51 นอกจากนี้ควรมเี ครอ่ื งมือ วัสดุอน่ื ๆ เพอ่ื ใชป้ ระกอบการทางาน อน่ื ๆ ด้วยเชน่ ตลับเมตร ใช้วดั ระยะในกรณีทมี่ กี ารเดนิ สายหรอื ตดิ ตง้ั สวติ ช์หรอื เตา้ รบั ตา่ ง ๆ ไขควงวัดไฟ เปน็ ไขควงทม่ี หี ลอดไฟอย่ทู ดี่ า้ ม ใช้ทดสอบวงจรไฟฟ้า เทปพนั สายไฟ ใช้พันรอยตอ่ ของสายไฟ ไขควงวัดไฟ ไขควงวดั ไฟมรี ปู รา่ งเหมอื นไขควงปากแบนทวั่ ไป ดา้ มไขควงทาดว้ ย พลาสตกิ ใส ภายในบรรจหุ ลอดเรอื งแสงอยู่ ในการใช้งานจะใช้ปลายไขควงแตะกบั สว่ นทม่ี ไี ฟฟ้า และใช้นิ้วมอื แตะทดี่ า้ มไขควงสว่ นทเ่ี ปน็ โลหะทอี่ ยปู่ ลายสดุ (อาจทาเปน็ ปุ่มทไี่ มใ่ ช่โลหะให้ใช้น้ิว กดกไ็ ด)้ เพื่อให้ไฟฟ้าครบวงจรลงดนิ และเน่ืองจากในไขควงมตี วั ความตา้ นทานทมี่ คี า่ สงู มากใส่ ไวไ้ ฟฟ้าทไี่ หลผา่ นรา่ งกายจงึ มปี รมิ าณน้อยมากจนไมร่ สู้ กึ และไมม่ อี นั ตรายและตอ้ งระวงั อยา่ ถอด ตวั ความตา้ นทานนี้ออก ในการวดั ไฟ ถา้ วงจรทใี่ ช้ไขควงแตะสว่ นทม่ี ไี ฟ หลอดเรอื งแสงทด่ี า้ มไขควงจะตดิ ดงั น้ันไขควงจงึ ไมส่ ามารถวดั ทดสอบสายเสน้ นิวทรลั ไดเ้ น่ืองจากไมม่ แี รงดนั ไฟฟ้า ซง่ึ เปน็ ขอ้ จากดั ในการใช้งาน และกอ่ นนาไปใช้งานควรทดสอบทเ่ี ตา้ รบั ไฟฟ้ากอ่ นวา่ ไขควรยงั สามารถใช้ งานไดป้ กตหิ รอื ไม่ หลอดทดสอบ เปน็ เครื่องวดั แบบง่ายทสี่ ามารถทาไวใ้ ช้งานได้ สามารถใช้ตรวจสอบ วงจรไฟฟ้าไดว้ า่ มไี ฟหรอื ไมข่ อ้ จากดั คอื ไมส่ ามารถวดั แรงดนั ไฟฟ้าได้ แตก่ ใ็ ช้ในการตรวจสอบ เบอื้ งตน้ ไดด้ ี การทาหลอดทดสอบ เราจะซอ้ื หลอดไฟขนาดแรงดนั 220 โวลต์ เลอื กใช้ชนิด หลอดเกลยี ว พรอ้ มขวั้ หลอดแบบแขวน ใช้สายเด่ียว ความยาวประมาณ 50 เซนตเิ มตร 2 เสน้ ตอ่ จากขวั้ หลอดออกมาทป่ี ลายสายไฟฟ้าควรตอ่ ดว้ ยป ากคบี ชนิดทหี่ ุม้ ดว้ ยฉนวนไฟฟ้า กรณไี มม่ ี ปากคบี กส็ ามารถใช้งานได้ แตจ่ ะไมส่ ะดวก อปุ กรณ์ดงั กลา่ วสามารถหาซอ้ื ไดต้ ามรา้ นขาย อปุ กรณไ์ ฟฟ้าทวั่ ไป ในการใช้งานจะนาปากคบี ไปคบี สายไฟฟ้าสว่ นทเ่ี ปน็ ตวั นาทองแดงหรอื สมั ผสั เฉย ๆ กไ็ ด้ โดยให้ปลายดา้ นหน่ึงคบี กบั สายเสน้ ไฟ และอกี ปลายทเี่ หลอื คบี กบั สายเสน้ นิวทรลั ข้อควรระวัง การใช้หลอดทดสอบวดั ไฟฟ้าในขณะทย่ี งั มไี ฟอยจู่ งึ ต้ องทางานดว้ ยความระมดั ระวงั อยา่ ให้สว่ นใดสว่ นหนึ่งของรา่ งกายสมั ผสั กบั สว่ นทมี่ ไี ฟฟ้า ควรแตง่ กายและใช้เคร่อื งมอื ให้ถกู ตอ้ ง ขอ้ ควรระวงั อกี ประการหน่ึงในการทดสอบกค็ อื เมอื่ สายนิวทรลั ในวงจรขาด หลอดทดสอบจะไมต่ ดิ แตใ่ นสายเส้ นไฟยงั มไี ฟอยหู่ ้ามจบั สายเสน้ ไฟยงั มไี ฟอยู่ ห้ามจบั สาย เสน้ ไฟโดยเดด็ ขาด ในการใช้งาน ถา้ ใช้ รว่ มกบั ไขควงวดั ไฟจะสามารถวดั ไดว้ า่ มไี ฟอยู่หรอื ไม่ หลอดทดสอบ จงึ เหมาะทจ่ี ะใช้วดั วงจรไฟฟ้าวา่ สายทง้ั สองเสน้ มเี สน้ ใดเสน้ หน่ึงขาดหรอื ไม่
52 ต่อไปน้ีคือเหตุการณฉ์ กุ เฉินทอ่ี าจเกิดขึ้นในบา้ น การขัดข้องจากการไฟฟา้ ฯ ซง่ึ ตามปกตทิ างการไฟฟ้าฯ มกั จะแจง้ ให้ทราบลว่ งหน้า แต่ กม็ บี างกรณีทเี่ กดิ ไฟดบั เพียงช่ัวครู่ ทอี่ าจเกดิ จากไฟตกหรอื หมอ้ แปลงขดั ขอ้ ง ซง่ึ เราสามารถ ตรวจสอบไดจ้ ากบา้ นใกลเ้ คยี ง ในกรณเี ช่นน้ีตอ้ งแจง้ เหตใุ ห้ทางการไฟฟ้าฯ ทราบเพ่ือดาเนินการ แกไ้ ข โดยกอ่ นแจง้ กต็ อ้ งดวู า่ เขตพ้ืนทท่ี เี่ ราอาศยั อยู่ขน้ึ อยู่กบั เขตบรกิ ารใดของการไฟฟ้าฯ อยา่ งไรกต็ าม เมอื่ เกดิ เหตคุ วรปดิ สวติ ช์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าทกุ ชนิดให้หมดเพ่ือปอ้ งกนั การกระชากของเคร่อื งเมอื่ กระแสไฟฟ้าตดิ รวมทงั้ อยา่ เปดิ ตเู้ ยน็ โดยไมจ่ าเปน็ เพราะจะทาให้ ความเยน็ ในตลู้ ดลง ทาให้ของทแี่ ช่ไวล้ ะลายหรอื เยน็ ไมพ่ อ ซงึ่ อาจทาให้เสยี หายไดถ้ า้ หากไฟดบั นาน ๆ และควรเปดิ สวติ ช์ หลอดไฟไวส้ กั หนึ่งดวง เพ่ือเปน็ สญั ญาณบอกวา่ กระแสไฟใช้ไดแ้ ลว้ การใชไ้ ฟเกิน เกดิ ขน้ึ เน่ืองจากมกี ารใช้ไฟเกนิ กวา่ ขนาดของอปุ กรณ์ปอ้ งกนั กระแสไฟ เกนิ (อาจเปน็ ฟิวสห์ รอื เซอรก์ ติ เบรกเกอร์ ) ทาให้มกี ารปลดวงจรอาการน้ีสงั เกตไดค้ อื จะเกดิ หลงั จากทไี่ ดเ้ ปดิ สวติ ช์ไฟฟ้าหรอื เสยี บเตา้ เสยี บไดส้ กั ครู่หน่ึง อาจใช้เว ลานานหลายนาทหี รอื เปน็ ชั่วโมง การแกไ้ ขดาเนินการดงั น้ี - ตรวจสอบดวู า่ ไดม้ กี ารตอ่ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าเพิ่มหรอื ไม่ ถา้ มกี ารตอ่ เคร่อื งใช้ไฟฟ้า เพิ่ม จาเปน็ ตอ้ งปรบั ปรงุ โดยการเปลย่ี นเซอรก์ ติ เบรกเกอรใ์ ห้มขี นาดใหญ่ขน้ึ แตข่ อ้ สาคญั ตอ้ ง ตรวจสอบดว้ ยวา่ สายไฟฟ้าสามารถรบั กระแสไดห้ รอื ไมข่ นาดของสายไฟฟ้าตอ้ งสมั พันธ์กบั ขนาด เซอรก์ ติ เบรกเกอรห์ รอื ฟิวส์ กรณที พี่ บวา่ เกดิ จากการเสยี บเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าเพิ่มกต็ อ้ งเปลย่ี นไปเสยี บ เตา้ รบั ทตี่ อ่ กบั เครอื่ งปอ้ งกนั กระแสเกนิ ตวั อน่ื - ตรวจจดุ ตอ่ สายเขา้ เคร่อื งปอ้ งกนั กระแสเกนิ จดุ ตอ่ อาจหลวม ทาให้เกดิ ความ รอ้ น เคร่ืองปอ้ งกนั กระแสเกนิ จะปลดวงจรไดโ้ ดยไมต่ อ้ งใช้ไฟเกนิ อาการน้ีจะพบวา่ สายไฟฟ้า บรเิ วณใกลก้ บั จดุ ตอ่ และตวั เคร่ืองปอ้ งกนั กระแสเกนิ จะรอ้ นจดั จนรสู้ กึ ไดจ้ ากการสมั ผสั ดว้ ยมอื การแกไ้ ข ขนั สกรใู ห้แน่น ไฟฟา้ ลัดวงจร หรอื อาจเรยี กไดอ้ กี อยา่ งวา่ “ไฟฟ้าช็อรต์ ” หมายถงึ การทไ่ี ฟฟ้าไหลผา่ น จากสายไฟฟ้าเสน้ หน่ึงไปยงั อกี เสน้ หน่ึงโดยไมผ่ า่ นเคร่อื งใช้ไฟฟ้าหรอื โหลดใด ๆ การท่ี กระแสไฟฟ้าไหลจากเสน้ หนึ่งไปอกี เสน้ หน่ึง สาเหตสุ ว่ นใหญ่เกดิ จากฉนวนของสายไฟฟ้าชารดุ หรอื จากการสมั ผสั กนั โดยบงั เอญิ ผลจากไฟฟ้าไหลในปรมิ าณสงู และมคี วามรอ้ นสงู ดว้ ยเช่นกนั นอกจากนี้ยงั จะมปี ระกายไฟ ซงึ่ อาจเปน็ สาเหตใุ ห้เกดิ เพลงิ ไหม้ ถา้ มวี สั ดไุ วไ้ ฟอยู่ การเกดิ ลดั วงจรน้ี สงั เกตไดเ้ มอื่ ทาการสบั เครือ่ งปอ้ งกนั กระแสเกนิ เขา้ เขา้ ไปอกี ครง้ั เครอ่ื งปอ้ งกนั กระแสเกนิ จะปลดวงจรอยา่ งรวดเรว็ เพราะมกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นในปรมิ าณมาก จะตอ้ งตรวจหาจดุ ทเ่ี กดิ เหตใุ ห้พบแลว้ ทาการแกไ้ ข ปกตแิ ลว้ การเกดิ ลดั วงจรในสายไฟฟ้ามโี อกาส
53 เกดิ น้อยมาก การเกดิ ลดั วงจรทเ่ี ปน็ ไปไดม้ ากคอื เคร่ืองใช้ไฟฟ้าชารดุ ตรงจดุ ทมี่ กี ารตอ่ สาย เ ช่น ในกลอ่ งตอ่ สาย ในกลอ่ งสวติ ช์ และเตา้ รบั รวมทงั้ จดุ ทต่ี อ่ เขา้ อปุ กรณไ์ ฟฟ้าเปน็ ตน้ ถา้ กระแสลดั วงจรเกดิ ขณะทเี่ สยี บเตา้ รบั หรอื เปดิ สวติ ช์ ในเบอื้ งตน้ ให้สนั นิษฐานวา่ เกดิ จากเครือ่ งใช้ไฟฟ้า ให้ถอดเตา้ เสยี บออกหรอื ปดิ สวติ ช์ แลว้ เปลยี่ นฟิวส์ กจ็ ะใช้งานตอ่ ไปได้ หรอื ถา้ เปน็ เซอรก์ ติ เบรกเกอรก์ ส็ ามารถสบั ใช้งานตอ่ ไปได้ เคร่ืองใช้ทชี่ ารดุ จะตอ้ งทาการซอ่ ม เสยี กอ่ น แนวทางการปอ้ งกนั กค็ อื ดแู ลเครอื่ งใช้และอปุ กรณไ์ ฟฟ้า โดย เฉพาะเครอ่ื งใช้และ อปุ กรณ์ไฟฟ้า โดยเฉพาะสายไฟฟ้าให้อย่ใู นสภาพดี ฉนวนไมก่ รอบแตก และไมใ่ ช้ เครื่องใช้ไฟฟ้ามากเกนิ กวา่ ทส่ี ายไฟฟ้าจะทนได้ ปอ้ งกนั ของแขง็ กระแทกสายไฟฟ้าและอปุ กรณ์ ไฟฟ้าจนชารดุ ควรระมดั ระวงั ไมเ่ อาวตั ถไุ วไฟไวใ้ กลอ้ ปุ กรณ์ไฟฟ้า และทส่ี าคญั คอื ตดิ ตงั้ เครื่อง ปอ้ งกนั กระแสเกนิ หรอื เซอรก์ ติ เบรกเกอร์ ทเ่ี หมาะสมซง่ึ เมอื่ เกดิ เหตกุ ารณ์เกดิ ขน้ึ เครอื่ งปอ้ งกนั นี้ จะตดั กระแสไฟฟ้าโดยอตั โนมตั ิ ไฟฟา้ ดูด คอื การทมี่ กี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นรา่ งกาย เราเรยี กอกี อยา่ งวา่ ไฟฟ้าช็อค (ELECTRIC SHOCK) เมอื่ กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นรา่ งกายจะเกดิ อาการกลา้ มเน้ือเกรง็ หัวใ จ ทางานผดิ จงั หวะและเตน้ ออ่ นลงจนหยดุ เตน้ และเสยี ชีวติ ในทสี่ ดุ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามความรนุ แรงของ อนั ตรายจะมากหรอื น้อยขนึ้ อย่กู บั ปรมิ าณกระแส เวลาและเสน้ ทางทก่ี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ น เช่น ถา้ ผา่ นหัวใจจะมอี นั ตรายสงู ไฟฟ้าดดู เกดิ ขน้ึ ไดห้ ลายกรณีดว้ ยกนั ประการแรกคอื เครอื่ งใช้ไฟฟ้ามกี ารชารดุ ทาให้ มกี ระแสไฟฟ้ารว่ั ออกมา เมอื่ มกี ารสมั ผสั กระแสไฟฟ้ากจ็ ะไหลผา่ นเขา้ มาทร่ี า่ งกาย (เพราะเทา้ สมั ผสั พ้ืนอยูท่ าให้กระแสไหลไดค้ รบวงจรพอด)ี ประการตอ่ มา เกดิ จากการสมั ผสั กบั สายไฟฟ้าที่ มกี ารร่ัวของกระแสไฟฟ้า เมอื่ เกดิ เหตกุ ารณ์ไฟฟ้าดดู ขน้ึ สงิ่ แรกทคี่ วรทาคอื ตดั กระแสไฟฟ้าให้ เรว็ ทส่ี ดุ ดว้ ยการถอดปลก๊ั ปดิ เมนสวติ ช์บอรด์ ปฐมพยาบาลผไู้ ดร้ บั บาดเจบ็ และงดใช้อปุ กรณ์ หรอื เคร่ืองใช้ไฟฟ้าน้ัน ๆ อยา่ งไรกต็ าม แนวทางการปอ้ งกนั ทสี่ าคญั ทสี่ ดุ กค็ อื หมน่ั ตรวจสอบเคร่อื งใช้ และ อปุ กรณไ์ ฟฟ้าตา่ ง ๆ อยา่ งสมา่ เสมอวา่ มกี ารชารดุ เสยี หายหรอื ไมห่ ากพบวา่ ชารดุ ควรรบี ปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้อยู่ในสภาพทดี่ ี หรอื ตดิ ตงั้ ระบบสายดนิ
54 ระบบสายดิน การตอ่ ลงดนิ มรี ายละเอยี ดมากในการตดิ ตง้ั ตอ้ งทาให้ถกู ตอ้ งจงึ จะใช้งานไดผ้ ล จงึ ควร ตดิ ตงั้ โดยผทู้ ม่ี คี วามรูค้ วามชานาญจรงิ ๆ เทา่ นั้น สายดนิ เปน็ วธิ ีทดี่ ที สี่ ดุ ในการปอ้ งกนั อนั ตรายไฟฟ้าดดู จากการใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้า เมอ่ื อปุ กรณไ์ ฟฟ้าเกดิ ชารดุ ขณะทเ่ี ครือ่ งใช้ไฟฟ้าทางานในสภาพปกตโิ ครงหรอื เครื่องใช้ไฟฟ้าแมแ้ ต่ สว่ นทเ่ี ปน็ โลหะจะสมั ผสั ไดโ้ ดยไมม่ อี นั ตรายแตเ่ มอื่ ไฟฟ้ารั่ว จะมไี ฟมารออย่ทู เ่ี ปลอื กโลหะของ เครือ่ งใช้ไฟฟ้า เมอื่ เราไปสมั ผสั กจ็ ะมกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นรา่ งกายลงดนิ ลกั ษณะเช่นน้ีเรา เรยี กวา่ ถกู ไฟดดู การเกดิ ไฟฟ้าดดู น้ีเราสามารถปอ้ งกนั ไดโ้ ดยการตอ่ สายดนิ และตอ้ งทาให้ ถกู ตอ้ งครบถว้ น จงึ จะสามารถปอ้ งกนั อนั ตรายได้ การตอ่ ลงดนิ แบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น คอื การตอ่ ลงดนิ ทเี่ มนสวติ ช์ และการตอ่ ลงดนิ ของ เครอื่ งใช้ไฟฟ้า จะตอ้ งทาทง้ั สองทจี่ งึ จะใช้งานได้ การตอ่ ลงดนิ ทเ่ี มนสวติ ช์ ทเ่ี มนสวติ ช์จะตอ้ งตอ่ สายนิวทรลั ลงดนิ สายนิวทรลั คอื สา ย เสน้ ทเ่ี มอื่ ใช้ไขควงวดั ไฟวดั แลว้ หลอดทอี่ ย่ใู นไขควงจะไมเ่ รอื งแสงแผงเมนทเ่ี ปน็ คอนซเู มอรย์ นู ิต จะมขี วั้ สาหรบั ตอ่ สายนิวทรลั ซงึ่ จะมเี ครือ่ งหมายแสดงจดุ ตอ่ ลงดนิ ไว้ ในการตอ่ ลงดนิ จะใช้ สายไฟฟ้าขนาดไมเ่ ลก็ กวา่ 10 ตารางมลิ ลเิ มตร(สาหรบั ทา่ นทใี่ ช้เครื่องวดั ขนาดใหญ่กวา่ 50 แอมแปร์ ควรปรกึ ษาช่างผชู้ านาญงาน) การตอ่ ลงดนิ ของเคร่อื งใช้ไฟฟ้า คอื การใช้สายไฟฟ้าตอ่ จากจดุ ตอ่ ลงดนิ ทเ่ี ปลอื กของ เครื่องใช้ไฟฟ้าเดนิ กลบั ไปตอ่ ลงดนิ ทเ่ี มนสวติ ช์ โดยใช้หลกั ดนิ แท่ งเดยี วกบั ของสายนิวทรั ล สายเสน้ นี้เรยี กวา่ “สายดนิ ” สายดนิ จะเดนิ รวมไปดว้ ยกนั กบั สายวงจรทจี่ า่ ยไฟให้เครือ่ งใช้ไฟฟ้า เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าทจี่ ะตอ่ ลงดนิ จงึ ตอ้ งเดนิ สายไฟ 3 เสน้ คอื สายเสน้ ไฟ สายนิวทรลั และสายดนิ ในการใช้งานจะเดนิ สายดนิ ไปตอ่ ทจ่ี ดุ ตอ่ ลงดนิ ของเครื่องใช้ไฟฟ้าเลยโดยไมต่ อ้ งผา่ น สวติ ช์ เพราะสวติ ช์จะตดิ ตง้ั เฉพาะในสายเสน้ ไฟเทา่ น้ันสายดนิ สามารถตอ่ แยกไดเ้ ช่นเดยี วกบั สาย วงจรไฟฟ้า กรณีทไ่ี มส่ ามารถหาสาย VAF ชนิด 3 แกนได้ จะสามารถใช้สายเดยี่ วเดนิ เปน็ สายดนิ เพิ่มได้ แตต่ อ้ งใช้สายสี เขียวหรอื เขี ยวแถบเหลืองเทา่ นั้น เพื่อปอ้ งกนั ความสบั สน เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าทใี่ ช้เตา้ เสยี บ ทงั้ เตา้ เสยี บและเตา้ รบั จะตอ้ งเปน็ ชนิดทม่ี สี ายดนิ ดว้ ย ปจั จบุ นั มกั พบวา่ มกี ารตอ่ ลงดนิ ทไี่ มถ่ กู ตอ้ งอย่เู ปน็ จานวนมาก คอื ทาการตอ่ ลงดนิ โดย ปกั หลกั ดนิ ทบี่ รเิ วณใกลเ้ คยี งกบั เครื่องใช้ไฟฟ้า และตอ่ สายจากเครอื่ งใช้ไฟฟ้าเขา้ กบั หลกั ดนิ เลย ผตู้ ดิ ตง้ั เครือ่ งใช้ไฟฟ้าบางรายใช้แทง่ โลหะสนั้ ๆ หรอื ตะปคู อนกรตี ตอกเขา้ กบั ผนังปนู วธิ กี ารนี้ย่ิง จะทาให้ระบบการตอ่ ลงดนิ ไมไ่ ดผ้ ล เพราะการตอ่ ลงดนิ ทไี่ ดผ้ ลตอ้ งเดนิ สายดนิ ไปทเี่ มนสวติ ช์
55 หลักดิน (Ground Rod) คอื แทง่ โลหะทฝี่ งั ลงในดนิ เพ่ือเปน็ ตวั เชื่อมสายตอ่ หลกั ดนิ จาก เมนสวติ ช์เขา้ กบั ดนิ หลกั ดนิ ทใ่ี ช้ทาดว้ ยแทง่ เหลก็ หุม้ ดว้ ยทองแดง ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 5/8 น้ิว ความยาว 2.40 เมตร การตอ่ สายตอ่ หลกั ดนิ เขา้ กบั หลกั ดนิ สามารถทาไดง้ ่า ย ๆ ดว้ ยอุ ปกรณท์ ี่ เรยี กวา่ แคลมปร์ ปู หัว เปน็ ห่วงทองแดง ปกตเิ วลาซอ้ื หลกั ดนิ กจ็ ะซอื้ แคลมปน์ ี้ตดิ มาดว้ ย ตารางกาหนดขนาดสายไฟฟา้ และสายดินทสี่ อดคล้องกบั ขนาดเครอ่ื งปอ้ งกันกระแสเกนิ ขนาดเซอรก์ ติ เบรกเกอร์ ขนาดสายไฟฟา้ (ตร.มม.) ขนาดสายดิน (ตร.มม.) หรอื ฟวิ ส์ (แอมแปร์) เมอื่ ใชส้ ายแบน ( VAF ) 1.5 10 2.5 1.5 15 2.5 4 20 4 6 30 6 1. เมอ่ื เมนสวิตชเ์ ปน็ คัทเอา๊ ทพ์ รอ้ มฟวิ ส์ ในการตอ่ ลงดนิ จะใช้สายเดยี่ วขนาด 1.0 ตารางมลิ ลเิ มตร ตอ่ จากคทั เอา๊ ทด์ า้ นทไ่ี ฟฟ้าเขา้ ทข่ี วั้ สายนิวทรลั ไปยงั หลั กดนิ สายเสน้ น้ีเรยี กวา่ สายตอ่ หลกั ดนิ ซง่ึ จะตอ้ งตอ่ เขา้ กบั สายดนิ (สเี ขยี ว) และสายสเี ขยี วน้ีจะเดนิ ไปตอ่ กบั จดุ ตอ่ ลงดนิ ของเคร่อื งใช้ไฟฟ้า หรอื ตอ่ เขา้ ขาดนิ ของเตา้ รบั ไฟฟ้า 2. เมอื่ เมนสวิตชเ์ ปน็ คอนซูมเมอรย์ ูนิต การใช้คอนซมู เมอรย์ นู ิตจะสะดวก เพราะมี อปุ กรณเ์ ตรยี มไวใ้ ห้พรอ้ มแลว้ ขวั้ ตอ่ สายดนิ และสายนิวทรลั จะมสี กรสู าหรบั ตอ่ สายไวใ้ ห้ ในการ ตอ่ สายจะปอกสายยาวประมาณ 0.5 เซนตเิ มตร ใสเ่ ขา้ ไปแลว้ ขนั สกรใู ห้แน่น ในแตล่ ะแถวของ ขวั้ ตอ่ สายจะตอ่ ถงึ กนั อยู่แลว้ เราไมจ่ าเปน็ ตอ้ งทาเพิ่มอกี และขวั้ ตอ่ สายกจ็ ะตอ่ ไวก้ บั กลอ่ งโ ลหะ แลว้ จงึ ไมต่ อ้ งทาการตอ่ สายตอ่ หลกั ดนิ เขา้ กบั กลอ่ งอกี คอนซมู เมอรย์ นู ิตบางยีห่ ้ออาจรวมขว้ั สาย ดนิ กบั สายนิวทรลั เปน็ ขวั้ เดยี วกนั ซงึ่ กส็ ามารถใช้งานได้ โดยให้ดไู ดอะแกรมตอ่ สายทต่ี ดิ มา การต่อลงดินทเ่ี ครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ เมอ่ื เดนิ สายชนิด 3 แกนมาทเี่ ครอ่ื งใช้ไฟฟ้า ให้นาสาย สเี ขยี วตอ่ เขา้ กบั ขว้ั ตอ่ ลงดนิ ขว้ั ตอ่ ลงดนิ จะทาเปน็ สกรเู ตรยี มไวแ้ ลว้ โดยสงั เกตวา่ ทข่ี า้ ง ๆ สกรจู ะ มเี ครือ่ งหมายแสดงไว้ กรณีใช้สาย 2 แกนเดนิ เขา้ เครอ่ื งใช้ไฟฟ้า จะใช้สายเดยี่ วสเี ขยี วเดนิ เพิ่ม อกี หน่ึงเสน้ คมู่ ากบั สายคู่ เพื่อใช้ทาเปน็ สายดนิ
56 การต่อลงดินทเี่ ต้ารบั เตา้ รบั ชนิดทมี่ ขี วั้ สายดนิ จะใช้กบั เครอื่ งใช้ไฟฟ้าทต่ี อ้ งตอ่ ลงดนิ ซง่ึ ทต่ี วั เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าจะตอ่ สายดนิ มาเตรยี มไวท้ เ่ี ตา้ เสยี บแลว้ เตา้ รบั ชนิดมขี ว้ั สายดนิ จะมขี วั้ ให้ ตอ่ สาย 3 ขว้ั ขว้ั ทใ่ี ช้ตอ่ กบั สายดนิ จะมเี ครือ่ งหมายอยู่ใกล้ ๆ หรอื อาใจช้เปน็ อกั ษร G หรอื GRD ข้อควรทราบ 1 ประกาศบงั คบั ให้ผใู้ ช้ไฟ ตดิ ตงั้ ระบบสายดนิ ตง้ั แต่ 1 ต.ค. 2546 ดงั นี้ 1. สาหรบั ผใู้ ช้ไฟรายใหมท่ กุ ราย ทกุ ประเภท ตอ้ งมรี ะบบสายดนิ แล ะมกี ารตอ่ ลงดนิ ตาม มาตรฐาน ยกเวน้ ผใู้ ช้ไฟประเภททอี่ ยู่อาศยั ทอี่ ย่นู อกเขตเทศบาล หรอื ผใู้ ช้ไฟในเขตชนบท ซง่ึ ตดิ ตง้ั มเิ ตอรข์ นาดไมเ่ กนิ 5(15) แอมป์ จะมรี ะบบสายดนิ หรอื ไมก่ ไ็ ด้ 2. สาหรบั ผใู้ ช้ไฟรายเดมิ ทม่ี กี ารขอเพ่ิมขนาดมเิ ตอร์ ให้ทาการตอ่ ลงดนิ ทแี่ ผงเมนสวติ ช์ (บรภิ ัณฑ์ประธาน)เทา่ น้ัน ไมต่ อ้ งทาระบบสายดนิ ใหมก่ ไ็ ด้ การตอ่ สายลงดนิ การชารดุ ของอปุ กรณไ์ ฟฟา้ ต่าง ๆ การเสอื่ มสภาพของอปุ กรณ์เนื่องจากการใช้งานมานานหรอื มากเกนิ ไป หรอื ใช้งานไม่ ถกู วธิ ี ดงั น้ันในการใช้งานจงึ ตอ้ งมกี ารตรวจสอบสภาพอย่เู สมอกรณที ม่ี อี ปุ กรณช์ ารดุ ควรงด การใช้งานแจง้ ให้ทกุ คนในบา้ นทราบ หาช่างมาซอ่ ม หรอื ซอ่ มแซมดว้ ยตวั เองในกรณีทช่ี ารดุ ไมม่ ากนัก หลอดไส้ ปกตเิ มอื่ เปดิ สวติ ช์แลว้ ไฟไมต่ ดิ ขอ้ สนั นิษฐานเบอื้ งตน้ กค็ อื หลอดขาดการตรวจสอบจะ คอ่ ย ๆ ไลไ่ ปตามสาเหตทุ ค่ี าดวา่ เกดิ ง่ายกอ่ น เพื่อความสะดวก สามารถแบง่ เปน็ ขน้ั ตอนไดด้ งั นี้ 1 www.eit.or.th/webboard/wbimages/16601q.jpg
57 ตรวจสอบวา่ หลอดขาดหรอื ไม่ ปกตอิ าจตรว จสอบเบอ้ื งตน้ ไดด้ ว้ ยสายตา คื อ ถา้ ไส้ หลอดขาดจะมองเห็นไดช้ ัดเจน แตก่ ม็ บี างครงั้ ทไี่ มส่ ามารถมองเห็นได้ อาจทดลองเปลย่ี นหลอดดู กไ็ ด้ ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งซอ้ื หลอดใหม่ ทาไดโ้ ดยการถอดหลอดทย่ี งั ใช้งานไดม้ าลองเปลย่ี นดู ตรวจวา่ มไี ฟมาถงึ หลอดหรอื ไม่ การตรวจสอบ ให้ถอดหลอดไฟออกกอ่ นเปดิ สวติ ช์ แลว้ ใช้ไขควงวดั ไฟวดั ทขี่ วั้ หลอดทตี่ อ่ กบั สายเสน้ ไฟ ซงึ่ ไขควงจะตอ้ งเรอื งแสง การทดสอบนี้ถา้ ใช้หลอดทดสอบจะไดผ้ ลทแ่ี น่นอนกวา่ เน่ืองจากไขควงไมส่ ามารถวดั สายเสน้ นิวทรลั ได้ ตรวจสวติ ช์ กรณีทว่ี ดั ไฟแลว้ ไมม่ ไี ฟไปถงึ หลอดไฟ ตอ่ ไปควรตรวจทสี่ วติ ช์ เพราะมี โอกาสเปน็ ไดท้ ส่ี วติ ช์เสยี หรอื สายทต่ี อ่ หลดุ กอ่ นถอดฝาสวติ ช์ออกควรปลดเซอรก์ ติ เบรกเกอร์ เสยี กอ่ น เพ่ือปอ้ งกนั อนั ตราย นอกจากวา่ เราจะมปี ระสบการณท์ ด่ี แี ละสวมเครือ่ งปอ้ งกนั ครบถว้ น เมอื่ ตรวจสอบแลว้ ให้สบั เซอรก์ ติ เบรกเกอร์ เปดิ สวติ ช์และวดั ไฟดว้ ยไขควงวดั ไฟ ถา้ สวติ ช์เป็ น ปกตทิ ข่ี วั้ ทงั้ สองจะตอ้ งมไี ฟ ตรวจจดุ ตา่ ง ๆ ถา้ ตรวจสอบขา้ งตน้ แลว้ ไมพ่ บสงิ่ ผดิ ปกติ ควรตรวจจะตอ่ ตา่ ง ๆ ดู เพราะจดุ ตอ่ ตา่ ง ๆ ดู เพราะจดุ ตอ่ มามโี อกาสหลดุ หรอื หลวมไดเ้ ช่นกนั การตรวจจดุ ตอ่ สามารถทา ไดเ้ ช่นกนั การตรวจจดุ ตอ่ สามารถทาไดโ้ ดยใช้ไขควงวดั ไฟหรอื ใ ช้ทดสอบตามทไ่ี ดก้ ลา่ วแลว้ ใน เร่ืองการตรวจสอบวงจรไฟฟ้า ข้อควรระวัง ระหวา่ งทาการตรวจซอ่ มตอ้ งระวงั อยา่ ให้สว่ นของรา่ งกายสมั ผสั กบั สว่ นที่ มไี ฟฟ้า และควรแตง่ กายให้ถกู ตอ้ งเหมาะสม อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ตอ้ งมดี า้ มจบั ทเี่ ปน็ ฉนวนไฟฟ้าดว้ ย การตรวจสอบข้ัวหลอดไฟชนิดหลอดไส้ 1. ถอดหลอดออก เปดิ สวติ ช์ แลว้ ใช้ไขควงวดั ไฟแตะทข่ี วั้ หลอด ขว้ั หลอดชนิ ดเขยี้ ว ภายในจะมปี มุ่ อยู่ 2 ปมุ่ ใช้ไขควงแตะทลี ะปมุ่ จะมอี ยู่ปมุ่ หน่ึงซง่ึ เมอ่ื แตะแลว้ หลอดเรอื งแสงท่ี ไขควงสวา่ ง แตถ่ า้ มไี ฟแลว้ หลอดไมต่ ดิ กแ็ สดงวา่ ปมุ่ ใน ขวั้ จบั หลอดอาจไมส่ มั ผสั กบั ขว้ั หลอด (ตอ้ งทดสอบหลอดกอ่ นวา่ ยงั ไมข่ าดดว้ ย) ขวั้ หลอดชนิดเกลยี ว ภายในขวั้ หลอดจะมปี มุ่ อย่ปู มุ่ เดยี ว ใช้ไขควงวดั ไฟแตะทปี่ มุ่ น้ี ถา้ ไมม่ ไี ฟ ให้ลองเปลย่ี นไปแตะทตี่ รงเกลยี วโลหะดา้ นใน (เดมิ อาจตอ่ สลบั สายไว้ ) ถา้ แตะแลว้ มี ไฟ กอ็ าจเกดิ จากปมุ่ ในขว้ั จบั หลอดไมส่ มั ผสั กบั ขว้ั หลอด 2. กรณที ใี่ ช้ไขควงวดั ไฟแลว้ ไมม่ ไี ฟอาจเปน็ เพราะสายทตี่ อ่ เขา้ ขวั้ หลอดหลวมหรอื หลดุ คลายเกลยี วฝาครอบดา้ นบนออก แลว้ ลองวดั ไฟดอู กี ครง้ั 3. การเปลยี่ นขว้ั หลอด ให้ปดิ สวติ ช์ไฟกอ่ นแลว้ คลายสกรถู อดสายออก เปล่ี ยน ขว้ั หลอดใหมแ่ ลว้ ใสก่ ลบั เหมอื นเดมิ
58 การตรวจสอบสวิตชข์ ้ัวเดียว (สวิตชท์ วั่ ไป) 1. เปดิ ฝาครอบดา้ นนอกออก สวติ ช์บางรนุ่ ตอ้ งใช้ไขควงปากแบนหมนุ สกรอู อก สวติ ช์ บางร่นุ ไมม่ สี กรู ให้ใช้ปลายไขควงปากแบนงัดออก 2. สวติ ช์บางร่นุ ทม่ี ฝี าชั้นใน ตอ้ งใช้ไขควงปากแบนคลายสกรอู อกกอ่ นแลว้ ดงึ ฝาออก จงึ จะตรวจสอบได้ 3. พลกิ สวติ ช์หันดา้ นหลงั ออกจะพบวา่ ขว้ั ตอ่ สายอยู่ 2 ขวั้ กดสวติ ช์ให้อยใู่ นตาแหน่ง เปดิ (ON) แลว้ ใช้ไขควงวดั ไฟแตะทขี่ ั้วทง้ั สองทลี ะขวั้ หลอดเรอื งแสงจะสวา่ งทง้ั สองขว้ั ถา้ แตะ ขว้ั ใดขว้ั หน่ึงไมส่ วา่ ง แสดงวา่ สวติ ช์เสยี ตอ้ งเปลยี่ นใหม่ แตถ่ า้ แตะแลว้ หลอดเรอื งแสงไมส่ วา่ ง ทง้ั สองขวั้ แสดงวา่ ไมม่ ไี ฟมา ตอ้ งยอ้ นกลบั ไปตรวจสอบฟิวสห์ รอื เซอรก์ ติ เบรกเกอรว์ า่ ปลดวงจร หรอื เปลา่ ข้อควรระวัง การดงึ สายออกตอ้ งใช้ความระมดั ระวงั อยา่ ให้รา่ งกายไปถกู สว่ นทม่ี ไี ฟฟ้า และคมี ปาก ยาวทใ่ี ช้ตอ้ งเปน็ ชนิดทด่ี า้ มหุ้มดว้ ยยาง ซงึ่ เปน็ ฉนวนไฟฟ้า ถา้ ไมม่ นั่ ใจระหวา่ งถอดฝาครอบ สวติ ช์และสายไฟควรปลดไฟกอ่ น แตก่ อ่ นใช้ไขควงวดั ไฟทาการวดั ไฟตอ้ งสบั เมนสวติ ช์กอ่ น การเปล่ียนสวิตช์ 1. ปลดไฟและถอดฝาครอบสวติ ช์ทงั้ ฝานอกและฝาในออก แลว้ คลายสกรเู พ่ือดงึ สาย ทตี่ อ่ เขา้ กบั สวติ ช์ออก (สวติ ช์บางรุ่นใช้วธิ ีพันสายรอบสกร)ู 2. ถอดสวติ ช์ออกจากตวั ยดึ โดยใช้ไขควงปากแบนสอดเขา้ ตรงช่องดา้ นบนสวติ ช์ หมนุ บดิ แรง ๆ ใช้มอื กดตวั สวติ ช์ให้หลดุ ออกไปดา้ นหลงั ถา้ เปน็ โลหะตอ้ งใช้คี มบบี สว่ นโลหะที่ ใช้ยดึ สวติ ช์ออก 3. ใสส่ วติ ช์ตวั ใหมโ่ ดยการยอ้ นเขา้ มาจากดา้ นหลงั ใช้มอื กดแรง ๆ ข้อสังเกต ทฝี่ าในมเี ครอ่ื งหมายไวว้ า่ ดา้ นไหน เปน็ ดา้ นบน (ถา้ ใสส่ ลบั บน – ลา่ ง กย็ งั ใช้ได)้ 4. ใสส่ ายและยดึ ฝาครอบกลบั เขา้ ทเี่ ดมิ เหมอื นตอนทถี่ อดออกมา เต้ารบั ไมม่ ีไฟ เมอื่ เสยี บเตา้ เสยี บเขา้ เตา้ รบั แลว้ เครือ่ งใช้ไฟฟ้าใช้งานไมไ่ ด้ อาการน้ีเกดิ ไดจ้ ากหลาย สาเหตุ ควรตรวจสอบตามขน้ั ตอนดงั น้ี 1. เคร่ืองใช้ไฟฟ้าชารดุ ลองยา้ ยเตา้ เสยี บไปเสยี งเตา้ รบั อน่ื เพ่ือตรวจสอบวา่ เครอ่ื งใช้ไฟฟ้ายงั คงใช้งานไดต้ ามปกตหิ รอื ไม่
59 2. เตา้ รบั หลวม เตา้ รบั ทคี่ ณุ ภาพไมด่ ี เมอื่ ใช้งานไประยะหนึ่งอาจหลวม เน่ืองจาก เตา้ เสยี บทนี่ ามาเสยี บมหี ลายแบบหลายขนาด ลองขยบั ดู พบไดง้ ่ายในเตา้ เสยี บแบบขาแบน 3. สายไฟทต่ี อ่ เขา้ เตา้ รบั หลดุ หรอื เกดิ จากสาเหตอุ นื่ เช่น สายขาดร ะหวา่ งทาง หรอื เครอื่ งปอ้ งกนั กระแสเกดิ ปลดวงจร เปน็ ตน้ การทดสอบเบอื้ งตน้ ทาไดโ้ ดยการใช้ไขควงวดั ไฟหรอื หลอดทดสอบ หรอื ถอดเตา้ รบั เพื่อตรวจสอบดู การเปล่ียนเต้ารบั 1. ปลดไฟโดยการโยกเบรกเกอรใ์ นตาแหน่ง OFF หรอื ถา้ เปน็ คทั เอา๊ ทใ์ ห้ยกคทั เอา๊ ทล์ ง เปดิ ฝาครอบเตา้ รบั ดา้ นนอกออก - บางรนุ่ ไมม่ สี กรู ให้ใช้ไขควงปากแบนงัดออก - บางรุ่นมสี กรู ให้ขนั สกรอู อก 2. คลายสกรเู อาฝาครอบดา้ นในออกตวั เตา้ รบั จะตดิ ออกมาดว้ ย 3. คลาดสกรทู ยี่ ดึ สายออกและดงึ สายออก หรอื ทฝ่ี าครอบดา้ นใน ตาแหน่งเหนือ เตา้ รบั จะมชี ่องสเี่ หล่ียมเลก็ ๆ เอาไขควงปากแบนใสแ่ ลว้ บดิ แรง ๆ พรอ้ มกบั เอานิ้วหัวแมม่ อื กด แรง ๆ ให้เตา้ รบั หลดุ ออกไปทางดา้ นหลงั 4. ใสเ่ ตา้ รบั ตวั ใหมโ่ ดยยอ้ นมาจากดา้ นหลงั (ยอ้ นทางทถ่ี อดออก ) ใช้มอื กดแรง ๆ (ไม่ ตอ้ งใช้ไขควง) ตอ่ สาย และเกบ็ สายให้เรยี บรอ้ ยและใสก่ ลบั เขา้ ทเี่ ดมิ กรณีเตา้ รบั เปน็ ชนิด มสี ายดนิ ให้ตอ่ สายดนิ (สเี ขยี ว ) เขา้ กบั ขว้ั ตอ่ ลงดิ น ( ปกตมิ ี เครื่องหมาย) ตอ่ สายสดี าเขา้ สกรสู ที องเหลอื ง สายสเี ทาเขา้ สกรสู เี งิน การทดสอบสายดินทเ่ี ต้ารบั เตา้ รบั ชนิดมสี ายดนิ ตดิ ตง้ั เสรจ็ แลว้ ควรทดสอบดว้ ยวา่ สายดนิ ใช้งานไดห้ รอื ไม่ 1. ใช้ไขควงวดั ไฟทดสอบหารทู เี่ ปน็ สายเสน้ ไฟ โดยการใช้ปลายไขควงใสเ่ ขา้ ไปใน เตา้ รบั รทู เี่ ปน็ สายไฟ หลอดเรอื งแสงจะสวา่ ง (ปกตจิ ะเปน็ รบู น) 2. ใช้หลอดทดสอบทาการทดสอบใช้ปลายสายดา้ นหน่ึงเสยี บเขา้ รเู ตา้ รบั เสน้ ไฟ อกี ปลายหน่ึงเสยี บเขา้ รสู ายดนิ หลอดจะสวา่ ง (ถา้ ไมส่ วา่ งแสดงวา่ สายดนิ ขาดหรอื หลดุ ) เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ในบา้ น เครือ่ งใช้ไฟฟ้า คอื อปุ กรณ์ทเี่ ปลยี่ นพลงั งานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานรปู อน่ื เพ่ือนาไปใช้ใน ชีวติ ประจาวนั ไดแ้ ก่ เคร่อื งใช้ไฟฟ้าทใ่ี ห้ความรอ้ น เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าทใ่ี ห้แสงสวา่ ง เคร่ืองใช้ไฟฟ้า ทใี่ ห้พลงั งานเสยี ง และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าทใ่ี ห้พลงั งานกล
60 1. ความรเู้ บอื้ งต้นเกย่ี วกับเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ทใี่ ห้ความรอ้ น อปุ กรณส์ รา้ งความรอ้ น (Heating Element) เปน็ สว่ นประกอบทปี่ ระกอบอยภู่ ายใน เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าทใ่ี ห้ความรอ้ นโดยทวั่ ๆ ไป อปุ กรณส์ รา้ ง ความรอ้ นจดั ไดว้ า่ เปน็ หัวใจในการ ทางานของเคร่ืองเพราะจะทาหน้าทเี่ ปน็ ตวั เปลยี่ นพลงั งานจากพลงั งานไฟฟ้าให้มาอยใู่ นรปู ของ พลงั งานความรอ้ นได้ ตามปกตอิ ปุ กรณส์ รา้ งความรอ้ นมกั จะเรยี กกนั วา่ “ลวดความรอ้ น ” “แผน่ ความรอ้ น” หรอื อาจจะเรยี กรวม ๆ กนั วา่ “ฮีทเตอร”์ (Heater) ลวดความรอ้ นสว่ นใหญ่จะเปน็ ลวดนิโครม (Nichrome wire) ซง่ึ ไดม้ าจากการผสมของ นิเกลิ (Nikel) 60% เหลก็ (Iron) 24% และ โครเมย่ี ม (Chromium) 16% สาหรบั ความตา้ นทานไฟฟ้าของลวดนิโครมจะสงู กวา่ ลวดทองแดง ประมาณ 50 – 60 เทา่ ลวดนิโครมมคี ณุ สมบตั เิ หมาะทจี่ ะนามาใช้ เปน็ อปุ กรณ์สาหรบั เปลยี่ น พลงั งานไฟฟ้ามาเปน็ พลงั งานความรอ้ นเพราะลวดนิโครมสามารถให้ความรอ้ นไดส้ งู ไมห่ ลอม ละลายง่าย และถา้ ให้พลงั งานไฟฟ้ากบั ลวดนิโครม 1 กโิ ลวตั ต์ – ชั่วโมง ลวดนิโครมจะเปลยี่ น พลงั งานไฟฟ้าดงั กลา่ วออกมาในรปู ของความรอ้ น ประมาณ 3,412 บี.ที.ยู/ช่ัวโม ง (B.T.U./hr.) แบง่ ออกตามลกั ษณะการออกแบบเพ่ือใช้งานได้ 3 แบบ คอื 1. ลวดความรอ้ นแบบเปลือย ลวดความรอ้ นแบบน้ีจะมลี กั ษณะเปน็ ขดคลา้ ยสปรงิ ขนาด ของกาลงั ไฟฟ้าจะมากหรอื น้อยขนึ้ อยู่กบั ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางหรอื ความโตของเสน้ ลวด กลา่ วคอื ถา้ ขนาดของลวดเสน้ ใหญ่กจ็ ะมกี าลงั ไฟฟ้ามากและถา้ เสน้ เลก็ กจ็ ะมกี าลงั ไฟฟ้าน้อย ลวดความรอ้ น ดงั กลา่ วมกั จะมใี ช้ในเตาไฟฟ้าเคร่ืองเปา่ ผมเครอื่ งอบผม และเครื่องอบแห้ง เปน็ ตน้ 2. ลวดความรอ้ นแบบก่งึ ปดิ ลวดความรอ้ นแบบน้ีโดยทว่ั ๆ ไปจะมลี กั ษณะแบ นพันอยู่ รอบแผน่ ไมกา้ (Mica) ซง่ึ มคี ณุ สมบตั ทิ น ตอ่ ความรอ้ นไดส้ งู และเปน็ ฉนวนไฟฟ้า และเมอื่ พัน ลวดความรอ้ นรอบแผน่ ไมกา้ แลว้ กจ็ ะใช้แผน่ ไมกา้ ปดิ หน้าหลงั ของลวดความรอ้ นอกี ทหี นึ่ง ลวดความรอ้ นแบบนี้มกั จะใช้ในเตารดี ไฟฟ้า เครอื่ งปง้ิ ขนมปงั หมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้ารุ่นเกา่ เปน็ ตน้ 3. ลวดความรอ้ นแบบปดิ ลวดความรอ้ นแบบน้ี จะทาไดโ้ ดยการนาลวดความรอ้ นแบบ เปลอื ยซง่ึ มลี กั ษณะคลา้ ยสปรงิ สอดเขา้ ไปในทอ่ โลหะ (ทอ่ เหลก็ , ทอ่ ทองแดง , ทอ่ สแตนเลส ) และ เทแมกนีเซยี มออกไซด์ (Magnesium Oxide) เขา้ ไปภายในทอ่ ซง่ึ แมกนีเซยี มออกไซดน์ ้ีจะมี คณุ สมบตั เิ ปน็ ฉนวนไฟฟ้า ไมแ่ ตกหรอื รา้ วง่ายเมอื่ ไดร้ บั ความรอ้ น สงู ทง้ั ยงั มคี ณุ สมบตั สิ ง่ ถา่ ย ความรอ้ นไดด้ อี กี ดว้ ย และหลงั จากการเทแมกนีเซยี มออกไซดแ์ ลว้ ลวดความรอ้ นดงั กลา่ วกจ็ ะเสรจ็ ลวดความรอ้ นแบบนี้มกั จะมใี ช้ใน หมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า เครอื่ งทาน้าอนุ่ เปน็ ตน้
61 อปุ กรณค์ วบคุมอณุ หภูมิ (Temperature Control) หรอื “เทอรโ์ มสตทั ” (Thermostat) บางทเี รยี กกนั วา่ “ออโตเมตคิ ” (Automatic) แตใ่ นทน่ี ้ีจะเรยี กวา่ “เทอรโ์ มสตทั ” จดั ไดว้ า่ เปน็ อปุ กรณ์ทม่ี คี วามสาคญั รองมาจากลวดความรอ้ น เพราะเปน็ อปุ กรณ์ทที่ าให้ความรอ้ นทอี่ อกมาจาก เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าคงที่ โดยทผ่ี ใู้ ช้จะสามารถปรบั อุณหภูมหิ รอื ความรอ้ นของเครื่องใช้ ให้เปน็ ไปตาม ตอ้ งการได้ แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 5 ชนิดคอื 1. เทอรโ์ มสตัทชนิดไบ-เมทอล สตรปิ (Bi-metal Strip type) ไบ-เมทอล หมายถงึ การ นาเอาโลหะ 2 ชนิดทม่ี อี ตั ราการขยายตวั ไมเ่ ทา่ กนั มาประกอบหรอื ยดึ ตดิ เขา้ ดว้ ยกนั ลกั ษณะการยดึ ของโลหะทง้ั สองเขา้ ดว้ ยกนั นี้จะทาอยา่ งแน่นหนามากและเมอื่ นาโลหะไบ-เมทอล มาให้ความรอ้ น โลหะดงั กลา่ วจะเกดิ การงอตวั ซงึ่ ลกั ษณะการงอของโลหะไบ -เมทอลน้ี จะสามารถนาไปบงั คบั คอนแทคของเครือ่ งใช้ไฟฟ้าให้ตดั การทางานเมอ่ื เครือ่ งมคี วามรอ้ นถงึ จดุ ทต่ี อ้ งการได้ โลหะทนี่ ิยม มาทาเปน็ โลหะไบ-เมทอลกค็ อื เหลก็ กบั ทองแดง หรอื เหลก็ กบั ทองเหลอื ง 2. เทอรโ์ มสตัทชนิดแม่เหล็ก (Magnetic type) ทฤษฎีของแมเ่ หลก็ ไดก้ ลา่ วถงึ สารทมี่ ี คณุ สมบตั เิ ปน็ แมเ่ หลก็ วา่ สารดงั กลา่ วน้ันตอ้ งมอี ณูหรอื โมเลกลุ ภายในเรยี งตวั กนั อยา่ งมรี ะเบยี บ และถา้ โมเลกลุ เรยี งตวั เปน็ ระเบยี บมากคณุ สมบตั ใิ นการเปน็ แมเ่ หลก็ กย็ อ่ มมมี ากดว้ ย แตถ่ า้ โมเลกลุ เรยี งตวั กนั น้อยคณุ สมบตั ขิ องแมเ่ หลก็ กน็ ้อยตามไปดว้ ย และถา้ โมเลกลุ ของสารไมเ่ รยี งตวั กนั เลย คณุ สมบตั ขิ องการเปน็ แมเ่ หลก็ กจ็ ะไมม่ ี 3. เทอรโ์ มสตัทชนิดทใี่ ชส้ ารไว้ต่ออณุ หภมู ิ เทอรโ์ มสตทั ชนิดนี้จะมใี ช้ทงั้ การควบ คมุ เคร่อื งใช้ไฟฟ้าทผี่ ลติ ความรอ้ น และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าทเ่ี ปน็ เคร่ืองทาความเยน็ จะอาศยั สารทม่ี ี คณุ สมบตั ไิ วตอ่ อณุ หภูมเิ ช่น แอลกอฮอร์, แอมโมเนีย และฟรอี อน เปน็ ตวั บงั คบั ให้เทอรโ์ มสตทั ทางานได้ กลา่ วคอื เมอื่ เรานาเทอรโ์ มสตทั ชนิดน้ีมาให้ความรอ้ นทปี่ ลายกระเปาะ จะทา ให้สารทอ่ี ยู่ ภายในกระเปาะ และภายในทอ่ รเู ขม็ เกดิ การขยายตวั และจะทาให้เกดิ แรงดนั ซงึ่ แรงดนั ดงั กลา่ วนี้ก็ จะผลกั ดนั เบลโล (Bello) ให้เคลอื่ นทแ่ี ละการเคลอื่ นตวั ของเบลโ ลนี้เรากส็ ามารถนาไปบงั คบั หรอื ควบคมุ คอนแทคให้ตดั กระแสไฟฟ้าไมใ่ ห้ไหลผา่ นเมอื่ ความรอ้ นของเครอื่ งใช้ ถงึ จดุ ทต่ี ง้ั ไว้ 4. เทอรโ์ มสตัทชนิดใชเ้ ทอรม์ สิ เตอร์ (Thermister) เทอรม์ สิ เตอร์ (Thermister) เปน็ อปุ กรณท์ างอเี ลก็ ทรอนิกส์ ทม่ี คี ณุ สมบตั สิ ามารถเปลยี่ นคา่ ความตา้ นทานตวั เองไดเ้ มอื่ อุณหภูมิ เปลยี่ นแปลง ซงึ่ เราสามารถนามาปอ้ นให้กบั วงจรอเี ล็ กทรอนิกส์ เพื่อให้ วงจรดงั กลา่ วตดั กระแสไฟฟ้าไมใ่ ห้ไหลผา่ นเคร่อื งใช้ไฟฟ้าเมอื่ อณุ หภูมสิ งู ถงึ จดุ ทต่ี งั้ ไวไ้ ด้
62 5. เทอร์ โมสตัทชนิดเทอรโ์ มคัปเปลิ (Thermocouple) เทอรโ์ มคปั เปลิ หมายถงึ การนาเอาลวดโลหะ 2 ชนิด พันตอ่ กนั และเมอื่ จดุ ตอ่ ของโลหะทง้ั สองไดร้ บั ความรอ้ นจ ะเปน็ ผลทา ให้ปลายของลวดโลหะมแี รงดนั ไฟฟ้าเกดิ ขนึ้ มาได้ ซง่ึ การเกดิ ขน้ึ ของแรงดนั ไฟฟ้าดงั กลา่ วเราก็ สามารถนาไปจา่ ยให้กบั วงจรอีเลกทรอนิกสเ์ พ่ือไปควบคมุ กระแสไฟฟ้าทไี่ หลผา่ นเคร่อื งใช้ไฟฟ้า ตอ่ ไป สาหรบั ลวดโลหะทใ่ี ช้มกั จะใช้ลวดเหลก็ กบั ลวดทองแดงเพราะจะสามารถให้แรงดนั ไ ฟฟ้า มากกวา่ ลวดโลหะชนิดอน่ื และเมอ่ื ตอ้ งการแรงดนั ไฟฟ้าทสี่ งู ขนึ้ กส็ ามารถตอ่ เทอรโ์ มคปั เปลิ กนั แบบอนั ดบั หมอ้ หุงข้าวไฟฟา้ (Electric Rice Cooker) ส่วนประกอบที่สาคัญทางไฟฟา้ ของหมอ้ หุงข้าวไฟฟ้า www.sripiboon.com/.../spd_20071015115709_b.JPG 1. อุปกรณใ์ ห้ความรอ้ น อปุ กรณใ์ ห้ความรอ้ น หรอื แผน่ ฮีตเตอรท์ ใ่ี ช้ในหมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้า จะเปน็ ลวดนิโครม (Nichrome wire) ซงึ่ ลวดนิโครมดงั กลา่ วน้ีสามารถทนความรอ้ นไดถ้ งึ 1,700 องศาฟาเรนไฮด์ หรอื ประมาณ 926 องศาเซลเซยี ส แผน่ ความรอ้ นทใี่ ช้ มอี ยู่ 2 แบบคอื ก. แผ่นความรอ้ นแบบกึ่งปดิ (Semi closing Heating element) แผน่ ความรอ้ นแบบนี้ จะใช้กบั หมอ้ หุงขา้ วแบบเกา่ ซงึ่ มลี กั ษณะเปน็ ภาชนะ 2 ชั้นซอ้ นกนั ซง่ึ ภาชนะใบนอกจะมไี ว้ สาหรบั ใสน่ ้าและภาชนะใบในจะมไี วส้ าหรบั รรจนุ ้าและขา้ วทจี่ ะหุง แผน่ ความรอ้ นจะมลี กั ษณะ เปน็ วงแหวนโดยจะนาลวดนิโครมชนิดแบน พันรอบฉนวนทนความรอ้ น หรอื เรยี กวา่ แผน่ ไมกา้ (Mica) และกจ็ ะใช้แผน่ ไมกา้ อกี เช่นกนั ปดิ ทบั หน้าหลงั อกี ทหี นึ่ง ในปจั จบุ นั แผน่ ความรอ้ น ลกั ษณะน้ีจะมาทาเปน็ แผน่ อนุ่ ขา้ วในหมอ้ หุงขา้ วรุ่นใหม่ ข. แผ่นความรอ้ นแบบปดิ (Closing Heating element) แผน่ ความรอ้ นแบบปดิ น้ีจะ ใช้กบั หมอ้ หุงขา้ วรุน่ ใหมท่ ผี่ ลติ ขนึ้ ในปจั จบุ นั แผน่ ความรอ้ นชนิดน้ีจะทาดว้ ยลวดนิโครม ทมี่ ี ลกั ษณะคลา้ ยสปรงิ ห้มุ ดว้ ยผงฉนวน (Insulator powder) กจ็ ะหลอ่ ทบั ดว้ ยอลมู เิ นียม อกี ชั้นหนึ่งโดย มขี ว้ั ตอ่ ย่นื ออกมา 2 ขว้ั
63 2. อปุ กรณค์ วบคุมอุณหภมู ิ (Temperature Control) อปุ กรณ์ควบคมุ อณุ หภูมหิ รอื เทอร์ โมสตทั จะตดั กระแสไฟฟ้าทผี่ า่ นเมนฮีตเตอรห์ ลงั จากขา้ วสกุ แลว้ โดยเทอรโ์ มสตทั ทใี่ ช้ในหมอ้ หุงขา้ วมี 2 ชนิด คอื ก. แบบไบ-เมทอลิค (Bi-metallic type) หมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้าทใี่ ช้เทอรโ์ มสตทั ประเภท นี้ จะมขี อ้ ดตี รงทว่ี า่ สามารถปรบั แตง่ การทางานของหมอ้ หุงขา้ วได้ ซง่ึ จะสะดวกและเปน็ ประโยชน์ ตอ่ การซอ่ มมาก ข. แบบแม่เหล็ก (Magnetizing type) หมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้าชนิดทใี่ ช้เทอรโ์ มสตทั ประเภทนี้ถา้ มจี ดุ บกพรอ่ งเสอ่ื มหรอื เสยี ทเี่ ทอรโ์ มสตทั จะตอ้ งเปลย่ี นชุดแมเ่ หลก็ ของเทอรโ์ มสตทั ชนิดน้ีทง้ั ชุดโดยไมส่ ามารถปรบั แตง่ ไดแ้ ตแ่ นวโน้มในการผลติ หมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้าในปจั จบุ นั นับวนั จะใช้แมเ่ หลก็ เปน็ เทอรโ์ มสตทั หรอื เปน็ ตวั กาหนดการทางานของหมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้า 3. หลอดบอกการทางาน (Indicator Lamp) หมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้าจะมหี ลอดไฟทจี่ ะทา หน้าทบี่ อกสภาวะการทางานวา่ ขณะน้ีหมอ้ หุงขา้ วอยู่ในสภาวะหุง (Cook) หรอื อนุ่ (Warm) กลไกของหมอ้ ข้าวไฟฟ้า www.rmutphysics.com/.../index129_files/183.jpg หลักการทางาน จะเห็นวา่ ภาชนะทบี่ รรจขุ า้ วจะวางแนบสนิท อยบู่ นแผน่ ฮีตเตอรแ์ ละตรงกงึ่ กลางกน้ หมอ้ ดงั กลา่ วจะมเี ทอรโ์ มสตทั กดทกี่ น้ หมอ้ โดยใช้แรงสปรงิ กดเทอรโ์ มสตทั ให้ตดิ กบั กน้ หมอ้ ไว้ ความรอ้ นทไ่ี ดร้ บั น้ันจะมาจากแผน่ ความรอ้ นโดยตรง ดงั น้ันความรอ้ นทแี่ ผน่ ฮีตเตอรจ์ ะเคลอ่ื นที่ เขา้ หา ภาชนะทใ่ี สข่ า้ วตลอดเวลาโดยเทอรโ์ มสตั ทจะรบั ความรอ้ นจากกน้ หมอ้ อกี ทหี น่ึง (ถา้ กน้ หมอ้ มคี วามรอ้ นเทา่ ไรเทอรโ์ มสตทั กจ็ ะไดร้ บั ความรอ้ นเทา่ น้ัน ) ขณะทห่ี มอ้ หุงขา้ วยงั อยู่ใน สภาวะหุงนั้น น้าภายในหม้ อจะเดอื ดและเปน็ ไอไปเรื่อย ๆ ขณะนี้เทอรโ์ มสตทั จะยงั ไมต่ ดั กระแสไฟฟ้าเขา้ แผน่ ฮีตเตอร์ เพราะความรอ้ นทปี่ อ้ นให้กบั เทอรโ์ มสตทั ยงั ไมเ่ พียงพอ และเมอื่ น้า
64 เดอื ดมาก ๆ น้าจะเริ่มแห้งและขา้ วจะเร่มิ สกุ ดว้ ย จนในทส่ี ดุ น้าทอ่ี ยู่กบั ขา้ วแห้งและขา้ วทห่ี ุงสกุ ซงึ่ เมอ่ื น้าแห้งความรอ้ นทห่ี มอ้ หุงขา้ วจะเพ่ิมจนความรอ้ นมมากถงึ จดุ ทจี่ ะทาให้เทอรโ์ มสตทั ทางานและบงั คบั ให้คอนแทคแยกออกจากกนั ซง่ึ กเ็ ปน็ ผลให้แผน่ ฮีตเตอรห์ ยดุ ทางาน เตารดี ไฟฟา้ (Electric Irons) ในปจั จบุ นั เตารดี ไฟฟ้ากย็ งั มบี ทบาทอนั สาคญั ยิง่ ในการทจี่ ะทาให้เสื้ อผา้ เรยี บน่าสวมใส่ เตารดี ไฟฟ้าทม่ี มี าตง้ั แตอ่ ดตี จนปจั จบุ นั สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 แบบคอื เตารดี ไฟฟา้ แบบธรรมดา (Electric Irons) เตารดี แบบนี้เปน็ เตารดี ไฟฟ้าแบบเกา่ ซง่ึ ใน ปจั จบุ นั น้ีหาไดย้ ากแลว้ เตารดี ไฟฟ้าประเภทนี้จะจา่ ยกระแสไฟฟ้าให้แผน่ ความรอ้ น (Heating element) รอ้ นทนั ทแี ตถ่ า้ เตารดี รอ้ นจดั กจ็ ะตอ้ งดงึ ปลก๊ั ออกและเมอื่ เตารดี มคี วามรอ้ นลดน้อยลงไม่ เพียงพอทจี่ ะรดี ผา้ ให้เรยี บได้ กต็ อ้ งเสยี บปลก๊ั เขา้ ไปอกี ครงั้ หลักการทางาน เมอ่ื เสยี บปลก๊ั เตารดี แลว้ กจ็ ะทาให้มกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นแผน่ ความรอ้ น ซงึ่ กจ็ ะเปน็ ผล ให้แผน่ ความรอ้ น รอ้ นและสง่ ความรอ้ นไปยงั พื้นเตารดี แตเ่ มอื่ ขณะรดี ผา้ ถา้ ปรากฏวา่ ความรอ้ นที่ พื้นเตารดี รอ้ นเกนิ ไปกจ็ ะตอ้ งดงึ ปลกั๊ ของเตารดี ออกซงึ่ กระแสไฟฟ้ากจ็ ะไมไ่ หลผา่ นแผน่ ความรอ้ น ดงั น้ันแผน่ ความรอ้ นกจ็ ะไมร่ อ้ น และพื้นเตารดี จะคอ่ ย ๆ เยน็ ตวั ลงและเมอื่ ผา้ ทรี่ ดี ไม่ เรยี บกแ็ สดง วา่ ความรอ้ นทพี่ ้ืนเตารดี น้อยเกนิ ไป ซงึ่ กต็ อ้ งเสยี บปลกั๊ เพื่อจา่ ยกระแสไฟฟ้าเขา้ แผน่ ความรอ้ นอกี เตารดี ไฟฟา้ แบบอตั โนมัติ (Automatic Electric Irons) เตารดี ไฟฟ้าแบบนี้จดั วา่ เปน็ เตารดี ท่ี นิยมใช้กนั มากในปจั จบุ นั เพราะการใช้งานไมย่ ุ่งยากเหมอื นกบั เตารดี ไฟฟ้าแบบธรรมดา เตารดี ไฟฟ้าแบบอตั โนมตั จิ ะมปี มุ่ สาหรบั ปรบั อณุ หภูมขิ องพื้นเตารดี ให้พอเหมาะพอดกี บั ชนิดของ ผา้ ตา่ ง ๆ โดยไมต่ อ้ งคอยดงึ ปลกั๊ ออกเมอ่ื เตารดี รอ้ นจดั http//aaccord.com/product/50/M08/big/11.jpg ส่วนประกอบ 1. สายไฟ ปลั๊ก และปลอกสาย สายไฟจะตอ้ งเปน็ สายทที่ นตอ่ ความรอ้ นและตอ้ งทนตอ่
65 การเสยี ดสี ในขณะเตารดี เคลอื่ นท่ี สายไฟควรมสี ว่ นผสมของนิเกลิ (Nikel) และหมุ้ ดว้ ยฉนวนทน ความรอ้ น แอสเบสทอส (Asbastos) และหมุ้ ดว้ ยดา้ ยไนลอ่ น สว่ นปลอกสายจะทาดว้ ยยางมไี วเ้ พ่ือ ปอ้ งกนั สายชารดุ กอ่ นเวลาอนั ควร 2. มอื จบั (Handle) ทาดว้ ยพลาสตกิ ทนความรอ้ นทาหน้าทปี่ อ้ งกนั มใิ ห้ความรอ้ นมาที่ มอื ขณะรดี ผา้ 3. ฝาครอบ (Cover) ทาดว้ ยเหลก็ ชุดโครเมยี ม โดยจะทาหน้าทปี่ กปดิ ชิ้นสว่ นภายในเพ่ือ มใิ ห้ผใู้ ช้สมั ผสั ซง่ึ อาจจะเกดิ อนั ตรายได้ 4. คอนแทค (Contact) ทาหน้าทเ่ี ปน็ สวทิ ช์ตดั ตอ่ กระแส ไฟฟ้าผา่ นแผน่ ความรอ้ นโดยท่ี คอนแทคน้ีจะถกู ไบ-เมทอลคิ ควบคมุ อกี ทหี นึ่ง 5. แผ่นความรอ้ น (Heating element) แผน่ ความรอ้ นทใ่ี ช้ในเตารดี ไฟฟ้าจะมี 2 แบบ คอื ก. แบบกึ่งปดิ (Semi Closing Heating element) แผน่ ความรอ้ นแบบนี้จะประกอบ ดว้ ยลวดนิโครม ชนิดแบนทบั เสน้ ใบไมกา้ และหมุ้ ดว้ ยแผน่ ไมกา้ หน้า , หลงั อกี 2 แผน่ จากนั้นกจ็ ะ มขี ว้ั ไฟฟ้าออกมา 2 ขวั้ เพ่ือตอ่ กบั วงจรไฟฟ้าภายในเตารดี ลกั ษณะของแผน่ ความรอ้ นชนิดนี้จะเปน็ รปู รา่ งตามลกั ษณะพื้นเตารดี การตดิ ตง้ั จะวางแนบกบั พ้ืนเตารดี และกดทบั ดว้ ยแผน่ แอสเบสทอส และเหลก็ กดแผน่ ความรอ้ นอกี ทหี นึ่ง ข. แบบปดิ (Closing Heating element) ลวดความรอ้ นทใ่ี ช้กบั เตารดี ไฟฟ้าชนิดนี้จะ หลอ่ ตดิ กบั พ้ืนเตารดี ซง่ึ ถา้ ลวดความรอ้ นขาดกจ็ ะตอ้ งเปลยี่ นทงั้ พื้นเตารดี แตโ่ ดยปกตแิ ลว้ ลวดความรอ้ นประเภทนี้จะทนมาก แตจ่ ะเปลอื งกาลงั ไฟฟ้าคอ่ นขา้ งสงู 6. แผ่นตงั้ เตารดี (Heel plate) เปน็ แผน่ โลหะสว่ นใหญ่จะทาดว้ ยอลมู เิ นียม ทาหน้าท่ี เปน็ ตวั ปอ้ งกนั เมอ่ื ขณะตง้ั เตารดี เพ่ือมใิ ห้พื้นเตารดี ซงึ่ มคี วามรอ้ นถกู หรอื สมั ผสั กบั พื้นทตี่ ง้ั เตารดี เพราะแผน่ น้ีจะมคี วามรอ้ นน้อยมากและยงั ทาหน้าทปี่ ดิ ทา้ ยพื้นเตารดี อกี ดว้ ย 7. พนื้ เตารดี (Sole plate) ทาดว้ ยเหลก็ ชุบโครเมยี ม อยา่ งดี ทาหน้าทเี่ ปน็ ตวั รบั ความรอ้ น มากแผน่ ความรอ้ นสง่ ไปยงั ผา้ ทรี่ ดี 8. หลอดไฟ (indicator lamp) หลอดไฟทใ่ี ช้จะมแี รงดนั ขนาด 1.5 V หรอื 2.5 V สาหรบั เตารดี ทม่ี ลี วดความตา้ นทาน หลอดนีออน 220 Vสาหรบั เตารดี ไ สแ้ บบปดิ เตารดี ทใี่ ช้ลวด ความตา้ นทาน จะมฝี าครอบทา้ ย ทฝี่ าครอบทา้ ยเตารดี จะมขี ว้ั โลหะตอ่ กบั หลอดไฟ 2 ขว้ั ซง่ึ ประกอบกบั ทา้ ยเตารดี แลว้ ขวั้ ดงั กลา่ วจะสมั ผสั กบั หลกั ทตี่ อ่ กบั ลวดความตา้ นทาน ดงั น้ันจงึ เทา่ กบั
66 เรานาเอาหลอดไฟไปตอ่ ขนานลวดความตา้ นทานกจ็ ะจา่ ยแรงดนั ไฟฟ้าท่ี ตกครอ่ มให้กบั หลอดไฟ จะทาให้หลอดไฟสวา่ งบอกสภาวะการทางานของเตารดี ได้ 9. แผ่นไบ-เมทอลิค (Bi-Metallic) จะยดึ ตดิ กบั พ้ืนเตารดี หรอื โซลเพรท (Sole plate) ดว้ ย สกรแู ละมรี เู พื่อเกย่ี วกบั ลวดเหลก็ ซงึ่ จะบงั คบั หรอื ควบคมุ คอนแทคให้ตดั หรอื ตอ่ อกี ทหี น่ึง 10. ลวดความต้านทาน (Lamp Resistor) ลวดความตา้ นทานน้ีจะตอ่ อนั ดบั กบั วงจรของ แผน่ ฮีตเตอร์ ซง่ึ ถา้ แผน่ ฮีตเตอรม์ กี ระแสไหลผา่ น ลวดความตา้ นทานนั้นกจ็ ะมกี ระแสไหลผา่ น ดว้ ย และกจ็ ะเกดิ มแี รงดนั ตกครอ่ มทลี่ วดความตา้ นทานน้ี เมอ่ื เรานาเอาหลอดไฟ ซง่ึ อยทู่ ที่ า้ ยเตา รดี มาขนานกบั ลวดความตา้ นทาน กจ็ ะทาให้หลอดไฟดงั กลา่ วนี้สวา่ ง ดงั น้ันถา้ มกี ระแสไฟไหล ผา่ นแผน่ ความรอ้ นหลอดไฟกจ็ ะตดิ สวา่ ง และถา้ ไมม่ กี ระแสไฟไหลผา่ นหลอดไฟกจ็ ะดบั (บาง แบบไมต่ อ้ งมแี ตใ่ ช้หลอดไฟขนานกบั ไสค้ วามรอ้ นโดยตรง) 11. เหล็กกดแผ่นความรอ้ น (Pressure plate) ทาหน้าทชี่ ่วยกดให้ แผน่ ความรอ้ นแนบ แน่นกบั พื้นเตารดี เพ่ือให้ความรอ้ นจากแผน่ ความรอ้ น ผา่ นไปยงั พื้นเตารดี ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ในเตารดี ร่นุ เกา่ เหลก็ กดแผน่ ความรอ้ นจะมขี นาดใหญ่ จดุ มงุ่ หมายเพ่ือเพ่ิมน้าหนัก (บางแบบไมต่ อ้ งม)ี 12. แผ่นก้นั ความรอ้ น (Insulating Heating element) อยู่ระหวา่ งเหลก็ กดแผน่ ความ รอ้ นกบั แผน่ ความรอ้ นโดยจะทาหน้าทก่ี นั ความรอ้ นมใิ ห้ลอยตวั ขนึ้ มาบนฝาครอบซง่ึ จะทาให้เกดิ ความรอ้ นทมี่ อื ในขณะรดี ผา้ ซง่ึ แผน่ ดงั กลา่ วจะเปน็ ฉนวนความรอ้ นทเ่ี รยี กวา่ “แอสเบสทอส ” (Asbestos) ซง่ึ บางแบบไมต่ อ้ งมี หลกั การทางานของเตารดี ไฟฟ้าแบบอตั โนมตั ิ วงจรไฟฟ้าของเตารดี เมอ่ื จา่ ยกระแสไฟฟ้าเขา้ เตารดี จะทาให้มกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ น ลวดความตา้ นทาน คอนแทค ลวดความรอ้ น ตามลาดบั ซง่ึ กจ็ ะเปน็ ผลให้แผน่ ความรอ้ นรอ้ นและกส็ ง่ ความรอ้ นให้กบั พื้นเตารดี ดงั น้ันพื้นเตารดี กจ็ ะมคี วามรอ้ นเพ่ิมขน้ึ เรือ่ ย ๆ และในขณะเดยี วกนั แผน่ ไบ -เมทอลทยี่ ดึ
67 ตดิ กบั พื้นเตารดี กจ็ ะไดร้ บั ความรอ้ นน้ีดว้ ย และเมอื่ แผน่ ไบ -เมทอลไดร้ บั ความรอ้ นกจ็ ะเกดิ การงอ ตวั และงอมากขนึ้ เร่ือย ๆ ตามปรมิ าณของความรอ้ นทไี่ ดร้ บั ซง่ึ อาการงอตวั ของแผน่ ไบ -เมทอลกจ็ ะ สง่ ผลทาให้แรงกดระหวา่ งหน้าคอนแทคน้อยลง จนในทส่ี ุดพื้นเตารดี มคี วามรอ้ นถงึ ระดบั ทต่ี งั้ ไว้ คอนแทคดงั กลา่ วกจ็ ะตดั กระแสไฟฟ้าไมใ่ ห้ไหลผา่ นแผน่ ความรอ้ น เปน็ ผลให้พ้ืนเตารดี เยน็ ลง แผน่ ไบเมทอล กจ็ ะเร่ิมเหยยี ดตรงตามเดมิ ดงั นั้นคอนแทคกจ็ ะตอ่ กระแสไฟฟ้าให้กบั แผน่ ความ รอ้ นอกี คร้งั หนึ่ง คอนแทคกจ็ ะตดั กระแสไฟฟ้าของลวดความรอ้ นอกี เมอื่ ความรอ้ นของพ้ืนเตารดี ถงึ จดุ ทต่ี ง้ั ไว้ เตารดี ไอน้า (Electric Steam Irons) เปน็ เตารดี ซง่ึ พัฒนามาจากเตารดี แบบอตั โนมตั ิ เตา รดี ชนิดน้ีไมจ่ าเปน็ จะตอ้ งพรมน้าให้กบั ผา้ เพ่ือให้ผา้ เรยี บ แตจ่ ะมไี อน้าให้กบั ผา้ ซง่ึ จะทาให้ผา้ ทร่ี ดี เรยี บ สว่ นประกอบของเ ตารดี ไอน้า จะคลา้ ยกบั เตารดี แบบอตั โนมตั ติ า่ งกนั ตรงมถี งั สาหรบั ใสน่ ้า เพ่ือสรา้ งไอน้าให้กบั ผา้ เตารดี ไอน้าแบง่ ตามประเภทการเกดิ ไอได้ 2 ชนิดคอื 1. ชนิดเกดิ ไอน้าในถังบรรจนุ ้า เตารดี ไอน้าชนิดน้ีถงั น้าจะไดร้ บั ความรอ้ นโดยตรงจาก ตวั ฮีตเตอรท์ พี่ ้ืนเตารดี และเมอื่ ไดร้ บั ความรอ้ นมาก ๆ จะกลายสภาพเปน็ ไออย่ใู นถงั บรรจนุ ้ามนั เมอ่ื บงั คบั ปมุ่ ทค่ี วบคมุ ไอน้าแลว้ จะทาให้มไี อน้าออกจากห้องไอน้าแยกเปน็ 2 ทางทางแรกจะผา่ น ลน้ิ ไอน้าทพี่ ้ืนเตารดี เพื่อให้ไอน้ากบั ผา้ และไอน้าอกี สว่ นจะแยกกลบั ไปยงั ถงั ให้เกดิ ความสมดลุ ทางแรงดนั ยงั ผลให้ไอน้าทอี่ อกจากพ้ืนเตารดี มแี รงดนั สมา่ เสมอ สาหรบั เตารดี ไอน้าแบบทพ่ี ่น ไอน้าไดก้ จ็ ดั วา่ เปน็ เตารดี ทอี่ ยใู่ นประเภทเกดิ ไอน้าในถงั บรรจนุ ้าชนิดนี้ จะมปี ม๊ั ลกู สบู เปน็ ตวั อดั ไอน้าให้ผา่ นลนิ้ ทพี่ ้ืนเตารดี กระจายเปน็ ฝอยละเอยี ดโดยมปี มุ่ กดดา้ นหน้า มอื จบั ของเตารดี 2. ชนิดเกดิ เปน็ ไอน้าทพี่ น้ื เตารดี เตารดี ชนิดนี้ น้าในถงั จะไดร้ บั ความรอ้ นจาก ฮีตเตอร์ ของเตารดี ไมม่ ากดงั นั้นน้าในถงั เกบ็ น้าดงั กลา่ วจะมเี พียงน้ารอ้ นเทา่ นั้น ไมถ่ งึ กบั เปน็ ไอน้า ซง่ึ เมอ่ื บงั คบั ให้ปมุ่ ปลอ่ ยไอน้าทางานจะทาให้น้าในถงั เกบ็ น้าผา่ นลน้ิ ควบคมุ น้า เขา้ ห้องไอ ซงึ่ อยอู่ ยทู่ พี่ ื้น เตารดี และเมอื่ น้าไดร้ บั ความรอ้ น กจ็ ะกลายสภาพเปน็ ไอน้า และไหลผา่ นลนิ้ ควบคมุ ไอน้าทพ่ี ื้นเตา รดี และจะมไี อน้าสว่ นหน่ึงไหลกลบั ไปยงั ถงั เกบ็ น้า เพื่อความสมดลุ ทางแรงดนั และเพ่ือเพิ่มแรงดนั ให้กบั น้าโดยใตถ้ งั เกบ็ น้าจะมที อ่ เลก็ ๆ ตอ่ อยู่กบั หัวพ่น และเมอ่ื คลายปมุ่ ให้หัวพ่นเปดิ น้าจากถงั เกบ็ น้าจะผสมกบั ไอน้าทห่ี ้องไอทาให้น้าทอี่ อกมาจากหัวพ่นเปน็ ฝอย สว่ นการปรบั ปรมิ าณของ ไอน้าจะตงั้ ไดท้ ปี่ มุ่ สเปรย์ โดยปมุ่ นี้จะบงั คบั แทง่ โลหะในทอ่ ให้เคลอ่ื นท่ี ในเตารดี ไอน้าการทางาน
68 ทางดา้ นระบบไฟฟ้าจะเหมอื นกบั เตารดี แบบอตั โนมตั ิ กลา่ วคอื จะมฮี ีตเตอรแ์ ละเทอรโ์ มสตทั เปน็ ตวั ทางาน และควบคมุ การทางานของเตารดี ให้ไดอ้ ณุ หภูมติ ามทตี่ อ้ งการ การบารงุ รกั ษา เตารดี ไอน้ามปี ญั หาทยี่ ุ่งยากกวา่ เตารดี ธรรมดา คอื ปญั หาเร่ืองน้า โดยปกตนิ ้าทใี่ ช้เตมิ เตารดี ควรจะเปน็ น้ากลน่ั ทส่ี ะอาดบรสิ ทุ ธิ์ เพราะถา้ ใช้น้าทไ่ี มบ่ รสิ ทุ ธิจ์ ะทาให้เกดิ ตะกอน หรอื ตะกรนั ภายในตวั เตารดี เปน็ ผลให้เกดิ การอดุ ตนั ตามลนิ้ ทพี่ ื้นเตารดี ทาให้รจู า่ ยไอน้าตนั ได้ ถา้ จะใช้ น้าประปาหรอื น้าทผี่ สมคลอรนี ควรจะทง้ิ ให้คลอรนี ละเหยให้หมดเสยี กอ่ น ซงึ่ จะตอ้ งใช้เวลา ประมาณ 3 – 5 วนั เพราะถา้ มคี ลอรนี ผสมไปกบั น้าทเี่ ตมิ เตารดี จะทาให้เกดิ เปน็ อลมู เิ นียมออกไซด์ (Aluminum Oxide) ซง่ึ มสี เี ทา และเมอื่ เวลารดี ผา้ สารนี้กจ็ ะตดิ มากบั ไอน้าทาให้ผา้ ทรี่ ดี เปน็ จดุ ได้ 2. ความรเู้ บอื้ งต้นเก่ยี วกบั เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ แสงสว่าง หลอดชนิดทเ่ี ปล่งแสงออกจากไส้ (Incandescent Lamp) เอดสิ นั ไดน้ าไสห้ ลอดซง่ึ ทาดว้ ยถา่ นเสน้ เลก็ ๆ บรรจใุ นหลอดสญู ญากาศ และเมอื่ ได้ จา่ ยกระแสไฟฟ้าให้กบั ไสห้ ลอดไฟฟ้าดงั กลา่ วกจ็ ะมแี สงสวา่ งออกมา โดยทไ่ี สห้ ลอดไมส่ ลายตวั เนื่องจากความรอ้ นทง้ั ๆ ทอ่ี ณุ หภูมขิ องไสห้ ลอดนับพันองศา เซลเซยี สสาเหตทุ เ่ี ปน็ เช่นน้ีเพราะ “เอดสิ นั ” ไดด้ ดู อากาศออกจากหลอดจนหมด จงึ ไมม่ อี อกซเิ จนทจ่ี ะไปปฏิกริ ยิ ากบั ไสห้ ลอดได้ หลอดไฟฟ้าชนิดทเี่ ปลง่ แสงออกจากไสห้ ลอดในปจั จบุ นั นี้ ไดแ้ กไ้ ขขอ้ เสยี ของหลอดไฟ รุ่นแรก ๆ โดยอายกุ ารใช้งานจะนานกวา่ มากและทนตอ่ การถกู กระทบกระเทอื นไดม้ ากกวา่ หลอด ร่นุ เกา่ โดยไสห้ ลอดไมข่ าด หลอดไฟฟ้าดงั กลา่ วจะมไี สห้ ลอดทที่ าดว้ ยทงั สเตน ซง่ึ เปน็ โลหะทม่ี จี ดุ หลอมละลายสงู มากโดยจะสามารถทนตอ่ ความรอ้ นสงู ๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี สว่ นภายในหลอดกจ็ ะ บรรจแุ กส๊ ประเภทแกส๊ เฉอื่ ย เช่นแกส๊ อากอน (Argon gas) หรือแกส๊ ไนโตรเจน (Nitrogen gas) แต่
69 ถา้ เปน็ หลอดทมี่ ขี นาดตง้ั แต่ 40 วตั ตข์ นึ้ ไปมกั จะใช้ แกส๊ ทง้ั สองชนิดนี้ผสมกนั เพ่ือให้อายกุ ารใช้ งานของหลอดนานขนึ้ สว่ นสาเหตทุ บี่ รรจแุ กส๊ เฉอ่ื ยเขา้ ไปในหลอดแทนทจี่ ะดดู อากาศออกเพียง อยา่ งเดยี วกเ็ พราะวา่ แกส๊ ตระกลู แกส๊ เฉอื่ ยจะไมท่ าปฏิกริ ยิ ากบั สสารใด ๆ หรอื ถา้ จะทาปฏิกริ ยิ าก็ จะตอ้ งใช้เวลานานมาก ดงั น้ันหลอดไฟฟ้าทบี่ รรจุ แกส๊ เฉอื่ ยจะมอี ายกุ ารใ ช้งานนานกวา่ หลอด สญุ ญากาศ เพราะเมอื่ จา่ ยกระแสไฟฟ้าเขา้ หลอด ไสห้ ลอดจะเผาไหมไ้ ดเ้ รว็ กวา่ ไสห้ ลอดทอ่ี ยู่ใน แกส๊ เฉอื่ ย หลอดเรอื งแสง (Gaseous discharge lamp) หลกั การทางานของหลอดเรอื งแสง เมอื่ กระแสไฟฟ้าผา่ นไสห้ ลอดจะทาให้ไสห้ ลอด รอ้ นขนึ้ ความรอ้ นทเี่ กดิ ทาให้ปรอททบี่ รรจไุ วใ้ นหลอดกลายเปน็ ไอมากขนึ้ เมอื่ กระแสไฟฟ้าผา่ น ไอปรอทไดจ้ ะคายพลงั งานไฟฟ้าให้ไอปรอท ทาให้อะตอมของไอปรอทอยูใ่ นภาวะถกู กระตนุ้ และ อะตอมปรอทจะคายพลงั งานออกมา เพ่ือลดระดบั พลงั งานของตนในรปู ของรงั สอี ลั ตราไวโอเลต เมอื่ รงั สดี งั กลา่ วกระทบสารเรอื งแสงทฉ่ี าบไวท้ ผ่ี วิ ในของหลอดเรอื งแสงนั้นกจ็ ะเปลง่ แสงได้ โดย ให้แสงสตี า่ งๆ ตามชนิดของสารเรอื งแสงทฉ่ี าบไวภ้ ายในหลอดน้ัน เช่น แคดเมยี มบอเรทจะให้แสง สชี มพู ซงิ คซ์ ลิ เิ คทให้แสงสเี ขยี ว แมกนีเซยี มทงั สเตนให้แสงสขี าวอมฟ้า และยงั อาจผสมสารเหลา่ น้ี เพื่อให้ไดส้ ผี สมทแ่ี ตกตา่ งออกไปอกี ดว้ ย หลอดเรอื งแสงสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 5 ชนิด คอื 1. หลอดไอโซเดียม (Sodium Vapor Lamp) ประกอบดว้ ยไสห้ ลอดทท่ี าดว้ ยทงั สเตน (Tungsten) และมแี ผน่ อเี ลก็ โทรด (Electrode Plate) ซงึ่ เปน็ โลหะโซเดยี มตอ่ ขนานกบั ไสห้ ลอด จะ กลายเปน็ ไอเมอ่ื ไดร้ บั ความรอ้ น และจะบรรจไุ อปรอท (Mercury Vapor) เขา้ ไปในหลอดเพ่ือช่วย ให้สภาพภายในหลอดมคี วามตา้ นทานไมส่ งู เกนิ ไป ผลกจ็ ะทาให้การจดุ ตดิ ของหลอดง่ายขนึ้ แสงที่ ไดจ้ ะออกโซลสเี หลอื ง นิยมใช้ตามทางแยกถนน สะพานตา่ ง ใช้ตดั หมอก 2. หลอดไอปรอท (Mercury Vapor Lamp) มสี ว่ นประกอบทคี่ ลา้ ยคลงึ กบั หลอดไอ โซเดยี มมาก กลา่ วคอื จะประก อบดว้ ยไสห้ ลอดทงั สเตนและแผน่ อเี ล็ กโทรด (electrode plate) ขนานกนั และจะบรรจปุ รอทเหลวเขา้ ไปในหลอด แสงทไ่ี ดจ้ ะออกสเี ขยี วปนแดง ใช้ในงานถา่ ยภาพ อตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ 3. หลอดแสงจันทร์ (Moon Light Lamp) ประกอบดว้ ยหลอดแกว้ 2 ช้ัน แสงทเ่ี ปลง่ ออกมาจะมาจากหลอดแกว้ ช้ันใน สว่ นหลอดแกว้ ช้ันนอกจะห้มุ หลอดแกว้ ช้ันในเพ่ือปอ้ งกนั หลอดแกว้ ชั้นในมใิ ห้ถกู กระทบกระแทกและถกู อากาศรอบ ๆ ทม่ี อี ุ ณหภูมติ ่ากวา่ ซงึ่ จะเปน็ ผลทา ให้อายกุ ารใช้งานของหลอดสน้ั ลง ขาของหลอดแสงจนั ทรจ์ ะมี 3 ขาโดย 2 ขา หัวทา้ ยจะทางาน
70 ตลอดเวลาทห่ี ลอดทางา สว่ นขาทเี่ หลอื อกี ขาหน่ึงจะเปน็ ขาทชี่ ่วยให้หลอดเริม่ ทางานหรอื เปน็ ขาที่ ช่วยให้หลอดตดิ ไดแ้ ละในหลอดแกว้ ช้ันในจะใส่ แกส๊ อากอน (Argon gas) กบั เมด็ ปรอท อปุ กรณ์ ประกอบในวงจรหลอดแสงจนั ทรก์ จ็ ะมีบาลาส ต์ (Ballast) ซงึ่ จะเปน็ ตวั ช่วย ลดกระแสไฟฟ้าให้ พอเหมาะกบั ความตอ้ งการของหลอดในขณะทหี่ ลอดกาลงั ทางาน 4. หลอดนีออน (Neon Lamp) เปน็ หลอดไฟฟ้าทไี่ มไ่ ดอ้ อกแบบมาสาหรบั ให้แสงสวา่ ง เหมอื นกบั หลอดประเภทอนื่ แตข่ า่ ยงานของหลอดนีออนจะใช้ในดา้ นงานการประดบั งานโฆษณา งานนาเปน็ หลอดไฟฟ้าให้สญั ญาณ งานตรวจเช็คระบบไฟฟ้า และเปน็ หลอดทใี่ ช้สาหรบั บอก เมอ่ื เครอ่ื งทางาน เปน็ ตน้ สาหรบั หลอดนีออนทใี่ ช้ในงานโฆษณาจะมลี กั ษณะเปน็ หลอดแกว้ ดดั เปน็ รปู ทรงตา่ ง ๆ ซง่ึ จะมคี วามยาวทแี่ ตกตา่ งกนั ตามลกั ษณะการออกแบบ ดงั นั้น ระยะห่างของ อเี ลก็ ตรอนสามารถผา่ นแกส๊ นีออน (Neon gas) จากขว้ั หน่ึงไปยงั อกี ขวั้ หน่ึงได้ ซงึ่ กม็ อี ยวู่ ธิ เี ดยี วคอื ตอ้ งเพิ่มแรงดนั ไฟฟ้าให้สงู มากพอทจี่ ะผลกั ดนั อเี ลก็ ตรอนให้วงิ่ ผา่ นจากขว้ั อเี ล็ กโทรดหน่ึงไปยงั อกี ขวั้ หน่ึงได้ ดงั นั้น หลอดนีออนจงึ ตอ้ งมหี มอ้ แปลงสาหรบั เพ่ิมแรงดนั ไฟฟ้าให้สงู ขน้ึ พอกบั ความตอ้ งการของหลอด สว่ นแรงดนั ไฟฟ้าทใี่ ช้จะมากหรอื น้อยกข็ น้ึ อยู่กบั ความยาวของหลอด โดย แรงดนั ไฟฟ้าทใี่ ช้จะมขี นาดประมาณหลายพันโวลต์ 5. หลอดฟลูออเรสเซ็นต์ เปน็ หลอดทถ่ี กู ออ กแบบมาใช้สาหรบั การให้แสงสวา่ งกบั อาคารบา้ นเรอื นและในสถานทตี่ า่ ง ๆ ในปจั จบุ นั หลอดฟลอู อเรสเซนตจ์ ดั ไดว้ า่ เปน็ หลอดไฟทเ่ี ปน็ ทนี่ ิยมใช้กนั มากเพราะผใู้ ช้เลง็ เห็นถงึ ประโยชน์ในการให้แสงสวา่ ง และถงึ แมว้ า่ หลอดดงั กลา่ วจะ ใช้อปุ กรณ์ประกอบทจี่ ะตอ้ งตอ่ รว่ มอยใู่ นวงจรซง่ึ กจ็ ะทาให้ราคาคอ่ นขา้ งสงู กต็ าม แตป่ ระโยชน์ และขอ้ ดกี ม็ มี าก เช่น . 1. หลอดฟลอู อเรสเซนต์ ให้แสงสวา่ งมากกวา่ หลอดทเี่ ปลง่ แสงจากไสเ้ มอ่ื เทยี บอตั รา ของกระแสไฟทเี่ ทา่ กนั 2. ให้แสงสวา่ งทน่ี วลกวา่ ไมท่ าให้แสบตา 3. เกดิ เงาจากแสงสวา่ งน้อยกวา่ 4. ความรอ้ นทเ่ี กดิ จากหลอดน้อยกวา่ 5. อายกุ ารใช้งานของหลอดมากกวา่
71 โครงสรา้ งหลอด Fluorescent สว่ นประกอบของ ตวั หลอดฟลอู อเรสเซนตจ์ ะประกอบดว้ ย 1. ตัวหลอด จะทาดว้ ยแกว้ บางใสภายในตวั หลอดจะเคลอื บสารเรอื งแสง ซงึ่ จะใช้สาร ฟอสเฟอร์ (Phosphor) เปน็ ตวั เคลอื บ สารเรอื งแสงทเี่ คลอื บตวั หลอดดงั กลา่ วจะเปน็ ตวั ทที่ าหน้าที่ เปลย่ี นแสงอตุ ราไวโอเรทให้เปน็ แสงสวา่ งทต่ี ามองเห็น 2. ขั้วหลอด จะมหี น้าทเี่ ปน็ จดุ ตอ่ กระแสไฟฟ้าจากภายนอกเขา้ สตู่ วั หลอด ขวั้ หลอดจะ มี 2 ลกั ษณะ คอื ขว้ั หลอดเดยี ว ซงึ่ จะมขี วั้ หลอดเพียงขา้ งละหนึ่งขว้ั ของหัวทา้ ยหลอดโดยขว้ั หลอด แบบน้ีจะใช้กบั หลอดชนิดแคโทดเยน็ และขว้ั หลอดอกี ลกั ษณะหนึ่ง คอื ขว้ั หลอดคู่ ซง่ึ กจ็ ะมี ขว้ั หลอดขา้ งละสองขว้ั ขวั้ หลอดแบบน้ีจะใช้กบั หลอดชนิดแคโทดรอ้ น 3. ไส้หลอด ไสห้ ลอดของหลอดฟลอู อเรสเซนตจ์ ะมใี ขก้ บั หลอดชนิดแคโทดรอ้ นซงึ่ ไสห้ ลอดดงั กลา่ วจะทาหน้าทเี่ ปน็ ตวั อนุ่ ตวั มนั เองให้รอ้ นเพื่อผลในการกระจายอเี ล็กตรอน 4. สารบรรจุภายในหลอด สารภายในหลอดฟลอู อเรสเซนต์ มี 2 ชนิด คอื แกส๊ อากอน (Argon gas) และหยอดปรอท ซง่ึ จะแปรสภาพเปน็ ไอปรอท (Mercury Vapor) เมอื่ ไดร้ บั ความรอ้ น ชนิดของหลอดฟลูออเรสเซนต์ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1. หลอดฟลอู อเรสเซนตช์ นิดแคโทดเยน็ (Cold cathode type) ปจั จบุ นั ไมค่ อ่ ยเปน็ ทน่ี ิยม ใช้กนั ซงึ่ ถงึ แมว้ า่ หลอดชนิดน้ีจะจดุ ตดิ ไดเ้ รว็ (Quick start) และไมต่ อ้ งใช้สตารท์ เตอร์ (Starter) ก็ ตามแตก่ ารทจี่ ะหาหมอ้ แปลงไฟฟ้าเพ่ือทาหน้าทเี่ พ่ิมแรงดนั ไฟฟ้าให้กบั หลอดจะยุ่งยากมากเพราะ หลอดชนิดนี้จะตอ้ งใช้แรงดนั ไฟฟ้าสงู ซงึ่ อาจจะมขี นาดตง้ั แตห่ ลายรอ้ ยโวล ต์และบางครงั้ กอ็ าจ ตอ้ งเปน็ พันโวลตจ์ งึ ทาให้เกดิ ความลาบากในการจดั หาอปุ กรณ์ และอนั ตรายทอ่ี นั อาจจะเกดิ จาก ไฟฟ้าทม่ี แี รงดนั สงู จงึ ทาให้ไมค่ อ่ ยจะเปน็ ทน่ี ิยมในหมขู่ องผใู้ ช้เทา่ ใดนัก 2. หลอดฟลอู อเรสเซนต์ ชนิด แคโทดร้ อน (Hot cathode type) กาลงั เปน็ ทน่ี ิยมใช้ใน ปจั จบุ นั เพราะเมอ่ื ตดิ ตงั้ อปุ กรณข์ องหลอดและตอ่ วงจรครบ กส็ ามารถทจี่ ะตอ่ ใช้กบั ไฟฟ้าภายใน
72 บา้ นไดท้ นั ทโี ดยไมต่ อ้ งเพิ่มแรงดนั ให้สงู ขนึ้ แตอ่ ยา่ งใด สว่ นอปุ กรณห์ รอื สว่ นประกอบกห็ าไดง้ ่าย ตวั หลอดชนิดนี้กจ็ ะมขี ว้ั หลอดขา้ งละ สองขว้ั ภายในของหลอดแตล่ ะขา้ งกจ็ ะมไี สห้ ลอดขา้ งละ หนึ่งไส้ โดยจะตอ่ ปลายไสห้ ลอดกบั ขว้ั ของหลอดอกี ทหี นึ่ง หลอดฟลอู อเรสเซนต์ ชนิดแคโทดรอ้ น สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 แบบคอื 1. หลอดฟลอู อเรสเซนต์ ชนิดอนุ่ ไสห้ ลอด (Pre-heat type) จดั ไดว้ า่ เปน็ หลอดฟลอู อเรส เซนตท์ น่ี ิยมใช้กนั มากทสี่ ดุ ไมว่ า่ จะเปน็ ในอาคารบา้ นเรอื น โรงเรยี น โรงงานอตุ สาหกรรม หรอื ใน สถานทอ่ี นื่ ๆ เพราะเหตวุ า่ หลอดฟลอู อเรสเซนตช์ นิดน้ี เปน็ หลอดทมี่ รี าคาถกู เมอื่ เทยี บกบั ประเภท อนื่ อปุ กรณ์หรอื สว่ นประกอบหาไดไ้ มย่ าก เปน็ ตน้ หลอดฟลอู อเรสเซนตป์ ระเภทนี้มอี ปุ ก รณ์ ประกอบในวงจรอกี 2 อยา่ งคอื Ballast Starter สตารท์ เตอร์ (Starter) จะเปน็ อปุ กรณท์ ที่ าหน้าทอ่ี นุ่ ไสข้ องหลอดฟลอู อเ รสเซนตเ์ พื่อ ผลในการกระจายอเี ล็ กตรอนและเพ่ิมไอปรอทให้กบั หลอดหลงั จากทสี่ ตารท์ เตอรท์ าหน้าที่ เรยี บรอ้ ยแลว้ สตารท์ เตอรก์ จ็ ะตดั ตวั มนั เองออกจากวงจร หลักการทางานของสตารท์ เตอร์ สตารท์ เตอร์ จะประกอบดว้ ยขว้ั 2 ขว้ั ขอ้ ทอี่ ยกู่ บั ท่ี และขว้ั อกี ขวั้ หน่ึงเปน็ ขวั้ ท่ี เคลอ่ื นทไี่ ด้ โดยขวั้ ทเ่ี คลอ่ื นทไ่ี ดจ้ ะเปน็ แผน่ ไบ-เมทอลคิ (Bi-metallic) (หมายถงึ โลหะทมี่ สี มั ประสทิ ธใิ์ นการ ขยายตวั ไมเ่ ทา่ กนั มายดึ ตดิ แนบแน่น ซงึ่ เมอื่ ไดร้ บั ความรอ้ นกจ็ ะโก่ งงอได้ ) ซง่ึ ในขณะทหี่ ลอดยงั ไมต่ ดิ สตารท์ เตอรจ์ ะมคี วามตา้ นทานตา่ กวา่ หลอด ดงั น้ัน อเี ล็ กตรอนกจ็ ะวง่ิ ผา่ นสตารท์ เตอรจ์ าก ขวั้ หนึ่งไปยงั อกี ขว้ั หน่ึงได้ (อเี ล็ กตรอนจะวง่ิ ผา่ นแกส๊ ทเ่ี คลอ่ื นทไ่ี ปได้ ) ซง่ึ กจ็ ะเปน็ ผลทาให้ ขวั้ ของสตารท์ เตอรด์ า้ นทเี่ ปน็ แผน่ ไบ-เมทอลคิ งอตวั เขา้ มาแตะกบั ขว้ั ของสตารท์ เตอรอ์ กี ขว้ั หนึ่ง ผลกจ็ ะทาให้ไสห้ ลอดฟลอู อเรสเซนตค์ รบวงจร และเมอ่ื ไสห้ ลอดรอ้ นอเี ล็ กตรอนกจ็ ะวง่ิ ผา่ น
73 หลอดแทนสตารท์ เตอร์ ซงึ่ กจ็ ะทาให้สตารท์ เตอรม์ สี ภาพของขวั้ แยกกนั ตามเดมิ (เพราะแรงดนั ท่ี ตกคลอ่ ม สตารท์ เตอรม์ คี า่ ลดลง) บลั ลาสต์ (Ballast) จะเปน็ อปุ กรณท์ ที่ าหน้าทล่ี ดแรงดนั และกระแสไฟฟ้ าให้พอเหมาะ พอดกี บั หลอดทใ่ี ช้ ดงั น้ัน บลั ลาสตจ์ งึ ตอ้ งเลอื กใช้ให้เหมาะสมกบั หลอดดว้ ย มฉิ ะน้ันอาจจะทาให้ หลอดไมต่ ดิ หรอื ไสห้ ลอดอาจขาดได้ เช่น หลอดฟลอู อเรสเซนตข์ นาด 40 วตั ต์ กต็ อ้ งใช้กบั บลั ลาสต์ 40 วตั ตเ์ ทา่ นั้นจะใช้กบั บลั ลาสตข์ นาดอน่ื ไมไ่ ด้ สว่ นป ระกอบภายในกจ็ ะประกอบดว้ ย แกนเหลก็ ทปี่ ระกอบมาจากแผน่ เหลก็ อดั ขนึ้ เปน็ รปู แกน และจากน้ันกจ็ ะมลี วดทองแดงอาบน้ายา พันทบั อยู่บนแกนเหลก็ ดงั กลา่ วอกี ทหี นึ่ง หลักการทางานของหลอดฟลูออเรสเซนต์ ชนิดอนุ่ ไส้หลอด หลอดฟลอู อเรสเซนตช์ นิดน้ีจะประกอบดว้ ยตวั หลอด บลั ลาสต์ และสตารท์ เตอร์ และ เมอื่ จา่ ยแรงดนั ไฟฟ้าเขา้ วงจรจะทาให้แรงดนั ไฟฟ้าผา่ นไสห้ ลอดและไปตกครอ่ มทสี่ ตารท์ เตอรม์ ี ขนาดแรงดนั เทา่ กบั แหลง่ จา่ ยทเี่ ขา้ มา (ในช่วงน้ีบลั ลาสต์ยงั ไมไ่ ดส้ รา้ งความตา้ นทานออกมาตา้ น เพราะกระแสไฟฟ้ายงั ไมไ่ หลผา่ นวงจร) ซง่ึ กเ็ ปน็ ผลให้เกดิ มคี วามตา่ ง ศกั ยไ์ ฟฟ้าทส่ี งู มากพอทจ่ี ะ ทาให้อเี ลก็ ตรอนจากขว้ั หน่ึงของสตารท์ เตอรว์ งิ่ ผา่ น แกส๊ ภายในไปยงั อกี ขว้ั ไฟอกี ขว้ั หน่ึงของ สตารท์ เตอรไ์ ด้ ดงั น้ันภายในสตารท์ เตอรก์ จ็ ะเกดิ ความรอ้ นและทาให้ขาของสตารท์ เตอรท์ เี่ ปน็ แผน่ ไบเมทอลงอตวั มาสมั ผสั กบั ขาอกี ขา้ งหน่ึงของสตารท์ เตอร์ ในช่วงน้ีเองจะทาให้เกดิ มี กระแสไฟฟ้าไหลผา่ น บลั ลาสต์ ไสห้ ลอดสตารท์ เตอรแ์ ละไสห้ ลอดอกี ขา้ งหนึ่ง ซง่ึ ผลทต่ี ามมาก็ คอื บลั ลาสตเ์ มอื่ มกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นกจ็ ะสรา้ งความตา้ นทา นน้ันมาดงั น้ันกจ็ ะมแี รงดนั ไฟฟ้า สว่ นหน่ึงตกครอ่ มทบี่ ลั ลาสต์ สว่ นแรงดนั ไฟฟ้าทเ่ี หลอื กจ็ ะมขี นาด พอดี กบั ความตอ้ งการของไส้ หลอดทาให้ไสห้ ลอดทง้ั สองของหลอดรอ้ น และเรมิ่ กระจายอเิ ลก็ ตรอนออกพรอ้ มกนั นั้นเมด็ ปรอททอี่ ยู่ภายในหลอดกจ็ ะแปรสภาพเปน็ ไอปรอทผสมกบั แกส๊ อากอน ภายในหลอดซง่ึ กเ็ ปน็ ผล ทาให้ความตา้ นทานระหวา่ งไสห้ ลอดดา้ นหัวและทา้ ยหลอดลดลง ดงั น้ัน เมอื่ ช่วง ขาสตารเ์ ตอร์ แยกออกจากกนั อเี ลก็ ตรอนกจ็ ะวงิ่ ผา่ นหลอดแทนทจ่ี ะผา่ นสตารท์ เตอร์ ขณะทอ่ี เี ลก็ ตรอน วง่ิ ผา่ น ระหวา่ งไสห้ ลอดทง้ั สอง อเี ลก็ ตรอนกจ็ ะชนกบั แกส๊ อากอน ซง่ึ กจ็ ะทาให้ แกส๊ อากอนแตกตวั เปลง่ แสงอตุ ราไวโอเรทออกมาและเมอื่ แสงอตุ ราไวโอเรทกระทบกบั สารฟอสเฟอร์ ทฉ่ี าบภา ยใน หลอดกจ็ ะทาให้แสงทเ่ี ปลง่ ผา่ นสารฟอสเฟอรอ์ อกมาเปน็ แสงทต่ี ามองเห็นได้ และในขณะท่ี อเี ลก็ ตรอน วงิ่ ผา่ นหลอดกระแสไฟฟ้ากจ็ ะไหลผา่ นบลั ลาสต์ ตลอดเวลา ซงึ่ บลั ลาสตก์ จ็ ะสรา้ ง
74 ความตา้ นทานขนึ้ มาเพ่ือลดแรงดนั และกระแสไฟฟ้าให้มคี า่ พอเหมาะกบั ความตอ้ งการของหลอด การตอ่ วงจรหลอด ฟลอู อเรสเซนต์ 2. หลอดฟลอู อเรสเซนตช์ นิดจดุ ตดิ ไดเ้ รว็ หลอดฟลอู อเรสเซนตช์ นิดนี้กาลงั เริ่มเปน็ ที่ นิยมใช้ในปจั จบุ นั เพราะมคี ณุ สมบตั ทิ ดี่ กี วา่ หลอดฟลอู อเรสเซนตช์ นิดอนุ่ ไสห้ ลอดหลายประการ คอื อายกุ ารใช้งานมากกวา่ สตา รท์ ไดร้ วดเรว็ กวา่ ใช้ในทท่ี อ่ี ณุ หภูมติ า่ มาก ๆ ได้ (ใช้ไดถ้ งึ – 20 องศาเซลเซยี ส) สว่ นหลอดฟลอู อเรสเซนตแ์ บบอนุ่ ไสห้ ลอดถา้ ใช้ทอ่ี ณุ หภูมิ 15 องศาเซลเซยี ส จะเหลอื ความสวา่ งเพียง 50 เปอรเ์ ซน็ ตข์ องความสวา่ งสงู สดุ และถา้ อณุ หภูมลิ ดลงมากกวา่ น้ีความ สวา่ งกจ็ ะลดลงไปเรอื่ ย ๆ จนกระทง่ั หลอดดบั และขอ้ ดขี องหลอดชนิดจดุ ตดิ ไดเ้ รว็ อี กประการ หนึ่งกค็ อื หลอดชนิดน้ีจะมคี วามทนทานตอ่ ความชื้นไดม้ ากกวา่ หลอดชนิดอนุ่ ไสห้ ลอดได้ หลายเทา่ ตวั สว่ นการทจี่ ะใช้อปุ กรณใ์ นการลดแสงสวา่ งกบั หลอดชนิดนี้กส็ ามารถทาได้ แตถ่ า้ เปน็ หลอดชนิดอนุ่ ไสห้ ลอดจะใช้ไมไ่ ดแ้ ละจะดบั ทนั ที หลอดชนิดน้ีจะมอี ปุ กรณท์ ตี่ อ่ รว่ มในวงจรเพียงอยา่ งเดยี ว คอื บลั ลาสต์ แตส่ าหรบั บาลาสตท์ ใี่ ช้จะมลี กั ษณะพิเศษกลา่ วคอื จะมขี ดลวดอยภู่ ายใน บลั ลาสต์ ตวั เดยี วกนั 3 ชุด คอื 2 ชุด แรกจะเปน็ ขดสาหรบั อนุ่ ไสห้ ลอดให้รอ้ นอยู่ตลอดเวลา ขด ลวดทงั้ สองขดนี้จะมแี รงดนั ไฟฟ้าท่ี พอเหมาะกบั ไสห้ ลอด สว่ นขดลวดอกี ชุดหน่ึงจะมหี น้าทส่ี าหรบั ลดแรงดนั ไฟฟ้าให้พอเหมาะพอดี กบั ความตอ้ งการของหลอด และถา้ เปน็ บลั ลาสตท์ ใ่ี ช้กบั หลอดเพียงหลอดเดยี วจะมสี ายออกมาจาก บลั ลาสตท์ งั้ หมด 6 เสน้ แตถ่ า้ เปน็ บลั ลาสตท์ ใ่ี ช้กบั หลอด 2 ดวงกจ็ ะมสี ายออกมาทง้ั หมด 8 เสน้
75 หลักการทางานของหลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดจุดติดได้เรว็ หลอดชนิดนี้จะมขี ดลวดภายในบลั ลาสต์ทตี่ อ่ อกมาสาหรบั อนุ่ ไสห้ ลอดให้รอ้ นทงั้ สอง ไส้ ดงั นั้นเมอ่ื จา่ ยแรงดนั ไฟฟ้าเขา้ วงจรกจ็ ะทาให้มแี รงดนั ไฟฟ้าจากขดลวดอนุ่ ไสห้ ลอด 2 ชุด จา่ ยกระแสไฟฟ้าให้กบั ไสห้ ลอดทง้ั สอง ซงึ่ กเ็ ปน็ ผลให้ไสห้ ลอดรอ้ นอยตู่ ลอดเวลา และ ขณะเดยี วกนั กจ็ ะมกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นบลั ลาสต์ อกี ขดหนึ่งวง่ิ ผา่ นเขา้ ไปในหลอด จากไสห้ ลอด ขา้ งหนึ่งไปยงั ไสห้ ลอดอกี ขา้ งหนึ่ง ซง่ึ กจ็ ะทาให้อเี ลก็ ตรอนชนแกส๊ ทอี่ ยภู่ ายในหลอดแตกตวั เปลง่ เปน็ แสงอตุ ราไวโอเรทและกระทบกบั สารฟอสเฟอรเ์ ปลยี่ นเปน็ แสงธรรมดาทตี่ ามนุษยม์ องเห็น สว่ นขดลวดของบลั ลาสตข์ ดทตี่ อ่ อนั ดบั กบั หลอดกจ็ ะทาหน้าทจี่ ากดั กระแสไฟฟ้าให้พอเหมาะพอดี กบั ความตอ้ งการของหลอด และขดลวดดา้ นไฟออก อกี 2 ชุด จะอนุ่ ไสห้ ลอดให้รอ้ นตลอดจนกวา่ จะ ตดั กระแสไฟฟ้าเขา้ วงจร ขอ้ ดขี องหลอดเรอื งแสง 1. ประสทิ ธภิ าพสงู กวา่ หลอดไฟ ธรรมดา เสยี คา่ ไฟฟ้าเทา่ กนั แตไ่ ดไ้ ฟทส่ี วา่ งกวา่ 2. ให้แสงทเ่ี ยน็ ตากระจายไปทว่ั หลอด ไม่รวมเปน็ จดุ เหมอื นหลอดไฟฟธ้ารรมดา 3. อาจจดั สขี องแสงแปรเปลย่ี นได้ โดยการเปลยี่ นชนิดสารเรอื งแสง 4. อณุ หภูมขิ องหลอดเรอื งแสงไมส่ งู เทา่ กบั หลอดไฟธรรมดาขณะทางาน หลอดนีออน หรอื หลอดไฟโฆษณา เปน็ อปุ กรณ์ไฟฟ้าทเี่ ปลยี่ นพลงั งานไฟฟ้าเปน็ แสง สวา่ ง มลี กั ษณะเปน็ หลอดแกว้ ทถ่ี กู ลนไฟ ดดั เปน็ รปู หรอื อกั ษรตา่ ง ๆ สบู อากาศออกเปน็ สญู ญากาศ แลว้ ใสแ่ กส๊ บางชนิดทใี่ ห้แสงสตี า่ ง ๆ ออกมาได้ เมอ่ื มกี ระแสไฟฟ้าผา่ นหลอดชนิดน้ี ไมม่ ไี สห้ ลอดไฟ แตใ่ ช้ขวั้ ไฟฟ้าทาดว้ ยโลหะตดิ อยู่ทป่ี ลายทง้ั 2 ขา้ ง แลว้ ตอ่ กบั แหลง่ กาเนิดไฟฟ้า ทมี่ คี วามตา่ งศกั ยส์ งู ประมาณ 10,000 โวลต์ ซง่ึ มคี วามตา่ งศกั ยท์ ส่ี งู มาก จะทาให้ แกส๊ ทบี่ รรจไุ วใ้ น หลอดเกดิ การแตกตวั เปน็ นีออนและนาไฟฟ้าได้ เมอื่ กระแสไฟฟ้าผา่ นแกส๊ เหลา่ นี้จะทาให้ แกส๊ รอ้ น ตดิ ไฟให้แสงสตี า่ ง ๆ ได้ ตวั อยา่ งแกส๊ ชนิดตา่ ง ๆ ทบี่ รรจใุ นหลอดโฆษณา เช่น แกส๊ นีออน ให้แสง สแี ดง แกส๊ ฮีเลยี ม ให้แสงสชี มพู แกส๊ อารก์ อน ให้แสงสขี าวอมน้าเงิน และถา้ ใช้ แกส๊ ตา่ ง ๆ ผสมกนั กจ็ ะไดส้ ตี า่ ง ๆ ออกไป อาการเสียหลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดชนิดนี้มสี ว่ นประกอบหลายอยา่ ง การตรวจซอ่ มจงึ ย่งุ ยากกวา่ หลอดไส้ การตรวจ ซอ่ มจะตอ้ งไลต่ รวจเปน็ อยา่ ง ๆ ไป อาการเสยี สว่ นใหญ่เกดิ ทชี่ ุดของหลอดไฟ กรณที ต่ี รวจสอบ ชุดหลอดไฟ กรณที ต่ี รวจสอบชุดหลอดไฟแลว้ พบวา่ ป กติ การตรวจสอบตอ่ ไปจะดาเนินการ เหมอื นกบั หลอดไส้
76 ตรวจหลอดไฟ หลอดขาดหรอื เสอื่ มสภาพจะพบไดบ้ อ่ ยทส่ี ดุ สว่ นใหญ่เมอื่ หลอดขาด จะมสี ดี าปรากฏทขี่ วั้ ทหี่ ลอดการตรวจสอบวา่ หลอดขาดหรอื ไมจ่ ะตอ้ งใช้มลั ตมิ เิ ตอรว์ ดั คา่ ความ ตา้ นทาน แตใ่ นเบอื้ งตน้ ควรทดลองขยบั หลอดโดยการหมนุ ไปมากอ่ น เพราะขาหลอดอาจหลวม ได้ แตเ่ น่ืองจากหลอดฟูลออเรสเซนตม์ ใี ช้งานอยู่ทวั่ ไป จงึ ควรมหี ลอดสารองไวใ้ ช้งาน ถา้ ไมม่ ี หลอดสารองอาจถอดหลอดจากชุดอน่ื มาลองเปลยี่ นดกู อ่ น ตรวจสอบสตารท์ เตอร์ ทดลองขยบั โดยการหมนุ ดู ถา้ หาก ไมต่ ดิ อาจลองเปลยี่ น สตารท์ เตอร์ ดู ตรวจสอบบลั ลาสต์ บลั ลาสตอ์ าจขาดหรอื ไหม้ ปกตถิ า้ บลั ลาสตไ์ หมจ้ ะมกี ลน่ิ เหมน็ ไหม้ การตรวจสอบบลั ลาสตข์ าดสามารถทาไดง้ ่าย โดยการใช้ไขควงวดั ไฟ ปกตทิ ข่ี ว้ั บลั ลาสตท์ ง้ั ดา้ นไฟเขา้ และออกจะตอ้ งวดั แลว้ เรอื งแสงทง้ั คู่ ถา้ บลั ลาสต์ ขาดจะตอ้ งเปลยี่ นใหม่ หรอื อาจวดั ความตา้ นทานดว้ ยมลั ตมิ เิ ตอรก์ ไ็ ด้ ถา้ ขดลวดบลั ลาสต์เกดิ ลดั วงจรอาจตรวจสอบไดย้ าก แต่ จะสงั เกต ไดว้ า่ เมอ่ื ใช้งาน หลอดจะขาดบอ่ ย ๆ (โดยทวั่ ไปความตา้ นทานจะอยทู่ ่ี ไมต่ า่ กวา่ ๒๔ โอห์ม อาการหลอดสนั่ หรอื กะพรบิ ตลอดเวลา อาจเกดิ จากหลายสาเหตุ เช่น 1. สตารเ์ ตอรเ์ สยี อาการแบบน้ีถา้ ถอดสตารเ์ ตอรอ์ อกขณะทห่ี ลอดตดิ กจ็ ะหยดุ กะพรบิ 2. หลอดใหมเ่ กนิ ไป บางหลอดทซี่ อ้ื มาใหม่ๆ อาจมอี าการกะพรบิ ถมี่ ากแกอ้ ยา่ งไรก็ ไมห่ าย ให้ปลอ่ ยทงิ้ ไว้ เมอื่ ใช้งานไดป้ ระมาณ 100 ช่ัวโมง อาการจะหายไปเอง 3. แรงดนั ตา่ เกนิ ไป จะเปน็ ในสถานทที่ ม่ี ไี ฟตกมาก แรงดนั ไฟฟ้าตา่ อาจเกดิ เปน็ บาง ช่วงเวลาเทา่ น้ัน เช่น ตอนหัวคา่ ถา้ ตอ้ งการแกจ้ ะตอ้ งซอื้ หมอ้ แปลงไฟฟ้ามาตดิ ตง้ั เรยี กวา่ หมอ้ แปลงออโต้ มขี ายตามรา้ นขายอปุ กรณ์ไฟฟ้า แตใ่ นกรงุ เทพฯ อาจหาซอ้ื ยาก เน่ืองจากไมค่ อ่ ยมไี ฟ ตก การซอื้ หมอ้ แปลงออโตต้ อ้ งให้มขี นาดเหมาะสมกบั ปรมิ าณไฟฟ้าทใ่ี ช้งาน เพราะถา้ ขนาดเลก็ เกนิ ไป หมอ้ แปลงจะไหมไ้ ดข้ นาดหมอ้ แปลงกาหนดเปน็ VA หรอื KVA เปดิ แล้วใชเ้ วลานานกว่าหลอดจะสว่าง อาจเกดิ จาก 1. แรงดนั ต่าเกนิ ไป ทดสอบไดโ้ ดยการวดั แรงดนั ไฟฟ้า 2. สตารท์ เตอรเ์ สอื่ ม ตอ้ งลองเปลยี่ นสตารท์ เตอรด์ ู 3. หลอดเสอ่ื ม อาจสงั เกตไดจ้ ากขวั้ หลอดเริม่ มสี ดี า ตอ้ งเปลย่ี นหลอดใหม่ เปดิ แล้วมเี สียงดังหึ่ง ๆ ปกตเิ สยี งดงั จะเกดิ จากบลั ลาสต์ เนื่องจากแกนเหลก็ ของ บลั ลาสตห์ ลวม อาการน้ีอาจพบกบั ดวงโคมทป่ี ดิ ไวเ้ ปน็ เวลานาน เมอื่ เปดิ ได้ 2 – 3 ชั่วโมง อาการ จะหายไป และเมอ่ื ปดิ ไวน้ าน ๆ แลว้ มาเปดิ กจ็ ะเปน็ อกี บางหลอดจะพบเสยี งดงั ตลอดเวลา อาการ เสยี งดงั น้ีไมม่ ผี ลเสยี อะไร นอกจากทาให้ความราคาญเปลยี่ นบลั ลาสตแ์ ลว้ อาการดงั กลา่ วจะหาย
77 ข้ัวหลอดดา แสดงวา่ หลอดใกลห้ มดอายุ ถา้ ใช้งานมานานกถ็ อื เปน็ เรื่องปกติ แตถ่ า้ เปน็ เรว็ กวา่ ปกตกิ อ็ าจเกดิ จากบลั ลาสตเ์ สยี ซงึ่ สว่ นใหญ่เกดิ ลดั วงจรภายในตอ้ งเปลย่ี นบลั ลาสตใ์ หมด่ ว้ ย 3. ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ยี วกบั เครอื่ งใชส้ นามแม่เหล็ก ความรเู้ บอื้ งตน้ เกย่ี วกบั สญั ญาณเสยี งที่ ไดจ้ ากการ ใช้ไฟฟ้า สญั ญาณเสี ยงทใี่ ช้ไฟฟ้าก็ หมายถงึ อปุ กรณท์ างไฟฟ้าอยา่ งหนึ่งทสี่ ามารถทาให้เกดิ เสยี งขนึ้ มาโดยอาศยั กาลงั ไฟฟ้า ซงึ่ จดุ มงุ่ หมายในการสรา้ งอปุ กรณ์ดงั กลา่ วนี้ขน้ึ มา เพ่ือทจี่ ะให้ผรู้ บั เขา้ ใจความหมายของผสู้ ง่ และ เพื่อให้ความสะดวกในการสง่ สญั ญาณของผสู้ ง่ เช่นการกดสวทิ ช์ก ระดงิ่ ที่ ประตบู า้ นผสู้ ง่ สญั ญาณ กม็ คี วามตอ้ งการทจ่ี ะให้ผรู้ บั สญั ญาณ เปดิ ประตอู อกมารบั และผรู้ บั สญั ญาณเมอื่ ไดย้ นิ เสยี ง กระดง่ิ กจ็ ะตอ้ งรู้ทนั ทวี า่ ขณะนี้มคี นมาอยู่ประตแู ลว้ ซงึ่ ในการใช้กระดง่ิ ไฟฟ้าจะทาให้ผสู้ ่ ง สญั ญาณสะดวกเพราะไมต่ อ้ งสง่ เสียงตะโกนเพื่อให้คนทอี่ ยใู่ นบา้ นเปดิ ประตมู ารบั สญั ญาณเสยี งท่ี ใช้ไฟฟ้าสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื กระดงิ่ ไฟฟ้าและออดไฟฟ้า กระด่ิงไฟฟา้ (Electric bells) เปน็ สญั ญาณเสยี งทใ่ี ช้ไฟฟ้าทใี่ ห้เสยี งทกี่ อ้ งกงั วาล กระดงิ่ ไฟฟ้าจะทาดว้ ยโลหะ เมอ่ื มกี ระแสไฟฟ้าไหลเขา้ กระดง่ิ กจ็ ะเปน็ ผลทาให้คน้ เคาะกระดงิ่ ทางานคน้ เคาะกจ็ ะเคาะกระดง่ิ ทาให้เกดิ เสยี งดงั กงั วานขนึ้ ได้ ในปจั จบุ นั สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 แบบคอื 1.แบบไวเบรตงิ้ เบล (Vibrating bells) สว่ นใหญ่ใช้กบั ไฟฟ้ากระแสตรง ทางานจะเปน็ ในลกั ษณะการตดั ตอ่ กระแสไฟฟ้าดว้ ยตวั ของมนั เอง เมอ่ื จา่ ยกระแสไฟฟ้ าเขา้ กระดงิ่ จะเปน็ ผลทา ให้คอยล์ (Coil) ของกระดงิ่ เกดิ มสี นามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและดงึ ดดู อเมเจอร์ Armature เขา้ ไปชิดแกน ของคอยล์ ซง่ึ กจ็ ะทาให้คนั เคาะทตี่ ดิ อยกู่ บั อเมเจอรเ์ คาะกระดง่ิ ทาให้เกดิ เสยี งดงั และพรอ้ มกนั น้ัน คอนแทค (Contact) ทตี่ อ่ กระแสไฟฟ้าเขา้ กระดง่ิ ก็ จะแยกออกจากกนั ซงึ่ กจ็ ะสง่ ผลทาให้คอยล์ หมดสภาพเปน็ แมเ่ หลก็ และปลอ่ ย อเมเจอรก์ ลบั สตู่ าแหน่ งเดมิ โดยการดงึ กลบั ของสปรงิ และเมอื่ อเมเจอรอ์ ยูใ่ นตาแหน่งนี้ คอนแทคกจ็ ะสมั ผสั กนั และตอ่ ให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นคอยลอ์ กี ซงึ่ ทา ให้อเมเจอรถ์ กู ดดู เขา้ หาแกนของคอยลแ์ ละพรอ้ มกนั นั้นคน้ เคาะกจ็ ะเคาะกระดงิ่ ให้ดงั ขนึ้ อกี กระดง่ิ แบบไวเบรตง้ิ
78 2. แบบซิงเกิล สโตค เบล (Single Stroke bells) เปน็ กระดง่ิ ไฟฟ้าทสี่ ามารถใช้ไดท้ งั้ ไฟฟ้ากระแสตรงและกระแสสลบั จะทางานเมอ่ื ไดจ้ า่ ยกระแสไฟฟ้าเขา้ คอยล์ ซง่ึ กจ็ ะทาให้คอยลม์ ี สนามแมเ่ หลก็ และดงึ ดดู อเมเจอรพ์ รอ้ มทงั้ คน้ เคาะทต่ี ดิ กบั อเมเจ อรเ์ ขา้ มาเคาะ กระดง่ิ ทาให้เกดิ เสยี งดงั ซงึ่ ในสภาวะเช่นน้ีคอยลก์ จ็ ะดดู อเมเจอรต์ อ่ ไป แตถ่ า้ ตอ้ งการให้ดงั ขน้ึ อกี กจ็ ะตอ้ งตดั กระแสไฟฟ้าเขา้ กระดงิ่ คอยลก์ จ็ ะหมดอานาจแมเ่ หลก็ และปลอ่ ยอเมเจอรก์ ลบั ทเี่ ดมิ ซงึ่ กเ็ ป็ นผลให้ คนั เคาะทต่ี ดิ กบั อเมเจอรเ์ คาะกระดง่ิ ให้ดงั ขน้ึ อกี แบบซงิ เกลิ สโตค 3. แบบ ฟรเี ควนซี่ อเิ ล็กตรคิ เบล (Frequency Electric bell) ทางานโดยการอาศยั ความถขี่ องกระแสไฟฟ้าสลบั และโดยทก่ี ระแสไฟฟ้าสลบั จะมลี กั ษณะเกดิ ขนึ้ ลดลง ดงั นั้นจงึ ทา ให้สนามแมเ่ หลก็ ทเี่ กดิ ขนึ้ กบั กระดงิ่ เปน็ ในลกั ษณะ เดยี วกบั ไฟฟ้ากระแสสลบั ดว้ ย และ เกดิ ขน้ึ เรว็ มาก ดงั นั้น อเมเจอรจ์ ะถกู คอยลด์ ดู และปลอ่ ยในอตั ราทเ่ี รว็ มากเช่นกนั ซงึ่ กจ็ ะเปน็ ผลทาให้ คนั เคาะทต่ี ดิ อยูก่ บั อเมเจอรเ์ คาะกระดง่ิ ทาให้เกดิ เสยี งดงั ขน้ึ ได้ กระดงิ่ แบบฟรเี ควนซี่
79 ออดไฟฟา้ (Electric buzzer) เปน็ เคร่อื งใช้ไฟฟ้าทใี่ ห้สญั ญาณเสยี ง เช่นเดยี วกบั กระดงิ่ ไฟฟ้า แตจ่ ะตา่ งจากกระดงิ่ ตรงทต่ี วั ออดจะไมม่ กี ระดงิ่ เพ่ือทาให้เกดิ เสยี งกงั วาน แตเ่ สยี ง จะ เกดิ จากการทแี่ ผน่ โลหะสน่ั กระทบกบั แกนของคอยล์สรา้ งสนามแมเ่ หลก็ ซง่ึ ลกั ษณะการทางานสว่ น ใหญ่จะเหมอื นกบั กระดงิ่ ไฟฟ้าแบบ ฟรเี ควนซ่ี อเิ ลก็ ตรคิ เบล (Frequency electric bell) ออด เครอื่ งปม๊ั ลมต้ปู ลา (Air pump) จดั ไดว้ า่ เปน็ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเลก็ ทม่ี ใี ช้อยภู่ ายใน บา้ นทม่ี ตี เู้ ลย้ี งปลา เครื่องปม๊ั ลมจะทาหน้าทด่ี ดู อากาศจากภายนอก และอดั อากาศเปน็ ช่วง ๆ ผา่ นเขา้ ไปในสายยางดงั กลา่ วนี้กจ็ ะจมุ่ ลงไปในน้าภายในตปู้ ลา ซงึ่ กท็ าให้เกดิ เปน็ ฟองอากาศวง่ิ ไลก่ นั เปน็ ช่วง ๆ อากาศหรอื ออกซเิ จนทปี่ มั๊ ลมอดั ผา่ นสายยางเขา้ ไปในตู้ จะสามารถยดื อายขุ องปลาและน้าที่ อย่ใู นตอู้ กี ทง้ั ยงั เปน็ ตวั ทจ่ี ะช่วยเพ่ิมความสวยงามให้กบั ตอู้ กี ดว้ ย ส่วนประกอบของเครอื่ งปมั๊ ลมตปู้ ลา ประกอบดว้ ยสว่ นประกอบดงั ตอ่ ไปนี้ 1. เบลโลยาง (Rubber Bello) ซง่ึ เบลโลยางดงั กลา่ วจะทาดว้ ยยางและมสี ภาพทส่ี ามารถ ยดึ และหดตวั ไดง้ ่าย โดยเบลโลจะทาหน้าทเ่ี ปน็ ตวั ดดู อากาศเขา้ มาภายในตวั มนั และจะอดั อากาศ ออกทางทอ่ สง่ ลม 2. ลน้ิ ดนั อากาศ ลนิ้ จะทาดว้ ยแผน่ ยางช้ินเลก็ ๆ นามาตดิ ตง้ั ตรงทร่ี อู ากาศเขา้ เบลโลและ ลน้ิ ดนั อากาศดงั กลา่ วกจ็ ะเปดิ เมอื่ เบลโลดดู อากาศเขา้ จะปดิ เมอ่ื เบลโลอดั อากาศออกทางสายยาง โครงสรา้ งปมั๊ ลมตปู้ ลา
80 3. ชุดสรา้ งสนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าสลบั จะประกอบดว้ ย ขดลวดและแกนเหลก็ ซง่ึ แกน เหลก็ จะถกู ยดึ กบั ทแี่ ละขดลวดกจ็ ะพันทบั บนแกนเหลก็ อกี ทหี น่ึง ชุดสรา้ งสนามแมเ่ หลก็ จะทางาน กต็ อ่ เมอ่ื ไดจ้ า่ ยกระแสไฟฟ้าเขา้ ขดลวด 4. แผน่ เหลก็ ไวเบรเตอร์ สว่ นประกอบดงั กลา่ วจะเปน็ แผน่ เหล็ กทปี่ ลายขา้ งหนึ่งยดึ ตดิ อยกู่ บั ที่ สว่ นปลายอกี ขา้ งหน่ึงจะยดึ ตดิ กบั แมเ่ หลก็ ถาวร สว่ นช่วงกลางคอ่ นขา้ ง ไปทางแมเ่ หลก็ ถาวรจะมปี ลายของเบลโลยดึ ตดิ อยดู่ ว้ ย เมอื่ ปม๊ั ทางานแผน่ เหลก็ จะสน่ั ไปมา ซง่ึ ทาให้เบลโล สนั่ ตาม 5. ทอ่ สง่ ลม จะเปน็ ท่ อทท่ี าหน้าทน่ี าอากาศทเี่ บลโลอดั ออกมาสง่ เขา้ ตปู้ ลา หลักการทางานของปม๊ั ลมตปู้ ลา เมอื่ เสยี บปลก๊ั กระแสไฟฟ้าเขา้ ขดลวดของปมั๊ ลม ซง่ึ กจ็ ะทาให้แกนเหลก็ ทข่ี ดลวด ดงั กลา่ วพันทบั อยตู่ ดิ เปน็ สนามแมเ่ หลก็ ทขี่ วั้ ของแกนเหลก็ แตส่ นามแมเ่ หลก็ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จะเปน็ สนามแมเ่ หลก็ สลบั แตเ่ น่ืองจากมแี ผน่ เหลก็ ไวเบรเตอร์ ซง่ึ มดี า้ นทยี่ ดึ แมเ่ หลก็ ทแ่ี กนเหลก็ การดดู และผลกั ของแกนเหลก็ ทม่ี ตี อ่ แผน่ เหลก็ เกดิ ขนึ้ ไดเ้ น่ืองจากเมอื่ แกนเหลก็ บงั เกดิ ขวั้ ทเ่ี หมอื นกบั แมเ่ หลก็ ถาวรทต่ี ดิ อยทู่ ปี่ ลายแผน่ เหลก็ สนามแมเ่ หลก็ ดงั กลา่ วกจ็ ะดดู แผน่ เหลก็ เขา้ มาหา แตก่ าร เปลย่ี นแปลงขวั้ ของสนามแมเ่ หลก็ ทแ่ี กนหลกั เปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ มาก ดงั น้ัน แผน่ เหลก็ ดงั กลา่ ว จงึ มลี กั ษณะอาการสน่ั อย่ตู ลอดเวลาและเมอื่ แผน่ เหลก็ สนั่ เบลโลซงึ่ ยดึ ตดิ กบั แผน่ เหลก็ กจ็ ะสนั่ ตาม ไปดว้ ย ซง่ึ ในขณะทเ่ี บลโลยดื ตวั ลนิ้ กนั อากาศกจ็ ะเปดิ ให้อากาศเข้าไปในเบลโลแตเ่ มอื่ เบลโลยบุ ตวั ลน้ิ กนั อากาศกจ็ ะปดิ ไมใ่ ห้อากาศออกทางรอู ากาศเขา้ แตจ่ ะให้อากาศออกทางทอ่ สง่ ลมทางเดยี ว ดงั นั้นจงึ ทาให้เกดิ มอี ากาศเปน็ ช่วง ๆ ออกมาทที่ อ่ สง่ ลมของปมั๊ ตลอดเวลาทจี่ า่ ยกระแสไฟเขา้ ปมั๊ เครอ่ื งตัดผมไฟฟา้ (Electric Hair-Cutter) เครอื่ งตดั ผมไฟฟ้าหรอื ทเ่ี รยี กวา่ “ปตั ตาเลย่ี นไฟฟ้า” เปน็ เครื่องใช้ไฟฟ้าทม่ี ใี ช้ในรา้ นตดั ผมและเปน็ เคร่อื งมอื ประจาตวั ของช่างตดั ผมดว้ ย เครื่องตดั ผมไฟฟ้ามลี กั ษณะการทางานเปน็ แบบ ไวเบรเตอร์ (Vibrator) ซง่ึ หมายถงึ เครือ่ งทที่ างานไดโ้ ดยอาศยั การสนั่ ตวั แตส่ าหรบั เคร่ืองตั ดผม ไฟฟ้าจะอาศยั การสนั่ ทเ่ี กดิ จากการทางานมาบงั คบั ให้ใบมดี สน่ั ตาม ส่วนประกอบของเครอื่ งตัดผมไฟฟา้ 1. ใบมีด (Blade) ใบมดี ของเครอ่ื งตดั ผมไฟฟ้าจะประกอบดว้ ยใบมดี 2 ใบ คอื ใบมดี ทอี่ ยู่ ดา้ นลา่ ง (Bottom Blade) ซง่ึ เปน็ ใบมดี ทมี่ ฟี ันคมเปน็ รอ่ งจานวนหลายฟัน (ใบมดี สว่ นน้ีจะเปน็ สว่ น
81 ทอ่ี ยู่กบั ท)ี่ และใบมดี อกี ใบหน่ึงจะเปน็ สว่ นทเ่ี คลอื่ นที่ ซงึ่ สว่ นนี้จะยดึ ตดิ กบั แกนเหลก็ สว่ นที่ เคลอ่ื นทขี่ องชุดสรา้ งสนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า และในขณะทเี่ ครือ่ งทางานใบมดี กจ็ ะเคลอื่ นทไ่ี ปดว้ ย 2. ชดุ สรา้ งสนามแม่เหล็กไฟฟา้ สลับ ชุดสรา้ งสนามแมเ่ หลก็ ดงั กลา่ วน้ีจะประกอบดว้ ย ขดลวด (Coil) และแกนเหลก็ (Corel) ขดลวดเปน็ ลวดทองแดงอาบน้ายาเสน้ เลก็ พันซอ้ นกนั บน แกนเหลก็ สว่ นทอี่ ยกู่ บั ทจ่ี านวนหลายพันรอบ (จานวนรอบทพี่ ันขนึ้ อย่กู บั พ้ืนทหี่ น้าตดั ของแกน เหลก็ และขนาดของแรงดนั ไฟฟ้าทตี่ อ้ งการใช้) สว่ นแกนเหลก็ จะแบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น คอื สว่ นทอ่ี ยู่ กบั ทแ่ี ละสว่ นทเ่ี คลอ่ื นที่ ทางสว่ นลา่ งระหวา่ งแกนเหลก็ ทง้ั สอง จะมสี ปรงิ ซงึ่ จะทาหน้าทเี่ ปน็ ตวั ยนั แกนเหลก็ ทง้ั สองสว่ นไมใ่ ห้ชิดกนั และสว่ นระหวา่ งแกนเหลก็ จะเปน็ ช่องวา่ งของอากาศ (Air gap) เครอื่ งตดั ผม หลักการทางาน เมอื่ เสยี บปลกั๊ และผลกั สวทิ ช์ให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นขดลวดหรอื คอยล์ (Coil) ทาให้ เกดิ เปน็ สนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าขนึ้ ในแกนเหลก็ สว่ นทอี่ ยกู่ บั ท่ี แตส่ นามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทเ่ี กดิ ขนึ้ จะ เปน็ สนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าสลบั ทม่ี คี า่ ไมค่ งทต่ี ามสภาพของไฟฟ้ากระแสสลบั จงึ เปน็ ผลให้แก น เหลก็ สว่ นทเี่ คลอื่ นทไี่ ดร้ บั สนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าสลบั ดว้ ย ซง่ึ กจ็ ะทาให้แกนเหลก็ สว่ นทเี่ คลอื่ นทเี่ กดิ อาการสนั่ ตวั ไปมาในอตั ราความเรว็ ทส่ี งู มาก ตามความถขี่ องไฟฟ้ากระแสสลบั และในขณะทแ่ี กน เหลก็ สว่ นทเ่ี คลอื่ นทสี่ นั่ อย่นู ี้สปรงิ สว่ นทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งแกนเหลก็ ทง้ั สองจะคอย ยนั เพื่อให้สว่ นบน ระหวา่ งแกนเหลก็ ทง้ั สองยงั คงมชี ่องวา่ งของอากาศ (Air gap) ในระยะทพี่ อดี ซงึ่ กจ็ ะทาให้การสนั่ ตวั เปน็ ไปอยา่ งสมา่ เสมอ และในขณะทแ่ี กนเหลก็ สน่ั ตวั ใบมดี ของเครอ่ื งสว่ นทเี่ คลอ่ื นทก่ี จ็ ะสน่ั ดว้ ยเพราะใบมดี สว่ นน้ีจะยดึ ตดิ กบั แกนเหลก็ สว่ นทเี่ คลอื่ นท่ี และจะทาให้รอ่ งของใบมดี สว่ นที่ เคลอื่ นทก่ี บั สว่ นทอี่ ยูก่ บั ทส่ี นั่ สลบั กนั ถา้ เสน้ ผมอยใู่ นระหวา่ งรอ่ งของใบมดี กจ็ ะถกู ใบมดี ตดั ขาด ทนั ที
82 เครอ่ื งโกนหนวดไฟฟา้ (Electric Shaver) เครอื่ งโกนหนวดไฟฟ้าจดั ไดว้ า่ เปน็ เครื่องใช้ไฟฟ้าทใี่ ห้ความสะดวกสบายโดยทผี่ ใู้ ช้ ไม่ ตอ้ งกงั วลเร่ืองการจะถกู ใบมดี โกนบาด การเปลย่ี นใบมดี และความคมของใบมดี อกี ทงั้ การใช้ เคร่ืองโกนหนวดชนิดน้ีจะประหยดั เวลาในการโกนหนวดมากกวา่ การ โกนหนวดดว้ ยวธิ ีธรรมดา มาก เครอ่ื งโกนหนวดไฟฟ้าในปจั จบุ นั จะถกู ออกแบบให้สามารถใช้ไดก้ บั แหลง่ จา่ ยไฟฟ้าใน รปู แบบทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป เช่น การใช้ถา่ นประเภทแคดเมี่ยม (Cadmium) ซงึ่ ถา่ นหรอื แบตเตอร่ี ประเภทน้ีเมอ่ื ใช้จนหมดพลงั งานแลว้ กส็ ามารถประจพุ ลงั งานไฟฟ้าจากแหลง่ จา่ ยภายนอกเขา้ ไป ไดอ้ กี สาหรบั เครอื่ งโกนหนวดไฟฟ้าทม่ี ใี ช้อยใู่ นปจั จบุ นั จะสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 แบบ คอื เครอ่ื งโกนหนวดแบบไวเบรเตอร์ (Vibrator type) และเครื่องโกนหนวดแบบ โรตารี่ (Rotary type) เครอ่ื งโกนหนวดแบบไวเบรเตอร์ (Vibrator type) เครื่องโกนหนวดไฟฟ้าแบบน้ีจะมลี กั ษณะการทางานเช่นเดยี วกนั กบั กระดงิ่ ไฟฟ้าแบบ ฟรเี ควนซี่ อเิ ลก็ ตรกิ เบล (Frequency electric bell) หรอื เครอ่ื งตดั ผมไฟฟ้าแบบไวเบรเตอร์ (Vibrator type) โดยปกตเิ ครือ่ งโกนหนวดไฟฟ้าแบบน้ีจะใช้กบั ไฟฟ้ากระแสสลบั เทา่ น้ัน เพราะ การทางานของเครอื่ งจะอาศยั การเปลยี่ นแปลงของกระแสไฟฟ้าสลบั เปน็ ตวั ทจ่ี ะทาให้เกดิ สนามแมเ่ หลก็ สลบั ขน้ึ ในคอยล์ หลักการทางาน เครื่องโกนหนวดไฟฟ้าแบบไวเบรเตอร์ เปน็ เครื่องโกนหนวดทใี่ ช้ได้ เฉพาะกบั ไฟฟ้ากระแสสลบั เทา่ น้ัน และเมอื่ ผใู้ ช้ไดเ้ สยี บปลก๊ั และกดสวติ ช์ให้เครอื่ งทางาน กจ็ ะทา ให้มกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ น ขดลวดหรอื คอยลแ์ ละคอยลด์ งั กลา่ วกจ็ ะเปลย่ี นกระแสไฟฟ้าสลบั ให้ เปน็ สนามแมเ่ หลก็ สลบั สง่ ผลให้กบั อเมเจอรเ์ กดิ การเคลอ่ื นตวั ไปมาดว้ ยความเรว็ สงู มากจนดเู ปน็ ลกั ษณะของการสนั่ ตวั ของอเมเจอรเ์ กดิ การสนั่ ตวั กจ็ ะเปน็ ผลทาให้ใบมดี ดงั กลา่ วเกดิ การสน่ั ตวั ตามไปดว้ ยแตส่ าหรบั ตาแหน่งการเคลอ่ื นตวั ของใบมดี จะอยู่ใตต้ ะแกรงโลหะ ซงึ่ ถา้ หนวดผา่ นรู ของตะแกรงเขา้ ไปในเครอื่ ง หนวดกจ็ ะถกู ใบมดี ทเี่ คลอื่ นตวั อยู่ภายใตต้ ะแกรงโลหะตดั ขาดทนั ที เครอื่ งโกนหนวดแบบโรตาร่ี (Rotary type) เครื่องโกนหนวดแบบน้ีทางานโดยการใช้ยนู ิเวอรแ์ ซลมอเตอร์ ( Universal motor) หมนุ ใบมดี ภายใตต้ ะแกรงโลหะ (Grid) และใบมดี กจ็ ะตดั หนวดทผ่ี า่ นรขู องตะแกรงเขา้ มาเ คร่อื ง โกนหนวดแบบน้ีจะสะดวกในการใช้มากเพราะสามารถใช้กบั แหลง่ จา่ ยไฟฟ้าไดท้ ง้ั แหลง่ จา่ ยไฟฟ้า ตามบา้ นทเี่ ปน็ ไฟฟ้ากระแสสลบั โดยจะใช้อปุ กรณล์ ดแรงดนั และแปลงไฟฟ้าสลบั ให้เปน็ ไฟฟ้า
83 กระแสตรงทเี่ รยี กวา่ “อแดปเตอร์ ”(Adapter) และอาจจะใช้กบั แหลง่ จา่ ยทเี่ ปน็ ถา่ น“แคดเมย่ี ม ” (Cadmium) โดยถา่ นชนิดน้ีสามารถชารจ์ ไฟฟ้าเขา้ ไดอ้ กี เมอ่ื ถา่ นดงั กลา่ วหมดประจไุ ฟฟ้า หลักการทางาน เครอ่ื งโกนหนวดแบบนี้จะสามารถโกนหนวดไดโ้ ดยการหมนุ ของใบมดี ภายใตต้ ะแกรงซงึ่ เมอ่ื ผใู้ ช้กดสวทิ ช์ของเครือ่ งกจ็ ะเปน็ ผลให้มกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นยนู ิเวอร์ แซลมอเตอร์ และมอเตอรก์ จ็ ะหมนุ ใบมดี ทตี่ ดิ อยูบ่ นแกนของมอเตอรภ์ ายใตต้ ะแกรงโลหะ ซงึ่ ในขณะทที่ าการโกนหนวด หนวดดงั กลา่ วกจ็ ะผา่ นลอดรขู องตะแกรงเขา้ ไปภายในเครือ่ งและ ใบมดี กจ็ ะตดั หนวดขาดทนั ทที ก่ี ระทบกบั ใบมดี สว่ นใหญ่จะมกั จะนิยมใช้ ถา่ นเปน็ แบตเตอรี่ทเ่ี ปน็ แบบ “นิเกลิ แคดเมย่ี ม” (Nikel Cadmium) เพราะถา่ นชนิดน้ีจะมขี อ้ ดกี วา่ ถา่ นประเภท “เซลแห้ง ” (Dry Cell) มาก กลา่ วคอื เมอ่ื “นิเกลิ แคดเมยี่ ม ” หมดพลงั งานไฟฟ้ากจ็ ะสามารถทาให้กลบั มี พลงั งานไฟฟ้าเหมอื นได้ โดยการชารจ์ หรอื ประจพุ ลงั งานเขา้ ไปไดอ้ กี ซง่ึ เคร่อื งโกนหนวดแบบน้ี บางรุน่ จะมชี ุดชารจ์ ทอยใู่ นเครือ่ ง สามารถชารท์ ไฟเขา้ เครอื่ งไดท้ นั ทเี มอื่ เสยี บปลก๊ั กจิ กรรมเสนอแนะ 1. ควรปลกู ฝงั ให้นักเรยี นตระหนักและเห็นความสาคญั ในการประหยดั พลงั งานให้มาก 2. ควรเน้นย้าให้นักเรยี นตระหนักในความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้าการตดิ ตง้ั สายดนิ การ ตรวจสอบการทางานของเครอ่ื งใช้และอปุ กรณ์ไฟฟ้าในบา้ น
84 วิชา ง40105 ชอ่ื งาน ใบงานท่ี 3.1 วงจร ต่อวงจรหลอด Fluorescent จานวน 1 คาบ http://www.supradit.com/learning/electric/electric19.htm ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวัง ข้ันตอนการปฏบิ ตั ิงาน 1. นักเรยี นสามารถตอ่ วงจรหลอด Fluorescent 1. นักเรยี นแบง่ กลมุ่ ละ 3 คน 2. กาหนดตาแหน่งของอปุ กรณ์ ประกอบ ได้ เครอื่ งมอื และวัสดุอุปกรณ์ หลอด Fluorescent ทงั้ 2 แบบ 3. ประกอบสว่ นประกอบของวงจร เช่น 1. อปุ กรณ์หลอด Fluorescent แบบอนุ่ ไสห้ ลอด และแบบจดุ ตดิ เรว็ Ballast starter 4. ตอ่ วงจร 1. สายออ่ น ขนาด 2x 0.5 sQMM. 5. สง่ ตรวจสอบการทางาน 6. ทดสอบวงจร 2. ปลกั๊ 3. เทปพันสาย ข้อเสนอแนะ 5. เครื่องมอื เดนิ สายไฟฟ้า กอ่ นการทดสอบการทางานของวงจร การมอบหมายงาน นักเรยี นจะตอ้ งแจง้ ผสู้ อนกอ่ น และทดสอบ วงจรให้ทางานไดต้ ามปกติ 1. ให้นักเรยี นเขยี นบนั ทกึ ขน้ั ตอนการ การประเมนิ ผล ปฏิบตั งิ าน 1. สงั เกตการณป์ ฏิบตั งิ าน 2. ตรวจผลงาน 3. การสรปุ ขนั้ ตอนการทางาน
85 วิชา ง40105 ชอื่ งาน ใบงานที่ 3.2 ผังการเดินสาย การเดินสายด้วยเข็มขัดรดั สาย จานวน 2 คาบ http://www.supradit.com/learning/electric/electric19.htm ขั้นตอนการปฏบิ ตั ิงาน 1. นักเรยี นแบง่ กลมุ่ ละ 3 คน ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวัง 2. กาหนดตาแหน่งของอปุ กรณ์ตามแบบ 1. นักเรยี นสามารถเดนิ สายไฟฟ้าดว้ ยเขม็ ขดั รดั แปลนเช่น สวติ ซ์, ปลกั๊ , หลอดและแผงจา่ ยไฟ สายได้ 3. ตแี นวเสน้ โดยใช้ปกั เตา้ หรอื ฟุตเหลก็ เครอื่ งมือและวัสดุอปุ กรณ์ 4. ตอกตะปยู ดึ เขม็ ขดั รดั สายไปตาม 1. เขม็ ขดั รดั สาย แนวเสน้ 2. ตะปเู ดนิ สาย 5. เดนิ สายไฟ 3. สาย 2 x 1.0 SQMM และ 2X2.5 SQMM 6. ตดิ ตง้ั อปุ กรณ์ 4. ปลกั๊ ฟิวส์ พรอ้ ม Cut out ขนาด 30 A 7. ตอ่ วงจร 5. กลอ่ ง4x6 พรอ้ มหน้ากาก 2 ช่อง 9. ทดสอบวงจร 6. ปลกั๊ สวติ ช์ 7. Fluorescent 1 ชุด(ทาไวใ้ นใบงานท่ี 1) ข้อเสนอแนะ 8. แปน้ ขนาด 6x8 กอ่ นการทดสอบการทางานของวงจร 9. เทปพันสาย 10. เครือ่ งมอื เดนิ สายไฟฟ้า นักเรยี น จะตอ้ งแจง้ ผสู้ อนกอ่ น และทดสอบ วงจรให้ทางานไดต้ ามปกติ การมอบหมายงาน 11. ให้นักเรยี นเขยี นบนั ทกึ ขนั้ ตอนการ การประเมินผล 1 สงั เกตการณป์ ฏิบตั งิ าน ปฏิบตั งิ าน 2. ตรวจผลงาน 3. การสรปุ ขน้ั ตอนการทางาน
86 วิชา ง40105 ชอ่ื งาน ใบงานท่ี 3.3 วงจร การตรวจเชค็ เตารดี ไฟฟา้ จานวน 1 คาบ ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวัง ขั้นตอนการปฏบิ ตั ิงาน 1. นักเรยี นสามารถตรวจเช็คการทางาน 1. นักเรยี นแบง่ กลมุ่ ละ 3 คน 2. ถอดสกรยู ดึ ฝาครอบของเครอื่ งใช้ เคร่อื งใช้ไฟฟ้าได้ 3. จดบนั ทกึ ตาแหน่งสกรทู ถ่ี อดไวใ้ ห้ เครอื่ งมอื และวัสดุอุปกรณ์ ถกู ตอ้ ง 1. เคร่ืองวดั มลั ตมิ เิ ตอร์ 4. ใช้ไขควงถอดสกรยู ดึ ขว้ั ชิ้นสว่ น 2. เตารดี หรอื หมอ้ หุงขา้ ว 4. เครอื่ งมอื ช่างไฟฟ้าพื้นฐาน ประกอบ เช่น ไส้ ความรอ้ น คอนแทค หลอด สญั ญาณ ออก 1 ขา้ ง การมอบหมายงาน 1. ให้นักเรยี นเขยี นบนั ทกึ ขนั้ ตอนการ 5. ตงั้ มเิ ตอรท์ ่ี Rx 1 นาปลายสายเคร่ืองวดั มาแตะกนั ดเู ขม็ ชี้เลข 0 สเกลบนดา้ นขวา หาก ปฏิบตั งิ าน ไมต่ รงให้ปรบั ปมุ่ ปรบั Zero ohm 6. ใช้ปลายสายมเิ ตอรแ์ ตะทข่ี ว้ั อปุ กรณท์ ่ี ละ ตวั โดยห้ามใช้มอื จบั ทป่ี ลายสาย - ถา้ เขม็ มเิ ตอรข์ ้ึ น แสดงวา่ อปุ กรณ์ไม่ ขาด - วดั ให้ครบสว่ นประกอบของเครอื่ ง บนั ทกึ ผล ข้อเสนอแนะ ห้ามนาเครอื่ งวดั ไปใช้วดั แรงดนั ไฟฟ้า กอ่ นได้รบั อนุญาต การประเมนิ ผล 1. สงั เกตการณป์ ฏิบตั งิ าน 2. ตรวจผลงาน 3. การสรปุ ขนั้ ตอนการทางาน 4.
87 กจิ กรรมหน่วยที่ 3 ให้นักเรยี นทาแบบทดสอบ ตอบคาถามโดยเตมิ ขอ้ ความให้สมบรู ณ์ 1. เปน็ หน่วยวดั คา่ กระแสไฟฟ้า ………………………………………………............... 2. วงจรไฟฟ้าทมี่ กี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นโหลดทางาน …………………………………… 3. เปน็ อปุ กรณ์ทจี่ ะตดั วงจรเมอ่ื เกดิ ลดั วงจรไฟฟ้า ………………………………………. 4. เปน็ การตอ่ วงจรไฟฟ้าท่ี ใช้แรงดนั เทา่ กนั …………………………………................ 5. แรงดนั ไฟฟ้าทใ่ี ช้ในบา้ นจะมคี า่ แรงดนั กโ่ี วลต์ ……………………………………… 6. ระบบไฟฟ้าทใี่ ช้ในอาคารบา้ นเรอื นจะเปน็ ระบบกเ่ี ฟส กสี่ าย ………………………. 7. สายไฟฟ้าทเี่ ดนิ ภายในอาคารดว้ ยเขม็ ขดั รดั สาย จะใช้รหัส อกั ษรใด………………… 8. เขม็ ขดั รดั สายควรตรี ะยะห่างกนั ประมาณกี่ เซนต์ ……………………………………. 9. เปน็ สญั ลกั ษณข์ องอปุ กรณ์ไฟฟ้าใด …………………………………… 10. เปน็ สญั ลกั ษณข์ องอปุ กรณไ์ ฟฟ้าใด ………………………………….. 11. เปน็ สญั ลกั ษณ์ของอปุ กรณ์ไฟฟ้าใด ………………………………….. 12. ไสค้ วามรอ้ นทาดว้ ยวสั ดุ ผสมเรยี กชื่อวา่ ………………………………………….. 13. ขา้ วสกุ แลว้ จะตดั วงจรไฟฟ้าจะใช้การควบคมุ ความรอ้ นแบบ ……………………. 14. หลอด Fluorescent แบบอนุ่ ไสห้ ลอดอปุ กรณใ์ ดช่วยตอ่ วงจรจดุ ไสห้ ลอด ………… 15. หลอดนีออนจะใช้อปุ กรณ์ใดช่วยให้แรงดนั สงู ในการทางา น……………………
88 เฉลยแบบทดสอบตอบคาถาม หน่วยท่ี 3 งานไฟฟา้ 1. แอมแปร์ (Ampere) A 2. วงจรปดิ 3. ฟิวส์ หรอื เบรกเกอร์ 4. วงจรขนาน 5. 220 โวลต์ 6. ระบบ 1 เฟส 2 สาย 7. VAF 8. 10 – 12 ซ.ม. (ปนู 8 ซ.ม.) 9. สวติ ช์ขว้ั เดยี ว 10. หลอดไฟ 11. สวติ ช์ 3(2) ทางคู่ 12. ลวดนิโครม 13. แบบแมเ่ หลก็ 14. สตารท์ เตอร์ 15. หมอ้ แปลงแรงดนั
89 บรรณานุกรม คม แรงสงู เนิน . (ม.ป.ป.). การติดตงั้ ไฟฟา้ ในและนอกอาคาร. กรงุ เทพฯ: ศนู ยห์ นังสอื เมอื งไทย . ชัยเชษฐ เพชรไชย. (2534). งานซ่อมเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ . กรงุ เทพ: อมั รนิ ทรพ์ ริ้นตงิ้ กรุฟ๊ . ซ่อมบา้ นอย่างรทู้ นั ชา่ ง. (2547). กรงุ เทพฯ: รดี เดอร์ ไดเจสท์ . ณรงค์ ชอนตะวนั , และคนอนื่ ๆ. (ม.ป.ป.). คู่มอื ซ่อมเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ภายในบา้ น . กรงุ เทพฯ: (ม.ป.ท.). _______. และนพววรรณ ชอนตะวนั . (ม.ป.ป.). ไฟฟา้ เทคโนโลยี. กรงุ เทพฯ: เอราวณั การพิมพ์ . _______. (ม.ป.ป.). ไฟฟา้ เบอื้ งต้นและไฟฟา้ ทวั่ ไป . กรงุ เทพฯ: เอราวณั การพิมพ์ . นภัทร วจั นเทพินทร์ และปรชี า อบุ ลบาน . (2535). เขียนแบบไฟฟา้ . กรงุ เทพฯ: ศนู ยส์ ง่ เสรมิ อาชีวะ . ราชบณั ฑิตยสถาน. (2525). พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน .กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์อกั ษรเจรญิ ทศั น์ มานัส ครรภาฉาย , และคนอน่ื ๆ. (2549). งานชา่ ง. กรงุ เทพฯ: สกั พิมพ์วฒั นาพานิช. ลอื ชัย ทองนิล . (2546). คู่มอื ชา่ งในบา้ น ชา่ งไฟฟา้ ในบา้ น . กรงุ เทพฯ: บา้ นและสวน. ไวพจน์ ศรีธัญ. (2546). การติดต้ังไฟฟา้ ในและนอกอาคาร. กรงุ เทพฯ: ศนู ยส์ ง่ เสรมิ อาชีวะ . www.school.net.th/.../10000-6555/pic1.jpeg www.b loggang .com/v iewd iary.php?id=p iwat&month= 10-2007&date= 05&group=3&gblog= 4 www.lpc.rmutl.ac.th/elcen/elearning/motorcontrol/module5/protection.html http://images.google.co.th/imgres?imgurl http://www.pantipmarket.com/decor/picture/DE5638652.jpg www.mea.or.th/apd/image/break-2.gif http://www.suprad it .com/ learn ing/electric/electric 19.htm http://images.goog le.co .th/ imgres?imgur l=http:// 203.172 .182.81/ ep/electr ical/too l/hammer 1.gif&i mgrefurl http://www.sukhothaitc.ac.th/pakee/images/PAKEE. A2.htm http://ww2.se-ed.net/ep-poly/plan1.htm http://images.goog le.co .th/ imgres?imgur l=http://203.172 .182.81/ ep/electr ical/too l/hammer 1.gif&i mgrefurl http://www.geoc it ie s.com/pha itoon 2501/le sson 5/line .htm
90 www.tarad.com/.../spd_20070919191125_b.jpg www.eit.or.th/webboard/wbimages/16601q.jpg www.sripiboon.com/.../spd_20071015115709_b.JPG www.rmutphysics.com/.../index129_files/183.jpg http//aaccord.com/product/50/M08/big/11.jpg www.electricmarine.com/web/images/wire%20nut.jpg www.allproducts.com/.../uta/15-wire_nut-s.jpg
Search