วชิ าการจดั การความรูเ้ พอ่ื การพฒั นาสงั คม Knowledge Management for Social Development จดั ทาโดย จา่ สบิ เอกหญิงปรวรรณ พูนทองหลาง รหสั นกั ศกึ ษา 6140308109 เสนอ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. กนกพร ฉิมพลี รายงานฉบบั น้ีเป็นสว่ นหน่ึงของรายวชิ าการจดั การความรูเ้ พอ่ื การพฒั นาสงั คม สาขาวชิ าการพฒั นาสงั คม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสมี า ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
คานา รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวิชาการจดั การความรูเ้ พ่ือการพฒั นา สงั คม รหสั วชิ า 219331 ชนั้ ปีท่ี 4 โดยมจี ุดประสงคเ์ พอ่ื ใหไ้ ดศ้ ึกษาเรยี นรู้ เร่อื งการ จดั การความรูเ้พอ่ื การพฒั นาสงั คม และไดศ้ ึกษาอย่างเขา้ ใจเพอ่ื เป็นประโยชนต์ ่อการ เรยี น ผูจ้ ดั ทาหวงั ว่าทรายงานฉบบั น้ีจะเป็นประโยชน์ต่อผูอ้ ่านหรือผูศ้ ึกษาหา ขอ้ มูลน้ีอยู่ หากมขี อ้ แนะนาหรือผดิ พลาดประการใด ผูจ้ ดั ทาขอนอ้ มรบั ไวแ้ ละขอ อภยั มา ณ ทน่ี ้ีดว้ ย ผูจ้ ดั ทา ปรวรรณ พนู ทองหลาง
สารบญั เรอ่ื ง หนา้ 1. จงอธบิ ายกระบวนการเกดิ ความรู้ พรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ 1 เพอ่ื สงั เคราะหก์ ระบวนการเกดิ ความรูข้ องตนเอง อย่างละเอยี ด 4 2. กระบวนการสรา้ งความรูห้ รอื SECI Model มลี กั ษณะเป็นอย่างไร และทา่ นมแี นวทางการสรา้ งความจาก Model ดงั กลา่ วไดอ้ ย่างไร 6 3. จงวเิ คราะหก์ ระบวนการจดั การความรู้ โดยอธบิ ายวา่ แตกต่างระหวา่ ง กระบวนการจดั การความรูท้ ป่ี ระยุกตใ์ ชใ้ นภาคองคก์ รและกระบวนการจดั การความรู้ 7 ในชมุ ชน อยา่ งระเอยี ด 8 4. ในฐานะทท่ี า่ นเป็นนกั พฒั นาสงั คม จงอธบิ ายแนวทางการจดั การความรู้ เพอ่ื การพฒั นาบญั ฑิติ สาขาการพฒั นาสงั คมในอนาคต ว่าควรมรี ูปแบบ/แนวทาง เป็นอย่างไรทจ่ี ะสง่ ผลใหบ้ ณั ทติ สาขาวชิ าการพฒั นาสงั คม เป็นบณั ิติ ทม่ี คี ณุ ภาพ อา้ งองิ
1. จงอธบิ ายกระบวนการเกดิ ความรู้ พรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ เพอ่ื สงั เคราะหก์ ระบวนการเกดิ ความรูข้ องตนเอง อยา่ งละเอยี ด ความหมายของความรู ้ การผสมผสานระหว่างประสบการณ์ (Experience) ค่านิยม (Value) ขอ้ มลู (Data) บรบิ ท(Context)และความเขา้ ใจ อย่างแทจ้ ริง (Understand) ซ่งึ ทาใหเ้ กิดกรอบความคิดในการ ประเมนิ และ ประสานขอ้ มลู เขา้ กบั กรอบแนวคิดเดิม จนไดเ้ ป็น สารสนเทศ (Information) ทผ่ี ่านกระบวนการคิด เปรียบเทยี บ เช่ือมโยงกบั สารสนเทศอ่ืนๆ จนเกิดเป็นความรู้ (Knowledge) มคี วามเขา้ ใจและนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการตดั สนิ ใจ แกไ้ ขปญั ฑหา และนาไปสู่การปฏิบตั ิ หรือการทาใหส้ มาชิกในองค์การหรือ ชมุ ชนสามารถปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล กระบวนการเกดิ ความรู้ 1.ขอ้ มูล(Data) คือ ขอ้ เท็จจริงต่างๆ โดยเป็นขอ้ มูลดิบหรือ ตวั เลขต่างทไ่ี มผ่ ่านการแปลความหรอื ตคี วามแต่อย่างใด 2. สารสนเทศ(Information) คือ ขอ้ มูลท่ีผ่านกระบวนการ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ เพ่ือนามาใชใ้ นการตดั สินใจโดยมีบริบทท่ีเกิดจาก ความเชอ่ื ความคิดหรอื ประสบการณข์ องผูใ้ ชส้ ารสนเทศนน้ั โดยมกั อยู่ใน รูปขอ้ มลู ทว่ี ดั ได้ จบั ตอ้ งได้ 3.ความรู้ (Knowledge) คือ สารสนเทศท่ผี ่านกระบวนการคิด เปรียบเทียบ เช่ือมโยงกบั ความรูอ้ ่ืนๆ จนเกิดความเป็นความเขา้ ใจ (Understand) และนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการตดั สนิ ใจ 4.ปญั ฑญฑา (Wisdom)คือ ความรูท้ ่ีฝังในตวั คนและก่อใหเ้ กิด ประโยชนใ์ นการนาไปใช้
กระบวนการจดั การความรู้ กระบวนการจดั การความรู้ (Knowledge Management) เป็นกระบวนการท่ี จะช่วยใหเ้ กดิ พฒั นาการของความรู้ หรอื การจดั การความรูท้ ่จี ะเกิดข้ึนภายใน องคก์ ร มที ง้ั หมด 7 ขน้ั ตอน 1. การบง่ ช้คี วามรู้ (Knowledge Identification) เป็นการพิจารณาว่าองค์กรมีวิสยั ทศั น์ พนั ธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร เพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมาย ตอ้ งใชอ้ ะไร ปัจจุบนั มี ความรูอ้ ะไรบา้ ง อยู่ในรูปแบบใด และอยู่ทใ่ี คร 2. การสรา้ งและแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation and Acquisition) เป็นการสรา้ ง แสวงหา รวบรวมความรูท้ งั้ ภายใน/ภายนอก รกั ษาความรูเ้ ดิม แยกความรูท้ ใ่ี ชไ้ มไ่ ดแ้ ลว้ ออกไป 3. การจดั ความรูใ้ หเ้ป็นระบบ (Knowledge Organization) เป็นการกาหนดโครงสรา้ งความรู้ แบง่ ชนิด ประเภท เพ่ือให้ สบื คน้ เรยี กคนื และใชง้ านไดง้ า่ ย 4. การประมวลและกลนั่ กรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement) เป็นการปรบั ปรุงรูปแบบเอกสารใหเ้ป็นมาตรฐาน ใชภ้ าษาเดยี วกนั ปรบั ปรุงเน้ือหาให้ ครบถว้ นสมบรู ณ์
6. การแบง่ ปนั แลกเปลย่ี นความรู้ (Knowledge Sharing) เป็นการแบ่งปนั สามารถ ทาไดห้ ลายวธิ ีการ โดยกรณีทเ่ี ป็นความรูช้ ดั แจง้ (ExplicitKnowledge) อาจจดั ทา เป็นเอกสาร ฐานความรู้ เทคโนโลยสี ารสนเทศ หรือกรณีท่เี ป็นความรูฝ้ ังลกึ (Tacit Knowledge) จดั ทาเป็นระบบทมี ขา้ มสายงาน กจิ กรรมกลุ่มคุณภาพและนวตั กรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพ่เี ล้ยี ง การสบั เปล่ยี นงาน การยืมตวั เวทีแลกเปล่ยี น ความรู้ เป็นตน้ 7. การเรยี นรู้ (Learning) เป็นการนาความรูม้ าใชป้ ระโยชน์ ในการตดั สนิ ใจ แกป้ ญั ฑหา และทาใหเ้ ป็นส่วนหน่ึงของงาน เช่น เกดิ ระบบการเรยี นรูจ้ ากสรา้ งองคค์ วามรู้ การนาความรู้ ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้ และประสบการณ์ใหม่ และ หมนุ เวยี นต่อไปอย่างต่อเน่ือง ตวั อย่าง หากเรามเี ป้าหมายท่จี ะออกกาลงั กายเพ่อื ลดหนา้ ทอ้ งและตน้ ขา แต่เรา ไมร่ ูว้ ่าตอ้ งทาอย่างไร มวี ธิ กี ารไหนบา้ ง ตอ้ งทาแบบไหนถงึ จะบรรลุเป้าหมายของ เรา ดงั นน้ั จึงเกิดการสอบถามจากผูร้ ูห้ รือผูท้ ่มี ปี ระสบการณจ์ ริงมาก่อน หรือเรา อาจจะศึกษาขอ้ มลู ดว้ ยตนเองจากทางอินเทอรเ์ น็ต เพอ่ื นาขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าวเิ คราะห์ เช่ือมโยงกนั ใหเ้ กิดประโยชนต์ ามท่เี ราตอ้ งการหรือเป็นผลไปสู่แหง่ ความสาเสร็จ ตามเป้าหมายท่ตี ง้ั ไว้
2. กระบวนการสรา้ งความรูห้ รอื SECI Model มีลกั ษณะเป็นอย่างไร และท่านมีแนวทางการสรา้ งความจาก Model ดงั กลา่ วไดอ้ ย่างไร 1) การสรา้ งปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม (Socialization) คือ การสรา้ ง ความรูแ้ บบฝงั ลกึ เป็นความรูแ้ บบฝงั ลกึ โดยการแลกเปลย่ี นประสบการณ์ อนั เน่ืองมาจากสง่ิ แวดลอ้ มเดยี วกนั โดยการฝึกอบรม หรอื การแนะนา ซง่ึ บุคคลสามารถสรา้ งการรบั รูโ้ ดยนยั ไดจ้ ากการสงั เกต การลอกเลยี นแบบ หรอื การลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ 2) การปรบั เปล่ียนสู่ภายนอก (Externalization) คือ การพูดหรือ บรรยายความรูแ้ บบฝงั ลึกใหเ้ ป็นความรูช้ ดั แจง้ โดยการใชอ้ ุปมาอุปมยั การ เปรียบเทยี บ และการใชต้ วั แบบ ซ่งึ การเปรียบเทยี บจะช่วยใหส้ ามารถมองเห็น ภาพไดง้ ่ายข้นึ รวมไปถึงการนาประสบการณ์มาถ่ายทอดในลกั ษณะคาอุปมาอุป มยั เป็นการนาประสบการณอ์ อกมาสู่ภายนอก ทาใหช้ ดั แจง้ ข้นึ ซ่ึงกระบวนการน้ี นบั ว่าเป็นหวั ใจสาคญั ฑของกระบวนการสรา้ งความรู้ 3) การผสมผสาน (Combination) คือ การรวบรวมความรูช้ ดั แจง้ ใหเ้ ป็นความรูท้ ่ีขยายวงกวา้ งออกไป โดยการรวมหรือบูรณการองค์ ความรูห้ รือสงั เคราะหค์ วามรูท้ ่ีมีอยู่เพ่ือใหเ้ กิดความรูใ้ หญฑ่ข้ึนมาเขา้ ไว้ ดว้ ยกนั เพ่อื ใหเ้ ป็นระบบและชดั เจน ซ่งึ ความรูท้ ่นี ามารวมกนั น้ีเกิดจากการ แลกเปลย่ี นของบคุ คลเป็นหลกั รวมกบั ความรูท้ ่ผี ่านสอ่ื หรือช่องทางความรู้ เช่น การสนทนา การประชมุ เป็นตน้
4) การปรบั เปล่ียนสู่ภายใน (Internalization) คือ การสรา้ งความรู้ แบบชดั แจง้ ใหเ้ ป็นความรูแ้ บบฝงั ลกึ โดยการเรียนรูจ้ ากการปฏบิ ัติ โดยศึกษา จากความรูท้ ไ่ี ดเ้ ขยี นไวใ้ นคู่มอื เอกสาร ซ่งึ เป็นการเรยี นรูข้ องแต่ละบุคคลทเ่ี กิด จากการนาความรูไ้ ปปฏบิ ตั ิ กลบั ไปเป็นความรูโ้ ดยนยั ทฝ่ี งั อยู่ในบุคคลนนั้ ๆ และ เป็นทรพั ยส์ นิ ทแ่ี ตะตอ้ งไมไ่ ดแ้ ละมคี ่ายง่ิ ต่อองคก์ าร ตวั อย่าง การสรา้ งปฏิสมั พนั ธท์ างสงั คม หากเราตอ้ งการจะทาบวั ลอยไข่ หวาน แต่เราไม่เคยทามาก่อน เราจึงตอ้ งการใหบ้ ุคคลท่ีทาเป็นหรือมี ประสบการณก์ ารในการทาบวั ลอยไข่หวานมากก่อนสอนหรือแนะนา เช่น แม่ ของเราทาบวั ลอยไข่หวานอร่อยมาก เราอยากทาเป็นแบบแม่ ใหแ้ ม่ทาใหด้ ู เป็นตวั อย่าง เราก็ไดส้ งั เกตดูวิธีการทา ไดเ้ ลยี นแบบวิธีการทาบวั ลอยไข่ หวานจากแม่ แลว้ นาไปปฏบิ ตั จิ รงิ การปรบั เปล่ยี นสู่ภายนอก เม่อื เรารูว้ ิธีการทาบวั ลอยไข่หวานแลว้ แต่เราอาจจะเปล่ียนแปลงหรือเพ่ิมวตั ถุลงไปใหแ้ ปลกใหม่หรืออร่อยข้ึน ดงั นนั้ จึงเกิดการอุปมาอุปมยั ว่าถา้ เราเพ่ิมวตั ถุลงไปหรือแต่งสีจะทาใหน้ ่า รบั ประทานกวา่ เดมิ การผสมผสาน เม่อื เราไดส้ ูตรบวั ลอยแลว้ เราอยากจะพฒั นาโดย การทาขาย จึงทาใหเ้ กดิ การเรยี นรูใ้ หม่ อาจจะตอ้ งสอบถามแม่มากข้นึ ว่าถา้ เราทายงั ไงจะไดส้ ูตรทอ่ี ร่อยข้นึ หรอื น่าดงึ ดูดจากลูกคา้ จึงเกิดการพดู คุยหรอื สนทนา เพอ่ื ทจ่ี ะพฒั นาสูตรบวั ลอยไข่หวาน การปรบั เปล่ยี นสู่ภายใน หากเราไดส้ ูตรบวั ลอยไข่หวานท่ีลงตวั แลว้ เราจงึ จดบนั ทกึ หรือเขยี นเป็นสูตรหรือคู่มอื การทาบวั ลอยไข่หวานจาก แมท่ เ่ี ราไดศ้ ึกษามา
3. จงวิเคราะหก์ ระบวนการจดั การความรู้ โดยอธบิ ายวา่ แตกต่างระหวา่ ง กระบวนการจดั การความรูท้ ่ีประยุกตใ์ ชใ้ นภาคองคก์ รและกระบวนการ จดั การความรูใ้ นชุมชน อย่างระเอยี ด การจดั การความรู้ เป็นเร่อื งค่อนขา้ งใหม่ ซง่ึ เกดิ ข้นึ จากการคน้ พบว่าองคก์ รตอ้ ง สูญฑเสยี ความรูไ้ ปพรอ้ มๆ กบั การท่บี ุคลากรลาออกหรือเกษียณ อายุราชการ อันส่งผล กระทบต่อการดาเนินการขององคก์ รเป็นอย่างยง่ิ ดงั นน้ั จากแนวคิดท่มี ุ่งพฒั นาบุคลากร ใหม้ คี วามรูม้ ากแต่เพียงอย่างเดียวจึงเปลย่ี นไป และมีคาถามต่อไปว่าจะทาอย่างไรให้ องคก์ รไดเ้รยี นรูด้ ว้ ย ดงั นน้ั การบรหิ ารจดั การความรูจ้ งึ สมั พนั ธก์ บั เร่อื ง องคก์ รแห่งการ เรียนรู้ เป็นอย่างย่งิ หากองคก์ รใดมกี ารจดั การความรูโ้ ดยไม่มกี ารสรา้ งบรรยากาศแห่ง การเรียนรูใ้ หเ้ กิดข้นึ ภายในองคก์ ร ก็นบั เป็นการลงทุนท่สี ูญฑเปล่าไดเ้ ช่นกนั การบริหาร จดั การความรู้ มคี วามซบั ซอ้ นมากกว่าการพฒั นาบุคลากรดว้ ยการฝึกอบรม เพราะเป็น กระบวนการท่ีตอ้ งดาเนินการต่อภายหลงั จากท่ีบุคลากรมีความรูค้ วามชานาญฑแลว้ องคก์ รจะทาอย่างไรใหบ้ ุคลากรเหล่านนั้ ยินดีถ่ายทอด และแลกเปล่ยี นความรูก้ บั ผูอ้ ่ืน และในขนั้ ตอนสุดทา้ ย องคก์ รจะตอ้ งหาเทคนิคการจดั เก็บความรูเ้ ฉพาะไวก้ ับองคก์ ร อยา่ งมรี ะบบเพอ่ื ทจ่ี ะนาออกมาใชไ้ ดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ชมุ ชน ทม่ี กี ารรวมตวั กนั หรอื เชอ่ื มโยงกนั อยา่ งไมเ่ ป็นทางการ โดยมลี กั ษณะดงั น้ี - ประสบปญั ฑหาลกั ษณะเดยี วกนั - มคี วามสนใจในเร่อื งเดยี วกนั ตอ้ งการแลกเปลย่ี นประสบการณจ์ ากกนั และกนั - มเี ป้าหมายร่วมกนั มคี วามมงุ่ มนั่ ร่วมกนั ทจ่ี ะพฒั นาวธิ กี ารทางานไดด้ ขี ้นึ - วธิ ปี ฏบิ ตั คิ ลา้ ยกนั ใชเ้ครอ่ื งมอื และภาษาเดยี วกนั - มคี วามเช่อื และยดึ ถอื คุณค่าเดยี วกนั - มบี ทบาทในการสรา้ ง และใชค้ วามรู้ - มกี ารแลกเปลย่ี นเรยี นรูจ้ ากกนั และกนั อาจจะพบกนั ดว้ ยตวั จรงิ หรอื ผ่านเทคโนโลยี - มชี ่องทางเพอ่ื การไหลเวยี นของความรู้ ทาใหค้ วามรูเ้ขา้ ไปถงึ ผูท้ ่ีตอ้ งการใชไ้ ดง้ า่ ย - มคี วามร่วมมอื ช่วยเหลอื เพอ่ื พฒั นาและเรยี นรูจ้ ากสมาชกิ ดว้ ยกนั เอง มปี ฏสิ มั พนั ธต์ ่อเน่ือง มวี ธิ กี ารเพอ่ื เพม่ิ ความเขม้ แขง็ ใหแ้ ก่สายในทางสงั คม
4. ในฐานะท่ีท่านเป็ นนักพฒั นาสงั คม จงอธิบายแนวทางการจดั การ ความรูเ้ พอ่ื การพฒั นาบญั ฑติ สาขาการพฒั นาสงั คมในอนาคต ว่าควร มีรูปแบบ/แนวทางเป็ นอย่างไรท่ีจะส่งผลให้บณั ทิตสาขาวิชาการ พฒั นาสงั คม เป็นบณั ฑติ ท่มี ีคุณภาพ เพอ่ื เป็นแนวทางในกาหนดเป้าหมายและวธิ กี ารในการจดั การความรู้ คือ 1. ทางสาขาวิชาตอ้ งกาหนดเป้ าหมายท่ีชดั เจนว่าตอ้ งการจะพฒั นาอะไร ผลลพั ธท์ ต่ี อ้ งการคืออะไรและอย่างไร 2. ความรูห้ รอื แนวปฏบิ ตั ทิ ต่ี อ้ งการจะนามาใชเ้พอ่ื พฒั นาการทางานคือความรู้ หรอื แนวปฏบิ ตั อิ ะไร 3. ความรูห้ รอื แนวปฏบิ ตั ิทด่ี จี ะหามาจากไหน และหามาไดอ้ ย่างไร 4. ความรูห้ รอื แนวปฏบิ ตั ทิ ไ่ี ดม้ าจะมกี ารจดั การอยา่ งไรเพ่อื ใหเ้ป็นความรูห้ รอื แนวปฏบิ ตั ทิ ต่ี รงกบั ความตอ้ งการใชง้ าน มคี วามเหมาะสม และมคี ุณภาพ 5. จะมกี ารตดิ ตาม ตรวจสอบ และประเมนิ ผลการใชป้ ระโยชนข์ องความรูต้ ่อ การพฒั นางานของสาขาวชิ าอย่างไร 6. มรี ะบบการจดั เกบ็ ระบบการรกั ษาความรู้ และการแบง่ ปนั ความรูอ้ ยา่ งไร 7. จะมกี ารปรบั ปรุงและพฒั นาความรูห้ รือแนวปฏิบตั ินน้ั เม่อื ไหร่ เพ่ือใหม้ ี ความทนั สมยั หรอื สอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของสาขาวชิ า
อ้างองิ ผศ.ดร.กนกพร ฉิมพล.ี (2564). แนวคิดเก่ยี วกบั การเรยี นรู.้ สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 24 กนั ยายน 2564. Knowledge Management. (2564). การจดั การความรู.้ สบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 24 กนั ยายน 2564. จาก www.thaiall.com
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: