Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Thaidances

Thaidances

Published by Krunattasin, 2018-07-07 03:53:46

Description: Thaidances

Search

Read the Text Version

ประวตั นิ าฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ เป็นศิลปะแห่งการละคร ฟ้อนรา และดนตรี อนั มีคุณสมบตั ิตามคมั ภีร์นาฏะหรือนาฏยะ กาหนดวา่ ตอ้ งประกอบไปดว้ ย ศิลปะ 3 ประการ คือ การฟ้อนรา การดนตรี และการขบั ร้อง รวมเขา้ ดว้ ยกนั ซ่ึงท้งั 3 สิ่งน้ีเป็นอปุ นิสยั ของคนมาแต่ดึกดาบรรพ์ นาฏศิลป์ ไทยมีที่มาและเกิดข้ึนจากสาเหตุตามแนวคิดต่าง ๆ เช่น เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ไม่วา่จะอารมณ์แห่งความสุข หรือความทุกขแ์ ลว้ สะทอ้ นออกมาเป็นท่าทาง แบบธรรมชาติและประดิษฐข์ ้ึนเป็นท่าทางลีลาการฟ้อนรา หรือเกิดจากลทั ธิความเชื่อในการนบั ถือส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ เทพเจา้ โดยแสดงความเคารพบูชาดว้ ยการเตน้ รา ขบั ร้อง ฟ้อนราใหเ้ กิดความพึงพอใจ เป็นตน้ นอกจากน้ี นาฏศิลป์ ไทย ยงั ไดร้ ับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเขา้ มาผสมผสานดว้ ย เช่น วฒั นธรรมอินเดียเกี่ยวกบั วฒั นกรรมที่เป็นเร่ืองของเทพเจา้ และตานานการฟ้อนรา โดยผา่ นเขา้ สู่ประเทศไทย ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม คือ ผา่ นชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนามาปรับปรุงใหเ้ ป็นรูปแบบตามเอกลกั ษณ์ของไทย เช่น ตวั อยา่ งของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ท่ีสร้างเป็นท่าการร่ายราของ พระอิศวร ซ่ึงมีท้งั หมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนราคร้ังแรกในโลก ณ ตาบลจิทรัมพรัม เมืองมทั ราส อินเดียใต้ ปัจจุบนั อยใู่ นรัฐทมิฬนาดู นบั เป็นคมั ภีร์สาหรับการฟ้อนรา แต่งโดยพระภรตมุนี เรียกวา่ คมั ภีร์ภรตนาฏยศาสตร์ ถือเป็นอิทธิพลสาคญั ต่อแบบแผนการสืบสาน และการถ่ายทอดนาฏศิลป์ ของไทยจนเกิดข้ึนเป็นเอกลกั ษณ์ของตนเองท่ีมีรูปแบบ แบบแผนการเรียน การฝึกหดั จารีต ขนบธรรมเนียม มาจนถึงปัจจุบนั อยา่ งไรกต็ าม บรรดาผเู้ ชี่ยวชาญท่ีศึกษาทางดา้ นนาฏศิลป์ ไทยไดส้ นั นิษฐานวา่ อารยธรรมทางศิลปะดา้ นนาฎศิลป์ ของอินเดียน้ีไดเ้ ผยแพร่เขา้ มาสู่ประเทศไทจยต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยทุ ธยาตามประวตั ิการสร้างเทวาลยั ศิวะนาฎราชที่สร้างข้ึนในปี พ.ศ. 1800 ซ่ึงเป็นระที่ไทยเร่ิมก่อต้งั กรุงสุโขทยั ดงั น้นั ท่ีราไทยที่ดดั แปลงมาจากอินเดียในคร้ังแรกจึงเป็นความคิดของนกั ปราชญใ์ นสมยักรุงศรีอยทุ ธยา และมีการแกไ้ ข ปรับปรุงหรือประดิษฐ์ข้ึนใหม่ในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ จนนามาสู่การประดิษฐข์ ้ึนใหม่ในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์จนนามาสู่การประดิษฐท์ ่าทางร่ายราและละครไทยมาจนถึงปัจจุบนั ประเภทของนาฎศิลป์ ไทย

นาฎศิลป์ คือ การร่ายราท่ีมนุษยไ์ ดป้ รุงแต่งจากลีลาตามธรรมชาติใหส้ วยสดงดงาม โดยมีดนตรีเป็นองคป์ ระกอบในการร่ายรา นาฎศิลป์ ของไทย แบ่งออกตามลกั ษณะของรูปแบบการแสดงเป็นประเภทใหญ่ๆ 4 ประเภท คือ 1. โขน เป็นการแสดงนาฎศิลป์ ช้นั สูงของไทยท่ีมีเอกลกั ษณ์ คือ ผแู้ สดงจะตอ้ งสวมหวั ท่ีเรียกวา่ หวั โขน และใชล้ ีลาท่าทางการแสดงดว้ ยการเตน้ ไปตามบทพากย์ การเจรจาของผพู้ ากย์และตามทานองเพลงหนา้ พาทยท์ ่ีบรรเลงดว้ ยวงปี่ พาทย์ เรื่องที่นิยมนามาแสดง คือ พระราชนิพนธ์บทละครเร่ืองรามเกียรต์ิ แต่งการเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษตั ริยท์ ี่เป็นเคร่ืองตน้ เรียกวา่การแต่งกายแบบ “ยนื่ เคร่ือง” มีจารีตข้นั ตอนการแสดงที่เป็นแบบแผน นิยมจดั แสดงเฉพาะพิธีสาคญั ไดแ้ ก่ งานพระราชพธิ ีต่าง ๆ 2. ละคร เป็นศิลปะการร่ายราที่เล่นเป็นเรื่องราว มีพฒั นาการมาจากการเล่านิทาน ละครมีเอกลกั ษณ์ในการแสดงและการดาเนินเรื่องดว้ ยกระบวนลีลาท่ารา เขา้ บทร้อง ทานองเพลงและเพลงหนา้ พาทยท์ ่ีบรรเลงดว้ ยวงป่ี พาทยม์ ีแบบแผนการเล่นที่เป็นท้งั ของชาวบา้ นและของหลวงท่ีเรียกวา่ ละครโนราชาตรี ละครนอก ละครใน เรื่องท่ีนิยมนามาแสดงคือ พระสุธน สงั ขท์ องคาวี อิเหนา อุณรุท นอกจากน้ียงั มีละครที่ปรับปรุงข้ึนใหม่อีกหลายชนิด การแต่งกายของละครจะเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษตั ริย์ เรียกวา่ การแต่งการแบยนื เครื่อง นิยมเล่นในงานพิธีสาคญั และงานพระราชพธิ ีของพระมหากษตั ริย์ 3. ระ และ ระบา เป็นศิลปะแห่งการร่ายราประกอบเพลงดนตรีและบทขบั ร้อง โดยไม่เล่นเป็นเรื่องราว ในที่น้ีหมายถึงราและระบาท่ีมีลกั ษณะเป็นการแสดงแบบมาตรฐาน ซ่ึงมีความหมายที่จะอธิบายไดพ้ อสงั เขป ดงั น้ี 3.1 รา หมายถึง ศิลปะแห่งการรายราท่ีมีผแู้ สดง ต้งั แต่ 1-2 คน เช่น การราเด่ียว การราคู่ การราอาวธุ เป็นตน้ มีลกั ษณะการแต่งการตามรูปแบบของการแสดง ไม่เล่นเป็นเรื่องราวอาจมีบทขบั ร้องประกอบการราเขา้ กบั ทานองเพลงดนตรี มีกระบวนท่ารา โดยเฉพาะการราคู่จะต่างกบั ระบา เนื่องจากท่าราจะมีความเช่ือมโยงสอดคลอ้ งต่อเนื่องกนั และเป็นบทเฉพาะสาหรับผู้แสดงน้นั ๆ เช่น ราเพลงชา้ เพลงเร็ว ราแม่บท ราเมขลา –รามสูร เป็นตน้

3.2 ระบา หมายถึง ศิลปะแห่งการร่ายราท่ีมีผเู้ ล่นตงั แต่ 2 คนข้ึนไป มีลกั ษณะการแต่งการคลา้ ยคลึงกนั กระบวนท่ารายราคลา้ คลึงกนั ไม่เล่นเป็นเร่ืองราว อาจมีบทขบั ร้องประกอบการราเขา้ ทานองเพลงดนตรี ซ่ึงระบาแบบมาตรฐานมกั บรรเลงดว้ ยวงป่ี พาทย์ การแต่งการนิยมแต่งกายยนื เคร่ืองพระนาง-หรือแต่งแบบนางในราชสานกั เช่น ระบาสี่บท ระบากฤดาภินิหาร ระบาฉิ่งเป็ นตน้ 4. การแสดงพืน้ เมือง เป็นศิลปะแห่งการร่ายราที่มีท้งั รา ระบา หรือการละเล่นท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ของกลุ่มชนตามวฒั นธรรมในแต่ละภูมิภาค ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็นภูมิภาคได้4 ภาค ดงั น้ี 4.1 การแสดงพ้ีนเมืองภาคเหนือ เป็นศิลปะการรา และการละเล่น หรือท่ีนิยมเรียกกนัทว่ั ไปวา่ “ฟ้อน” การฟ้อนเป็นวฒั นธรรมของชาวลา้ นนา และกลุ่มชนเผา่ ต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวล้ือ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นตน้ ลกั ษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบด้งั เดิม และแบบที่ปรับปรุงข้ึนใหม่ แต่ยงั คงมีการรักษาเอกลกั ษณ์ทางการแสดงไวค้ ือ มีลีลาท่าราท่ีแช่มชา้ อ่อนชอ้ ยมีการแต่งกายตามวฒั นธรรมทอ้ งถิ่นที่สวยงามประกอบกบั การบรรเลงและขบั ร้องดว้ ยวงดนตรีพ้ืนบา้ น เช่น วงสะลอ้ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็นตน้ โอกาสท่ีแสดงมกั เล่นกนั ในงานประเพณีหรือตน้ รับแขกบา้ นแขกเมือง ไดแ้ ก่ ฟ้อนเลบ็ ฟ้อนเทียน ฟ้อนครัวทาน ฟ้อนสาวไหมและฟ้อนเจิง 4.2 การแสดงพ้ืนเมืองภาคกลาง เป็นศิลปะการร่ายราและการละเล่นของชนชาวพ้ืนบา้ นภาคกลาง ซ่ึงส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกบั เกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวติและพอื่ ความบนั เทิงสนุกสนาน เป็นการพกั ผอ่ นหยอ่ นใจจากการทางาน หรือเม่ือเสร็จจากเทศการฤดูเกบ็ เกบ็ เกี่ยว เช่น การเล่นเพลงเกี่ยวขา้ ว เตน้ การาเคียว ราโทนหรือราวง ราเถิดเทอง รากลองยาว เป็นตน้ มีการแต่งกายตามวฒั นธรรมของทอ้ งถิ่น และใชเ้ คร่ืองดนตรีพ้นื บา้ น เช่น กลองยาวกลองโทน ฉ่ิง ฉาบ กรับ และโหม่ง 4.3 การแสดงพ้ืนเมืองภาคอีสาน เป็นศิลปะการราและการเล่นของชาวพ้ืนบา้ นภาคอีสาน หรือ ภาคตะวนออกเฉียงเหนือของไทย แบ่งไดเ้ ป็น 2 กลุ่มวฒั นธรรมใหญ่ ๆ คือ กลุ่มอีสานเหนือ มีวฒั นธรรมไทยลาวซ่ึงมกั เรียกการละเล่นวา่ “เซิ้ง ฟ้อน และหมอลา” เช่น เซิ้งบงัไฟ เซิ้งสวงิ ฟ้อนภูไท ลากลอนเก้ียว ลาเตย้ ซ่ึงใชเ้ คร่ืองดนตรีพ้ืนบา้ นประกอบ ไดแ้ ก่ แคน พิณ ซอ กลองยาว อีสาน ฉิ่ง ฉาบ ฆอ้ ง และกรับ ภายหลงั เพ่ิมเติม

โปงลางและโหวดเขา้ มาดว้ ย ส่วนกลุ่มอีสานใตไ้ ดร้ ับอิทธิพลไทยเขมร มีการละเล่นที่เรียกวา่ เรือม หรือ เร็อม เช่น เรือมลดู อนั เร หรือรากระทบสาก รากระเน็บติงตอ็ ง หรือระบาตกั๊ แตน ตาขา้ ว ราอาไย หรือราตดั หรือเพลงอีแซวแบบภาคกลางวงดนตรี ท่ีใชบ้ รรเลง คือ วงมโหรีอีสานใต้ มีเคร่ืองดนตรี คือ ซอดว้ ง ซอดว้ ง ซอครัวเอก กลองกนั ตรึม พณิ ระนาด เอกไม้ ป่ี สไล กลองรามะนาและเคร่ืองประกอบจงั หวะ การแต่งกายประกอบการแสดงเป็นไปตามวฒั นธรรมของพ้ืนบา้ น ลกั ษณะท่าราและท่วงทานองดนตรีในการแสดงค่อนขา้ งกระชบัรวดเร็ว และสนุกสนาน 4.4 การแสดงพ้ืนเมืองภาคใต้ เป็นศิลปะการราและการละเล่นของชาวพ้ืนบา้ นภาคใตอ้ าจแบ่งตามกลุ่มวฒั นธรรมไ 2 กลุ่มคือ วฒั นธรรมไทยพทุ ธ ไดแ้ ก่ การแสดงโนรา หนงัตะลุง เพลงบอก เพลงนา และวฒั นธรรมไทยมสุ ลิม ไดแ้ ก่ รองเงง็ ซาแปง มะโยง่ (การแสดงละคร) ลิเกฮูลู (คลา้ ยลิเกภาคกลาง) และซิละ มีเครื่องดนตรีประกอบท่ีสาคญั เช่น กลองโนรา กลองโพน กลองปื ด โทน ทบั กรับพวง โหม่ง ป่ี กาหลอ ปี่ ไหน รามะนา ไวโอลิน อคัคอร์เดียน ภายหลงั ไดม้ ีระบาท่ีปรับปรุงจากกิจกรรมในวถิ ีชีวติ ศิลปาต่างๆ เข่น ระบาร่อนแต่ การีดยาง ปาเตตะ๊ เป็นตน้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook