ก คานา คู่มอื ประจาฐานการเรียนรูต้ ามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งด้านการศกึ ษา ฐานการเรียนรู้ท่ี 4 สวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษพ์ นั ธกุ รรมพืช คมู่ อื ฐานการเรียนร้เู ลม่ นี้จดั ทาข้ึนเพ่ือใช้ประกอบ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ในฐานการเรียนรู้ท่ี 4 สวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ของกศน.อาเภอสุวรรณคูหา เพือ่ เปน็ แนวทางสาหรับผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเป็นคู่มือสาหรับผู้เรียนเพื่อใช้ประกอบการเรียนรู้ ในกิจกรรมการเรียนรู้ ประจาฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คมู่ อื ฐานการเรียนรตู้ ามหลกั ปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาเล่มนี้ จักเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน ผู้สอน และผทู้ ี่สนใจ และสามารถนาไปปรับใชใ้ นชีวิตประจาวันได้ กศน.ตาบลนาดี
สารบญั ข รายการ หนา้ คานา ก สารบัญ ข ศาสตรพ์ ระราชา 1 หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3 รปู แบบการขับเคลอื่ นหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งสูฐ่ านการเรียนรู้ 5 แผนภมู ิการขับเคลื่อนหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 6 แผนผงั กศน.อาเภอสุวรรณคูหา 7 แผนผัง ฐานการเรยี นรู้ 8 ข้ันตอนการเรยี นร้ฐู านการเรียนรู้ 9 ใบลงทะเบยี นประจาฐานการเรยี นรู้ 10 แผนการจัดกระบวนการเรยี นรู้ กิจกรรม “การสารวจเกบ็ รวบรวมและเรยี นรพู้ นั ธุ์กรรมพืช” 11 แบบทดสอบกอ่ นเรียน 13 ใบความรู้ 14 ใบงาน 20 เฉลยแบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี น 22 แบบสอบถามความถงึ พอใจการใชฐ้ านการเรียนรู้ 25 คณะทางาน 27
คู่มือฐานการรเรียนรู้ท่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พนั ธุกรรมพชื 1 ศาสตรพ์ ระราชา จากนภา ผา่ นภผู า สมู่ หานที ศาสตร์พระราชา คอื แนวทางการพฒั นาของในหลวงรชั กาลที่ 9 ท่ีมีความลุ่มลึก รอบด้าน มองการณ์ไกล และเน้นความยัง่ ยนื ยาวนาน กอ่ นทป่ี ระชาคมโลกจะตืน่ ตัวในเรอ่ื งน้ี เปน็ แนวทางการพัฒนาท่ีมุ่งยกระดับ คุณภาพ ชีวิตของคนไทยทุกหมู่เหล่า องค์ประกอบของศาสตร์พระราชา คือ การศึกษาและสุขภาพการ เพ่ิมผลิตภาพการ ผลิต การค้นคว้าวิจัย การบริหารความเสี่ยง การอนุรักษ์ธรรมชาติ และปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง แต่ละ องค์ประกอบลว้ นมีส่วนช่วยยกระดบั คณุ ภาพชวี ิตของทกุ ผู้ทุกคน โดยเฉพาะคนจนผยู้ ากไร้ หลกั การทางานตามศาสตร์พระราชาเขา้ ใจ เขา้ ถึง พฒั นา เป็นวธิ ีการแห่งศาสตรพ์ ระราชา เพือ่ การพัฒนา ทย่ี ่ังยืนที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดชทรงใช้เปน็ วธิ กี ารทรงงานมาตลอด รัชสมัย ศาสตร์พระราชา มีนัยยะกว้างขวางมาก ศาสตร์แปลว่า ความรู้ที่เป็นระบบ เชื่อถือได้ ผ่านการพิสูจน์ มาแล้ว ความรู้ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ มีท้ังด้านที่เป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ท้ังวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ท้ัง สังคมศาสตร์ ทั้งมานุษยวิทยา มนุษยศาสตร์ คือ มีทุกมิติ ถ้าเราติดตาม/ดูงาน ที่พระองค์ท่านทรงงานมามากกว่า 70 ปี พระองคท์ รงปฏิบตั ิเปน็ ตัวอย่างมาใหด้ ูท้งั หมด 1,500 กว่าแห่ง มีทุกศาสตร์ มีท้ังจริยธรรมศาสตร์ ศาสนา มี ทกุ มติ ิ หลกั ในการทรงงานของในหลวง (ศาสตร์พระราชา) 23 ขอ้ ขอ้ ท่ี 1 จะทาอะไรตอ้ งศึกษาข้อมูลให้เป็นระบบ อดีตทาอะไรมาบ้าง ท้ังเอกสาร สอบถามเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน เพือ่ นาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ไดจ้ ริงๆ ข้อที่ 2 ระเบดิ จากภายใน สร้างความเขม้ แขง็ จากภายในให้เกิดความเข้าใจ และอยากทา ข้อท่ี 3 แกป้ ัญหาจากจุดเล็ก มองภาพรวมก่อนเสมอ แต่การแกป้ ญั หาตอ้ งเรม่ิ จากจดุ เลก็ ๆ ไมเ่ ร่มิ ทเี ดียวใหญ่ ๆ ขอ้ ท่ี 4 ทาตามลาดบั ข้ัน เริ่มทาจากความจาเป็นกอ่ น สง่ิ ทีข่ าดคือสงิ่ ท่ีจาเปน็ ข้อท่ี 5 ภูมสิ ังคม ภมู ศิ าสตร์ สังคมศาสตร์ การทางานทกุ อย่าง ต้องคานึงถึงภูมิศาสตร์ว่า อยู่แถบไหน อากาศเป็น อย่างไร ตดิ ชายแดน ติดทะเล และ สงั คมของเราเป็นอย่างไร นบั ถอื ศาสนาอะไร คนนิสยั ใจคอเป็นอย่างไร รวม ไปถึงพวกเรากนั เองด้วย
คู่มือฐานการรเรียนรทู้ ี่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษพ์ ันธุกรรมพืช 2 ข้อท่ี 6 ทางานแบบองค์รวม โดยคิดความเช่ือมโยง ทรงมองเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นและมีแนวโน้มทางแก้ไขอย่าง เชือ่ มโยง องคร์ วม <-------------> ครบวงจร เชอื่ มโยง “เด็ดดอกไมส้ ะเทือนถึงดวงดาว” ขอ้ ท่ี 7 ไมต่ ดิ ตารา ความรู้ท่วมหัว เอาตวั ไม่รอด บางครง้ั เรายึดทฤษฎีจนเกินไปทาอะไรไม่ได้เลย ข้อท่ี 8 ประหยัด เรยี บงา่ ย ใชเ้ งนิ น้อย แตไ่ ดป้ ระโยชนส์ ูงสดุ ทาไดเ้ อง หาได้เองในท้องถน่ิ ใช้เทคโนโลยีงา่ ยๆ ขอ้ ที่ 9 ทาให้งา่ ย ทาอะไรให้งา่ ยๆ ทาใหช้ ีวติ ง่าย โปรดทาส่งิ ยากๆ ใหก้ ลายเป็นส่ิงทีง่ า่ ยๆ ขอ้ ที่ 10 การมสี ่วนร่วม เปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็น ขอ้ ท่ี 11 ตอ้ งยดึ ประโยชน์สว่ นรวม จากพระราชดารสั ใครตอ่ ใครชอบบอกให้นกึ ถงึ ประโยชน์ส่วนรวม ให้ส่วนรวม คอื การชว่ ยตวั เองด้วย เพราะเม่ือส่วนรวมไดป้ ระโยชน์ เราเองก็ได้ประโยชน์ ข้อที่ 12 บริการท่ีจุดเดียว วันนี้เราพดู วันสตอ๊ ปเซอร์วิส แต่ในหลวงตรัสไวเ้ กิน 20 ปมี าแล้ว ข้อท่ี 13 ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ มองธรรมชาติให้ออก กักน้าตามลาธารช่วยให้ป่าสมบูรณ์ช่วยให้ชาวเขามี อาชพี ขอ้ ท่ี 14 ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม เชน่ เอาผกั ตบชวาทเ่ี ป็นปญั หาของเราในประเทศ มากาจดั นา้ เสยี ข้อท่ี 15 ปลกู ปา่ ในใจคน ต้องปลูกปา่ ทจ่ี ิตสานึกกอ่ น ต้องใหเ้ ห็นคุณคา่ กอ่ นที่จะลงมือทา ขอ้ ที่ 16 ขาดทนุ คอื กาไร อย่ามองท่ีกาไรขาดทนุ ท่เี ป็นตัวเงินมากจนเกินไป บางครง้ั เราได้กาไรจากการขาดทุน - ลงทุนมหาศาล ได้ธรรมชาติกลับคืนมา - ลงทุนมหาศาล ไดล้ ูกคนื มา - ลงทุนมหาศาล ได้คนดๆี กลับมา - ลงทนุ มหาศาล ได้ความร้ไู ว้คอยชว่ ยเหลือ ข้อที่ 17 การพ่ึงตนเอง ในหลวงทรงสอนให้พวกเราพึ่งตนเอง เพราสังคมบริโภค จะเป็นทาสของผู้ผลิต การ พ่ึงตนเองไดท้ าให้ไม่ต้อง เปน็ ทาสใคร เมือ่ แกป้ ัญหาเฉพาะหน้าแล้วพยายามพงึ่ ตนเองให้ได้ ข้อที่ 18 พออยพู่ อกนิ พออยู่พอกนิ กอ่ น แลว้ คอ่ ยพฒั นา เราขอให้บาบัดให้ได้ก่อน==> ประคับประคอง==> เป็น ท่ปี รึกษา==>เป็น ผชู้ ว่ ยเหลือผ้อู ืน่ ต่อไป ข้อท่ี 19 เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการต่อสู้รับมือความเปล่ียนแปลงของโลก การขจัดความหิวโหย ท่ีต้อง คานงึ ถงึ เรือ่ งความพอดโี ดย อาศัยหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง ข้อที่ 20 ความซ่ือสัตย์สุจริต จริงใจต่อกัน คนท่ีมีความรู้มาก แต่โกง สู้คนท่ีไม่เก่ง แต่ดีไม่ได้ วีรบุรุษ วีรสตรีคือ คุณธรรม ที่ทาประโยชน์เพอื่ ผ้อู น่ื พวก เราทท่ี างานยาเสพตดิ คือ วีรบุรุษ วีรสตรผี ้หู น่งึ ข้อที่ 21 ทางานอยา่ งมีความสุข “ทางานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ ฉันมีแต่ความสุข ที่ร่วมกันในการทาประโยชน์ ให้กบั ผู้อ่นื เทา่ นน้ั ” ทาอะไรต้อง มคี วามสขุ ด้วย ข้อที่ 22 ความเพยี ร กว่า 60 ปีท่ีทรงงาน ในหลวงไมเ่ คยทรงทอ้ ถอย ไม่มีการลาพักร้อน หยุดงานสกั เวลาเดียว ข้อท่ี 23 รู้ รัก สามัคคี คดิ เพ่ืองาน รู้ = ต้องรปู้ จั จัย รปู้ ัญหา รู้ทางออก ของปัญหา รัก = เมื่อรู้แล้ว ต้องเกิดความ อยาก สามัคคี = ร่วมมือ ลงมอื ปฏิบัติเพื่อเกดิ พลัง ท่ีมา: http://r01.ldd.go.th/spb/News61/ContinuetheworkthatFatherdid/KMRama9.pdf
ค่มู ือฐานการรเรียนรูท้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช 3 หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) หมายถึง ปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมี พระราชดารัสชี้แนะแนวทางที่ควรดารงอยู่และปฏิบัติตนแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 30 ปี ต้ังแต่ ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2550 ให้ใช้เป็นแนวทางการแก้ไขเพ่ือให้รอดพ้นวิกฤต และสามารถดารงอยู่ได้ อย่าง มัน่ คงและยง่ั ยืนภายใต้ความเปลยี่ นแปลงต่าง ๆ กรอบแนวคิดปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติท่ีช้ีถึงแนวทาง การดารงอยู่และปฏิบัติตน ของ ประชาชนในทุกระดับ ต้ังแต่ ครอบครัว ชุมชน จนถึงหน่วยงานภาครัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ ดาเนนิ ไปในทางสายกลาง เพื่อให้พอมพี อกนิ พอใช้ สามารถพงึ่ ตนเองได้ ให้คนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่าง สันติสุข เพอ่ื ใหค้ นกับธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล และให้แต่ละคนดารงตนอย่างมีศักด์ิศรี บนรากเหง้า ทาง วัฒนธรรมสมดุลและยั่งยนื โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้ก้าวทนั โลกยคุ โลกาภวิ ัฒน์ เป้าหมายของหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มุ่งให้เกดิ ความสมดลุ และพร้อมตอ่ การรองรับการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเรว็ และกวา้ งขวาง ท้ังทางวัตถุ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม และวัฒนธรรม องคป์ ระกอบหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพยี งประกอบด้วยหลักคิดประกอบการตัดสินใจและปฏิบัติ เพ่ือนาไปสู่ความสมดุลและยั่งยืน พรอ้ มรบั ต่อการเปล่ยี นแปลง 2 3 4 คือ 2 เงื่อนไข 3 หลักการ 4 มิติ ดงั น้ี ก่อนลงมือปฏิบัติ ใด ๆ นั้นต้องมีเงื่อนไขสาคัญท่ีจะทาให้การตัดสินใจและการกระทา เป็นไปอย่าง พอเพียง จะต้องอาศยั ทัง้ คุณธรรมและความรู้ ดังนี้ ความรู้ ประกอบดว้ ยการฝึกตนให้มีความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องอย่าง รอบด้าน มีความ รอบคอบ และความระมัดระวงั ที่จะนาความรตู้ ่าง ๆ เหล่าน้ันมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกนั คณุ ธรรม ท่จี ะตอ้ งสร้างเสรมิ ให้เป็นพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ ประกอบด้วย ด้านจิตใจ คือการ ตระหนัก ในคุณธรรม รู้ผิดชอบชั่วดี ซื่อสัตย์สุจริต ใช้สติปัญญาอย่างถูกต้องและเหมาะสมในการดาเนิน ชีวิต และด้านการ กระทา คือมีความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่โลภ ไม่ตระหน้ี รู้จักแบ่งปัน และรับผิดชอบ ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สังคม ระหว่างดาเนินการ ใช้ 3 หลักการ เป็นองค์ประกอบในการทากิจกรรม คือ ความพอประมาณ ความมี เหตุผล และมีภูมคิ ้มุ กันในตัวเองท่ดี ี โดยมีความหมายดังนี้ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีต่อความจาเป็น และเหมาะสมกับฐานะของตนเอง สังคม สิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั วัฒนธรรมในแตล่ ะท้องถิ่น ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และต้องไม่เบียดเบียน 6 ตนเองและ ผู้อน่ื
คูม่ อื ฐานการรเรยี นรู้ท่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรกั ษพ์ ันธุกรรมพืช 4 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจดาเนินการเร่ืองต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลตามหลักวิชาการ หลัก กฎหมายหลักศลี ธรรมจริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนคานึงถึง ผลท่คี าดว่าจะเกดิ ขนึ้ จากการกระทาน้ัน ๆ อย่างรอบรแู้ ละรอบคอบ มีภูมิคมุ้ กนั ในตวั ทีด่ ี หมายถึง การเตรยี มตัวให้พรอ้ มรับตอ่ ผลกระทบและการเปลีย่ นแปลง ในด้านต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็นด้านเศรษฐกจิ สังคม สง่ิ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรม เพอื่ ให้สามารถปรบั ตวั และ รับมอื ได้อย่างทันท่วงที หลังจากดาเนินการ ผู้เรียนนาเงื่อนไขมาประกอบการตัดสินใจลงมือปฏิบัติ จึงก่อให้เกิดความก้าวหน้า อย่างสมดลุ และมั่นคงนาไปสคู่ วามยั่งยนื พร้อมรบั การเปลี่ยนแปลงท้ัง 4 มิติ ดงั น้ี เศรษฐกิจ/วัตถุ ใช้วัตถุส่ิงของ เงิน ทรัพยากรอย่างประหยัด รู้คุณค่า เกิดประโยชน์และคุ้มค่า บริหาร การเงนิ ได้อย่างเหมาะสม สงั คม มคี วามรูใ้ นการแบ่งหน้าที่อย่างเหมาะสม มีความรู้ในการปฏิบัติตนท่ีจะทางานร่วมกับผู้อ่ืน ทางาน ร่วมกันภายในกลุ่มจนสาเร็จและมีความสุข มีความรับผิดชอบต่อการทางานของกลุ่ม ยอมรับความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน มีความเสียสละ ช่วยเหลือเก้ือกูลกัน รู้รักสามัคคี สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชน มีจิตอาสา มีความมุ่งมั่นในการทางาน มีทักษะในการประกอบอาชีพ ห่างไกลยาเสพติด มีการแบ่งปัน ให้ความ ชว่ ยเหลือ สิ่งแวดล้อม มีความรู้ในการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง รักษาความสะอาดทุกครั้งหลังจากทากิจกรรมเสร็จ ส้ิน มีจิตสานึกในการรักษาความสะอาดเป็นระเบียบ การเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า มีจิตสานึกร่วม อนุรักษ์ นา้ ดิน ป่า อากาศ พลังงาน การคัดแยกขยะ และการนากลับมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ชุมชนสะอาด น่า อยูน่ า่ อาศัย วฒั นธรรม เป็นการอนุรักษป์ ระเพณวี ฒั นธรรมท้องถน่ิ และชุมชน สืบสานรากเหงา้ ของความเป็นไทย การ ยดึ ถอื และปฏบิ ตั ิตามหลักคาสอนของศาสนา เชอ่ื มโยงจากอดีตสูป่ ัจจบุ นั ส่งผลตอ่ อนาคต สบื สานเอกลักษณ์เฉพาะ พ้นื ที่ และความเป็นไทย มีการส่งเสรมิ อยา่ งต่อเนอื่ ง เคารพกฎระเบียบของโรงเรียนหรือชุมชน เช่น ปฏิบัติตามกฎ จราจร ปฏบิ ตั ิตามกฎลกู เสอื เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาท่ีเป็นทั้งแนวคิด หลักการ และแนวทางปฏิบัติตนของแต่ละบุคคล และ องค์กร โดยคานึงถึงความพอประมาณกับศักยภาพของตนเอง และสภาวะแวดล้อม ความมีเหตุมีผล และการมี ภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัวเอง โดยใช้ความรู้อย่างถูกหลักวิชาการ ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการมี คุณธรรม ซือ่ สตั ยส์ ุจรติ ไม่เบียดเบียนกัน แบ่งปัน ช่วยเหลือซงึ่ กันและกัน และร่วมมือ ปรองดองกันในสังคม ซึ่งจะ ช่วยเสรมิ สรา้ งสายใยเช่ือมโยงคนในภาคสว่ นตา่ ง ๆ ของสังคมเข้าด้วยกัน สร้างสรรค์พลังในทางบวก นาไปสู่ความ สามัคคี การพัฒนาท่ีสมดลุ และยัง่ ยนื พรอ้ มรับต่อการ เปล่ียนแปลงภายใต้กระแสโลกาภิวัฒนไ์ ด้
คูม่ ือฐานการรเรียนรู้ที่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษพ์ ันธุกรรมพืช 5 รปู แบบการขบั เคลือ่ นหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งสฐู่ านการเรยี นรู้ กศน.อาเภอสวุ รรณคหู า โดยเริ่มจากการน้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา โดยสถานศึกษาได้ต้ัง คณะกรรมการ ขับเคลอื่ นหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีหน้าท่ีรับผิดชอบในการสร้าง ความเข้าใจ หลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้แก่ผู้เรียน ผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาภายในสถานศึกษา เพื่อให้ผู้เรียน เข้าใจ และครูสามารถนาความรู้มาบูรณาการกับแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อนาสู่ห้องเรียนทุกรายวิชา โดย สถานศกึ ษามนี โยบายใหค้ รูผสู้ อนบูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงสู่บทเรียน และผู้เรียน สามารถถอด บทเรียนและนาหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน และ สังคมได้ ท้ังสามารถแนะนา ให้ความรู้แก่ภาคีเครือข่าย ประชาขนท่ัวไปและผู้ท่ีสนใจได้ โดยมุ่งเน้นให้เกิดผลกับ ผูเ้ รียนอย่างยั่งยนื จนเป็นวถิ ีชวี ติ เงอ่ื นไข ความรู้ เงอื่ นไข คณุ ธรรม เศรษฐกจิ พอเพยี ง Input รอบรใู้ นงานวิชาการ (ตระหนกั ในคณุ ธรรมพ้ืนฐาน มีความซื่อสตั ย์ รอบคอบในการนาความร้ไู ปใช้ สุจรติ ขยัน ประหยดั อดทน 2 เงอื่ นไข 3 หลกั การ ระมดั ระวงั ในขัน้ ตอนการปฏิบตั ิ มคี วามเพยี ร ใช้สตปิ ัญญาในการดาเนนิ ชีวิต) 4 มติ ิ ทางสายกลาง => พอเพยี ง หลกั คดิ พอประมาณ หลกั ปฏบิ ตั ิ Process เพอ่ื ความกา้ วหนา้ มเี หตผุ ล มภี มู คิ มุ้ กนั อยา่ งสมดลุ ในตวั ทดี่ ี และมน่ั คง Output นาสู่ นำสู่ ความสมดลุ และพรอ้ มรบั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงในดา้ น ความยง่ั ยนื วตั ถ/ุ เศรษฐกจิ สงั คม สง่ิ แวดล้อม และวฒั นธรรม
คู่มอื ฐานการรเรยี นรู้ท่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรกั ษพ์ ันธุกรรมพชื 6 แผนภมู กิ ารขบั เคล่ือนหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งสฐู่ านการเรยี นรู้ กศน.อาเภอสวุ รรณคหู า ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง คณะกรรมการขับเคลื่อนปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง หลักสตู รสถานศึกษา รายวชิ า ฐานการเรียนรู้ ผเู้ รยี น คณะกรรมการประเมนิ ผลการจดั กจิ กรรม รายงานผลการจดั กจิ กรรม
คู่มอื ฐานการรเรียนรูท้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรกั ษ์พนั ธุกรรมพืช 7 แผนทอี่ าเภอสวุ รรณคหู า แผนผังอาคารสถานที่ กศน.อาเภอสวุ รรณคูหา
คู่มอื ฐานการรเรยี นรทู้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษ์พันธุกรรมพชื 8 แผนผงั ฐานการเรียนรู้ ฐานการเรียนรู้ท่ี 1 หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอสวุ รรณคูหา กศน.อาเภอสวุ รรณคูหา ฐานการเรียนรทู้ ่ี 2 การปลกู ผักปลอดสารพษิ กศน.ตาบลสวุ รรณคหู า ฐานการเรียนร้ทู ี่ 3 จิตอาสาปลูกป่า เพ่ือพ่อ เพื่อแผน่ ดนิ กศน.ตาบลกุดผึง้ ฐานการเรยี นรทู้ ่ี 4 สวนพฤกษศาสตร์และอนรุ ักษ์พนั ธกุ รรมพชื กศน.ตาบลนาดี ฐานการเรยี นรู้ที่ 5 สมนุ ไพรใกลต้ วั (กญั ชงและกญั ชา) กศน.ตาบลนาสี ฐานการเรยี นรู้ที่ 6 การทาพานบายศรจี ากใบตอง กศน.ตาบลนาด่าน ฐานการเรยี นรทู้ ่ี 7 ปุ๋ยอนิ ทรีย์ กศน.ตาบลบ้านโคก ฐานการเรยี นรทู้ ่ี 8 ผลิตภณั ฑ์จากไม้ไผ่ กศน.ตาบลบญุ ทนั ฐานการเรียนรทู้ ี่ 9 การคดั แยกขยะ กศน.ตาบลดงมะไฟ ฐานการเรยี นรู้ที่ 10 สวนเกษตรพอเพียง วดั สวุ รรณาราม
คู่มอื ฐานการรเรยี นรู้ที่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรกั ษพ์ ันธุกรรมพชื 9 ขั้นตอนการเรยี นรู้ในฐานการเรยี นรู้ ........................................................................................ 1. ผเู้ รียนลงชอื่ เขา้ ร่วมกิจกรรมประจาฐาน 2. ผู้เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี น 3. ผู้เรียนศกึ ษาเอกสาร ตารา รปู ภาพ ป้ายนิเทศเกย่ี วกบั ฐานการเรยี นรู้ และเรยี นรู้จากผูส้ อนหรอื วิทยากรประจา ฐานการเรยี นรู้ 4. ผู้เรยี นรบั แบบบนั ทึกผลการศกึ ษาฐานการเรียนรู้/ใบงาน 5. ผเู้ รียนซกั ถามปญั หา วิพากษ์ และสรปุ ร่วมกนั กบั ผูเ้ รียน ผู้สอนหรอื วิทยากรประจาฐานการเรียนรู้ 6. ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี น 7. ผ้เู รยี นตอบแบบสอบถามความพงึ พอใจการเรยี นรู้ในฐานการเรียนรู้ 8. ส้นิ สุดกระบวนการเรียนรู้ ..................................................................................
คูม่ ือฐานการรเรยี นรทู้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรกั ษพ์ ันธุกรรมพชื 10 ใบลงทะเบียน ประจาฐานการเรยี นรทู้ ่ี ........ ฐาน................................................................... 1. ชื่อ - สกุล ................................................................................................................................................................ 2. เพศ ชาย หญิง เพศทางเลือก (LGBTQ+) 3. อายุ ตา่ กวา่ 15 ปี 15 - 20 ปี 21 - 30 ปี 31 - 40 ปี 41 - 50 ปี 51 - 60 ปี 61 ปขี ้นึ ไป 4. ระดบั การศึกษา ต่ากว่า ป.6 ป.6/ประถมศึกษา ม.3 หรอื ม.ต้น ม.6 หรือเทยี บเท่า ปวส./อนุปรญิ ญา ปริญญาตรีขึ้นไป 5. อาชพี นักเรียน/นักศึกษา รบั จ้าง เกษตรกร คา้ ขาย อน่ื ๆ (ระบุ)............................................................................................. 6. กิจกรรมท่เี รยี นรู.้ .........................................................................................................................
คมู่ ือฐานการรเรียนรู้ท่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษ์พันธุกรรมพชื 11 แผนกจิ กรรมฐานการเรยี นรู้ที่ 4 สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ ักษ์พนั ธกุ รรมพชื ช่ือกจิ กรรม การสารวจเก็บรวบรวมและเรียนรู้พนั ธุ์กรรมพืช 1. กจิ กรรมการเรยี นรู้ การสารวจเก็บรวบรวมและเรียนรพู้ ันธุ์กรรมพืช 2. วทิ ยากรประจาฐานการเรยี นรู้ 2.1 นางสภุ าวดี ไชยโพธ์ิ ครู กศน.ตาบล 2.2 นายอฒั ชา คาสีทา ครู กศน.ตาบล 2.3 นายพิสิษฐ โคตรุ าช ครู กศน.ตาบล 3. นกั ศกึ ษาประจาฐานการเรยี นรู้ 3.1 นางสาวสุพรรษา จนั ทกุล ระดับ ม.ตน้ 3.2 นางสาวพิญญาภรณ์ โหลก ระดบั ม.ตน้ 3.3 นายธนศักด์ิ สุขแก้ว ระดบั ม.ตน้ 3.4 นายสุรชยั แสงสรุ นิ ทร์ ระดบั ม.ตน้ 4. วตั ถปุ ระสงค์ 4.1 เพ่อื ให้ผูเ้ รียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4.2 เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นมีความรู้และใช้ประโยชน์จากการสารวจเก็บรวบรวมและเรยี นร้พู นั ธุ์กรรมพชื 4.5 เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นไดน้ าความรู้ ประสบการณ์ ที่ได้รับจากฐานการเรียนรู้ ไปประยุกต์ใช้ในชีวติ จริงได้ 4.6 เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นถอดบทเรยี น 2 3 4 จากฐานการเรียนรู้ได้อย่างถูกต้อง 5. ความคดิ รวบยอด/ขอ้ มลู ความรู้ ฐานการเรียนรู้สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษพ์ นั ธุกรรมพชื กจิ กรรมการสารวจเกบ็ รวบรวมและเรียนรู้ พันธ์ุกรรมพืช จัดเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและสร้างจิตสานึกให้ผู้เรียน ที่อยู่โดยรอบพ้ืนที่อนุรักษ์ให้ตระหนักถึง ความสาคัญของการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช และการนาพันธุกรรมพืชไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ และจากการ สารวจเก็บรวบรวมพันธุกรรมพืช สามารถนามาขยายผล โดยนาไปสู่การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พันธุกรรมพืช การจดั ตัง้ ศนู ยข์ ้อมลู พันธกุ รรมพชื และการพฒั นาพนั ธุ์พืชเพือ่ ใช้ประโยชนต์ อ่ ไปในอนาคต 6. วธิ กี ารใชฐ้ านการเรยี นรู้ 6.1 วตั ถุประสงค์ของฐานการเรียนรู้ 6.2 ชดุ การเรยี น การศึกษาต่อเน่อื ง 6.3 ใบความรู้ 6.4 ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิ/ถอดบทเรียน 2 3 4 ได้อยา่ งถูกต้อง 6.5 สรปุ ผลการเรียนรู้
คมู่ ือฐานการรเรียนรทู้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรกั ษ์พันธุกรรมพชื 12 7. ตารางการปฏบิ ัติ ลาดบั การปฏบิ ตั ิ 1. ขนั้ นาเขา้ สบู่ ทเรยี น - วิทยากรช้แี จงวตั ถปุ ระสงค์ของฐานการเรยี นรู้ - วิทยากรสนทนาและซักถามผู้เรยี นเป็นรายบุคคล เก่ียวกับการสารวจเกบ็ รวบรวมและเรยี นรู้ พนั ธุ์กรรมพชื 2. ขั้นสอน/ปฏบิ ตั ิ - วทิ ยากรแบง่ กลุ่มออกเป็น 2 กลมุ่ โดยการแลกเปลย่ี นเรียนรกู้ ัน 1. การสารวจเกบ็ รวบรวมพันธกุ รรมพืช 2. การอนุรักษ์พันธก์ุ รรมพืช 3. ขนั้ สรปุ - วิทยากรและผู้เขา้ ศึกษาฐานการเรยี นรรู้ ่วมกันถอดบทเรียน 2 3 4 สรปุ ความร้ทู ี่ได้รบั เป็น My Mapping พร้อมกับให้ไปศกึ ษาเพิ่มเตมิ จากแหล่งเรยี นรู้จรงิ และนาเสนอ 8. สือ่ /เครอื่ งมือชว่ ยสรา้ งการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น 8.1 วดี ีทัศน์ 8.2 ใบความรู้ 8.3 ใบงานการถอดบทเรียน 2 3 4 8.4 แบบประเมนิ พฤตกิ รรม/แบบทดสอบประจาฐาน 9. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. อยู่อยา่ งพอเพยี ง : นาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปใชใ้ นชวี ิตประจาวัน 2. ม่งุ ม่ันในการทางาน : ปฏบิ ัตงิ านทีไ่ ดร้ ับมอบหมายจนสาเร็จได้เป็นช้ินงาน 3. มีวินยั : เข้าร่วมกิจกรรมและทากจิ กรรมแลว้ เสรจ็ ได้ตรงตามเวลา 4. ใฝ่เรียนรู้ : ตัง้ ใจ เพียรพยายามในการศึกษาเรียนรูแ้ ละเข้าร่วมกจิ กรรมการเรยี นรขู้ องฐานการเรียนรู้ 5. มจี ิตสาธารณะ : แกนนาเสยี สละเวลาในการถ่ายทอดความรูใ้ ห้กับผทู้ ่ีเข้าร่วมกจิ กรรมภายในฐาน 10. การวดั และประเมนิ ผล สงิ่ ทตี่ อ้ งการวดั วธิ วี ดั เคร่อื งมือ 1. สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม การสงั เกต แบบประเมนิ ฐานการเรียนรู้ 2. ชิน้ งาน/ผลงาน การประเมินจากใบกจิ กรรม ใบงานฐานการเรียนรู้ 3. คุณลักษณะพอเพยี ง การสงั เกต บันทกึ หลงั การเรียนรู้ ฐานการเรียนรู้ 4. พฤติกรรมดา้ นทักษะ การตอบคาถาม แบบทดสอบกอ่ น-หลงั การเรียนรู้
คู่มอื ฐานการรเรียนรทู้ ี่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษ์พนั ธุกรรมพืช 13 แบบทดสอบก่อนเรยี น ฐานการเรียนรู้ สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื คาสงั่ ให้นกั เรียนทาเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ทับข้อทีถ่ ูกที่สุด 1. ส่วนประกอบใดทท่ี าหน้าที่ชูดอกใหต้ ดิ กับก่ิง ก. ก้านดอก ข. ฐานรองดอก ค. กลบี ประดับ ง. ก้านชูอับเรณู 2. หลังจากการเกิดการปฏิสนธิท่ีรงั ไข่เกสรเพศเมียแลว้ สิง่ ที่ไดค้ ือ ก. ใบ ข. ดอก ค. ผล ง. ราก 3. พืชชนดิ ใดไมเ่ ป็นดอกสมบูรณเ์ พศ ก. ดอกฟกั ทอง ข. ดอกกหุ ลาบ ค. ดอกมะยม ง. ดอกขา้ วโพด 4. พืชในข้อใดมีใบแท้ทส่ี มบูรณม์ ีส่วนประกอบครบท้ัง 3 สว่ น ก. ใบกระถนิ ณรงค์ ข. ใบมะม่วง ค. ใบวาสนา ง. ใบขนนุ 5. ขอ้ ใดคือหน้าท่ีหลักของใบ ก. ดดู ซบั อาหาร ข. สังเคราะหแ์ สง ค. ค้าจนุ ลาตน้ ง. ลอ่ แมลง 6. ขอ้ ใดไมใ่ ชว่ ธิ ีการอนรุ ักษ์ป่าท่ีถูกต้อง ก. ปลกู ป่า ข. การบกุ รุกปา่ ค. ใชไ้ มอ้ ย่างประหยดั ง. การรณรงคป์ ลกู จติ สานึก 7. อวัยวะของพชื ท่ีไม่มีขอ้ ปล้อง ตา และใบ เจริญเติบโตลงสู่ดนิ หมายถึงข้อใด ก. Stem ข. Root ค. Leaf ง. Flower 8. พชื ชนิดใดมใี บประกอบแบบนิ้วมอื ก. ใบประดู่ ข. ใบเพกา ค. ใบมนั สาปะหลงั ง. ใบมะขาม 9. ขอ้ ใดไมใ่ ชส่ ว่ นประกอบของใบ ก. กา้ นใบ ข. แผ่นใบ ค. หูใบ ง. ออวูล 10. รากแกว้ หรือรากฝอยท่อี ยู่ใต้ดนิ ทาหน้าท่ีสะสมอาหาร หมายถงึ ข้อใด ก. รากสะสมอาหาร ข. รากเกาะ ค. รากคา้ จุน ง. รากสงั เคราะห์แสง
คู่มอื ฐานการรเรยี นรูท้ ี่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษพ์ ันธุกรรมพชื 14 ใบความรู้ เรอื่ ง สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื สวนพฤกษศาสตร์ สวนพฤกษศาสตร์ เป็นสถาบันทางวิชาการท่เี ป็นแหลง่ รวบรวมพรรณพชื ตา่ ง ๆ เอาไวเ้ พ่ือทาการอนรุ ักษ์ ศึกษา วิจยั ทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะทางดา้ นพฤกษศาสตร์หรอื วิทยาศาสตร์ว่าด้วยพืช โดยมกั จะมกี ารปลูก รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ ตามแตล่ ะนโยบาย ลกั ษณะพืน้ ที่ และงบประมาณของสวนพฤกษศาสตร์นน้ั ๆ เช่น สวน กลว้ ยไม้ สวนสมุนไพร สวนพืชให้สี สวนพชื มีพษิ หรือ ตามการจดั จาแนกพชื เป็นวงศต์ ่าง ๆ เชน่ วงศ์ปาล์ม วงศข์ งิ ขา่ เปน็ ตน้ โดยสวนพฤกษศาสตร์ทมี่ ีมาตรฐานจะมีองคป์ ระกอบที่สาคัญ เชน่ แปลงรวบรวมพรรณพืช ห้องสมดุ หอพรรณไม้ ห้องปฏบิ ตั กิ าร นอกจากงานด้านอนุรกั ษพ์ ืชแล้ว ยงั เปน็ แหล่งเรียนรดู้ ้านพืชสาหรบั การศึกษาของ นกั วิจัย นกั เรยี นนักศึกษา หรือตอบสนองต่อการเป็นแหล่งท่องเท่ยี วและสถานพักผ่อนหย่อนใจ ซ่งึ แนวโน้มใน ปัจจบุ ันสวนพฤกษศาสตร์จะตอ้ งตอบสนองต่อความเป็นอยขู่ องมนษุ ย์ เช่น การเปน็ แหลง่ พนั ธกุ รรมใหแ้ กช่ ุมชนใน ทอ้ งถิ่น สวนพฤกษศาสตร์ และสวนรุกขชาตใิ นประเทศไทย สวนพฤกษศาสตร์ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสริ ิกิต์ิ จังหวัดเชียงใหม่ (องคก์ ารสวนพฤกษศาสตร์) สวนพฤกษศาสตร์ 100 ปี กรมป่าไม้ จงั หวดั สระแกว้ สวนพฤกษศาสตร์ภาคตะวันออก (เขาหนิ ซ้อน) จังหวดั ฉะเชิงเทรา[1] สวนพฤกษศาสตรภ์ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ (ดงฟ้าหว่ น) จงั หวัดอบุ ลราชธานี สวนพฤกษศาสตรภ์ าคกลาง (พุแค) จังหวดั สระบรุ ี สวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (เขาช่อง) จงั หวดั ตรัง สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ท่งุ คา่ ย) จงั หวัดตรัง สวนพฤกษศาสตรพ์ ัทลงุ จังหวัดพัทลงุ สวนพฤกษศาสตรช์ ายแดนภาคใต้ จังหวัดนราธิวาส สวนพฤกษศาสตรว์ รรณคดี 4 แห่ง สวนพฤกษศาสตรว์ รรณคดีภาคกลาง จงั หวัดราชบุรี สวนพฤกษศาสตรว์ รรณคดีภาคเหนอื จงั หวัดเชยี งใหม่ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดภี าคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จังหวดั รอ้ ยเอ็ด สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดภี าคใต้ จงั หวัดสงขลา
คูม่ ือฐานการรเรียนรูท้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พนั ธุกรรมพชื 15 สวนรวมพรรณไมป้ า่ 60 พรรษามหาราชนิ ี 4 แหง่ สวนรวมพรรณไมป้ ่า 60 พรรษามหาราชนิ ี ภาคกลาง จังหวดั ราชบรุ ี สวนรวมพรรณไม้ปา่ 60 พรรษามหาราชนิ ี ภาคเหนือ จังหวดั เชยี งใหม่[2] สวนรวมพรรณไม้ปา่ 60 พรรษามหาราชนิ ี ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ จังหวดั อุดรธานี สวนรวมพรรณไมป้ ่า 60 พรรษามหาราชนี ี ภาคใต้ จังหวดั นราธวิ าส สวนรกุ ขชาติ 55 แหง่ [แก้] ภาคเหนอื สวนรกุ ขชาตสิ กุโณทยาน จังหวัดพิษณโุ ลก สวนรุกขชาติบ้านแพะ จงั หวดั อุตรดิตถ์ สวนรุกขชาตซิ ับชมภู จงั หวัดเพชรบูรณ์ สวนรุกขชาตเิ มอื งราด จงั หวัดเพชรบูรณ์ สวนรกุ ขชาติผาเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ สวนรกุ ขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ (ซับสมบรู ณ์) จงั หวดั นครสวรรค์ สวนรุกขชาตกิ าญจนกุมาร จงั หวดั พิจติ ร สวนรกุ ขชาตหิ ้วยทรายขาว จังหวดั แพร่ สวนรุกขชาติห้วยโรง จงั หวัดแพร่ สวนรกุ ขชาติช่อแฮ จังหวัดแพร่ สวนรุกขชาติห้วยทาก จังหวดั ลาปาง สวนรุกขชาติพระบาท จงั หวดั ลาปาง สวนรกุ ขชาติหา้ งฉัตร จงั หวัดลาปาง สวนรกุ ขชาติแชแ่ ห้ง จงั หวดั น่าน สวนรุกขชาติห้วยนา้ อนุ่ จงั หวดั น่าน สวนรกุ ขชาติเขาดนิ ไพรวัน จังหวดั สโุ ขทัย สวนรุกขชาตโิ ปง่ สลี จังหวัดเชยี งราย สวนรุกขชาตไิ ม้เมืองหนาว จงั หวัดเชยี งใหม่ สวนรกุ ขชาติหว้ ยแก้ว จงั หวัดเชียงใหม่ สวนรุกขชาตแิ มส่ ุรนิ จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน สวนรุกขชาตหิ ว้ ยชมภู จังหวัดแมฮ่ ่องสอน สวนรกุ ขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ (ดอยหมากหนิ หอม) จังหวดั แมฮ่ ่องสอน สวนรกุ ขชาติโปง่ แข่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภาคกลาง สวนรุกขชาตมิ วกเหลก็ จังหวดั สระบุรี สวนรกุ ขชาตเิ ขาฉกรรจ์ จงั หวัดสระแก้ว สวนรุกขชาติน้าตกวงั กา้ นเหลือง จังหวัดลพบุรี
คู่มอื ฐานการรเรยี นรทู้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรกั ษพ์ ันธุกรรมพชื 16 สวนรกุ ขชาตคิ า่ ยบางระจัน จงั หวดั สงิ ห์บุรี สวนรุกขชาตคิ เู มือง จงั หวัดสงิ ห์บุรี สวนรกุ ขชาตถิ า้ จอมพล จังหวดั ราชบุรี สวนรุกขชาตดิ อนเจดยี ์ จังหวัดสุพรรณบุรี สวนรุกขชาตดิ ่านช้าง จังหวัดสพุ รรณบุรี สวนรกุ ขชาตกิ าแพงแสน จังหวดั นครปฐม สวนรกุ ขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ (ทุ่งขนาย) จงั หวัดเพชรบรุ ี ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ สวนรุกขชาตนิ ้าผดุ ทัพลาว จังหวัดชยั ภมู ิ สวนรกุ ขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ (ภกู ุม้ ข้าว) จงั หวัดชยั ภมู ิ สวนรุกขชาตพิ ทุ ธมณฑล จงั หวดั มหาสารคาม สวนรกุ ขชาตทิ า่ สองคอน จังหวดั มหาสารคาม สวนรกุ ขชาตดิ งมะอี่ จังหวดั ร้อยเอ็ด สวนรุกขชาตดิ อนหวั นาค จงั หวัดร้อยเอด็ สวนรุกขชาติโพนทราย จังหวดั รอ้ ยเอด็ สวนรุกขชาติ 100 ปี กรมปา่ ไม้ (ปากปวน) จงั หวัดเลย สวนรุกขชาติภูขา้ ว จงั หวดั เลย สวนรุกขชาติอุบลวนารมย์ จงั หวดั อบุ ลราชธานี สวนรกุ ขชาติ 100 ปี กรมปา่ ไม้ (นา้ ตกสาโรงเกยี รติ) จังหวดั ศรีสะเกษ สวนรกุ ขชาติดงบงั อี่ จังหวัดมุกดาหาร สวนรกุ ขชาตินา้ ตกธารทอง จงั หวดั หนองคาย สวนรุกขชาติวงั ปอพาน จังหวัดนครพนม ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ สวนรกุ ขชาติหนองตาอยู่ จงั หวัดชลบรุ ี สวนรุกขชาติเพ จังหวดั ระยอง สวนรุกขชาติหนองสนม จงั หวดั ระยอง ภาคตะวนั ออก สวนรุกขชาติสมเด็จพระปน่ิ เกลา้ จังหวดั ฉะเชิงเทรา ภาคใต้ สวนรุกขชาติเขาพุทธทอง จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี สวนรุกขชาตริ กั ษะวาริน จังหวัดระนอง สวนรุกขชาติถา้ เขานยุ้ จงั หวัดสงขลา สวนรกุ ขชาติพฤกษามหาราชนิ ี จงั หวัดปัตตานี
คู่มือฐานการรเรยี นรทู้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช 17 การอนุรกั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื การอนุรักษ์เชื้อพันธุกรรมพืช มีความสาคัญต่อชีวติ และความเป็นอยู่ของประชากรในอนาคตเป็นอย่าง ย่ิง พันธุกรรมพืชถือเป็น ทรพัยากรท่ีมีค่าและมีความสาคัญต่อการปรับปรุงพันธ์ุพืชในอนาคต ความหลากหลายทาง พันธุกรรมของทรัพยากรเหลา่ นี้อาจจะสูญหาย ไป เนื่องจากความไม่รู้ของมนุษย์ในการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ วิทยาการ ในการจาแนกและการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชจึงมีบทบาทสาคัญ ท่ีจะดารงทรัพยากรน้ีให้ย่ังยืนและถูกต้องตามหลัก วชิ าการ เราอาจจาแนกพืชโดยดูจากลกั ษณะทางสณั ฐานวิทยาที่แตกต่างกัน แต่ บางคร้ังเราก็ไม่สามารถจาแนกพืชได้ ถูกต้อง ด้วยลักษณะดังกล่าวจึงจาเป็นต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ มาประกอบในการช่วยจาแนก เช่น chemotaxonomy, phyto-biochemistry หรอื molecular biology คณะนักวจิ ยั ของฝา่ ยปฏบิ ตั ิการวิจัยและเรอื นปลูกพืชทดลอง สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้ทาการ ศกึ ษาค้นคว้าและพัฒนาวธิ กี ารจาแนกสายพนั ธกุ รรมโดยเรม่ิ จากเมล็ดพันธุ์ทมี่ ีความสาคัญทางเศรษฐกิจ อกี ท้ังยังเก็บรักษาสายพนั ธ์ุ ในสภาพปลอดเช้ือและในสภาพเยน็ ย่งิ ยวด เพ่ือใหส้ ามารถดารงไวซ้ ึง่ พนั ธุกรรมทีส่ าคัญ และปอ้ งกันไมใ่ หส้ ูญหายไปจาก ธรรมชาติ การจาแนกพนั ธพุ์ ชื การศึกษาทางเคมีและชีวเคมีภายในตน้ พชื เพอ่ื ใชก้ ับงานด้านการจาแนกพนั ธ์พุ ืชมมี ากขนึ้ โดยเฉพาะการใช้ โมเลกลุ ของ โปรตนี เอนไซม์หรือกรดนิวคลอี ิค นบั เปน็ วิธีหนงึ่ ท่แี สดงความสัมพนั ธ์ระหว่างตน้ พชื ได้วา่ เหมือนกันหรือ ต่างกนั เนอ่ื งจากขอ้ มลู ทาง พันธุกรรมทถ่ี า่ ยทอดจากพ่อแม่มาสู่ลูก ทาให้มีการเปลย่ี นแปลงโมเลกลุ โปรตีนหรอื เอนไซม์โดยตรงก่อนทจี่ ะสร้างโมเลกุลอนื่ ดงั นัน้ ลักษณะทางพันธกุ รรมของพืชยอ่ มอาศัยดเี อ็นเอ เอนไซมห์ รือโปรตนี เปน็ ตวั บ่งชไ้ี ด้ จาแนกพันธพุ์ ืชจากลกั ษณะภายนอกเพียงอย่าง เดยี วน้ันนับว่าเป็นวิธที ี่สะดวกแต่อาจจะยุ่งยากได้ถา้ ลักษณะทางสัณฐานวทิ ยาทคี่ ลา้ ยคลงึ กันมาก ทาให้ไม่เห็นความแตกตา่ งระหวา่ ง พนั ธไ์ุ ด้เดน่ ชดั บางครงั้ ไมส่ ามารถ เกบ็ ตัวอยา่ งหรือช้นิ สว่ นของพชื ไดค้ รบสมบูรณท์ ุกสว่ นจาเป็นต้องอาศัยผทู้ ่ีมีความเช่ียวชาญใน การพิจารณาความ แตกตา่ งระหวา่ งพนั ธุ์อกี ด้วย เทคนคิ อเิ ลคโตรโฟรซี ีส เป็นเทคนิคการแยกวเิ คราะหส์ ารหรือโมเลกลุ ท่มี ีประจโุ ดยให้สารเคลือ่ นที่จะข้ึนอยกู่ บั ความ เข้มของ สนามไฟฟา้ และจานวนประจุไฟฟ้าระหวา่ งขว้ั บวกและขั้วลบ อัตราการเคลอ่ื นทจี่ ะขน้ึ อยู่กบั ความเข้มของสนามไฟฟา้ และ จานวนประจุไฟฟ้ารวมของอนุภาค ดงั นน้ั จงึ นาเทคนิคอิเลคโตรโฟรซี ีสมาใช้เพื่อการจาแนกพนั ธ์ุพชื ได้เป็นอยา่ งดี โดยอาศยั การแยก โมเลกุลของโปรตีน เอนไซม์ หรือดีเอ็นเอ โปรตีนเป็นโมเลกุลทางชวี เคมีของสิ่งมีชีวิตที่ประกอบข้นึ ดว้ ยกลมุ่ ของกรดอะมิโนท่มี าตอ่ กนั เป็นสายโพลเี ปปไทด์ ตามชนิด ของโปรตีนที่ต่างกนั โมเลกุลโปรตีนจะแสดงประจุ และขนาดของโมเลกลุ ต่งกนั ทาให้สามารถแยกโมเลกลุ โปรตีนด้วยกระแสไฟฟา้ บนตัวกลางได้ดี ดงั นน้ั เทคนิคอเิ ลคโตร โฟรีซีสทีน่ ามาใช้แยกโมเลกลุ โปรตนี โดยเฉพาะโปรตนี ในเมลด็ ซงึ่ สว่ นใหญ่เป็นโปรตนี ใน กลุ่มโครงสรา้ งหรือโปรตนี สะสมรวม 4 กลุ่ม คือ เอลบูมิน โกลบลู ิน พบในเมลด็ ตระกูลถ่วั โปรลามิน เช่น ฮอรด์ นี ในบาร์เล่ยแ์ ละ กลเู ทลิน พบ ในธัญพืช เชน่ กลูเทนนิ ในขา้ วสาลี สว่ นไอโซไซม์ ซ่ึงเป็นเอนไซม์ทีเ่ ร่งปฏกิ ิรยิ าชนดิ เดยี วกนั โมเลกลุ มรี ปู ร่างได้หลาย แบบโดยมคี ณุ สมบตั ิทางกายภาพทางไฟฟา้ ตา่ งกันและโครงสร้างตา่ งกัน อกี ท้ังมีการเรง่ ปฏิกริ ยิ าต่างกันเล็กนอ้ ย ไอโซ ไซม์แตล่ ะ โมเลกลุ มีพนั ธุกรรมตา่ งกันและถูกควบคุมการสังเคราะห์ด้วยยนี ตา่ งกนั ความแตกต่างของไอโซไซมแ์ ต่ละ
คมู่ ือฐานการรเรียนรู้ที่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พนั ธุกรรมพืช 18 โมเลกุลมพี นั ธกุ รรม ตา่ งกนั และถูกควบคมุ การสังเคราะหด์ ้วยยนี ทต่ี ่างกันความแตกต่างของไอโซไซม์ จงึ เปน็ ผลมา จากลาดบั ของกรดอะมโิ นในสาย โพลีเปปไทด์ประจหุ รอื การแปรสภาพหลังการสังเคราะหโ์ ปรตนี ในพืชชนดิ หนง่ึ ๆ จะ แสดงความแตกต่างไดก้ ็ขึน้ กับชนดิ ของพชื ชิ้นสว่ นของเนื้อเย่ือท่ีสกดั เอนไซม์ และชนิดของไอโซไซม์ซ่ึงพบว่าสามารถ ใชแ้ บบของไอโซไซม์และโปรตีน เปน็ marker แสดงความแตกต่างไดท้ ั้งในระดับสกุล (genus) ชนดิ (species) พันธุ์ (cultivar) หรือกอพนั ธ์ุ (clone) ปัจจุบันได้มกี ารพัฒนาวิธกี าร Random amplifed polymorphic DNA (RAPD) หรอื เรยี กส้ัน ๆ ว่า Rapid ซ่ึงเปน็ เทคนิคทางดา้ นอณูพนั ธศุ าสตรท์ ี่อาศัยหลกั การของวิธกี ารพเพ่ิมปรมิ าณชน้ิ ส่วนดีเอ็นเอ ให้ไดป้ ริมาณ มากในระยะเวลาอนั สน้ั หลังจากนนั้ นาผลผลิตของดเี อน็ เอท่ีไดม้ าทาอิเลคโตรโฟรีซีสเพ่ือหาลายพมิ พ์ดเี อ็นเอ (DNA fingerprints) ซงึ่ ใช้เป็น marker ในการจาแนกพนั ธุกรรมพืชเพ่ือการอนุรกั ษ์พันธ์ุ ตลอดจนการใช้ประโยชน์ในการ ปรับปรงุ พนั ธพ์ุ ืชและการผลติ เมล็ดพนั ธ์ุพชื ทีต่ รงตาม พันธ์ุ นอกจากน้เี ทคนิคดงั กลา่ วยงั สามารถใชศ้ ึกษาการกระจาย ตวั ทางพันธกุ รรมของเช้ือพันธุ์ทเี่ กบ็ มาใหม่ การเปลีย่ นแปลงทาง พนั ธกุ รรมของเช้อื พันธท์ุ ง้ั ก่อนและหลังการ ขยายพนั ธว์ุ ิธีนส้ี ามารถทาไดส้ ะดวกรวดเร็ว วธิ ีการไม่ยงุ่ ยากซับซ้อน ต้นทุนในการทา ไม่สูงนกั ใชช้ ้นิ ส่วนของพชื เพียง เลก็ นอ้ ย ไมต่ ้องการ probe ทเ่ี ฉพาะเจาะจงสามารถแสดงความแตกตา่ งของแถบดเี อ็นเอได้สูง ดาเนนิ การไดท้ ั้งจีโนม ของพชื และสภาพแวดล้อมไม่มีอิทธิพลต่อการแสดงออกของลายพมิ พด์ เี อน็ เอ นักวิจยั ของฝ่ายปฏิบตั ิการวิจยั และ เรือนปลูกพชื ทดลองได้ศึกษาและจาแนกพันธ์ุพืชไดห้ ลายชนดิ ได้แก่ ถ่วั ฝักยาว มะเขอื เทศ แตงกวา ไผ่ ขา้ วโพด ถ่ัว เขยี ว เปน็ ต้น การเก็บรักษา เทคนคิ การเกบ็ รกั ษาเชอ้ื พนั ธกุ รรมพืชในปัจจุบนั สามารถทาได้ 2 วธิ ี คือ การเกบ็ รักษาในสภาพธรรมชาตดิ งั้ เดมิ เป็นการนาชิน้ ส่วนของสายพนั ธหุ์ รือกอพนั ธุจ์ ากแหล่งปลกู มาเลย้ี งดูในสภาพ อาหารสงั เคราะห์และปลอด เชอ้ื ถือเป็นการลดการเสีย่ งจากศตั รูพชื และดนิ ฟ้า อากาศ รวมทั้งประหยัดพนื้ ทใ่ี นการเก็บรกั ษา สาหรบั การเก็บ รักษาเชอื้ พันธุกรรมพืชในสภาพปลอดเชื้อน้นั ทางฝา่ ยปฏบิ ัตกิ ารวจิ ยั ฯ ไดท้ าการศึกษาและพฒั นาเทคนคิ เพ่ือ ให้ เหมาะสมกบั ชนดิ ของพชื โดยแบง่ ช่วงระยะเวลาการเก็บรกั ษาได้ 3 ระยะ ตามความเหมาะสมดงั น้ี การเก็บรักษาในระยะส้ัน คือ การเก็บรักษาช้ินส่วนหรือเน้ือเย่ือในอาหารสังเคราะห์ท่ีควบคุมการเจริญเติบโต เมื่อ เนื้อเย่ือเจริญเติบโตได้ระยะหนึ่งต้องเปล่ียนอาหารใหม่และตัดแยกเนื้อเยื่อ วิธีนี้ทาให้เสียเวลาในการตัดแยกเนื้อเยื่อ และเปล่ียนอาหาร ่บ่อย ๆ ดังน้ันจึงต้องอาศัยเทคนิค การเก็บรักษาในระยะปานกลาง มาช่วยชะลอการเจริญเติบโต อย่างช้าหรือการเก็บรักษาในอุณหภูมิ ต่า เพื่อยืดระยะเวลาการเปล่ียนอาหารและวิธีการหยุดการเจริญเติบโตของ เน้ือเยอ่ื ในสภาพเยน็ ยิง่ ยวด ซ่ึงสามารถเกบ็ รกั ษาไดเ้ ป็น เวลานานโดยไม่ต้องเปล่ยี นอาหารใหม่
ค่มู ือฐานการรเรยี นร้ทู ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษพ์ ันธุกรรมพชื 19 เอกสารชุดการเรยี นรู้ การศึกษาพันธุ์พืช ต้นหวา้ ตน้ สกั ต้นเพกา ต้นมะมว่ ง ตน้ ยางนา ตน้ ประดู่ ตน้ พะยงู ตน้ จามจรุ ี ราชพฤกษ์ แคนา สะเดา มะคา่ โมง
คมู่ อื ฐานการรเรียนร้ทู ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษพ์ นั ธุกรรมพืช 20 ใบงานที่ 1 การวเิ คราะหห์ ลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ฐานการเรียนรทู้ ่ี 4 สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ กั ษพ์ ันธกุ รรมพชื เงอ่ื นไขคณุ ธรรม เงอ่ื นไขความรู้ .......................................................................... .......................................................................... ……………………………………………………………….. ……………………………………………………………….. ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ……………………………………………………………….. ……………………………………………………………….. ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ ภูมคิ ้มุ กนั ในตวั ทดี่ ี ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ ........ การเชื่อมโยงแบบ 4 มติ ิ สงั คม-............................................................................................................................. ..................................... วัตถ/ุ เศรษฐกจิ ..................................................................................................................................................... วัฒนธรรม-............................................................................................................................. .............................. สง่ิ แวดลอ้ ม-.......................................................................................................................................................... ชือ่ -สกลุ ............................................................................................................................. ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอสวุ รรณคหู า
ค่มู อื ฐานการรเรียนรทู้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรกั ษ์พนั ธุกรรมพชื 21 ใบงานท่ี 2 ฐานการเรยี นรทู้ ี่ 4 สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื 1.ให้นักเรยี นเตมิ ลักษณะวิสยั ของพชื ใต้ภาพท่ีกาหนดให้ วา่ เป็น ไมเ้ ถา , ไมต้ ้น, ไม้ล้มลกุ , ไมพ้ ุ่ม 1.1…………………………………. 1.2…………………………………. 1.3…………………………………. 1.4…………………………………. ชอ่ื -สกลุ ......................................................................................................................... .... ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอสวุ รรณคหู า
คู่มอื ฐานการรเรยี นรทู้ ี่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พนั ธุกรรมพืช 22 แบบทดสอบหลังเรยี น ฐานการเรยี นรทู้ ี่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนรุ ักษพ์ ันธกุ รรมพชื คาสั่ง ใหน้ ักเรยี นทาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ทบั ข้อทถี่ ูกทสี่ ดุ 1. ส่วนประกอบใดทที่ าหนา้ ที่ชดู อกใหต้ ิดกบั ก่ิง ก. ก้านดอก ข. ฐานรองดอก ค. กลีบประดับ ง. กา้ นชอู บั เรณู 2. หลงั จากการเกดิ การปฏสิ นธทิ ีร่ งั ไขเ่ กสรเพศเมยี แลว้ สง่ิ ท่ีได้คือ ก. ใบ ข. ดอก ค. ผล ง. ราก 3. พชื ชนิดใดไมเ่ ปน็ ดอกสมบูรณ์เพศ ก. ดอกฟักทอง ข. ดอกกุหลาบ ค. ดอกมะยม ง. ดอกขา้ วโพด 4. พืชในข้อใดมใี บแทท้ ่สี มบูรณม์ สี ว่ นประกอบครบท้งั 3 สว่ น ก. ใบกระถนิ ณรงค์ ข. ใบมะมว่ ง ค. ใบวาสนา ง. ใบขนุน 5. ขอ้ ใดคือหน้าทหี่ ลักของใบ ก. ดดู ซบั อาหาร ข. สังเคราะห์แสง ค. ค้าจุนลาต้น ง. ล่อแมลง 6. ข้อใดไม่ใชว่ ิธีการอนรุ ักษ์ป่าท่ีถกู ต้อง ก. ปลูกป่า ข. การบกุ รกุ ปา่ ค. ใชไ้ มอ้ ย่างประหยดั ง. การรณรงค์ปลูกจติ สานึก 7. อวยั วะของพืชที่ไม่มีข้อ ปลอ้ ง ตา และใบ เจริญเติบโตลงสู่ดิน หมายถงึ ข้อใด ก. Stem ข. Root ค. Leaf ง. Flower 8. พชื ชนิดใดมีใบประกอบแบบน้วิ มือ ก. ใบประดู่ ข. ใบเพกา ค. ใบมนั สาปะหลงั ง. ใบมะขาม 9. ขอ้ ใดไม่ใช่สว่ นประกอบของใบ ก. กา้ นใบ ข. แผ่นใบ ค. หูใบ ง. ออวูล 10. รากแก้วหรอื รากฝอยที่อยใู่ ต้ดนิ ทาหนา้ ที่สะสมอาหาร หมายถึงข้อใด ก. รากสะสมอาหาร ข. รากเกาะ ค. รากค้าจนุ ง. รากสังเคราะห์แสง
คู่มอื ฐานการรเรยี นร้ทู ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษ์พนั ธุกรรมพืช 23 เฉลยใบงานท่ี 2 ฐานการเรียนรทู้ ี่ 4 สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ กั ษพ์ ันธกุ รรมพชื 1.ใหน้ กั เรียนเติมลักษณะวิสยั ของพืชใตภ้ าพที่กาหนดให้ วา่ เปน็ ไมเ้ ถา , ไม้ต้น, ไมล้ ม้ ลกุ , ไม้พุ่ม 1.1.ไมพ้ ่มุ (Shrub) พชื ที่มีการแตกกิ่งก้านสาขาตัง้ แตโ่ คนตน้ ลา ตน้ มีเนอ้ื ไม้แข็ง ทาให้มลี ักษณะเปน็ ทรงพุ่ม โดยพุม่ ไมน้ ้ีมีขนาด เล็ก หรือขนาดกลาง เช่น โกสน ชบา ชาปตั ตาเวีย 1.2.ไมเ้ ล้ือย หรือ ไมเ้ ถา คือ พชื ทไ่ี ม่มเี นื้อไม้แข็ง ทาให้ไมส่ ามารถ ทรงตัวไดโ้ ดยลาพัง ลาต้นเล้ือยไปตามดินหรือพนั สง่ิ ท่อี ยู่ใกล้เคียง เปน็ ที่ยดึ เกาะเพ่อื พยงุ ใหล้ าต้นเจริญอยไู่ ด้ โดยอาจมีอวัยวะพิเศ ช่วยในการเกีย่ วยดึ เชน่ ราก มือเกาะ ขอเก่ียว ไมเ้ ล้อื ยเปน็ ประเภทหน่งึ ในการจาแนกพืชตามโครงสร้างและทรงของลาต้น 1.3ไม้ล้มลุก (Herb) พชื ทมี่ ีขนาดเลก็ ลาต้นอ่อนมีเน้ือเยื่อที่ ให้ความแข็งแรงแก่ลาตน้ นอ้ ย อายุการเจริญเติบโตสน้ั ลาตน้ อ่อนนุ่มไมล้ ้มลมุ กจะตายเม่ือหมดฤดูของการเจริญเติบโต ไดแ้ ก่ พืชอายหุ น่ึงปีเชน่ ดาวกระจาย ดาวเรอื ง บานชืน่ พืช อายสุ องปเี ชน่ ผกั กาด และพชื อายหุ ลายปีเชน่ แพงพวยฝร่งั พทุ ธรักษา 1.4.ไมต้ น้ (Tree) พชื ทีม่ ลี าต้นเดยี่ ว ป็นเนือ้ ไม้แข็ง และมกี าร แตกก่ิงกา้ นสาขาด้านบนของลาต้น ซง่ึ มีขนาดเล็กถงึ ขนาดใหญ่ เช่น มะม่วง หกู วาง ประดู่บ้าน มะยม ชมพู่
คู่มือฐานการรเรยี นรูท้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พนั ธุกรรมพืช 24 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรยี น ฐานการเรยี นรู้ สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ กั ษ์พนั ธกุ รรมพชื คาส่งั ใหน้ กั เรียนทาเครอื่ งหมายกากบาท (X) ทับข้อที่ถูกทีส่ ุด 1. ส่วนประกอบใดท่ที าหน้าท่ีชูดอกให้ติดกับกิ่ง ก. กา้ นดอก ข. ฐานรองดอก ค. กลบี ประดบั ง. ก้านชูอับเรณู 2. หลังจากการเกิดการปฏิสนธทิ ี่รงั ไขเ่ กสรเพศเมียแล้วสงิ่ ท่ีไดค้ ือ ก. ใบ ข. ดอก ค. ผล ง. ราก 3. พชื ชนิดใดไมเ่ ป็นดอกสมบูรณเ์ พศ ก. ดอกฟักทอง ข. ดอกกหุ ลาบ ค. ดอกมะยม ง. ดอกข้าวโพด 4. พืชในข้อใดมใี บแทท้ สี่ มบูรณ์มีส่วนประกอบครบท้ัง 3 ส่วน ก. ใบกระถนิ ณรงค์ ข. ใบมะมว่ ง ค. ใบวาสนา ง. ใบขนนุ 5. ข้อใดคือหน้าท่หี ลักของใบ ก. ดดู ซบั อาหาร ข. สังเคราะห์แสง ค. ค้าจุนลาตน้ ง. ล่อแมลง 6. ขอ้ ใดไม่ใชว่ ธิ กี ารอนุรักษ์ป่าทีถ่ ูกต้อง ก. ปลูกป่า ข. การบุกรกุ ปา่ ค. ใชไ้ มอ้ ย่างประหยัด ง. การรณรงคป์ ลูกจิตสานึก 7. อวัยวะของพชื ที่ไม่มีข้อ ปลอ้ ง ตา และใบ เจริญเตบิ โตลงสดู่ ิน หมายถึงข้อใด ก. Stem ข. Root ค. Leaf ง. Flower 8. พืชชนิดใดมีใบประกอบแบบนว้ิ มือ ก. ใบประดู่ ข. ใบเพกา ค. ใบมนั สาปะหลัง ง. ใบมะขาม 9. ข้อใดไมใ่ ช่สว่ นประกอบของใบ ก. กา้ นใบ ข. แผ่นใบ ค. หูใบ ง. ออวูล 10. รากแก้วหรอื รากฝอยทอ่ี ยู่ใต้ดิน ทาหน้าท่ีสะสมอาหาร หมายถงึ ข้อใด ก. รากสะสมอาหาร ข. รากเกาะ ค. รากคา้ จุน ง. รากสงั เคราะห์แสง
ค่มู ือฐานการรเรยี นรูท้ ่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พนั ธุกรรมพชื 25 แบบสอบถามความพึงพอใจ ฐานการเรยี นรทู้ .่ี ..........ชอื่ ฐาน .................................................................. กิจกรรม ............................................................................. ****************************** คาชแี้ จง แบบสอบถามความพงึ พอใจ มีจานวน 3 ตอน ให้ผู้ตอบแบบสอบถามความพงึ พอใจทาเคร่ืองหมาย ลงในชอ่ ง ท่ีตรงกับความคิดเห็นของท่านมากท่ีสดุ เพียงข้อเดยี ว ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลทั่วไป เพศ ชาย หญงิ เพศทางเลือก (LGBTQ+) ระดบั การศกึ ษา ตา่ กว่า ป.6 ป.6/ประถมศึกษา ม.3 หรือ ม.ตน้ ม.6 หรือเทียบเท่า ปวส./อนปุ รญิ ญา ปริญญาตรขี ้ึนไป อายุ ตา่ กวา่ 15 ปี 15 - 20 ปี 21 - 30 ปี 31 - 40 ปี 41 - 50 ปี 51 - 60 ปี 61 ปขี น้ึ ไป อาชีพ นักเรยี น/นกั ศึกษา รบั จา้ ง เกษตรกร ค้าขาย อนื่ ๆ (ระบ)ุ ............................................................................................. ตอนที่ 2 ความพึงพอใจท่มี ีต่อฐานการเรียนรู้ โดยระดบั ความพงึ พอใจ แบง่ ออกเป็น 5 ระดับ ดงั น้ี 5 หมายถงึ มากทสี่ ุด 4 หมายถึง มาก 3 หมายถึง ปานกลาง 2 หมายถึง น้อย 1 หมายถึง น้อยท่สี ดุ รายละเอยี ด ระดบั ความพงึ พอใจ 5 4 321 1. ผู้เรียน/ผ้เู ข้าร่วมกิจกรรมได้รบั ความรู้และมีความเขา้ ใจจากการเรยี นรู้ ในฐานการเรยี นรู้ 2. ผเู้ รยี น/ผู้เข้าร่วมกจิ กรรมมที ักษะจากการเรยี นรู้ในฐานการเรยี นรู้ 3. วัสดุ/อุปกรณใ์ นการสาธิตหรือให้ผู้เรยี น/ผเู้ ข้ารว่ มกจิ กรรมไดฝ้ ึกปฏบิ ัตเิ พียงพอ 4. ส่อื ทใ่ี ช้ในการจัดกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้มคี วามเหมาะสม หลากหลาย เพียงพอ และนา่ สนใจ 5. ผู้สอน/วิทยากร สง่ เสรมิ ให้ผู้เรียน/ผู้เขา้ รว่ มกจิ กรรมทางานรว่ มกนั เปน็ ทีม
คู่มือฐานการรเรยี นรทู้ ี่ 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรกั ษ์พนั ธุกรรมพืช 26 รายละเอยี ด ระดบั ความพงึ พอใจ 5 4 321 6. ผ้สู อน/วทิ ยากร สง่ เสริมใหผ้ ูเ้ รียน/ผู้เขา้ ร่วมกจิ กรรมมีความคิดริเรมิ่ สร้างสรรคแ์ ละ คดิ เป็น 7. ผูส้ อน/วิทยากร รับฟงั ความคิดเหน็ ที่แตกต่างของผู้เรยี น/ผูเ้ ข้าร่วมกจิ กรรม 8. ผู้สอน/วิทยากร ใหค้ วามสนใจผู้เรยี น/ผูเ้ ข้าร่วมกิจกรรม อยา่ งทั่วถึง เทา่ เทยี ม ไม่เลือกปฏิบัติ 9. ผู้สอน/วิทยากร เปดิ โอกาสให้ผู้เรียน/ผูเ้ ขา้ รว่ มกิจกรรมซกั ถามปัญหาหรือขอ้ สงสัย 10. การจัดกระบวนการเรียนรใู้ นฐานการเรียนรมู้ คี วามสนุกสนานและนา่ สนใจ ตอนท่ี 3 ขอ้ คิดเหน็ /ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ................................................................................................................................................................. ................... ขอขอบคุณในความรว่ มมือ
คูม่ ือฐานการรเรยี นรู้ท่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษพ์ นั ธุกรรมพชื 27 คณะผจู้ ดั ทา ที่ปรกึ ษา ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอเมืองหนองบัวลาภู รักษาการในตาแหนง่ ผู้อานวยการ กศน.อาเภอสุวรรณคูหา 1. นายวินัย แสงใส ครูผู้ชว่ ย ครูผูช้ ่วย 2. นางสาวพชิ ชาพิมพ์ เพช็ รเวียง ครูอาสาสมคั รการศกึ ษานอกโรงเรียน 3. นางสาวอารยา วิชาสวัสดิ์ ครอู าสาสมคั รการศึกษานอกโรงเรียน 4. นายวชรพล เพียเทพ ครูอาสาสมคั รการศกึ ษานอกโรงเรียน 5. นายอภชิ าติ สุทธโิ สม 6. นางสวุ รรณา สุทธิโสม ครู กศน.ตาบล ครู กศน.ตาบล คณะทางาน ครู กศน.ตาบล 1. นางสภุ าวดี ไชยโพธ์ิ 2. นายอฒั ชา คาสีทา 3. นายพสิ ษิ ฐ โคตรุ าช คณะเรยี บเรยี งและจัดพมิ พ์ ครู กศน.ตาบล นายอฒั ชา คาสีทา
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: