วรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั การศึกษาวรรณคดี วรรณกรรมสมยั ต่าง ๆ ในประเทศไทย สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็ นหลายยคุ หลายสมยั โดยในท่ีน้ีผเู้ ขียนจะศึกษาในเร่ืองของ วรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั วรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั เป็ นสมยั ท่ีเร่ิมแรกในการประดิษฐต์ วั อกั ษร ในสมยั น้ีคงจะมีอยมู่ าก และหลายประเภท ท้งั เรื่องบา้ นเมือง การปกครอง และการส่งั สอนต่าง ๆ เป็นตน้ แรกเร่ิมก่อนท่ีเราจะไปศึกษาวรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั เราจะตอ้ งมาศึกษาเก่ียวกบัความหมายของวรรณคดี ภาพรวมของวรรณคดี วรรณกรรมสมัยสุโขทัย รายชื่อวรรณคดีวรรณกรรมสมยั สุโขทยั ที่ปรากฏ วรรณคดี วรรณกรรมที่เด่น ๆ ในสมยั สุโขทยั ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑และไตรภูมิพระร่วงวรรณคดี คืออะไร วทิ ย์ ศิวะศริยานนท์ (๒๕๔๔ : ๒๗) ไดอ้ ธิบายไวด้ งั น้ี วรรณคดีอนั เป็ นคาที่เราบญั ญตั ิข้ึนใชเ้ ทียบคา Iiterature ในภาษาองั กฤษ หมายถึงบทประพนั ธ์ท่ีรัดรึงตรึงใจผอู้ ่าน ปลุกมโนคติ ทาให้เพลิดเพลินและเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ละมา้ ยคลา้ ยคลึงกบั อารมณ์ของผปู้ ระพนั ธ์ วรรณคดี คือ บทประพันธ์ที่มุ่งให้ผู้อ่านเกิดความเพลิดเพลิน ให้เกิดความนึกคิดและอารมณ์ตา่ ง ๆ ตามผเู้ ขียนภาพรวมของวรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั ภาพรวมของวรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั แต่งเป็ นความเรียง มีสัมผสั ระหว่างวรรคเพ่ือความราบรื่นของภาษา แต่ไม่คงท่ีและไม่เคร่งครัด เช่น “จูงววั ไปคา้ ข่ีมา้ ไปขาย” มีการเล่นคาเช่น “...ใครจกั มกั เล่นเล่น ใครจกั มกั หวั หวั ใครจกั มกั เล่ือนเล่ือน...” ( ศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ ) เอกวุฒิ วงษ์มาลัย (๒๕๕๔ : ๙๘) ไดอ้ ธิบายไวด้ งั น้ี หลกั ศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ สมยั สุโขทยัในสมัยท่ีพ่อขุนรามคาแหงเป็ นกษัตริย์ ใช้ระบอบการปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” ก็คือการปกครองประชาชนของพอ่ ขนุ รามคาแหงน้นั มีความใกลช้ ิดเหมือนดงั่ พอ่ ดูแลลูก สิ่งที่เห็นไดช้ ดั ถึงความสนิทสนมและใกลช้ ิดระหวา่ งผปู้ กครองกบั ประชาชนคือ การแขวนกระดิ่งไวท้ ่ีประตูพระราชวงั ราษฎรมีเรื่องทุกข์ร้อนสามารถมาส่ันกระด่ิงร้องทุกข์ต่อพ่อขุนรามคาแหงได้โดยตรง อีกท้งั ยงั เห็นได้ในบางเวลาพ่อขุนรามคาแหงยงั มีหน้าที่เป็ นครูอาจารย์ของประชาชนดว้ ยพระองค์เอง ส่ิงเหล่าน้ียืนยนั ถึงการปกครองท่ีเป็ นแบบ “พ่อปกครองลูก” ได้อยา่ งดี
“กรรมบาปคนฝูงน้นั หากไปเป็ นไฟลุกในตวั ตนน้นั เป็ นฝื นลุกเอง ไหมไ้ ฟน้นั แลมิแลว้ สักคาบ” (ไตรภูมิพระร่วง) ภาพรวมของวรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั ในท่ีน้ีจะศึกษาเน้ือหา ๒ เร่ือง สองลกั ษณะคือ หลกั ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ เป็ นบนั ทึกอตั ชีวประวตั ิเป็นส่วนมาก คือมีการพูดถึงตวั เองอยา่ งถ่อมตวัมีการอธิบายถึงความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง การปกครอง ขอบเขตของบา้ นเมือง และการทาสงคราม เป็นตน้ ส่วนเรื่องไตรภูมิพระร่วง มีเน้ือหาเป็นปรัชญาทางพระพทุ ธศาสนา โลกท้งั ๓ โลกมีการพรรณนาถึงโลก นรก และสวรรค์ การทาบุญ ทาบาป และชีวติ หลงั ความตาย เป็นตน้ วิทย์ ศิวะศริยานนท์ (๒๕๔๔ : ๑๕๒) ในเรื่องของภาษาท่ีใชบ้ นั ทึกน้นั ในหลกั ศิลาจารึกก็จะมีการใช้ประโยคส้ัน ๆ ง่าย ๆ มีคาไทยแทใ้ ช้มากกวา่ คาที่ยืมมาจากภาษาอ่ืน ส่วนในเรื่องไตรภูมิพระร่วง ใช้ประโยคยาว มีคาภาษาบาลีสันสกฤต ซ่ึงเป็ นคาทางศาสนาเข้ามาปะปนบ้างท่วงทานองการเขียนมีท้งั บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร ปะปนกนั สานวนภาษาเขา้ ใจค่อนขา้ งยาก เน่ืองจากวรรณคดีสมยั สุโขทยั เหลือตกทอดมาจนปัจจุบนั อยู่ไม่ก่ีเรื่อง จึงไม่อาจทราบชดั เจนวา่ มีแนวคิดใดเป็ นเอกลกั ษณ์ หลกั ศิลาจารึกมีแนวคิดแบบสัจนิยม คือ กล่าวถึงเรื่องราวที่มีเน้ือหาเป็นความจริงแท้ บรรยายถึงสภาพทว่ั ๆ ไปของบา้ นเมืองตามความเป็นจริง ส่วนเร่ืองไตรภูมิพระร่วงน้นั เป็ นแนวคิดแบบพุทธปรัชญา หรือปรัชญาจิตนิยม เช่น ในเร่ืองที่กล่าวถึงความเป็ นอยู่ของผคู้ นในอุตรกุรุทวปี ซ่ึงเป็นลกั ษณะของสงั คมในอุดมคติรายชื่อวรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั ทป่ี รากฏ วทิ ย์ ศิวะศริยานนท์ (๒๕๔๔ : ๑๔๘) ไดอ้ ธิบายไวด้ งั น้ี วรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยัคงจะมีจานวนมาก และมีอยู่หลายประเภท เพราะประวตั ิศาสตร์สมยั สุโขทยั มีเหตุการณ์สาคัญหลายอยา่ ง มีท้งั สงครามคร้ังสาคญั และมีความเจริญรุ่งเรืองสุขสมบูรณ์ เป็ นแรงบนั ดาลใจอย่างดีที่จะให้กวีสร้างวรรณคดีข้ึน แต่วรรณคดีซ่ึงน่าจะมีมากในสมยั น้นั มิไดต้ กทอดมาจนถึงปัจจุบนัคงมีอยไู่ ม่กี่เรื่องเท่าน้นั คือ ๑. หลกั ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ ๒. ไตรภูมิพระร่วงหรือเตภูมิกถา ๓. หลกั ศิลาจารึกหลกั อื่น ๆวรรณคดี วรรณกรรมทเ่ี ด่น ๆ ในสมยั สุโขทยั๑. หลกั ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ (ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงมหาราช) ๑.๑ เนื้อเรื่องย่อ
ศิลาจารึกหลกั น้ี บนั ทึกเร่ืองราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในสมยั น้นั ไว้ อาจจะแบ่งเน้ือเร่ืองได้ ๔ ดา้ น ๓ ตอน คือ ตอนที่ ๑ ต้งั แต่บรรทดั ท่ี ๑-๑๘ เป็นประวตั ิของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ต้งั แตเ่ ริ่มประสูติวา่ พ่อแม่พ่ีนอ้ งช่ืออะไรบา้ ง จนกระทงั่ ถึงข้ึนครองราชย์ ในช่วงน้ีใชค้ าแทนพระองคเ์ องวา่ “กู” จึงสันนิษฐานวา่ ผแู้ ตง่ คือพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชเอง ตอนที่ ๒ เล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ธรรมเนียมในเมืองสุโขทยั พระราชกรณียกิจท่ีสาคญั ของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช เช่น สร้างพระแท่นมนงั คศิลา เมื่อ ม.ศ. ๑๒๑๔ สร้างพระมหาธาตุเมืองศรีสัชชนาลยั เม่ือ ม.ศ. ๑๒๐๗ ประดิษฐอ์ กั ษรไทยเม่ือ พ.ศ. ๑๒๐๕ ตอนท่ี ๓ ต้งั แต่ด้านที่ ๔ บรรทดั ท่ี ๑๑ ถึงบรรทดั สุดทา้ ย เป็ นคาสรรเสริญและยอพระเกียรติพอ่ ขนุ รามคาแหง และกล่าวถึงอาณาเขตของเมืองสุโขทยั ดา้ นท่ี ๒ และดา้ นท่ี ๓ สันนิษฐานวา่ ผูแ้ ต่งคงไม่ใช่พ่อขุนรามคาแหงมหาราช และอาจจะไม่ไดแ้ ต่งในสมยั ของพระองคก์ ็ได้ เพราะคาสรรพนามแทนพระองคว์ า่ “กู” หายไป และเริ่มความว่า “เมื่อช่ัว พ่อขุนรามคาแหง เมืองสุโขทยั น้ีดี ในน้ามีปลาในนามีขา้ ว” นอกจากน้ียงั มีขอ้ ความกล่าวสรรเสริญพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ขอ้ ความที่กล่าวยกยอ่ งสรรเสริญพ่อขุนรามคาแหงมหาราชวา่ จะหาคนอื่นท่ีทรงพระปรีชาสามารถและมีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด เทา่ เทียมพระองคน์ ้นั หาไมไ่ ดแ้ ลว้ ซ่ึงคงจะเป็นไปไมไ่ ดท้ ี่พอ่ ขนุ รามจะยกยอ่ งพระองคเ์ องเช่นน้นั หรือโปรดให้คนอ่ืนจารึกเช่นน้ี ผแู้ ต่งหรือโปรดฯ ใหจ้ ารึกขอ้ ความในช่วงน้ีน่าจะเป็นพระมหาธรรมราชาลิไท ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงมหาราชน้ี ได้รับยกย่องว่าเป็ นวรรณคดีไทยเร่ืองแรกท่ีให้ประโยชนท์ างดา้ นการศึกษาประวตั ิศาสตร์ ความเป็นไปในกรุงสุโขทยั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช ปัจจุบันอยู่ทพี่ พิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
๑.๒ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ในวรรณกรรมเรื่อง หลักศิลาจารึกหลักท่ี ๑ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช เป็ นการประพนั ธ์แบบ “ร้องแกว้ ” คือ มีการใชค้ าง่าย ๆ ทาใหผ้ อู้ ่านในยคุ ปัจจุบนั เขา้ ใจเน้ือหาไดโ้ ดยไม่ยาก ในแตล่ ะวรรคที่เขียนข้ึนมาจะไม่มีการสัมผสั กัน แต่ถึงจะมีก็ไม่ได้มีทุกวรรค ไม่มีรูปแบบท่ีแน่นอนความส้นั ยาวในแตล่ ะวรรคกแ็ ตกต่างกนั อีกดว้ ย ตวั อยา่ ง พอ่ กูช่ือศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พ่กี ชู ่ือบานเมือง ตูพ่ีนอ้ งทอ้ งเดียวหา้ คน ผชู้ ายสามผูห้ ญิงโสง พี่เผือผูอ้ า้ ยตายจากเผือเตียมแต่ยงั เล็ก เมื่อกูข้ึนใหญ่ได้ สิบเกา้ เขา้ ขุนสามชนเจา้ เมืองฉอดมาท่อเมืองตาก พอ่ กูไปรบ ขุนสามชนหวั ซ้าย ขนุ สามชนขบั มาหัวขวา ขุนสามชนเกล่ือนเขา้ไพร่ฟ้าหนา้ ใสพอ่ กหู นี ญญ่ายพายจแจน้ ... (จารึกดา้ นที่ ๑) ๑.๓ วตั ถุประสงค์ในการแต่ง ในการแต่งวรรณกรรมเรื่อง หลกั ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ ของพ่อขุนรามมหาราช เพื่อเป็ นการบนั ทึกเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในบา้ นเมืองสมยั น้นั ความกลา้ หาญของผนู้ าในฐานะกษตั ริย์ อีกท้งัยงั เป็นการกล่าวถึงอาณาเขตของเมืองสุโขทยั ในอดีตอีกดว้ ย ตวั อยา่ ง ...เมืองสุโขทยั น้ีดี ในน้ามีปลา ในนามีขา้ ว เจา้ เมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูทางเพ่ือนจูงววั ไปคา้ ข่ีมา้ ไปขาย ใครจกั ใคร่คา้ ชา้ ง คา้ ใครจกั ใคร่คา้ มา้ คา้ ใครจกั ใคร่คา้ เงือนคา้ ทอง คา้ ... ( จารึกดา้ นท่ี ๑ ) ...มีเมืองกวา้ งชา้ งหลาย ปราบเบ้ืองตะวนั ออกรอดสระหลวง สองแคว ลุมบาจายสคา เทา้ ผงั่ของเถิงเวยี งจนั ทน์คาเป็ นท่ีแลว้ เบ้ืองหวั นอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรีศรีธรรมราช ฝ่ังทะเลสมุทรเป็ นที่แลว้ เบ้ืองตะวนั ตกรอดเมืองฉอด เมือง..น หงสาวดี สมทรหาเป็นแดน เบ้ืองตีนนอนรอดเมืองแพล... (จารึกดา้ นท่ี ๔ ) ๑.๔ คุณค่าของวรรณคดี วรรณกรรม ด้านวรรณศิลป์ ๑. บรรยายโวหาร หมายถึง ช้ันเชิงในการบอก เล่า แจง้ แถลง อธิบาย อภิปรายเรื่องราวตา่ ง ๆ เพอื่ ใหผ้ อู้ ่านผฟู้ ังเกิดความรู้ความเขา้ ใจเป็นสาคญั เพ่อื ใหเ้ รื่องดาเนินไปอยา่ งกระชบัไมย่ ดื ยาด หรือขยายความเร่ืองราวใหร้ ู้เขา้ ใจตรงกนั เช่น ...พ่อกูช่ือศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พ่ีกูชื่อบานเมือง ตูพ่ีนอ้ งทอ้ งเดียวห้าคน ผชู้ ายสามผหู้ ญิงโสง พเ่ี ผอื ผอู้ า้ ยตายจากเผอื เตียมแตย่ งั เล็ก... (จารึกดา้ นที่ ๑ )
๒. สาธกโวหาร หมายถึง ช้นั เชิงในการยกเร่ืองราวมาเป็นตวั อยา่ งประกอบ โวหารชนิดน้ีมกั นามาใชไ้ ปพร้อม ๆ กบั โวหารชนิดอ่ืน เช่น บรรยายโวหาร เทศนาโวหาร เป็นตน้ เช่น ...มีเมืองกวา้ งชา้ งหลาย ปราบเบ้ืองตะวนั ออกรอดสระหลวง สองแคว ลุมบาจายสคา เทา้ ผง่ั ของเถิงเวียงจนั ทน์คาเป็ นท่ีแล้ว เบ้ืองหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝ่ังทะเลสมุทรเป็นที่แลว้ ... (จารึกดา้ นที่ ๔ ) ๓. การเล่นสัมผัส หมายถึง คาที่มีเสียงคล้องจองกันด้วยเสียงสระและเสียงพยญั ชนะทา้ ยพยางค์ เช่น ...ผอู้ า้ ยตายจาก... ...ไพร่ฟ้าหนา้ ใส... ...หนีญญา่ ยพายจแจน้ ... ...ใครจกั มกั หวั หวั ใครจกั มกั เล้ือนเล้ือน... ...มีเมืองกวา้ งชา้ งหลาย... ...หาใคร่ใจในใจแลใส่ลายสือไทยน้ี... แนวคดิ ทไ่ี ด้จากเร่ือง หลกั ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช เป็นหลกั ฐานที่สาคญั ท่ีใหข้ อ้ มูลเกี่ยวกบัอาณาจกั รสุโขทยั ในสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหง ท้งั พระราชประวตั ิ พระราชจริยาวตั ร พระปรีชาสามารถตา่ ง ๆ ของพระองค์ และยงั ใหค้ วามรู้ดา้ นการปกครอง ดา้ นเศรษฐกิจ ดา้ นการทานุบารุงศาสนา ดา้ นวฒั นธรรมประเพณี ดา้ นวถิ ีชีวติ ความเป็นอยู่ ดา้ นสภาพบา้ นเมือง และอาณาเขตของเมืองสุโขทยั ในอดีตอีกดว้ ย กลวธิ ีในการเล่าเรื่อง ผู้เขียนในฐานะเป็ นตัวละครเอกเป็ นผู้เล่า คือ การใชส้ รรพนามบุรุษที่หน่ึง เช่น ผม ดิฉนัขา้ พเจา้ ในการเล่าเร่ือง ตวั ละครเอกในเร่ืองเป็ นผูถ้ ่ายทอดเร่ืองราว เล่าวา่ ทาอะไร คิดอะไร และมีความรู้สึกอยา่ งไร เช่น ...กูบ่หนี กูข่ีชา้ งเบกพล กูขบั เขา้ ก่อนพอ่ กู กูต่อชา้ งดว้ ยขนุ สามชน ตนกูพุง่ ชา้ ง ขุนสามชนตวั ช่ือมาสเมืองแพ้ ขนุ สามชนพา่ ยหนี พอ่ กูจึงข้ึนช่ือกู ช่ือพระรามคาแหง... จากตวั อยา่ งดงั กล่าว จะมีการใชส้ รรพนามบุรุษท่ี ๑ คือคาวา่ “กู” ผู้เขียนเล่าเรื่องในฐานะผู้สังเกตการณ์ คือ ผเู้ ขียนจะสามารถเล่าเรื่องไดเ้ ฉพาะสิ่งที่ตนเห็นและไดย้ ิน ไดฟ้ ังจากการสนทนาและการกระทาของตวั ละคร ไม่อาจทราบไดถ้ ึงความรู้สึกนึกคิดของตวั ละครไดเ้ ลย ซ่ึงเป็นวธิ ีท่ีดีในแง่ที่เปิ ดโอกาสใหผ้ อู้ ่านพิจารณา ตดั สินพฤติกรรมของตวั ละครเอง เช่น ...พ่อขุนรามคาแหงเจา้ เมืองศรีสัชนาลยั สุโขทยั น้ีปลูกไมต้ าลน้ีไดส้ ิบสี่เขา้ จึงให้ช่างฟันขดานหิน ต้งั หวา่ งกลางไมต้ าลน้ี วนั เดือนดบั เดือนโอกแปดวนั วนั เดือนเตม็ เดือนบา้ งแปดวนั ฝงู ป่ ูครู เถร มหาเถรข้ึนนง่ั เหนือขดานหินสูดธรรมแก่อุบาสกฝงู ทว่ ยจาศีล...
จากตวั อยา่ งดงั กล่าว จะเห็นไดว้ า่ การใชส้ รรพนามบุรุษท่ี ๑ คือคาวา่ “กู” ไดห้ ายไป เหลือแต่คาเรียก “พอ่ ขนุ รามคาแหง” แทน คุณค่าด้านต่าง ๆ - ด้านสังคม หลักศิลาจารึ กหลักที่ ๑ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช เป็ นหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดีชิ้นสาคญั ที่ทาให้คนรุ่นหลงั ไดเ้ ห็นสภาพสังคม วิถีชีวิต วฒั นธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีในสมยั สุโขทยั เช่น -สะทอ้ นวิธีชีวิตของประชาชน สะทอ้ นให้เห็นการทาอาชีพเกษตรกร “...ป่ าพร้าวก็หลายป่ าหมากก็หลายในเมืองน้ี...” การประมง “...ในน้ามีปลา ในนามีขา้ ว..” การคา้ ขาย “...ใครจกั ใคร่คา้ชา้ งคา้ ใครจกั ใคร่คา้ มา้ คา้ ...” เป็นตน้ -สะทอ้ นความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และขนบธรรมเนียมประเพณี “... ลูกเจา้ ลูกขุนท้งั สิ้นท้งั หลาย ท้งั ผูช้ ายผูห้ ญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเม่ือพรรษาทุกคน...”มีการทานุบารุงศาสนา มีการสร้างวดั สร้างปราสาท ปฏิบตั ิตามหลกั คาสอนอยา่ งเคร่งครัด “...คนในเมืองสุโขทยั น้ี มกั ทาน มกั ทรงศีล มกั โอยทาน...” -สะทอ้ นความเชื่อในการนบั ถือผบี รรพบุรุษ ความเช่ือผีบรรพบุรุษเป็ นเทพยดา “…มีพระขพุง ผีเทพยดาในเขาอนั น้นั เป็ นใหญ่กวา่ ทุกผใี นเมืองน้ี ขุนผูใ้ ดถือเมืองสุโขทยั น้ีแล้ ไหวด้ ีพลีถูกเมืองน้ีเท่ียง เมืองน้ีดี ผไิ หวบ้ ด่ ี พลีบ่ถูก ผใี นเขาอ้นั บค่ ุม้ บ่เกรง เมืองน้ีหาย…” - ด้านประวตั ิศาสตร์ หลกั ศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช เป็ นหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดีชิ้นสาคญั ในการศึกษาเร่ืองราวในอดีต มีการกล่าวถึงพระราชประวตั ิของพระองคอ์ ยา่ งชดั เจนในดา้ นท่ี ๑ “...พ่อกูช่ือศรีอินทราทิตย์ แม่กูช่ือนางเสือง พ่ีกูชื่อบานเมืองตูพนี่ อ้ งทอ้ งเดียวหา้ คน ผชู้ ายสามผหู้ ญิงโสง พเี่ ผอื ผอู้ า้ ยตายจากเผอื เตียมแตย่ งั เล็ก...” อีกท้งั ยงั มีการกล่าวถึงอาณาเขตบา้ นเมืองในอดีตอีกดว้ ย “...มีเมืองกวา้ งช้างหลาย ปราบเบ้ืองตะวนั ออกรอดสระหลวง สองแคว ลุมบาจาย สคา เทา้ ผงั่ ของเถิงเวยี งจนั ทน์คาเป็ นท่ีแลว้ เบ้ืองหวั นอนรอดคนทีพระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝ่ังทะเลสมุทรเป็นที่แลว้ ...” - ด้านการปกครอง หลกั ศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช สะทอ้ นให้เห็นว่าอาณาจกั รสุโขทยั สมยั พ่อขนุ รามคาแหง เป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แตพ่ ระองค์ไม่ไดท้ รงใชอ้ านาจตามระบอบการปกครองดงั กล่าวอยา่ งเด็ดขาด มีการกล่าวถึงหลายตอนท่ีแสดงให้เห็นว่า ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยความยุติธรรมและความเมตตา จนกล่าวกนั ว่าพ่อขุนรามคาแห่งทรงปกครองบา้ นเมืองแบบ “พ่อปกครองลูก” นนั่ คือ ทรงดูแลประชาชนอย่างใกลช้ ิดราวบิดาดูแลบุตร
- ด้านภาษาศาสตร์ หลกั ศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช ดงั ที่ทราบกนั ดีอยู่แลว้ ว่า พ่อขุนรามคาแหงเป็ นผูท้ ่ีทรงประดิษฐ์อกั ษรไทยข้ึน ช่ือว่า “ลายสือไทย” มีการประดิษฐ์ท้งั ตวั พยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ต์ ทาใหป้ ระเทศไทยมีภาษาท่ีใชเ้ ป็นของตนเองมาจนถึงปัจจุบนั การประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั หลกั ศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช นอกจากเป็ นหลกั ฐานชิ้นสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดีที่สะทอ้ นให้เห็นสภาพบา้ นเมือง วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณีแลว้ ยงั แฝงไปดว้ ยขอ้ คิดที่สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดห้ ลายประการ ดงั น้ี - ด้านความกตัญญูต่อบิดา มารดา พระจริยาวตั รอนั งดงามของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชท่ีทรงดูแลพระราชบิดา พระราชมารดา อยา่ งดี ดงั ขอ้ ความท่ีปรากฏดงั หลกั ศิลาจารึกวา่ “...เมื่อชว่ัพ่อกู กูบาเรอแก่แม่กู กูไดต้ วั เน้ือตวั ปลา กูเอามาแก่พอ่ กู กูไดห้ มากส้มหมากหวาน อนั ใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พอ่ กู...” ความกตญั ญูเป็ นคุณธรรมท่ีอยคู่ ู่สงั คมไทยมายาวนาน เม่ือกระทาตวั ดีบิดามารดาย่อมส่งเสริมสนบั สนุนให้มีความกา้ วหนา้ อีกท้งั การกตญั ญูต่อบิดามารดา และผูม้ ีพระคุณยอ่ มเป็นมงคลสูงสุดของชีวติ ทาใหไ้ ดร้ ับการยกยอ่ งและสรรเสริญจากบุคคลผพู้ บเห็น - ด้านการเป็ นพุทธศาสนิกชนทด่ี ี หลกั ศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ ที่พ่อขนุ รามคาแหงทรงจารึกข้ึนสามารถใช้เป็ นหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดี ถ่ายทอดเรื่องราวสภาพสังคม วิถีชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีสมยั สุโขทยั ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี อีกท้งั ยงั สะทอ้ นใหเ้ ห็นความเช่ือ ความศรัทธาการประพฤติตนเป็ นพุทธศาสนิกชนท่ีดี ช่วยทานุบารุงพระพุทธศาสนา ดงั ขอ้ ความท่ีปรากฏในหลกั ศิลาจารึกวา่ “...คนในเมืองสุโขทยั น้ี มกั ทาน มกั ทรงศีล มกั โอยทาน พอ่ ขนุ รามคาแหง เจา้ เมืองสุโขทยั น้ี ท้งั ชาวแม่ชาวบา้ น ท่วยป่ัวท่วยนาง ลูกเจา้ ลูกขนุ ท้งั สิ้นท้งั หลาย ท้งั ผชู้ ายผูห้ ญิง ฝูงท่วยศรัทธาในพระพทุ ธศาสนา ทรงศีลเม่ือพรรษาทุกคน...” จากขอ้ ความที่ปรากฏในหลกั ศิลาจารึกสะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ คนในเมืองสุโขทยั มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาปฏิบตั ิตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ผคู้ นทาบุญทาทาน รักษาศีล โดยเฉพาะในช่วงวนั เขา้ พรรษาอนั เป็นแบบอยา่ งที่ดีผคู้ นรุ่นหลงั ควรเจริญรอยตาม เพอื่ ความสงบสุขของชีวติ - การสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี เป็ นหนา้ ที่ของทุกคน วฒั นธรรมและประเพณี คือ ส่ิงที่แสดงถึงความเป็ นเอกลกั ษณ์ของชาติ เป็ นมรดกท่ีสืบทอดมาต้งั แต่บรรพบุรุษ หลกั ศิลาจารึกหลกั ที่๑ ไดส้ ะทอ้ นให้เห็นว่าวฒั นธรรมประเพณีเป็ นส่ิงอนั มีคุณค่า ทาให้ไดต้ ระหนกั เห็นคุณค่าและความสาคญั ของการสืบทอดที่บรรพบุรุษไดก้ ระทาใหเ้ ห็นเป็ นตวั อยา่ ง ดงั ขอ้ ความที่ปรากฏในศิลาจารึกวา่ “...เม่ือจกั เขา้ มาเวียง เรียงกนั แต่อรัญญิกพูน้ เทา้ หวั ลา้ น ดงบงคมกลองดว้ ยเสียงพาทยเ์ สียงพิณ เสียงเล้ือนเสียงขบั ใครจกั มกั เล่น เล่น ใครจกั มกั หวั หวั ใครจกั มกั เล้ือน เล้ือน เมืองสุโขทยั น้ีมีส่ีปากประตูหลวง เท้ียรยอ่ มคนเสียดกนั เขา้ มาดูท่านเผา่ เทียน ทา่ นเล่นไฟ...”
๒. ไตรภูมพิ ระร่วง ๒.๑ เนื้อเรื่องย่อ เร่ืองไตรภูมิพระร่วงเป็นเน้ือเร่ืองที่เกี่ยวขอ้ งกบั ภูมิท้งั ๓ คือ กามภูมิ เป็ นดินแดนท่ียงั เก่ียวขอ้ งอยกู่ บั กิเลส กามตณั หา ยงั มีความโลภ โกรธ หลง ความอยาก ความใคร่ แบ่งออกเป็ น ๓ ดินแดน คือ อบายภูมิ ไดแ้ ก่ที่อยขู่ องสัตวน์ รก เปรต อสูรกาย คือบางจาพวกมีลกั ษณะ คือ ตอ้ งยืน ๑๐๐ ปี บางจาพวกตอ้ งยืน ๑,๐๐๐ ปี และบางจาพวกตอ้ งยืนชว่ักลั ปฯ แมว้ า่ ขา้ ว ๑ เมล็ด นา ๑ หยดกเ็ ขา้ ปากไปไม่ได้ มีตวั ใหญ่เทา่ เขาแตป่ ากเล็กเทา่ รูเขม็ เน้ือหนงัแหง้ ติดกระดูก ผมรุ่ยร่ายลงมาปิ ดปาก ไม่มีเส้ือหาใหใ้ ส่ตอ้ งเปลือยกายอยตู่ ลอด เม่ือนอนหูติดพ้ืนก็จะไดย้ นิ เสียงคนเรียกให้ไปกินอาหารอยตู่ ลอดเวลา เมื่อลุกข้ึนแลว้ ก็ไม่มีแรงลม้ คว่าบา้ ง หงายบา้ งพวกเปรตเหล่าน้ีเมื่อตอนเป็ นคนจะมีความริษยา เห็นผูอ้ ื่นไดด้ ีไม่ได้ เป็ นคนตระหนี่ไม่ให้ทานฉอ้ โกงทรัพยส์ ินสงฆม์ าเป็นของตวั เอง มนสุ สภมู ิ คือผใู้ ดที่เกิดมาจากนรกน้นั เมื่อคลอดมาแลว้ ตวัจะร้อน เม่ืออยูใ่ นทอ้ งแม่ก็ทาใหแ้ ม่เดือดเน้ือร้อนใจ ผูใ้ ดที่เกิดมาจากสวรรคน์ ้นั เม่ือคลอดมาแลว้ตวั จะเยน็ เม่ือยงั อยใู่ นทอ้ งแม่น้นั อยูเ่ ยน็ เป็ นสุขสาราญบานใจ เม่ือตอนเป็ นคนรู้จกั บุญบาป เมตตากรุณา ใจกล้าหาญ รักพี่รักน้อง ยาเกรงต่อพ่อแม่ พระ ครูอาจารย์ และสวรรค์ภูมิ ๖ ช้ันฟ้า คือจตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามะ ดุสิต นิมานรดี และปรนิมมิตวสวตั ตี ในสวรรคน์ ้ีเป็นดินแดนท่ีอยูข่ องเทวดามีราศีสุกใส รูปกายงดงาม มีความสุขสาราญเต็มที่จากบุญกุศลที่ไดส้ ร้างสมมาในชาติปางก่อน คือใหท้ าน รักษาศีล รูปภูมิ เป็ นดินแดนที่มีสุขไม่มีเรื่องกามเข้าไปปน เป็ นที่อยู่ของพวกพรหมมี ๑๖ ช้ันที่เรียกวา่ โสฬสพรหม คือ พรหมท่ีมีร่างกายลว้ นเป็ นชาย เพราะพรหมโลกเป็ นดินแดนท่ีไม่มีสตรีเหล่าพรหมท้งั หลายเหล่าน้ีไม่ตอ้ งเสพเสวยสิ่งใด ด้วยว่าพรหมน้นั อยู่เหนือกามแล้ว และมีฌานสมาบตั ิเป็นอาหาร มีรัศมีออกมาจากเรือนร่างส่องสวา่ งรุ่งเรืองกวา่ ดวงอาทิตยแ์ ละดวงจนั ทร์ อรูปภูมิ คือดินแดนของพรหมไม่มีรูป มีแต่จิตวญิ ญาณ เป็นผสู้ ละแลว้ ซ่ึงกิเลสทุกอยา่ ง ๒.๒ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ในวรรณกรรมเร่ือง ไตรภูมิพระร่วง เป็ นการประพนั ธ์แบบ “ร้อยแกว้ ” และมีลกั ษณะเป็ นคาประพนั ธ์ประเภท “ร่ายยาว” คือ มีการใชค้ าท่ีค่อยขา้ งยาก เพราะเป็ นคาภาษาบาลีสันสกฤต และเป็ นภาษาทางศาสนาดว้ ย ทาให้ผอู้ ่านในยคุ ปัจจุบนั เขา้ ใจเน้ือหาไดโ้ ดยค่อนขา้ งยาก อาจจะตอ้ งไปอ่านในเล่มท่ีแปลมาก่อนแลว้ ในแต่ละวรรคท่ีเขียนข้ึนมาจะไม่มีการสัมผสั กนั แต่ถึงจะมีก็ไม่ไดม้ ีทุกวรรค ไมม่ ีรูปแบบท่ีแน่นอน ความส้ันยาวในแตล่ ะวรรคกแ็ ตกต่างกนั อีกดว้ ย ตวั อยา่ ง
สัตวอ์ นั เกิดในนรกภูมิน้นั เป็ นดว้ ยอุปปาติกโยนิ ภูลเป็ นรูปได้ ๒๘ คาบสิ้นคาบเดียว รูป๒๘ น้นั คืออนั ใดบา้ ง คือปถวี อาโป เตโช วาโย จกั ขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มน รูป สัทท คนั ธรสโผฏฐพั พ อตั ถีภาว บุรุษภาว หทย ชีวิตินทรีย์ อาหาร ปริจเฉท กายวิญญตั ต์ ิ วจีวญั ญตั ต์ ลหุตา กมั -์มญั ญ์ ตา อุปัจโ์ ย สนั ์ติ รูปปัส์ส ชรโตฯ... ๒.๓ วตั ถุประสงค์ในการแต่ง วินัย ภู่ระหงษ์ (๒๕๔๖ : ๓๗๕) ไดอ้ ธิบายไวด้ งั น้ี พระราชประสงคใ์ นการที่ทรงพระราชนิพนธ์ “ไตรภูมิพระร่วง” ตามที่กล่าวไวใ้ นบานแพนกเดิมวา่ “...ใส่เพอื่ มีพระอตั ถพระอภิธรรมและจะใคร่เทศนาแก่พระมารดาท่าน อน่ึงจะใคร่จาเริญพระอภิธรรมโสด...” น้นั กล่าวคือ ทรงเห็นวา่เร่ืองไตรภูมิน้ี เป็ นคมั ภีร์ท่ีมีสารประโยชน์มาก จึงทรงพระราชนิพนธ์ไวเ้ พื่อให้คนทว่ั ๆ ไปไดร้ ู้ได้รับสารประโยชน์จากคมั ภีร์น้ี และเพื่อเล่าถวายพระราชมารดาของพระองค์ อีกประการหน่ึงทรงมีพระราชประสงค์ เพ่ือจะไดร้ ับรสพระธรรม และความรู้ความเขา้ ใจในพระคมั ภีร์มากยง่ิ ข้ึน อยา่ งไรก็ตาม เม่ือพิจารณาถึงเน้ือหาของเร่ืองและวิธีการพรรณนาเรื่องแลว้ อาจกล่าวไดว้ า่พระมหาธรรมราชาลิไททรงเขา้ ใจถึงจิตใจของมนุษยอ์ ยา่ งถ่องแท้ ทรงพระราชนิพนธ์หนงั สือไตรภูมิพระร่วงข้ึน เพื่อใช้เป็ นเคร่ืองมือในการอบรมสั่งสอนประชาชนให้กระทาแต่คุณงามความดีน้นั เอง ๒.๔ คุณค่าของวรรณคดี วรรณกรรม ด้านวรรณศิลป์ ๑. บรรยายโวหาร หมายถึง ช้นั เชิงในการบอก เล่า แจง้ แถลง อธิบาย อภิปรายเรื่องราวตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหผ้ อู้ า่ นผฟู้ ังเกิดความรู้ความเขา้ ใจเป็นสาคญั เพื่อใหเ้ รื่องดาเนินไปอยา่ งกระชบัไมย่ ดื ยาด หรือขยายความเร่ืองราวใหร้ ู้เขา้ ใจตรงกนั เช่น สัตวอ์ นั เกิดในนรกภูมิน้นั เป็ นดว้ ยอุปปาติกโยนิ ภูลเป็ นรูปได้ ๒๘ คาบสิ้นคาบเดียว รูป ๒๘ น้นั คืออนั ใดบา้ ง คือปถวี อาโป เตโช วาโย จกั ขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มน รูป สัททคนั ธรส โผฏฐพั พ อตั ถีภาว บุรุษภาว หทย ชีวติ ินทรีย์ อาหาร ปริจเฉท กายวิญญตั ต์ ิ วจีวญั ญตั ต์ ลหุตา กมั -์ มญั ญ์ ตา อุปัจโ์ ย สัน์ติ รูปปัส์ส ชรโตฯ... ๒. พรรณนาโวหาร หมายถึง ช้นั เชิงในการเขียนหรือแสดงรายละเอียดต่าง ๆ อยา่ งละเอียดถ่ีถว้ น เพ่ือราพึงราพนั ความรู้สึก อารมณ์ หรือมุ่งให้ผูอ้ ่านผูฟ้ ังนึกคิดจินตนาการเห็นภาพแสง สี เสียง บงั เกิดความประทบั ใจ และเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกบั กระบวนการพรรณนา เช่น “...ผแิ ลคนอนั มาแต่นรก ก็ดีแลมาแต่เปรตกด็ ี มนั คานึงถึงความอนั ลาบากน้นั คร้ันวา่ ออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผูม้ าแต่สวรรค์ แลคานึงถึงความสุขแต่ก่อนน้นั คร้ันวา่ ออกมาไสร้ก็ยอ่ มหวั ร่อก่อนแล...”
๓. เทศนาโวหาร หมายถึง ช้นั ชิงในการอธิบายความให้กวา้ งขวางออกไป โดยมีเจตนาชดั เจนเพือ่ ส่ังสอน อบรม ตกั เตือน แนะนาใหผ้ อู้ า่ นผฟู้ ังเห็นจริง เชื่อถือและปฏิบตั ิตาม เช่น “...เปรตฝูงน้ีเมื่อกาเนิดเกิดก่อน เขาน้ีตระหนี่นกั แล เขาบมิมกั กระทาบุญให้ทานเลย เขาเห็นท่านกระทาบุญให้ทานไส้ มกั ย่อมห้ามปรามเสียมิให้ท่านทาบุญให้ทานได้ ด้วยบาปกรรมอนั ตนตระหนี่แลมิมกั ทาบุญใหท้ านดงั น้นั เขาไดไ้ ปเป็นเปรตแลอดอยากนกั หนา อาหารจะกินไส้ก็หาบมิไดส้ ักอนั น้นั เพราะบาปแลกรรมเขาอนั ไดก้ ระทาบมิดีน้นั แลฯ...” ๔. อุปมาโวหาร หมายถึง ช้นั เชิงในการเปรียบเทียบ โวหารชนิดน้ีจะดึงเอาวธิ ีการเปรียบเทียบเขา้ มาช่วยในการสื่อสาร หรือการนาเสนอเน้ือหาของสารให้ผูอ้ ่านผฟู้ ังจินตนาการนึกเห็นภาพ มีความเขา้ ใจอยา่ งแจม่ แจง้ เช่น “...แลมีฝูงผูห้ ญิงอนั อยูใ่ นแผน่ ดินน้นั งามทุกคนรูปทรงเขาน้นั บมิต่าบมิสูงบมิพีบมิผอมบมิขาวบมิดา สีสมบูรณ์งามดงั ทองอนั สุกเหลืองเรืองเป็ นท่ีพึงใจฝูงชายทุกคนแลฯ นิ้วตีนนิ้วมือเขาน้นั กลมงามนะแน่ง เลบ็ ตีนเล็บมือเขาน้นั แดงงามดงั น้าคร่ังอนั ท่านแต่งแลว้ แลแตม้ ไว้ แลสองแกม้ เขาน้นั ไสงามเป็ นนวลดงั แกลง้ เอาแป้งผดั หน้าเขาน้นั หมดเกล้ียงปราศจากมลทินหาผา้หาไผบมิได้ แลเห็นดวงหนา้ เขาใสดุจดวงพระจนั ทร์อนั เพง็ บูรณ์น้นั เขาน้นั มีตาอนั ดาดงั ตาแห่งลูกทรายพ่งึ ออกได้ ๓ วนั ท่ีบูรณ์ขาวกข็ าวงามดงั สังขอ์ นั ท่านพ่ึงฝนใหม่แลมีฝีปากน้นั แดงดงั ลูกฝักขา้ วอนั สุกน้นั แลมีลาแขง้ ลาขาน้นั งามดงั ลากลว้ ยทองฝาแฝดน้นั แล แลมีทอ้ งเขาน้นั งามราบเพยี งลาตวัเขาน้นั ออ้ นแอน้ เกล้ียงกลมงาม แลเส้นขนน้นั ละเอียดอ่อนนกั ๘ เส้นผมเขาจึงเท่าผมเราน้ีเส้นหน่ึงแลผมเขาน้นั ดางามดงั ปี กแมลงภู่เม่ือประลงมาเถิงริมบ่าเบ้ืองต่า แลมีปลายผมเขาน้นั งอนเบ้ืองบนทุกเส้น แลเมื่อเขานงั่ อยูก่ ็ดี ยืนอยกู่ ็ดี เดินไปก็ดี ดงั จกั แยม้ หวั ทุกเม่ือ แลขนคิ้วเขาน้นั ดาแลงามดงัแกลง้ ก่อ เมื่อเขาเจรจาแลน้าเสียงเขาน้นั แจม่ ใส่ปราศจากเสมหเขฬท้งั ปวงแล...” แนวคิดทไี่ ด้จากเรื่อง เร่ืองไตรภูมิพระร่วง เป็ นเรื่องที่มีการสั่งสอน และเป็ นการตกั เตือนเร่ืองการใช้ชีวิตอยู่ตลอดท้งั เร่ือง โดยมีการบรรยาย พรรณนาถึงสถานท่ีต่าง ๆ เพอื่ ใหผ้ อู้ า่ นไดเ้ กิดจินตนาการ โดยเม่ือไดอ้ า่ นเร่ืองไตรภูมิพระร่วงแลว้ ทาใหผ้ อู้ ่านมีสติในการที่จะใชช้ ีวติ มากข้ึน กลวธิ ีในการเล่าเร่ือง ผู้เขียนอยู่ในฐานะผู้รู้ คือ ผูเ้ ขียนจะไม่ใชต้ วั ละครตวั ใดตวั หน่ึงเป็ นผูเ้ ล่า แต่จะใช้วิธีการบรรยายไปตามเร่ืองท่ีตวั ละครมีบทบาท ท้งั น้ีเป็ นเหตุการณ์และความรู้สึกนึกคิดภายในใจของตวัละคร ผเู้ ขียนเป็นผลู้ ่วงรู้หมดทุกส่ิงทุกอยา่ งเก่ียวกบั ตวั ละคร และนามาบรรยายไดอ้ ยา่ งถ่ีถว้ น ไม่วา่ตวั ละครน้นั ๆ จะคิดอะไร รู้สึกอยา่ งไร ผเู้ ขียนกจ็ ะล่วงรู้ได้ เช่น
สัตวอ์ นั เกิดในนรกภูมิน้นั เป็ นดว้ ยอุปปาติกโยนิ ภูลเป็ นรูปได้ ๒๘ คาบสิ้นคาบเดียว รูป๒๘ น้นั คืออนั ใดบา้ ง คือปถวี อาโป เตโช วาโย จกั ขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มน รูป สัทท คนั ธรสโผฏฐพั พ อตั ถีภาว บุรุษภาว หทย ชีวิตินทรีย์ อาหาร ปริจเฉท กายวิญญตั ต์ ิ วจีวญั ญตั ต์ ลหุตา กมั -์มญั ญ์ ตา อุปัจโ์ ย สนั ์ติ รูปปัส์ส ชรโตฯ... จากตวั อยา่ งดงั กล่าว จะเห็นไดว้ า่ ผูเ้ ขียนจะรู้วา่ ในนรกภูมิน้นั มีลกั ษณะเป็ นอยา่ งไร และมีชื่อวา่ อะไร โดยจะมีการอธิบายไวอ้ ยา่ งละเอียด คุณค่าด้านต่าง ๆ - ด้านสังคม ไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณคดีท่ีเป็นการรวบรวมการสั่งสอนต่าง ๆ เพอ่ื ใหผ้ คู้ นประชาชนนาไปปฏิบตั ิใชก้ นั ในการดาเนินชีวติ ไตรภูมิพระร่วง สอนใหค้ นทาบุญละบาป เช่น การทาบุญรักษาศีลเจริญสมาธิภาวนาจะไดข้ ้ึนสวรรคก์ ารทาบาปจะตกนรก เช่น \"...คนผใู้ ดกล่าวคาร้ายแก่สมณพราหมณ์ผมู้ ีศีลและพอ่ แมแ่ ละผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ครูปาทยาย คนผนู้ ้นั ตาย ไปเกิดในนรกอนั ไดข้ ื่อวา่สุนกั ขนรกน้นั แล แลมิใหเ้ ขาอยสู่ บายแลให้เขาเจบ็ ปวดสาหสั ไดเ้ วทนาพน้ ประมาณ ทนอยใู่ นนรกอนั ชื่อสุนกั ขนรกน้นั แล...\" - ด้านความรู้ ในเร่ืองของวรรณคดีไตรภูมิพระร่วงน้นั ทาให้คนรุ่นหลงั ไดร้ ับความรู้ทางวรรณคดี อนั เป็ นความคิดของคนโบราณ ซ่ึงเรื่องไตรภูมิพระร่วงก็ถือว่าเป็ นพ้ืนฐานของวรรณคดีไทย เช่น พระอินทร์ แท่นบณั ฑุกมั พล ชา้ งเอราวณั เขาพระสุเมรุ ป่ าหิมพานต์ ตน้ ปาริชาติ ตน้ นารี-ผล นรก สวรรค์ เป็ นตน้ ส่วนในดา้ นภูมิศาสตร์น้นั เป็ นความรู้ทางภูมิศาสตร์ของคนโบราณ โดยเชื่อกนั วา่ โลกมีอยู่ ๔ ทวปี ไดแ้ ก่ ชมพูทวปี บุรพวเิ ทหทวปี อุตตรกุรุทวปี และอมรโคยานทวปี โดยมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนยก์ ลาง - ด้านภาษาและสานวนโวหาร เรื่องไตรภูมิพระร่วงเป็ นวรรณคดีเล่มแรกที่เรียบเรียงในลกั ษณะการคน้ ควา้ จากคมั ภีร์ต่าง ๆ ถึง ๓๐ คมั ภีร์ จึงมีศพั ทท์ างศาสนาและภาษาไทยโบราณอยมู่ ากสามารถนามาศึกษาการใชภ้ าษาในสมยั กรุงสุโขทยั ตลอดจนสานวนโวหารตา่ ง ๆ ไตรภูมิพระร่วงมีสานวนหนกั ไปในทางศาสนาโวหารและพรรณนาโวหาร ผูกประโยคยาว และใชถ้ อ้ ยคาพรรณนาดีเด่น สละสลวยไพเราะ ก่อใหเ้ กิดความรู้สึกดา้ นอารมณ์สะเทือนใจและให้จินตภาพหรือภาพในใจอยา่ งเด่นชดั เช่น “...บา้ งเตน้ บา้ งราบา้ งฟ้อน ระบาบนั ลือเพลงดุริยดนตรี บา้ งดีดบา้ งสีบา้ งตีบา้ งเป่ าบา้ งขบั ศพั ทส์ าเนียง...” การประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั เรื่องไตรภูมิพระร่วง ถือไดว้ า่ เป็ นเรื่องที่ไดฝ้ ากขอ้ คิดไวแ้ ก่ผอู้ ่านเป็นอยา่ งมาก นนั่ คือ การสะทอ้ นให้เห็นถึงภาวะอนั ตรงขา้ มกนั ของ ความดี และความชั่ว ซ่ึงจากเน้ือหาผูป้ ระพนั ธ์ไดใ้ ช้สัญลกั ษณ์แทนความดีดว้ ยการพรรณนาให้ผูอ้ ่านรู้จกั กบั สวรรค์อนั มีลกั ษณะน่าร่ืนรมย์ ซ่ึงต่างกนั
โดยสิ้นเชิงกับนรกซ่ึงถือเป็ นสัญลักษณ์ของความชั่ว อันประกอบไปด้วยความทุกข์ทรมานนานาประการ ลกั ษณะตรงกนั ขา้ มน้ียงั คงเป็นความจริงไมผ่ นั แปรแมว้ า่ โลกจะไดร้ ับการสร้างสรรค์ให้เจริญไปมากเพียงใด หากแต่ใจคนยงั คงมีท้งั ดา้ นดี และดา้ นไม่ดีอยเู่ สมอ เมื่อปฏิบตั ิดียอ่ มไดร้ ับสิ่งท่ีดีเป็ นผลสะทอ้ นกลบั มา และในขณะเดียวกนั หากปฏิบตั ิไม่ดีผลไม่ดียอ่ มติดตามมาเป็ นของคู่กนั เหมือนเงาตามตวั ซ่ึงตรงน้ีอาจเป็ นแรงบนั ดาลใจท่ีทาให้ผูอ้ ่านไดต้ ระหนกั ถึงการมุ่งกระทาดีและควบคุม หรือลดการกระทาชว่ั ในชีวติ ประจาวนั ได้สรุป วรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั เป็ นวรรณกรรมประเภทร้อยแกว้ เสียส่วนใหญ่ โดยมีเร่ืองที่เด่น ๆ อยู่ ๒ เรื่อง คือ หลกั ศิลาจารึกพ่อขนุ รามคาแหง และไตรภูมิพระร่วง ในเร่ืองหลกั ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงน้นั จะเป็ นเร่ืองที่เกี่ยวกบั การบนั ทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในบา้ นเมืองสมยั สุโขทยั อีกท้งั ยงั มีการบนั ทึกถึงพระราชประวตั ิของพ่อขุนรามคาแหง พระปรีชาสามารถความเจริญรุ่งเรืองในสมยั น้นั และอาณาเขตของบา้ นเมืองวา่ ติดต่อกบั เมืองใดบา้ ง โดยใชก้ ารบนั ทึกเป็ นร้อยแกว้ มีการเล่นสัมผสั บา้ ง แต่ไม่ทุกวรรค มีการใชค้ าไทยแทเ้ สียส่วนมาก เขา้ ใจไดง้ ่าย ไม่ตอ้ งอาศยั การตีความ ส่วนเรื่องไตรภูมิพระร่วง จะเป็ นเรื่องที่เก่ียวกบั การกล่าวถึง ภูมิท้งั ๓ คือกามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ โดยจะมีการกล่าวถึงลกั ษณะต่าง ๆ ของแต่ละภูมิ และการกระทาดว้ ยเหตุใดเมื่อตายไปจึงจะไปอยใู่ นภูมิน้นั โดยแก่นสารของเรื่องเพื่อเป็นการเตือนสติของมนุษยท์ ุกคนให้รู้จกั ใช้ชีวิต ให้รู้จกั ทาความดี โดยใช้การบนั ทึกเป็ นร้อยแก้วเช่นเดียวกบั เรื่องที่ ๑ แต่ต่างกนัตรงท่ีเร่ืองไตรภูมิพระร่วง จะมีการใช้ภาษาบาลีสันสกฤตเป็ นส่วนมาก ทาให้ผูอ้ ่านจะตอ้ งมีการตีความก่อนถึงจะเขา้ ใจ สรุปคือ วรรณคดี วรรณกรรมสมยั สุโขทยั จะมีการบนั ทึกเป็ นร้อยแกว้ เสียส่วนใหญ่ โดยมีเรื่องราวเก่ียวกบั การบนั ทึกเหตุการณ์บา้ นเมือง และการส่งั สอนในการประพฤติตน
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: