Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ข้อสอบ Final 6419050003 นางสาวชนิดา จำปาศรี

ข้อสอบ Final 6419050003 นางสาวชนิดา จำปาศรี

Published by Kindergraten Chanel, 2021-11-21 03:11:45

Description: ข้อสอบ Final 6419050003 นางสาวชนิดา จำปาศรี

Search

Read the Text Version

ข้อสอบ Final วิชาหลักการและทฤษฏีการบริหารการ ศึกษา รหัสวิชา 905-502 เสนอ ดร.เชาวนี แก้วมโน จัดทำโดย นางสาวชนิ ดา จำปาศรี รหัสนั กศึกษา6419050003 หลักสูตรการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

คำนำ E-Book นี้ เป็นส่วนหนึ่ งของวิชา 905-502 หลักการและทฤษฎีบริการ โดยได้ศึกษาหาข้อมูลจากเว็บไซต์ โดย E-book นี้ จัดทำเรื่องเครื่องมือการ บริหารจัดการสถานศึกษาสมัยใหม่ ซึ่ง เครื่องมือที่ใช้ก็คือ Balanced scorecard ซึ่งจะให้ความรู้และความ เข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ประโยชน์ ประเภท กระบวนการทำของการ บริหารแบบ Balanced scorecard ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งการจัด ทำ E-Book นี้ จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ต่อ(ุ้ที่สนใจศึกษาการบริหารแบบ Balanced scorecard เป็นอย่างดี จัดทำโดย นางสาวชนิดา จำปาศรี

สารบัญ ทฤษฎีการบริหารการศึ กษา 1 ประโยชน์ของทฤษฎีการบริหาร 2 การบริหาร 3 - 4 พัฒนาการของทฤษฎีในการบริหารการศึ กษา5-7 POSDC 10 -15 Balanced scorecard 16-25

แนวคิดทฤษฎีการบริหารการศึ กษา ทฤษฎีการบริหารการศึกษา ทฤษฎี หมายถึง ความคิดคิดหรือความเชื่อที่เกิด ขึ้นอย่างมีหลักเกณฑ์ สังเกตจนเป็นที่แน่ ใจ ได้รับ การตรวจสอบและทดลองหลายครั้งหลายหนจน สามารถอธิบาย ข้อเท็จจริง สามารถคาดคะเน ทำนายเหตุการณ์ทั่วๆไป ที่เกี่ยวข้องกับ ปรากฏการณ์นั้ นอย่างถูกต้อง และมีเหตุผลเป็นที่ ยอมรับของคนทั่วไป การบริหาร คือ กระบวนการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้เกิดผลสั มฤทธิ์ตามเป้าหมายอย่างมี ประสิ ทธิภาพและร่วมปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมาย ร่วมกัน การศึ กษา คือ การสร้างคนให้มีความรู้ ความ สามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นมีลักษณะนิ สัยจิตใจที่ดี งาม มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีความ พร้อมที่จะ ประกอบการงานอาชีพได้ การศึกษาช่วยให้ คนเจริญงอกงาม ทั้งทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และ สังคม การศึกษาจึงเป็นความจำเป็นของชีวิตอีกประการ หนึ่ ง นอกเหนื อจากความจำเป็น ด้านที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่ งห่ม และยารักษาโรค การศึกษาจึงเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต 1

ประโยชน์ ของทฤษฎีการบริหาร 1.ทำให้เกิดความรู้ ความคิดใหม่ ๆ เกิด ความก้าวหน้ าทางวิทยาการ คือถ้ามีทฤษฎี ก็มีการพิสูจน์ ค้นคว้า เพื่อทดสอบหรือ พิสูจน์ ทฤษฎีอื่น 2.สามารถใช้ประกอบการทำนาย เหตุการณ์ พฤติกรรม และใช้แก้ไขปัญหา ได้ 3.ทฤษฎีจะช่วยขยายประสิ ทธิภาพของการ ทำงาน กล่าวคือ ผู้บริหารที่รู้ทฤษฎีจะมี ทางเลือก และเลือกทางที่เหมาะสมได้ 4.ทฤษฎีเป็นหลักยึดในการปฏิบัติ ดังนั้ น ผู้ที่ทำงานแนวคิดหรือทฤษฎีก็จะเกิดความ มั่นใจในการทำงานมากกว่าทำไป อย่าง เลื่อนลอย ทฤษฎีจะช่วยชี้แนะนำการ ปฏิบัติ 2

การบริหารแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ การบริหารราชการแผ่นดิน (Public Administration) หมายถึง การกำหนดนโยบายและทิศทางว่าจะจัดการ ปกครองประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การ ปกครอง การต่างประเทศ ไปในแนวทางใด และใช้วิธี การใด จึงจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ สุขของประชาชน เกิด ผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มี ประสิทธิภาพ คุ้มค่าในเชิง ภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลด ภารกิจที่ไม่จำเป็น การบริหารธุรกิจ (Bussiness Administration) หมายถึง กระบวนการทำงานหรือการทำกิจกรรมใดในทางธุรกิจ โดยใช้ทรัพยากรทางการบริหารและปัจจัยในการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการใน ด้านสินค้าและบริการ ของลูกค้าตลอดจนแสวงหาผลกำไร และสร้างความ มั่นคงยั่งยืนแก่องค์กรธุรกิจ การบริหารการศึ กษา (Education Administration) หมายถึง กระบวนการบริหารจัดการเรียนรู้เพื่อความ เจริญงอกงามของบุคคลและสั งคมโดยการถ่ายทอด ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคม การเรียน รู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่ อง ตลอดชีวิต 3

Edward W. Smith กับคณะได้แบ่งงานของผู้ บริหารการศึกษาไว้ 7 ประการด้วยกัน งานวิชาการ งานบุคคล งานกิจการนั กเรียน งานการเงิน งานอาคารสถานที่ งานสร้างความสฃัมพันธ์กับชุมชน งานธุรการ ภารกิจทางการบริหารการศึกษา (พระราชบัญญัติ การศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2542แก้ไขฉบับที่ 2 พ.ศ.2545) ได้แบ่งภาระหน้ าที่ในการบริหารการศึกษา 4 ประเภท ได้แก่ ด้านการบริหารงานวิชากาาร ด้านการบริหารงานงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการบริหารงานทั่วไป 4

พัฒนาการของทฤษฎีในการบริหารการ ศึ กษา ความเกี่ยวข้องของทฤษฎีที่เข้ามา สัมพันธ์กับการบริหารการศึกษานั้ นมีจุด เริ่มต้นมาจากการกระตุ้นให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในด้าน สังคมศาสตร์ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เชสเตอร์ ไอ บาร์นาร์ด,เอลตัน มาโย และ เอฟ เจ รอธลิสเบอร์เกอร์ได้เปิดทัศนะ ใหม่แห่งการศึกษาการบริหาร แต่สงคราม ได้ผลักดันให้นั กวิทยาศาสตร์สังคมหันเห ไปจากการทดลองในห้องปฏิบัติการไป ระยะหนึ่ ง ในระยะนั้ น นั กจิตวิทยา นั ก สังคมวิทยา และนั กมานุษยวิทยาก็ต้องเข้า จัดการกับปัญหาด้านต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา เมื่อสงครามสิ้นสุด นั กค้นคว้าเหล่านี้ ก็หัน มาศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารอย่าง จริงจังอีกครั้งหนึ่ ง 5

ในปี 1947 มีการประชุมแห่งชาติของ ศาสตราจารย์แห่งการบริ หารการศึกษา (National Conference of Professors of Educational Administration NCPEA) ซึ่งการ ประชุมในครั้งนั้ น ที่ประชุมได้ตระหนึ กถึงการ พัฒนาทางด้านสังคมศาสตร์ และในปี 1950 มี โครงการร่วมมือระหว่างกันในการบริหารการ ศึกษา (Cooperative Program in Eductational Administration CPEA) เพื่อแสวงหาแนวทาง ใหม่ ๆ ในการบริหารการศึกษา แต่การปฏิบัติ งานในครั้งกระนั้ นก็มิได้ค้นพบอะไรที่เกี่ยวกับ ทฤษฏีการบริหารมากนั ก ต่อมา บรรดาสมาชิก NCPEA เสนอแนะให้ที่ ประชุมสนั สนุนการเขียนหนั งสือที่รายงานผล การวิจัยสิ่ งที่ค้นพบเกี่ยวกับการบริหารการ ศึกษา และในปี 1954 โรอัลด์ แคมป์เบล และ เกร๊ก รัสเซลได้ร่วมกันเป็นบรรณาธิการหนั งสือ ชื่อ Administrative Behavior in Education แต่ ปรากฎว่า ในบรรดาผู้เขียนจำนวน 14 คน ที่ เขียนเรื่องลงหนั งสือเล่มนี้ ได้พบว่า หนั งสือเล่ม นี้ ยังขาดทฤษฎีการบริหาร ทำให้เกิดช่องว่าง ใหญ่โตในระหว่างความรู้เกี่ยวกับการวิจัยด้าน พฤติกรรมการบริหาร 6

อิทธิพลลำดับที่สามที่มีต่อการบริหารการศึ กษาของ สหรัฐอเมริกา ได้แก่การที่มีการก่อตั้งคณะกรรมการมหา วิทยาลัยที่ดูลแลด้านการบริหารการศึกษา (The University Council for Educational Administration UCEA) ขึ้นในปี 1956 คณะกรรมการชุดนี้ ได้ร่วมมือกับ Educational Testing Service and Teachers College ร่วมกันสนั บสนุนส่งเสริมการวิจัยใน โครงการขนาดใหญ่ ที่มุ่งออกแบบเพื่อพัฒนามาตรการสำหรับ การปฏิบัติงานของผู้บริหารโรงเรียน ในช่วงนี้ เอง ที่มีการเขียน หนั งสือดัง ๆ ออกมาหลายเล่ม ได้แก่ 1. The Use of Theory in Educational Administration แต่ง โดยโคลาดาร์ซี และ เกตเซล ในปี 1955 เน้ นบูรณาการของ ทฤษฎีและการปฏิบัติ 2. Uneasy Profession แต่งโดยกรอส กล่าวถึงอาชีพนั กบริหาร การศึกษาว่าเป็นอาชีพที่มิใช่ของง่าย ๆ เขาได้ชี้ให้เห็นว่า จะต้อง มีทฤษฎีเข้ามาเกี่ยวข้องว่าผู้นิ เทศการศึกษาจะต้องปฏิบัติอย่างไร มิใช่ว่า “ควรจะปฏิบัติอย่างไร” 3. Studies in School Administration แต่งโดยมัวร์ ได้รับการ สนั บสนุนจากสมาคมผู้บริหารโรงเรียนอเมริกัน (American Association of School Administrators) มัวร์ได้ทบทวนเรื่อง ราวที่มีผู้เขียนบทความให้แก่ศูนย์ CPEA 9 ศูนย์ แล้วพบว่า บทความเหล่านี้ มีน้ อนมากที่กล่าวถึงทฤษฎีการบริหารการ ศึกษา 4. Administration Behavior in Education แต่งโดยแคมป์เบล และเกร็ก ได้รับเงินทุนสนั บสนุนจาก NCPEA และก็เช่น เดียวกันก็พบว่า งานเขียนส่วนใหญ่ขาดการวิจัยที่มุ่งค้นคว้าด้าน ทฤษฎี 7

ลักษณะสำคัญของทฤษฎีการบริหารการศึ กษา 1. ทฤษฎีประกอบด้วยแนวคิด คติฐาน และข้อยุติ ทั่วไปอย่างมีเหตุผล 2. ทฤษฎีมุ่งอธิบายและคาดการณ์กฎต่าง ๆ ของ พฤติกรรม อย่างมีระบบ 3. เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของวิธีการ ทดลองที่กระตุ้น และนี้ นำให้มีการพัฒนาหาความรู้ เพิ่มเติมในเรื่อง ความสั มพันธ์ระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ การบริหารงานนั้ น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ดังได้ เคยกล่าวไว้แล้ว ดังนั้ น นั กบริหารการศึกษาจะ ต้องบริหารงานในภารกิจหน้ าที่ที่ตนกระทำอยู่ อย่างชาญฉลาด มีความแนบเนี ยนในการปฏิบัติ ให้ งานนั้ นดำเนิ นไปได้โดยราบรื่น สามารถขจัดปัด เป่าอุปสรรคทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้ เมื่อมีปัญหา ก็ สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีเสมอ 8

ทฤษฎีกับการปฏิบัตินั้น มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันใน 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้ 1. ทฤษฎีวางกรอบความคิดแก่ผู้ปฏิบัติ ทฤษฎีช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีเครื่องมือใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาที่ ประสบ นั กบริหารการศึกษาที่มีความสามารถนั้ น จะต้องมี ความสามารถสูงในการใช้ความคิด (Conceptual Skill) โดย รู้จักตีความ และนำเอาทฤษฎีการบริหารการศึกษามา ประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สถานการณ์และสิ่ง แวดล้อมที่มีขีดจำกัด และมีทรัพยากรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน เวลา กำลังคน หรือทรัพย์สินเงินทอง อย่างจำกัดด้วยเช่นกัน 2. การนำเอาทฤษฏีมาใช้ ช่วยให้แนวทางวิเคราะห์ผลที่ เกิดขึ้ นจากการปฏิบัติ การที่ผู้บริหารนำทางเลือกต่าง ๆ มาพิจารณา และตัดสิน ใจดำเนิ นการลงไป โดยอาศัยทฤษฎีการบริหารมาประยุกต์ใช้ เพื่อประกอบเป็นเหตุผลในการตัดสินใจวินิ จฉัยสั่งการ อัน เนื่ องมาจากความมีประสบการณ์สูงของนั กบริหารการศึกษา เท่านั้ น 3. ทฤษฏีช่วยในการตัดสินใจ ทฤษฎีช่วยให้ข้อมูลพื้นฐานแก่การตัดสินใจ การตัดสินใจที่ดี นั้ น จะต้องประกอบไปด้วยกรอบความคิดที่แน่ นอนชัดเจน หากปราศจากกรอบความคิดเสียแล้ว การตัดสินใจก็อาจจะ ไม่ถูกต้อง ไม่บังเกิดผลดี ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับมาข้อมูลนั้ น บางครั้งอาจไม่ชัดเจน ต้องมีการตีความเสียก่อน การมีพื้น ฐานของทฤษฏีที่ดีจะช่วยให้นั กบริหารการศึกษาสามารถ ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว มีความั่นใจในการตัดสินใจนั้ น และ ผลลัพธ์ที่ได้รับนั้ น มักจะถูกต้อง และบังเกิดผลดีต่อองค์การ เสมอ 9

POSDCหลักการบริหารเบื้องต้น แบบ POSDC : หลักการบริหารจัดการยุคคลาสสิกที่ยังคงช่วยเพิ่ม ประสิ ทธิภาพองค์กรได้ดีในยุคปัจจุบัน ประเด็นสำคัญ หลักการบริหารจัดการ POSDC มีการใส่ใจในการวางแผนการ ทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การวางเป้าหมาย การกำหนด นโยบาย การจัดสรรการทำงาน การควบคุมการทำงาน ตลอดจน ดำเนิ นการปฎิบัติการให้ลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพ หลักการบริหารจัดการ POSDC ให้ความสำคัญกับการบริหาร ทรัพยากรบุคคลด้วย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับองค์กร ตั้งแต่ การวางโครงสร้างองค์กร คัดสรรบุคลากร จัดสรรพนั กงานตาม หน้ าที่ บริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ดูแลสวัสดิการ ปฎิบัติงาน ให้มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงแผนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หลักการบริหารจัดการ POSDC ใส่ใจในการอำนวยการและ ควบคุมการทำงานซึ่งนี่ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ทรัพยากร มนุษย์ทำงานร่วมกับระบบงานที่วางแผนไว้ได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ ตรงตามแผนการที่วางไว้ และตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ POSDC คืออะไร P-Planning > การวางแผน O-Organizing > การจัดการองค์กร S-Staffing > การจัดสรรและบริหารบุคลากร D-Directing > การอำนวยการ C-Controlling > การควบคุม 10

หลักการ POSDC นี้ ถูกพัฒนามาจาก รากฐานเดียวกันกับกระบวนการบริหาร จัดการยุคคลาสสิกอื่นๆ โดยผู้ให้กำเนิ ด กระบวนการบริหารจัดการในรูปแบบนี้ ก็ คือ Harold D. Koontz (ค.ศ.1909-1984) ซึ่งเขาเป็นเป็นนั กทฤษฎีองค์กรชาว อเมริกันชื่อดัง ตลอดจนเป็นศาสตราจารย์ ด้านบริหารธุรกิจแห่ง University of California, Los Angeles (UCLA) ที่มีชื่อ เสียงนั่ นเอง นอกจากนี้ เขายังเป็นที่ ปรึกษาให้กับองค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่ของ อเมริกาหลายๆ บริษัทอีกด้วย แล้วหนึ่ งใน ผลงานที่โด่งดังของเขาก็คือการเขียน หนั งสือ Principles of management; an analysis of managerial functions ร่วม กับ Cyril O’Donnell ที่ออกตีพิมพ์ครั้งแรก ในปี ค.ศ.1972 ซึ่งเป็นที่มาของหลักการ POSDC นี้ ด้วยนั่ นเอง 11

P-Planning > การวางแผน การวางแผนนั้ นเริ่มตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายของ องค์กร โครงสร้าง นโยบาย ตลอดจนลำดับกระ บวนการปฎิบัติการในส่วนต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไป จนถึงวิธีการดำเนิ นงานในส่วนต่างๆ ให้บรรลุผล การวางแผนนี้ ยังต้องสามารถรับรู้ ติดตาม เข้าใจ ตลอดจนวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ได้ทั้งในและ นอกองค์กรที่จะเป็นประโยชน์ ต่อการบริหารองค์กร อีกด้วย O-Organizing > การจัดกาองค์กร การจัดการองค์กรนี้ เริ่มตั้งแต่การกำหนด โครงสร้างองค์กร กำหนดตำแหน่ งงาน จัดสรร ทรัพยากรบุคคลเพื่อลงในตำแหน่ งงานต่างๆ รวม ถึงจัดระบบระเบียบในการทำงานทั้งหมดด้วย สิ่งที่ ต้องคำนึ งถึงในการจัดโครงสร้างองค์กรนั้ นก็คือ การแบ่งหน้ าที่แต่ละส่วนให้ชัดเจน ไม่ทำงานทับ ซ้อนกัน และต้องทำงานประสานกันให้ราบรื่นได้ ด้วย ครอบคลุมการทำงานทั้งหมดไม่ให้เกิดปัญหา ประเมินจำนวนพนั กงานให้พอดี ไม่มากหรือน้ อย จนเกินไป และต้องลำดับความสำคัญของตำแหน่ ง เคลียร์บทบาทหน้ าที่ให้ชัดเจน ตลอดจนให้อำนาจ ในการสั่ งการที่เหมาะสมด้วย 13

S-Staffing > การจัดสรรและบริหารบุคลากร การบริหารจัดการบุคลากรนั้ นเริ่มตั้งแต่การคัด สรรบุคลากรที่มีคุณภาพและเหมาะสมเพื่อ จัดสรรให้ทำงานในตำแหน่ งต่างๆ ขององค์กร จากนั้ นก็ต้องดูแลบุคลากรตลอดระยะเวลา จนกว่าบุคลากรจะออกจากองค์กร ตั้งแต่การ บริหารงานบุคคล งานสวัสดิการ การพัฒนา ทรัพยากรบุคคล การเลื่อนตำแหน่ ง โยกย้าย เป็นต้น D-Directing > การอำนวยการ การอำนวยการก็คือบริหารจัดการตลอดจน ดำเนิ นการทุกอย่างให้ปฎิบัติการได้อย่างราบรื่น จนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ การอำนวยการนี้ เกี่ยวเนื่ องทั้งเรื่องของทรัพยากรมนุษย์และ ทรัพยากรอื่นๆ ไปพร้อมกันด้วย ให้สามารถ ทำงานร่วมกันได้ ตลอดจนอำนวยความสะดวก ในการทำงาน การอำนวยการยังหมายถึงการสั่ง การ อำนาจหน้ าที่ และการปฎิบัติการให้สามารถ ทำงานได้ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่จะ เกิดขึ้นด้วย ซึ่งหนึ่ งในหัวใจสำคัญของการ อำนวยการก็คือการสื่ อสารให้มีประสิ ทธิภาพ ด้วยนั่ นเอง 14

C-Controlling > การควบคุม การควบคุมนี้ ก็คือการบริหารจัดการทุกอย่าง ให้ตรงตามแผนและระยะเวลาที่วางไว้ การ ควบคุมนี้ ตั้งแต่การควบคุมทรัพยกร, เครื่องจักร, ไปจนถึงบุคลากร ให้การปฎิบัติ การทักอย่างมีความราบรื่น และดำเนิ นการ ตามแผนการได้สำเร็จ ทั้งยังตามมาตรฐานที่ กำหนดไว้ด้วย การควบคุมนี้ นอกจากการสั่ง การ กำหนดการ บังคับการแล้ว ก็ยังรวมถึง การแนะนำ ช่วยเหลือ รายงานผล ตลอดจน ประเมินผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อ ติดตามการทำงานทุกกระบวนการไม่ให้เกิดข้อ ผิดพลาดใดๆ ด้วย สรุป การบริหารการศึกษา ต้องมีการวาง แบบแผน นโยบาย งบประมาณ วิสัยทัศน์ ของ องค์กร มีการจัดระบบการทำงานภาระหน้ าที่ของ บุคคลและการพัฒนาบุคลากร การศึกษา พฤติกรรมบุคคลและควบคุมแผนงานที่วางไว้ ตั้งแต่แรกขององค์กร 15

2. เครื่องมือการบริหารการศึกษาสมัยใหม่ Balanced scorecard Balanced scorecard หรือ BSC เป็น กลยุทธ์ในการบริหารงานสมัยใหม่และเป็นที่นิ ยม ไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย Balanced scorecard ได้ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อปี 1990 โดยมี Drs. Robert Kaplan กับ David Norton โดยตั้งชื่อระบบ นี้ ว่า \"Balanced scorecard \" เพื่อที่ผู้บริหารของ องค์กรจะได้รับรู้ถึงจุดอ่อน และความไม่ชัดเจนของ การบริหารงานที่ผ่านมา balanced scorecard จะ ช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการองค์กรได้ ชัดเจน โดยดูจากผลของการวัดค่าได้จากทุกมุม มอง เพื่อให้เกิดดุลยภาพในทุก ๆ ด้าน มากกว่าที่จะ ใช้มุมมองด้านการเงินเพียงด้านเดียว องค์กรธุรกิจ ส่วนใหญ่คำนึ งถึง เช่น รายได้ กำไร ผลตอบแทน จากเงินปันผล และราคาหุ้นในตลาด เป็นต้น การนำ balanced scorecard มาใช้ จะทำให้ผู้ บริหารมองเห็นภาพขององค์กรชัดเจนยิ่งขึ้น 16

Balanced Scorecard คือระบบการบริหาร งานและประเมินผลทั่วทั้งองค์กร และไม่ใช่เฉพาะ เป็นระบบการวัดผลเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นการ กำหนดวิสัยทัศน์ และแผนกลยุทธ์ แล้วแปลผลลง ไปสู่ ทุกจุดขององค์กรเพื่อใช้เป็นแนวทางในการ ดำเนิ นงานของแต่ละฝ่ายงานและแต่ละคน โดย ระบบของ Balanced Scorecard จะเป็นการจัดหา แนวทางแก้ไขและปรับปรุงการดำเนิ นงาน โดย พิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นของกระบวนการทำงาน ภายในองค์กร และผลกระทบจากลูกค้าภายนอก องค์กร มานำมาปรับปรุงสร้าง กลยุทธ์ให้มี ประสิทธิภาพดีและประสิทธิผลดียิ่งขึ้น เมื่อองค์กร ได้ปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบ Balanced Scorecard เต็มระบบแล้ว Balanced Scorecard จะช่วยปรับ เปลี่ยนแผนกลยุทธ์ขององค์กรจากระบบ “การ ทำงานตามคำสั่ งหรือสิ่ งที่ได้เรียนรู้สื บทอดกันมา \"ไปสู่ระบบ\" การร่วมใจเป็นหนึ่ งเดียวขององค์กร 17

Kaplan และ Norton ได้อธิบายถึงระบบ Balanced Scorecard ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่นี้ ดังนี้ Balanced Scorecard จะยังคงคำนึ งถึง มุมมองของการวัดผลทางการเงิน (financial measures) อยู่เหมือนเดิม แต่ผลลัพธ์ทางการเงิน ที่เกิดขึ้นจะบอกถึงสิ่ งที่เกิดขึ้นกับองค์กรในช่วงที่ ผ่านมา บอกถึงเรื่องราวของความสามารถกับอายุ ของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ แต่มันไม่ได้ บอกถึงความสำเร็จขององค์กร ที่จะมีต่อผู้ลงทุนที่ จะมาลงทุนระยะยาวโดยการซื้อหุ้นของบริษัท และความสัมพันธ์ของลูกค้า (customer relationships) แต่อย่างใด จะเห็นได้ว่าเพียงการ วัดผลทางการเงินด้านเดียวไม่เพียงพอ แต่ อย่างไรก็ตามมันก็ใช้เป็น แนวทางและการตีค่า ของผลการประกอบการขององค์กร ใช้เป็นข้อมูล ที่จะเพิ่มมูลค่าขององค์กรในอนาคตและสร้าง แนวทางสำหรับ ลูกค้า ผู้ขายวัตถุดิบหรือสินค้า ลูกจ้าง การปฏิบัติงาน เทคโนโลยี และการ คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ 18

Balance Scorecard รวบรวมข้อมูลและนำผลที่ได้ มาวิเคราะห์ มุมมองทั้ง 4 ดังกล่าว ประกอบด้วย The Learning and Growth Perspective เป็น มุมมองด้านการเรียนรู้และการเติบโต เช่น การ พัฒนาความรู้ความสามารถของพนั กงาน, ความ พึงพอใจของพนั กงาน, การพัฒนาระบอำนวย ความสะดวกในการทำงาน เป็นต้น The Business Process Perspective เป็นมุม มองด้านกระบวนการทำงานภายในองค์กรเอง เช่น การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ, การจัด โครงสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพ, การ ประสานงานภายในองค์กร, การจัดการด้าน สายงานผลิตที่มี ประสิทธิภาพ เป็นต้น The Customer Perspective เป็นมุมมองด้าน ลูกค้า เช่น ความพึงพอของลูกค้า, ภาพลักษณ์, กระบวนการด้านการตลาด, การจัดการด้าน ลูกค้าสัมพันธ์ เป็นต้น The Financial Perspective เป็นมุมมองด้าน การเงิน เช่น การเพิ่มรายได้, ประสิทธิภาพใน การผลิตที่มีต้นทุนต่ำและมีการสูญเสี ยระหว่าง ผลิตน้ อย, การหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ เป็นต้น 19

Balance Scorecard(BSC) กระบวนการที่ต้องอาศัยการกำหนดตัวชี้ วัด(KPI)แบบสมดุลภาระงานขององค์กร นำ กลยุทธ์ไปปฏิบัติ โดยอาศัยการประเมินที่ สอดคล้องไปทางเดียวกันและมุ่งเน้ นในสิ่งที่มี ความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร ตัวชี้วัดใน 4 มุมมอง มุมมองด้านการเงิน(Financial Perspective) ให้มีเงินไปกระจายการทำงานในองค์กร มุมมองด้านลูกค้า (Customer Perspective ) บุคคลที่มาติดต่อสถาบันเป็นลูกค้าที่ต้องมา เป็นอันดับ 1 มุมมองด้านกระบวนการภายใน (Internal Process Perspective) กระยวนการบริหาร การจัดการ เป็นตัวเสริมประสิทธิภาพให้รายได้ เพิ่มขึ้น มุมมองด้านการเรียนรู้และการพัฒนา (Learning and Growth Perspective) ทุก อย่างในองค์กรทำให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนา องค์กร ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพัฒนาทั้งคนและ ระบบการทำงาน 20

แผนที่กลยุทธ์(Strategy Map) และ BSC สิ่ งที่คนในองค์กรจะเข้าใจเป้าหมายของ องค์กรได้ง่าย ก็คือการ สร้าง map หรือ road map ที่แสดงเป็นขั้นตอนหรือเส้นทางที่จะ ดำเนิ นงาน ซึ่งแผนการดำเนิ นงานขององค์กร ภาวะที่มีข้อจำกัดและมีการแข่งขัน จึงต้องเป้น แผนที่กลยุทธ์ หรือแผนยุทธศาสตร์ การจัดทำ แผนยุทธศาสตร์บนพื้นฐานของมุมมองทั้ง 4 และความสมดุลทั้ง 4 BSC ยังให้ความสำคัญ ต่อความเชื่อมโยงมุมมอง (Perspective) โดย นำเสนอใน 2 รูปแบบคือ แบบความสัมพันธ์ (Relation) แบบลำดับความสำคัญ (Priority) 21

Balancedทำไมองค์กรจึงจำเป็นต้องมีการนำ Scorecard มาใช้ CFOจากผลการสำรวจบริษัทในประเทศสหรัฐฯ ของ Magazine 1990 10%เมื่อปี พบว่า มีเพียง เท่านั้นที่องค์กร ประสบความสำเร็จด้านการใช้แผนกลยุทธ์ ทั้งนี้องค์กรส่วน ใหญ่พบว่ามีปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญ ดังนี้ 1. The Vision Barrier ( )อุปสรรคด้านวิสัยทัศน์ มี พนักงานที่เข้าใจถึงแผนกลยุทธ์ขององค์กรที่ตนเองทำงาน 5%อยู่เพียง 2. The People Barrier ( )อุปสรรคด้านบุคลากร พบว่ามี 25%พนักงานระดับผู้จัดการเพียง ที่ให้ความสำคัญและ บริหารงานตามแผนกลยุทธ์ 3. The Resource Barrier ( )อุปสรรคด้านทรัพยากร พบ 60%ว่ามีจำนวนองค์กรถึง ที่ไม่ได้บริหารงบประมาณให้เป็น ไปตามแผนกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ 4. The Management Barrier (อุปสรรคด้านการ ) 85%จัดการ มีผู้บริหารองค์กรมากถึง ที่ให้เวลาในการ 1ประชุมสนทนาในเรื่องแผนกลยุทธ์น้อยกว่า ชั่วโมงต่อ เดือน 22

Balanced Scorecardประโยชน์ที่ได้จากการนำ ไปใช้ 1. ช่วยให้ผลการดำเนินงานขององค์กรดีขึ้น 2. ทำให้ทั้งองค์กรมุ่งเน้น และให้ความสำคัญต่อกลยุทธ์ของ องค์กร โดยต้องให้เจ้าหน้าที่ทั่วทั้งองค์กรให้ความสำคัญกับ กลยุทธ์ขององค์กรมากขึ้น และเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยใน 3.การนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ ช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และวัฒนธรรมของ องค์กรโดยอาศัยการกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายเป็นเครื่อง 4.มือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ ทำให้พนักงานเกิดการรับรู้และเข้าใจว่างานแต่ละอย่างมี ที่มาที่ไปอีกทั้งผลของงาน ตนเองจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของผู้อื่ นและ ขององค์กรอย่างไร 23

BSCข้อดีของ 1. เป็นการประเมินในองค์รวม ที่ครอบครุมมิติต่างๆ ทั้ง 2 .ด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน เพื่อให้เกิดความสมดุล มีการเชื่อมโยงระหว่างการประเมินผลกับกลยุทธ์ของ องค์กรอย่างเป็นระบบ ทำให้การประเมินมีจุดมุ่งหมายที่ ชัดเจน 3. ใช้เป็นเครื่องมือในการผลักดันกลยุทธ์องค์กรได้ E4f.fect) (Cause andเป็นการวัดตามมุมมองแบบเหตุและผล 5. มีการพัฒนาแนวคิดอย่างต่อเนื่องโดยนำผลจากประสบ การในการปฏิบัติมาใช้ ทำให้สามารถนำไปใช้ได้จริงกับองค์กร BSCข้อเสียของ 1. เหมาะกับองค์กรที่มีการจัดทำแผนกลยุทธ์เพื่อใช้เป็น แนวทางในการดำเนินงานขององค์กร 2. การประเมินผลแบบนี้ต้องมีความสมดุลในมิติต่างๆ มิ BSCฉะนั้น จะไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ 3. หากมีตัวชี้วัดหรือตัวเลขมากเกินไป จะทำให้ประสิทธิผล 4. BSCของเครื่องมือลดลง ต้องมีการทบทวนอย่างต่อเนื่อง 25

อ้างอิง -http://oknation.nationtv.tv/blog/kannika- pa318i/2008/12/17/entry-3 -https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190704- posdc-management-concept/ -balanced scorecard - ThanyalakBlog (google.com) 26


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook