีหนง่ึ ทนี่ ิยมในการปรับปรุงเปลย่ี นแปลงหรือพฒั นาการศึกษา โดยเนนหลกั เหตผุ ลและ ตรรกวทิ ยา เปาหมายหลักคอื ใชเปนกระบวนการในการพฒั นาและตรวจสอบคุณภาพของ ผลิตภัณฑทาง การศึกษา (Education Product) อนั หมายถึง วัสดคุ รภุ ณั ฑทางการศึกษา ไดแก หนังสือแบบเรยี น ฟลม สไลด เทปเสยี ง เทปโทรทัศน คอมพิวเตอรและโปรแกรมคอมพวิ เตอรฯลฯ

ขั้นตอนการวจิ ัยและพฒั นาทางการศึกษา บอรกและกอลล (Borg and Gall 1979 : 222 - 223) ไดสรปุ ขน้ั ตอนสาคญั ของการวิจัย และพฒั นาไว 11 ขนั้ ตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 กาหนดผลติ ภณั ฑทางการศกึ ษาท่จี ะทาการพฒั นา ขัน้ ตอนแรกทจี่ าเปนท่ีสุดคือ ตอง กาหนด ใหชัดวาผลิตภัณฑทางการศกึ ษาทจ่ี ะวิจัยหรือพฒั นาคืออะไร โดยตองกาหนดลักษณะท่ัวไป รายละเอยี ดของ การใช วัตถปุ ระสงคของการใชเกณฑในการเลือกกาหนดผลติ ภัณฑ การศึกษาทีจ่ ะ วจิ ยั หรือพัฒนาอาจมี 4 ขอ คอื 1.1 ตรงกับความตองการอันจาเปนหรือไม 1.2 ความกาวหนาทางวิชาการทีพ่ อเพยี งในการทีจ่ ะพัฒนาผลิตภณั ฑทีก่ าหนดหรือไม 1.3 บคุ ลากรท่ีมีอยู มีทักษะความรูและประสบการณท่จี าเปนตอการวจิ ยั และพัฒนานนั้ หรอื ไม 1. 4 ผลิตภณั ฑนน้ั จะพัฒนาขน้ึ ในเวลาอนั สมควรไดหรอื ไม ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูลและงานวิจัยทเ่ี กย่ี วของ คือการศึกษาทฤษฎีและงานวจิ ัย การ สังเกต ภาคสนามซ่ึงเก่ียวของกับการใชผลิตภัณฑการศึกษาท่ีกาหนด ถามคี วามจาเปนผูทาการวิจยั และพัฒนาอาจต องทาการศึกษาวิจัยขนาดเลก็ เพื่อหาคาตอบซึ่งงานวจิ ยั และทฤษฎที ่มี ีอยูไมสามารถ ตอบไดกอนที่จะเริม่ ทา การพฒั นาตอไป ขน้ั ที่ 3 วางแผนการวจิ ยั และพฒั นา ประกอบดวย 3.1 กาหนดวัตถุประสงคของการใชผลผลติ 3.2 ประมาณคาใชจายกาลงั คน และระยะเวลาทีต่ องใชเพ่ือศึกษาหาความเปนไปได 3.3 พิจารณาผลสืบเน่ือง ผลผลติ ขั้นท่ี 4 พฒั นารูปแบบขน้ั ตนของผลติ ภณั ฑ ข้ันนเ้ี ปนข้นั การออกแบบและจดั ทาผลิตภณั ฑ การศึกษา ตามที่วางไวเชน ถาเปนโครงการวิจัยและพฒั นาหลักสูตรฝกอบรมระยะสนั้ ก็จะตอง ออกแบบหลักสูตร คูมือผู ฝกอบรม เอกสารในการฝกอบรม และเครื่องมือการประเมินผล ขั้นที่ 5 ทดลองหรือทดสอบผลติ ภณั ฑคร้ังที่ 1 โดยนาผลิตภณั ฑทอี่ อกแบบจัดเตรยี มไวในขนั้ ท่ี 4 ไป ทดลองใชเพือ่ ทดสอบคุณภาพขนั้ ตนของผลิตภัณฑในโรงเรียนจานวน 1-3 โรงเรียน ใชกลมุ ตวั อยางกลุมเล็ก 6-12 คน ประเมนิ ผล โดยใชแบบสอบถาม การสังเกตและการสมั ภาษณแลว รวบรวมขอมูลมาวิเคราะห ขน้ั ท่ี 6 ปรบั ปรงุ ผลิตภณั ฑคร้ังท่ี 1 นาขอมูลและผลจากการทดลองใชจากข้ันตอนที่ 5 มา พิจารณา ปรบั ปรุง ขั้นท่ี 7 ทดลองหรือทดสอบผลติ ภณั ฑครงั้ ท่ี 2 ข้ันน้นี าผลติ ภัณฑทีป่ รับปรงุ ไปทดลองเพ่ือ ทดสอบ ผลติ ภณั ฑตามวตั ถปุ ระสงคโรงเรียนจานวน 5-15 โรงเรียน ใชกลมุ ตวั อยาง 30-100 คน ประเมนิ ผลเชงิ ปริมาณในลักษณะ Pre-test กับ Post-test นาผลไปเปรียบเทยี บกับวัตถุประสงคของ การใชผลิตภณั ฑอาจ มีกลุมควบคุม กลุมทดลองถาจาเปน ขั้นท่ี 8 ปรับปรงุ ผลติ ภณั ฑครั้งที่ 2 นาขอมลู และผลจากการทดลองใชจากข้ันตอนท่ี 7 มา พิจารณา ปรบั ปรุง ขั้นที่ 9 ทดลองหรือทดสอบผลติ ภัณฑครงั้ ท่ี 3 ขนั้ น้นี าผลติ ภัณฑที่ปรบั ปรุงไปทดลองเพอื่ ทดสอบ คุณภาพการใชงานของผลติ ภัณฑโดยใชตามลาพังในโรงเรยี น 10-30 โรงเรยี น ใชกลมุ ตวั อยาง 40-200 ประเมินผลโดยการใชแบบสอบถาม การสังเกต และการสมั ภาษณแลวรวบรวม ขอมลู มาวิเคราะห ขั้นท่ี 10 ปรบั ปรงุ ผลติ ภัณฑคร้งั ท่ี 3 นาขอมลู และผลการทดลองขัน้ ที่ 9 มาพจิ ารณาปรบั ปรุง เพอื่ ผลติ และเผยแพรตอไป

ขน้ั ท่ี 11 เผยแพร เสนอรายงานเกี่ยวกับผลการวิจัยและพัฒนาผลติ ภัณฑในท่ีประชมุ สมั มนา ทาง วิชาการหรอื วิชาชพี สงไปลงเผยแพรในวารสารทางวชิ าการและตดิ ตอกบั หนวยงานทางการศกึ ษา เพ่ือจดั ทา ผลิตภณั ฑทางการศกึ ษา เผยแพรไปใชในโรงเรียนตาง ๆ หรอื ติดตอบริษทั เพ่ือผลิตจาหนาย ตอไป จากข อความขางตนสามารถสรุปไดวา การวจิ ัยและพฒั นาทางการศกึ ษาเปนรูปแบบที่ สามารถปรบั ปรงุ พัฒนาท้งั ทางดานคุณภาพและประสิทธภิ าพไดเปนการเพ่ิมศักยภาพทางการวจิ ัยให สัมพันธกับการนาไปใชจริงและ สามารถนาไปพัฒนาในระดับ ตอไป เกณฑการหาประสทิ ธภิ าพ การกาหนดเกณฑประสิทธภิ าพเปนการคาดหมายวาผูเรียนจะบรรลจุ ดุ ประสงคหรือเปลยี่ น พฤติกรรมเปนที่พึงพอใจของผูประเมนิ โดยกาหนดใหเปนเปอรเซ็นตผลเฉล่ียของคะแนนการทางาน และการ ประกอบกิจกรรมของผูเรยี นท้ังหมด นั้นคือ E1 / E2 หรอื ประสิทธภิ าพของกระบวนการ / ประสทิ ธภิ าพของ ผลลัพธ์ งานวิจยั ท่เี ก่ียวของกับการวิจัยและพฒั นาทางการศึกษา เมธี เจรญิ สขุ (2538 : 56) ไดศึกษา เพ่อื พัฒนาและเปรียบเทียบรายการวีดิทัศนทีผ่ ลิตขน้ึ โดยใชกล อง ถายวดี ทิ ัศนเพียงตวั เดยี วถายภาพอยางตอเน่ืองกับการสอนตามปกติผลการทดลองพบวา รายการ วีดิทศั นอยู ในระดับปานกลางและการเรียนจากรายการวดี ิทัศนทาใหนักเรยี นมผี ลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนสงู กวาการสอน ปกตอิ ยางมนี ัยสาคัญทางสถิติตทรี่ ะดบั .01 อาศิรา สามหวย (2538 : 48) ไดศกึ ษาเพื่อพฒั นาและหา ประสิทธภิ าพของรายการวดี ิทัศน ประกอบการสอนจริยธรรม เร่ือง มารยาทไทย พบวา รายการวดี ทิ ัศน ประกอบการสอนนั้น ในกจิ กรรม การไหวนกั เรียนสามารถทาไดรอยละ 91.67 กจิ กรรมการกราบ นักเรยี น สามารถทาไดรอยละ 90.67 และกิจกรรมการรับของสงของ นกั เรียนสามารถไดรอยละ 87.83 ผลรวมของ กจิ กรรมทุกกิจกรรม ได รอยละ 89.48 ดังนน้ั สรปุ ไดวา รายการวีดิทัศนที่ผูวิจัยสรางนัน้ มีประสทิ ธิภาพตาม เกณฑ 80/80 ตาม เกณฑที่ตงั้ ไว 2. เอกสารท่ีเกี่ยวของกับ วิชา ลูกเสอื ประวัติลูกเสอื โลก ผูท่ใี หกาเนิดลกู เสือโลก คือ ลอรด เบคอน-โพเอลลชือ่ เต็ม เรียกวา “โรเบิรต เสเตฟเฟน สไมธ เบเดน โพเอลล” ในวงการลกู เสอื มักเรียกยอๆวา บี - พี (B.P.) บ-ี พีเกิดวันท่ี 22 กมุ ภาพันธพ.ศ. 2400 เปนบตุ รคน ท่ี 8 ในจานวน 10 คน ของ ศาสตราจารย เอช. จ.ี เบคอน – โพเอลล กับนาง เฮนรเี อตตา เกรช สไมธ บิดา ถงึ แกกรรมขณะที่ บี - พีมีอายุเพียง 3 ปในชีวิตวัยเดก็ บี - พีเปนคนราเริง ชอบเลนกบั สัตวชอบตนไมตอนวยั เด็กไดเรียน ในโรงเรยี นมธั ยมชาเตอรเฮาสที่แหงนไ้ี ดฝกใหบี – พีมรี ะเบียบวนิ ัย ชอบเลนกฬี า ชอบผจญภัย รกั ธรรมชาติชอบใชชีวิตกลางแจง เปนคนชางสงั เกตและจา และไดเรยี นรูชีวติ แบบชาวปา เมอ่ื บี – พี อายุได 19 ปหลงั จากจบโรงเรยี นมธั ยมชารเตอรเฮาสจงึ ไดสอบเขารับราชการในกองทัพบกเปนรอย ตรปี ระจากองทหารท่ี ประเทศอนิ เดียเป็นเวลา 8 ปจนไดรับยศเปนรอยเอก หลงั จากน้ัน บี – พียายไป ประจาการกองทหารท่ี แอฟริกา ไดปราบพวกอะชนั ติพวกซลู พู วกมาตาบิล่ีแลนดและการรบทีเ่ มือง มาฟอีคิงถือเปนการรบท่สี าคัญ ทีส่ ดุ ของ บี – พีซึง่ ไดรบั การยกย่องวาเปน “วรี บรุ ุษ”

จากประสบการณเมืองมาฟอีคงิ บี – พจี ัดใหเด็ก ๆ มาชวยเหลอื ในการรักษาเมือง เชน การ ทาหนาท่ี เปนผูสอ่ื ขาวและสอดแนม รักษาความสงบภายใน ซง่ึ ไดผลดไี มแพผูใหญ ส่งิ นเ้ี องทาใหบี – พีนาหลักการน้ีมา ทดลองนาเด็ก 20 คน ไปอยูคายพักแรมที่เกาะบราวนซีในปพ.ศ. 2450 ซ่งึ ถือเปน จุดกาเนิดการลกู เสือโลกป น้เี อง ในปพ.ศ. 2463 มีการชุมนมุ ลกู เสอื โลกและไดยกใหบี – พีเปน “ประมุขคณะลูกเสือโลก ตลอดกาล” ปพ.ศ. 2471 บี – พีไดรับพระราชทานบรรดาศักดิ์เปน “บารอน เบดอนโพเอลลแหงกลิ เวลล” บี – พีถงึ แก กรรมเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2484 ทีเ่ มอื งเคนยา ในแอฟริกาอายุได 84 ป ประวตั กิ ารลูกเสือไทย เม่อื ร.ศ.112 (พ.ศ. 2437) ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลาเจาอยูหัว ซง่ึ ขณะนนั้ ดารง พระยศเปนเจาฟามหาวชิราวธุ กาลังจะเสดจ็ ไปทรงศึกษาตอ ณ ประเทศองั กฤษ ไดม้ ีเหตุการณ์ท่ีไมคาดฝนอนั ย่งิ ใหญเกดิ ขึน้ กบั ประเทศสยาม คอื ประเทศฝรั่งเศสไดสงเรือรบ 3 ลา ไดแก เรือรบลู แดง, แองกองสตัง และเรดคอมเมท เขาปดปากอาวไทย และไดมกี ารปะทะกับกองทัพเรือไทย ตง้ั แต ปอมพระจุลจอมเกลาฯ และปอมผีเสอ้ื สมุทร จนกระท่ังเรือรบท้ัง 3 ลาของฝรั่งเศสไดมาจอดอยูหนา สถานกงศุล ฝรัง่ เศสท่ีจังหวัด สมุทรปราการเรียบรอย การปะทะกันในครง้ั นัน้ ไทยเสียเรือรบไมไปหลายลา เชน สุครีพลางสมทุ ร และมงกุฎ ราชกมุ าร แตเรอื รบเหล็กของฝรง่ั เศสเสยี หายเพียงเล็กนอย ฝรัง่ เศสไดถือเอาเหตุการณท่ีปะทะกับไทยในครงั้ นี้ เปนสาเหตเุ รียกคาเสยี หายจากประเทศไทย โดยยอนไปตัง้ แตทหารไทยกับทหารฝรั่งเศสปะทะกันที่ทุง เชียงคา และทุงคามวน (อยูในประเทศลาว) ซงึ่ ฝรั่งเศสเปนฝายแพอยางยับเยนิ จากการปะทะกันทีป่ ากนา้ ครง้ั น้ัน ไทยตองชดใชเปนเงนิ 3 ลานฟรงั คและมีข้อผกู มัดตาง ๆ ดังนี้ - ใหไทยยกดนิ แดนฝงซายของแมนา้ โขงทั้งหมด (ซึ่งอยูในประเทศลาว ปจจุบันใหแกฝร่ังเศส) - ดนิ แดนฝงขวาของแมนา้ โขงตลอดแนวแมน้า ในระยะทาง 40 กิโลเมตร จากฝงตองเปนเขต ปลอด ทหาร (ซงึ่ อยูในประเทศไทย) - ระยะทาง 15 กโิ ลเมตร จากริมฝงขวาของแมนา้ โขง เขามา ประเทศไทยจะตองยอมให ฝรง่ั เศสตั้ง สถานีเกบ็ ฟนสาหรบั ใชกับเรือกลไฟของฝร่งั เศสได - กองทัพไทยจะเพมิ่ กาลงั ทหารข้นึ อีกไมได - ภาษผี านดานหรอื ภาษีศลุ กากร ใหไทยเก็บจากฝรั่งเศสไดรอยละ 3 เทานน้ั จากวกิ ฤติการณในครง้ั นี้ ทาใหลนเกลาฯ (ร.6) ทรงเจบ็ ชา้ น้าพระทยั เปนอยางยิ่ง ถึงกบั ทรง ขอรองกบั พระราชบิดา (ร.5) วาจะขออยู ในประเทศไทย ไมไปศึกษายังประเทศองั กฤษ เพ่ือจะคอย ชวยเหลอื บานเมืองยามคับขนั แตพระราชบดิ ามิ ทรงยินยอม กลบั ตรสั วา “จงไปศกึ ษาหาความรู้ให้มากที่สดุ เพื่อมาชวยปองกันประเทศชาติของเรา ซ่ึงอาจจะ มีเหตกุ ารณทค่ี บั ขนั มากกวานี้อกี หลายเทาใน วันขางหนา” ลนเกลา (ร.6) จึงจาพระทัยตองเสด็จไปทรง ศึกษาตอในประเทศอังกฤษตาม หมายกาหนดการเดมิ แตความเจ็บชา้ พระทัยมิไดหายไปแตประการใด เมื่อได เสด็จไปถงึ ประเทศอังกฤษและทรงศึกษาท้งั ทางดานอักษรศาสตร, ปรัชญา, การเมือง, การทหาร และไดทรง เห็นประเทศ องั กฤษจดั ต้งั กองลูกเสือขน้ึ เปนครง้ั แรก ทรงเหน็ วาถานาเด็กมาฝกไวแตยังเยาววยั นนั้ โตข้ึนจะ นา ประโยชนใหแกประเทศชาติไดอยางมหาศาล เมื่อพระองคสาเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ กลับมาถึงประเทศไทย ความทรงจาของ พระองคยัง มไิ ดลืมเลือนไปแมแตนอยจึงไดทรงพระราชนพิ นธทั้งบทความ เพลงปลุกใจ เชน สยามมา นุสติขนึ้ มา โดยเฉพาะคาวา “แมหวงั ต้ังสงบจงเตรยี มรบใหพรอมสรรพ”

ทรงตง้ั กองเสือปาขึ้นเมอ่ื 1 พฤษภาคม 2454 เพื่อเปนการฝกขาราชการพลเรอื นใหมีความรู ทาง วชิ าการ รูจกั สอดแนม ลาดตระเวณ ใชอาวธุ ปน เพ่ือเปนกาลังสารองชวยทหารเม่ือมีความจาเปน พระองคได ทรงเปนผูบงั คับบัญชาการซอมรบของเสือปาดวยพระองคเอง ทรงสนบั สนนุ กจิ การของเสือ ปาทกุ ดาน จนทา ใหฝายทหารเกดิ ความนอยใจวาพระองคทรงสนพระทยั แตเสือปา สวนทหารซ่ึงมี หนาท่ปี องกนั ประเทศชาติ โดยตรงกับเฉยเมย แตเขาเหลานั้นไมรหู รอกวา “สญั ญาระหวางไทยกับ ฝรั่งเศสนน้ั เขาหามสงเสริม และเพม่ิ กาลังทหาร” ถงึ กับมีทหารกลุมหนึ่งคิดลอบปลงพระชนมพระองค แตกม็ ีสง่ิ ศักด์ิสิทธ์ิดลใจใหทหารทีไ่ ดรับส งใหมาลอบปลงพระชนมกลับใจ นาความกราบบังคมทูลให ทรงทราบ และพระองคก็ไดทรงพระราชทานอภยั โทษใหทุกคน เม่อื ทรงเหน็ วาเสือปาเปนกาลังสารองไดแลวจึงทรงมีพระราชดารวิ าเม่อื พอเปนเสือปา เอาลกู มาฝ กเปน็ ลูกเสอื กจ็ ะไดประโยชนอยางมหาศาล เพราะพอทุกคนตองการใหลูกเสอื เปนคนดีพอสอน ลกู กจ็ ะสอนให อยางไมใหป้ ดิ บงั จึงไดทรงต้งั กองลูกเสือขน้ึ เมอ่ื 1 กรกฎาคม 2454 และไดทรงแตงต้ังให “นายชัพพ บุนนาค” เปนลกู เสอื คนแรก (กองการลกู เสือ กรมพลศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. 2541 : 6) ประวตั เิ นตรนารไี ทย เมื่อ พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว รัชกาลท่ี 6 ไดทรงโปรดเกลาฯ ตั้ง กอง เสอื ปา่ ขน้ึ และในปเดียวกันพระองคทานกไ็ ดทรงจัดตั้งกองลกู เสือขน้ึ เพอ่ื อบรมจิตใจเด็กชายใหมี ความกล าหาญ อดทน เขมแข็งสมชาย รจู ักบาเพ็ญตนใหเปนประโยชนแกผูอ่นื กิจการลกู เสือได แพรหลายไปท่วั ประ เทศกอนพระราชบัญญัตปิ ระถมศึกษาถงึ 10 ปจงึ นับไดวาการลูกเสือเปนอุปกรณ การศึกษาทดี่ ีเลศิ ตอมา พระองคไดทรงคานึงวาสตรีและเด็กหญิงกอ็ าจเปนกาลงั ของชาตไิ ดจึงไดทรงตง้ั กลุม สตรีข้ึนมา เรียกวา “สมาชกิ แมเสือ” โดยใหรบั สมคั รบรรดาสตรที ี่สวนมากเปนบตุ รและภรยิ าของเสอื ปา สมาชกิ แมเสอื เหลานต้ี องเสยี คาบารุงดวย ผูใหญคนละ 2 บาท เด็กคนละ 60 สตางค สมาชกิ แม เสือมีสิทธปิ ระดับเข็มเครื่องหมาย เปนรูปหนาเสือ ทาดวยเงิน อันเชิญพระปรมาภไิ ธยยอ ว.ป.ร. ทรงอณุ าโลม มโี บวสีดาทาเปนรปู ดอกจนั ทรลอด ใตเข็มเครอื่ งหมายติดไวที่อกเสอื งานสาคัญ ๆ ที่ สมาชกิ แมเสือไดปฏิบตั เิ ปนการประจาในครั้งน้ัน คือการ จดั หาเสบียงอาหาร และเวชภัณฑสงใหกอง เสือปา ในขณะนนั้ แม้สมาชิกแมเสือยังไมมีเครื่องแบบแตงและไมมีระเบียบขอบังคับ เปนการตายตวั สวน เด็กหญิงนน้ั พระองคไดมีพระราชดารทิ ่จี ะจดั ตง้ั ข้นึ เปนกองลูกเสอื หญงิ โดยไดทรงคดิ นาม พระราชทานไววา “เนตรนารี” ดว้ ยทรงเหน็ วาเด็กหญงิ ยอมมีความสาคญั แกครอบครัว ถาไดรบั การ ฝกอบรมตามวิธีของ ลูกเสอื บางก็จะเปนประโยชนแกประเทศชาติเปนอนั มาก จึงทรงรางขอบงั คบั ลักษณะการปกครองคณะเนตร นารีข้ึน เมอ่ื พ.ศ. 2456 ดังมีความเบ้ืองตนดังน้ี “พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยูหัวทรงพระราชปรารภวา ไดทรงต้ังกองลกู เสือขึ้น เพ่ือบารุง เด็กชายให ไดรบั การฝกฝนเพื่อทจี่ ะเปนผูมลี ักษณะสมกบั ที่เปนพลเมืองอันพึงปรารถนา มีพระราช ประสงคท่จี ะ ทะนุบารุงเด็กผูหญิงดวย เพราะเดก็ ผูหญิงเปนผูทีม่ ีความเปนผูนา นาแตปฐมวยั คือ เดก็ ผหู ญิงเปนผูทีน่ า ทางพีน่ อง นาทางแม บางทถี ึงนาทางบิดามารดาดวยเมื่อเติบโตขน้ึ เปนสาวกน็ า ทางชายหนงึ่ ทม่ี าประสบ เม่ือ ถงึ คราวทีต่ องเปนมารดาก็ย่อมเปนผูนาของเดก็ ซ่ึงจะเติบโตเปนพลเมือง ในสมัยขางหนาไปตามท่ีไดรบั การ อบรมไว จงึ มีพระราชดารวิ าถึงเวลาทคี่ วรจะฝกหัดใหหญิงเปนผูนา ทางไปท่ีชอบ คือ ฝกฝนใหเดก็ หญงิ เหมาะ ทจี่ ะเปนพลเมืองดใี นภายหนา ดานการอบรมนสิ ัย ฝกหัดให รูจกั สงั เกต รูจักอยูในถอยคาของผูใหญ ตลอด

จนอยใู นประราชกาหนดกฎหมาย มีความจงรักภกั ดตี อ ผใู หญของตน ตลอดถึงชาตศิ าสนา พระมหากษัตริยมี ความเอ้ือเฟอเผื่อแผตอผูอน่ื ทาประโยชนแก มหาชนและในกจิ การท่จี ะเปนประโยชนแกตน ก็ฝกหัดรางกาย ใหเจรญิ เตม็ ทจ่ี ึงทรงพระกรุณาโปรด เกลาฯ ใหตราขอบงั คับลกั ษณะปกครองคณะเนตรนารีขึน้ ไว” ในครง้ั นั้น โรงเรียนสตรที ีส่ าคัญคือ โรงเรียนสตรีวังหลัง ซงึ่ ตอมาไดเปล่ยี นช่อื เปนโรงเรยี น วฒั นา วทิ ยาลยั ก็ไดสนองพระราชดาริโดยจัดต้ังกองเนตรนารขี ้ึนเปนโรงเรียนแรกเม่อื พ.ศ. 2457 โดย มีคณุ หนุย (พ่ีสาวของพระนางเจาสุวัฒนาพระวรราชเทวีซง่ึ ทรงเปนพระราชมารดาของสมเดจ็ พระเจา ภคนิ เี ธอเจาฟา เพชรรัตนราชสุดา สริ ิโสภาพัณณวดพี ระราชธดิ าของสมเด็จพระมงกฎุ เกลาเจาอยูหัว) และเพื่อนอีก 11 คน เป นเนตรนารีรุนแรก เคร่ืองแบบของเนตรนารที ใ่ี ชในคราวนน้ั คือ เสื้อผาขาว คอ ปกผกู โบวแดงท่คี อ ตัวยาวคลุม สะโพก นุงกางเกงผาสีน้าเงนิ แบบลูมเมอรคือกางเกงขาใหญมีสายรดั ใหพองอยูเหนือเขา ความพองของผาตก ลงมาคลุมเขา สวมรองเทาผ้าใบสดี า ถงุ เทาสดี า สวมหมวก ปกสีขาวตลบปกดานขวาขน้ึ มีโบวแดงเยบ็ ติดตรง กลางดานที่ตลบ ภายหลงั เปลยี่ นการปกครองเม่อื พ.ศ. 2475 กจิ การลูกเสือทรุดโทรมลงมากจิ การเนตรนารี ซง่ึ มีสภาพเชนเดียวกันก็พลอยทรดุ โทรมลงไปดวย มีการต้ังหนวยยุวชน และยุวนารีข้ึนในสมยั จอมพล ป. พบิ ูลยสงคราม เปนผูนาของชาตกิ ารลกู เสือก็ยิง่ ซบเซามากขน้ึ อกี หลายปตอมา เม่อื กิจการลูกเสอื ชายไดรับ การฟนฟขู ้ึนแลว เรือเอกหลวงชัชวาลชลธีหัวหนากองลูกเสือจงึ ไดนารางขอบงั คบั ลักษณะ ปกครองเนตรนารี ซึง่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว ทรงเขยี นไวไปมอบใหทานผูหญิงดษุ ฎี มาลากุล ขณะนั้นดารงตา แหนงเปนอุปนายกสโมสรวัฒนธรรมหญงิ เมื่อ พ.ศ. 2497 และขอใหรอื้ ฟน กิจกรรมเนตรนารขี ึน้ ใหม่ หลกั สตู รวิชาลกู เสือ เร่ือง การผูกเงอื่ น แนวคิดของการเรยี นการสอน กองการลกู เสือกรมพลศึกษากระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2544 : 80 - 81) กิจกรรมตาง ๆ ของ ลูกเสอื เป็นกิจกรรมกลางแจงตองอาศยั การผูเง่ือนที่ถูกตอง ผูปฏบิ ัตกิ จิ กรรมจงึ จะปลอดภัย ดังนน้ั ลกู เสอื จะตองเรยี น รแู ละฝกึ ผูกเง่ือนใหถกู ตอง รวดเรว็ รวมทงั้ ใชประโยชนใหตรงกับลกั ษณะของเง่ือน น้ัน ๆ จุดประสงค 1. ลกู เสือสามารถผกู เง่ือนตามขั้นตอนตางๆไดถูกตอง 2. ลกู เสือสามารถบอกประโยชนในการผูเง่ือนไดอยางถูกตอง ขอบขายเนอื้ หา เงอื่ นที่ 1 เงือ่ นพริ อด เง่อื นท่ี 2 เงื่อนขดั สมาธิ เงอื่ นที่ 3 เงือ่ นตะกรดุ เบ็ด เงอ่ื นที่ 4 เงื่อนผูกรงั้ เง่อื นท่ี 5 เงอ่ื นบวงสายธนู เง่อื นที่ 6 เง่อื นผกู ซุง เงอ่ื นท่ี 7 เงือ่ นประมง เงือ่ นท่ี 8 เงอ่ื นผูกคนลาก เงอ่ื นที่ 9 เงอ่ื นเกาอี้ เงอ่ื นท่ี 10 เง่อื นกระหวดั ไม เชือก หมายถึง วสั ดุท่ีทาดวยเสนใยธรรมชาตหิ รือใยสงั เคราะหนามาพันเปนเกลยี ว มีความ ยาวและ ขนาดตางๆกนั เพ่ือนามาใชประโยชนในการผกู หรือลากจงู ในงานตางๆ ชนิดของเชือก 1. เชือกมนลิ า มีความเหนยี ว ออนตวั ดีกวาเชือกทุกชนดิ ถาใชในทแ่ี หงจะทนดแี ตถาเปยก นา้ บอยๆ จะผเุ ร็ว 2. เชอื กกาบมะพราว ทาจากกาบมะพราว มีน้าหนักเบา ลอยน้าไดไมจมน้า เหมาะสาหรับใช การใน น้า ใชกาลงั ไดไมมาก มีกาลังเพียง ¼ ของเชอื กมนลิ าที่มขี นาดเทากนั

3. เชอื กปาน ทาจากปานชนิดหน่งึ มีสเี หลอื งออน ไมขาวเทามนิลา มคี วามเหนียวเทาเชือก มนลิ าแต ผเุ ร็ว ราคาถูกกวา 4. เชอื กไนลอน ทาดวยไนลอน มที กุ ขนาด ผูกยาก เพราะคลายตวั งาย ถาออกกาลังมาก เชอื กยืดได เหมาะใชงานในีนา้ 5. เชือกปอ เปนเชอื กขนาดเลก็ ทาดวยปอกระเจา ใชไดชว่ั คราว เชน ใชขนั ชะเนาะ นอกจากนย้ี งั มีพนั ธุไมอกี หลายชนิดทส่ี ามารถนาลาตนและเปลือกมาทาเปนเชือกโดยไมตอง ผานก รรมวิธยี ุ่งยากเชน เชือกกลวยเชอื กปอเชือกกกเชือกหวายเชอื กไมไผ เชอื กเถาวลั ย เปนตน สวนประกอบของเชือก เชอื กประกอบดวย 3 สวน คือ 1. สวนปลายเชอื ก คอื สวนที่นับจากปลายสดุ ของเชือก 2. สวนตนเชอื ก คอื สวนท่ีอยูถัดจากปลายเชือกเขามา สามารถนามางอขดหรือทาเปนเงื่อน ตางๆได 3. สวนตวั เชือก คือ สวนที่ตอจากตนเชือก เปนสวนที่ใชในการมัด ผกู ลาก ฉุด ตองอยูใน สภาพดี เกลียวไมขาดหรือชารดุ และเหนียว

บทท่ี 3 วิธดี าเนนิ การวจิ ยั การพฒั นาทกั ษะทางด้านลูกเสือ เรอื่ งการผูกเง่ือน สาหรบั นกั ศกึ ษา ช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน. ตาบลนาดี วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย คอื 1. เพ่ือให้ผเู้ รยี นมีความรู้ในกระบวนการดา้ นทักษะทางลกู เสือในเรื่องการผกู เงอ่ื น 2. เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนนากระบวนการด้านทกั ษะการผกู เง่ือนไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวันได้อยางแทจรงิ โดยมีวิธกี ารดาเนนิ การวิจยั ตามขน้ั ตอนดงั ต่อไปนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. ตัวแปรท่ีศึกษา 3. เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย 4. การสร้างเคร่อื งมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การรวบรวม 6. การวิเคราะหข์ ้อมลู 7. สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล กลมุ่ เปา้ หมาย ประชากร นักศกึ ษา กศน.ตาบลนาดี ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย กลุ่มตัวอยา่ ง นักศึกษา กศน.ตาบลนาดี ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 จานวน 25 คน โดยการส่มุ แบบเจาะจง ตัวแปรทศ่ี กึ ษา ตวั แปรต้น ชุดฝกึ ทักษะการผูกเง่ือน ตัวแปรตาม ความสามารถในการผกู เงอ่ื น ของนักศึกษา กลุ่ม กศน.ตาบลนาด2ี ระดบั มธั ยมศึกษาตอน ปลาย จานวน 25 คน เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมอื ที่ใช้ในการวิจัย ประกอบดว้ ย 1. ชดุ ฝึกทักษะการผูกเง่ือน 2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นก่อนและหลงั การใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ 3. แบบสอบถามความพงึ ใจ

การสร้างเคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัย 1. แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้และชดุ ฝกึ ทักษะการผกู เง่ือน สาหรับ นกั ศกึ ษา กศน.ตาบลนาดี ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ซง่ึ ได้ดาเนนิ การสอนตามแนวทางการส่ือสารโดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศกึ ษาหลกั สูตร จุดประสงค์รายวิชา, มาตรฐานรายวิชา, คาอธิบายรายวชิ าลูกเสอื กศน. แผนการ เรียนหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 1.2 กาหนดโครงสร้างของแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ชุดฝึกทกั ษะการผูกเง่ือน เงอ่ื นที่ 1 เงือ่ นพิรอด เงื่อนท่ี 2 เงือ่ นขัดสมาธิ เงื่อนท่ี 3 เง่ือนตะกรุดเบ็ด เงอ่ื นที่ 4 เงอื่ นผกู ร้ัง เงื่อนท่ี 5 เงอ่ื นบวงสายธนู เงอ่ื นท่ี 6 เงอ่ื นผูกซงุ เงอ่ื นที่ 7 เงื่อนประมง เงอ่ื นที่ 8 เงื่อนผกู คนลาก เงอ่ื นท่ี 9 เงื่อนเกาอี้ เงือ่ นที่ 10 เง่ือนกระหวดั ไม 1.3 จัดทารายละเอียดของแผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 4 แผ่น แต่ละแผนประกอบด้วยชื่อ แผน หนว่ ยการ เรียนรู้ เวลา ชื่อผ้สู อน ชน้ั เรยี น มาตรฐานรายวิชา สาระสาคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สมรรถนะสาคญั คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรม สอ่ื การเรียนรู้ การวดั ผลและ ประเมินผล และบันทกึ หลัง การสอน 1.4 นาเสนอ แผนการจดั การเรียนรใู้ ห้ผู้เชีย่ วชาญจานวน 1 คน ตรวจสอบและแก้ไขตาม คาแนะนา ของผู้เช่ยี วชาญ 1.5 จดั ทาแผนการจัดการเรยี นรูฉ้ บับสมบูรณเ์ พื่อนาไปใช้ในการวจิ ยั ต่อไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นกอ่ นและหลังการใช้แผนการจดั การเรียนรู้ มีข้ันตอนการ สรา้ งดังนี้ 2.1 ศกึ ษาหนังสือวัดผลการศึกษา ตามหลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 2.2 กาหนดโครงสร้างของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลงั เรยี น 2.3 จดั ทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นก่อนและหลงั 2.4 นาเสนอแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นก่อนและหลงั ใหผ้ ู้เชีย่ วชาญตรวจสอบ และ แกไ้ ขตามคาแนะนาของผู้เชยี่ วชาญ 2.5 จดั ทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนก่อนและหลงั การเรยี น 3. แบบสอบถามความพงึ พอใจทม่ี ีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทกั ษะการเขยี น ภาษาอังกฤษมี ข้นั ตอนการสรา้ งดังนี้ 3.1 ศกึ ษาแบบสอบถามความพึงพอใจ 3.2 กาหนดโครงสรา้ ง 3.3 จัดทาแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์

รายการ จานวนขอ้ ข้อท่.ี ....ถึงขอ้ ท.ี่ .... 1. กจิ กรรมการเรียน 3 1-3 1.1 นาเขา้ สู่บทเรียน 3 4-6 1.2 ระหว่างเรยี น 3 7-9 1.3สรปุ บทเรยี น 3 10-12 2. สอ่ื การเรยี น 2 13-14 3. เกมส์ 2 15-16 4. แบบฝกึ หัด 2 17-18 5. ใบงาน 2 19-20 6. ใบความรู้ 20 รวม การดาเนินการทดลอง ผู้วจิ ัยได้ดาเนนิ การทดลองตามขน้ั ตอน ดังตอ่ ไปนี้ 1. ทดสอบกอ่ นเรยี นโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นท่ีผู้วจิ ยั สร้างขึน้ 2. ดาเนนิ การสอนโดยใช้ชุดฝกึ ทักษะการผกู เงื่อน 3. ทดสอบหลงั เรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นที่ผู้วจิ ัยสรา้ งข้นึ 4. นกั เรยี นทาแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมตี ่อการเรยี น การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจัยได้ดาเนินการวเิ คราะหข์ ้อมลู โดยดาเนินการตามข้นั ตอนดังน้ี 1. หาคา่ เฉล่ีย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของคะแนนท่ีได้จากการทดสอบก่อนเรยี น 2. หาคา่ เฉล่ยี รอ้ ยละของคะแนนแบบฝึกหัดทีน่ ักเรียนทาระหว่างการดาเนินการสอน 3. หาคา่ เฉลีย่ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนท่ีได้จากการทดสอบหลังเรยี น และหา ค่าเฉลยี่ รอ้ ยละของคะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบหลงั เรยี น 4. หาคา่ เฉลยี่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานและจัดระดับความพงึ พอใจ 5. ทดสอบความแตกต่างของคา่ เฉล่ียของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การหาคา่ เฉล่ีย (Means) ใช้สตู รดังนี้ (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ 2540: 53) สูตร เมอื่ แทน คะแนนตัวกลางเลขคณติ

∑× แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน N แทน จานวนคะแนนในข้อมูลน้ัน 2. การหาส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใชส้ ตู รดังนี้ (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ 2540: 103) สตู ร SD = 2 ( )2 () เมือ่ SD แทน ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของคะแนนแตล่ ะตวั ยกกาลังสอง 2 แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดยกกาลงั สอง ∑X 2 (∑X) N แทน จานวนในกลมุ่ ตวั อย่าง 3. การหาค่าเฉลีย่ ร้อยละ (Percentage) ใช้สูตรดงั นี้ (นศิ ารัตน์ ศิลปเดช 2542: 144) สตู ร P = f X 100 n เมือ่ P แทน ค่าร้อยละ f แทน จานวนหรือความถท่ี ี่ต้องการหาคา่ รอ้ ยละ n แทน จานวนขอ้ มูลทั้งหมด 4. การทดสอบความแตกตา่ งของค่าเฉล่ียโดยใช้ T-test Dependent ใชส้ ตู รดงั น้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 109) สูตร t = ������ 2( )2 () เม่ือ t แทน คา่ สถติ ิทใ่ี ชเ้ ปรียบเทยี บกบั ค่าวิกฤติ D แทน ค่าผลตา่ งระหว่างค่คู ะแนน N แทน จานวนกลุม่ ตัวอยา่ งหรอื จานวนคู่คะแนน

บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู การวิจยั การพฒั นาทกั ษะทางด้านลกู เสอื เรอ่ื งการผกู เงอื่ น ของนักศึกษา กศน.ตาบลนาดี ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย วัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1. เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นมคี วามรู้ในกระบวนการดา้ นทักษะทางลูกเสือในเร่ืองการผกู เงือ่ น 2. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนนากระบวนการด้านทกั ษะการผกู เง่ือนไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้อยางแทจรงิ โดยใชช้ ุดการฝึกทักษะเง่ือนเชือก ผู้วจิ ัยขอเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อ มูลดงั น้ี ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ผลการหาประสทิ ธิภาพของทักษะทางลกู เสือในเรื่องการผกู เงอ่ื น ตารางการหาประสิทธิภาพของทกั ษะทางลูกเสอื ในเรอ่ื งการผูกเงอ่ื น ดา้ นกระบวนการ แผนท่ี ชื่อแผน ระหว่างเรยี น ได้คะแนนรอ้ ยละ 1 ประวตั ลิ ูกเสือโลก 70.95 80.20 2 ประวัติลกู เสอื ไทย 79.15 89.55 3 ชดุ ส่ือทกั ษะการผูกเงื่อน 70.68 78.56 4 ปฏบิ ัติการผูกเง่ือน 70.11 78.37 สรปุ 72.72 81.67 จากตารางพบวา่ ประสทิ ธิภาพของชุดฝกึ ทักษะการผูกเงอื่ น คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนร้อยละ 81.67 เม่ือ พิจารณาเปน็ รายแผน พบว่า คะแนนเฉล่ียร้อยละ เรียงลาดับจากมากไปหาน้อย เท่ากับ แผนที่ 2, แผนที่ 1, แผนที่ 3, แผนท่ี 4 = 89.55, 80.20, 78.56, 78.37

บทที่ 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ การวจิ ัยเรอื่ ง การพัฒนาทักษะทางด้านลูกเสือ เรื่องการผูกเง่อื น ของนักศกึ ษา กศน.ตาบลนาดี ระดมั ัธยม ศกึ ษาตอนปลาย มีวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั คือ 1. เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามรู้ในกระบวนการดา้ นทักษะทางลกู เสือในเรือ่ งการผกู เงือ่ น 2. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นนากระบวนการด้านทักษะการผูกเง่ือนไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวันได้อยางแทจรงิ โดยใช้ชุดการฝึกทกั ษะการผกู เงื่อน มผี ลต่อการเรียนรู้ มีสมมติฐานการวจิ ยั คือ (1) ชุดกจิ กรรม ชุดการฝึกทกั ษะการผูกเง่ือน ทม่ี ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 75/75 (2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ของนักศึกษา กศน.ตาบลนาดี ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย หลังเรียน โดยใช้ชุดการฝกึ ทกั ษะการผกู เงอ่ื น สูงกว่า ก่อนเรียน เครอื่ งมือที่ใช้ในการวจิ ัยได้แก่ (1) แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรแู้ ละชุดการฝกึ ทกั ษะการผกู เงอื่ น (2) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนและหลงั การใช้แผนการจดั การ เรียนรู้และฝกึ ปฏิบตั ิ ตามชดุ การฝึกทกั ษะการผกู เง่ือน (3)แบบสอบถามความพึงพอใจการวจิ ัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง สถิติทไ่ี ด้ใช้ในการวิจยั ได้แก่ (1)การหาค่าเฉลยี่ (2) การหาสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (3)การหาค่าเฉล่ียร้อยละและ (4)การทดสอบความแตกตา่ งของคา่ เฉลย่ี โดยใช้T-test Dependent สรุปผลการวิจัย - ประสิทธิภาพของชดุ การฝึกทักษะการผูกเงอ่ื น เท่ากบั 72.72/81.67 การอภิปรายผลการวจิ ัย ผลการวจิ ยั เร่ือง การพฒั นาทักษะทางดา้ นลูกเสือ เร่ืองการผกู เงื่อน ของ นกั ศึกษา กศน.ตาบลนาดี ระดัมธั ยมศึกษาตอนปลาย มีประเด็นทีจ่ ะ นามาอภิปรายผลการวิจังดังน้ี 1. ผลการวิจยั พบวา่ ประสิทธิภาพของชดุ การฝกึ ทักษะการผูกเง่อื น เท่ากบั 72.72/81.67 ท้งั น้ี อาจเน่ืองมาจากกระบวนการจัดทา เพราะได้ จดั ทาแผนการจัดการเรียนร้อู ยา่ งเปน็ ระบบ ประกอบดว้ ย ข้ันตอน 5 ขน้ั ตอน ได้แก่ (1)ขนั้ นาเขา้ สบู่ ทเรียนบทเรยี น (2) ขั้นนาเสนอ (3) ขั้นฝกึ (4) ข้ันนาไปใช้ (5) ขน้ั สรุป จึงส่งผลใหช้ ุดการฝึกทักษะการผูกเงือ่ น ที่ สรา้ งขึน้ มปี ระสิทธิภาพ 2.ผลการวจิ ัยพบวา่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาลูกเสือ กศน.และทกั ษะการผกู เงื่อนของนักศึกษา กศน.ตาบลนาดี ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย หลังเรยี น โดยใช้ชุดการฝกึ ทักษะการผกู เงื่อน หลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี น

ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะทว่ั ไป 1. ครูควรศกึ ษาทักษะการผูกเงื่อนให้เข้าใจก่อนลงมือสอนเพ่ือให้การเรียนการสอนไม่ติดขดั ผู้เรยี น เรียนไปได้อยา่ งราบรืน่ และสนกุ กบั การเรยี น 2. ครูควรมีการปรับปรงุ แผนการจัดการเรยี นรแู้ ละฝกึ ทักษะอยู่เสมอเพอ่ื ใหส้ อดคล้องกับผ้เู รยี น 3. เวลาในการทากิจกรรมของนักเรียนแต่ละคน ครูควรยึดความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลเนือ่ งจาก ผู้เรยี นแตล่ ะคนมีความสามารถแตกต่างกนั จงึ สามารถยืดหยุ่นเวลาได้ตามความเหมาะสมเพ่ือไม่เป็นการปิดกัน้ ความคิดของนักศึกษามากเกินไป ขอ้ เสนอแนะเพอื่ การวจิ ัยต่อไป 1. ควรพัฒนาชดุ ฝกึ ทักษะการผกู เงอื่ นให้มคี วามหลากหลายและน่าสนใจสาหรบั ผเู้ รียน 2. ควรพฒั นาชุดฝกึ ทักษะการผูกเง่อื นโดยใชน้ วตั กรรมอน่ื ๆ อีก 3. ควรใหน้ ักศึกษามีสว่ นร่วมในการเลือกเรื่องทจี่ ะฝึกตามความสนใจ ซงึ่ เป็นการเน้นให้ผู้เรยี นเป็น สาคัญ

บรรณานกุ รม (กองการลกู เสือกรมพลศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2541 : 1) สุดใจ เหงาสีไพร. 2546 : 377 คณะอนุกรรมการลูกเสอื ฝายวิชาการ สานักงานคณะกรรมการ บริหารลูกเสือแหงชาติ. 2540 : 54 อานาจ ชางเรียน (2532 : 24 – 28) มนตรี จฬุ าวฒั นทล (2537 : 21 – 22) เมธี เจรญิ สุข (2538 : 56)

ภาคผนวก

แบบฝกหดั ระหวางเรียน วชิ าลกู เสอื เรือ่ งการผกู เง่ือน 1. ขอใดคือประโยชนของเงื่อนพิรอด ก. ผูกนัง่ ราน ข. ผูกเชือกรองเท้า ค. ผกู สะพาน ง. ผกู เต็นท์ 2. ขอใดคือขั้นตอนแรกของการผูกเง่อื นพิรอด ก. พบั เชอื กใหเป็นบว่ ง 2 บ่วง ข. ดึงเชือกสองเส้นให้ตึง ค. ขดเชอื กใหเป็นบ่วงแลวสอดปลายเชือกเขาในบวง ง. วางปลายเชือกเสนที่ 1 ทบั กับปลายเชือกเสนที่ 2 3. ขอใดคือขน้ั ตอนสุดทายของการผูกเง่ือนประมง ก. วางเชือก 2 เสน้ ให้ปลายชนกัน ข. ผกู ปลายเชือกกบั เชอื กอีกเสนหนง่ึ ค. ดงึ เชือกทง้ั สองใหเ้ งื่อนทงั้ 2 เลื่อนมาชนกัน ง. นาปลายเชอื กท้งั 2 มาผูกตอ่ กนั 4. ขอใดคือประโยชนของเงื่อนประมง ก. ใชต้ ่อเชอื กที่มขี นากตา่ งกัน ข. ใชตอเชือกที่มขี นาดเทากนั ค. ใชผ้ กู เชอื กที่ชารุด ง. ใชผ้ ูกสมอเรอื 5. เง่ือนประมง เรียกอีกชอ่ื ว่าอะไร ก. เงอื่ นหวั ลานชนกนั ข. เง่ือนตะกรุดเบ็ด ค. เงอ่ื นพนั หลัก ง. เงือ่ นตกปลา 6. ขอใดคือประโยชนของเงื่อนขดั สมาธิ ก. ใชต้ อ่ เชือกทีม่ ขี นาดเทา่ กนั ข. ใชตอเชอื กทม่ี ีขนาดตางกนั ค. ใชตอเชอื กท่มี ีขนาดเลก็ และเท่ากัน ง. ใชผูกเชอื กท่มี ีขนาดใหญ 7. ภาพในขอใดคอื เงื่อนขัดสมาธิ ก. ข. ค. ง.

8. ขอใดคือประโยชนของเงื่อนเก้าอี้ ข. ไวสาหรับนั่งพกั ผ่อน ก. ชวยคนที่ตกลงไปในบอหรือเหวขึ้นมา ง. ใชผ้ ูกสิ่งของ ค. ใช้ผกู ชิงช้า 9. ภาพในขอใดคือเง่ือนเก้าอี้ ก. ข. ค. ง. 10. ขอใดคือประโยชนของเง่ือนบ่วงสายธนู ก. ใชผูกเตน็ ท ข. ใชผกู ธนู ค. ใชผกู เรือกบั หลัก ง. ใชตอเชือก 11. ภาพในข้อใดคอื เงอ่ื นบ่วงสายธนู ก. ข. ค. ง.

12. ขอใดคือขั้นตอนแรกของการผกู เงื่อนบวงสายธนู ก. ขดเชอื กเปน็ บ่วง แลวสอดปลายเชือกอีกดาน เขาในบวง ข. นาปลายเชือกที่สอดเข้าไปในบ่วงออ้ มหลงั ตัวเชอื ก ค. นาปลายเชอื กอ้อมหลงั ตวั เชือกสอดลงในบวง ง. ดงึ ตวั เชือกใหก้ ระชับแน่น 13. ขอใดคือประโยชนของเงื่อนผกู คนลาก ก. ใช้ผกู เตน็ ท์ ข. ใชผกู สัตว์ไวก้ บั หลกั ค. ใชลากสิ่งของ หรือจงู สตั ว ง. ใชชวยคนที่ตกลงไปในบอหรือในเหว 14. ภาพในข้อใดคือเง่ือนคนผูกลาก ก. ข. ค. ง. 15. ขอใดคือประโยชนของเงื่อนตะกรดุ เบด็ ก. ใชผกู โบว์ ข. ใชผูกเบด็ ค. ใชตอเชอื ก ง. ใชผูกอวน 16. ขอใดคือขน้ั ตอนแรกของเงอื่ นตะกรุดเบด็ ก. วางเชือก 2 เส้นให้ปลายเชือกซ้อนกัน ข. งอปลายเชือกใหคลองตัวเชือก ค. ดงึ เชือกให้ตึง ง. พบั เชือกให้เป็นบว่ ง 2 บ่วงสลบั กนั

17. ภาพในข้อใดคือเงือ่ นตะกรดุ เบด็ ก. . ข. ค. ง. 18. ขอใดเปนประโยชนของเง่อื นผูกซงุ ก. ใชต่อเชอื ก ข. ใชลากซงุ ค. ใชผูกแพ ง. ใชลา่ มสตั ว์ 19. ขอใดคือขน้ั ตอนแรกในการผูกเงือ่ นผกู ซุง ก. งอปลายเชือกคลองตวั เชือก ข. สอดปลายเชือกรอบเสนตวั เอง ค. สอดเชือกใหคลองรอบตนซุง ง. ขดเชือกใหเ้ ป็นบ่วง

20. ภาพในข้อใดคือเง่อื นผกู ซุง ก. . ข. ค. ง. 21. ขอใดคือประโยชนของเงื่อนกระหวัดไม ก. ใชยกของ ข. ใชผูกรอกเพ่อื แขวน ค. ใชผูกเบ็ด ง. ใชผูกแพ 22. ภาพในข้อใดคอื เง่อื นกระหวัดไม ก. ข. ค. ง.

23. ขอใดคือประโยชนของเงื่อนผกรู ้ัง ข. ใชผูกยดึ เต็นทกันล้ม ก. ใชยกของ ง. ใชผกู เสา ค. ใชผูกรอก ข. ผกู แนน เลื่อนได้ 24. ขอใดคือลกั ษณะเดนของเงื่อนผกู รั้ง ง. ผกู แน่น แก้งา่ ย ก. ผกู แนน ไมเลื่อน ค. เลื่อนได จดั ใหตึงได้เสมอ 25. ภาพในข้อใดคือเงอื่ นผกู รง้ั ก. ข. ค. ง.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook