Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัยในชั้นเรียน การจัดการเรียนรู้บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์

รายงานวิจัยในชั้นเรียน การจัดการเรียนรู้บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์

Published by buritkongmali, 2019-03-19 03:47:54

Description: รายงานวิจัยในชั้นเรียน การจัดการเรียนรู้บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์

Search

Read the Text Version

วจิ ยั ในชน้ั เรยี น การจัดกจิ กรรมการเรียนแบบบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน บรุ ิศร์ กองมะลิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 สานกั บรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ

คานา เนอื่ งจากการศึกษาในปจั จุบัน เน้นในการให้ผเู้ รียนเป็นศนู ย์การในการจดั กิจกรรม การเรยี นการสอน จงึ มีการพฒั นาระบบ วธิ ีการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เปน้ จานวนมาก ทาง โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 ซ่งึ เป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถมั จึงมกี ารจดั กิจกรรม การเรียนรู้โดดยมุง้ เน้นการพึ่งพาตนเองของนักเรียน การประยุกตใ์ ชใ้ นการดาเนนิ ชีวิตได้ อยา่ งพง่ึ พาตนเองได้ ทางคณะผูจ้ ัดทาจึงคน้ ควา้ และพฒั นากระบวนการจดั กจิ กรรการ เรยี นรแู้ บบบรู ราการเพอื่ ส่งเสรมิ ทักษะดงั กล่าว บรุ ิศร์ กองมะลิ

สารบัญ กิตตกิ รรมประกาศ.............................................................................................................................................. ฉ บทคัดย่อ.......................................................................................................................................................... 7 บทที่ 1 บทนา................................................................................................................................................... 1 ทีม่ าและความสาคญั ...................................................................................................................................... 1 วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย ................................................................................................................................ 1 ขอบเขตของการวิจัย ...................................................................................................................................... 1 ด้านตัวแปร................................................................................................................................................... 2 สมมตฐิ านของการวจิ ัย ................................................................................................................................... 2 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ........................................................................................................................................... 2 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ............................................................................................................................... 2 บทท่ี 2 เอกสารท่ีเกย่ี วข้อง .................................................................................................................................. 3 การจัดการเรยี นรูแ้ บบบูรณาการ....................................................................................................................... 3 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน............................................................................................................................... 3 รูปแบบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ..................................................................................................................... 6 บทท่ี 3 วิธีการดาเนนิ งาน ................................................................................................................................. 12 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ ................................................................................................................................... 13 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ....................................................................................................... 16 สรปุ ผล ...................................................................................................................................................... 16 อภปิ รายผล................................................................................................................................................. 16 ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................................... 17 บรรณานุกรม .................................................................................................................................................. 18 ภาคผนวก ...................................................................................................................................................... 19

กติ ตกิ รรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยการให้ความช่วยเหลือแนะนาของ อาจารย์ ดร. เสาวภา ปัญจอริยะกุล ซ่ึงเป็นอาจารย์ท่ีปรึกษาการวิจัยท่ีได้กรุณาที่ให้คาแนะนาข้อคิดเห็นตรวจสอบ และ แกไ้ ขงานวจิ ัยมาโดยตลอด ผ้เู ขยี นจึงขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณ นางวิลาวัลย์ ปาลี ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์31 ซ่ึงได้อานวยงาน อานวยสภานท่แี ละงบประมาณในการทางานวิจยั ฉบบั น้ี ทางคณะผู้จัดทาจงึ ขอบคุณ รพระคุณมา ณ ท่ีน้ี ท้ายน้ีผู้เขียนขอน้อมราลึกถึงอานาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักด์ิสิทธ์ิทั้งหลายที่ อยู่ในสากลโลก อันเป็นที่พึ่งให้ผู้เขียนมีสติปัญญาในการจัดทาวิทยานิพนธ์ให้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผเู้ ขียนขอใหเ้ ปน็ กตเวทิตาแด่บดิ า มารดา ครอบครวั ของผู้เขยี น ตลอดจนผู้เขียนหนงั สือ และบทความ ต่าง ๆ ทใี่ ห้ความรู้แกผ่ ู้เขยี นจนสามารถให้วิทยานพิ นธฉ์ บับนี้สาเร็จไดด้ ว้ ยดี บรุ ศิ ร์ กองะลิ ผูท้ าการวจิ ยั

เร่ือง การจัดกิจกรรมการเรยี นแบบบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 ผ้วู จิ ยั นายบรุ ิศร์ กองมะลิ ________________________________________________________________________ บทคัดยอ่ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินในรายวิชา วิทยาศาสตร์ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า นักเรียนไมส่ ามารถเชือ่ มโยงความรู้ในรายวิทยาศาสตร์ กับการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจาวนั ได้ ซึ่งอาจส่งผล ต่อการนาความรู้ไปประกอบอาชีพเมื่อนักเรยี นจบการศึกษา ดงั น้ัน การจัดกจิ กรรมการเรียนร้แู บบบูรณาการจะทา ให้นักเรียนสามารถเช่ือมโยงและนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ โดยในงานวิจัยน้ีเลือกใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบบูรณาการร่วมกับโครงการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน เพ่ือแก้ไขปัญหานักเรียนไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้ วทิ ยาศาสตรใ์ นการทางานได้ อกี ทัง้ ยงั เปน็ ส่งเสรมิ การนากระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบ บรู ณาการ มาใช้ ในโรงเรียน จากการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสามารถสร้างการเรียนรู้และสามารถเช่ือมโยง ความรู้วิทยาศาสตร์เข้ากับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ กระตุ้นความสนใจในการเรียน เป็นนวัตกรรมการ สอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสามารถเตรียมความพร้อมให้นักเรียนในการไป ประกอบอาชพี และการใช้แกป้ ัญหาแบบได้ในชวี ิต

บทท่ี 1 บทนา ทีม่ าและความสาคัญ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เป็นโรงเรียนในสังกัดสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ซึ่งจัดการศึกษา ให้กับนักเรียนที่ด้อยโอกาส กลุ่มนักเรียนชาติพันธุ์ คือ ชนเผ่าม้ง ชนเผาปกาเกอะญอ และชนเผ่าละว้า ทาให้ เป้าหมายของการจัดการศึกษามุ่งเน้นในนักเรียนสามารถนาความรู้จากโรงเรียนไปใช้ในการทางานตามวิถีขอ ง ครอบครัว เมื่อจบการศึกษาในระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 เช่นการทาการเกษตร การค้าขายเป็นต้น การจัดเรียนรู้ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินในรายวิชา วิทยาศาสตร์ ระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า นักเรียนไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้ในรายวิทยาศาสตร์ กับการแก้ไขปัญหาใน ชีวิตประจาวันได้ ซ่งึ อาจส่งผลต่อการนาความรูไ้ ปประกอบอาชพี เม่ือนกั เรียนจบการศกึ ษา ดังน้ัน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการจะทาให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงและนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ได้ โดยในงานวิจัยน้ีเลือกใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการร่วมกับโครงการสวนพฤกษศาสตร์ โรงเรียนและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือแก้ไขปัญหานักเรียนไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้วิทยาศาสตร์ ในการทางานได้ อกี ทั้งยังเป็นส่งเสริมการนากระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ บรู ณาการ มาใชใ้ นโรงเรียน ราชประชานเุ คราะห์ 31 วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย 1. เพื่อพัฒนากระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ 2. เพือ่ เชื่อมโยงความรูใ้ นวิชาวทิ ยาศาสตรก์ บั การนาไปใช้ชวี ติ ประจาวัน 3. เพอื่ เสริมสรา้ งเจตคติทด่ี ีในเรยี นวิทยาศาสตร์ ขอบเขตของการวจิ ยั ด้านเน้ือหา ใช้เน้อื หาของวิชา วิทยาศาสตร์ ม.2 เรอื่ ง พลังงานในชวี ิตประจาวนั และพลงั งานทดแทน ดา้ นประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 1) ประชากร/กลมุ่ เป้าหมาย/กรณศี ึกษา ประชากร/กลุ่มเป้าหมายในการวิจยั คร้ังน้ี คือ นักเรียนระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 อาเภอ แม่แจ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ จานวน 146 คน ทีก่ าลงั ศึกษาอย่ใู นภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561

2) กลุม่ ตวั อย่าง กลุ่มตัวอยา่ งท่ีใช้ในการวจิ ัยครัง้ นี้ คือ นักเรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอ แม่แจม่ จงั หวดั เชียงใหม่ จานวน 40 คน ทก่ี าลงั ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2561 ด้านตัวแปร ตัวแปรตน้ คอื แผนการจัดการเรียนร้แู บบบูรณาการสวนพฤกศาสตร์ ตวั แปรตาม คือ พฒั นาการการประยกุ ต์ใช้ความรวู้ ทิ ยาศาสตรใ์ นชวี ติ ประจาวันของนักเรยี น ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ดา้ นวนั เวลา และสถานที่ จานวนชั่วโมงในการสอน 12 ชวั่ โมง สมมตฐิ านของการวจิ ยั เมือ่ จดั การเรยี นร้แู บบบูรณาการกบั สวนพฤกศาสตร์โรงเรียนแล้ว จะส่งผลในนักเรยี นมีเจตคติใน การเรยี นวิทยาศาสตร์ สามารถประยุกต์ใชค้ วามรู้ ทกั ษะในชวี ิตประจาวันได้ นิยามศัพท์เฉพาะ การสอนแบบบรู ณาการ (Integrated Instruction) คอื การสอนโดยใช้เรอื่ งใดเรื่องหนงึ่ หรอื วิชาใดวชิ าหนงึ่ เปน็ แกนหลกั แล้วสอนเช่ือมโยงใหส้ ัมพนั ธ์กบั เรอ่ื งหรือวชิ าอื่น ๆ ทเ่ี กี่ยวข้องอยา่ งกลมกลนื เพอื่ ให้เหมาะสมกบั การประยกุ ต์ใชแ้ กป้ ญั หาในชวี ติ จรงิ ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะได้รับ - นกั เรยี นเกดิ กระบวนการเรยี นรอู้ นั เนอ่ื งการจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการ - กระบวนจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ มีการพฒั นามากขึ้น - นกั เรยี นมเี จตคตทิ ด่ี ใี นการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ และการนาวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้

บทที่ 2 เอกสารทเ่ี ก่ียวขอ้ ง การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ ตามพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวดท่ี 4 มาตรา 23 กาหนดไวว้ า่ การจัดการศกึ ษา ท้ังการศกึ ษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศัย ต้องเนน้ ความสาคัญท้ังความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบรู ณาการตามความเหมาะสมในแต่ละระดับ การศกึ ษาและใน มาตรา 24(4) ไดก้ าหนดไวว้ า่ “ การจดั การเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความร้ดู ้านตา่ ง ๆ อย่างได้สดั ส่วนสมดุลกนั รวมทัง้ ปลูกฝงั คณุ ธรรมคา่ นยิ มทด่ี ีงามและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคใ์ นทกุ วชิ า” จอห์น ดิวอี้ ปราชญท์ างการศกึ ษาชาวอเมรกิ า ได้อธบิ ายถงึ ความจาเปน็ ท่ีโรงเรยี นต้องจดั ใหม้ กี ารสอน แบบบูรณาการหรือการเชอื่ มโยงเนอ้ื หาวิชาการหลายอย่างเขา้ ดว้ ยกัน โดยไม่เนน้ การเรยี นเป็นรายวิชาวา่ ปัญหา อปุ สรรค รวมท้งั ประสบการณ์ในชีวติ ของมนุษย์นั้นจะผสมผสานกนั มไิ ดแ้ ยกออกเปน็ ส่วน ท้งั นี้ มนษุ ย์จาเปน็ ตอ้ ง ใชท้ กั ษะหลายประการในการเรยี นร้จู ากประสบการณ์ รวมทั้งในการแก้ไขปัญหา ทีเ่ กดิ ขึน้ ในชีวติ ไมว่ า่ จะเปน็ ปัญหาหรอื ซับซ้อนเพียงใดกต็ าม แตก่ ารที่โรงเรยี นเน้นการสอนแยกเนอ้ื หาวชิ า จะทาใหก้ ารเรียนน้ันไมส่ อดคลอ้ ง กบั ชีวติ จรงิ ของนกั เรียน เพราะเด็กมองไมเ่ หน็ ความเชอ่ื มโยงของสง่ิ ท่เี รียน กบั ส่งิ ท่ีเปน็ ไปในชีวติ จริงนอกโรงเรียน ดงั นั้น หลกั สตู ท่เี นน้ การสอนแบบบูรณาการจะสอดคลอ้ งกับชีวิตจรงิ ของเดก็ มากกวา่ โดยจะช่วยให้นกั เรยี นเข้าใจ และมองเหน็ ความสัมพันธเ์ ช่อื มโยงของเนอ้ื หาวชิ าตา่ ง ทั้งยงั กระต้นุ ให้เดก็ ใฝเ่ รียนรู้ เน่อื งจากเขาสามารถนา เนอ้ื หาและทกั ษะท่เี รียนไปใช้ในชวี ิตจรงิ นอกจากน้ี การจัดการเรยี นรู้แบบบูรณาการยงั ชว่ ยลดความซ้าซ้อนของ เนอ้ื หาวชิ า ลดจานวนเวลาเรียน เป็นการแบง่ เบาภาระของผ้สู อน รวมทั้งสง่ เสริมผู้เรียนให้มีโอกาสใช้ ความคิด ประสบการณ์ ความสามารถ ตลอดจนทักษะต่าง ๆ อย่างหลากหลาย กอ่ ใหเ้ กิดการเรียนร้ทู ักษะกระบวนการและ เนอ้ื หาสาระไปพร้อมกัน สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน สวนพฤกษศาสตร์ (Botanic Garden) คือ แหล่งท่ีรวบรวมพันธพ์ุ ืชชนิดต่าง ๆ ทม่ี ีชวี ิต จดั ปลูกตาม ความเหมาะสมกับสภาพถิน่ อาศัยเดิม มีหอ้ งสมุด สถานท่ีเก็บรวบรวมตวั อย่างพรรณไม้รักษาสภาพ อาจเป็น ตวั อย่างแห้ง ตัวอย่างดอง หรือเก็บรักษาโดยวิธีอ่ืน ๆ พันธุพ์ ืชท่ที าการเก็บรวบรวมไว้น้ัน จะเป็นแหล่งข้อมูล และเผยแพร่ความรู้ นอกจากนสี้ ามารถใช้เปน็ แหลง่ พักผ่อนหยอ่ นใจ สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน (School Botanical Garden) คือ ทกุ สงิ่ ทุกอย่างท่ีมีอย่ใู นโรงเรยี นท่ีใช้ เพ่ือการเรียนรูโ้ ดยมี พืชเป็นปัจจัยหลัก ชวี ภาพอ่ืนเป็นปัจจัยรอง กายภาพเป็นปัจจัยเสริม และวสั ดุ อปุ กรณ์ เปน็ ปจั จัยประกอบ งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน คือ งานสร้างจิตส านึกในการอนุรักษ์พันธุกรรมพชื ทรัพยากรชีวภาพ และกายภาพ โดยมีการสัมผสั การเรยี นรู้ การสร้างและปลกู ฝงั คณุ ธรรม การเสริมสรา้ งปัญญาและภมู ิปญั ญา

ภาพที่ 1 แผนภาพสรุปกระบวนการเรยี นรู้ งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน บรรยากาศของงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน บนความเบิกบาน บนความหลายหลาก สรรพส่ิง สรรพการกระทำ ลว้ นสมดุล พชื พรรณ สรรพสตั ว์ สรรพส่งิ ได้รบั ความการณุ ย์ บนฐานของสรรพชีวติ นักวทิ ยาศาสตร์ นกั ประดิษฐ์ ศลิ ปกร กวี นักตรรกศาสตร์ ปราชญน์ อ้ ยปรากฏทวั่ ดร.พศิ ษิ ฐ์ วรอุไร ด้านการจดั การเรียนรู้ งานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน องค์ประกอบท่ี 3 การศกึ ษาขอ้ มลู ดา้ นตา่ ง ๆ หลกั การ รู้การวเิ คราะห์ เหน็ ความต่าง รคู้ วามหลายหลาก สาระการเรยี นรู้ การศึกษาข้อมูลด้านต่างๆ ทางด้านข้อมูลพน้ื บ้าน ข้อมูลพรรณไม้ การสืบค้นข้อมูลดา้ นพฤกษศาสตร์ การศึกษาพรรณไม้ท่ีสนใจอย่างละเอียดทั้งโครงสร้างภายนอกและภายใน การกำ หนดเรื่องที่จะเรียนรู้ใน องค์ประกอบส่วนยอ่ ยของพรรณไมท้ ส่ี นใจ และเปรียบเทียบความตา่ งแตล่ ะเร่อื งกบั พชื ชนดิ เดียวกัน โดยมีการ ตรวจสอบผลงานเป็นระยะ ลำดบั การเรียนรู้ 1) ศึกษาพรรณไม้ในสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน (ก.7-003) ครบตามทะเบยี นพรรณไม้ 1.1) มสี ว่ นรว่ มของผู้ศึกษา 1.2) ศกึ ษาข้อมลู พื้นบ้าน 1.3) ศกึ ษาข้อมลู พรรณไม้ 1.4) สรุปลักษณะและข้อมูลพรรณไม้ 1.5) สบื คน้ ขอ้ มูลพฤกษศาสตร์ 1.6) บนั ทึกขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ 1.7) ตรวจสอบผลงานเป็นระยะ 1.8) ความเปน็ ระเบียบ ความตง้ั ใจ

2) ศกึ ษาพรรณไมท้ สี่ นใจ 2.1) ศึกษาลกั ษณะภายนอก ภายในของพืชแตล่ ะส่วนโดยละเอยี ด 2.2) กำหนดเรอ่ื งที่จะเรยี นรู้ในแต่ละส่วนของพืช 2.3) เรยี นร้แู ตล่ ะเรือ่ ง แตล่ ะส่วนขององค์ประกอบย่อย 2.4) นำขอ้ มลู มาเปรียบเทยี บความต่างในแตล่ ะเร่ือง ในชนดิ เดียวกัน องค์ประกอบท่ี 4 การรายงานผลการเรยี นรู้ หลกั การ รู้สาระ รู้สรุป รู้ส่อื สาระการเรียนรู้ การรายงานผลการเรยี นรู้ ทไี่ ดจ้ ากการรวบรวมผลการเรยี นรู้ คัดแยกสาระสำคัญ จัดหมวดหมู่ จัดระบบ ข้อมูล และการเขียนรายงานในรูปแบบวิชาการและแบบบูรณา โดยใช้ภาษาสื่อท่ีกระชบั ได้ใจความรวมถึง วธิ ีการ รายงานในรปู แบบต่าง ๆ ทั้งแบบเอกสารแบบบรรยาย แบบศิลปะ และแบบนทิ รรศการ เปน็ ต้น ลำดบั การเรยี นรู้ 1) รวบรวมผลการเรียนรู้ 2) คดั แยกสาระสำคัญ และจดั ใหเ้ ปน็ หมวดหมู่ 2.1) วเิ คราะห์ เรียบเรียงสาระ 2.2) จดั ระเบียบข้อมลู สาระแตล่ ะดา้ น 2.3) จดั ลำดับสาระหรือกลุ่มสาระ 3) สรปุ และเรยี บเรียง 4) เรียนรรู้ ปู แบบการเขยี นรายงาน 4.1) แบบวชิ าการ 4.2) แบบบูรณาการ 5) กำหนดรปู แบบการเขียนรายงาน 6) เรียนรู้วิธีการรายงานผล 6.1) เอกสาร เช่น หนังสือ แผ่นพบั 6.2) บรรยาย เช่น การเล่านทิ าน อภปิ ราย สมั มนา 6.3) ศลิ ปะ เชน่ การแสดงศลิ ปะพ้นื บา้ น ละคร รอ้ งเพลง ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ 6.4) นทิ รรศการ 7) กำหนดวิธีการรายงานผล

รปู แบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรขู้ องสถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท., 2546) ประกอบด้วยข้นั ตอนที่สาคัญดงั น้ี 1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) เปน็ การนาเขา้ สู่บทเรียนหรอื เรอ่ื งท่สี นใจซงึ่ เกดิ ขนึ้ จากความ สงสยั หรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตวั นกั เรยี นเองหรือเกิดจากการอภปิ รายภายในกลมุ่ เร่อื งทน่ี า่ สนใจอาจมา จากเหตุการณท์ ีเ่ กดิ ขนึ้ อยใู่ นชว่ งเวลานนั้ หรือเป็นเรอ่ื งทเ่ี ชอ่ื มโยงกบั ความรเู้ ดมิ ทเี่ พ่งิ เรียนรมู้ าแลว้ เป็นตวั กระตนุ้ ให้นักเรียนสรา้ งคาถาม กาหนดประเดน็ ท่ีศกึ ษา ในกรณที ไ่ี ม่มปี ระเด็นใดท่นี ่าสนใจ ครูอาจใหศ้ ึกษาจากส่อื ตา่ งๆ หรอื เปน็ ผกู้ ระตุน้ ด้วยการเสนอดว้ ยประเด็นขนึ้ มาก่อน แต่ไม่ควรบังคับใหน้ ักเรียนยอมรบั ประเด็นหรอื คาถามทคี่ รู กาลังสนใจเป็นเร่ืองที่จะใชศ้ กึ ษา เมอ่ื มคี าถามท่นี ่าสนใจและนกั เรียนสว่ นใหญย่ อมรับใหเ้ ปน็ ประเดน็ ทต่ี ้องการ ศกึ ษา จึงร่วมกันกาหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรอ่ื งทจ่ี ะศึกษาใหม้ คี วามชดั เจนมากขน้ึ อาจรวมท้ัง การรบั รู้ประสบการณเ์ ดมิ หรอื ความรูจ้ ากแหล่งตา่ ง ๆ ทจ่ี ะช่วยให้นาไปสู่ความเขา้ ใจเร่ืองหรือประเด็นทจี่ ะศึกษา มากขน้ึ และมแี นวทางทใ่ี ชใ้ นการสารวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย 2) ขัน้ สารวจและค้นหา (Exploration) เม่อื ทาความเข้าใจในประเดน็ หรือคาถามทส่ี นใจจะศึกษาอย่าง ถ่องแท้แลว้ กม็ กี ารวางแผนกาหนดแนวทางสาหรับการตรวจสอบต้ังสมมตฐิ าน กาหนดทางเลือกท่เี ปน็ ไปได้ ลงมือ ปฏิบัติเพ่อื เก็บรวบรวมขอ้ มูล ขอ้ สนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วธิ ีการตรวจสอบอาจทาไดห้ ลายวิธี เช่นทาการ ทดลอง ทากจิ กรรมภาคสนาม การใชค้ อมพิวเตอร์เพอ่ื ชว่ ยสร้างสถานการณจ์ าลอง (Simulation) การศึกษาหา ขอ้ มูลจากเอกสารอ้างอิงหรอื จากแหลง่ ข้อมลู ตา่ ง ๆ เพือ่ ให้ได้มาซึ่งข้อมลู อย่างเพยี งพอทจี่ ะใช้ในขนั้ ต่อไป 3) ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) เมอ่ื ไดข้ อ้ มลู อยา่ งเพียงพอจากการสารวจตรวจสอบแล้ว จงึ นาข้อมลู ข้อสนเทศท่ีได้มเิ คราะห์ แปลผล สรปุ ผลและนาเสนอผลท่ีไดใ้ นรปู ตา่ ง ๆ เชน่ บรรยายสรปุ สร้าง แบบจาลองทางคณติ ศาสตร์ หรือรูปวาด สร้างตาราง ฯลฯ การค้นพบในขน้ั นี้อาจเป็นไปได้หลายทาง เชน่ สนบั สนนุ สมตฐิ านทต่ี ัง้ ไว้ โตแ้ ย้งกับสมมตฐิ านท่ีตง้ั ไว้ หรือไม่เก่ยี วขอ้ งกับประเด็นทไ่ี ดก้ าหนดไว้ แตผ่ ลทีไ่ ดจ้ ะอยู่ ในรูปใดก็สามารถสรา้ งความรแู้ ละช่วยให้เกดิ การเรยี นรไู้ ด้ 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เปน็ การนาความรทู้ สี่ ร้างขน้ึ ไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือความคดิ ทไี่ ดค้ น้ คว้าเพมิ่ เติมหรือนาแบบจาลองหรือข้อสรปุ ทีไ่ ดไ้ ปใชอ้ ธบิ ายสถานการณห์ รอื เหตุการณอ์ น่ื ๆ ถา้ ใช้อธบิ าย เรอ่ื งตา่ ง ๆ ได้มากกแ็ สดงวา่ ข้อจากัดนอ้ ย ซงึ่ จะชว่ ยใหเ้ ช่อื มโยงกับเร่อื งตา่ ง ๆ และทาใหเ้ กดิ ความรูก้ วา้ งขวางขึ้น

5) ข้ันประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมินการเรยี นร้ดู ้วยกระบวนการตา่ ง ๆ ว่านักเรียนมคี วามรู้ อะไรบ้าง อย่างไร และมากนอ้ ยเพียงใด จากขน้ั นีจ้ ะนาไปสกู่ ารนาความรู้ไปประยุกตใ์ ชใ้ นเรื่องอ่นื ๆการนาความรู้ หรอื แบบจาลองไปใช้อธบิ ายหรือประยกุ ต์ใชก้ ับเหตกุ ารณห์ รือเร่ืองอื่น ๆ จะนาไปสู่ขอ้ โต้แยง้ หรอื ขอ้ จากัดซ่งึ จะ ก่อใหเ้ กิดประเด็นหรือคาถาม หรือปญั หาทจ่ี ะต้องสารวจตรวจสอบต่อไป ทาใหเ้ กดิ เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ไปเรอ่ื ย ๆ จงึ เรยี กวา่ Inquiry cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรจู้ งึ ช่วยให้นักเรยี นเกิดการเรยี นรทู้ ัง้ เนื้อหา หลกั และหลักการ ทฤษฎี ตลอดจนลงมือปฏบิ ตั ิ เพ่ือใหไ้ ดค้ วามรซู้ ง่ึ จะเปน็ พ้นื ฐานในการเรยี นตอ่ ไป เน้อื หาประกอบการความรู้ ภาพท่ี 2 ปาลม์ นา้ มัน ปาลม์ น้ามนั ชนดิ ท่ีปลูกเปน็ การคา้ มีถ่ินกาเนดิ ในทวีปแอฟริกา และได้นาเข้ามาปลกู ในประเทศไทย โดย ผ่านทางอินโดนเี ซยี และมาเลเซยี เมื่อประมาณ พ.ศ. 2547 ท่ีสถานที ดลองยางคอหงษ์ จังหวัดสงขลา และสถานี กสิกรรมพลิ้ว จงั หวดั จนั ทบรุ ี สว่ นการปลกู เพอื่ เป็นการค้า เริ่มตน้ ภายหลังสงครามโลกครงั้ ที่ 2 ท่จี ังหวดั สงขลา แตก่ ็ไดล้ ้มเลิกกจิ การไปจนกระทัง่ ในปี พ.ศ. 2511 ไดม้ กี ารส่งเสริมอีกครงั้ หนึ่ง และพน้ื ทีเ่ พาะปลกู ขยายตวั ออก อย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ. 2530 มเี นือ้ ทก่ี ารปลูกนา้ มัน 6 ลา้ นไร่ โดยแยกออกเปน็ สวนปาล์มของบรษิ ทั ร้อยละ 57 สวนของเอกชนร้อยละ 28 และในสหกรณน์ ิคม รอ้ ยละ 15 พ้ืนท่เี พาะปลูกปาลม์ ยังขยายตวั ออกไปอีกทกุ ปี ปาลม์ น้ามันเจริญเติบโต และใหผ้ ลิตผลดีในสภาพอากาศทีร่ ้อนและชื้น มปี ริมาณนา้ ฝนตั้งแต่ 2,000 มิลลิเมตรต่อปขี ้ึนไป จึงปลูกกนั มากในภาคใต้ และชายฝั่งทะเลดา้ นตะวนั ออกของอา่ วไทย น้ามนั ปาล์มเกดิ ขน้ึ จากผลปาล์ม 2 ส่วน คือ

จากเปลอื กหุม้ ภายนอก และจากเน้ือในของเมลด็ น้ามนั จากเปลอื กของปาล์ม ประกอบดว้ ยกรดไขมันทอี่ มิ่ ตัว ประมาณร้อยละ 52 และกรดไขมันไมอ่ มิ่ ตวั ร้อยละ 48 ดงั นนั้ จึงต้องนาน้ามันดิบผ่านกรรมวธิ แี ยกกรดไขมันทง้ั สองออกจากกนั นานา้ มนั ไมอ่ ิ่มตวั ไปแปรรูปเปน็ ผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนดิ เชน่ ใชป้ รงุ อาหาร ทาเนยเทยี ม หรือ มาการนี เนยขาว เปน็ ส่วนผสมของนมขน้ หวาน ไอศกรีม และขนมอกี หลายชนิด สว่ นท่เี ปน็ กรดไขมนั อ่ิมตัว ก็ นาไปทาสบู่ ผงซกั ฟอก และผลิตภัณฑอ์ ุตสาหกรรมอน่ื ๆ สว่ นน้ามันเนอ้ื ในของเมลด็ ปาลม์ ประกอบด้วยน้ามันชนดิ อม่ิ ตวั สูงถึงรอ้ ยละ 85 - 90 ทาให้ไม่เหมาะต่อการบรโิ ภค จงึ นาไปใช้ในอตุ สาหกรรมทาสบู่ เครอื่ งสาอาง ผงซักฟอก อตุ สาหกรรมสี และเรซนิ เปน็ ตน้ ปาล์มนา้ มนั มอี ย่หู ลายชนิด แต่ทปี่ ลูกเปน็ การคา้ มีช่ือทางวิทยาศาสตร์ วา่ Elaeis guineensis ตน้ ปาล์มเริม่ ออกชอ่ ดอกเมอื่ มอี ายุประมาณ 1 - 2 ปี แตเ่ ป็นช่อดอกขนาดเล็ก และให้ ผลิตผลไม่มากพอ จึงควรตดั ดอกชดุ แรกออกท้ิง เพื่อใหต้ ้นเจริญและสมบูรณไ์ ด้เต็มท่ี การเกบ็ เก่ยี วผลติ ผลอาจเร่ิม จากปีที่สามเป็นต้นไป ผลติ ผลของปาลม์ เพมิ่ มากขึ้นตามอายุ และใหผ้ ลติ ผลสงู เมอื่ ย่างเข้าส่ปู ีที่ 8 โดยเฉลย่ี ให้ ผลติ ผลตง้ั แต่ 8 - 15 ทะลาย/ตน้ /ปี ทะลายหนึ่งมผี ลปาล์ม 1000- 2000 ผล และหนกั ทะลายละ 10 - 15 กโิ ลกรัม ตน้ ปาลม์ จะให้ผลติ ผลสูง ไปจนถึงอายุ 25 - 30 ปี หลังจากนน้ั เร่ิมลดลง ซึง่ เปน็ เวลาท่ีต้องรอื้ สวนเก่าออก เพอื่ ปลกู ใหม่ เมอื่ ผลปาล์มสกุ แก่ เปลอื กนอกจะเปลี่ยน เปน็ สสี ้ม และเร่ิมร่วงหลน่ เปน็ ระยะท่เี ปลือกมีน้ามนั สะสมมากที่สดุ ควรทาการเกบ็ เก่ยี วทันที โดยใช้เสยี มหรอื มดี ตดั ท่กี า้ นของทะลาย รวบรวมนาสง่ โรงงานหบี นา้ มนั โดยให้ได้รับการกระเทือนน้อยท่ีสุด ภายในเวลา 24 ชั่วโมง จึงจะไดน้ ้ามันคุณภาพสูง ภาพท่ี 3 โรงงงานน้ามนั ปาล์ม โรงงานจะนาผลปาล์มสดท้ังทะลายไปอบไอน้า เพ่ือยบั ย้ังการเปล่ยี นแปลงของนา้ มัน และช่วยใหผ้ ลปาลม์ หลดุ ออก จากทะลาย และแยกเปลือกออกจากกะลาได้ง่ายขึน้ จากนนั้ จึงนาไปยอ่ ยอกี ครัง้ เพอื่ แยกเอาเปลอื กไปสกดั น้ามัน ออก นาน้ามนั ไปทาความสะอาด และลดความช้นื แล้วจงึ ส่งนา้ มันดิบเข้าโรงกล่ัน เพ่อื แยกน้ามันบรสิ ทุ ธ์ิ อกี คร้ัง

หนึ่ง นากากเสน้ ใย และเศษของทะลาย ทแ่ี ยกออก กลับไปใช้เปน็ เชอื้ เพลิง ส่วนเมล็ดปาล์ม ทแ่ี ยกมาจากเปลอื ก นาไปกะเทาะอีกครัง้ เพื่อแยกเอาเนอื้ ในออกจากกะลา นาเนื้อไปอบให้แห้ง สง่ ไปยังโรงงานทีก่ ลน่ั น้ามันจากเนือ้ ของเมลด็ ปาล์มโดยเฉพาะ สว่ นกะลาท่เี หลอื นากลบั ไปใช้เปน็ เชื้อเพลิง ภาพที่ 4 สบู่ดา สบดู่ า เป็นพืชนา้ มันชนดิ หนงึ่ นา้ มนั ทไี่ ด้จากเมล็ดสบูด่ า สามารถใชก้ ับเครอ่ื งยนตด์ เี ซลทีเ่ กษตรกรใช้ อยู่ได้ โดยไมต่ ้องใชน้ ้ามนั ชนิดอืน่ ผสมอีก ใช้เปน็ สมุนไพรรักษาโรค ใชป้ ลูกเปน็ แนวร้วั เพื่อป้องกนั สัตว์เล้ียงเข้า ทาลายผลผลติ เนื่องจากมีสารพษิ Hydrocyanic มีกลนิ่ เหมน็ เขยี ว สบดู่ าจึงเปน็ พืชทีน่ า่ ใหค้ วามสนใจเป็นอยา่ งย่ิง ในสภาวะทร่ี าคานา้ มันดเี ซลมรี าคาสงู อยา่ งในปัจจุบนั สบดู่ ามชี ื่อทางวิทยาศาสตรว์ า่ Jatropha Curcas Linn. อยู่ ในวงศ์ไมย้ างพารา ซง่ึ เป็นพืชพน้ื เมืองของทวปี อเมรกิ าใต้ ชาวโปรตุเกสนาเขา้ มาปลูกในประเทศไทย ในช่วงปลาย สมัยกรุงศรอี ยธุ ยา เพ่อื นามาบบี น้ามนั สาหรับทาสบู่ ปจั จบุ ันสบู่ดามีปลกู อยทู่ ั่วทุกภาคของประเทศไทย มีช่อื เรียก แตกต่างกนั ไป เชน่ ภาคเหนือเรยี กวา่ มะหุ่งฮว้ั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเรียกวา่ มะเยาหรือสหี ลอด ภาคใต้เรยี กว่า มาเคาะ ประโยชน์ของสบู่ดา 1.ยางจากก้านใบ ใชป้ ้ายรกั ษาโรคปากนกกระจอก หา้ มเลอื ด แกป้ วดฟนั แก้ล้ินเปน็ ฝา้ ขาว โดย ผสมกับน้านมมารดาป้ายลิ้น 2.ลาตน้ ตดั เปน็ ท่อนตม้ น้าให้เดก็ กินแกซ้ างตาลขโมย ตัดเป็นท่อนแชน่ ้าอาบแก้โรคพุพอง ใช้เป็น แนวรั้วป้องกันสตั วเ์ ล้ียง เชน่ โค กระบือ มา้ แพะ เข้าทาลายผลผลติ 3.เมลด็ ้หีบเปน็ นา้ มนั ใช้ทดแทนน้ามนั ดเี ซล ใชบ้ ารงุ รากผม ใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยใช้กากที่

เหลือจากการหบี นา้ มนั ซงึ่ มธี าตุอาหารหลัก มากกวา่ ป๋ยุ หมกั และมูลสัตว์หลายชนดิ ยกเว้นมลู ไก่ทีม่ ฟี อสฟอรสั และโปรแตสเซี่ยม มากกวา่ และยังมีสารพิษ Curcin มีฤทธิ์เหมอื นสลอด เม่อื กนิ เขา้ ไปแล้วจะทาใหท้ อ้ งเดนิ ลักษณะสบู่ดา ลาต้น เปน็ ไม้พมุ่ ยืนต้นขนาดกลาง ความสงู 2-7 เมตร อายยุ นื ไมน่ ้อยกว่า 20 ปี ลาตน้ และยอด คลา้ ยละหงุ่ แต่ไมม่ ขี น ลาตน้ เกลี้ยงเกลาใช้มือหกั ได้ง่ายเพราะเนือ้ ไมไ้ มม่ ีแกน่ ใบหยักคล้ายใบละหุ่งแต่หยกั ตน้ื กวา่ มี 4 หยกั ภาพที่ 5 ดอกสบ่ดู า ภาพท่ี 6 ผลสบูด่ า ดอกสบู่ดาเป็นช่อกระจุกทข่ี ้อส่วนปลายยอด ขนาดเล็กสีเหลอื ง มีกลน่ิ หอมออ่ น ๆ มดี อกตัวผู้ มากกวา่ ดอกตัวเมยี ในชอ่ เดยี วกับ ผลมลี ักษณะเป็นพู โดยส่วนมากจะมี 3 พู สเี ขยี วอ่อน เวลาสุกแก่จัดจะมสี เี หลืองอายุของผลสบู่ ดาตั้งแตอ่ อกดอกถึงผลแก่ ประมาณ 60 – 90 วนั

ภาพที่ 7 ภาพประกอบการสอนหญ้าแฝก หญา้ แฝก หญา้ ชนิดหนึ่ง เปน็ พืชใบเลีย้ งเดี่ยว เช่นเดยี ว ตระกลู ข้าวโพด ขา้ วฟา่ ง ออ้ ย ที่พบอยู่ทัว่ ไปตาม ภาคตา่ งๆ ของประเทศ สามารถเจริญเติบโตไดด้ ีในดนิ เกือบทกุ ที่ ทนต่อสภาพความแห้งแล้ง ความเปยี กแฉะและ สภาพน้าท่วมขังใด้ดี เพราะมรี ะบบรากลกึ และใบแคบ มชี ื่อวทิ ยาศาสตร์ว่า Vetiveria spp. หญา้ แฝกขนึ้ เปน็ กอ ใหญ่ ขนาดของกอประมาณ 5-20 เซนติเมตร มีความสงู ของลาตน้ ประมาณ 1-1.5 เมตร ใบแคบยาวประมาณ 75 เซนตเิ มตรกวา้ ง 4-10 มิลลเิ มตร มีรากเป็นกระจกุ เหมือนใยฟองน้า สามารถดูดซบั น้าไดด้ ี ถ้านามาปลูกเปน็ แถวจะ ชว่ ยในการดกั ตะกอนดินและป้องกันการพังทลายของดนิ ได้ดหี ญ้าแฝก พบกระจายอย่ทู ่ัวไปหลายพื้นท่ีตาม ธรรมชาติ จากการสารวจพบวา่ มกี ระจายอยู่ทวั่ โลกประมาณ 12 ชนิด และสารวจพบในประเทศไทย 2 ชนิด 1. กลมุ่ พนั ธหุ์ ญา้ แฝกกลมุ่ Vetiveria zizanioides (Linn.) Nash ได้แก่ พนั ธ์ุสุราษฎรธ์ านี กาแพงเพชร ๒ ศรลี งั กา สงขลา ๓ และพระราชทาน 2. กลุ่มพันธห์ุ ญา้ แฝกดอน Vetiveria nemoralis (Balansa) A. Camus ไดแ้ ก่ พันธ์ุราชบุรี ประจวบครี ีขันธ์ รอ้ ยเอด็ กาแพงเพชร นครสวรรค์ และเลย เป็นต้น หญ้าแฝก เป็นหญ้าทขี่ ้ึนเปน็ กอ หนอ่ เบยี ด กนั แนน่ ใบของหญ้าแฝกมีลกั ษณะ แคบยาว ขอบขนานปลายสอบแหลม ด้านท้องใบจะมสี จี างกว่าดา้ นหลงั ใบ มี รากเป็นระบบรากฝอยท่ีสานกนั แนน่ ยาว หยง่ั ลกึ ในดิน มชี อ่ ดอกตั้ง ประกอบดว้ ยดอกขนาดเลก็ ดอกจานวน ครง่ึ หนง่ึ เป็นหมนั

บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินงาน ขน้ั ตอนการทาวิจัย 1. ศกึ ษาวิธีการในการพฒั นาความสามารถในการเรียนรู้ เทคนิคในการเช่อื มโยงความร้ตู า่ งๆ 2. ศกึ ษาเนือ้ หาที่นกั เรยี นไมส่ ามารถเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตประจาวันได้ 3. จดั ทาสือ่ และชุดการสอน ตามท่ศี ึกษา 4. จดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ตามแผนบรู นาการสวนพฤษศาสตร์ 5. วดั ผลและประเมินผลในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย 1. แบบฝึกหัดเร่ืองพลังงานในชวี ติ ประจาวนั และพลังงานทดแทน 2. แบบทดสอบเรอื่ ง ดนิ และการปรับปรุงดิน 3. ชิ้นงาน พชื พลังงาน 4. แบบประเมนิ การเรียนการสอน ในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 การสร้างและการตรวจสอบเครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย ใชห้ ลักกการในการออกแบบแบบประเมิน เจตคติที่ดใี นการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ และการนาวิทยาศาสตรไ์ ป ใช้ในชีวิตประจาวัน โดยเชอ่ื มความรู้ดา้ นการวัดผลประเมนิ ผล และจิตวทิ ยาการเรียนรู้ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ชว่ งเวลาในการเก็บข้อมลู คือ เดือนธันวาคม 2561 ถงึ เดอื นมกราคม 2562 รวมระยะเวลา 2 เดือน ครูผสู้ อนเป็นผเู้ ก็บขอ้ มูลในหอ้ งเรียนและสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โดยใช้แบบฝกึ หดั และแบบประเมนิ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู วัดการเชอ่ื มโยงความรู้ในชวี ติ ประจาวนั เกี่ยวกบั เรอ่ื งท่เี รียนและการนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน โดยใช้ ความถ่แี ละเกณฑข์ องแบบประเมนิ

บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ จากการทดลองใช้แผนการเรยี นการสอนแบบบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น เพือ่ ให้เกดิ การ เชื่อมโยงระหว่างความรู้ในรายวิทยาศาสตร์และการใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจาวัน สร้างเจตคตทิ ด่ี ใี นการเรยี นรูใ้ น รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์สามารถประยุกตใ์ ชท้ ักษะทางวิทยาศาสตรใ์ นการแกป้ ัญหาได้ โดยการใชก้ ารจดั กิจกรรมการ เรียนรูเ้ ชงิ รุกหรอื Active learning ส่งผลเจตคติในการเรียนวทิ ยาศาสตรต์ ามแผนภูมทิ ี่ 1 ดงั น้ี แผนภูมทิ ่ี 1 แสดงปรมิ าณเจตคติในการเรียนวิทยาศาสตร์ 10% ระดับ ดี 25% ระดับ ปานกลาง ระดับ ควรพัฒนา 65% แผนภูมิที่ 1 แสดงปรมิ าณเจตคตใิ นการรายวิทยาศาสตร์ จากแผนภูมิท่ี 1 การแผนการเรียนรู้เชิงรุกหรือ Active learning ร่วมกับแผนการบูรณาการการเรียนรู้ ตามสาระของงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ทาให้นักเรียนเกิดเจตคตใิ นระดับดีร้อยละ 65 โดยนักเรียนกลุ่มนี้ให้ ความร่วมมือในการเรียนเป็นอย่างดี มีความสนใจในกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดขึ้น เน่ืองจากเนื้อหามีความเช่ือมโยง กบั ชวี ิตในชนเผ่าของนกั เรียนและสามารถนาความรูน้ ี้ไปพัฒนาชุมชนของตนได้ เชน่ การใช้หญ้าแฝกในการปอ้ งกัน การชะล้างหน้าดิน การปลูกต้นปอเทืองในการปรับปรุงคุณภาพดิน เป็นต้น นักเรียนที่มีเจตคตใิ นระดับปานกลาง มีร้อยละ 25 ซ่ึงสามารถพฒั นาเจตคตใิ หเ้ ปน็ ระดับดไี ดโ้ ดยงา่ ย ซ่งึ ตอ้ งอาศยั กระบวนการจดั กจิ กรรมที่น่าสนใจและ เน้ือหาท่ีสอดคล้องกับชีวิตประจาวันของนักเรียน เพ่ือให้นักเรียนซึมซับทักษะด้านวิทยาศาสตร์และส่งเสริมทักษะ การแก้ปญั หาของนักเรยี น กลุ่มนกั เรยี นท่ีต้องการการดูแลในด้านเจตคตเิ ปน็ อย่างมากคอื นกั เรยี นทีม่ เี จตคตใิ นดา้ น การเรียนวิทยาศาสตร์อยู่ระดับควรพัฒนา จานวนร้อยละ 10 ซึ่งเป็นนักเรียนท่ีขาดความรับผิดชอบในการทางาน

จากการพูดคุยกับนักเรียน พบว่านักเรียนอาจขาดเป้าหมายในการเรียนและดาเนินชีวิต จึงอาจกิจกรรมการแนะ แนวเพ่ือสรา้ งเป้าหมายที่ชดั เจนและแรงจูงใจใหก้ ับนกั เรยี น จากการทดสอบการเรียนรู้ของนักเรียนท่ีเกิดจากการโดยการวัดผลผ่านแบบฝึกหัดเร่ือง การพัฒนาดิน ซึ่งเป็นเนื้อหาบูรณาการร่วมกับสาระการเรียนรู้ของงานเรียนพฤกษศาสตร์ในการศึกษาพืชท่ีมีคุณสมบัติในการ พฒั นาดนิ คอื หญ้าแฝกและปอเทอื ง ได้ผลการเรียนรู้ของนกั เรยี นตามแผนภูมทิ ี่ 2 ดังน้ี แผนภมู ทิ ี่ 2 แสดงผลการทาแบบฝกึ หัดเร่ือง ดิน และการปรบั ปรุงดนิ 8% ผา่ น ไม่ผ่าน 92% แผนภูมิท่ี 2 แสดงผลการทาแบบทดสอบเรอื่ งดินและการปรบั ปรุงดิน จากแผนภูมิท่ี 2 เม่ือพิจารณาการทาแบบทดสอบของนักเรียนในเร่ืองการพัฒนาดินพบว่า ร้อยละ 92 ผ่านเกณฑ์การทดสอบ แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ บูรณาการร่วมกับงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ทาให้นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้และนาใช้ความรู้ด้านการ พัฒนาดินไปพัฒนาชุมชนของตนเองได้ สาหรับนักเรียนท่ีทาแบบทดสอบไม่ผ่านเกณฑ์มีจานวนร้อยละ 8 อาจ เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปเหมาะสมกับธรรมชาตกิ ารเรียนรู้ของผู้เรียนหรือเกิดจากการพฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ของผู้เรียน จึงจาเป็นต้องศึกษาธรรมชาติของผู้เรียนเพิ่มเติมและพัฒนาพฤติกรรมของนักเรียนให้ ดีมากขึน้ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในเรอื่ งของพลงั งานทดแทนที่ม้งุ เน้นเน้ือหาเกย่ี วกบั พลังงานทดแทนจากพชื ประกอบไปด้วย ปาล์มน้ามัน สบู่ดา อ้อย ข้าวโพดและมันสาปะหลัง ในการผลิดไบโอดีเซล เอทานอล เพ่ือนามา เป็นพลังงานทดแทน ซึ่งนักเรียนสามารถนาไปผลิตพลังงานขึ้นใช้เองในบ้าน เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตผลทาง การเกษตรเน่ืองจากในชุมชนท่ีนักเรียนอาศัยอยู้ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร โดยหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ งพลงั งานทดแทนได้มกี ารทดสอบผลการเรียนรู้โดยแบบฝึกหดั โดยไดผ้ ลการทดสอบตามแผนภูมิท่ี 3 ดงั นี้

แผนภูมทิ ี่ 3 แสดงผลการทาแบบฝกึ หัดเรือ่ ง พลงั งานทดแทน 15% ผ่าน 85% ไมผ่ า่ น แผนภมู ิที่ 3 แสดงผลการทาแบบฝกึ หัดเรื่องพลงั งานแทน จากแผนภูมิท่ี 3 การทาแบบฝึกหัดเร่ืองพลังงานทดแทน พบว่าร้อยละ 85 ของนักเรียนสามารถทา แบบฝึกหัดได้ถูกตอ้ ง ผ่านเกณฑ์การประเมินโดยนักเรียนสามารถบอกข้ันตอนของการนาผลผลติ ทางการเกษตรไป ผลิตเป็นพลังงานทดแทนเพื่อใช้ในชุมชนของตนเองได้ มีการเลือกชนิดของพชื ได้เหมาะสมชนิดเช้ือเพลิงท่ีต้องการ ผลิต ส่วนร้อยละ 15 ของนักเรียนไม่ผ่าน อาจเกิดจากนักเรียนไม่ได้ผ่านการฝึกปฏิบัติจริงเน่ืองจากขาดแคลน อุปกรณ์ทจี่ าเป็น ทาให้นกั เรยี นยังไม่สามารถเข้าใจไดอ้ ย่างถอ่ งแท้

บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ จากการศึกษาการบรู ณาการกิจกรรมการเรยี นรู้ในงานสวนพฤกษศาสตร์ ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ในเรอ่ื งดินและพลงั งานทดแทน โดยมุง้ เนน้ การจัดกจิ กรรมแบบเชงิ รกุ และใช้วิธีการเรียนตามแนวงาน สวนพฤกศาสตร์โรงเรยี น มีวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ดงั นี้ 1. เพอ่ื พฒั นากระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการ 2. เพอื่ เชอื่ มโยงความรู้ในวชิ าวทิ ยาศาสตรก์ ับการนาไปใช้ชีวิตประจาวัน 3. เพ่ือเสริมสรา้ งเจตคติทีด่ ใี นเรยี นวิทยาศาสตร์ สรุปผล 1. จากการประเมินเจตคตใิ นการเรยี นวิทยาศาสตร์ในกลมุ่ ตัวอย่างจานวน 40 คน พบวา่ นกั เรียน รอ้ ย ละ 65 มเี จตคติในนการเรยี นวิทยาศาสตร์ในระดบั ดี รอ้ ยละ 25 มรี ะดบั ปานกลาง และร้อยละ 10 อยใู่ นระดับควรพฒั นา 2. จากการวดั ผลโดยให้นกั เรียนทาแบบทดสอบเรอื่ งการพฒั นาดนิ ในกลมุ่ ตวั อยา่ งจานวน 40 คน พบวา่ รอ้ ยละ 92 ทาแบบทดสอบผ่านเกณฑ์การทดสอบ และร้อยละ 8 ไมผ่ า่ นเกณฑ์ 3. จากการวดั ผลโดยใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบเร่อื งพลงั งานทดแทน ในกลุ่มตัวอย่างจานวน 40 คน พบว่ารอ้ ยละ 85 ทาแบบฝกึ หดั ผ่านเกณฑ์ และรอ้ ยละ 15 ของนกั เรยี นไมผ่ ่านเกณฑ์ อภปิ รายผล จากการใชแ้ ผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โดยมีการวดั องค์ ความรเู้ รอ่ื งของดินและพืชพลงั งาน ซ่ึงมกี ารเช่อื มโยงความรูก้ ารใช้ประโยชนจ์ ากพืชในการปรับปรุงดิน การสรา้ ง พลังงานขึน้ ใชเ้ องและพัฒนาพืน้ ทช่ี มุ ชนอยา่ งยงั่ ยนื เพือ่ เปน็ ประโยชน์ในการประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั เม่ือ นกั เรยี นทากจิ กรรมบรู ณาการตามแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูแ้ ล้ว สามารถวเิ คราะหผ์ ลจากคา่ รอ้ ยละทไ่ี ด้จาก การทาแบบทดสอบพบวา่ เน้ือหาความรู้เรื่องการพัฒนาดนิ ดว้ ยหญ้าแฝก ปอเทือง และการสร้างพลังงานจากพชื มี นกั เรยี นทผ่ี ่านเกณฑม์ ากกวา่ รอ้ ยละ 80 แสดงให้เหน็ ถงึ ความมีประสทิ ธภิ าพของแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบบูรณาการวา่ สามารถสรา้ งการเรยี นรใู้ หเ้ กดิ กบั ตัวผเู้ รียนไดเ้ ปน็ อย่างดี ซ่ึงเปน็ เพราะการจดั การเรียนรู้แบบ บรู ณาการ การเชอ่ื มโยงเนื้อหาสาระจากหลักสตู รแกนกลางกับสิง่ แวดลอ้ ม สถาณการณ์ ประสบการณจ์ ริง อัน กอ่ ให้เกิดความดึงดูดความสนใจของผูเ้ รียน (อนสุ รา,2555) ทาให้เกดิ การเรยี นรู้ในลาดับตอ่ ไป เนือ่ งจากการ นกั เรยี นมคี วามสขุ กบั การเรยี นรู้ สามารถทาแบบทดสอบไดอ้ ยใู่ นเกณฑท์ ด่ี ี จงึ สง่ ผลในนักเรยี นสว่ นใหญ่คือ รอ้ ยละ

65 มีเจตคติในการเรียนวิชาวิทยศาสตรใ์ นระดบั ดี แสดงให้เหน็ วา่ นกั รียนเหน็ ความสาคัญในการเรียนวทิ ยาศาสตร์ และอยากเรียนในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ มเี พียงรอ้ ยละ 10 เท่าน้นั ซ่งึ เป็นนกั เรียนทไ่ี มต่ ง้ั ใจเรียน ยงั คงตอ้ งพัฒนา เจตคตใิ นการเรียนโดยอาจมีการพดู คยุ สร้างสายสัมพนั ธเ์ พือ่ หาสาเหตุของการของพฤตกิ รรมไมพ่ ึงประสงคน์ ัน้ และ หาแนวทางวธิ กี ารแก้ไขปรบั ปรุงพฤติกรรมไปในแนวทางทีด่ ขี ึ้นตอ่ ไป จากการอภิปรายข้างตน้ การจัดการเรียนรแู้ บบบรู ณาการสามารถสร้างการเรยี นรู้และสามารถเช่อื มโยง ความรวู้ ทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ กบั การประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจาวันได้ กระตุน้ ความสนใจในการเรยี น เป็นนวัตกรรมการ สอนวิทยาศาสตรใ์ นโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 สามารถจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ทส่ี ามารถเตรยี มความพร้อมให้ นกั เรยี นในการไปประกอบอาชีพและการใชแ้ กป้ ญั หาแบบไดใ้ นชวี ติ ขอ้ เสนอแนะ 1. ควรมกี ารทาแบบประเมินคดั กรอกวเิ คราะหผ์ เู้ รียน โดยเลอื กนกั เรียนท่มี คี วามสามารถใกล้เคยี งกัน เพื่อลดความแตกต่างระหว่างบุคคล จะส่งผลใหก้ ารประเมนิ ผลมคี วามชัดเจนมากข้ึน 2. การวดั ผลและเกบ็ ข้อมลู ควรมกี ารวดั แบบก่อนการใชแ้ ผนและหลังการใชแ้ ผนเพ่อื เปรยี บเทียบขอ้ มูล ได้อยา่ งชัดเจนมากขึ้น

บรรณานกุ รม งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี นอันเนอื่ งจากพระราชดาริ “องค์ประกอบทงั้ 5” ww.rspg.or.th/ botanical_ school/ index.htm สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. 2556 “ปอเทือง” www.qsbg.org/database/botanic _book%20 full สืบคน้ เมื่อวนั ท่ี 30 พฤศจกิ ายน 2561 ฐานข้อมลู พรรณไม้ องคก์ ารสวนพฤกษศาสตร์. 2556 “หญ้าแฝก” www.qsbg.org/database/botanic _book%20 full สืบคน้ เมอ่ื วนั ที่ 30 พฤศจกิ ายน 2561 สารานกุ รมสาหรับเยาวชน. “ปาลม์ นา้ มนั ” kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book สืบค้นเมอ่ื วันที่ 30 พฤศจกิ ายน 2561 สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี .2546 “การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้” www.gotoknow.org/ posts/211413 สืบคน้ เม่ือวนั ท่ี 20 ธันวาคม 2561 อนสุ รา,2555 “การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการจัดการเรยี นร้แู บบบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประภมศกึ ษาปที ่ี 2” รายงานการวิจยั โรงเรยี นสติ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร

ภาคผนวก

แผนการจดั กจิ กรรมการทาหนว่ ยการเรียนรบู้ รู ณาการ งานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว 22101 ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 เวลาเรียน 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ หน่วยกิต 1.5 (นน./นก.) หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 เร่ือง ดิน ระยะเวลา 12 ชั่วโมง .................................................................................................................................................................................... 1. สาระสาคญั ลักษณะของชน้ั หนา้ ตดั ดิน สมบัติของดินและกระบวนการเกดิ ดินการใช้ประโยชนแ์ ละการปรบั ปรุงคณุ ภาพของดิน 2. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวชีว้ ดั ช้ันปี/ผลการเรยี นร้/ู เป้าหมายการเรยี นรู้ ว 6.1 ม.2/1 สารวจ ทดลองและอธบิ ายลักษณะของช้นั หน้าตัดดิน สมบัตขิ องดนิ และกระบวนการเกิดดิน ว 6.1 ม.2/2 สารวจ วิเคราะห์และอธิบายการใช้ประโยชน์และการปรับปรุงคณุ ภาพของดิน ว 6.1 ม.2/3 ทดลองเลียนแบบเพื่ออธิบายกระบวนการเกดิ และลกั ษณะองคป์ ระกอบของหิน ว 6.1 ม.2/6 สืบคน้ และอธบิ ายกระบวนการเกิด ลกั ษณะและสมบัตขิ องปโิ ตรเลยี ม ถ่านหนิ หนิ น้ามันและการ นาไปใชป้ ระโยชน์ ว 8.1 ม.2/8 บนั ทกึ และอธิบายผลการสังเกตการสารวจ ตรวจสอบ ค้นควา้ เพิม่ เตมิ จากแหล่งความรตู้ า่ งๆ ใหไ้ ด้ ข้อมลู ที่เชื่อถือได้ และยอมรบั การเปลี่ยนแปลงความรทู้ ค่ี น้ พบ เมอื่ มขี ้อมลู และประจกั ษพ์ ยานใหม่เพ่ิมขึน้ หรือ โต้แยง้ จากเดิม 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 เน้ือหาสาระหลัก : Knowledge ลักษณะของช้ันหน้าตัดดิน สมบัติของดินและกระบวนการเกิดดินการใช้ประโยชน์และการปรับปรุง คณุ ภาพของดนิ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : Process เนน้ ให้นกั เรียนได้ทางานเปน็ กลุม่ คิดวเิ คราะหเ์ ช่อื มโยงหลักการและเหตผุ ล การสังเกตุและการอธบิ าย 3.3 คุณลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ : Attitude มคี วามสนใจใฝ่เรียนรู้ และต้องการพฒั นาทรพั ยากรธรรมชาตขิ องประเทศ

4. สมรรถนะสาคญั ของนักเรยี น 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 4. ทักษะการคดิ สร้างสรรค์ 5. ทักษะการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ 5. คณุ ลักษณะของวชิ า 1. ความรอบคอบ 2. กระบวนการกล่มุ 6. คุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ 1. ใฝเ่ รียนรู้ 2. ม่งุ ม่นั ในการทางาน 3. อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน : 1. กิจกรรมกลุ่ม เรอ่ื งการกาเนิดของดนิ 2. กจิ กรรมกลมุ่ เรื่องการพฒั นาและปรับปรงุ ดิน 3. กจิ กรรมการศกึ ษาองค์ประกอบของหญ้าแฝก 4. ศกึ ษาองคป์ ระกอบและการใช้ประโยชน์จากพืชพลังงาน 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ เนอื้ หาเรอ่ื ง ดนิ ข้ันสร้างความสนใจ นักเรียนดูคลิปวิดีโอพระราชกรณีกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 9 ในเร่ือง ของการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศ เช่นการฟ้ืนฟูดิน การพัฒนาแหล่งน้า พร้อมทั้งตั้งจุดสังเกตใน เร่ืองการทางานของในหลวงรชั กาลที่ 9 และตง้ั คาถามเก่ียวกับการทางานของพระองค์ท่าน ข้ันสารวจและค้นหา นักเรียนค้นหาความรู้เกี่ยวกับหลักการทางานของในหลวงรัชกาลท่ี 9 และโครงการใน พระราชดาริในการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยกันรวบรวมข้อมูลและศึกษาหญ้าแฝกและปอเทืองจากเอกสารความรู้ จากน้นั จดบันทกึ สรปุ องคค์ วามร้โู ดยการเขียนภาพ พรอ้ มคาอธิบาย ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ครูอธิบายหลักการเกิดดิน องค์ประกอบของดิน การแบ่งประเภทของดิน ร่วมท้ังวิธี ปรับปรุงดิน สรปุ รว่ มกันหนา้ ชน้ั เรยี นและพิจจารณาโดยใชแ้ ผนภาพหมวกหกใบ ขน้ั ขยายความรู้ นกั เรยี นแตล่ ะคนคิดวธิ ีการการนาวิธปี รบั ปรุงคณุ ภาพของดนิ ทห่ี มบู่ า้ นของตนได้อย่างไร พรอ้ ม ทั้งนาเสนอหน้าช้นั เรยี น ถงึ การวิเคราะหค์ ุณภาพดนิ ท่บี า้ น

ข้นั ประเมิน รบั ฟงั การนาเสนอของนกั เรยี นและตัง้ ข้อสังเกตเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นแสดงความคดิ เห็นของตนเองที่เกิด จากการตกผลกึ ทางความคิดของส่ิงนัน้ เน้อื หาเรอื่ ง พลงั งานทดแทน ขั้นสรา้ งความสนใจ นกั เรยี นดูคลิปวิดโี อสถานการณพ์ ลงั งานในปัจจุบัน ปัญหาจากการใช้ถา่ นหนิ ปิโตรเลยี ม ขั้นสารวจและค้นหา นักเรียนค้นหาความรู้เก่ียวกับการวธิ ีการลดปัญหาจากการใชพ้ ลงั านจากพนื้ พภิ พ การสร้าง พลังงานทดแทน และการสร้างความยง่ั ยืนทางพลงั งาน ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ อธิบายหลักการของพลังงานทดแทน ประเภทของพลังงานทดแทน ขั้นขยายความรู้ นกั เรยี นคดิ และขยายความรู้เร่อื งไบโอดเี ซลและเอทานอลจากพืช ขั้นประเมิน นกั เรยี นสรปุ ความรเู้ ร่ืองพชื พลงั งานในรูปแบบของตน และทาการนาเสนอโดยการพูดหนา้ ชัน้ เรียน ครูพจิ จารณาความรทู้ นี่ ักเรยี นได้รบั พร้อมท้ังให้เกรด็ ความรเู้ พ่ิมเติมจากการนาเสนอ 9. ส่อื การเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้ สภาพการใชส้ ่อื รายการสื่อ ขั้นอธิบายและสรปุ ขั้นขยายความรู้ ขั้นสารวจค้นหา ขน้ั อธิบายสรปุ 1. สไลด์พาวเวอรพ์ ้อย ขั้นขยายความรู้ ขัน้ ประเมิน 2. บัตรภาพ เรือ่ งดิน ทัง้ หมด คาศพั ท์และประโยชน์พอสังเขป ข้ันสรา้ งความสนใจและสารวจ ค้นหา 3. บัตรคาแผนความคิดเรอ่ื งของดิน รูปแบบการเรยี งบนโต๊ะ ขั้นอธบิ ายและสรุป ขั้นขยายความรู้ 4. คลปิ วิดโี อเร่ืองของดิน หนิ แร่ 5 คลปิ วดิ ีโอเรอื่ ง พลังงานทดแทน จากพชื

แบบประเมนิ เจตคติ ในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ขอ้ รายการ คาตอบ จริง ไม่จริง 1 ฉันชอบค้นควา้ หาความรดู้ ้วยตนเอง 2 ฉนั มกั สงสยั ในบางสง่ิ บางอยา่ งอยเู่ สมอ 3 ฉนั ชอบหาคาตอบดว้ ยตวั ของฉนั เอง 4 ฉนั มกั สงั เกตเหน็ ในสิ่งที่เหน็ เสมอ 5 ฉนั อยากบอกส่งิ ทฉี่ ันคน้ พบให้คนอื่นฟงั 6 ฉนั ชอบเรยี นวชิ าที่เก่ยี วกบั พชื 7 ฉันได้งานในวชิ าวิทยาศาสตร์ไดง้ ่ายกว่าวชิ าอนื่ 8 ฉันอยากรเู้ ก่ียวกบั ทรพั ยากรธรรมชาติในชมุ ชนของฉนั 9 ฉนั ชอบท่คี รสู อนโดยใหท้ ากจิ กรรมในห้องเรียน 10 เมือ่ ฉันดูสารคดี ฉนั มักไดค้ วามร้ใู หมๆ่ เสมอ 11 ฉนั ชอบเจอสงิ่ ท่ีแปลกใหม่ 12 ฉนั เชือ่ วา่ วิทยาศาสตร์ทาใหช้ วี ติ ฉนั ดีขน้ึ 13 ฉันอยากใหค้ รแู ตง่ ตวั ตลกๆมสี อน 14 ฉนั อยากให้กระดานเรยี นมสี มี ากกว่า 3 สี 15 ฉันชอบเปน็ ตัวของตวั เอง ไม่เลียนแบบใคร 16 ฉันพิสูจน์ ทดลองก่อนทีฉ่ นั จะเชอ่ื 17 ฉนั คดิ ว่าสามารถใชท้ ักษะวทิ ยาศาสตรใ์ นชีวติ ได้ 18 ฉนั มักจดบนั ทกึ สิง่ ทฉ่ี นั เรียนรูเ้ สมอ 19 ฉยั กล้าแสดงความคดิ เห็นของฉนั ไมว่ า่ ผลจะเปน็ อย่างไร 20 ฉันจดบนั ทกึ ความคิดแปลก ท่ีฉันคดิ ออกมาเสมอ 21 ฉนั อยากมชี ีวติ ท่ีดี ในอนาคต เกณฑ์การประเมนิ ตามความถ่ีของจานวนของช่อง จรงิ ดี จริง 15 – 21 ข้อ นกั เรยี นมเี จตคตดิ า้ นทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตรใ์ นระดบั ปานกลาง จริง 8 – 14 ข้อ นกั เรยี นมีเจตคตดิ า้ นทักษะกระบวนการวทิ ยาศาสตรใ์ นระดับ ควรพัฒนา จริง 0 – 7 ข้อ นกั เรยี นมเี จตคตดิ า้ นทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตรใ์ นระดบั

แบบทดสอบเร่อื งการพัฒนาดิน 1) เม่ือนักเรียนพบพื้นทีด่ นิ ทม่ี คี วามเส่ือมโทรม ขาดแรธ่ าตไุ นโตรเจน นกั เรยี นควรเลอื กวธิ ีใดในการปรบั ปรงุ และพัฒนาพ้ืนทีด่ นิ จงึ จะเหมาะสมที่สดุ (ว 6.1 ม.2/2) ก) ปลกู หญา้ แฝก ข) ปลูกต้นไม้ยืนตน้ ค) ปลกู ปอเทอื ง ง) ปลกู ผักบ้งุ 2) ในช่วงฤดูฝนของทกุ ปีพื้นทีอ่ าเภอแมแ่ จม่ สญู เสยี หน้าดนิ ปีละ 1 ล้านตัน เป็นอยา่ งน้อย ขอ้ ใดคือสาเหตุสาคญั ของเหตุการณ์ ดังกล่าว (ว 6.1 ม.2/2 ) ก) ปลูกหญา้ แฝก ข) ไม่มกี ารใส่ปบุ๋ บารุงดนิ ค) การใช้สารเคมีในการเกษตร ง) การทาไร่เลือ่ นลอย ของชาวบ้าน พิจารณาขอ้ มลู ในตาราง ตอบคาถามข้อท่ี 3 เกณฑท์ ่ี คุณลกั ษณะดนิ 1 เนอื้ ดินแนน่ มีสีแดงและสม้ 2 เน้อื ดนิ เปน็ เม็ดๆ ขนาดใหญ่ สีนา้ ตาล 3 เนือ้ รว่ นซุย มีสีดา หรือเกอื บดา 4 ดินมลี ักษณะแห้งจนเกดิ เป็นฝุ่น ฟุ้งกระจาย 5 เมอ่ื นาดินมาบีบ ไม่มนี า้ ไหลออกมา แตม่ คี วามชืน้ 6 ดินโคลน ท่มี นี าขังอยู่ 3) เกณฑก์ ารจาแนกในขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ เหมาะสมในการจาแนกดิน กอ่ นทาการเกษตรปลกู ผกั คะน้า ( ว 6.1 ม.2/1 ) ก) เกณฑ์ที่ 2 4 ข) เกณฑ์ที่ 3 4 ค) เกณฑท์ ่ี 1 5 ง) เกณฑ์ท่ี 2 6 4) การทาใหด้ นิ มคี ณุ ภาพมีสารอาหารมากข้นึ เหมาะสมแกก่ ารในเพาะปลูกมากข้ึน ข้อใดถูกต้อง เพราะเหตุใด ( ว 6.1 ม.2/2) ก) การนาขยะผักสดไปผสมกบั ดนิ เพราะเปน็ เพม่ิ สว่ นประกอบของสารอนิ ทรยี ์ ข) นาถ่านไม้ไปผสมกบั ดนิ เพราะเปน็ เพ่ิมแรเ่ หลก็ ใหแ้ ก่ดนิ ค) นาจอบไปพรวน เพราะช่วยเพ่มิ อากาศภายในดิน ง) รดนา้ ให้ดิน เพราะ ความชืน้ ในดินสูงขึน้ 5) นักปฐพีวทิ ยาได้เก็บตัวอย่างดนิ มาจานวนหนึ่งเพอ่ื นามาวิเคราะห์ขนาดอนุภาคได้ดังน้ี อนภุ าคทราย 40%, อนุภาคทรายแปง้ 40%, อนุภาคดินเหนยี ว 20% ดนิ ชนิดนค้ี อื ดินประเภทใด (ว 6.1 ม.2/1 ) ก) ดินเหนียว ข) ดนิ ร่วน ค) ดนิ ทราย ง) ดินรว่ นปนทราย 6) เมือ่ องค์ประกอบใดควรพบมากท่สี ุด เมอื่ นกั ปฐพี นาดินมีวิเคราะห์หาองค์ประกอบของดนิ (ว 6.1 ม.2/1 ) ก) น้า ข) อากาศ ค) ฮิวมัส ง) วตั ถุอนนิ ทรีย์ เกณฑก์ ารประเมนิ แบบทดสอบ ผา่ น ตอบถกู ตอ้ ง 5 – 6 ขอ้ ไม่ผำ่ น ตอบถกู ต้องต่ำกว่ำ 4 ขอ้

ใหน้ ักเรียนเติมความในช่องวา่ งในสมบรู ณ์ เรอ่ื งพลังงานทดแทน พลงั งานท่เี ราตอ้ งใช้ในชวี ติ ประจาวัน................................................................................. (1 คะแนน) แหล่งของพลังงานทดแทน หรือหมนุ เวียน 1 .......................................... 2 ………………….………… 3 .......................................... 4 ……………………….………….. 5 .......................................... (2 คะแนน) ขนั้ ตอนการผลติ ไบโอดเี ซล (3คะแนน) ขัน้ ตอนการผลติ ไบโอแกส๊ (3คะแนน) เกณฑ์การประเมนิ แบบทดสอบ ตอบถูกตอ้ ง 5 – 9 คะแนน ผา่ น ตอบถกู ต้องตำ่ กว่ำ 4 คะแนน ไมผ่ ำ่ น

ภาพกิจกรรมการเรียนรู้





ประวตั ผิ วู้ จิ ยั ชอื นำย บุริศร์ สกลุ กองมะลิ ตำ่ แหน่ง พนักงานราชการ วทิ ยฐำนะ - อำยกุ ำรทำ่ งำน 1 ปี 8 เดือน อำ่ เภอ แมแ่ จ่ม ระยะเวลำด่ำรงต่ำแหนง่ ปจั จบุ นั 1 ปี 8 เดอื น วฒุ กิ ำรศึกษำ ปริญญาตรี สำขำวชิ ำเอก ชีวเคมีและชีวเคมเี ทคโนโลยี สถำนทที ำ่ งำน โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ 31 สังกดั สานักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ทอี ย่ทู ีสำมำรถตดิ ตอ่ ได้ เลขที 99 หมู่ 10 ถนน - ตำ่ บล ช่างเคงิ่ จงั หวัด เชยี งคา โทรศพั ทม์ ือถอื 094 7329469