โรงเรียนทหารม้า วชิ า การใชแ้ ละการซ่อมบำรุง เลม่ ท่ี ๙ รหัสวิชา ๐๑๐๒๒๔๐๖๐๙ หลักสูตร นายสิบยานยนต์ แผนกวชิ ายานยนต์ กศ.รร.ม.ศม. ปรัชญา รร.ม.ศม. “ฝกึ อบรมวิชาการทหาร วทิ ยาการทนั สมัย ธำรงไวซ้ งึ่ คณุ ธรรม”
ปรชั ญา วสิ ยั ทัศน์ พนั ธกจิ วตั ถปุ ระสงคก์ ารดำเนนิ งานของสถานศึกษา เอกลกั ษณ์ อัตลักษณ์ ๑. ปรชั ญา ทหารมา้ เปน็ ทหารเหลา่ หน่ึงในกองทัพบกทีใ่ ชม้ ้าหรอื สิ่งกำเนิดความเร็วอื่นๆ เปน็ พาหนะเป็นเหล่าทม่ี ีความสำคญั และจำเปน็ เหลา่ หนงึ่ สำหรบั กองทหารขนาดใหญ่ เช่นเดียวกบั เหลา่ ทหารอน่ื ๆ โดยมีคณุ ลักษณะทม่ี ีความ คลอ่ งแคล่ว รวดเรว็ ในการเคล่อื นท่ี อำนาจการยิงรนุ แรง และอำนาจในการทำลายและข่มขวัญ อนั เป็น คณุ ลักษณะท่สี ำคัญและจำเป็นของเหลา่ โรงเรยี นทหารมา้ ศนู ยก์ ารทหารม้า มปี รัชญาดังน้ี “ฝกึ อบรมวชิ าการทหาร วทิ ยาการทันสมยั ธำรงไวซ้ ึ่งคณุ ธรรม” ๒. วสิ ยั ทัศน์ “โรงเรียนทหารมา้ ศูนยก์ ารทหารมา้ เปน็ ศูนย์กลางการเรยี นรูว้ ชิ าการเหลา่ ทหารมา้ ทท่ี นั สมัย ผลิตกำลงั พลของเหลา่ ทหารม้า ใหม้ ีลกั ษณะทางทหารที่ดี มคี ุณธรรม เพอื่ เปน็ กำลงั หลกั ของกองทัพบก” ๓. พันธกจิ ๓.๑ วิจัยและพัฒนาระบบการศึกษา ๓.๒ พัฒนาคณุ ภาพครู อาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๓.๓ จดั การฝกึ อบรมทางวชิ าการเหล่าทหารมา้ และเหล่าอน่ื ๆ ตามนโยบายของกองทัพบก ๓.๔ผลิตกำลงั พลของเหล่าทหารม้า ให้เป็นไปตามวัตถปุ ระสงคข์ องหลกั สูตร ๓.๕ พฒั นาสือ่ การเรยี นการสอน เอกสาร ตำราของโรงเรียนทหารม้า ๓.๖ปกครองบงั คับบญั ชากำลังพลของหนว่ ย และผเู้ ข้ารับการศึกษาหลักสูตรต่างๆ ใหอ้ ยบู่ นพ้นื ฐาน คุณธรรม จริยธรรม ๔. วัตถุประสงค์ของสถานศึกษา ๔.๑เพ่อื พฒั นาครู อาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ใหม้ ีความรูค้ วามสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ให้กับผเู้ ขา้ รบั การศึกษาได้อย่างมีประสิทธภิ าพ ๔.๒ เพอื่ พฒั นาระบบการศกึ ษา และจดั การเรยี นการสอนผ่านส่อื อเิ ล็กทรอนิกส์ ให้มีคุณภาพอย่าง ต่อเนื่อง ๔.๓ เพอื่ ดำเนินการฝึกศึกษา ใหก้ บั นายทหารชั้นประทวน ท่ีโรงเรียนทหารม้าผลิต และกำลังพลที่เขา้ รบั การศึกษา ใหม้ คี วามร้คู วามสามารถตามท่ีหนว่ ย และกองทพั บกต้องการ ๔.๔ เพอ่ื พัฒนาระบบการบรหิ าร และการจัดการทรพั ยากรสนับสนุนการเรยี นรู้ ใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สุด ๔.๕ เพื่อพฒั นาปรบั ปรุงส่ือการเรยี นการสอน เอกสาร ตำรา ให้มคี วามทนั สมยั ในการฝึกศึกษาอย่างต่อเน่อื ง ๔.๖เพ่อื พฒั นา วิจัย และใหบ้ รกิ ารทางวิชาการ ประสานความร่วมมอื สร้างเครอื ขา่ ยทางวิชาการกบั สถาบันการศึกษา หนว่ ยงานอ่นื ๆ รวมทงั้ การทำนุบำรุงศิลปวฒั ธรรม ๕. เอกลักษณ์ “เป็นศูนย์กลางแหง่ การเรยี นรทู้ างวชิ าการ และผลิตกำลังพลเหล่าทหารมา้ อยา่ งมีคุณภาพเป็นการ เพิ่มอำนาจกำลังรบของกองทพั บก” ๖. อัตลกั ษณ์ “เด่นสงา่ บนหลงั มา้ เก่งกล้าบนยานรบ”
สารบญั หนา้ 1 ลำดับ วิชา 31 1 การใชแ้ ละการซอ่ มบำรงุ รถถงั T – 84 Oplot 39 2 การใชแ้ ละการซ่อมบำรุง รถถงั VT-4 87 3 การใชแ้ ละการซ่อมบำรงุ รถถงั เอม็ ๔๑ เอ๓ 4 การใชแ้ ละการ ซบร. ยานเกราะลอ้ ยาง 8x8 แบบ VN๑ ...................................................
รถถงั หลัก ๕๗ ( T-84 OPLOT ) กล่าวทว่ั ไป รถถังห ลัก OPLOT ห รือ T-84 OPLOT ออกแบ บ โดยบ ริษั ท Kharkiv Morozov Machine Building Design Bureau (KMDB) และสร้างโดย Malyshev Plant ซ่ึงเป็นรัฐวิสาหกิจ (State-owned Enterprise) ของประเทศยูเครน คำว่า “OP LOT” เป็นภาษายูเครน ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Bulwark” ซ่ึงหมายถึง “ป้อมปราการหรือท่ีมั่นสำหรับต่อสู้กับข้าศึก” เป็นรถถังรุ่นใหม่ที่มีความทันสมัย จัด อยู่ในประเภทรถถังยุคที่ 3 (Third Generation) ถูกออกแบบและสร้างขึ้นให้เป็นรถถังท่ีมีอำนาจการยิงท่ี รุนแรง มีความแม่นยำสูง มีระบบป้องกันตัวเองท่ีเชื่อถือได้ มีความคล่องแคล่วในการเคล่ือนที่สูง สามารถ ปฏิบัติการในสภาพพื้นที่ที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันอย่างมาก คือตั้งแต่ -40 องศาเซลเซียส ถึง + 55 องศา เซลเซียส หรือแม้กระท่ังการปฏิบตั ิการในพื้นที่ ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3000 เมตร รถถัง OPLOT ก็ยัง สามารถปฏิบตั ิภารกิจได้เปน็ อยา่ งดี รถถังหลัก T-84 OPLOT เป็นรถถังท่ีสร้างขึ้นใหม่ โดยมีการพัฒนาต่อเนื่องมาต้ังแต่รถถังหลักรุ่น T- 64 ซ่ึงเป็นรถถังที่ใช้การบรรจุกระสุนแบบอตั โนมัติ (Autoloader) รุ่นแรกของโลก พัฒนาเรื่อยมาจนถึงรถถัง หลัก รนุ่ T-80UD ก่อนจะมาเป็นรถถงั หลัก T-84 OPLOT ในปัจจบุ ัน รถถงั รนุ่ น้ี มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดมิ หลายรายการ อาทิเช่น มีป้อมปืนรุ่นใหม่ เครื่องยนต์ใหม่ท่ีมีกำลัง 1,200 แรงม้า เกราะปฏิกิริยาแบบใหม่ กล้องเล็งแบบใหม่ ระบบตอบโต้การถูกยิงด้วยอาวุธนำวิถี ที่เรียกว่า “Varta” หรือ Guard ในภาษาอังกฤษ น่ันเอง ซ่ึงระบบนี้สามารถแจ้งเตือนการถูกตรวจจับหรือการเล็งเกาะเป้าหมาย (Tracking) ด้วยแสงเลเซอร์ รวมถึงการมีระบบก่อกวนคล่ืนสัญญาณแสงเลเซอร์ (Laser Beam) ในระบบอาวุธนำวิถีต่อสู้รถถังอีกด้วย จึง ทำให้รถถงั OPLOT มขี ีดความสามารถในการอยู่รอดในสนามรบไดม้ ากยิง่ ขึน้ ภาพรถถัง T – 80 UD ต้นแบบในการพฒั นาตอ่ มาจนเปน็ T-84 OPLOT การแบ่งรถถังตามยคุ ตา่ งๆ
ภาพรถถงั หลกั T-84 OPLOT รถถงั ยคุ ท่ี 3 (Third Generation) จากท่ีกล่าวว่า รถถัง T-84 OPLOT เป็นรถถังในยุคที่ 3 (Third Generation) ก็ขออธบิ ายถึง ความเป็นมา และการจัดแบง่ รถถงั ตามยุคตา่ ง ๆ ดงั นี้ ในปัจจุบันการแบ่งช้ันของรถถังหลัก (main battle tank) ที่ได้จัดแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ ใน แต่ละประเทศนั้น แม้วา่ การเรียกช่ือหรอื การให้ความหมายอาจไม่ชัดเจนในบางประเทศ ยกตวั อยา่ งเชน่ รถถัง ในตระกูลของสหภาพโซเวียตรัสเซีย (USSR) เดิม จะแบ่งชั้นรถถังเป็น 3 ยุคต้ังแต่ปี ค.ศ.1920 จนถึงปี ค.ศ. 1980 หลังจากนั้นจะจัดรถถังหลักท่ีสร้างขึ้นมาหลังจากนี้ เป็นรถถังยุคที่ 4 ในขณะท่ีการจัดของกองทัพ แคนาดาและกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนก็จัดเป็นสามยุคเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ ปี1983 เป็นต้น มา Rolf Hilmes ( ผู้เชี่ยวชาญด้านรถถัง แห่งสถาบันการทหารของเยอรมัน ซึ่งเป็นบุคคลท่ียอมรับกันในหมู่ ของชาติมหาอำนาจ ทั้งตะวันตกและตะวันออก ) ได้ให้ความเห็น และแบ่งยุคของรถถังออกเป็น 3 ยุค น่าจะ เปน็ การอธบิ ายถึงววิ ฒั นาการของรถถงั ได้ดีกวา่ ดังน้ี รถถังยุคท่ี 1 (First Generation) รถถังยุคน้ีจะอยู่บนพ้ืนฐานหรือการออกแบบของรถถังเพ่ือใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ท่ีมีช่ือเสียง ไดแ้ ก่ ถ.T-34 ของรสั เซีย และรถถัง Panther ของ เยอรมนั รถถงั ยุคที่ 2 ( Second Generation) รถถังยุคนี้จะมีการติดต้ังอุปกรณ์ป้องกัน นชค.(สามารถป้องกันได้ในห้วงเวลาจำกัด),ติดต้ังกล้อง กลางคืนแบบใช้แสงอินฟราเรด มีระบบรักษาการทรงตัวของปืนใหญ่รถถัง และอย่างน้อยที่สุดต้องมีระบบ ควบคุมการยงิ แบบกลไกควบคมุ ด้วยมอื (Mechanic) รถถังยคุ ที่ 3 (Third Generation) รถถังยคุ น้ีจะถูกกำหนดว่าต้องมอี ุปกรณ์การมองเห็นเชน่ กลอ้ งตรวจการณ์ กลอ้ งเล็ง ท่ีเป็นระบบจับ ภาพด้วยรังสีความร้อน (Thermal sight) ระบบเครื่องควบคุมการยิงจะต้องเป็นระบบดิจิตอล และมีเกราะ ป้องกันเปน็ แบบเกราะผสมหลายชั้น (Combined, multi - layer) ดา้ นหน้า ดา้ นบนปอ้ มปืน ด้านหลงั ภาพแสดงเกราะรถถัง OPLOT ตัวรถและป้อมปืน เป็นแบบเกราะผสมหลายช้ัน (Combined, multi - layer) และติดต้ังเกราะปฏิกิริยาแบบ BATW-ERA (Built in Anti Tandem Warhead Explosive Reactive Armor) หมายเหตุ 1. สหภาพโซเวียตรัสเซีย (USSR) เดิม แบ่งรถถังที่ใช้ตั้งแต่ ปี 1920-1945 เป็นยุคท่ีหนึ่ง ปี 1946- 1960 เป็นยุคที่สอง ปี1961-1980 เป็นยุคที่สามและ ต้ังแต่ปี 1981-จนถึงปัจจุบันเป็นรถถังยุคท่ีสี่ ดังนั้นใน กรณีของรถถัง T-80 ท่ีถูกผลิตมาในปี 1976 ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่รถถังยุคท่ีส่ีจริงๆ เม่ือเทียบกับรถถัง M1 , รถถงั Challenger และรถถงั Leopard 2 รวมถึงรถถัง LeClerc ของฝรงั่ เศส ด้วย
Sewell 1988, note 1. 2. กรมยุทธศาสตร์ภาคพื้น ของแคนาดา ได้ให้คำนิยามศัพท์เก่ียวกับการกำหนดยุคของรถถังทั้งสาม ยุคไว้ว่า รถถังหลักในยุคท่ีหน่ึงได้แก่รถถังที่สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้แก่ รถถังของสหรัฐฯ เช่น M48/M60 ของเยอรมันเช่น Leopard 1 และของประเทศองั กฤษไดแ้ ก่ Centurion and Chieftain ในยุคท่ี สอง ประกอบด้วยรถถังเกือบท้ังหมดที่ใช้ปืนใหญ่รถถังขนาด 120 มม. เช่น ของสหรัฐฯ ได้แก่ M1A1 ของ เยอรมัน ได้แก่ Leopard 2 และของอังกฤษ ได้แก่ Challenger สำหรับยุคที่สาม ได้แก่ รถถังที่ใช้ระบบ ดิจิตอลท่ีทันสมัย เช่น ของฝรั่งเศส ได้แก่ Leclerc ,ของสหรัฐฯได้แก่ M1A2 และของเยอรมันได้แก่ Leopard 2A5 Lamontagne 2003, pp 7–8. 3. ในบันทึกท่ีเขียนไว้ใน Pancerni website source กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญท่ีสุดของ รถถังตั้งแต่ยุคที่ 1, 2, 2.5 และ 3 ของคุณลักษณะรถถังหลัก คือ \"รถถังหลักในยุคท่ี 1 คือรถถังท่ีถูกสร้าง ข้ึนอย่างรวดเร็วเพ่อื ใช้ภายหลังในสงครามโลกครั้งท่ีสอง รถถังยุคท่ี 2 จะมีระบบกล้องตรวจการณ์ท่ีดีกวา่ ยุคที่ 1 รวมถึงมีการนำอุปกรณ์เลเซอร์และกระสุนแบบเจาะเกราะสลัดครอบท้ิงเองทรงตัวด้วยครีบหาง(APFSDS ) มาใช้ รถถังยุคท่ี 3 ตัวรถและป้อมปืนสร้างข้ึนโดยใช้เกราะแบบผสม มีการวางแผ่นเกราะซ้อนกันหลายชั้น รวมถึงใช้แผ่นเกราะประเภทเซรามิคมาประกอบเป็นตัวเกราะ มีระบบการทรงตัวของตัวปืนท่ีสมบูรณ์แบบ ( Full stabilization system for the main gun) สำหรับรถถังท่ีจัดให้อยู่ระหวา่ งยุคท่ี 2 กับยุคท่ี 3 เป็น ยุค 2.5 ได้แก่ รถถัง T-72 ของสหภาพโซเวียตรัสเซีย (USSR) ซ่ึงมีอำนาจการยิงเท่ากับรถถังยุคท่ี 3 แต่ ระบบการทรงตัวของปืนใหญ่รถถังเป็นแบบรุ่นเก่า รวมถึงลักษณะเคร่ืองยนตท์ ่ีมีกำลังแรงม้าต่ำและกระสุนที่ ยงั ไมพ่ ัฒนาให้มีประสิทธภิ าพในการทำลาย เทา่ กบั รถถังยุคที่ 3 • ขอ้ พจิ ารณาว่า กรณีรถถัง OPLOT จดั อยใู่ นรถถงั ยคุ ท่ี 3 หรอื ไม่ • คำตอบก็คือ จัดเป็นรถถังยุคที่ 3 แน่นอน เหตุผลก็คือ รถถัง T-84 OPLOT ได้มีการรวบรวมคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในการแบ่งช้ันของ รถถังในยคุ ที่ 3 ไว้ไดท้ ้ังหมด ไม่วา่ จะเปน็ 1. มีปืนใหญ่รถถังลำกล้องเรียบขนาด 125 มม. แบบ KBA-3 ที่สามารถยิงกระสุนจรวดต่อสู้รถถังนำ วถิ ีด้วยแสงเลเซอร์จากลำกล้องปนื ใหญไ่ ด้ โดยมรี ะยะยงิ หวังผล ถงึ 5,000 เมตร 2. มีระบบควบคุมการยิงแบบดิจิตอลที่ทันสมัย มีกล้องเล็งและตรวจการณ์ทั้ง ผบ.รถ และพลยิงใช้ กล้องแบบจบั ภาพด้วยรังสคี วามร้อน (Thermal Sight) 3. มีเกราะป้องกันทั้งที่เป็นแบบเชิงรับ (passive) สร้างเป็นตัวรถและป้อมปืน ซึ่งเป็นเกราะแบบผสม หลายชั้น (Combined, multi – layer) และแบบเชิงรุก (Active) ซึ่งเป็นเกราะปฏิกิริยาแบบ BATW-ERA (Built in Anti Tandem Warhead Explosive Reactive Armor) สร้างข้ึนโดยเฉพาะให้กับรถถัง OPLOT เพือ่ ตดิ ตงั้ เสรมิ ทางด้านหน้า, ด้านบนปอ้ มปืน และด้านหลงั ของตัวรถ 4. รถถัง OPLOT ยังมีระบบตอบโต้การถูกยิงด้วยอาวุธนำวิถี แบบ Varta ท่ีสามารถแจ้งเตอื นการถูก ตรวจจับด้วยแสงเลเซอร์ สามารถตอบโต้การถูกยิงด้วยอาวุธนำวิถีท่ีใช้การเล็งยิงด้วยกล้องเล็งเกาะเป้าหมาย โดยการส่งคลื่นสัญญาณแสงเลเซอร์ รบกวนระบบนำวิถีของอาวุธต่อสู้รถถังฝ่ายตรงข้ามขณะ ทำการยิง เป็น ต้น
ภาพรถถัง T – 84 OPLOT รุ่นล่าสดุ ภ าพ แสดง โครงสร้างของรถถัง OPLOT คุณลักษณะทางเทคนิคของรถถงั OPLOT 52.53 ตนั ประเภท : รถถังหลกั (Main Battle Tank : MBT) 3 นาย • นำ้ หนกั พร้อมรบ 9,720 มม. • พลประจำรถ • ความยาวเมอื่ ปนื ใหญ่ชไี้ ปข้างหนา้
• ความกวา้ งเม่ือรวมชายน้ำดา้ นข้างแบบถอดได้ 4,275 มม. • ความกว้างเมือ่ ไม่รวมชายนำ้ ดา้ นขา้ งแบบถอดได้ 3,400 มม. • ความสูงวดั ถึงกลอ้ งตรวจการณ์ผู้บังคบั รถ 2,800 มม. • ท้องรถสงู จากพื้น 470 มม. ระบบอาวธุ อาวธุ หลกั • ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบแบบ 2A46M-1 ( KBA-3 ) ขนาด 125 มม. 1 กระบอก (สามารถยิงกระสุน จรวดต่อส้รู ถถงั นำวิถดี ้วยแสงเลเซอร์ได้) • อัตราเรว็ ในการยิง 8 นัด/นาที • ระบบบรรจกุ ระสนุ แบบอัตโนมัติ (Fully Autoloader) • จำนวนกระสุนท่บี รรทุกบนรถ 46 นัด (28 นดั ในช่องใสก่ ระสุนพร้อมยิง) • ชนิดกระสนุ APFSDS,HEAT,HE-FRAG,ATGM (Anti-Tank Guided Missiles) • ระบบรกั ษาการทรงตัวของลำกลอ้ งปืนใหญร่ ถถัง (Stabilizer) เปน็ แบบอิสระสองแกน อาวุธรอง • ปนื กลรว่ มแกนแบบ PKT ( KT-7.62 ) ขนาด 7.62 มม. 1 กระบอก จำนวนกระสนุ 1,250 นดั • ปืนต่อส้อู ากาศยาน แบบ NSVT ( KT-12.7 ) ขนาด 12.7 มม. 1 กระบอก จำนวนกระสนุ 450 นดั ควบคุมการยิงจากภายในรถ (Remote Control) • กระสุนจรวดตอ่ สู้รถถังนำวถิ ีด้วยแสงเลเซอร์แบบ 9M119M1 Reflecks-M (กลุ่ม NATO เรียกว่า AT- 11 sniper) ระยะยงิ หวังผล 5,000 เมตร ระบบควบคุมการยิง (Fire Control System) • กลอ้ งตรวจการณ์ของผู้บังคบั รถกลางวนั /กลางคืนแบบจบั ภาพดว้ ยรังสีความร้อน แบบ PNK -6 • กล้องเลง็ กลางวันของพลยิง แบบ 1G46M กำลังขยาย 2.7 – 12 เท่า • กลอ้ งเล็งของพลยงิ ชนิดจบั ภาพดว้ ยรังสีความรอ้ น แบบ PTT-2 • เครือ่ งหาระยะดว้ ยแสงเลเซอรข์ องพลยงิ วัดระยะตง้ั แต่ 400 – 9,000 เมตร • เครอ่ื งคำนวณทางขปี นวธิ ี ระบบดิจิตัล รนุ่ TIUS –VM • ระบบควบคุมการยิงปนื ต่อสอู้ ากาศยานจากภายในตัวรถเช่อื มโยงกบั กลอ้ ง ผบ.รถ แบบ PNK -6 ระบบการปอ้ งกันตนเอง • ชนิดของเกราะ ตัวรถและป้อมปืน เป็นแบบเกราะผสมหลายชั้น (Combined, multi - layer) และ ติดต้ังเกราะปฏิกิริยาแบบ BATW-ERA (Built in Anti Tandem Warhead Explosive Reactive Armor) เป็นเกราะปฏกิ ริ ิยา (ERA) ทพ่ี ัฒนาขน้ึ ใหม่ ทางดา้ นหนา้ , ดา้ นบนปอ้ มปนื และดา้ นหลัง • ระบบตอบโต้การถูกยงิ ดว้ ยอาวุธนำวถิ ี แบบ Varta • อุปกรณ์การพลางตัว (สีพรางตัว, ตาข่ายพราง) และอุปกรณ์การลดคลื่นความร้อนจากท่อไอเสีย เพ่ือ ลดการตรวจจับจากฝา่ ยตรงขา้ มดว้ ยกลอ้ งจบั ภาพดว้ ยความร้อน และลดขีดความสามารถในการนำวถิ ี ของอาวุธตอ่ ส้รู ถถังทใี่ ช้คลน่ื ความรอ้ นเป็นตัวนำวถิ เี ข้าสู่เป้าหมาย • ระบบการปอ้ งกนั นชค. และเคร่อื งมือดับเพลงิ ฉกุ เฉนิ ภายในตัวรถ ความคลอ่ งแคลว่ ในการเคล่อื นที่
• ความเร็วสงู สดุ 69.3 กม./ชม. • ระยะปฏิบัตกิ าร 400 กม. ( 500 กม. เมอื่ ติดตงั้ ถังน้ำมนั เพม่ิ เติม) • การข้ามเครือ่ งกดี ขวาง : -ไต่ลาดตรง 32 (62.49%) องศา -ไตล่ าดเอียง 25 (46.63%) องศา -ข้ามคูกวา้ ง 2.85 เมตร -ข้ามเคร่ืองกดี ขวางทางด่ิง (สูง) 1 เมตร -ลุยนำ้ ลกึ (โดยไม่ตอ้ งเตรียมการ) 1.8 เมตร -ลยุ นำ้ ลึกโดยใช้อปุ กรณล์ ยุ น้ำ 5 เมตร (โดยไม่จำกัดความกวา้ ง และระยะทาง) เครอื่ งยนต์ • ชนิดของเครื่องยนต์ แบบใช้เช้ือเพลิงได้หลายชนิด (Multi-fuel) 6 สูบ 2 จังหวะระบายความร้อน ดว้ ยของเหลว รนุ่ 6TD-2 • อุณหภมู ิใช้งาน -40 ถึง +55 องศาเซลเซยี ส • เคร่อื งยนต์ให้กำลงั 1,200 แรงมา้ ที่ 2600 รอบ/นาที • มีเครื่องช่วยจ่ายพลงั งานสำรอง (APU) ในการติดเครอ่ื งยนต์หลัก แบบ EA -10 ระบบการถ่ายทอดกำลงั เปน็ ระบบการควบคมุ การเคลื่อนทีแ่ บบผสม (CMCS) โดยสามารถเลอื กใช้งานไดส้ องระบบ - ระบบเกยี รอ์ ตั โนมตั ิ มี 7 เกียรเ์ ดนิ หน้า 4 เกยี รถ์ อยหลงั - ระบบเกยี รธ์ รรมดา มี 6 เกยี รเ์ ดนิ หนา้ 4 เกียรถ์ อยหลงั ปนื ใหญร่ ถถงั เป็นแบบลำกล้องเรียบ ขนาด 125 มม. รุ่น KBA-3 (2A46 M-1) ใช้ระบบบรรจุกระสุนแบบอัตโนมัติ (Autoloader) อัตราเร็วในการยิง 8 นัด/นาที สามารถยิงกระสุน APFSDS, HEAT, HE-FRAG และกระสุน ATGM มีระบบจุดอ้างปากลำกล้อง (MRS : Muzzle Reference System) มมี ุมกด/มุมยกต้ังแต่ - 4 ถงึ +15 องศา ระบบป้อนกระสุนปนื ใหญ่รถถังแบบอตั โนมัติ (Fully Autoloader) รถถัง OPLOT ใช้ระบบป้อนกระสุนปืนใหญ่รถถังแบบอัตโนมัติ (Fully Autoloader) โดยกระสุนปืน ใหญ่ของรถถัง OPLOT จะเป็นกระสุนแบบแยกส่วน ประกอบดว้ ย หัวกระสุนและดินส่งกระสุน วางเรียงตาม กันโดยหัวกระสุน และดินส่งกระสุนจะอยู่ในช่องใส่กระสุนพร้อมยิง (Carouselle) จำนวน 28 นัด ซึ่งจะหมุน เข้าสู่ด้านท้ายรังเพลิงของลำกล้องปืนใหญ่ ด้วยสายพาน ระบบป้อนกระสุนอัตโนมัติและระบบควบคุมการ ทำงานเป็นชนิดใช้กลไกไฟฟ้าและไฮดรอลิค ใช้มุมบรรจุกระสุนแบบคงที่ ที่ตำแหน่งมุมยกปืน 3 องศา สามารถหมุนได้สองทิศทาง เป็นมุม 360 องศา โดยใช้ความเร็วในการหมุนประมาณ 25 - 33 องศาต่อวินาที อตั ราเร็วในการบรรจุกระสนุ ตอ่ นดั ประมาณ 7 วนิ าที เฉล่ีย 8 นดั /นาที ชนดิ ของการป้อนหัวกระสุนและดินส่ง กระสุนจะป้อนเรียงตามกันเข้าไปท่ีรังเพลิงของปืนใหญ่รถถัง แล้วแต่ชนิดของหัวกระสุนท่ีพลยิงเลือกใช้จาก กล่องเลอื กชนดิ กระสุนในหนง่ึ รอบของการบรรจุ
ภาพแสดงระบบการบรรจุกระสนุ แบบอตั โนมัติ (Fully Autoloader) ระบบควบคมุ การบรรจกุ ระสุนแบบอตั โนมัติ ถูกตดิ ต้งั ในรถถัง OPLOT เพื่อ - ใชใ้ นการควบคุมการทำงานของกลไกและไฮดรอลิกในระบบบรรจกุ ระสนุ แบบอตั โนมตั ิ - ใชใ้ นการควบคุมวงจรล่ันไกของปนื ใหญ่รถถงั และปืนกลรว่ มแกน - ใชเ้ กบ็ ขอ้ มูล และเลอื กชนิดของกระสุนปืนใหญ่ ที่วางไวใ้ นชอ่ งพร้อมยงิ (Carouselle) ระบบเซน็ เซอร์ทใ่ี ช้สำหรับส่งขอ้ มูลปรับแก้เข้าสคู่ อมพิวเตอร์ควบคมุ ขปี นวิธขี องปนื ใหญร่ ถถงั ระบบเซ็นเซอร์ท่ีติดตั้งในรถถังOPLOT จะเป็นระบบเซ็นเซอร์ท่ีใช้ในการป้อนข้อมูลท่ีมีผลกระทบ โดยตรงต่อขีปนวิธีของกระสุน เข้าสู่คอมพิวเตอร์ควบคุมทางขีปนวิธีของรถถัง (Tank Ballistic computer) เพอื่ ประมวลผลในการปรับแก้มุมยงิ โดยอตั โนมัติ ประกอบด้วย 1. เซ็นเซอรว์ ัดมุมเอยี งของดมุ ปืน (Cant sensor ) เซ็นเซอร์น้ีจะวัดค่าการเปล่ียนแปลงการเอียงของดุมปืนไปจากมุมปกติ โดยการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวน้ี จะเกิดจากการที่รถถังอยู่ในตำแหน่งท่ีลาดเอียง โดยระบบเซ็นเซอร์จะวัดค่าการเปล่ียนแปลงของ มุมเอียงดุมปืนต้ังแต่ 0 - 15 องศา โดยมีค่าความผิดพลาดจากการวัดไม่เกิน 0.5 องศา หลังจากนั้นข้อมูลจะ ถกู ส่งไปยัง คอมพวิ เตอรค์ วบคมุ ขีปนวิธี โดยอตั โนมัติ เพือ่ คำนวณตัวแก้มมุ ยงิ ตอ่ ไป 2. เซ็นเซอรว์ ัดความเร็วลม (Wind sensor ) ระบบเซ็นเซอร์นี้จะวัดความเร็วลมทางข้าง (Crosswind) ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนววิถีกระสุนปืนใหญ่ โดยจะทำการวัดค่าความเร็วลมทางข้างต้ังแต่ 0 - 20 เมตร/วินาที โดยมีค่าความผิดพลาด ไม่เกิน 1 เมตร/วินาที และจะส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ควบคุมขีปนวิธีโดยอัตโนมัติ เพื่อคำนวณตัวแก้การเบ่ียงเบน ของมุมยิงทางทิศ (ซ้าย - ขวา)
ภาพแสดงเซน็ เซอรว์ ัดความเร็วลม ( wind sensor ) 3. เซน็ เซอรว์ ดั ความเรว็ ของรถถงั (Tank speed sensor ) ระบบเซน็ เซอร์นีจ้ ะวัดความเรว็ ในการเคลอ่ื นที่ของรถถังเพ่ือใชเ้ ปน็ ข้อมูลในการป้อนเขา้ สู่คอมพิวเตอร์ ควบคุมขีปนวธิ โี ดยอัตโนมตั ิ เพอื่ คำนวณตวั แก้ของมมุ ยิง โดยระบบเซ็นเซอรน์ ี้ จะวดั ความเร็วของรถถงั ตัง้ แต่ 0 - 75 กม./ชม. โดยให้คา่ ความผิดพลาดเพียง 0.5 กม./ชม. เทา่ นั้น 4. เซ็นเซอร์วดั ความเบี่ยงเบนของปอ้ มปืน (Turret attitude sensor) ระบบเซ็นเซอร์น้ีจะวัดมุมท่ีเบี่ยงเบนไประหว่างป้อมปืนกับตัวรถถังและป้อนข้อมูลต่อคอมพิวเตอร์ ควบคุมขีปนวธิ ีโดยอตั โนมัติ เพ่ือคำนวณตัวแก้มุมทิศ (ซ้าย – ขวา) โดยคา่ มุมท่ีวดั จะสามารถวัดได้ต้งั แต่ 0 - 360 องศาและมคี า่ ความผดิ พลาดอยู่ทไ่ี มเ่ กนิ 1 องศา ระบบจุดอ้างปากลำกลอ้ ง ( MRS : Muzzle Reference System ) ระบบจุดอ้างปากลำกล้องนี้ เป็นระบบอตั โนมัติ ที่ใช้ในการวัดค่าการบดิ ตวั ของลำกล้องปืนใหญ่รถถัง อันเกิดจากอณุ หภูมิท่ีต่างกันระหว่างภายในและภายนอกลำกล้องปนื ใหญ่รถถัง ในขณะทำการยิง โดยค่าความ เปล่ียนแปลงเหล่าน้ีจะถูกตรวจจับโดยระบบเซ็นเซอร์ที่ถูกติดตั้งที่บริเวณป้อมปืนและปลายปากลำกล้องปืน ใหญ่ โดยเปรียบเทียบกับแนวปืนก่อนทำการยิงทั้งทางดิ่งและทางระดับ และจะส่งข้อมูลทั้งหมดไปยัง คอมพิวเตอร์ควบคมุ ขีปนวิธีโดยอัตโนมัตเิ พ่ือคำนวณตวั แก้ในการตั้งคา่ มุมยงิ ต่อไป โดยการวดั ค่าการบดิ ตัวของ ลำกลอ้ งปนื จะวดั ทง้ั ทางดงิ่ และทางระดบั ตง้ั แต่ -5 ถงึ +5 มิลเลียม มีค่าความผดิ พลาดไม่เกิน 0.1 มลิ เลยี ม
จอรับแสงเพื่อสะท้อนแนวลำกล้องปื นใหญ่รถถัง ชุดยงิ แสงเลเซอร์เพื่อวดั แนวลำกล้องปื นใหญ่รถถัง ภาพแสดงส่วนประกอบ ติดตัง้ ระบบจุดอา้ งปากลำ แ ล ะ จุ ด กลอ้ ง ระยะยงิ หวังผล 2,800 เมตร ชนดิ ของกระสุนทส่ี ามารถใชไ้ ด้ ระยะยิงหวังผล 2,600 เมตร ระยะยงิ หวังผล 2,600 เมตร 1.กระสนุ เจาะเกราะสลัดครอบท้ิงเอง(APFSDS) ระยะยิงหวังผล 5,000 เมตร 2.กระสนุ ระเบิดต่อสูร้ ถถงั (HEAT ) 3.กระสุนระเบิดแบบมสี ะเก็ด(HE-FRAG) 4.กระสุนจรวดนำวถิ ตี ่อสรู้ ถถังแบบ AT-11 sniper
ภาพแสดงสว่ นประกอบและชนดิ กระสนุ หมายเลข 1 คือ ดนิ สง่ กระสนุ หมายเลข 2 คอื หัวกระสนุ เจาะเกราะ (APDS) หมายเลข 3 คือ หวั กระสุนระเบิดแบบมีสะเกด็ (HE-FRAG) หมายเลข 4 คอื หัวกระสุนระเบดิ ตอ่ สู้รถถัง (HEAT) หมายเลข 5 คือ กระสนุ จรวดนำวิถตี ่อสู้รถถังแบบ AT-11 ระบบการทำงานของกระสุนจรวดนำวถิ ตี อ่ สรู้ ถถัง AT-11 sniper กระสุนน้ี มีระยะยิงหวังผลต้ังแต่ 100 เมตร ถึง 5,000 เมตร โดยเป็นกระสุนท่ีจะใช้ทำการยิงก่อนถึง ระยะยงิ ของกระสุนปืนใหญ่รถถัง ดว้ ยการยงิ แสงเลเซอรไ์ ปกระทบท่ีเปา้ หมาย (รถถังข้าศึก) หลงั จากนั้นพลยิง จะทำการยิงกระสุนจรวดนำวิถีต่อสู้รถถังแบบ AT-11 จากลำกล้องปืนใหญ่ โดยผ่านกล้องเล็งของพลยิง 1G46M โดยพลยิงจะเล็งเกาะ (Tracking) ท่ีเป้าหมายตลอดเวลา ระบบนำวิถีในตัวลูกจรวดจะปรับทิศทาง ของแนวยิง เข้าสเู่ ปา้ หมายตามลำแสงเลเซอร์อย่างแม่นยำโดยอตั โนมตั ิ (ตามรูปภาพ) กล้องเลง็ ของพลยงิ แบบ 1G46M
ภาพแสดง ระบบนำวิถีดว้ ยแสงเลเซอร์ของกระสุนจรวดนำวถิ ตี ่อสรู้ ถถัง (AT-11) ปืนตอ่ สอู้ ากาศยาน ขนาด 12.7 มม. ควบคมุ การยงิ จากภายในตัวรถ (Remote Control) ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 12.7 มม. แบบควบคุมจากภายในตัวรถ (Remote Control) จะมีระบบ รักษาการทรงตัวของปืน (Stabilized ) ทั้งแนวด่ิง และแนวระดับ โดยระบบการทำงานจะเร่ิมต้นจากการ ตรวจจับและพิสูจน์ทราบเป้าหมายทั้งทางพ้นื ดนิ และทางอากาศ โดยผ่านทางกล้องเล็งของ ผบ.รถ แบบ PNK- 6 หลังจากน้ันจะใช้การวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์ แล้วจะทำการยิงต่อเป้าหมาย โดย ผบ.รถ สามารถใช้การ บังคับการส่ายปืนท้ังทางแนวระดับและแนวดิ่งจากภายในตัวรถ โดยผ่านกล้องเล็งแบบ PNK-6 ของ ผบ.รถ และยังสามารถทำการยิงได้ จากตำแหนง่ ของพลยงิ โดยผ่านจอแสดงภาพของพลยงิ เชน่ กัน ภาพ ปนื ตอ่ สู้อากาศยาน ขนาด 12.7 มม. แบบควบคุมจากภายในตัวรถ (Remote Control) ภาพแสดงตำแหน่งของผู้บังคับรถในขณะทำการยิง ปตอ. ขนาด 12.7 มม. โดยใช้ระบบควบคุม จากภายในตัวรถ (Remote Control)
ภาพแสดงระบบการควบคุมการยิงปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 12.7 มม. ของรถถัง OPLOT ซึ่งเชื่อมต่อกับ กลอ้ ง PNK-6 Panoramic ของ ผบ.รถ ส่วนประกอบหลักของ ระบบควบคมุ การยิง (FIRE CONTROL SYSTEM) ภาพแสดงกล้องกลางวันของพล ยิง แบบ 1G46M ภาพแสดง กล้องพลยิงแบบสร้าง ภาพด้วยความร้อน PTT-2 ตวั กล้อง หัวกล้อง
ภาพแสดง กลอ้ งของผู้บงั คบั รถท้งั กลางวัน/กลางคนื แบบ PNK-6 คอมพิวเตอร์คำนวณขปี น วธิ ี ระบบดจิ ติ ัล แบบ TIUS –VM ระบบการปอ้ งกนั ของรถถงั OPLOT ตัวรถถังและป้อมปืนของรถถัง OPLOT สร้างขึ้นเป็นเกราะแบบผสมหลายชั้น ทางด้านบนของป้อม ปืน, ด้านข้าง, ด้านหน้า และด้านหลังบนฝาปิดห้องเคร่ืองยนต์ จะติดตั้งเกราะปฏิกิริยาแบบ BATW-ERA (Built in Anti Tandem Warhead Explosive Reactive Armor) ซึ่งเป็นเกราะปฏิกิริยาที่พัฒนาขึ้นมา ใหม่ สร้างและติดตั้งให้กับรถถัง OPLOT โดยเฉพาะ ตัวเกราะปฏิกิริยานี้ มีขีดความสามารถป้องกนั อาวุธนำวถิ ี ทีใ่ ช้หัวรบแบบ Tendem (หัวรบท่ีใชก้ ารระเบดิ และเจาะ) ในการทำลายเกราะปฏิกริ ิยา (ERA) และเจาะเข้าไป ที่ตวั เกราะปอ้ งกนั ของรถ
ภาพแสดงการติดต้ังเกราะ BATW-ERA (Built in Anti Tandem Warhead Explosive Reactive Armor) ทั้งด้านหนา้ , ด้านบนปอ้ มปนื และด้านหลงั ของรถถัง OPLOT ระบบตอบโตก้ ารถกู โจมตดี ้วยอาวุธนำวถิ ี แบบ Varta (Optronic countermeasures system) ระบบน้ีจะช่วยเพ่ิมขีดความสามารถของรถถังในการปอ้ งกันตนเอง โดยระบบตอบโต้การถูกโจมตแี บบ Varta น้ี เป็นส่วนหน่ึงของระบบการทำงานในรถถัง OPLOT ซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติ เม่ือเปิดการใช้งานใน ระบบนี้ (จะทำงานภายใน 60 วินาที หลงั จากเปิดระบบ) ระบบ Varta จะทำหน้าท่ีดงั ต่อไปนี้ 1. ทำให้เกิดความสับสนผิดพลาดในระบบการทำงานของอาวุธนำวิถีต่อสู้รถถังท่ีถูกยิงเข้ามายังรถถัง OPLOT โดยการส่งแสงเลเซอร์รบกวน ครอบคลุมมุมทางระดับตั้งแต่ –18 ถึง +18 องศา จากแนวปืนใหญ่ รถถัง และมุมทางดง่ิ ต้งั แต่ – 2 ถงึ + 2 องศา 2. รบกวนการทำงานของระบบนำวิถีของอาวุธต่อสู้รถถัง ที่ใช้การนำวิถีด้วยแสงเลเซ อร์แบบ ก่ึงอัตโนมัติ (semi-automatic laser guided homing ) ซึ่งต้องใช้การยิงแสงเลเซอร์ไปยังท่ีหมายตลอดเวลา จนกระท่ังกระสนุ จรวดกระทบที่หมาย การตอบโต้ของระบบ Varta จะกระทำโดยปล่อยมา่ นควนั เพื่อกำบงั ตวั รถถังอย่างรวดเร็ว ในทิศทาง -45 ถึง+ 45 องศา ตามแนวปืนใหญ่รถถัง ซ่ึงการตอบโต้ลักษณะน้ีสามารถใช้ได้ กบั กระสุนปนื ใหญส่ นามท่เี ป็นกระสุนพเิ ศษทใ่ี ชก้ ารนำวิถีดว้ ยเลเซอร์ไดเ้ ช่นกัน ภาพแสดงการทำงานของระบบตอบโต้การถกู โจมตดี ้วยอาวุธนำวิถีแบบ Varta ระบบ Varta ประกอบดว้ ย อุปกรณห์ ลัก 2 ชุด (ตดิ ตัง้ ใน 4 จดุ ) ไดแ้ ก่ 1. อุปกรณ์ตรวจจับและรบกวนแสงเลเซอร์ ใช้เวลาในการเตรียมปฏิบัติงานภายใน 60 วินาที ความ ตอ่ เน่ืองในการแพร่คล่ืนสัญญาณแสงเลเซอร์ 6 ชม. (ในสถานการณ์รบไม่จำกดั ) พนื้ ที่ที่ใชใ้ นการแพร่สญั ญาณ เลเซอรร์ บกวนจากแนวปืน ทางระดบั -2 ถงึ +2 องศา และ ทางทิศ -20 ถงึ +20 องศา
อุปกรณ์ตรวจจับเลเซอร์เบื้องต้น อุปกรณ์ กอ่ กวนการเล็งเกาะดว้ ยสายตา 2. อุปกรณ์สร้างฉากควันกำบังเพ่ือป้องกันการมองเห็นของฝ่ายตรงข้าม มีระบบการทำงานใน 3 ลักษณะ คือ แบบอัตโนมัติ ก่ึงอัตโนมัติและแบบด้วยมือ ในกรณีใช้ระบบตอบโต้แบบอัตโนมัติจะใช้เวลาไม่ เกิน 0.5 วินาทใี นการตอบโต้ โดยมีอุปกรณต์ รวจจบั สัญญาณเลเซอร์ 4 จุด ใช้ท่อยงิ กระสุนควนั จำนวน 12 ท่อ ยิง ขนาด 80 มม. รัศมีของม่านควันกำบังอย่างน้อยท่ีสุด 50 เมตร ระยะเวลาในการฟุ้งกระจายของม่านควัน 60 วนิ าที อุปกรณต์ รวจจับเลเซอร์แบบละเอยี ด ท่อยิงลูกระเบิดควันขนาด 80 ม.ม. ท่อยงิ ลกู ระเบดิ ควนั ขนำด 80 ม.ม. อุปกรณ์ตรวจจบั เลเซอร์แบบละเอยี ด
อปุ กรณ์รบกวนกำรเลง็ เกำะด้วยสำยตรำะบภบำปพอ้ แงสกันดงนชจคุด. ติดต้ังอปุอุปกกรรณณ์ต์ตอรบวโจตจ้กับำเลรเถซูกอโรจ์เบมื้อตงีดต้วนยอำวธุ นำวถิ ีแบบ Vart ประกอบด้วย เคร่ืองมือตรวจหาการกระจายของสารกัมมันตภาพรังสีและ สารพิษแบบ PRHR-M1 พร้อมระบบกรองอากาศภายในตัวรถ ระบบป้องกัน นชค. ใน รถถัง OPLOT สร้างข้ึนเพื่อให้ม่ันใจว่า พลประจำรถและเครื่องมือยุทโธปกรณ์ ต่างๆที่อยู่ภายในรถถัง จะไม่ได้รับผลกระทบหรืออันตรายจากการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์ สาร กัมมนั ตภาพรังสีทต่ี กคา้ ง,สารพิษ,ตลอดจนอาวุธชวี ภาพต่างๆ เคร่ืองมือตรวจหาการกระจายของสารกัมมันตภาพรังสีและสารพิษแบบ PRHR-M1 (RCAD) ถูก ออกแบบสำหรับการตรวจหา สารกัมมันตภาพรังสีและสารพิษได้อย่างต่อเน่ือง โดยสามารถตรวจได้ท้ังรังสีแก รมม่าจากการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์และสารพิษจากการปฏิบัติโดยฝ่ายข้าศึก เม่ือตรวจพบ ระบบป้องกัน ซึ่งประกอบด้วย ระบบกรองอากาศจะถูกทำงานโดยการถ่ายเทอากาศบริสุทธ์ิให้กับพลประจำรถ โดยมี อัตราเรว็ ในการถา่ ยเทอากาศเมอื่ ใช้เคร่ืองดูดอากาศ อยทู่ ่ี 100 ลูกบาศก์เมตรต่อช่วั โมง โดยอตั โนมัติ ภาพ แสดง ระบบป้องกัน นชค. ของรถถงั OPLOT ระบบการดบั เพลงิ ฉุกเฉินภายในตัวรถ มีสองระบบทั้งแบบอัตโนมัติและแบบด้วยมือ ใช้เวลาในการดับเพลิงในตัวรถภายใน 150 มิลลิวินาที และในห้องเครื่องยนต์ภายใน 10 มิลลิวินาที โดยทั้งในส่วนของห้องพลยิงและห้องเคร่ืองยนต์จะติดตั้งระบบ เซน็ เซอรต์ รวจจับความร้อนท่ีเกิดขึน้ จำนวน 5 จดุ และเปิดระบบดบั เพลิงโดยอตั โนมตั ิ
1 แผงควบคุมระบบดบั เพลงิ 2 กล่องควบคุมกำรทำงำน 3 ตวั จ่ำยนำ้ ยำดบั เพลงิ 4 ถังบรรจุก๊ำชดบั เพลงิ 5 ระบบตรวจจบั และแจ้งเตือนมำทแี่ ผงควบคุม 6 ระบบตรวจจบั ด้วยควำมร้อน 7 หัวจ่ำยนำ้ ยำดบั เพลงิ ความคล่องแคลว่ ในการเคลอื่ นท่ี เครอื่ งยนต์ - รุ่นเครื่องยนต์ 6 TD-2 แบบใช้เช้ือเพลิงได้หลายชนิด (multi-fuel) 6 สูบ 2 จังหวะระบายความ ร้อนดว้ ยของเหลว - กำลังเคร่ืองยนต์ 1,200 แรงมา้ (882 KW) ท่ี 2,600 รอบ/นาที - เครือ่ งเปลย่ี นความเร็วแบบอตั โนมตั ิ 7 เกยี รเ์ ดนิ หนา้ 4 เกียร์ ถอยหลงั สายพานและ ระบบพยุงตวั รถ ตั ว สายพานจะเป็นแบบ สายพาน (ตามภาพ) มี ย า ง ร อ ง จะใช้คานรับแรงบิด ระบบพยุงตัวรถ
(Torsion bars) ร่วมกับกระบอกรับแรงสะเทือน (Shock absorbers) ประกอบกับล้อรับสายพานและล้อกด สายพาน ขา้ งละ 6 ลอ้ ระบบ ช่ ว ย น ำ ท า ง แ บ บ TIUS ( TIUS-NM Navigation System) ระบบช่วยนำทาง อ าศั ย ข้ อ มู ล พื้ น ฐาน จ าก ด า ว เที ย ม GLONASS และ GPS NAVSTAR ระบบ จ ะ แ ส ด ง ข้ อ มู ล ใ ห้ กั บ ผู้ บังคับรถเกี่ยวกับตำแหน่งท่ี อยู่ของรถถังของตนมุม ภาคทิศ และตำแหน่งต่างๆ ข อ ง ก ำ ลั ง ฝ่ า ย เ ดี ย ว กั น ชว่ ยให้งา่ ยต่อการควบคุมการ ดำเนินกลยุทธ์ของหน่วย รถถัง โดยเฉพาะเม่ือต้องมี การปฏิบัติการในสภาพที่ มกี ารสู้รบอยา่ งรุนแรงท่ีตอ้ งมี ก ารปิ ด ป้ อ ม , ใน เวล า กลางคืน หรือในพื้นท่ีหมอก ค วั น ป ก ค ลุ ม ห น า แ น่ น ระบบยังแสดงข้อมูลอื่นๆ เช่นทิศทาง การหันเลี้ยวให้กบั พลขับ เพื่อให้มั่นใจต่อการเคล่ือนที่เข้าหาท่ีหมายทไี่ ด้เลือกเอาไวล้ ่วงหนา้ ระบบชว่ ยนำทาง
ยังช่วยให้ผู้บังคับรถถังสามารถส่งข้อมูล (รวมถึงข้อมูลที่เข้ารหัส) ผ่านทางช่องการติดต่อสื่อสารแบบดิจิตอล โดยใช้ชุดวิทยุมาตรฐานท่ีติดอยู่ในรถ คุณสมบัติดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถ ในการควบคุม บงั คบั บญั ชา เพอื่ รองรับกบั ระบบ C4I ในอนาคต การนำเขา้ ประจำการในประเทศตา่ ง ๆ ของรถถัง T-84 OPLOT รถถัง T-84 ถูกสร้างตงั้ แต่ปี 1999 โดยมีการพฒั นาจาก รถถัง T-80 UD และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงรุ่น ใหม่ล่าสุดของT -84 นั่นคือ รถถัง OPLOT ในปัจจุบัน ในช่วงยุคสงครามเย็น รถถังในตระกูล T-80 ถือได้ว่า เป็นภัยคุกคามทางทหารท่ีสำคัญย่ิงของกลุ่ม NATO เนื่องจากถูกสร้างข้ึนมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ประสบการณ์ของรถถังในตระกูลน้ีจึงมีการส่ังสมมาเป็นเวลานาน ในปัจจุบันรถถังในตระกูล T-84 สามารถ จำแนกออกไดด้ ังนี้ • รถถัง T-84 ท่ีผลิตโดย ยูเครน เป็นการพัฒนาต่อจาก รถถังรุ่น T-80 UD โดยเปลี่ยนป้อมปืนและ เพิ่มเติมระบบป้องกันตนเองแบบ Shtora –1 ซึ่งเป็นต้นแบบของระบบ Varta ท่ีติดต้ังอยู่ในรถถัง T- 84 OPLOT มีการเปลยี่ นเครือ่ งยนตเ์ ปน็ รุ่น 6 TD-2 ให้กำลัง 1,200 แรงมา้ • รถถัง T-84 U เป็นการพัฒนาต่อจาก T-84 รุ่นแรก โดยเพ่ิมแผ่นเกราะปฏิกิริยาแบบ Kontakt-5 ซ่ึง เป็นเกราะปฏิกิริยารุ่นล่าสุด ถูกใช้ในรถถังรุ่นใหม่ในค่ายของยุโรปตะวันออกเช่น PT-91 ของโปแลนด์ และ T-90 ของรัสเซีย เป็นต้น • รถถงั T-84 OPLOT พัฒนาตอ่ จาก T-84 U โดยปรับปรุงระบบป้อมปนื ให้เป็นแบบตะวันตก แยกส่วน ของพลประจำรถจากส่วนของพื้นทว่ี างกระสุนเพื่อลดอันตรายจากการถูกยิงในนดั เดยี วของรถถงั ข้าศกึ • รถถัง T-84-120 Yatagan เป็นรถต้นแบบโดยการออกแบบตามความต้องการของกองทัพตุรกี โดย เปลี่ยนปืนใหญ่รถถังเป็นขนาด 120 มม. เพื่อให้สามารถใช้กระสุนขนาด 120 มม. มาตรฐานนาโต้ได้ เช่นกระสุน M 829 DU เป็นต้น และยังสามารถทำการยิงกระสุนจรวดนำวิถีด้วยแสงเลเซอร์ขนาด 120 มม. แบบ AT-11 ซึ่งออกแบบพิเศษให้โดยเฉพาะได้อีกด้วย รวมถึงการปรับเปล่ียนระบบพยุงตัว รถและเคร่อื งมือสอื่ สารอกี หลายรายการ • รถถัง T-84 Oplot –M (Modernization) หรือ BM Oplot คือรุ่นที่กำลังพิจารณาอยู่ขณะน้ี คือการ พัฒนาต่อจาก T-84 oplot ให้มีความทันสมัยท่ีสุด เช่น ติดต้ังกล้องของผบ.รถแบบใหม่ได้แก่ กล้อง พาโนรามคิ PNK-6 และระบบป้องกนั ตนเอง Varta เป็นต้น ประเทศท่ปี ระจำการรถถังในตระกูลนไ้ี ดแ้ ก่ - ประเทศยูเครน - ประเทศจอรเ์ จีย เปน็ รนุ่ T-84 U - ประเทศบังคลาเทศ สง่ั ซอื้ รุ่น T-84-120 Yatagan - ประเทศอาเซอรไ์ บจั
ร ถ ถั ง หลัก PT-91M T-72 M1 T-72S T-55A OPLOT ประเทศ ยเู ครน โปแลนด์ รสั เซีย รสั เซยี รสั เซยี ผผู้ ลิต ประเทศ ยเู ครน,จอร์เจยี มาเลเซีย เวียดนาม เมยี นม่าร์ กมั พูชา ที่นำเข้า บังคลาเทศ, อา ประจำก เซอรไ์ บจัน าร น้ ำห นั ก 52.5 48.5 44.5 44.5 39.7 พร้อมรบ พ ล 3 Autoloader 3 Autoloader 3 Autoloader 3 Autoloader 4 manual ประจำ รถ ข น า ด 125 125 125 125 100 ข อ ง ปื น ลำกลอ้ งเรยี บ ลำกลอ้ งเรยี บ ลำกลอ้ งเรียบ ลำกลอ้ งเรยี บ มีเกลียว ใ ห ญ่ ร ถ ถั ง (มม.) อัตราเร็ว 8 7 7 7 5-7 ในการยิง นดั /นาที อัตราส่ว 24.7 20.83 20.24 20.24 14.6 น ก ำ ลั ง / นำ้ หนกั (แรงม้า/ ตนั ) ร ะ ย ะ ภมู ิประเทศ 350 ภมู ิประเทศ 500 ภมู ิประเทศ 450 ภูมิประเทศ 450 ภมู ิประเทศ 390 ปฏิบัติกา บนถนน 400 บนถนน 650 บนถนน 500 บนถนน 500 บนถนน 450 ร (กม.) ใ ช้ ถั ง น้ ำ มั น ใ ช้ ถั ง น้ ำ มั น ใ ช้ ถั ง น้ ำ มั น ใ ช้ ถั ง น้ ำ มั น ใ ช้ ถั ง น้ ำ มั น อะไหล่ 500 อะไหล่ 700 อะไหล่ 700 อะไหล่ 700 อะไหล่ 600 ความเร็ว 69.30 70 60 60 55 สูงสุดบน ถนน (ก ม ./ ชม.) ข้ า ม 1 0.85 0.85 0.85 0.8 เครื่องกีด ข ว า ง ไ ด้ (เมตร) ข้ า ม คู 2.85 2.8 2.8 2.8 2.85 ก ว้ า ง ไ ด้ (เมตร) ไ ต่ ล า ด 32 33 33 33 30
ปืนใหญ่ มีปลอก มี มี มี มี ไม่มี รกั ษาอุณหภมู ิ การหมุนป้อมปนื ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ไฟฟ้า ไฟฟ้า ไฟฟ้า ไฟฟ้า ไฟฟ้า มุมกด-มุมยกของ -4 ถงึ +15 -4 ถึง +13 -6 ถงึ +14 -6 ถึง +14 -5 ถงึ +18 ปนื (องศา) การลน่ั ไก ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ด้ ว ย มื อ แ ล ะ ไฟฟ้า ไฟฟา้ ไฟฟ้า ไฟฟา้ ไฟฟ้า เค รื่ อ ง ห า ร ะ ย ะ มี มี มี มี ไม่มี ด้วยแสงเลเซอร์ เคร่ืองวัดความเร็ว มี มี ไม่มี ไม่มี ไมม่ ี ลมทางขา้ ง เครื่องวัดมุมเอียง มี มี ไม่มี ไมม่ ี ไมม่ ี ของดมุ ปนื ชนิดกล้องเล็งของ จั บ ภ า พ ด้ ว ย จั บ ภ า พ ด้ ว ย ทวคี วามเข้ม ทวคี วามเข้ม ทวคี วามเข้ม พลยงิ ความรอ้ น ความร้อน ของแสง ของแสง ของแสง ชนิดกล้องเลง็ ผบ. จับภาพด้วย จั บ ภ า พ ด้ ว ย ทวคี วามเขม้ ทวคี วามเข้ม ทวคี วามเขม้ รถ ความร้อน ความรอ้ น ของแสง ของแสง ของแสง ร ะ บ บ มี มี ไมม่ ี ไมม่ ี ไมม่ ี Stabilization อิสระสองแกน อสิ ระสองแกน กำลงั เครอ่ื งยนต์ 1,200 แรงม้า 1,000 แรงม้า 840 แรงมา้ 840 แรงมา้ 580 แรงม้า ระบบอ่ืน ๆ ระบบนำรองด้วย ไมม่ ี ไม่มี ไมม่ ี ไม่มี ดาวเทยี ม หมายเหตุ
ตารางพจิ ารณาเปรียบเทยี บประสิทธภิ าพการทำงาน ระหวา่ ง การบรรจกุ ระสุนดว้ ยพลบรรจุ กบั เคร่ืองบรรจกุ ระสนุ อตั โนมตั ิของรถถ ลำดบั /รายการ บรรจกุ ระสุนด้วยพลบรรจุ เหตุผลประกอบ ขอ้ พิจารณา 1. อัตราเร็วใน การยิง -มีอัตราเร็วในการยิงประมาณ -ตัวเลขของอัตราเร็วในก (Rate of fire) 15-18นดั /นาที (อัตราการยิงจะ เปน็ ข้อมูลจากรถถงั เอ็ม6 ล ด ล ง ขึ้ น อ ยู่ กั บ ก า ร ฝึ ก / ซึ่งใช้กระสุนขนาด 105 ป ร ะ ส บ ก าร ณ์ แ ล ะ ค ว า ม หากเปล่ียนเป็นกระสุน ชำนาญของพลบรรจุ ขนาด ใหญ่ ขึ้นตั้งแต่ 120-125 และน้ำหนักของกระสุนท่ีใหญ่ น่าจะมีอัตราการยิงท่ีลดล ขึ้น,ความยากลำบากของสภาพ น้ีเน่ืองน้ำหนักของกระส ภูมิประเทศในขณ ะท่ีรถถัง ใหญ่รถถังท่ีเพ่ิมขึ้น (นน. เคลื่อนที่) ของกระสุนอยทู่ ี่ 20 -25 ก -มีข้อจำกัดอย่างมากต่อพล -อัตราเร็วในการยิง ไม่แน บรรจุท่ีมีรูปร่างเล็กแบบชาว จะช้าห รือเร็ว ยังข้ึนอ เอเซีย จะเกิดความเหนื่อยล้า สภาพการเคล่ือนท่ีของ ในกรณีที่มีการสู้รบต่อเน่ืองเป็น ห าก ว่ิงผ่ า น ภู มิ ป ระ เ ระยะเวลานาน ยากลำบากจะทำให้การ กระสุนของพ ลบ รรจุท คอ่ นขา้ งชา้ และลำบาก
ถัง เครื่องบรรจุกระสุนอตั โนมัติ หมายเหตุ ข้อพิจารณา เหตุผลประกอบ การยิง -มีอัตราเร็วในการยิงสำหรับ -เคร่ืองบรรจุกระสุนอัตโนมัติบรรจุ 60 เอ3 ร ถ ถั ง ซ่ึ ง ใ ช้ Autoloader กระสุนหัวกระสุนและดินส่งกระสุน 5 มม. สมัยใหม่ ประมาณ 8-12 นัด/ ในวงรอบสายพานข้ันตอนเดียวกัน นขนาด นาที (อัตราเร็วในการยิงมีความ ดังน้ันความล่าชา้ ท่ีเคยมีในรถถังรุ่น 5 มม. แน่นอนและเช่ือถือได้ในทุก เก่าได้ถูกแก้ไขไปหมดแล้ว ดังน้ัน ลงกว่า ส ภ าพ ภู มิ ป ร ะ เท ศ ท่ี ร ถ ถั ง การยิงประกอบการเคลื่อนท่ีซ่ึงเป็น สุนปืน เคลื่อน ท่ี ไป เน่ื องจากไม่ มี รูปแบบในการดำเนินกลยุทธ์ของ . เฉล่ีย ผลกระทบโดยตรงกับความ รถถัง จึงไม่มีข้อแตกต่างกันกับ กก.) เหนื่อยล้าของคน (พลบรรจ)ุ รถถังที่ใช้การบรรจุกระสุนด้วยพล น่นอน -ไม่มีข้อจำกัดต่อทหารท่ีเป็น บรรจุ อยู่กับ พลประจำรถ เนื่องจากใช้ - อัตราเร็วในการยิงจะคงที่ไม่ งรถถัง เคร่อื งจักรแทนคน เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเคล่ือนท่ีใน ท ศ ท่ี ลกั ษณะภมู ิประเทศอยา่ งไรก็ตาม รบรรจุ ท ำได้
ลำดบั /รายการ บรรจุกระสุนด้วยพลบรรจุ เหตผุ ลประกอบ ขอ้ พิจารณา 2. ข น าด ข อ งรถ ถั ง -รถถังท่ีมีพลประจำรถ 4 นาย -ต้ อ ง มี พื้ น ที่ ใ ห้ พ ล บ ร (Size) (มีพลบรรจุ) จะไม่สามารถลด ปฏิบตั ิงานทำให้รถถังไม่สาม ขนาดของตัวรถถัง โดยเฉพาะ ลดขนาดตัวรถ โดยเฉพาะป ป้อมปืน ให้มีขนาดเล็กลงได้ ปืนลงมาได้มากกว่าน้ี ส่ง เนื่องจากพลบรรจุจะต้องอยู่ใน กระทบโดยตรงต่ออัตราส ตำแหน่งยืนบรรจุกระสุน จึงทำ แรงม้า/ตัน อันมีผลต่อค ให้รถถังต้องมีขนาดใหญ่ และมี คล่องแคล่วในการเคล่ือนท น้ำหนักมาก (ปกติอยู่ระหว่าง รถถัง น อกจากนั้ นการเ 55-70 ตนั ) เก ร า ะ ป้ อ ง กั น ใ ห้ กั บ ตั ว ร ถ โดยเฉพาะตรงป้อมปืน ก็จะ ใหเ้ พิ่มนำ้ หนักรถถงั ขนึ้ ไปอีก ลำดบั /รายการ บรรจกุ ระสุนด้วยพลบรรจุ เหตุผลประกอบ ขอ้ พิจารณา 3. ค ว าม อ ยู่ รอ ด ใน -รถถังมีขนาดใหญ่ และสูงมี -ร ถ ถั ง ที่ ใช้ พ ล บ ร ร จุ ป ก ส น า ม ร บ โอกาสถูกตรวจพบจากข้าศึกได้ ทรวดทรงหรือมิติทางกาย (Survivability) โดยง่ายเมื่อเทียบกับรถถังท่ีใช้ กว่ารถถังท่ีใช้Autoloaderท ระบบ Autoloader ซึ่งมักจะมี ตอ่ การถกู ตรวจการณจ์ ากข้า ทรวดทรงทเ่ี ต้ียกว่า - ช่องเก็บกระสุน และราวเก -ความเส่ียงจากการระเบิดพร้อม พร้อมใช้งานของรถถังที่ใช้พ กันของกระสุนท่ีอยู่ภายในรถมี อย่ใู นระดับเดียวกบั ปอ้ มปนื ใ โอกาสสูงกว่ารถถังท่ีใช้ระบบ ทางด้านข้าง และทางด้านหล Autoloader เป้าหมายที่เป็นจุดอันตราย ทุ ก คั น ปั จ จุ บั น ถึ งแ ม ได้เปรียบในเรื่องความเส่ีย
เครือ่ งบรรจุกระสุนอัตโนมตั ิ หมายเหตุ ข้อพิจารณา เหตุผลประกอบ ร ร จุ -การใช้เครื่องบ รรจุกระสุน -การที่ไม่ใช้พลบรรจุทำให้การ มารถ อัตโนมัติ (Autoloader) มีพล ออกแบบรถถังสามารถลดพ้ืนท่ี ป้อม ประจำรถถังเพียง 3 นาย ทำให้ (space) ท่ีเคยเป็นท่ีอยู่สำหรับ งผล สามารถลดขนาดของรถถังให้ พลบรรจุ จึงทำให้สามารถสร้าง ส่วน เล็กลงได้ โดยเฉพาะตรงส่วน รถถังท่ีมีขนาดเล็กลงโดยเฉพาะ วาม ป้อมปืน จึงทำให้ขนาดความสูง ความสูงของตัวรถถัง ซ่ึงส่งผล ท่ีของ ของรถถังลดลง และน้ำหนักตัว ต่ อ อั ต ราส่ วน แ รงม้ า/ตั น ที่ เพ่ิ ม รถถังลดลงได้ (ปกติอยู่ระหว่าง เพ่ิมข้ึน อีกท้ังยังสามารถเสริม ถถัง 45 - 55 ตนั ) เก ร า ะ ป้ อ ง กั น ไ ด้ อี ก โ ด ย ที่ ไ ม่ ะทำ ส่งผลต่อการแคล่วคล่องในการ ก เคลื่อนที่ เครื่องบรรจกุ ระสนุ อตั โนมตั ิ เหตผุ ลประกอบ หมายเหตุ ขอ้ พจิ ารณา ก ติ จ ะ มี -รถถังมีขนาดเล็กและเต้ีย ทำให้ -รถถังท่ีมีทรวดทรงหรือมิติทาง ยภาพท่ีสูง โอกาสถูกตรวจพบจากข้าศึกมี กายภาพที่เตี้ยจะลดการถูกตรวจ ทำให้ง่าย นอ้ ยลง การณ์พบจากขา้ ศึก รวมถึงการรอด าศกึ จากการยิงถูกในนัดแรกจากการยิง ก็บกระสุน -ความเส่ียงจากการระเบิดพร้อม ของรถถงั ขา้ ศกึ ด้วย พลบรรจุจะ กันของกระสุนที่อยู่ภายในรถมี -รถถังท่ี ใช้ระบ บ Autoloader ใหญ่รถถัง โอกาสน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับ ชอ่ งบรรจุกระสุนพร้อมยิง จะอยู่ใต้ ลัง ซง่ึ เป็น รถถังทใ่ี ชพ้ ลบรรจุ ป้อมปืน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มิใช่ ยของรถถัง เป้ า ห ม า ย ที่ เป็ น จุ ด อั น ต ร า ย ข อ ง ม้ จ ะ มี ข้ อ รถถัง และนอกจากนั้นยังได้มีการ งของการ เพ่ิมเกราะด้านบนป้อมเพื่อป้องกัน
ระเบิดพร้อมกันภายในตัวร อาวุธสมัยใหม่โดยเฉพาะกร ปื น ให ญ่ รถ ถังมี อานุ ภ าพ มากกว่าแต่ก่อน ดังน้ันการถ ด้วยกระสุนเพียงนัดเดียวจ พอๆกัน ลำดับ/รายการ บรรจกุ ระสุนด้วยพลบรรจุ เหตผุ ลประกอบ ขอ้ พิจารณา 4. ด้ า น ก า ร ฝึ ก / -กำลังพลมีความคุ้นเคยกับการฝึกการ -ปัจจุบัน การฝึกรถถัง ยุทธวิธี/หลักนิยม ใช้รถถัง แบบมีพลบรรจุมาตั้งแต่ ก ารฝึ ก ห ลั ก สู ต รก สหรัฐฯ ให้ความช่วย เหลือทางทหาร มาตรฐานการฝึกจากป กับ ทบ.ไทย และส่งมอบ ถ.เอ็ม 24 สหรัฐอเมรกิ าเป็นหลัก ให้ ทบ.ไทย -ทางด้านยุทธวิธี ไม่มีผลกระทบท่ี แตกต่างกันระหว่างรถถังท้ังสองแบบ เนื่องจากการชนะทางยุทธวิธีมิได้มีผล มาจากการใชย้ ทุ โธปกรณ์ทแี่ ตกต่างกัน แตเ่ กดิ จากปจั จัยอื่นๆ -ด้านหลักนิยมทางยุทธวิธี ทหารม้า ยังคงสามารถใช้การรบแบบรวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด เป็นหัวใจหลักในการ ดำเนินกลยุทธ์เพื่อให้มีชัยเหนือข้าศึก ได้เหมอื นเดมิ ไมเ่ ปล่ียนแปลง
รถถัง แต่ ก า ร ถู ก ยิ ง ใ น ต ำ แ ห น่ ง ท่ี เป็ น จุ ด ระสุนของ อนั ตราย พ รุน แรง ถูกทำลาย จึงมีโอกาส เครื่องบรรจกุ ระสุนอตั โนมัติ หมายเหตุ ข้อพิจารณา เหตุผลประกอบ งใช้คู่มือ -กำลังพลสามารถปรบั ตัวเข้ากับ - การฝึกรถถัง แบบใช้Autoloader ก ารฝึ ก ยุทโธปกรณ์ใหม่ได้ ถึงแม้ไม่มี สามารถใช้คู่มือการฝึก หลักสูตร ประเทศ ความคุ้นเคย แต่ไม่น่ามีปัญหา การฝึก มาตรฐานการฝึก ท่ีมีอยู่ ก ดา้ นการฝึก แล้วมาประยุกต์ใช้ได้เพราะเปลี่ยน -ท า ง ด้ า น ยุ ท ธ วิ ธี ไ ม่ มี เฉพาะข้ันตอนการบรรจุจากใช้คน ผลกระทบที่แตกตา่ งกนั ระหว่าง มาใชเ้ ครื่องจักรแทน รถถังทั้งสองแบบเนื่องจากการ ปฎิบัติทางยุทธวิธีมิได้มีผลมา จ าก ก าร ใช้ ยุ ท โธ ป ก ร ณ์ ท่ี แตกต่างกัน แตเ่ กดิ จากปจั จัย -ด้าน ห ลักนิ ยม ท างยุท ธวิธี ทหารม้ายังคงสามารถใช้การรบ แบบรวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด เป็ น หั ว ใ จ ห ลั ก ใ น ก า ร ร บ เพื่ อ ช น ะ ข้ า ศึ ก ไ ด้ เห มื อ น เดิ ม ไ ม่ เปลีย่ นแปลง
ลำดบั /รายการ บรรจกุ ระสุนดว้ ยพลบรรจุ 5. ด้านงบประมาณ ขอ้ พิจารณา เหตผุ ลประกอบ -จะต้องใช้งบประมาณในการฝึก -พลบรรจุแต่ละนาย ต้องผ พลบรรจุ และงบประมาณด้าน การฝึกซ่ึงต้องใช้งบประม กำลงั พล รวมทั้งงบประมาณด้านกำล ด้วย 6. หลกั ฐานอ้างอิง - From Wikipedia ;Autoloader -autoloader armyguide
เคร่อื งบรรจุกระสนุ อัตโนมัติ หมายเหตุ ข้อพิจารณา เหตผุ ลประกอบ ผ่าน -ไม่ต้องใช้งบประมาณในการฝึก -เคร่ืองบรรจุกระสุนอัตโนมัติมี มาณ พลบรรจุ อ า ยุ ก า ร ใ ช้ ง า น เช่ น เดี ย ว กั บ ลังพล เคร่ืองจักรท่ัวไปดังน้ันจึงต้องมี การเปลี่ยนหรือปรนนิบัติบำรุง ตามวงรอบอายกุ ารใชง้ าน
ห น ้ า | 28 สรุปข้อเปรียบเทียบระหว่าง รถถัง OPLOT กับรถถังประเทศเพ่ือนบ้าน ท่ีมีท่าทีเป็นภัย คกุ คาม จะพบว่ารถถงั OPLOT มคี วามเหนือกว่าอยหู่ ลายประการดงั นี้ 1. การเป็นรถถังที่สร้างขึ้นมาใหม่และเป็นรถถังในยุคท่ี 3 (Third Generation) อย่างแท้จริง มี ความทันสมัยในด้านการใช้เทคโนโลยีร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันตนเอง ที่แบ่งเป็นแบบเชิงรับซ่ึง หมายถึงการใชแ้ ผน่ เกราะท่ีมีคณุ ภาพสูงสดุ ในยคุ ปัจจุบัน เปน็ แบบเกราะผสมหลายช้ัน (Combined, multi – layer) เพิ่มเติมด้วยการเสริมการป้องกันอีกชั้นหน่ึงด้วยเกราะแบบปฏิกิริยาแบบ BATW – ERA (Built in anti tandem warhead explosive reactive armor) ซง่ึ สามารถปอ้ งกันอนั ตรายจากการถูกยิงด้วย กระสุนระเบิดต่อสู้รถถัง (HEAT) และลดอันตรายจากกระสุนเจาะเกราะสลัดครอบท้ิงเองทรงตัวด้วยครีบ หาง (APFSDS) นอกจากนั้นยังป้องกันอาวุธนำวิถีท่ีใช้หัวรบแบบ Tendem (หัวรบท่ีใช้การระเบิดและ เจาะ) สำหรับการป้องกันเชิงรุกนั้น รถถัง OPLOT มีระบบ Varta ซึ่งเป็นระบบท่ีออกแบบมาเพ่ือ ขัดขวางหรือก่อกวนการยิงของอาวุธนำวิถีต่อสู้รถถังท่ีใช้การเล็งยิงด้วยสายตาหรือการใช้ระบบการนำวิถี ด้วยแสงเลเซอร์ โดยระบบนี้จะมีอุปกรณ์ตรวจจับการถูกยิงด้วยแสงเลเซอร์(Laser Warning) เมื่อระบบ ตรวจพบจะทำการยิงระเบิดควนั ออกไปเพื่อบดบังการใชแ้ สงเลเซอร์ในการนำวิถี และยงั มีอุปกรณ์ส่งสัญญา นคลื่นอินฟราเรดเพ่ือก่อกวนการนำวิถีของแสงอินฟราเรด (Infrared Jamming) ของอาวุธท่ีถูกยิงมาอีก ด้วย ซง่ึ ระบบน้จี ะเพิม่ ความอยรู่ อดในสนามรบของรถถงั OPLOT ไดเ้ ปน็ อย่างดี ภาพแสดง อุ ป ก ร ณ์ ใน ร ะ บ บ ปอ้ งกนั แบบ Varta ใน ร ถ ถั ง OPLOT 2. รถถัง OPLOT มีความอ่อนตัวในการปฏิบัติงานทางด้านยุทธวิธี เน่ืองจากการออกแบบรถถังรุ่น นี้ได้ออกแบบให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้ในลักษณะภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่มีความแตกต่างกัน อย่างมากได้ เช่น ในสภาพท่ีหนาวจัด ร้อนจัด หรือแม้กระท่ังบนพื้นที่ที่อยู่สูงกวา่ ระดับน้ำทะเลมากๆ เป็น ต้น โดยอุณหภมู ิใชง้ านของรถถัง OPLOT อยทู่ ี่ – 40 ถงึ +55 องศาเซลเซียส ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนท่ีก็เป็นอีกประการหนึ่งท่ีเหนือกว่ารถถังเพ่ือนบ้านโดยดูจาก อตั ราส่วนกำลังเคร่ืองยนตต์ ่อน้ำหนัก ซ่ึงจะพบว่า รถถัง OPLOT มีถึง 24.7 แรงม้าต่อตันและมีระบบการ ถ่ายทอดกำลังที่เหมาะสม จึงทำให้การเคล่ือนทีข่ องรถถังรุ่นน้ีเปน็ ไปอยา่ งคล่องตัวมาก
ห น ้ า | 29 3. ระบบอาวุธที่มีอำนาจการทำลายสูง เช่น กระสุนจรวดนำวิถีด้วยแสงเลเซอร์แบบ AT-11 ท่ีมี ระยะยิงหวงั ผลถึง 5,000 เมตร ซ่งึ หากทำการตอ่ สกู้ ับรถถงั ด้วยกนั รถถัง OPLOT จะไดเ้ ปรยี บในลกั ษณะท่ี เห็นก่อน ยิงก่อน ทำลายได้ก่อน นั่นเอง ระบบควบคุมการยิงปืนกลต่อสู้อากาศยานจากภายในตัวรถ (Remote Control ) ก็เป็นจุดเด่นของรถถังรุ่นน้ี ทำให้ ผบ.รถ สามารถทำการยิงภายใต้เกราะกำบังของ รถถังได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องเส่ียงต่อการถูกยิงในกรณีท่ีตัวเองต้องยิงปืนจากบนป้อมปืนเหมือนรถถัง โดยทั่วไป ระบบควบคุมการยิงของรถถัง OPLOT ยังมีระบบ Hunter killer ซ่ึงหมายถึงกล้องของ ผบ.รถ สามารถแยกจากกันโดยอิสระจากพลยิง ในขณะท่ีพลยิงกำลังทำการยิงรถถังข้าศึก ผบ.รถก็สามารถตรวจ การณ์เพื่อกำหนดเป้าหมายต่อไปได้ ภาพแสดงกลอ้ งของผบู้ ังคบั รถแบบ PNK-6 และปนื กลตอ่ ส้อู ากาศยานขนาด 12.7 มม. รวมถงึ แสดงการควบคมุ การยิงภายในรถ 4. รถถัง OPLOT สามารถติดตั้งระบบต่างๆ ได้ตามความต้องการของประเทศผู้ซ้ือ ตัวอย่างเช่น กรณีประเทศตุรกี มีความต้องการให้ยูเครนสร้างรถถัง OPLOT ท่ีใช้ปืนใหญ่รถถัง ขนาด 120 มม. มาตรฐาน NATO เพ่ือนำเข้าประจำการ ก็สามารถดำเนินการได้ โดยเรียกชื่อรถถังรุ่นน้ีว่า T-84-120 Yatagan หรือกรณีต้องการให้มีการติดตั้งระบบปรับอากาศในรถถัง OPLOT ก็สามารถดำเนินการได้ เชน่ เดยี วกัน
ห น ้ า | 30 ภาพแสดงรถถงั ตน้ แบบ T-84-120 Yatagan ตุรกี 5. ในภาพรวมของการใช้รถถัง OPLOT ในภารกิจป้องกันประเทศน้ัน มีความเหมาะสมเป็น อย่างยิ่ง โดยเฉพาะชายแดนด้านตะวันออก เนื่องจากแนวโน้มของความขัดแย้งตามแนวชายแดนน่าจะ เกิดขึ้นอีก ดังนั้นการนำรถถัง OPLOT เข้าประจำการ และทำการรบร่วมกับยานเกราะล้อยาง BTR 3 E1 ท่ี ทบ. ได้จัดซ้ือเข้ามาประจำการแล้ว ในลักษณะการสนธิกำลังเป็นกองร้อยชุดรบ (Company Team) หรือกองพันเฉพาะกิจ (Task Force Battalion) ก็จะสามารถกระทำได้ตามหลักนิยมของการรบผสมเหล่า ระหว่างทหารม้ารถถังและทหารราบยานเกราะ และการที่รถถัง OPLOT มีน้ำหนักกดสายพานท่ีพื้น 0.97 กก/ตร.ซม. กส็ ามารถเคลือ่ นที่ไดอ้ ย่างคล่องแคล่วในทกุ สภาพพืน้ ที่ และภมู ปิ ระเทศของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณภูมิประเทศด้านตะวันออก ประการที่สำคัญ รถถัง OPLOT มีระบบอาวุธและระบบ เครื่องควบคุมการยิงท่ีทันสมัย สามารถยิงกระสุนได้หลายชนิด เช่น กระสุนเจาะเกราะสลัดครอบท้ิงเอง (APFSDS) กระสุนระเบิดต่อสู้รถถัง (HEAT) กระสุนระเบิดแบบมีสะเก็ด (HE – FRAG) และที่สำคัญ สามารถยิงกระสุนจรวดต่อสู้รถถังนำวิถีด้วยแสงเลเซอร์ (ATGM) ที่มีระยะยิงหวังผลถึง 5,000 เมตร ประกอบกับกล้องตรวจการณ์ที่ใช้เป็นแบบจับภาพด้วยรงั สคี วามร้อน ซึ่งจะช่วยเพ่มิ ขีดความสามารถในการ ปฏบิ ตั ิการในเวลากลางคนื และเมอื่ มที ัศนวสิ ัยจำกัด ของหน่วยทหารท่ใี ชร้ ถถังรนุ่ นมี้ ีประสิทธิภาพสงู สดุ
ห น ้ า | 31 แผนกวิชายานยนต์ กองการศกึ ษา โรงเรยี นทหารมา้ ศนู ย์การทหารม้า คา่ ยอดศิ ร สระบุรี ---------- คณุ ลักษณะ และมาตราทาน รถถงั วที 4ี กล่าวทัว่ ไป รถถังหลัก แบบ VT4 เป็นผลิตภัณฑ์รถถังหลักรุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัท นอริงโก้ ที่ทางบริษัทได้มุ่งเน้นการ พัฒนาในการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้เป็นยุทโธปกรณ์ท่ีเป็นเลิศในด้านความทันสมัย ซ่ึงจะก่อให้เกิด ความเชื่อม่ันต่อการนาไปใช้งาน โดยมีความโดดเด่นในเรื่องของ การปฏิบัติการรบ ซ่ึงประกอบด้วยอำนาจ การยิงที่รุนแรง และเหนือกว่า ขีดความสามารถของเกราะป้องกันท่ีใช้เทคโนโลย่ีสูงในการผลิต ซึ่งจะ ก่อให้เกิดการป้องกันที่มีประสิทธิภาพอย่างดีเย่ียม มีความรวดเร็ว คล่องแคล่วในการเคลื่อนท่ีสูง, มีความ ทันสมัยของอุปกรณ์ที่ใช้รับ-ส่ง แจ้งเตือนของสนามรบ ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีจาเป็น และสำคัญในการตอบสนอง เพ่ือเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการในสนามรบ ระบบนี้ทาให้ทราบถึงข้อมูลท่ีเกิดข้ึนมาแล้ว, ข้อมูล ปัจจุบัน, และข้อมูลที่คลาดว่าจะเกิดข้ึนในอนาคต ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็นคาตอบที่ทาให้สามารถ ปฏิบัติการตอบโต้ต่อภัยคุกคามได้ทุกรูปแบบ และทุกมิติของการรบ ดังน้ันจากการที่ไดผ้ สมผสานทุก ๆ สิ่ง ที่มอี ยู่ รวมถึงการออกแบบ ท่ีทนั สมัยของรถถัง VT4 ซงึ่ เป็นส่ิงท่ีทาให้เกดิ ความเชอ่ื ม่ันของเหล่ากาลงั รบ ทจี่ ะนารถถังน้ีไปใช้งาน อกี ท้ัง ยงั สามารถปรับปรงุ และพัฒนาใหใ้ ชง้ านได้อยา่ งตอ่ เนอ่ื งจนถงึ กลางยคุ ของศตวรรษท่ี 21 คุณลักษณะหลกั ของรถถงั แบบ VT4 (Main Feature) อำนาจการยิง : รถถังติดต้ังปืนใหญ่ ขนาด 125 มม. แบบลากล้องเรียบ ที่ใช้งานร่วมกับ คอมพิวเตอร์คำนวณ ขีปนวิธีท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะ สามารถเลือกกระสุนได้หลายชนิด เช่น กระสุนเจาะ
ห น ้ า | 32 เกราะสลดั ครอบทงิ้ เอง (APFSDS), กระสุนระเบิดต่อสู้รถถัง (HEAT), และกระสุนระเบิด (HE), นอกจากน้ัน แล้วสามารรถยิงกระสุนจรวดนาวิถีด้วยเลเซอร์ (Laser-Guided Missile) จากลากล้องปืนใหญ่รถถัง โดย กระสนุ นี้สามารถยิงทาลายเปา้ หมายในระยะไกลไดอ้ ยา่ งแมน่ ยา ความรวดเร็ว และความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ : ด้วยกาลังขับเคล่ือนของเคร่ืองยนต์ 1200 แรงมา้ ท่ีทางานร่วมกับเคร่ืองเปลีย่ นความเร็วอัตโนมตั ิ ทาให้รถถัง VT4 มีความรวดเรว็ , และคล่องแคลว่ ใน การเคลื่อนท่ีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถถัง แบบ VT4 ซ่ึงสามารถทาความเร็วสูงสุดได้ในทุกสภาพของ พ้ืนท่ี ไม่ว่าจะเป็นพ้ืนดินแข็ง หรือพื้นดินออ่ นนุ่ม, พ้ืนท่ีปกคลุมด้วยหิมะ, ทราย หรือลุยข้ามพ้ืนท่ีที่มีน้าปก คลุมระบบป้องกัน : การผสมผสานกันระหว่างอุปกรณ์ท่ีเป็นเกราะป้องกันในพ้ืนท่ีป้องกันหลัก (ด้านหน้า ของตัวรถและป้อมปืน, ด้านบนของตัวรถ) จะติดตั้งด้วยเกราะป้องกันแบบผสม (Composite) ส่วนพ้ืนท่ี ป้องกันรองลงมาเช่น ด้านข้างของตัวรถก็ใช้ชุดเกราะปฏิกิริยาที่เป็นแผ่นเกราะแบบบรรจุดินระเบิด (ERA) ติดตั้งในการป้องกันตัวรถ นอกเหนือจากเกราะป้องกันแลว้ รถถังยงั ตดิ ตั้งระบบป้องกัน นชค. (NBC) ระบบ ดับเพลิงอัตโนมัติ,ระบบยับยั้งการระเบิดจากภายในตัวรถ, ระบบทาฉากควัน, เคร่ืองยิงลูกระเบิดควัน และ ระบบแจ้งเตือนเมื่อถูกตรวจจับด้วยแสงเลเซอร์ อุปกรณ์ที่ติดต้ังอยู่ทั้งหมดดังท่ีกล่าวมานี้จะช่วยให้เพิ่มขีด ความสามารถในการดำรงความอยู่รอดในสนามรบอย่างมีประสิทธิภาพระบบควบคุมการยิงแบบดิจิตอล : ในรถถังติดต้ังระบบควบคุมการยิงแบบดิจิตอลที่ทางานร่วมกับกล้องเล็งที่มีระบบรักษาการทรงตัวของภาพ เล็ง (ImageStabilized Fire Control System) ซึ่งในระบบจะประกอบด้วยกล้องเล็งของพลยิงที่มีระบบ รักษาการทรงตัวร่วมกับระบบเล็งเกาะเป้าหมายแบบอัตโนมัติ ส่วนระบบกล้องเล็งของผู้บังคับรถจะเป็น แบบพาโนรามคิ ท่ีมีเครื่องรักษาการทรงตัวแบบสองแกนพรอ้ มระบบตดั การทางานในการควบคมุ การยิงของ พลยิง ระบบคอมพวิ เตอร์คำนวณขีปนวิธีแบบดิจติ อล และระบบตรวจวัดค่าต่าง ๆ (Sensor) โดยระบบต่าง ๆ เหล่าน้ีจะทางานร่วมกันกับระบบรักษาการทรงตัวของปืนใหญ่ ทาให้รถถังแบบ VT4 ทาการยิงในขณะที่ รถถังอย่กู ับท่ีหรือเคล่ือนท่ีได้ต่อเป้าหมายท่ีอยกู่ บั ที่ หรือเคลอ่ื นท่ีได้ นอกจากนน้ั ผบ.รถ ยงั สามารถควบคมุ การเล็งยิงปืนใหญ่รถถังได้ในทันทีท่ีต้องการด้วยระบบ Hunter-Killer การแจ้งเตือนในสนามรบ : เป็น ระบบท่ีติดต้ังในรถถังเพื่อใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลต่าง ๆ ซ่ึงจะทาให้พลประจารถและรถถังคันอ่ืน ๆ ในกลุ่ม เดียวกันเข้าถึงข้อมูลของสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในสนามรบโดยพร้อมเพรียงกันทาให้เกิดการประสาน สอดคลอ้ งในการควบคมุ และการส่ังการในการรบ อำนาจการยงิ (Fire Power) 1.1 อาวุธหลกั (Main armament) 1.1.1 ปืนใหญ่ลากล้องเรียบขนาด 120 มม. : เป็นอาวธุ หลักของรถถัง แบบ VT4 ตัวลา กล้องปืนใหญ่จะห่อหุ้มลากล้องปืนใหญ่ด้วยปลอกควบคุมอุณหภมู ขิ องลากล้อง และหม้อระบายแก๊สตกคา้ ง สามารถทาการยิงกระสุนธรรมดาได้ 3 ชนิด คือ กระสุนเจาะเกราะสลัดครอบท้ิงเอง (APFSDS), กระสุน ระเบดิ ต่อสู้รถถัง(HEAT),และกระสุนระเบิด (HE) นอกจากนี้ยังสามารถทาการยิงกระสุนพิเศษผ่านลากล้อง ปืนใหญ่ได้อีก 1ชนิด คือกระสุนจรวดนาวิถีด้วยแสงเลเขอร์ (Laser-Guided Missile) ขนาด 125 มม.- กระสุนขนาด 125 มม. เป็นกระสุนแบบไม่ครบนัด โดยจะทาการบรรจุตัวลูกกระสุนเข้าไปก่อนตามด้วยดิน ส่งกระสนุ พร้อมปลอกแบบก่ึงเผาไหม้ได้ ดังน้นั ภายหลังท่ีทาการยิงกระสุนออกไปแล้วจะเหลือเพียงฐานของ จานท้ายปลอกดินสง่ กระสุนออกมาเทา่ น้ัน 1.1.2 เคร่ืองบรรจุกระสุนอัตโนมัติ เคร่ืองบรรจุกระสุนอัตโนมัติติดตั้งอยู่บนพ้ืนป้อมปืน ด้านหน้าของตะกร้าเก็บอุปกรณ์ท้ายป้อมปืน ตัวลูกกระสุนจะบรรทุกอยู่ภายในราวเก็บด้านล่าง ในขณะ ที่ดินส่งกระสุนจะบรรทุกอยู่ในราวเก็บดา้ นบน ราวท่ีใชเ้ ก็บตวั ลูกกระสุน และดินส่งสามารถบรรทุกกระสุน และดินส่งได้ 22 นัด เมื่อเคร่อื งจะทาการบรรจุกระสุนปนื ใหญ่เหล็กส่งจะดันตัวลูกกระสุน และดินส่งเข้าไป พรอ้ มกัน อัตราการยงิ ทาได6้ -8 นดั /นาที
ห น ้ า | 33 2. เคร่ืองกาเนดิ กาลัง (Power Pack) เครื่องยนต์ของรถถัง VT4 บริษัท นอริงโก้ ได้พัฒนา และจัดสร้าง โดยมีขีดความสามารถ และคุณภาพเท่า เทียมกับเคร่ืองยนตท์ ี่ผลิตมาจากทางทวีปยุโรป เป็นเครื่องยนตข์ นาด 1200 แรงม้า, เคร่ืองเปล่ียนความเร็ว เป็นแบบอัตโนมัติ, ระบบระบายความร้อน, ระบบหล่อล่ืนเครื่องยนต์, มีเคร่ืองกรองอากาศ 2 ชุด เคร่ืองยนต์จะติดตั้ง และวางเคร่ืองตามแนวนอน โดยสามารถยกออก และติดต้ังกลับคืนได้ภายในเวลา 50 นาที 2.1 เคร่อื งยนต์ (Engine) เป็นเคร่ืองยนต์ดีเซล แบบ FW150, 12 กระบอกสูบ, 4 จังหวะรอบ, ระบายความร้อนด้วยน้า, มีระบบขับ เทอร์โบชาร์จ โดยประเทศจีนได้นาเอาเทคนิคใหม่ของเครื่องยนต์ท่ีประสบความสำเร็จในการพัฒนามา จัดสร้างโดเคร่ืองยนต์ทาความเร็วได้สูงกว่า, มีค่าแรงบิดสูง, ดังน้ันจึงให้กาลังในการใช้งานท่ีดีกว่า และ ส้นิ เปลืองน้ำมนั เช้อื เพลิง และน้ำมนั หล่อล่นื น้อยกว่า 2.2 เครื่องเปล่ียนความเรว็ (Transmission) เคร่ืองเปลี่ยนความเร็วแบบเชิงกลร่วมของเหลว (Hydro-mechanic) แบบ CH1000B เป็นเครื่องเปลี่ยน ความเร็วที่ประเทศจีนได้พัฒนามากว่า 20 ปี จนประสบความสำเร็จ และขึ้นมาเป็นผู้นาในระดับแนวหน้า ในปัจจบุ ัน โดยมีคณุ สมบตั ดิ งั นี้ 1. นาเอาเคร่ืองเปลยี่ นแปลงแรงบิดทางานดว้ ยน้ำมันไฮดรอลิคพรอ้ มคลตั ช์ล๊อคมาใชง้ าน, เพื่อเพม่ิ อัตราเร่งและเพิ่มขีดความสามารถในการเคลื่อนท่ีผ่านภูมิประเทศทุรกันดาร และเพ่ิมอายุการใช้งานของ เคร่ืองเปล่ยี นความเร็ว 2. อุปกรณ์ควบคุมเคร่ืองกลไกเปลี่ยนเฟืองเกียร์บริวาร ประกอบไปด้วย เฟืองเกียร์บริวาร 4 แถว, และชุดควบคุม 6 ตัว, มีเกียร์เดินหน้า 6 เกียร์ และเกียร์ถอยหลัง 2 เกียร์, คันควบคุมการเปลี่ยนเกียร์เป็น แบบนา้ มนั ร่วมไฟฟา้ (Electro-hydraulic) และระบบควบคุมไฟฟา้ จะเรม่ิ ต้นการทางานโดยคันบงั คับหลาย หนา้ ท,่ี ทั้งการบงั คบั ดว้ ยมือ หรอื แบบอัตโนมัติ 3. ผสานการทางานของระบบบังคับเล้ียวไฮดรอลิคโดยใช้ปั๊มมอเตอร์ และชุดต่อประกบไฮดรอลิ คเลื่อนไปมาในการบังคับเล้ียว ทาให้จุดหมุนในการเลี้ยว และอัตราส่วนการบังคับเลี้ยวกับตำแหน่งเกียร์ท่ี เลือกใชง้ านน้อยลง 4. สายพานเฟืองควบคุมความเร็วในการขับเคลื่อนพร้อมกับคลัตช์เฟืองท้ายแบบเปียก จัดทาไว้ เพือ่ ใหส้ ายพานเฟอื งควบคุมความเร็วโดยจะข้นึ อยู่กบั อุณหภูมขิ องนา้ เพอ่ื ทาใหก้ ารสญู เสียกาลังงานลดลง 5. ล้ินควบคุมการหน่วงน้ามันไฮดรอลิคจัดทาไว้ให้รถถังหยุดได้ที่ความเร็วสูง คุณลักษณะเฉพาะ แบบ เครื่องเปล่ียนความเร็วแบบเชิงกลร่วมของเหลวการเลือกเกียร์แบบผสม, การบังคับเลี้ยว และห้ามล้อ วิธีการควบคุมวิธีหลักใช้การเลือกตำแหน่งแบบอัตโนมัติ, พร้อมกับคันเลือกตำแหน่งด้วยมือ และคันเลือก ตำแหน่งเกียร์ฉุกเฉินจานวนเกียร์ 6 เกียร์เดินหน้า, 2 เกียร์ถอยหลังค่าสัมประสิทธ์ิของการแปลงค่าแรงบิด ของเครื่องแปลงแรงบิดไฮดรอลิค 2.5การบังคับเลี้ยว (ด้วยพวงมาลัย) ช่วงส้ัน, ร่วมกับการทางานด้วย มอเตอรป์ มั๊ น้ำมันไฮดรอลิค และชดุ ตอ่ ประกบเลอ่ื นไปมาดว้ ยไฮดรอลคิ 3. ระบบขับเคล่ือน และพยุงตัวรถ (Running and Suspension System) อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในการ ขับเคล่ือนสายพานใช้เพื่อเปล่ียนแรงบิดซ่ึงถ่ายทอดออกมาจากเครื่องเปล่ียนความเร็วเพื่อขับเคลื่อนล้อขับ สายพานให้เกิดแรงดึงเพ่ือทาให้รถถังเคลื่อนที่ โดยจัดทาให้เกิดท้ังแรงดึง และแรงหยุด และปรับปรุงขีด ความสามารถในการเคลื่อนท่ีของรถถังในสภาวะเง่ือนไขของภูมิประเทศท่ีแตกต่างกันอุปกรณ์ที่ใช้ในการ ขับเคลื่อนสายพานประกอบด้วยล้อขับสายพาน 2 ล้อ, สายพาน 2 เส้น, ล้อกด 12 ล้อ, ล้อรับสายพาน 8 ล้อ, (ดา้ นนอก 4 ล้อ,ด้านใน 4 ล้อ) ล้อปรับสายพานพร้อมตัวปรับ 2 ล้อ ระบบพยุงตัวรถเป็นระบบที่ใช้ลด
ห น ้ า | 34 แรงสั่นสะเทือนที่เชื่อมต่อกับตัวรถด้วยล้อกดสายพาน ใช้เพื่อรองรับแรงสั่นสะเทือนท่ีกระทบกับพ้ืนดิน และส่งต่อไปยังตัวรถผ่านสายพาน และล้อกดในระหว่างที่รถเคล่ือนท่ี เพื่อลดการสั่นสะเทือนของรถทาให้ ม่ันใจได้ว่ารถถังเคล่ือนท่ีได้อย่างราบเรียบ ระบบพยุงตัวรถประกอบด้วย คานรับแรงบิด, กระบอกรับแรง สะเทือนไฮดรอลิค, เครื่องรับน้าหนักกระแทกไฮดรอลิค, และเครื่องประกอบชุดแขนล้อปรับสมดุลพร้อม ปลอกรับระบบพยุงตัวรถประกอบด้วย คานรับแรงบิด 12 อัน (ข้างละ 6 อัน) เคร่ืองประกอบชุดแขนล้อ ปรับสมดุลพร้อมปลอกรับ 12 ชุด, กระบอกรับแรงสะเทือนไฮดรอลิค 6 ตัว, และเครื่องรับแรงกระแทก 6 ตวั คุณลักษณะเฉพาะ ระบบพยุงตวั รถ คานรับแรงบิดสงู มาก 12 อัน กระบอกรับแรงสะเทอื น 6 ตวั เคร่อื งรับแรงกระแทก 6 ตัว ระบบขบั เคลื่อน ล้อกดสายพาน 12 ลอ้ ล้อรบั สายพาน 8 ล้อ ลอ้ ปรับสายพาน 2 ลอ้ ล้อขบั สายพาน 2 ล้อ 4. การป้องกนั (Protection) 4.1 เกราะปอ้ งกนั (Armor protection) รถถังจะติดต้งั ท้ังเกราะแบบผสม และเกราะปฏิกิริยาอยู่บนตวั รถ และบนป้อมปนื แผ่นยางป้องกัน ด้านข้างติดตั้งอยู่ทั้งสองด้านของตัวรถ และติดตั้งตะแกรงป้องกันเป็นเครื่องป้องกันช่วยอยู่บนป้อมปืน เกราะแบบผสม สร้างข้ึนด้วยโลหะที่มีความแข็งแรงสูง และความหนาแน่นต่ำ และวัสดุท่ีไม่ใช้โลหะ โดย สร้างขึ้นด้วยคุณลักษณะของมุมเอียงมาก และทาช่องว่างเพื่อให้เกิดความไม่สมดุล กันมุมตกกระทบของ กระสุนหรือกระแสไอพ่นของระเบิดที่พ่นออกมา ทาให้กระสุน หรือกระแสไอพ่นถูกขัดขวางด้วยความคงที่ ของตวั เกราะที่ทาให้แรงลดน้อยลง เป็นสาเหตุท่ีทาให้ความลึกในการเจาะเกราะจากกระสุน และกระแสไอ พ่นส้ันลง เพ่ือวัตถุประสงค์ในการป้องกัน และเพิ่มความม่ันใจในการอยู่รอดของรถถัง และทาให้พลประจา รถปลอดภัยเกราะปฏกิ ิริยาเป็นเกราะชนดิ หนึ่งทีข่ นึ้ รูปขึ้นมาโดยการติดตงั้ เขา้ กับกล่องปฏกิ ิรยิ า, ฐานตดิ ต้งั , หนา้ ทใ่ี นการทำงาน คือ ต่อต้านกระสุนระเบดิ เพอ่ื ทาใหท้ ศิ ทางเปลี่ยนไป และทาลายประสิทธภิ าพจากการ สะสมแรงระเบิดที่เกิดข้ึน ดังน้ัน ความลึกในการเจาะเกราะจากลูกกระสุน และกระแสไอพ่นจะสั้นลงเพื่อ วัตถุประสงค์ในการป้องกัน และเพ่ิมความมั่นใจในการอยู่รอดของรถถัง และทำให้พลประจารถปลอดภัย แผ่นยางกาบังด้านข้างตืดต้งั อยู่ดา้ นข้างของตวั รถท้ังสองข้าง และติดต้ังตะแกรงป้องกันอยู่บนป้อมปนื โดยมี วัตถุประสงค์หลักเพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาจากการระเบิดของกระสุนระเบิดต่อสู้รถถังท่ีเข้ามากระทบเพื่อลด ความเสียหายที่จะเกดิ ข้ึนกับตัวรถ และปอ้ มปนื 4.2 ระบบดับเพลิง และระบบหยุดยั้งการระเบิด (Firing extinguishing and explosion suppressionsystem)
ห น ้ า | 35 กล่องควบคุมแบบผสมทีต่ ิดตั้งอยู่บนป้อมปืน และกล่องควบคมุ เคร่ืองดับเพลงิ ในแคร่รถสามารถรับสญั ญาณ เตือนไฟไหม้หลายคร้ังเพ่ือหยุดยั้งการระเบิด ถังน้ายาเคมี และถังน้ายาดับเพลิงในแคร่รถ เพื่อทาให้การ ดบั เพลงิ ในหอ้ งหอรบ และห้องจา่ ยกาลัง เพอ่ื ให้แน่ใจได้วา่ รถถังปลอดภยั 4.3 อปุ กรณ์ตรวจวดั นชค. (Collective NBC) กล่องควบคุมอุปกรณ์ตรวจวัด นชค. ในป้อมปืนติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการหยุดยั้งการระเบิด, การตรวจวัด นชค., ระบายอากาศในห้องหอรบ, ควันไอเสีย, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องกรอง นชค.. และระบายอากาศ ให้กบั ห้องตา่ ง ๆ โดยมีหนา้ กากป้องกัน นชค. สว่ นบคุ คลติดต้งั ไว้ในห้องของพลประจารถ 4.4 ระบบเตือนภยั จากเลเซอร์ (Laser warning system) ตัวระบบประกอบด้วยหีบควบคุม และเครื่องตรวจจับแสงเลเซอร์ เม่ือเครื่องตรวจจับลาแสงเลเซอร์ท่ี ปรากฏได้ระบบจะแจ้งเตือนด้วยเสียง และทัศนสัญญาณ ในขณะเดียวกันสามารถทาการยิงลูกระเบิดควัน ออกไปได้โดยใช้กล่องควบคุมด้วยมือ หรือการยิงแบบอัตโนมัติ เพ่ือรบกวนการตรวจการณ์ของข้าศึก จาก การเลง็ และการปล่อยอาวธุ 5.ระบบเคร่อื งปรับอากาศของพลประจารถ (Crew Air Condition System) ระบบเคร่ืองปรับอากาศของพลประจารถจะประกอบไปด้วย คอยล์ร้อนดา้ นนอก, เคร่ืองปรับอากาศภายใน ห้องพลขับ, เครื่องปรับอากาศสาหรับ ผบ.รถ, และพลยิง, และหีบควบคุมความเย็นของเครื่องปรับอากาศ 3.2กิโลวัตต์ จัดเตรียมไวเ้ พื่อทาให้เกิดอุณหภมู ิท่สี บายสาหรบั พลประจารถ เพ่ือเพ่มิ ขดี ความสามารถในการ ดำรงอยใู่ นสนามรบไดอ้ ยา่ งยาวนาน 6.ระบบกำเนิดข้อมลู ในรถถงั (Vehicle-born information system) ระบบข้อมูลสาหรับติดตั้งบนยานรบสาหรับรถถัง VT4 ทาหน้าท่ีสร้างโครงข่ายของข้อมูลภายในเพื่อให้พล ประจารถปฏิบัติภารกิจจากจอแสดงภาพภารกิจ เปรียบเสมือนศูนย์กลางในการจัดทาข้อมูลคาสั่งท่ีสมบูรณ์ ของรถถัง โดยจะดาเนินการค้นหา, ส่ง, ประมวลผล, วิเคราะห์ขีดความสามารถ และประโยชน์ด้านอื่น ๆ ของขอ้ มูล โดยจะทาให้ส้นิ สุดกระบวนการในการควบคมุ ได้อย่างสมบูรณ์มีประสทิ ธภิ าพ และจัดส่งข้อมูลท้ัง มวลให้กับรถถัง และส่งข้อมูลไป-มาระหว่างรถถังโดยพลประจารถ จะเป็นแกนหลักในการควบคุม และทา ให้การประสานการทางานบรรลุผลสำเร็จ, มีโหมดควบคุมการปฏบิ ัตกิ าร และการค้นหาสาเหตขุ ้อบกพร่อง ในรถถังเป็นระบบสารองเพื่อเพ่ิมขีดความสามารถในการควบคุมสั่งการ และเพิ่มขีดความสามารถในการ สนับสนุนให้กับรถถัง นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการตรวจการณ์ สภาพของสนามรบ และประสานการ ปฏิบัติการเพ่ือใช้ในการปฏิบัติภารกิจผ่านระบบการสั่งการระหว่างรถถังระบบข้อมูลสาหรับการติดต้ังบน ยานรบสาหรบั รถถัง VT4 ประกอบไปด้วย ระบบสารองทางอเิ ลก็ ทรอนคิ แบบรวมการ และระบบควบคุมส่ัง การ และการติดต่อส่ือสาร ระบบควบคุมส่ังการ และการติดต่อส่ือสารประกอบด้วย เคร่ืองติดต่อภายใน, ชุดวิทยุ, ฯลฯ ระบบสารองทางอิเล็กทรอนิคแบบรวมการ ประกอบด้วยจอแสดงภาพ และควบคุมของ ผบ. รถ จอแสดงภาพของพลขับ และวงจรบัสจอแสดงภาพ และควบคุมของ ผบ.รถ ทาหน้าที่เชื่อมต่อชุดวิทยุ ผ่านทางช่องทางแบบอนุกรม เพื่อจัดตั้งระบบสื่อสาร จอแสดงภาพ และควบคุมของ ผบ.รถ และจอแสดง ภาพของพลขับจะเช่ือมต่อกับวงจรระบบ CAN เพื่อสร้างข่ายข้อมูลภายในด้วยการแจกจ่ายข้อมูลผ่าน อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคทั้งหมด หรือหน่วยควบคุมอิเล็คทรอนิค และเคร่ืองนาทาง ฯลฯ ในขณะเดียวกัน สามารถส่งข้อมูลระหว่างรถถัง และติดต่อส่ือสารด้วยเสียงผ่านทางข่ายชุดวิทยุ เพ่ือประสานการยิงและ แลกเปล่ียนข้อมลู ระหว่างยานรบขา้ งเคียง และระหวา่ งยานรบแบบเดียวกันในระบบขอ้ มูลของสนามรบ
ห น ้ า | 36 7.ช่องทางส่งข้อมูล (Data bus) อุปกรณ์ที่ดาเนินกรรมวิธีข้อมูล เช่น คอมพิวเตอร์ควบคุมการยิง, กล่องควบคุมโปรแกรม, เครื่องมือรวบรวมข้อมูล, อุปกรณ์นาทาง และบอกตำแหน่ง จะส่งข้อมูลผ่านไปยังช่องทางส่งข้อมูลของ ระบบ CAN ท้ังสองช่องทาง และสร้างภาพในเวลาปัจจุบัน หรือสร้างข้อมูลที่เป็นตัวเลข หรืออักษรของ ระบบที่สัมพันธ์กันให้ปรากฏบนจอแสดงภาพของพลขับ และจอแสดงภาพ และควบคุมของ ผบ.รถ ผ่าน ชอ่ งทางส่งข้อมูล และ ตัวของระบบข้อมูลเอง ทาให้ ผบ.รถ สามารถดาเนินการส่ังการ และควบคุมภารกิจ ของรถถังได้ง่ายในฐานะที่เป็นส่วนหน่ึงของระบบอุปกรณ์กำเนิดข้อมูลบนยานรบ อุปกรณ์ระบุตำแหน่ง และนาทางจะถูกตดิ ตง้ั บนรถถัง โดยท่รี ะบบนาทางด้วยแรงเฉี่อยจะตดิ ต้งั อยู่ในห้องพลขับ และอุปกรณ์ระบุ ตำแหน่ง GPS จะถูกติดตั้งบนป้อมปืนโดยจะแจ้งตำแหน่งที่ถูกต้องในทุกสภาพเง่ือนไขที่ซับซ้อนของภูมิ ประเทศให้กับพลประจารถ ระบบระบุตำแหน่ง และนาทางประกอบไปด้วย เคร่ืองนาทาง, สายไฟฟ้าของ ระบบเครื่องนาทาง, สายวงจรบัสของเครื่องนาทาง, และสายมิโลมิเตอร์ของเครื่องนาทาง ระบบระบุ ตำแหน่งด้วยดาวเทียมของรถถัง VT4 เป็นอปุ กรณ์ที่จัดเตรียมตำแหน่งให้กับรถถังเพ่ือใช้งานบนภาคพ้นื ดิน โดยหน้าที่หลัก คือ การแจ้งตำแหน่งของยานรบในขณะเคลื่อนท่ี และส่งข้อมูลพิกัดปัจจุบันของรถถัง (ดว้ ย ระบบพิกดั แบบ WGS-4) รวมถึงละตจิ ดู และลองตจิ ดู , ทิศทาง, ความสูง, เวลา, ตำแหน่ง ฯลฯ โดยจะระบุ ขอ้ มูลปัจจบุ ันผ่านระบบบสั ของ CAN 8.ระบบพสิ ูจนฝ์ า่ ย, ฝ่ายเรา หรือขา้ ศกึ (FREIND-OR-FOE IDENTIFICATION SYSTEM) ระบบพิสูจน์ฝ่ายวา่ เป็นฝา่ ยเรา หรือข้าศึก ประกอบดว้ ย อุปกรณ์หลักติดตั้งบนยานรบ, อปุ กรณ์ส่งสัญญาณ สอบถามข้อมูลผ่านเคร่ืองปลายทางด้านหน้าติดตั้งบนยานรบ, อุปกรณ์รับสัญญาณการสอบถามข้อมูล ปลายทางดา้ นหน้า และเคร่อื งมือปรบั ตั้งการเชือ่ มต่อ 1. อุปกรณ์หลักในการพิสูจน์ฝ่าย, ฝ่ายเรา หรือข้าศึก : ใชส้ าหรับการผลิตข้อมูล, เข้ารหัส, เพิ่มกา ลังสัญญาณที่ส่งออก, กระบวนการท่ีจะทาให้เกิดความสอดคล้อง และส่งสัญญาณสอบถามข้อมูล/ตอบ สัญญาณและรับสัญญาณ, เพ่ิมกาลังสัญญาณที่ได้รับ, การผสานคลื่นความถ่ีของสัญญาณท่ีสอบถาม/ ตอบสนองสัญญาณสามารถแยกสัญญาณเพ่ือคานวณตามเงื่อนไข และส่งข้อมูลจากผลท่ีได้จากการพิสูจน์ ฝา่ ย ฯลฯ โดยใช้เครื่องมอื ปรบั ตัง้ การเชอ่ื มตอ่ กบั จอแสดงผลตามภารกิจของ ผบ.รถ 2. อุปกรณ์ส่งสัญญาณสอบถามข้อมูลผ่านเคร่ืองปลายทางด้านหน้าติดตั้งบนยานรบ อุปกรณ์น้ีใช้ สาหรับสง่ สัญญาณสอบถามขอ้ มลู สถานีปลายทาง และรับสัญญาณทีต่ รงกนั ที่ตอบกลบั มาจากปลายทาง 3. อปุ กรณ์รับสัญญาณสอบถามข้อมูลปลายทางด้านหน้า : อุปกรณ์น้ีใชส้ าหรับรับขอ้ มูลท่ีสอบถาม ไปยังสถานีปลายทางที่เคร่ืองส่งสัญญาณสอบถามออกไป อุปกรณ์รับสัญญาณสอบถามข้อมูลปลายทาง ด้านหน้าโดยปกติแล้วจะติดตั้งอยู่ด้านบนของฐานติดตั้ง และห้ามทาการพรางรอบ ๆ บริเวณที่ติดต้ัง อปุ กรณ์ 9. การสอ่ื สารแบบดิจิตอล (Digital communication) ใช้วิทยทุ หารปรงุ คลืน่ ความถ่ี VHF/FM แบบก้าวกระโดด 50 วตั ต์ 10. คณุ ลักษณะเฉพาะทางเทคนิค กล่าวทวั่ ไป นา้ หนักพรอ้ มรบ 52 ตนั พลประจารถ 3 นาย กาลงั เคร่อื งยนต์ 833 กโิ ลวัตต์ (1,200 แรงมา้ ) อตั ราส่วนกาลัง ตอ่ น้าหนกั 23 แรงม้า/ตัน ความยาวเม่ือปืนใหญ่อย่ดู ้านหน้า 10.1 เมตร
ห น ้ า | 37 ความยาวเม่ือปนื ใหญอ่ ยดู่ ้านหลัง 9.750 เมตร ความกว้าง พรอ้ มแผน่ กาลงั ด้านขา้ ง 3.5 เมตร ไม่มีแผน่ กาบงั ดา้ นขา้ ง 3.4 เมตร ความยาวของสายพานสัมผสั พนื้ 4.747 เมตร ระยะสงู พ้นพื้น (สายพานยาง) 0.51 เมตร ความสูง (ด้านบนปอ้ งปนื ) 2.4 เมตร น้าหนักกดพ้ืน 0.88 กโิ ลกรมั /ตร.ซม. ความคลอ่ งแคลว่ ในการเคลือ่ นท่ี ความเร็วสงู สดุ บนถนน 70 กม./ชม. ความเร็วสูงสุดในภมู ิประเทศ 33-45 กม./ชม. อตั ราเร่ง .-32 กม./ชม. ในเวลา 12 วินาที ระยะปฏิบัตกิ ารไกลสดุ (ในภูมิประเทศ) มากกวา่ 400 กม. ไตล่ าดชัน 60 % ไตล่ าดขา้ ง 40 % ข้ามคกู วา้ ง 2.7 เมตร ขา้ มเครื่องกดั ขวางทางดง่ิ สงู 0.85 เมตร ลุยขา้ มนา้ ลึก ไม่ได้เตรียมการ 1.2 เมตร เตรียมการในเวลา 5 นาที 1.8 เมตร ใช้ทอ่ หายใจ, ลยุ ขา้ มนา้ ลกึ 5 เมตร ได้ในระยะทาง 600 เมตร เคร่อื งยนต์ 1,200 แรงม้า, เปล็นเครือ่ งยนตด์ ีเซล, มีเทอรโ์ บชารต์ เคร่อื งเปลยี่ นความเรว็ อัตโนมตั ,ิ เกียร์เดินหน้า 6 เกียร,์ ถอยหลงั 2 เกยี ร์ เครอ่ื งพยุงตวั รถ คานรับแรงบดิ , พร้อมเคร่อื งรบั แรงกระแทกไฮดรอลคิ และกระบอกรบั แรงสั่นสะเทอื น ระบบบงั คบั เล้ยี ว Stepless เบรก ระบบเบรกแบบผสม สายพาน แบบมีแผ่นยางรองสายพาน อำนาจการยงิ ปืนใหญ่รถถงั ลำกล้องเรียบ ขนาด 125 มม. อาวธุ หลกั แบบอตั โนมัติ การบรรจกุ ระสุน 38 นดั บรรทกุ กระสุนได้ อาวุธรอง ขนาด 7.62 มม. ปนื กลร่วมแกน ขนาด 12.7 มม. ควบคุมการยงิ จากภายในรถ ปนื กลตอ่ สูอ้ ากาศยาน การอยู่รอด แผน่ เกราะแบบผสม, แผ่นเกราะปฏกิ ริ ยิ า เกราะป้องกนั นชค. แบบรวมการ การป้องกัน ระบบดับเพลงิ และหยดุ ยงั้ การระเบิด
ห น ้ า | 38 หอ้ งเครอ่ื งยนต์ เครื่องตรวจจับดว้ ยเสน้ ลวดความร้อน หอ้ งหอรบ เคร่อื งตรวจจับแบบกล้องตรวจจบั ระบบปอ้ งกันเชิงรุก ระบบเตือนภยั จากเลเซอร์ เคร่อื งยงิ ลกู ระเบิดควัน 6X2 (12 ท่อ) มเี คร่อื งทาฉากควัน มี ระบบควบคมุ การยิง กลอ้ งเลง็ พลยิง การรกั ษาการทรงตวั เครื่องรกั ษาการทรงตัวแบบ 2 แกน กล้องเล็งกลางวนั 6°-10° (10X-6X) กลอ้ งเลง็ กลางคืน กล้องเล็งภาพความร้อน เครอ่ื งหาระยะด้วยแสงเลเซอร์ แบบติดตง้ั ในตัว กลอ้ งเล็งพาโนรามคิ ของ ผบ.รถ การรักษาการทรงตัว เคร่ืองรกั ษาการทรงตัวแบบ 2 แกน กลอ้ งเลง็ กลางวัน 5.5° (10X), 10° (6X), ซมู ภาพต่อเนือ่ ง กลอ้ งเล็งกลางคนื กล้องเล็งภาพความรอ้ น เครือ่ งหาระยะด้วยแสงเลเซอร์ แบบติดตง้ั ในตัว คอมพิวเตอรค์ ำนวณขีปนวิธี แบบ DSP คำนวณค่าตัวแก้ขีปนวธิ อี ัตโนมัติ เครอื่ งตรวจวดั อตั โนมตั ิ เครอ่ื งตรวจวดั สภาพอากาศ, เครื่องตรวจวัดอุณหภมู ิ ดนิ สง่ , เครือ่ งวดั มุมเอียง, เครื่องตรวจวคั วามเร็ว เชงิ มมุ เปา้ หมาย, ระบบจดุ อา้ งองิ ฯลฯ ระบบเลง็ เกาะเป้าหมายอตั โนมตั ิ มี หน้าทใ่ี นการทางานแบบ Hunter-Killer มี ระบบรกั ษาการทรงตัวของปืนใหญ่ แบบใช้ไฟฟ้าขับทั้งมมุ สงู และมมุ ทิศ เบ็ดเตลด็ ระบบนารอ่ ง GPS & INS ระบบกำเนิดขอ้ มูลของรถถงั มี กล้องตรวจการณด์ า้ นหนา้ มี กล้องตรวจการณ์ดา้ นหลัง มี ระบบเครือ่ งปรบั อากาศ มี จอแสดงภาพเอนกประสงค์สาหรับ ผบ.รถ และพลขบั มี ระบบพิสจู น์ผา่ ย ผ่ายเรา หรอื ข้าศกึ มี
ห น ้ า | 39 วิชา การใชแ้ ละซ่อมบำรงุ รถถัง เอ็ม 41 เอ 3 แผนกวิชายานยนต์ กองการศกึ ษา โรงเรยี นทหารม้า ศูนย์การทหารมา้ ค่ายอดิศร สระบรุ ี
ห น ้ า | 40 รถถัง ตดิ ต้งั ปนื ใหญ่ขนาด 76 มม. บ.41, บ.41 ป.1 หรือ บ.41 ป.3 พรอ้ มดว้ ยปนื ในทา่ ต้งั ยงิ ด้านหนา้ ซา้ ย รถถัง ตบิดทตท้งั ปี่ ืน1ใหญข่ นาด 76 มม. บ.41, บ.41 ป.1 หรือ บ.41 ป.3 พรอ้ มดว้ ยปนื ในท่าเดินทาง ด้านหนา้ ซา้ ย
ห น ้ า | 41 ตอนท่ี 1 กลา่ วทว่ั ไป ขอบเขต คู่มือทางเทคนิคเล่มน้ี จะให้คำแนะนำการใช้งาน และการปรนนิบัติบำรุงขั้นท่ี 1 สำหรับรถถัง ตดิ ตั้งปนื ใหญข่ นาด 76 มม. บ.41, บ.41 ป.1 และ บ.41 ป.3 ตอนที่ 2 คุณลกั ษณะ รายละเอียด และมาตราทานรถ 1.1 คณุ ลักษณะ และรายละเอียด กล่าวท่ัวไป รถถัง ติดต้ัง ปืนใหญ่ขนาด 76 มม. บ.41, บ.41 ป.1 และ บ.41 ป.3 เป็นยานยนต์ สงครามหุม้ เกราะ เคล่อื นทด่ี ว้ ยสายพาน สามารถปฏิบัตกิ ารในอุณหภูมิตงั้ แต่ – 65 ฟ.ถงึ + 125 ฟ. ออกแบบให้มีทรวดทรงต่ำ และมีน้ำหนักเบา เพื่อให้ขนส่งทางอากาศได้ อาวุธหลักคือ ปืนใหญ่รถถัง ขนาด 76 มม. ความเร็วต้นสูง ติดต้ังอยู่ในป้อมปืน มีปืนกล ขนาด .30 นิ้ว 1 กระบอก ติดต้ังร่วมแกน กับปืนใหญ่รถถัง และยังมีปืนกล ขนาด .50 นิ้ว อีก 1 กระบอก ติดตั้งที่แท่นปืน แท่นใด แท่นหน่ึง ใน จำนวน 2 แท่น บนป้อมปืน เพื่อใช้ยิงต่อท่ีหมายบนพ้ืนดิน หรือใช้ยิงต่อสู้อากาศยานท่ีร่อนต่ำ ภายในตัว รถแบ่งเปน็ 3 ตอน คือ ห้องขับ ห้องรบ และห้องเครื่องยนต์ ห้องขับอยู่ทางตอนหน้า ด้านซ้ายของตัวรถ เป็นท่ีติดต้ังเคร่ืองควบคุม เครื่องบังคับสำหรับการขับรถ และแผงหน้าปัด ต่าง ๆ ห้องรบอยู่ท่ีตอนกลาง ของตัวรถ ใช้สำหรับรองรับป้อมปืน และกระเช้าป้อมปืน ห้องเครื่องยนต์อยู่ทางตอนท้ายของรถ เป็นท่ี ติดต้ังเคร่ืองยนต์ เคร่ืองเปล่ียนความเร็ว และถังน้ำมันเชื้อเพลิง ห้องเคร่ืองยนต์ถูกแบ่งแยกจากห้องรบ ด้วยผนังก้ันซ่ึงทำหน้าท่ีเป็นผนังกันไฟ และช่วยเสริมความแข็งแรงแก่ตัวรถ รถถัง บ.41 ปฏิบัติการโดย พลประจำรถ 4 นาย คือ ผู้บงั คับรถ พลยงิ พลบรรจุ และพลขับ 1.2 เคร่ืองกำเนดิ กำลงั 1.2.1 เครื่องยนต์ รถถังขับเคล่ือนด้วยเครื่องยนต์คอนติเนนตัล AOSI 895-5 จำนวน 1 เครื่อง เป็นเคร่ืองยนต์แก๊สโซลีน 6 กระบอกสูบ นอนตรงกันข้าม ระบายความร้อนด้วยอากาศ เรือนสูบแบ่ง ออกเป็น 2 ข้าง ข้างละ 3 สูบ โดยมีเพลาวราวล้ิน และลิ้นติดตั้งอยู่บนฝาเรือนสูบทั้ง 2 ข้าง ปริมาตรการ แทนท่ีของลูกสูบในกระบอกสูบท้ังหมด 895.9 ลบ.น้ิว ใช้ระบบสูบฉีดน้ำมันเช้ือเพลิง มีเครื่องเพิ่มไอดี ระบบจุดระเบิดใช้แม็กนิโตจุดระเบิด 2 ตัว จุดหัวเทียน 2 หัวของแต่ละกระบอกสูบ และให้กำลัง 500 แรงมา้ เมือ่ เครอื่ งยนต์หมนุ 2800 รอบ/นาที 1.2.2 เครื่องเปล่ียนความเร็ว เป็นเคร่ืองเปล่ียนความเร็วแบบขับขวาง อัลลิสัน CD 500-3 ยึด ตดิ อยู่กับเคร่ืองยนตด์ ้านล้อตุนกำลังด้วยสลักเกลียว และแป้นเกลียวเพื่อให้ถอดแยกออกจากเครื่องยนต์ได้ ง่าย เคร่ืองเปลี่ยนความเร็วประกอบด้วยเครื่องเปล่ียนแรงบิดทำงานด้วยของเหลว หรือ “ ทอร์คคอนเวอร์ เตอร์ ” ชดุ เฟืองเปล่ยี นความเร็ว ระบบห้ามล้อ และระบบบงั คับเล้ียวพร้อมด้วยชุดเฟอื งทดกำลงั เปลี่ยน ทศิ ทาง การควบคมุ และบังคับการทำงานของเกียรเ์ ปลีย่ นความเร็ว ระบบห้ามล้อ และระบบบังคับเลีย้ ว กระทำโดยใช้คันบังคับ และก้านโยงต่าง ๆ ในห้องพลขับ กำลังท่ีออกจากเครื่องเปล่ียนความเร็วจะถูก ส่งผ่านเพลาขบั ส้ันทั้งสองข้างไปยังหีบเฟอื งขับข้ันสดุ ทา้ ย เพ่ือขบั ล้อขับสายพานตอ่ ไป 1.3 ระบบพยุงตัวรถ ใช้คานรับแรงบิด มีล้อกดสายพานทำงานโดยอิสระอยู่ 10 คู่ ( ข้างละ 5 คู่ ) สำหรับรองรับน้ำหนักของรถ ล้อกดสายพานแต่ละล้อจะติดอยู่กับดุมแขนล้อกดสายพาน และคานรับ แรงบิดข้างหนึ่ง โดยมีปลายอีกข้างหนึ่งของคานรับแรงบิดสวมตดิ อยู่กับสมอบก ซ่ึงติดอยู่ดา้ นข้างของตวั รถ ด้านตรงกันข้าม และท่ีตวั รถแต่ละด้านจะมีแหนบหยุดแขนล้อกดสายพาน ซึ่งทำหน้าที่ปอ้ งกนั ไม่ให้แขนล้อ กดสายพานเคลอ่ื นท่ีสงู มากเกินไปเมอ่ื ขับรถในภมู ปิ ระเทศจนอาจทำให้คานรบั แรงบิดหักได้
ห น ้ า | 42 เครื่องผ่อนแรงสะเทือน จะทำหน้าที่ดดู กลืนอาการสั่นสะเทือนเมื่อรถเคลื่อนที่ในภูมิประเทศ โดย ปลายข้างหน่ึงสวมยึดติดกับปลายแขนล้อกดสายพาน และปลายอีกข้างหน่ึงสวมยึดติดกับฐานติดตั้งบน ผนังตัวรถ ล้อกดสายพานท่ี 3 และ 4 ไม่มีเคร่ืองผ่อนแรงสะเทือน และมีล้อปรับสายพานติดตั้งอยู่ทาง ดา้ นหน้าซา้ ย และขวาของรถเพ่อื ใชส้ ำหรับปรับความตึงหย่อนของสายพานทง้ั สองขา้ ง 3. มาตราทานรถ อาวธุ - ปนื ใหญก่ ระสุนวถิ ีราบ ขนาด 76 มม. M32 1 กระบอก - ปนื กลรว่ มแกน ขนาด .30 นว้ิ M1919A4 1 กระบอก - ปืนกลต่อสู้อากาศยาน ขนาด .50 นว้ิ M2 HB 1 กระบอก พลประจำรถ 4 นาย เครอื่ งยนต์ คอนติเนนตัล 6 สูบ ระบายความร้อนด้วย อากาศ มเี คร่ืองเพมิ่ ไอดี แบบ AOSI 895-5 แรงม้า 500 แรงมา้ เม่ือเครอ่ื งยนตห์ มุน 2,800 รอบ/นาที ลำดบั การจดุ ระเบดิ 1–6–3–2–5–4 เครอื่ งเปล่ียนความเร็ว อัลลิสนั CD 500-3 แบบขบั ขวาง ขนาด ความยาว ( ปืนใหญ่อยใู่ นตำแหน่งเกบ็ เดนิ ทาง ) 23 ฟตุ 1 นว้ิ ความกว้าง 10 ฟุต 5 7/8 นว้ิ ความสูง 10 ฟุต 1 13/16 นว้ิ ระยะพน้ พื้นดินตำ่ สดุ 1 ฟุต 5 11/16 นว้ิ น้ำหนักกดพน้ื ดิน 10.2 ปอนด/์ ตร.นว้ิ ระบบไฟฟ้า 24 โวลท์ จำนวนแบตเตอร่ี ( 12 โวลท์ ) 4 หมอ้ ตอ่ แบบอนั ดับ-ขนาน ข้วั ลบลงดนิ ความจุ อา่ งนำ้ มันเครื่องยนต์ ( เติมใหม่ ) 44 ควอต หีบเฟืองขบั ขัน้ สุดท้าย ( ตวั ละ ) 2.9 ควอต ถงั น้ำมันเชื้อเพลิง ( 2 ถัง ) 140 แกลลอน เครอื่ งเปลี่ยนความเร็ว ( เตมิ ใหม่ ) 44 ควอต สมรรถนะ ความเร็วอนุมตั ิใชง้ าน - เกียร์ต่ำ (LOW) 11.5 ไมล์/ชม. - เกยี รส์ ูง (HIGH) 45 ไมล์/ชม. - เกียร์ถอยหลัง (REVERSE) 11.5 ไมล์/ชม. ความเรว็ เดนิ ทาง 25 ไมล์/ชม. ระยะปฏบิ ตั กิ าร 100 ไมล์ มุมกดของปนื ( ต่ำสดุ ) 178 มิล ( 10 องศา ) มมุ เงยของปนื ( สูงสดุ ) 355 มลิ ( 20 องศา ) การลุยน้ำลกึ ( สงู สุด ) 3 ฟตุ 4 นว้ิ ความส้ินเปลืองของน้ำมนั เช้อื เพลงิ 0.7 ไมล์/แกลลอน
ห น ้ า | 43 ความสามารถในการปีนลาด 60 % น้ำหนกั ฉุดลาก ( สงู สดุ ) 5,000 ปอนด์ การหมนุ ปอ้ มปนื 6,400 มลิ ( 360 องศา ) เวลาท่ีใช้ในการหมุนป้อมปืนดว้ ยกำลังครบ 360 องศา 15 วินาที รัศมีวงเลี้ยวต่ำสุด ( เกียร์ตำ่ ) 18 ฟตุ รศั มวี งเลี้ยวสูงสุด ( เกียร์สงู ) 55 ฟุต ข้ามเคร่ืองกดี ขวางทางด่งิ ได้สูง 2 ฟุต 4 นว้ิ ข้ามคกู วา้ ง 6 ฟตุ สายพาน แบบ T91E1 จำนวนข้อสายพาน ( รถรุ่นเก่า ) 74 ข้อ 75 ข้อ ( รถรุน่ ใหม่ ) 21 นว้ิ ความกวา้ งของสายพาน สลกั เดย่ี ว แปดเหลย่ี ม แบบสลกั สายพาน -------------------------------------------------------- บทที่ 2 คำแนะนำการใช้งาน ตอนที่ 1 การบริการเมอื่ แรกรับยุทธภณั ฑ์ 1. ความมุ่งหมาย 1.1 เม่ือหน่วยได้รับรถใหม่ หรือรถซ่อมคืนสภาพใหม่เป็นคร้ังแรกน้ัน ช่างซ่อมบำรุงประจำ หน่วย จะต้องพจิ ารณาวา่ รถนน้ั ได้รบั การจดั เตรยี มเพือ่ ใชง้ านอย่างถูกตอ้ งเหมาะสมจากหน่วยส่งกำลัง บำรุงให้อยู่ในสภาพพร้อมท่ีจะใชง้ านในภารกิจใด ๆ ซ่ึงรถน้ันจะได้รับมอบหรือไม่ นอกจากนี้เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ และยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ก็จะต้องได้รับการตรวจสอบให้แน่ใจวา่ มีครบทุกรายการ อยู่ในสภาพ ดี สะอาด ติดตงั้ หรือเกบ็ รกั ษาไวอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสม 1.2 นอกจากท่ีกล่าวมาแล้ว ให้ทดลองขับ ( RUN IN ) รถใหม่ หรือรถซ่ึงซ่อมคืนสภาพ อย่าง น้อยท่ีสุด 50 ไมล์ และเป็นจำนวนไมล์ท่ีพอเพียงต่อรถใช้แล้ว เพ่ือให้สามารถตรวจการทำงานของ รถนน้ั ๆ ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ตามระเบยี บปฏบิ ัติ 1.3 ทำความสะอาดชิน้ ส่วนต่าง ๆ ของอาวุธประจำรถซง่ึ มสี ารกนั สนมิ ทาเคลือบผวิ โลหะไว้ 1.3.1 ชิ้นส่วนอาวุธต่าง ๆ เหล่านี้เม่ือได้รับจากคลังจะเคลือบทาไว้ด้วยสารกันสนิม จงึ ควรจะไดท้ ำความสะอาดใหท้ ั่วถึงโดยใชเ้ ศษผ้าทำความสะอาด หรือใช้แปรงทำความสะอาดชบุ นำ้ ยา ทำความสะอาดชนิดแห้งเร็ว หรือน้ำมันแร่ผสมสี (ทินเน่อร์) ให้โชก หรือใช้สารชำระไขข้นหนึ่งส่วนต่อ น้ำยาทำความสะอาดชนิดแห้งเร็ว หรือน้ำมันแร่ผสมสี (ทินเน่อร์) สี่ส่วน หลังจากได้ชำระสารกันสนิม ดังกล่าวออกจนหมดส้ินแล้ว ก็ให้การหล่อลื่นตามที่กำหนดไว้โดยในคำส่ังการหล่อล่ืนท่ี 9-2350-201- 12 1.3.2 ชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ ของอาวุธแต่ละชนิดควรจะได้ถอดแยกทำความ สะอาดเท่าท่ียอมให้กระทำได้ และถึงแม้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่เหมือนกันจะสับเปล่ียนแทนกันได้ก็ตาม แต่ ช้นิ ส่วนต่าง ๆ ซึ่งประกอบเข้ากนั มาแตเ่ ดิมนน้ั ยอ่ มทำงานร่วมกันได้ดีทีส่ ุด 1.4 เมื่อใดก็ตามที่สามารถกระทำได้ พลประจำรถจะต้องช่วยกันให้การบริการต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี
Search