บา้ นคาเดอื ย ตาบลคาเขอ่ื นแกว้ อาเภอชานมุ าน จงั หวัดอานาจเจรญิ
ชาวภูไท ชาวภูไท คาวา่ \"ผู้ไทย\" บางทา่ นมกั เขียนว่า \"ภไู ท\" แตใ่ น พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ สถานเขียนว่า \"ผูไ้ ทย\" ถ่ินฐานด้ังเดิม ของชาวผู้ไทยเดมิ อยู่ในแควน้ สิบสองจุไทยและแคน้ สบิ สองปนั นา (ดินแดนส่วนเหนือ)ของลาวและเวียตนามซึง่ ติดต่อกบั ส่วนใตข้ อง ประเทศจนี ) ราชอาณาจกั ไทยได้สูญสยี ดินแดนแค้วันสิบสองจไุ ทย ให้ฝร่งั เศสเม่อื ร.ศ.107 (พ.ศ.2431)
ชาวผูไ้ ทยแบง่ ออกเปน็ 2 พวกคือ ผูไ้ ทยดา มอี ยู่ 8 เมอื ง นยิ มแต่งกายด้วยเสือ้ ผา้ สีดาและสี คราม ผไู้ ทยขาว มอี ยู่ 4 เมือง อยใู่ กลช้ ิดติดกบั ชายแดนจนี จงึ นิยม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาว
รวมผูไ้ ทยดา และผไู้ ทยขาวมี 12 เมอื ง จงึ เรียกดินแดนส่วนนวี้ ่า \"สบิ สองจุไทย\" หรอื \"สองเจา้ ไทย\" ตอ่ มา สมยั พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชท่ี 2 (เจา้ องคห์ ลอ่ ) แห่งนครเวียงจันทนไ์ ด้ มหี วั หนา้ ชาวผไู้ ทยผหู้ น่งึ มีนามว่า \"พระยาศรีวรราช\" ไดม้ ีความดี ความชอบชว่ ยปราบกบฎในนครเวียงจันทน์จนสงบราบคาบ พระมหากษัตรยิ ์จึงไดพ้ ระราชทานพระธิดาชื่อ \"พระศรวี รราช\" ให้เปน็ ภรรยา ในกาลตอ่ มาจงึ ได้แตง่ ต้ังใหบ้ ตุ รอันเกิดจาก พระศรวี ร ราชหัวหนา้ ผไู้ ทยและเจ้านางชอ่ ฟ้ารวม 4 คนแยกยา้ ยกนั ไปปกครอง หวั เมอื งชาวผไู้ ทย คอื สบิ อแก, เมอื งเชยี งคอ้ , เมืองวงั และเมืองตะโปน (เซโปน)
สาหรบั เมอื งวังตะโปนเปน็ เมืองของชาวผู้ไทยท่ตี ัง้ ข้ึนใหมท่ างตอนใต้ ของราชอาณาจักรเวยี งจนั ทน์ (ปัจจุบันอยู่ในแขวงสวุ รรณเขตของลาว ติดชายแดนญวน) ตอ่ มาชาวผูไ้ ทยจากเมอื งวังและเมืองตะโปน ได้แยก ย้ายออกไปต้งั เปน็ เมืองต่างๆ ข้นึ อีก คือ เมืองพนิ , เมือง,นอง, เมอื ง พ้อง, เมอื งพลาน, เมืองเชยี งฮม่ , เมอื งผาบงั , เมืองคาอ้อคาเขียว เปน็ ตน้ (เรียบเรียงจากบทพระนิพนธ์ ของ พระบรมวงษเ์ ธอ พระองค์เจ้า ประดษิ ฐาเสรีในหนังสือช่อื \"พระราชธรรมเนียมลาว พมิ พ์เมอ่ื พ.ศ. 2479 ซึง่ พระองคเ์ ธอเป็นพระราชธิดาของราชกาลที่ 4 และเจ้าจอม มารดาดวงคา ซึง่ เจ้าจอมมารดาดวงคาเป็นพระราชนัดดาของเจา้ อนุ วงษเ์ วียงจนั ทร์)
เมอื งวัง, เมอื งตะโปน เปน็ ถ่นิ กาเนดิ ของชาวผ้ไู ทยในฝง่ั ซ้ายแม่น้าโขง (ดนิ แดนลาว) กอ่ นที่จะอพยพเข้ามาอยใู่ นภาคอีสานปจั จบุ ัน ในสมัยรัชกาลท่ี 3 แหง่ กรุงรัตนโกสินทร์เม่อื ตอน เจา้ อนวุ งษ์เวยี งจันทนเ์ ป็นกบฎต่อกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2369 ต่อมาเมอื่ กองทพั ไทยยกขา้ มแมน่ า้ โขงไปปราบ ปรามจน สงบราบคาบแลว้ ทางกรงุ เทพฯ มีนโยบายจะอพยพชาวผไู้ ทยจากเมืองวงั , เมอื งตะโปนจากชายแดนปลายพระราชอาณาเขต ซ่ึงใกลช้ ิดติดกับแดนญาน ใหข้ า้ มโขงมาต้ังถิน่ ฐานทางฝั่ง ขวาแมน่ า้ โขง (ภาคอีสาน)ใหม้ ากที่สดุ เพ่ือ ความปลอดภัยมิให้เปน็ กาลงั แก่นครเวยี งจันทน์และฝา่ ยญวนอีกตอ่ ไป จงึ ไป กวาดตอ้ นผ้คู นซึ่งเป็นชาวผู้ไทยจากเมืองวัง, เมอื งตะโปน, เมอื งพิน, เมือง นอง, เมือง, เมอื งคาอ้อคาเขียว ซึง่ อยูใ่ นแขวงสุวรรณเขตของลาวปจั จุบัน ว่ึง ยงั เป็นอาณาเขตของพระราชอาณาจักรไทยอยใู่ นขณะน้นั ใหข้ ้ามโขงมาต้งั บ้านตั้งเมอื ง ทางฝ่งั ขวาแมน่ า้ โขงในเขต เมอื งกาฬสนิ ธุ์ สกลนคร, นครพนม และมุกดาหาร
เมืองคาเข่อื นแก้ว ปจั จบุ ันเป็นบา้ นคาแกว้ -เมืองเก่าตัง้ ในสมยั ราชกาลท่ี 3 เมอื่ พ.ศ. 2387 เปน็ ชาวผูไ้ ทยทอ่ี พยพมาจากเมอื งวงั จานวน 1,317 คน ไปตงั้ อยูท่ ่ีบา้ นคาเขือ่ นแก้วเขตเมืองเขมราฐ ตัง้ ข้ึนเป็นเมืองคาเขอื่ น แก้ว ขน้ึ เมอื งเขมราฐ ทรงกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ต้ังให้ ท้าวสีหนาท เป็น\"พระรามณรงค\"์ เจ้าเมืองคนแรก เม่ือยบุ เมืองคาเขอ่ื นแกว้ ได้เอา นามเมอื งคาเขอ่ื นแกว้ ไปตง้ั เป็นชอ่ื อาเภอท่ีตัง้ ขึ้นใหมท่ ่ีตาบลลมุ พกุ คือ อาเภอคาเขือ่ นแก้ว จงั หวัดยโสธรในปจั จบุ ัน สว่ นเมอื งคาเขื่อน แกว้ เดิมทีเ่ ปน็ ผไู้ ทย ปจั จบุ ันเปน็ ตาบลคาเข่ือนแกว้ อยใู่ นท้องที่อาเภอ ชานุมาน จังหวดั อานาจเจริญในปัจจุบนั
บ้านคาเดือย เปน็ หม่บู า้ นของชนเผา่ ภไู ท จดั ตงั้ ข้นึ เป็นหมู่บ้านประมาณ ปี พ.ศ. 2398 โดยการนาของ นายวรบุตร (น่าจะนามสกุล ราชวงั เมอื ง) นายระสาน (นา่ จะนามสกลุ เสารส์ งิ ห์) และนายอุทุม (นามสกลุ ...........) พรอ้ มกบั เพือ่ นอกี ประมาณ 10 ครอบครวั เป็นพวกชนเผา่ ภไู ททย่ี ้ายมา จากเมอื งคาเข่ือนแก้ว(บ้านคาแกว้ -เมืองเกา่ ) และนายไชยแสงพร้อม ครอบครัวท่อี พยพมาจากเมอื ง “เซโปน” สาธารณรัฐประชาธปิ ไตย ประชาชนลาว ตง้ั แต่สมยั ทา้ วลาวกวาด ได้เข้ามาพงึ่ บรมโพธสิ มภาร ของพระมหากษตั ริยไ์ ทย
ตอนอพยพมาต้งั ถ่นิ ฐานในท่อี ยอู่ าศยั ใหม่แห่งนี้ ทีน่ ่เี ป็นบ้านรา้ ง มากอ่ นเรยี กว่า “บ้านลมุ พหุ นองหนองสิม” ตอ่ มาเปลีย่ นช่อื เปน็ บา้ น “บา้ นคาเดือย” ตามชื่อของลาห้วยสายหนึ่งซึง่ ไหลผ่านเป็นลาห้วยน้าคา และเต็มไปดว้ ยป่าและตน้ ลกู เดอื ย ปัจจุบันบา้ นคาเดือยถูกแบ่งออกเป็น 3 หม่บู ้าน คือ บา้ นคาเดอื ยใหญ่ หมูท่ ี่ 2 บา้ นคาเดอื ยกลาง หมู่ที่ 12 และบ้านคาเดือยน้อย หมู่ท่ี 8... ผูส้ งู อายุ คนแก่ คนเฒา่ ของชนเผ่าภไู ททีน่ ี่ยังคงมคี วามพยายามทจ่ี ะรักษา ขนบธรรมเนียมประเพณีไว้อยา่ งเหนียวแนน่ และยงั คงรักษาเอกลกั ษณ์ การส่ือสารกันเองในกลมุ่ ดว้ ยภาษาภูไท เกอื บทุกครอบครวั ยงั คงมีการ รกั ษาขนบธรรมเนียมและพิธกี รรมต่างๆ ของเผ่าภไู ทเอาไว้หลายอยา่ ง และยงั คงใหค้ วามเคารพนบั ถือ “ผีบรรพบุรุษ” คนเฒา่ คนแกห่ ลายคน ยงั คงแตง่ กายดว้ ยผา้ ทอพ้ืนเมอื งที่ทอเองและพยายามรวมตัวกนั เพอ่ื ฟ้นื ฟู ขนบธรรมเนยี มประเพณีของชนเผ่า...
เชื้อสาย คนบ้านคาเดอื ย 1. น้องชายของเจา้ เมอื งคาเขื่อนแกว้ ย้ายมาสร้างหมบู่ ้านใหม่มี ลกู หลาน นามสกลุ ราชวังเมอื ง 2. ตระกลู ที่อพยพมาจากเมอื งเซโปน สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว นามสกุล ชาวเซโปน 3. แมใ่ หญ่ขาแต่งงานกบั ลกู ชายเจ้าเมืองคาเขอื่ นแก้ว มีลูกหลาน นามสกุลขันตี 4. ตอ่ มาสามตี ายแมใ่ หญ่ขาแต่งงานคร้ังท่ี ๒ กบั นายเขียว มีลูกหลานนามสกลุ เคนออ่ น
ประเพณวี ัฒนธรรม ทจี่ ดั เป็นประจาทุกปี 1. บุญเดือน ๓ (วันปีใหมช่ าวภูไท) 2. บุญประจาปี (บุญใหญ่)
อา้ งอิง/แหล่งทม่ี า kdhistory.blogspot.com.(2563).ประวัตหิ มบู่ ้าน, สืบคน้ เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2563. ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอชานุมาน ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอชานมุ าน
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: