กลมุ่ ชาตพิ นั ธุม์ องโกลMongolกลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ ย่ี งิ่ ใหญ่ ผจู้ ดั ทา นายเกียรตศิ กั ด์ิ แสนเปา
คำนำ กลุ่มชนชาติมองโกล เป็นชนชาติ ท่ีมีอารธรรมและประวตั ิศาสตร์ท่ียาวนาน ชาวมองโกลเป็นชนเผา่ เร่ร่อนและเป็นผูท้ ่ีชานาญในการข่ีมา้ ซ่ึงหาเล้ียงชีพดว้ ยการเล้ียงสัตว์ คา้ ขาย และล่าสัตว์ ไม่เหมือนกบั ชนชาติอื่น ๆ ส่วนใหญ่ซ่ึงมีคนเพียงบางส่วนที่ไดร้ ับการฝึ กและเตรียมพร้อมสาหรับการสู้รบ ผูช้ ายชาวมองโกล เกือบทุกคนพร้อมกบั มา้ และคนั ธนูเป็นนกั รบที่แขง็แกร่งและดุดนั . และแต่ละเผ่ากม็ ีความจงรักภกั ดีอยา่ งไม่เสื่อมคลายต่อผนู้ าของพวกเขาท่ีเรียกว่าข่าน โดยทางผจู้ ดั ทา มีจุดประสงค์ เพื่อให้ผูอ้ ่านไดร้ ับความรู้ ความเขา้ ใจในชนชาติมองโกล มีความรู้ดา้ น ภาษา การดารงชีวติ วฒั นธรรม ศาสนา และบุคคลสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ของชนชาติมองโกล ผู้จัดทำ นายเกียรติศกั ด์ิ แสนเปา
กลุ่มชำตพิ นั ธ์ุมองโกล Mongol กลุ่มชาติพนั ธุ์มองโกลประกอบดว้ ยประชากร 5,813,947 คน ส่วนมากเป็นผูเ้ ล้ียงปศสุ ัตว์ในเขตปกครองตนเองมณฑลมองโกเลียใน และมณฑลเหลียวหนิง เป็นท่ีน่าสนใจวา่ มีชาวมองโกลในประเทศจีนมากกวา่ ในมองโกเลียซะอีก ชาวมองโกลนบั ถือศาสนาพุทธแบบทิเบต บุคคลในประวตั ิศาสตร์ท่ีมีช่ือเสียงและเป็นที่เคารพของชาวมองโกลกค็ ือ เจงกีสข่านหรือ เตมูจิน ผูท้ ี่รวบรวมชนเผ่ามองโกลเขา้ ดว้ ยกนั และก่อต้งั ราชวงศห์ ยวนและกุบไล่ข่านที่แผ่ขยายอาณาจกั รไปอยา่ งกวา้ งขวางจากฝั่งทะเลจีนจนถึงฝั่งทะเลดาในยโุ รป จกั รวรรดิมองโกล กาเนิดข้ึนเมื่อ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 13 และ 14 เป็นจกั รวรรดิทางบกท่ีมีอาณาเขตต่อเน่ืองใหญ่ท่ีสุดในประวตั ิศาสตร์ กาเนิดในเอเชียกลาง สุดทา้ ย จกั วรรดิมองโกล มีอาณาเขตครอบคลุมยโุ รปตะวนั ออกจนถึงทะเลญี่ป่ ุน ขยายไปทางเหนือเขา้ ไปใน ไซบีเรีย ทางตะวนั ออกและใตเ้ ขา้ ไปในอนุทวีปอินเดีย อินโดจีนและที่ราบสูงอิหร่าน และทางตะวนั ตกไปไกลถึง เลแวนต์ และ คาบสมุทรอาหรับ กำรแต่งกำยของชำตพิ นั ธ์มองโกล
จกั รวรรดิรวมเผ่าชนเร่ร่อนมองโกเลียในประวตั ิศาสตร์ภายใตก้ ารนาของเจงกิสข่าน ผู้ไดร้ ับประกาศเป็ นผูป้ กครองชาวมองโกลท้งั ปวงใน ค.ศ. 1206 จกั รวรรดิเติบโตอย่างรวดเร็วภายใตก้ ารปกครองของเขาและภายใตผ้ ูส้ ืบเช้ือสายของเขาต่อ ๆ มา ซ่ึงส่งการบุกครองไปทุกสารทิศ จกั รวรรดิขา้ มทวีปไพศาลน้ีเช่ือมตะวนั ออกกบั ตะวนั ตกดว้ ยสันติภาพมองโกลซ่ึงบงั คบัใช้ ทาใหก้ ารคา้ เทคโนโลยี โภคภณั ฑแ์ ละอุดมการณ์แพร่หลายและมีการแลกเปลี่ยนทวั่ ยเู รเชีย อำณำเขตของชำตพิ นั ธ์มองโกล ในอดตี
แผนท่ปี ระเทศมองโกลเลยี ปัจจุบันวฒั นธรรมกำรสร้ำงบ้ำนหรือกระโจมของชำตพิ นั ธ์มองโกล
วฒั นธรรมกำรกนิ ของชนเผ่ำมองโกล ชนเผ่ามองโกล มีประชากรท้ังหมด 4,806,000 คน ส่วนใหญ่อาศยั อยู่ในเขตปกครองตนเองชนชาติมองโกเลียใน ต้งั แต่สมยั โบราณมา ชนเผ่ามองโกลประกอบอาชีพเล้ียงสัตว์ และล่าสัตว์ เป็นหลกั ในการดารงชีวิต ใหค้ วามสาคญั กบั แกะ ว่าเป็นแหล่งที่มาของความมง่ั คงั่ และหลกั ประกนั ในการดารงชีวิต พวกเขาเรียกตนเองว่า “มองโกล” ซ่ึงมีความหมายวา่ “ไฟที่โชติช่วงตลอดกาล” ไดร้ ับฉายานามว่า “ชนชาติบนหลงั มา้ ” ชนเผ่ามองโกลรับประทานอาหารวนัละ 3 ม้ือ ชานาญในดา้ นประกอบอาหารประเภท เผา ตม้ ปิ้ งหรือยา่ ง ท้งั น้ี มีอาหารหลกั ท่ีแทบขาดไม่ไดใ้ นแต่ละม้ือกค็ ือ อาหารท่ีทาจากนมและเน้ือสัตว์ อาหารท่ีทาจากนมเป็นหลกั เรียกวา่ อาหารสีขาว หรือท่ีเรียกเป็นภาษามองโกลวา่ “ ” ซ่ึงหมายถึงอาหารท่ีสะอาด ศกั ด์ิสิทธ์ิและบริสุทธ์ิไร้ราคี ส่วนอาหารที่ทาจากเน้ือสัตวเ์ ป็นหลกั ภาษามองโกล เรียกวา่ “ ” ซ่ึงมีความหมายวา่ อาหารสีแดง อำหำรสีขำว แบ่งออกเป็นนมสด นมเปร้ียว เหลา้ ท่ีมีส่วนประกอบของนม และอาหารชนิดอ่ืนๆ ไดแ้ ก่ แผ่นฟองนม แผ่นบางๆ ที่ลอยอยชู่ ้นั บนสุดของน้านม ลกั ษณะคลา้ ยฟองเตา้ หู้ชีส บิสกิตเนย เนยหรือครีม เตา้ หูน้ ม เป็นตน้ ซ่ึงอาหารเหล่าน้ีต่างเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยน่ารับประทาน และยงั มีประโยชนต์ ่อร่างกายอยา่ งมากดว้ ย ส่วนวธิ ีทากง็ ่ายดาย และน่าสนใจทีเดียวมารยาทในการรับประทานอยา่ งหน่ึงซ่ึงถือเป็นประเพณีที่ปฏิบตั ิต่อเนื่องกนั มานาน กค็ ือการยกแกว้ หรือถว้ ยอาหารยน่ื ใหแ้ ขกชิมอาหารก่อน ชนเผา่ มองโกลนอกจากจะรับประทานนมววั ท่ีพบเห็นไดบ้ ่อยที่สุดแลว้ ยงั รับประทานนมแพะ นมมา้ นมกวาง และ นมอูฐ ซ่ึงในจานวนที่กล่าวมาแลว้ น้นั มีเพยี งส่วนนอ้ ยเท่าน้นั ท่ีรับประทานสด ๆ ส่วนใหญ่แลว้จะใชเ้ ป็นส่วนประกอบของอาหารประเภทนมต่างๆ อำหำรสีแดง กค็ ืออาหารท่ีทาจากเน้ือสัตวป์ ระเภทต่างๆ เน้ือสัตวท์ ี่ใชใ้ นการประกอบอาหารท่ีสาคญั ของชาวมองโกลไดแ้ ก่ เน้ือววั และเน้ือแกะ รองลงมาจะเป็ นเน้ือแพะภูเขา และส่วนนอ้ ยที่เป็นเน้ือมา้ นอกจากน้ี ในช่วงฤดูล่าสัตวก์ จ็ ะมีการล่าแพะเหลือง นาเน้ือ มาประกอบอาหาร
บุคคลสำคญั ทม่ี ตี วั ตนจริงอยู่ในประวตั ศิ ำสตร์ 1.เจงกสี ข่ำน เจงกีส ข่าน เจงกีส แปลวา่ “เวงิ้ สมุทร, มหาสมุทร” (ซ่ึงเปรียบไดว้ า่ เจงกีส ข่าน มีความยิ่งใหญ่ ดงั่ เวิ้งมหาสมุทรนั่นเอง) จกั รพรรดินกั รบชาวมองโกลผูพ้ ิชิต ผูก้ ่อต้งั จกั รวรรดิมองโกล เดิมมีนามว่า เตมจู ิน ตามสถานท่ีเกิดริมฝ่ังแม่น้าโอนอน เป็นผนู้ าครอบครัวแทนบิดาเม่ืออายุเพียง 13 ปี และตอ้ งดิ้นรนต่อสู้ขบั เคี่ยวกบั ชนเผ่าต่าง ๆ ท่ีเป็ นอริอยหู่ ลายปี ปราบเผ่า “ไนแมน” ทางดา้ นตะวนั ตก พิชิตชนชาติ “ตนั กุต” (เซ่ียตะวนั ตก) และยอมรับการจานนของชาว“อุยกรู ์” ในปี พ.ศ. 1749 เตมจู ิน ไดเ้ ปลี่ยนช่ือมาเป็น \"เจงกีส ข่าน\" และจากปี พ.ศ. 1754 ดว้ ยการรบพุ่งหลายคร้ัง เจงกีส ข่าน สามารถยึดครองจีนตอนเหนือ จักรวรรดิคารา-คิไต (เหลียวตะวนั ตก) จักรวรรดิคาเรสม์ และดินแดนอื่น ๆ อีกหลายแห่ง นับถึงเวลาเมื่อเจงกีส ข่านสิ้นพระชนม์ จกั รวรรดิมองโกลไดแ้ ผข่ ยายต้งั แต่ทะเลดาไปจดมหาสมุทรแปซิฟิ ก โดยท้งั หมดเริ่มท่ีจีนตอนเหนือ หลงั จากยึดจงตู (ปัจจุบนั คือกรุงปักก่ิง) ไดแ้ ลว้ เจงกีส ข่าน ไดส้ ่งทูตไปยงัเปอร์เซีย แต่ทางสุลต่านตดั หัวคนท่ีเขาส่งไป เจงกีส ข่าน ส่ังระดมพลไปบุกเปอร์เซีย เมืองทุกเมืองท่ีต่อตา้ นจะถูกปลน้ ชิงและทาลาย หลงั การยึด เจงกีส ข่าน ไดส้ ่ังทหาร 10,000 คนบุกไปทางเหนือ โดยไม่ไดถ้ ูกหยดุ เลยจนถึงสุดขอบทะเลยงั ใกลเ้ คียงตะวนั ออกกลาง เจงกีสข่านมีชีวิตอยู่ตรงช่วงประมาณ 1 ศตวรรษ ก่อนพ่อขุนศรี อินทราทิตย์ข้ึนครองราชยแ์ ละสถาปนากรุงสุโขทยั พระองคไ์ ดร้ ับการยกย่องโดยทวั่ ไปว่าเป็นนกั การทหารท่ี
เก่งท่ีสุดคนหน่ึงในประวตั ิศาสตร์ของโลก นอกจากความสาเร็จในทางการทหารแลว้ เจงกีสข่านยงั สร้างระบบอักษรข้ึนใช้ในจักรวรรดิมองโกล โดยดัดแปลงมาจากอกั ษรอุยกูร์ พระองค์รวบรวมชนเผ่าเร่ร่อนต่างๆของมองโกลเขา้ เป็นชาติเดียวกนั และปกครองโดยถือหลกั เปิ ดกวา้ งต่อความเช่ือทางศาสนา นอกจากน้ีพระองค์ยงั มีบทบาทสาคัญในการสร้างความมั่นคงในเส้นทางสายไหม ทาใหโ้ ลกมุสลิม เอเชียตะวนั ออก และยโุ รป สามารถคา้ ขายและติดต่อสื่อสารถึงกนั ได้ ภายหลงั เจงกีส ข่าน สิ้นพระชนม์ โอเกได ข่าน พระราชโอรสของเจงกีส ข่านไดน้ าทพักลบั ไปที่ใกลต้ ะวนั ออกกลาง แต่ในขณะที่จะเขา้ เวียนนาโอเกได ข่านไดส้ ิ้นพระชนมก์ ่อน ทาใหก้ ารปะทะกนั ไม่อาจเกิดข้ึนวรี กรรมยง่ิ ใหญ่ หากพิจารณาตามพ้นื เพเดิมแลว้ เจงกิสข่านเป็นเพยี งหวั หนา้ เผา่ มองโกลเร่ร่อนเผา่ เลก็ ๆเท่าน้นั อาศยั อยใู่ นเตน็ ท์ ไม่มีบา้ นเมืองของตนเอง แต่สามารถปราบปรามจกั รวรรดิต่างๆ ได้ราบคาบอยา่ งง่ายดาย ถือเป็นวรี กรรมท่ีควรจะยกยอ่ ง วรี กรรมท่ีจดั วา่ ยงิ่ ใหญ่น้นั ไดแ้ ก่ การบุกตะลุยเขา้ ตีเมืองซามาร์คาน จนแตกกระเจิงโดยใชเ้ วลาไม่มากนกั ซามาร์คาน เป็นนครหลวงระดบั มหานคร ของจกั รพรรดิ ชาห์ มูฮมั หมดั แห่งมหาจกั รวรรดิ \"ควาริตซ่ึม\" ซามาร์คานตอ้ งเรียกวา่ มหานคร เพราะมีพลเมืองถึง 200,000 คน ภายในกาแพงเมือง จกั รวรรดิ \"ควาริตซ่ึม\"ตอ้ งเรียกมหาจกั รวรรดิ เพราะครอบคลุมประเทศใหญ่ๆ ในปัจจุบนั ไวร้ ่วมสิบประเทศ รวมท้งัอฟั กานิสถานและอิหร่าน พรมแดนดา้ นตะวนั ตก จดทะเลสาบแคสเปี ยน ดา้ นใตจ้ ดมหาสมุทรอินเดีย ภายในมหานครซามาร์คาน มีทหารประจาการพร้อมรบอยถู่ ึง 110,000 คน เจงกิสข่านเคล่ือนพล 8 หม่ืน ส่วนมากเป็น กองมา้ บุกเขา้ ตีจนแตกพา่ ย เมื่อยดึ ซามาร์คาน ไดก้ ม็ ีการส่งั เผาเมืองท้งั เมือง และไล่ฆ่าผคู้ นตายนบั แสน เหลือไวเ้ ฉพาะช่างฝี มือ และผมู้ คี วามรู้เพียง 30,000 คนและส่งคนเหล่าน้ีไปมองโกเลีย เพอ่ื เป็นทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป
ด้ำนรัฐศำสตร์ เจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ท่ีมีอยู่มากมายหลายเผ่าเขา้ เป็นสมาพนั ธ์ชาวเผ่าได้ต้งั แต่มีวยั เพิ่งแตกพาน นับเป็ นสมาพนั ธ์แห่งแรกของโลกก็ว่าได้ และต่อมามีการรวมตัวสมาพนั ธ์ดงั กล่าว เขา้ เป็ นอาณาจกั รเดียวกนั โดยมีเจงกิสข่านเป็ นกษตั ริยอ์ งคแ์ รก มีการขยายอาณาจกั รออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตดา้ นตะวนั ออก จดชายฝ่ังมหาสมุทรแปซิฟิ ก ดา้ นตะวนั ตกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มองโกเลีย กลายเป็ นมหาจกั รวรรดิข้ึนในเวลาต่อมา นอกจากการขยายอาณาจกั รออกไปไดก้ วา้ งไกลแลว้ ยงั รวบรวมช่างฝี มือ และผมู้ ีศิลปวทิ ยาการดา้ นต่างๆ ส่งกลบัมายงั มองโกเลียดว้ ย นอกเหนือจากทรัพยส์ ินเงินทอง ที่ยึดมาไดจ้ ากการบุกโจมตีอาณาจกั รต่างๆด้ำนกำรศำสนำ โดยปกติชาวมองโกเลีย นบั ถือศาสนาพุทธ และลทั ธิ \"เต็งกรี\" หรือ ลทั ธิบูชาเทพ ชาวมองโกเลีย นบั ถือเจงกิสข่าน เป็ นเทพองคห์ น่ึง เป็ นเทพช้นั ราชาแห่งสวรรค์ แต่พระองค์ก็ไม่ขดั ขวาง หรือกดข่ีศาสนาอื่น ดงั น้นั ในมองโกเลียจึงมีทุกศาสนา ไม่ว่าพุทธ อิสลาม คริสต์ หรือลทั ธิเตง็ กรี แมแ้ ต่ในพระบรมราชวงศ์ ของเจงกิสข่านยงั มีผนู้ บั ถือศาสนา กนั เกือบทุกศาสนาด้ำนกำรทหำร ในยคุ ของเจงกิสข่าน ประวตั ิศาสตร์บนั ทึกไวว้ า่ โลกไดร้ ับความยบั เยิน จากภยั สงครามมากกว่า ยคุ ใดในสมยั โบราณ ไม่วา่ สงครามครูเสด สงครามรวมอาณาจกั รจีน สงครามในเอเชียกลาง ไม่มีคร้ังไหน ที่บา้ นเมืองจะถูกทาลายยบั เยนิ และผูค้ นจะเสียชีวิตมากมายเท่าคร้ังน้ี การรบของเจงกิสข่านไม่เหมือน จกั รพรรดิองคใ์ ดในโลก ตามปกติหากยอมอ่อนนอ้ มโดยดี กจ็ ะมีการกาหนด ใหส้ ่งราชบรรณาการทุกปี แต่สาหรับเจงกิสข่านน้นั นอกจากเคร่ืองราชบรรณาการแลว้ ยงั มีการเกณฑไ์ พร่พล เขา้ ร่วมในกองทพั ดว้ ย จะเห็นไดว้ า่ ในการเขา้ ตีกรุงแบกแดดเมื่อปีค.ศ.1258 กองทพั เจงกิสข่าน ประกอบดว้ ยทหารจากจอร์เจีย อาร์เมเนีย และเปอร์เซียรวมอยดู่ ว้ ยและหากบ้านเมืองใดต่อสู้ขัดขืน ก็จะตะลุยตีจนยึดเมืองได้ จากน้ันก็จะมีการสารวจดูว่า
ชาวเมืองคนใด เป็ นช่างฝี มือ และมีความรู้ความสามารถ ทางวิทยาการต่างๆ จะถูกส่งกลบั ไปมองโกเลีย ที่เหลือจะถูกสังหารหมด ไม่ว่าเด็ก ผใู้ หญ่ สตรีหรือคนชรา แมว้ ่าเจงกิสข่านจะนบัถือศาสนาทุกศาสนา แต่กไ็ ม่ละเวน้ สถานท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิในศาสนาใด หากปรากฏว่ามีศตั รูเขา้ ไปซ่อนตวั อยจู่ ะส่ังเผาทนั ที มีการบนั ทึกไวว้ า่ เมื่อบุกตะลุยเขา้ ไปใน ดินแดนรัสเซีย เจา้ ผคู้ รองนครชาวรัสเซียหนีเขา้ ไปซ่อนตวั ในโบสถ์ ดว้ ยคิดวา่ เจงกิสข่านจะไม่ทาอนั ตราย แต่เจงกิสข่านกส็ ั่งให้เผาโบสถใ์ หไ้ ฟคลอกจนสิ้น พระชนมท์ ้งั เป็ นท้งั หมด เจงกิสข่านบอกว่า ท่ีเผาโบสถไ์ ม่ใช่เพราะลบหลู่พระเจา้ แต่เพราะคนเลวไปทาใหโ้ บสถม์ วั หมองจึงตอ้ งทาลายทิง้ เจงกสี ข่ำนเสียชีวติ เมื่อ: 18 สิงหำคม 1770 รำชวงศ์เซี่ยตะวนั ตก
2.กบุ ไล ข่ำน สมเด็จพระจกั รพรรดิกุบไล ข่าน หรือ จักรพรรดิซ่ือจูหวางต้ี หรือ จกั รพรรดิซีโจ๊วฮ่องเต้ (ค.ศ. 1215-1294) เป็ นข่านหรือจกั รพรรดิของมองโกล และยงั เป็นจกั รพรรดิองค์แรกของราชวงศห์ ยวนแห่งประเทศจีน กุบไลข่านเป็นพระราชนัดดาในจกั รพรรดิเจงกีส ข่าน พระองคข์ ้ึนเป็ นจกั รพรรดิแห่งจกั รวรรดิมองโกลเมื่อ ค.ศ. 1260 และสถาปนาราชวงศห์ ยวนเมื่อ ค.ศ. 1279 จกั รวรรดิมองโกลท่ีเจงกีสข่านสร้างไวข้ ้ึนถึงจุดสูงสุดในสมยั ของกบุ ไล ข่าน เมื่อกบุ ไลข่านสามารถเอาชนะราชวงศซ์ ่งของจีน และยดึ ครองกรุงปักกิ่ง ปกครองประเทศจีน กุบไลข่านยงั ตีไดด้ ินแดนตา้ หลี่ (ในมณฑลยูนนานในปัจจุบนั ) และเกาหลี นอกจากน้ียงั ไดพ้ ยายามยึดครองดินแดนนิฮง (ญี่ป่ ุน ในปัจจุบนั ) และดินแดนหนานหยาง (ดินแดนแหลมสุวรรณภูมิ)ประกอบดว้ ย พม่า เวยี ดนาม และอินโดนีเซีย แต่ไม่ประสบความสาเร็จรำชวงศ์หยวน (พ.ศ. 1814 - 1911) คือหน่ึงในราชวงศข์ องจกั รวรรดิจีน ก่อต้งั ข้ึนเม่ือกบุ ไลข่านผนู้ าเผา่ ชาวมองโกล ไดโ้ ค่นอานาจราชวงศซ์ ่งลง แลว้ เปิ ดศกั ราชชาวมองโกลครองประเทศจีน ชาวมองโกลไดเ้ ขา้ ยึดครองภาคเหนือของจีนเป็ นเวลากว่าทศวรรษ ไดม้ ีความพยายามเปล่ียนเป็ นจีน ต้งั แต่สมยั มองเกอ ข่าน พระเชษฐาของกุบไลข่าน แต่ไม่สาเร็จ จนกระทงั่ ในสมยั ของกบุ ไลข่าน ในปี ค.ศ. 1271 เมื่อมองโกลโค่นราชวงศซ์ ่งลงไดส้ าเร็จและยดึ ครองดินแดนจีนได้ท้งั หมด กุบไลข่านไดป้ ระกาศต้งั ราชวงศแ์ บบจีนข้ึนอย่างเป็ นทางการ[1] มีการต้งั กรุง
ปักก่ิงเป็นเมืองหลวง (สมยั น้นั ชื่อว่า เมืองตา้ ตู) ทรงต้งั ความหวงั จะเป็ นกษตั ริยท์ ่ีดี จึงปกครองอยา่ งสุขมุ รอบคอบ เอาใจใส่ประชาชน จึงสามารถชนะใจชาวจีนได้ และเป็นจกั รพรรดิมองโกลพระองคเ์ ดียว ท่ีชาวจีนยอมรับ (เดิมทีน้นั พวกมองโกลข้ึนช่ือลือชามากในเร่ืองความโหด ท้งั น้ีอาจเนื่องมาจากวถิ ีชีวติ เดิม ท่ีอยใู่ นทุ่งหญา้ ทะเลทราย เร่ร่อนไปเร่ือย ๆ) นอกจากน้ี กุบไลข่านยงั พยายามใชน้ โยบายขยายดินแดนครอบครองโลกและพาชาวจีนบุกยดึ ครองดินแดนต่างๆไปกวา้ งไกลมาก ถึงกบั ยกทพั เรือจะไปตีญ่ีป่ ุนแต่เรือถูกมรสุมจึงไม่สาเร็จ กุบไลข่านสนใจทางอกั ษรศาสตร์และวรรณกรรมมาก จึงส่งเสริมบทประพนั ธ์ต่างๆปรากฏวา่ บทงิ้วในสมยั กบุ ไลข่านดีมาก จนไม่มีบทงิ้วสมยั ใดเทียบได้ การติดต่อกบั ต่างประเทศกเ็ ป็นไปดว้ ยดี ไม่วา่ จะเป็นมาร์โคโปโลและเอกอคั รสมณทูตจากสันตะสานกั ก็ไดม้ าเยอื นแดนจีนในยคุ ของกบุ ไลข่านน่ีเอง พอสิ้นยคุ ของกบุ ไลข่าน กไ็ ม่มีกษตั ริยม์ องโกลพระองคใ์ ดเด่นเหมือนพระองคอ์ ีก ต่อมาจึงมีการพยายามโค่นลม้ ราชวงศห์ ยวนอย่ตู ลอดเวลา จกั รพรรดิพระองคต์ ่อ ๆ มาของราชวงศ์หยวน ส่วนใหญ่ครองราชยไ์ ดไ้ ม่นาน และไดค้ รองราชยโ์ ดยการแยง่ ชิงอานาจกนั สาเหตุก็มาจากสาเหตุท่ีวา่ มองโกลไม่มีกฎแน่นอนเกี่ยวกบั การสืบราชบลั ลงั ก์ จวบจนจกั รพรรดิหยวนฮุ่ยจง ประมุขพระองคส์ ุดทา้ ยซ่ึงครองราชยน์ านกว่าองคก์ ่อน ๆ ในยุคน้ีไดม้ ีความวุ่นวายเกิดข้ึนมาก เกิดภยั พิบตั ิข้ึนหลายท่ี เช้ือพระวงศก์ บั ขนุ นางต่างร่วมกนั ข่มเหงชาวบา้ น จึงมีกบฏเกิดข้ึนทวั่ ไป คร้ังน้ัน มีชายผูห้ น่ึงช่ือ จูหยวนจาง ตอนอายุได้ 17 ปี ครอบครัวไดต้ ายหมดจากโรคระบาด จึงไปบวชที่วดั หวงเจี๋ย ต่อมา ไปเร่ร่อนต่ออีก 3 ปี เนื่องจากเสบียงอาหารหมด แลว้ จึงกลบั มาท่ีวดั ดงั เดิม คร้ันสาวกลทั ธิบวั ขาวก่อกบฏโพกผา้ แดงข้ึน เขากเ็ ดินทางไปสมทบกบั พวกกบฏ เร่ิมนาทพั ออกตีก๊กต่างๆ ในแผ่นดิน แลว้ ในท่ีสุดกไ็ ดส้ ่งแม่ทพั ช่ือสีต๋า ไปตีเมืองปักกิ่งได้สาเร็จ เป็นการโค่นลม้ ราชวงศห์ ยวนลงได้ จากน้นั เขาก็ไดต้ ้งั ราชวงศห์ มิงข้ึน สถาปนาตนเองเป็นจกั รพรรดหิ งหวู่ ใชเ้ มืองหนานจิงเป็นเมืองหลวง
ภำษำของชำวมองโกล ภาษาของชาวมองโกล คือ ภาษามองโกล จดั อยใู่ นตระกูลภาษาอลั ไต สาขาภาษามองโกล แบ่งออกเป็ นสามสาเนียงภาษาคือ มองโกเลียใน ส่วนภาษาอกั ษรที่ใช้อยู่ในปัจจุบนั คือภาษาท่ีประดิษฐข์ ้ึนจากภาษาอุยกรู ์ในตน้ ศตวรรษที่ 13 และพฒั นามาเรื่อยๆโดยนกั ภาษาศาสตร์ชาวมองโกล จนพฒั นาเป็นภาษามองโกลท่ีสมบูรณ์ดงั ที่ใชอ้ ยใู่ นปัจจุบนั ศตวรรษท่ี 17 ดาไลลามะไดป้ รับปรุงอกั ษรมองโกลเพื่อใช้สาหรับภาษามองโกลสาเนียง Khulkha-Buryat อกั ษรน้ีเรียกวา่ ทวั เท่อ ใชส้ าหรับชาวมองโกลที่อาศยั อยทู่ ี่มณฑลซินเจียง บรรพบุรุษของชาวมองโกลมีถ่ินกาเนิดอยบู่ ริเวณลุ่มน้าวงั่ เจ้ียน ปัจจุบนั คือบริเวณท่ีราบลุ่มแม่น้าเอ๋อเอ่อร์กู่น่า มีช่ือปรากฏคร้ังแรกในบนั ทึกช่ือ จิ้วถงั ซู “บนั ทึกเก่าสมยั ราชวงศถ์ งั ”คริสตศ์ กั ราช 840 หลงั จากท่ีประเทศหุยกู่ฮน่ั ล่มสลาย กลุ่มชนที่อาศยั อยู่ในบริเวณดงั กล่าวน้ีอพยพไปอาศยั อยู่ทางทิศตะวนั ตก อยู่ร่วมกบั กลุ่มคนที่พูดภาษา เทอร์จิคในพ้ืนที่ราบลุ่มมองโกล ในช่วงน้ีไดร้ ับอิทธิพลทางภาษาจากชนกลุ่ม เทอร์จิค และพฒั นาอกั ษรภาษามองโกลข้ึนดา้ นเศรษฐกิจและสังคมก็ไดร้ ับอิทธิพลจากชนกลุ่ม เทอร์จิคมาตลอด ชาวมองโกลในยุคน้นัดารงชีพดว้ ยการเล้ียงสัตวต์ ามทุ่งหญา้ มองโกลอนั กวา้ งใหญ่
อ้ำงองิ-https://www.baanjomyut.com/library/china/05.html-https://th.wikipedia.org/wiki/
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: