จัดทาโดยด.ช. อนันต์ ซึมดอน ม. 2/8 เลขที่ 9 ปี การศึกษา 2548 เสนอ คุณครู มานะ ผวิ ผ่อง
โขน ประวตั คิ วามเป็ นมาของโขนโขนเป็นนาฏศิลป์ ช้นั สูงท่ีเก่าแก่ของไทย มีมานานต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยาตามหลกั ฐานจากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ไดก้ ล่าวถึงการเล่นโขนวา่ เป็นการเตน้ ออกท่าทางเขา้ กบัเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผเู้ ตน้ สวมหนา้ กากและถืออาวธุ โขนเป็นท่ีรวมของศิลปะหลายแขนงคือ โขนนาวธิ ีเล่นและวธิ ีแต่งตวั บางอยา่ งมาจากการเล่นชกั นาคดึกดาบรรพ์ โขนนาท่าต่อสูโ้ ลดโผน หนา้ พาทยเ์ พลงดนตรีการแสดงโขน ผแู้ สดงสวมศีรษะคือหวั โขน ปิ ดหนา้ หมด ยกเวน้ เทวดามนุษย์ และมเหสี ธิดาพระยายกั ษ์ มีตน้ เสียงและลูกคู่ร้องบทใหแ้ ละมีคนพากยแ์ ละเจรจาใหด้ ว้ ย
โขนแบ่งออกเป็น 5 ประเภท๑ โขนกลางแปลง๒ โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว๓ โขนหน้าจอ๔ โขนโรงใน๕ โขนฉาก
• ๑. โขนกลางแปลง คือ การเล่นโขนบนพืน้ ดนิ ณ กลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรงให้เล่น นิยม แสดงตอนยกทัพรบกนั โขนกลางแปลงได้ ววิ ฒั นาการมาจากการเล่นชักนาคดกึ ดาบรรพ์
• ๒ โขนโรงนอก หรือโขนน่ังราว เป็ นการแสดงบน โรงมีหลงั คา ไม่มีเตยี งสาหรับตวั โขนนั่ง แต่มรี าวพาด ตามส่วนยาวของโรงตรงหน้าฉาก (ม่าน) มีช่องทาง ให้ผู้แสดงเดนิ ได้รอบราวแทนเตยี ง
• ๓ โขนหน้าจอ คือโขนทเ่ี ล่นตรงหน้าจอ ซึ่งเดมิ เขาขึงไว้ สาหรับเล่นหนังใหญ่ ในการเล่นหนังใหญ่น้ัน มีการเชิด หนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้าขาว การแสดงหนังใหญ่มศี ิลปะ สาคญั คือการพากย์และเจรจา มีดนตรีป่ี พาทย์ประกอบการ แสดง ผู้เชิดตวั หนังต้องเต้นตามลลี าและจังหวะดนตรี นิยมแสดงเร่ืองรามเกยี รต์ิ
• ๔ โขนโรงใน คือ โขนทน่ี าศิลปะของละครในเข้ามา ผสม โขนโรงในมปี ่ี พาทย์บรรเลง ๒ วงผลดั กนั การ แสดงกม็ ีท้งั ออกท่าราเต้น ทีพากย์และเจรจาตามแบบโขน กบั นาเพลงขบั ร้องและเพลงประกอบกริ ิยาอาการ ของ ดนตรีแบบละครใน และมีการนาระบาราฟ้อนผสมเข้าด้วย
• ๕ โขนฉาก เกดิ ขนึ้ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมผี ู้คดิ สร้างฉากประกอบ เร่ืองเมื่อแสดงโขนบนเวที ส่วนวธิ ีแสดงดาเนินเช่นเดยี วกับโขนโรงใน แต่มกี ารแบ่งเป็ นชุดเป็ นตอน เป็ นฉาก และจดั ฉากประกอบตาม ท้องเรื่อง กรมศิลปากรได้ทาบทเป็ นชุดๆ ไว้หลายชุด เช่น ชุดปราบกาก นาสูร ชุดมยั ราพณ์สะกดทพั ชุดชุดนางลอย ชุดาคบาศ ชุดพรหมาสตร์ ชุดศึกวริ ุญจาบัง ชุดทาลายพธิ ีหุงนา้ ทพิ ย์ ชุดสีดาลุยไฟเป็ นต้น
ลกั ษณะบทโขน ประกอบดว้ ย บทร้อง ซ่ึงบรรจุเพลงไว้ตามอารมณ์ของเรื่อง บทร้องแต่งเป็ นกลอนบทละครเป็ นส่วนใหญ่ อาจมีคาประพนั ธ์ชนิดอ่ืนบ้างแต่ไม่นิยม บทร้องนีจ้ ะมเี ฉพาะโขนโรงในและโขนฉากบทพากย์ การแสดงโขนโดยท่ัวไปจะเดนิ เรื่องด้วยบทพากย์ ซ่ึงแต่งเป็ นคาประพันธ์ชนิด กาพย์ฉบงั ๑๖ หรือกาพย์ยานี ๑๑ บทมีช่ือเรียกต่าง ๆ ดงั นี้
• พากย์เมือง หรือพากย์พลบั พลา คือบทตัวเอก เช่น ทศกณั ฐ์ หรือพระรามประทบั ในปราสาทหรือพลบั พลา เช่น คร้ันรุ่งแสงสุริยโอภา พงุ่ พน้ เวหา คิรียอดยคุ นั ธร สมเดจ็ พระหริวงศท์ รงศร ฤทธ์ิเล่ืองลือขจร สะทอ้ นท้งั ไตรโลกา เสดจ็ ออกนง่ั หน้าพลบั พลา พร้อมดว้ ยเสนา ศิโรตมกม้ กราบกราน พิเภกสุครีพหนุมาน นอบนอ้ มทูลสาร สดบั คดีโดยถวลิ
• ๒ พากย์รถ เป็ นบทชมพาหนะและกระบวนทัพ ไม่ว่าจะเป็ นรถ ม้า ช้าง หรืออ่ืนใดกไ็ ด้ ตลอดจนชมไพร่พลด้วยเสดจ็ ทรงรถเพชรเพชรพราย พรายแสงแสงฉายจารูญจารัสรัศมี สีหราชราชสีห์ อาไพไพโรจน์รูจี กึกกอ้ งกอ้ งดง เหยยี บยนื ยนื ยนัชกั รชรถรถทรง ดุมหนั หนั เวยี นวงเสทือนท้งั ไพรไพรวนั ยกั ษาสารถีโลทนัก่งศรจะแผลแผลงผลาญ
• ๓ พากย์โอ้ เป็ นบทโศกเศร้า ราพนั คร่าครวญ ซึ่งตอนต้นเป็ น พากย์ แต่ตอนท้ายเป็ นทานองร้องเพลงโอ้ป่ี ให้ปี่ พาทย์รับอนิจจาเจา้ เพ่ือนไร้ มาบรรลยั อยเู่ อองค์พ่ีจะไดส้ ่ิงใดปอง พระศพนอ้ งในหิมวาจะเชิญศพพระเยาวเรศ เขา้ ยงั นิเวศนอ์ ยธุ ยาท้งั พระญาติวงศา จะพโิ รธพไิ รเรียมวา่ พี่พามาเสียชนม์ ในกมลใหต้ รมเกรียมจะเกลี่ยทรายข้ึนทาเทียม ต่างแท่นทิพบรรทมจะอุม้ องคข์ ้ึนต่างโกศ เอาพระโอษฐม์ าระงมต่างเสียงพระสนม อนั ร่าร้องประจาเวร
• ๔ พากย์ชมดง เป็ นบทตอนชมป่ าเขา ลาเนาไพร ทานองตอนต้นเป็ น ทานองร้อง เพลงชมดงใน ตอนท้ายเป็ นทานองพากย์ธรรมดา เคา้ โมงจบั โมงมองเมียง คู่เคา้ โมงเคียงเคียงคู่อยปู่ ลายไมโ้ มง ลางลิงลิงเหนี่ยวลดาโยง ค่อยยดุ ฉุดโชลงโลดไล่ในกลางลางลิง ชิงชงั นกชิงกนั สิง รังใครใครชิงชิงกนั จบั ตน้ ชิงชนั นกยงู จบั พยงู ยนื ยนั แผห่ างเหียนหนัหนั เหยบี เลียบไต่ไมพ้ ยงู
• พากย์บรรยาย เป็ นบทขยายความเป็ นมา ความเป็ นไป หรือ พากย์ราพงึ ราพนั ใดๆ เช่น พากย์บรรยายตานานรัตนธนูเดิมทีธนูรัตน วรฤทธิเกรียงไกรองคว์ ิศวะกรรมไซร้ ประดิษฐะสองถวายคนั หน่ึงพระวิษณุ สุรราชะนารายณ์คนั หน่ึงนาทูลถวาย ศิวะเทวะเทวนั คร้ันเมื่อมุนีทกั - ษะประชาบดีน้นักอบกิจจะการยญั - ญะพลีสุเทวาไม่เชิญมหาเทพ ธ กแ็ สนจะโกรธากมุ แสงธนูคลา ณ พิธีพลีกรณ์
• พากย์เบด็ เตลด็ เป็ นบททใ่ี ช้ในโอกาสทั่วๆ ไป เป็ นเรื่องเลก็ ๆ น้อยๆ ทีไ่ ม่ เข้าประเภทใด เช่นกล่าวว่า ใครทาอะไร หรือพูดกบั ใคร ว่าอย่างไร เช่น ภูวกวกั เรียกหนุมานมา ตรัสสงั่ กิจจาใหแ้ จง้ ประจกั ษใ์ จจง กบั ผา้ ร้อยองค์ จงแนะความใน แลว้ ถอดจกั รรัตนธ์ ามรงค์ เมื่อตาต่อตายพุ ินทรใหน้ าไป ผวิ นางยงั แหนงน้าใจมิถิลราชพารา อนั ปรากฏจริงใจมาประจวบบนบญั ชรไชย
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: