Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชา หลักการวิทยุเบื้องต้น

วิชา หลักการวิทยุเบื้องต้น

Published by qacavalry, 2021-12-09 07:19:00

Description: วิชา หลักการวิทยุเบื้องต้น
รหัสวิชา ๐๑๐๒๒๗๐๕๐๒
หลักสูตร ช่างซ่อมบำรุงวิทยุประจำหน่วย
แผนกวิชาสื่อสาร กศ.รร.ม.ศม.

Search

Read the Text Version

2. ทางเดินของสัญญาณ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีแพร่ออกมาจากเสาส่งของสถานีส่งวิทยเุ อเอ็มเม่ือมาตดั กบั เสาอากาศท่ี เครื่องรบั จะเกิดแรงเคล่ือนชกั นาคา่ นอ้ ย ๆ ข้นึ ท่จี ุดตอ่ รบั สญั ญาณของเสาอากาศ ( มีคา่ เป็ นไมโครโวลท์ ) จากน้ันสัญญาณคล่ืนวิทยคุ วามถี่สูงที่ไดจ้ ะถูกเลือกรับเขา้ มาโดยวงจรจูน 1 แลว้ ขยายให้แรงข้ึนโดย วงจรขยายความถ่ีวิทยสุ ่งออกป้อนใหว้ งจรมิกเซอร์เพ่ือหกั ล้างกบั ความถี่ท่ีรับเขา้ มาจากวงจรออสซิเล เตอร์ วงจรจูน 2 จะถูกปรบั เลือกเอาเฉพาะผลต่างระหวา่ งสญั ญาณท้งั สอง ( f OSC - f RF = f IF ) ไดเ้ ป็ น สญั ญาณ เอเอม็ ทีม่ ีความถ่ีคลื่นพาหะต่าลงเป็นความถ่ี 455 kHz ( ความถ่ีไอเอฟ ) ส่งใหว้ งจรขยายไอเอฟ ภาคที่ 1 ขยายผ่านวงจรจูน 3 ป้อนใหว้ งจรขยายไอเอฟภาคที่ 2 ทาการขยายอีกคร้ังหน่ึงก่อน แลว้ จึง ส่งผ่านวงจรจูน 4 ไปให้วงจรเอเอ็มดีเทคเตอร์ วงจรน้ีจะทาหน้าที่แยกเอาระดับยอดคล่ืนพาหะที่ เปลี่ยนแปลงไปตามสญั ญาณเสียงท่ีผสมอยกู่ ลบั คืนมาเป็ นสญั ญาณเสียงความถี่ระหว่าง 20 Hz ถึง 20 kHz ลกั ษณะการแยกจะมีอยู่ 2 แบบ คือถา้ ทรานซิสเตอร์ในวงจรขยายไอเอฟเป็ นชนิด NPN จะแยกเอา สญั ญาณเสียงออกมาจากระดบั ยอดสญั ญาณช่วงลบโดยตอ่ ไดโอดทท่ี าหนา้ ท่เี ป็ นวงจรแยกสญั ญาณเอเอ็ม ดว้ ยการเอาดา้ นแคโทดตอ่ รบั สญั ญาณไอเอฟเพอื่ ตดั เอาเฉพาะยอดลบของสัญญาณไอเอฟส่งออกมาทาง เอาตพ์ ตุ แตถ่ า้ ทรานซิสเตอร์วงจรขยายไอเอฟเป็นแบบ PNP จะแยกเอาสญั ญาณเสียงท่ีออกมาจากระดบั ยอดของสญั ญาณช่วงบวก โดยต่อไดโอดดา้ นแอโนดรับสญั ญาณไอเอฟเพอ่ื ตดั เอาเฉพาะยอดบวกของ สญั ญาณไอเอฟส่งออกทางเอาตพ์ ตุ โดยสญั ญาณเสียงที่ไดส้ ่งป้อนใหล้ าโพง เพอื่ เปล่ียนใหเ้ ป็ นคล่ืนเสียง ออกมา วงจรขยายไอเอฟภาคท่ี 1 จะถูกควบคุมอตั ราการขยายโดยวงจรควบคุมความดงั อตั โนมตั ิโดยให้ วงจรขยายไอเอฟภาคท่ี 1 เพ่ือให้ทาการขยายสัญญาณไดส้ ัญญาณเอาตพ์ ุตออกมามีขนาดคงท่ีไม่ว่า สญั ญาณที่รับเขา้ มาจะมีความแรงแปรเปลี่ยน สูงหรือต่า เพอ่ื ทาใหค้ วามดงั ของเสียงท่ีออกลาโพงดงั อยา่ ง สม่าเสมอ ถา้ สญั ญาณทรี่ ับเขา้ มาแรงจะไดแ้ รงดนั เอวซี ีสูง ซ่ึงจะไปกดการขยายไอเอฟใหต้ ่าลง ทาใหเ้ สียง ไม่ดงั ข้นึ กวา่ เดิม และถา้ สญั ญาณท่รี ับเขา้ มาอ่อนจะไดแ้ รงดนั เอวซี ีต่า วงจรขยายไอเอฟจะเพ่ิมอตั ราการ ขยายสูงข้นึ ทาใหเ้ สียงไม่เบาลงตามสญั ญาณท่รี ับ 3. วงจรคอนเวอร์เตอร์ วงจรคอนเวอร์เตอร์ประกอบดว้ ยวงจรจูน วงจรขยายความถ่ีวิทยุ ออสซิลเลเตอร์ มิกเซอร์ และจูน ไอเอฟทาหน้าที่เลือกรับสญั ญาณจากสถานีวิทยเุ อเอ็ม สถานีหน่ึงสถานีใดท่ีอยู่ในแถบความถี่ การส่ง สญั ญาณวทิ ยเุ อเอ็ม นามาเปลี่ยนความถี่พาหะใหล้ ดต่าลงเท่ากบั ความถ่ีไอเอฟ โดยวธิ ีสร้างความถี่ท่ีมีค่า สูงกวา่ สถานีทีร่ ับเขา้ มาเท่ากบั ความถี่ไอเอฟจากสูตร f OSC= f RF + f IF แลว้ นาไปบตี กบั สญั ญาณทรี่ ับเขา้ มา จากน้นั วงจรจูนจะเลือกเอาเฉพาผลตา่ งไดเ้ ป็ นระหวา่ งความถี่ออสซิเลเตอร์ (f OSC ) กบั ความถี่พาหะ ของสถานีท่ีรับเขา้ มา (f RF) คือสัญญาณเอเอ็มส่งออกไปให้วงจรขยายไอเอฟตามสูตร f IF = f OSC - f RF 108

สญั ญาณไอเอฟทไ่ี ดจ้ ะยงั คงมีรูปร่างเป็ นสัญญาณเอเอ็มเหมือนกบั ที่รับเขา้ มาทางเสาอากาศแตกต่างกนั เพยี งความถ่ีพาหะจะถูกลดต่าลงเทา่ กบั ความถ่ีไอเอฟของเคร่ืองคอื 455 kHz วงจรคอนเวอร์เตอร์แบบใช้ทรานซิสเตอร์ตวั เดยี ว รูปท่ี 2 วงจรคอนเวอร์เตอร์แบบใชท้ รานซิสเตอร์ตวั เดียว วงจรท่แี สดงอยใู่ นรูปท่ี 2 คือวงจรคอนเวอร์เตอร์ซ่ึงใชท้ รานซิสเตอร์ TR1 เพียงตวั เดียวเพ่ือทา หนา้ ที่ 3 อยา่ งคอื เลือกระดบั สญั ญาณท่ีส่งมาจากสถานีส่งซ่ึงแพร่กระจายมาในรูปของสนามแม่เหล็กเพ่ือ ทาใหก้ ารขยาย ( ขยายอาร์เอฟ ) สร้างสญั ญาณกระแสสลบั ความถ่ีสูง ( วงจรออสซิเลเตอร์ ) และผสม สญั ญาณท้งั สองเขา้ ดว้ ยกนั ขณะทม่ี ีคล่ืนแม่เหล็กจากสถานีส่งเคล่ือนท่ีมาตดั กบั เสาอากาศจะเกิดกระแส ชกั นาข้ึนท่ีคอยลอ์ ากาศ เกิดเสน้ แรงแม่เหล็กผา่ นแกนเฟอร์ไรต์ ไปตดั กบั ขดลวดชุด L2 ซ่ึงต่อขนานอยู่ กบั วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ชุดคอยลอ์ ากาศ ( ในเครื่องรบั บางแบบจะไม่มี L1 มีแต่ L2 อยา่ งเดียว คล่ืน แม่เหล็กจะเคลื่อนทเี่ ขา้ มาตดั กบั L2 โดยตรง L2 และ L3 จะเป็นขดลวด 2 ชุดพนั ซอ้ นกนั อยู่ โดยที่ปลาย ของขดลวดดา้ น L2 จะเป็นสายแยกอิสระออกมาเสน้ เดียว ซ่ึงดา้ นน้ีตอ้ งต่อกบั วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ A และปลายอีกดา้ นหน่ึงซ่ึงเป็ นคูข่ อง L2 จะนิยมใชส้ ีดา หมายถึงลงกราวด์ แต่ว่าเพอ่ื ความแน่นอนควรใช้ โอมห์มิเตอร์วดั ตรวจสอบดูก่อน เพราะท่ีดา้ นน้ีจะมีสายออกมา 3 เสน้ โดยอีก 2 เส้นน้ันจะเป็ นขดลวด L3 ซ่ึงนิยมใชส้ ีเขยี วและสีแดง แสดงบอกไว้ รูปที่ 3 ลกั ษณะของคอยลอ์ ากาศ 109

สญั ญาณจากสถานีวทิ ยทุ ีร่ บั เขา้ มาทางสายอากาศเป็นสญั ญาณคลื่นวทิ ยคุ วามถี่สูง ที่เรียกวา่ สัญญาณ อาร์เอฟ ถูกส่งป้อนใหก้ บั คอยลอ์ ากาศท่ีขด L1 ทาใหเ้ กิดเส้นแรงแม่เหล็กพองออกมาตดั กบั ขดลวดลวด ชุด L2 และ L3 ดว้ ย จงึ เกิดแรงเคลื่อนชกั นาข้ึนทข่ี ดลวดท้งั สอง L2 เป็ นส่วนหน่ึงของวงจรจูนซ่ึงต่อร่วม อยกู่ บั CV1 และ CT1 ท่ีต่อขนานกันอยู่ ค่าความถี่เรโซแนนซ์สามารถปรับให้เปล่ียนได้โดยการ ปรับเปลี่ยนค่าของ CV1 สัญญาณจากสถานีส่งท่ีมีความถี่ตรงกบั ค่าความถ่ีเรโซแนนซ์ของวงจรจูนท่ี ต้งั อยใู่ นขณะน้ันเท่าน้ัน จึงสามารถส่งผ่านไปให้ขดลวดชุด L3 โดยการส่งผา่ นทางสนามแม่เหล็ก เน่ืองจากขณะที่ขดลวดชุด L2 เกิดการเรโซแนนซ์จะมีกระแสไหลผา่ นในชุด L2 เกิดการเรโซแนนซ์จะมี กระแสไหลผา่ นในชุด L2 สูงมาก จึงเกิดเสน้ แรงของสนามแม่เหล็กที่มีความเข็มสูงเคล่ือนท่ีไปตดั ผา่ น ขดลวดชุด L3 ไดม้ าก เกิดแรงเคล่ือนชกั นาส่งป้อน ใหเ้ บสของทรานซิสเตอร์ วงจรขยายอาร์เอฟ (TR1) จงึ สามารถปรับเปลี่ยนคา่ ของวาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ CV1 เพอื่ ใหส้ ามารถเลือกรับสถานีวทิ ยเุ อเอ็มต้งั แต่ 540 kHz ไปจนถึง 1593 kHz ปกติ CV1 จะมีค่าประมาณ 20 pF 365 pF และขดลวด L2 มีค่าประมาณ 200 uH CV2 CT2 และขด L5 ของออสซิเลเตอร์คอลยต์ อ่ ขนานกนั อยเู่ ป็ นวงจรเรโซแนนซ์อีกวงจรหน่ึง ซ่ึงทาหนา้ ท่ีเป็ นชุดสรา้ งความถี่ของวงจรออสซิเลเตอร์ความถ่ีท่ีสร้างข้ึนน้ันตอ้ งสูงกวา่ ความถ่ีของคล่ืน พาหะของสญั ญาณทีร่ บั เขา้ มาในขณะน้นั มีคา่ เท่ากบั 455 kHz ดงั น้นั ถา้ รับสถานีวทิ ยทุ ี่มีความถ่ี 550 kHz เขา้ มา ชุดสรา้ งความถ่ี ตอ้ งสร้างความถี่ 540 kHz + 455 kHz = 995 kHz ส่งป้อนใหก้ บั TR1 ผา่ นทาง C4 การป้อนความถ่ีจากชุดสร้างความถ่ีใหก้ ับ TR1 น้ีอาจจะป้อนเขา้ ที่เบสหรืออิมิตเตอร์ก็ไดแ้ ต่ วงจรน้ีใชว้ ธิ ีป้อนเขา้ ที่ขาเบสผ่านทางขด L3 สญั ญาณท่ีออกจากขาคอลเล็กเตอร์จะไดเ้ ป็ นความถ่ีต่าง ๆ ดงั น้ี คือ 540 kHz , 995 kHz , 1535 kHz และ 455 kHz ความถี่ส่วนหน่ึงจะป้อนกลบั มาใหว้ งจรเร โซแนนซ์ชุดสร้างความถี่ของวงจรออสซิเลเตอร์ คือ CV2 CT2 และ L5 โดยป้อนผ่านมาทางขดลวด L4 เพอื่ ทาใหว้ งจรเรโซแนนซย์ งั สร้างความถี่ออกมาอยา่ งสม่าเสมอต่อเน่ืองกนั โดยมีความแรงคงที่ วงจร ออสซิเลเตอร์ในวงจรเป็นแบบฮาร์เลย์ ( hartley oscillator ) ค่าความถี่ของวงจรออสซิเลเตอร์สามารถปรับใหเ้ ปลี่ยนแปลงไดโ้ ดยการปรับ CV2 ซ่ึงปกติ CV2 จะยดึ อยบู่ นแกนเดียวกนั กบั CV1 ดงั น้นั เม่ือปรับคา่ ของ CV1 แลว้ จะทาใหค้ า่ ของ CV2 เปลี่ยนแปลงตาม ไปดว้ ย ไม่วา่ จะหมุน CV1 ใหไ้ ปรบั สญั ญาณจากสถานีใดกต็ าม ค่าของ CV2 จะเปล่ียนแปลงไปตามเพอื่ ทาให้ความถ่ีที่วงจรออสซิเลเตอร์สร้างข้ึนมาน้ันสูงกว่าความถ่ีของคลื่นพาหะสัญญาณท่ีรับเขา้ มาเป็ น จานวน 455 kHz อยตู่ ลอดเวลา ค่าของ CV2 น้ันจะนอ้ ยกวา่ CV1 เล็กนอ้ ย ขนาดของ CV2 จึงเล็กกวา่ CV1 ดว้ ย แต่ในทางปฏิบตั ิแลว้ อาจใชข้ นาดเทา่ กนั ได้ แตต่ อ้ งปรบั ทริมเมอร์ CT1 และ CT2 ช่วย IF T1 คือวงจรจูนท่ีปรับค่าความถ่ีเรโซแนนซ์เอาไวท้ ี่ความถี่ไอเอฟ คือ 455 kHz + 4.5 kHz ดงั น้ันความถี่ 455 kHz ท่ีแถบความถี่กวา้ ง 9 kHz เท่าน้นั ท่ีจะสามารถผา่ นวงจรจูนน้ีไปป้อนใหย้ งั ภาคขยายความถ่ีปานกลางได้ 110

4. วงจรขยายความถปี่ านกลาง เครื่องรับวทิ ยธุ รรมดาทวั่ ไปวงจรขยายความถ่ีปานกลางซ่ึงมีช่ือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ วงจรขยาย ไอเอฟน้นั จะมี 2 ภาค ความไวในการรับและความคมในการเลือกรับสัญญาณข้ึนอยกู่ บั วงจรน้ี ลกั ษณะ ของวงจรขยายทว่ั ๆ ไปนน่ั เอง คือมีหนา้ ท่ีขยายสญั ญาณท่ีรับเขา้ มาไดแ้ ก่ สญั ญาณเอเอ็มที่ไดถ้ ูกเปลี่ยน ความถ่ีของคล่ืนพาหะใหต้ ่าลงเหลือเพยี ง 455 kHz ใหม้ ีความแรงพอที่จะป้อนให้วงจรเอเอ็มดีเทคเตอร์ เพอ่ื แยกเอาสญั ญาณเสียงออกมาจากคลื่นพาหะได้ แต่เน่ืองจากวงจรน้ีเป็ นวงจรน้ีเป็ นวงจรขยายความถ่ี สูง (455 kHz) ดงั น้นั ค่าความจุภายในตว้ ทรานซิสเตอร์ของภาคน้ีจึงตอ้ งนามาพจิ ารณาดว้ ย เน่ืองจาก ในขณะท่ที รานซิสเตอร์ทาการขยายสญั ญาณเอาตพ์ ตุ สามารถส่งป้อนกลบั มาใหเ้ บสผา่ นทางค่าความจุใน ตวั ทรานซิสเตอร์แบบป้อนกลบั ทางบวกอนั จะทาใหว้ งจรขยายไอเอฟเกิดออสซิเลชนั่ (เกิดการป้อนกลบั ทางบวก) มีเสียงหวีดดงั ออกลาโพงซ่ึงจะทาให้ อตั ราการขยายของวงจรสูงมากเกินไป ทาใหเ้ สียงที่ได้ ออกมาเกิดการผดิ เพ้ยี น วธิ ีแกไ้ ขทาไดโ้ ดยการลดอตั ราการขยายของวงจรน้ีให้ต่าลง ซ่ึงจะทาได้ 2 วิธี คือ ลดแรงดนั ไบแอสของวงจรและใชค้ อนเดนเซอร์ค่าน้อย ๆ (ประมาณ 7 pF) ต่อรับสัญญาณจาก คอลเล็กเตอร์ส่งกลบั ทางลบ ซ่ึงเรียกว่า การทาใหเ้ ป็ นกลาง (neutralization) เครื่องรับปัจจุบนั จะแกไ้ ข โดยใชว้ ธิ ีท่ี 2 ตามวงจร C6 และ C10 คือวงจรทาใหเ้ ป็นกลาง ท่ีขาเบสของ TR2 จะต่อรับไฟไบแอสมาจากวงจรควบคุมความดงั อตั โนมตั ิ ผ่าน R9 และขด ทุติยภูมิของ IF T1 อตั ราการขยายของ TR2 จะถูกควบคุมโดยแรงดนั ไฟเอวีซี เพอ่ื ให้ความแรงของ สญั ญาณที่ถูก TR2 ขยายออกไปคงที่ เมื่อสัญญาณอินพุตเขา้ มามีความแรงแปรเปล่ียนเป็ นการควมคุม ไม่ใหค้ วามดงั เสียงเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงขนาดของสญั ญาณท่รี บั เขา้ มาทางเสาอากาศ สญั ญาณเอาตพ์ ตุ ท่ีออกจากขาคอลเล็กเตอร์ของ TR1 (วงจรคอนเวอร์เตอร์) จะถูกเลือกเอาเฉพาะ ตา่ ง (ความถ่ีไอเอฟ) ป้อนเขา้ มายงั เบสของ TR2 โดยวงจรจูน IF T1 ขดทางดา้ นปฐมภูมิจะมีจานวน รอบมากกว่าขดทุติยภูมิ เพื่อให้เอาตพ์ ุตอิมพีแดนซ์ทางขาคอลเล็กเตอร์ของ TR1 ซ่ึงมีค่าสูงสามารถ ถ่ายทอดกาลงั มาใหก้ บั เบสของ TR2 ซ่ึงมีอิมพแี ดซ์ต่าไดพ้ อเหมาะ IF T1 จะเป็ นวงจรจูนซ่ึงปรับค่าได้ ทางขดปฐมภูมิ ซ่ึงเรียกว่า ซิงเกิลจูน (single tune) จะปรับไวท้ ี่ความถี่ไอเอฟ 455 kHz โดยมีความ กวา้ งแถบกวา้ ง 9 kHz TR2 จะขยายสัญญาณให้แรงข้ึนและส่งออกทาง IF T2 ซ่ึงปรับค่าความถ่ีเร โซแนนซไ์ วท้ ี่ 455 kHz + 4.5 kHz เหมือนกบั IF T1 สญั ญาณท่ีออกจากขดทุติยภูมิจะป้อนให้เบสของ TR3 เพ่ือทาการขยายให้แรงข้ึนอีก จากน้ันจะป้อนใหก้ ับวงจรดีเทคเตอร์ผา่ นทาง IF T3 ซ่ึงปรับ ความถ่ีไดท้ ่ีความถ่ีไอเอฟเหมือนกบั IF T1 และ IF T2 อตั ราการขยายของวงจรขยายไอเอฟ จะมี ค่าประมาณ 500 ถึง 1000 เท่า 111

รูปที่ 4 วงจรขยายความถ่ีปานกลาง 5. วงจรเอเอ็มดมี อดูเลเตอร์ วงจรเอเอ็มดีมอดูเลเตอร์หรือเอเอ็มดีเทคเตอร์ทาหน้าท่ีแยกเอาสัญญาณเสียงซ่ึงเป็ นสัญญาณ เบสแบนดท์ ่ีผสมอยกู่ บั คลื่นพาหะที่ถูกเปล่ียนความถี่เป็ น 455 kHz และไดร้ ับการขยายจากวงจรขยาย ไอเอฟแลว้ จนมีขนาดแรงเพียงพอกบั ความตอ้ งการของวงจรดีมอดูเลเตอร์ เนื่องจากสัญญาณเอเอ็มน้ัน คลื่ น พา หะ จะ แปรเป ลี่ ยน ข นา ดตาม รู ป ร่ า งข องสัญญ า ณ เบสแบน ด์โดยส่ วน แอ ม พลิ จูดด้า น บวก จะ เปล่ียนแปลงตามสัญญาณเบสแบนด์โดยตรง (เฟส 0o) แต่แอมพลิจูดทางด้านลบจะเปล่ียนแปลงไป ในทางตรงกนั ขา้ ม (เฟส 180o) กบั สญั ญาณเบสแบนด์ ดงั น้นั ในการดีมอดูเลทสัญญาณเอเอ็มจึงทาได้ อยา่ งง่าย ๆ เพียงใชว้ งจรเร็กติไฟเออร์แบบคร่ึงคลื่นมาทาการตเั อาเฉพาะส่วนแอมพลิจูดทางดา้ นบวก หรือลบของสัญญาณ เอเอ็ม แลว้ ใชว้ งจรอาร์เอฟฟิ ลเตอร์เพ่อื ทาหน้าที่แยกเอาคล่ืนพาหะออกไปให้ เหลือแต่เพยี งสญั ญาณเบสแบนดซ์ ่ึงเป็นสญั ญาณเสียงเทา่ น้นั ส่งไปขยายยงั ภาคขยายเสียงต่อไป คาพาซิ เตอร์ที่ใชท้ าหนา้ ที่ฟิ ลเตอร์ตอ้ งมีค่าน้อยประมาณ 0.01 ถึง 0.05 uF เท่าน้ัน โดยข้ึนอยกู่ บั ค่าของตวั ตา้ นทานโหลดซ่ึงตอ้ งเลือกค่าใหแ้ มตชก์ บั อินพตุ อิมพแี ดนซข์ องภาคขยายเสียงทต่ี ่อร่วมดว้ ย ปกตจิ ะมีค่า เป็น k ถา้ ใชฟ้ ิลเตอร์คาพาซิเตอร์มากเกินไป ค่าคงท่ีเวลาจะมากทาให้สัญญาณท่ีดีมอดูเลตออกมาน้ัน รูปที่ 5 รูปร่างสญั ญาณและผลของการกรองดว้ ย C 112

ผดิ เพยี นได้ (ดูรูปท่ี 5 ) การดีมอดูเลทสญั ญาณเอเอ็มสามารถทาไดท้ ้งั ทางช่วงบวกและช่วงลบ โดยข้ึนอยกู่ บั ชนิดของ ทรานซิสเตอร์ในวงจรขยายไอเอฟ ถา้ เป็ นแบบ PNP จะใชก้ ารดีมอดูเลทสญั ญาณเอเอ็มช่วงบวก และ แบบ NPN จะดีมอดูเลทช่วงลบ ในการดีมอดูเลทสญั ญาณเอเอ็มสามารถใชท้ รานซิสเตอร์มาทาหน้าที่น้ีโดยจดั ไบแอสเป็ นคลาส B และมีขอ้ ดีคอื สามารถขยายสญั ญาณไดด้ ว้ ย แต่ราคาตน้ ทุนจะสูงกว่าการใชเ้ จอร์มาเนียมไดโอด จึง ไม่นิยมใชใ้ นปัจจุบนั วงจรแยกคล่ืน AM หรือเรียกว่า วงจรเอเอ็ม ดีมอเลเตอร์ จากรูปที่ 6 เป็ นวงจรเอเอ็มดีมอดูเล เตอร์แบบใชไ้ ดโอดท้งั แบบช่วงบวกและช่วงลบ โดยข้ึนอยกู่ บั แบบทรานซิสเตอร์ในวงจรขยายไอเอฟ รูปที่ 6 (ก) เป็ น วงจรเอเอ็มดีมอดูเลเตอร์ช่วงบวกซ่ึงใชก้ บั ทรานซิสเตอร์ในวงจรขยายไอเอฟแบบ PNP และรูปที่ 6 (ข) เป็นวงจรเอเอม็ ดีมอดูเลเตอร์ช่วงลบใชก้ บั ทรานซิสเตอร์ในวงจรขยายไอเอฟแบบ NPN การทางานของวงจรท้งั สองแบบใช้หลักการเดียวกนั คือ ยอมให้แอมพลิจูดของสัญญาณเอเอ็ม เฉพาะดา้ นทท่ี าใหไ้ ดโอดไดร้ ับศกั ด์ิไบแอสดา้ นหน้าเท่าน้ันผา่ นไปได้ ไดโอดท่ีใชใ้ นวงจรเป็ นเจอร์มา เนียมไดโอดแบบจดุ สมั ผสั เพราะมีการตอบสนองความถี่สูงไดด้ ี ถึงแมจ้ ะมีการทางานท่ีไม่ค่อยจะลิเนียร นกั แตเ่ ม่ือเทียบกบั คุณภาพเสียงของการส่งสญั ญาณแบบเอเอม็ ซ่ึงใหค้ วามถ่ีเสียงไดเ้ พยี งยา่ นระหวา่ ง 50 Hz ถึง 5 kHz ก็เป็ นที่ยอมรับได้ C12 , R10 และ C13 เป็ นวงจรอาร์เอฟฟิ ลเตอร์ ทาหนา้ ท่ีแยกความถ่ี คล่ืนพาหะลงกราวดเ์ พอ่ื ใหเ้ หลือแต่เฉพาะศญั ญาณเสียงส่งออกเอาตพ์ ตุ รูปที่ 6 วงจรเอเอ็มดีมอดูเลเตอร์แบบใชไ้ ดโอด 113

รูปท่ี 6 (ตอ่ ) วงจรเอเอม็ ดีมอดูเลเตอร์แบบใชไ้ ดโอด วงจรเอเอม็ ดมี อดูเลเตอร์แบบใช้ทรานซิสเตอร์ จากรูปท่ี 7 เป็นวงจรเอเอ็มดีมอดูเลเตอร์แบบใช้ ทรานซิสเตอร์ ไม่เป็ นทีน่ ิยมมากนกั เพราะมีตน้ ทนุ สูง หลกั การทางานของวงจรท่จี ะจดั ใหท้ รานซิสเตอร์ ทางานที่คลาส B โดยใช้ทรานซิสเตอร์แบบ PNP หรือ NPN ก็ได้ข้ึนอยกู่ บั ความตอ้ งการเฟสของ สญั ญาณเสียง สัญญาณเอเอ็มท่ีเขา้ มาช่วงที่ทาใหท้ รานซิสเตอร์ไดร้ ับไบแอสตรงจะเกิดการนากระแส และขยายสญั ญาณช่วงน้นั ถูกกลบั เฟส 180 o ส่งออกไป ส่งออกไป รูปที่ 7 วงจรเอเอ็มดีมอดูเลเตอร์แบบใชท้ รานซิสเตอร์ 6. วงจรควบคมุ ความดงั อัตโนมัติ ทาหน้าท่ีควบคุมอตั ราการขยายของวงจรขยายไอเอฟ เพือ่ รักษาขนาดของสญั ญาณท่ีป้อนให้ วงจรดีมอดูเลเตอร์มีค่าคงที่ไม่เปล่ียนแปลงตามความแรงของสัญญาณที่เขา้ มาท่ีสายอากาศซ่ึงแปร เปล่ียนไปตามสภาพอากาศและภูมิประเทศ เพือ่ รักษาความดงั ของเสียงท่ีดงั ออกลาโพงใหม้ ีความดัง สม่าเสมอไม่เกิดอาการจางหาย และยงั ป้องกนั สัญญาณท้ีปอนให้วงจรเอเอ็มมดีมอดูเลเตอร์ไม่ใหแ้ รง 114

เกินไป (overload) จนสญั ญาณเสียงทด่ี ีมอดูเลตออกมาน้นั เพ้ยี นไป รูปท่ี 8 วงจรเอวซี ี วงจรเอวซี ีในรูปที่ 8 น้นั ประกอบดว้ ย R9 และ C3 ซ่ึงทาหน้าที่รับเอาสัญญาณเสียงท่ีดีมอดูเลต ออกมาจากวงจรเอเอ็มดีมอดูเลเตอร์ แลว้ นามาแยกโดย C3 เพอ่ื สร้างเป็ นแรงดนั เอวซี ีส่งไปควบคุม อตั ราการขยายของวงจรขยายไอเอฟภาคแรก เป็ นลกั ษณะการควบคุมแบบยอ้ นกลบั คือ ถา้ สญั ญาณที่ รับเขา้ มาแรงมา แรงดนั เอวีซีจะมีศกั ด์ิบวกสูงจึงหกั ลา้ งแรงดนั ไบแอสตรงของ TR2 ใหต้ ่าลง TR2 จึง นากระแสนอ้ ยลง เป็ นการลดอตั ราการขยายสัญญาณต่าลงดว้ ยทาใหส้ ัญญาณที่ส่งป้อนให้ วงจรมดีมอ ดูเลเตอร์ไม่แรงเกินกาหนดจงึ เกิดเสียงดงั ออกมาพอเหมาะ ถา้ สัญญาณท่ีรับเขา้ มาอ่อนแรงดนั เอวซี ีจะมีศกั ด์ิบวกต่าลงทาใหแ้ รงดนั ไบแอสตรงของ TR2 เพม่ิ มากข้นึ จึงนากระแสมากและขยายสัญญาณป้อนให้วงจรดีมอดูเลเตอร์ไดแ้ รงข้ึน ทาให้เสียงดงั ออก ลาโพงแรงเทา่ ระดบั ท่ีกาหนด ไม่เบาลงตามขนาดสญั ญาณท่อี ่อนน้นั รูปที่ 9 เครื่องรบั ท่ีมีวงจรป้องกนั สญั ญาณโอเวอร์โหลด 115

7. วงจรป้องกนั สัญญาณโอเวอร์โหลด วงจรทใี่ ชท้ รานซิสเตอร์ตวั เดียวทาหน้าท่ีเป็ นภาคคอนเวอร์เตอร์น้ันไม่สามารถจะจดั ส่งแรงดนั เอวซี ีไปควบคุมอตั ราการขยายไดเ้ พราะจะทาใหค้ วามถ่ีของโลคลั ออสซิลเลเตอร์ในวงจรเปล่ียนแปลงไป ตามค่าแรงดนั เอวซี ีท่ีเปลี่ยนแปลง ดงั น้ันเอวีซีจึงส่งแรงดนั ไปควบคุมไดเ้ พียงที่ภาคไอเอฟเท่าน้ัน ซ่ึงกรณีน้ีจะควบคุมอัตราการ ขยายของวงจรไดป้ ระมาณระหวา่ ง 20 ถึง 30 dB ซ่ึงในทางปฏบิ ตั ิตอ้ งการการควบคุมที่มียา่ นกวา้ งกว่าน้ี เพอื่ ป้องกนั วงจรขยายไอเอฟไม่ให้เกิดการโอเวอร์โหลด (overload diode) เขาไปในวงจร รูปที่ 9 เพื่อ ทาหน้าท่ีป้องกันการโอเวอร์โหลดของภาคขยายไอเอฟ โดยต่อคร่อมอยกู่ ับด้านขดปฐมภูมิของวงจร ไอเอฟตวั แรก กบั ดา้ นขดปฐมภูมิของวงจรจูนไอเอฟตวั ท่ีสอง เมื่อทรานซิสเตอร์ขยายไอเอฟภาคแรก (Q2) นากระแส กระแสคอลเล็กเตอร์ของ Q2 จะไหลผ่าน R6 เกิดแรงดันตกคร่อม R6 ซ่ึงจะ เปลี่ยนแปลงไปตามความแรงของสญั ญาณทรี่ ับเขา้ มา แรงดนั น้ีจะควบคุมอตั ราการขยายดงั น้ี เม่ือสญั ญาณท่รี บั เขา้ มาอ่อน Q2 จะไดร้ ับแรงดนั ไบแอสจากเอวซี ีเพอ่ื ทาใหน้ ากระแสมากข้นึ เพื่อ ขยายสญั ญาณทร่ี บั เขา้ มาใหแ้ รงข้นึ (ทางานแบบเอวซี ียอ้ นกลบั ) ที่สถานะน้ีแรงดนั ท่ีตกคร่อม R6 จะมีค่า มากทาให้ D1 ไดร้ บั แรงดนั ไบแอสกลบั จึงไม่นากระแส เม่ือรับสญั ญาณเขา้ มาแรง Q2 จะไดร้ บั แรงดนั ไบแอสจากเอวซี ีนอ้ ยลง ทาใหน้ ากระแสน้อยเพ่อื ลดขนากของสญั ญาณลง และเมื่อ Q2 ทางานใกลถ้ ึงจุดคดั ออฟ แรงดนั ทต่ี กคร่อม R6 จะลดต่าลงจนทา ให้ D1 ไดร้ บั แรงดนั ไบแอสไปหนา้ (forward bias) ผลของแรงดนั ไบแอสของ D น้นั เมื่อไดร้ ับไบแอส กลับจะคดั ออฟ ซ่ึงเปรียบเหมือนไม่ไดต้ ่ออยู่กับวงจร แต่เม่ือไดร้ ับไบแอสตรงจะนากระแสทาให้ สัญญาณที่แรงมากน้นั ถูกลดั วงจรผา่ น D1 ขา้ ม Q2 ไปลงกราวด์ทาง C4 ทาใหว้ งจรขยายไอเอฟภาค แรกไดร้ ับการควบคุมจากแรงดนั เอวซี ีเป็ นยา่ นกวา้ งข้นึ การควบคุมอตั ราการขยายขงวงจรขยายไอเอฟโดยวงจรเอวีซีน้นั จะใชว้ ธิ ีควบคุมที่วงจรขยาย ไอเอฟภาคแรก ในทางปฏิบตั ิแล้วจะไม่ใชว้ ิธีควบคุมท่ีวงจรขยายไอเอฟภาคสุดท้าย เพราะภาคน้ี ตอ้ งการสญั ญาณอินพตุ ทมี่ ีความแรงมาก จึงตอ้ ใชแ้ รงดนั เอวซี ีคา่ สูงเพอ่ื ควบคุม ดงั น้ันจึงใชว้ ธิ ีต้งั จุดการ ทางานไวท้ คี่ ลาส A ตลอดเวลาเพอื่ หลีกเลี่ยงการโอเวอร์โหลด และความเพ้ยี น 8. การแยกแรงดนั ของแหล่งจ่ายกาลงั แบตเตอร่ีที่ใชก้ บั เครื่องรับวทิ ยซุ ่ึงเป็ นแบตเตอร่ีแบบแห้ง (dry cell) หรือที่เราเรียกกนั ว่าถ่าน ไฟฉายน้ันจะมีค่าความตา้ นทานภายในซ่ึงเพ่ิมสูงข้ึนตามอายกุ ารใช้งานของแบตเตอร่ี ทาให้แรงดัน กระแสตรงเกิดการเปล่ียนแปลงตามสญั ญาณที่ขยายและเกิดการป้อนกลบั ทางบวกไปยงั ภาคตา่ งๆไปตาม สายจ่ายกาลงั ไดย้ นิ เสียงดงั เหมือนเคร่ืองยนตเ์ รื่อ (motor boat) ข้ึน เพื่อลดผลเกี่ยวกบั ความตา้ นทาน ภายในของแบตเตอรี่จงึ ใชว้ ธิ ีใส่วงจรโลวพ์ าสฟิ ลเตอร์ที่ประกอบดว้ ยตวั ตา้ นทาและคาพาซิเตอร์ คนั่ ลง ไประหวา่ งแบตเตอรี่กบั วงจรแต่ละภาคเรียกวา่ การลดการเชื่อมต่อ (decoupling) หรือการไอโซเลต 116

(isolation) ดูวงจรในรูปท่ี 10 R1 และ C1 เป็ นวงจรการลดการเช่ือมต่อซ่ึงแยกวงจรมิกเซอร์ออกจาก ภาคจา่ ยไฟ R2 , C2 แยกวงจรขยายไอเอฟภาคแรก และ R3 , C3 แยกวงจรขยายไอเอฟภาคท่ี 3 รูปท่ี 10 การจดั วงจรลดการเช่ือมต่อแบบบายพาสสายจ่ายกาลงั ถา้ เป็นวงจรทคี่ อลเลก็ เตอร์ตอ่ ลงกราวดด์ งั แสดงในรูปท่ี 11 จะใชว้ ธิ ีต่อบายพาสคาพาซิเตอร์เขา้ ทข่ี อิมิเตอร์เพอื่ เป็นวงจรการลดการเช่ือมต่อ ซ่ึง C1 จะตอ่ เชื่อมปลาย R2 (จุด A) และ R3 (จุด B) ท่ี วงจรขยายไอเอฟภาคแรกใหต้ อ่ เชื่อมถึงกนั ทางไฟสลบั (AC) และบายพาสสญั ญาณท่ีอิมิเตอร์ลงกราวด์ ผา่ นทาง R1 , C1 จะทาให้จุด A และ B มีศกั ด์ิไฟสลับเท่ากนั ซ่ึงแรงดนั เอซีท่ีอาจเกิดตกคร่อม แบตเตอรี่ไดน้ ้นั จะไม่สามารถขบั Q1 ใหน้ ากระแสได้ เพราะสัญญาณที่สายส่งกาลงั จะป้อนใหเ้ บสกบั อิมิเตอร์เท่าน้นั หรือพดู ไดอ้ ีกอยา่ งหน่ึงวา่ สญั ญาณท่ีขาเบสและอิมิเตอร์จะหักลา้ งกนั หมดไป R4 , R5 , R6 และคาพาซิเตอร์ C2 ทว่ี งจรเบสและอิมิเตอร์ของ Q2 ก็จะทางานเช่นเดียวกนั สญั ญาณ ที่ป้อนเขา้ อินพตุ ของทรานซิสเตอร์ ภาคขยายไอเอฟทุกตวั ไดจ้ ากทางขดทุติยภูมิของไอเอฟทรานฟอร์ เมอร์ซ่ึงปลายดา้ นหน่ึงตอ่ เขา้ ทีเ่ บสและปลายอีกดา้ นหน่ึงต่อผา่ นคาพาซิเตอร์บายพาส (C1 และ C2) เขา้ ไปยงั ขาอิมิเตอร์ ถึงแมว้ ่าจะมีการเสื่อมสภาพ (degeneration) ผา่ นทางวงจร R1 ,R2 ,R3 และ R4 , R5 , R6 บา้ ง แตก่ ารลดขนาดสญั ญาณจะเกิดข้ึนนอ้ ยมากจงึ ไม่ตอ้ งคานึงถึงการออกแบบวงจร รูปท่ี 11 การจดั วงจรลดการเชื่อมต่อแบบบายพาสแบบอิมิเตอร์ 9. ภาครับวิทยเุ อเอ็ม 117

แบบใช้ทรานซิสเตอร์ NPN การทางานของวงจรเครื่องรับวิทยเุ อเอ็มท่ียกตวั อยา่ งมาอธิบายไป แลว้ น้นั จะเป็ นวงจรแบบใชท้ รานซิสเตอร์ PNP ที่แสดงไวใ้ นรูปที่ 12 (ก) แต่จะมีเคร่ืองรับวิทยเุ อเอ็ม บางแบบใชท้ รานซิสเตอร์ NPN ในภาครับโดยภาคขยายเสียงเอาตพ์ ตุ อาจใชท้ รานซิสเตอร์แบบ PNP หรือ NPN ก็ได้ ดงั วงจรที่แสดงไวใ้ นรูปที่ 12 (ข) จุดมุ่งหมายและการทางานของวงจรส่วนต่าง ๆ น้ัน ยงั คงเหมือนกับที่ไดอ้ ธิบายไวแ้ ลว้ ท้งั หมด มีความแตกต่างกนั เพียงศกั ด์ิของแหล่งจ่ายกาลังและทิศ ทางการไหลของกระแสจะตรงกนั ขา้ ม สาหรับวงจรท้งั สองแบบซ่ึงใชอ้ ิมิเตอร์ต่อลงกราวด์ ถา้ เป็ นวงจร PNP รูปที่ 12 (ก) จึงต่อศกั ด์ิบวกลงกราวด์ เม่ือตอ้ งการวดั แรงดันในวงจรตอ้ งการใชส้ ายบวกของ มิเตอร์คีบไวที ี่กราวดแ์ ละใชส้ ายลบของมิเตอร์แตะวดั ไฟที่ขาต่าง ๆ ของทรานซิสเตอร์และจุดต่าง ๆ ใน วงจรค่าที่วดั ไดจ้ ึงเป็ นศกั ด์ิลบ แต่สาหรับวงจรทรานซิสเตอร์ แบบ NPN ในรูปท่ี 12 (ข) น้ันขาของ อิมิเตอร์ท่ีต่อลงกราวด์ตอ้ งการศกั ด์ิลบ ดงั น้นั ข้วั ลบของแบตเตอรี่จึงต่อกับกราวด์ เมื่อตอ้ งการวดั ค่า แรงดันในวงจรตอ้ งคีบสายลบของมิเตอร์กบั กราวด์และใช้สายบวกแตะวดั ค่าจุดต่าง ๆ ในวงจร ซ่ึง ค่าแรงดนั ทว่ี ดั ไดจ้ ะมีศกั ด์ิบวก 118

รูปที่ 12 วงจรภาครบั วทิ ยเุ อเอ็ม ขอ้ แตกตา่ งที่สาคญั ของวงจรท้งั สองแบบอยทู กี่ ารดีมอดูเลตสญั ญาณเอเอม็ เนื่องจากการควบคุม การขยายของวงจรขยายไอเอฟภาคแรกเป็ นแบบเอวีซียอ้ นกลบั ซ่ึงใช้วิธีเพิ่มหรือลดอตั ราการขยาย ของวงจรดว้ ยการเพมิ่ หรือลดแรงดนั ไบแอสโดยตรง ศกั ด์ิของแรงดนั เอวซี ีที่ทรานซิสเตอร์ท้งั สองแบบ ตอ้ งการน้นั จะตรงกนั ขา้ มกนั ดงั น้นั การรดีมอดูเลตสญั ญาณเอเอ็มในเคร่ืองรับที่ใชท้ รานซิสเตอร์ แบบ NPN จึงใชก้ ารรดีมอดูเลตสัญญาณช่วงลบเพอื่ สร้างแรงดนั เอวีซีศกั ด์ิลบไปควบคุมอตั ราการขยายของ วงจรขยายไอเอฟ ไดโอดที่ต่อคร่อมวงจรขยายไอเอฟภาคแรกตรงขดด้านปฐมภูมิของไอเอฟทรานฟอร์เมอร์ ตวั แรก (สีเหลือง) กบั ขดปฐมภมู ิของไอเอฟเอฟทรานฟอร์เมอร์ตวั ท่ีสอง (สีขาว) น้นั คือ โอเวอร์โหลด ไดโอด (รายละเอียดของโอเวอร์โหลดไดโอด ดูหวั ขอ้ 7) แบบใช้ไอซี เครื่อรับวิทยใุ นปัจจุบนั ได้มีการลดขนาดตวั อุปกรณ์ภายในเคร่ืองใหเ้ ล็กลง เช่น อุปกรณ์ยดึ ผิวหนา้ (surface mount device ; SMD) และมีการนาวงจรท้งั หมดไปสร้างบรรจุลงบนชิป ของไอซีเพยี งตวั เดียว เพอื่ ลดขนาดของตวั เคร่ือง วงจรท่ีแสดงในรูปที่ 13 น้นั เป็ นวงจรภาครับวิทยเุ อเอ็ม ซ่ึงวงจรคอนเวอร์เตอร์และขยายไอเอฟจะบรรจอุ ยภู่ ายในตวั ไอซีของ FAIRCHILD เบอร์ UA 720 โดยมี วงจรดีมอดูเลเตอร์และเอซีวตี ่อร่วมอยภู่ ายนอก วงจรส่วนใหญ่ถึงแมว้ ่าจะบรรจุอยู่บนชิปของไอซี แต่ก็ยงั ต่อร่วมกับอุปกรณ์ภายนอกที่ไม่ สามารถสร้างบรรจุลงบนชิปได้ เช่น คอลยอ์ ากาศ วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ ไอเอฟทรานฟอร์เมอร์ ตวั ตา้ นทานวตั ตส์ ูง อินดกั เตอร์ และคาพาซิเตอร์ท่มี ีค่าความจสุ ูง เป็ นตน้ 119

รูปที่ 13 วงจรภาครบั วทิ ยเุ อเอม็ แบบไอซี รูปที่ 13 (ตอ่ ) วงจรภาครบั วทิ ยเุ อเอ็มแบบไอซี 10. เครื่องรับวิทยุเอเอ็มแบบรับได้หลายความถ่ี เครื่องรับวิทยเุ อเอ็มบางแบบไดถ้ ูกออกแบบมาเพ่อื ให้สามารถรับสัญญาณเอเอ็มไดห้ ลายแถบ ความถ่ีนอกจากคล่ืนความถี่ปากลาง (medium wave) ซ่ึงใชต้ วั ยอ่ MW ไดแ้ ก่ แถบความถ่ีคลื่นสนั่ K ซ่ึงมีแถบความถี่ระหวา่ ง 11.5 ถึง 22 MHz คล่ืนสน่ั K2 ความถ่ีระหวา่ ง 5.8 ถึง 9.8 MHz และแถบ ความถ่ีคลื่นยาว (L) ระหวา่ ง 145 ถึง 260 kHz สญั ญาณท้งั หมดน้ีส่งในแบบเอเอ็มเช่นกนั ในเคร่ืองรับ จะเพิ่มชุดคอยล์อากาศและชุดสร้างความถี่ของออสซิเลเตอร์ ของแต่ละแถบความถ่ีที่ตอ้ งการรับลงไป โดยมีสวติ ชเ์ ลือกแถบความถี่ที่ตอ้ งการรับดว้ ยการสลบั ชุดขดลวดคอยล์อากาศและชุดสร้างความถี่ของ 120

ออสซิเลเตอร์ใหต้ รงกบั ค่าของแถบความถี่ทต่ี อ้ งการรับวงจรในรูปที่ 14 เป็ นเคร่ืองรับวทิ ยแุ บบ 5 แถบ ความถ่ีหรือ 5 แบนด์ ซ่ึงเลือกรับไดท้ ้งั LW , MW , K1 , K2 และ FM 121

122

11. อาการขัดข้องและหลกั การตรวจซ่อม ลกั ษณะอาการเสียของเครื่องรับวทิ ยเุ อเอม็ น้นั อาการเสียบางอยา่ งก็จะสามารถระบุภาคที่เสียได้ แน่นอนวา่ จุดเสียอยทู่ ีภ่ าคไหนเพราะเป็ นอาการท่เี กิดข้นึ แตเ่ ฉพาะภาคน้นั แต่มีบางอาการซ่ึงสาเหตุอาจ เกิดไดจ้ ากทุกภาค จึงตอ้ งมีหลกั ในการแยกหาภาคเสียด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สร้างสัญญาณรบกวน ทดสอบและวดั แรงดนั เป็นตน้ อาการเสียของวทิ ยเุ อเอม็ พอแบ่งแยกออกเป็ นลกั ษณะตา่ ง ๆ ไดด้ งั ต่อไปน้ี 1. รบั ไม่ไดท้ กุ สถานี 2. รับไดแ้ ต่เฉพาะสถานีทแ่ี รง 3. รับไดแ้ ตเ่ ฉพาะสถานีทอี่ ่อน 4. รบั ไดเ้ ฉพาะแถบความถ่ีดา้ นต่า หรือแถบความถี่ดา้ นสูง 5. รับไดเ้ พยี งสถานีเดียวตลอดแถบความถ่ี 6. มีเสียงหวดี ดงั ตลอดเวลา หรือดงั จบิ๊ ๆ เป็ นระยะ ๆ บางคร้งั ดงั บางคร้งั ไม่ดงั 7. เสียงเบา 8. เสียงผดิ เพ้ยี น อาการรับไม่ได้ทุกสถานี อาการน้ีสาเหตุเกิดไดท้ ุกภาค เพราะไม่ไดย้ นิ เสียงจากสถานีวทิ ยดุ งั ออกมาใหไ้ ดย้ นิ ขณะหมุนหาคลื่น แต่เราสามารถแยกหาจดุ เสียไดโ้ ดยใชว้ ธิ ีสงั เกตดงั น้ี เสียงสญั ญาณรบกวนจากบลั ลาสตข์ องหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซ่ึงจะมีลกั ษณะเป็นเสียงดงั แกร๊ก ๆ ….ๆ ออกมาตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเคร่ืองอยใู่ กลห้ ลอด หรือมีเสียงก๊อก แก๊ก เกิดข้ึนในขณะเปิ ด / ปิ ด สวติ ชเ์ คร่ืองใชไ้ ฟฟ้าในบา้ น อาจเป็ นสวิตช์หลอดไฟ ถา้ มีอาการเช่นน้ีแสดงให้เห็นวา่ สญั ญาณ รบกวนท่ีเกดข้ึนภายนอกเคร่ืองสามารถเดินทางผา่ นไดต้ ้งั แตเ่ สาอากาศไปจนถึงจุดเอาตพ์ ตุ ของภาครบั คอื ภาคดีเทคเตอร์ไปจนถึงภาคขยายเสียง จนถูกขยายดงั ออกลาโพงให้เราไดย้ นิ จุดท่ีเสียตอ้ งอย่ทู ่ีวงจร ออสซิลเลเตอร์ ในภาคคอนเวอร์เตอร์ซ่ึงอยดู่ า้ นหนา้ สุด เพราะถา้ ออสซิลเลเตอร์ไม่สร้างความถี่ออกมา สรา้ งความถี่สูงหรือต่ากวา่ ท่กี าหนดมาก จะทาใหค้ ลื่นอาร์เอฟจากสถานีวทิ ยเุ อเอ็มท้งั หลายไม่ถูกเปล่ียน ความถ่ีให้ลดลงอยู่ในย่านความถ่ีไอเอฟ (450 ถึง 460 kHz) จึงไม่สามารถผา่ นวงจรจูนทางด้าน ภาคขยายไอเอฟไปได้ ทาให้ไม่ได้ยินเสียงจากสถานีวิทยุเหล่าน้ัน ปกติวงจรออสซิลเลเตอร์ของ เครื่องรบั วทิ ยเุ อเอ็มจะตอ้ งสรา้ งความถี่สูงกวา่ สถานีทีร่ ับเขา้ มาขณะน้นั เทา่ กบั ความถ่ีไอเอฟคือ f OSC= f RF + f IF 123

ดงั น้นั ความถี่สถานีวทิ ยเุ อเอม็ ทีส่ ่งออกอากาศมาน้นั จะมีอยรู่ ะหวา่ ง 540 ถึง 1593 kHz ดงั น้นั ความถี่ออสซิลเลเตอร์จะตอ้ งสร้างไดต้ ่าสุดคือ 995 kHz (540 kHz + 455 kHz) ขณะหมุนเขม็ หาคลื่นที่ หนา้ ปัทมไ์ ปทางดา้ นซา้ ยสุด และตอ้ งสร้างความถี่สูงสุดได้ 2048 kHz (1593 kHz + 455 kHz) เมื่อหมุน เข็มหาคล่ืนไปทางด้านขวามือสุด ถ้าเรามีเคร่ืองมือพร้อมก็ทดสอบ โดยการใช้เคร่ืองวดั ความถ่ี (frequency counter) วดั ความถ่ีท่ีชุดสร้างความถ่ีออสซิลเลเตอร์ (แตะท่ีขาของวาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ชุด ออสซิลเลเตอร์) แลว้ อ่านคา่ ความถี่ในขณะที่หมุนหาคล่ืนดา้ นต่าสุดและสูงสุดว่าไดต้ ามกาหนดหรือไม่ ถา้ ไม่มีหรือไม่ไดต้ ามกาหนดก็ตอ้ งตรวจอุปกรณ์ในชุดสร้างความถ่ี เช่น วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ คอยล์ คาพาซิเตอร์คปั ปลิง ทรานซิสเตอร์คอนเวอร์เตอร์โดยตรวจภาวะการลดั วงจร ขาด และความจุของวาริ เอเบิลคาพาซิเตอร์ ค่าอินดกั แตนซข์ องชุดออสซิลเลเตอร์คอยล์ อตั ราการขยายกระแสของทรานซิสเตอร์ ภาคคอนเวอร์เตอร์ เป็ นตน้ การวดั ความถ่ีน้ีถา้ ไม่มีเครื่องวดั ความถี่อาจใชอ้ อสซิลโลสโคปแทนไดโ้ ดย ใชว้ ธิ ีอ่านค่าเวลาของความยาวคล่ืน (T) แลว้ คานวณไดจ้ ากสูตร f = T1 ก็จะไดค้ ่าความถ่ีออกมา ถึงแมว้ า่ จะไม่มีเครื่องวดั เหล่าน้ีเราก็สามารถตรวจหาอุปกรณ์ที่เสียได้ เพราะเครื่องมือวดั ที่ยกตวั อย่างมาน้ีใชเ้ พียงเพื่อทดสอบเพียงเพ่ือความเขา้ ใจว่าออสซิลเลเตอร์สร้าง ความถ่ีออกมาหรือไม่ และถ้าสร้างออกมาความถ่ีน้ันได้ตามกาหนดหรือไม่เท่าน้ัน เมื่อรู้ว่า ออสซิลเลเตอร์เสียแน่นอนกถ็ อดอุปกรณ์ออสซิลเลเตอร์ออกมาตรวจสอบเช่นกนั กรณีฝึกสร้างเคร่ืองรับวทิ ยเุ อเอ็ม ถา้ ออสซิลเลเตอร์คอยล์ (กระป๋ องสีแดง) ที่ใชไ้ ม่เขา้ กบั วาริเอ เบลิ คาพาซิเตอร์ก็จะเกิดอาการเช่นน้ีไดเ้ หมือนกนั ถา้ รับไม่ไดแ้ ละไม่ไดย้ นิ เสียงสญั ญาณรบกวน (เงียบสนิท) ตรวจสอบทางดา้ นวงจรขยายเสียง ดูก่อนวา่ ปกติหรือไม่ โดยใชว้ ิธีเร่งหรือลดเสียง (volume control) ใหห้ มุนตามเขม็ นาฬิกาสุด (เร่งแรง เตม็ ท่ี) แลว้ ใชส้ ายมิเตอร์เข่ียตรงขากลางของโวลุมหลาย ๆ คร้ัง ฟังวา่ มีเสียงดงั แกร๊ก ๆ ดงั ออกลาโพง หรือไม่ ถา้ มีถา้ มีเสียงดงั ออกลาโพงแสดงวา่ ภาคขยายเสียงดี ตรวจสอบทางดา้ นภาครับวทิ ยุ แต่ถา้ ไม่ได้ ยนิ เสียงตรวจภาคขยายเสียง การตรวจสอบภาครับสามารถทาไดห้ ลายวธิ ีดว้ ยกนั ซ่ึงแยกไดด้ งั น้ี 1. ใชว้ ธิ ีวดั แรงดนั ที่ขาทรานซิสเตอร์ แตล่ ะขาตอ้ งมีปกติตามหลกั พ้ืนฐานของทรานซิสเตอร์ คือ VC ใกลเ้ คียงแหล่งจ่าย VB ต่ากวา่ VC มากแต่สูงกวา่ VE ประมาณ 0.5 ถึง 0.7 V (Si , NPN) ถา้ ไดผ้ ดิ ปกตเิ ช่น แสดงวา่ RB ท่ีต่อรบั ศกั ด์ิจากแห่งจา่ ยดา้ นเดียวกบั ขา C , มาเขา้ ยงั B ขาด ถา้ VC = VB = VE แสดงวา่ ทรานซิสเตอร์ลดั วงจรถึงกนั ท้งั 3 ขา ถา้ VC ต่า , VE สูงกวา่ VB (ทรานซิสเตอร์ NPN ) VBE วดั ไดไ้ บแอสกลบั แสดงว่าทรานซิสเตอร์ เกิดการลดั วงจรหรือรัว่ ไหลระหวา่ ง C กบั E 124

ถา้ VC สูงเทา่ VCC , VB = VE , VBE = 0 แสดงวา่ B กบั E ลดั วงจร หรือ RE ขาดเป็ นตน้ สาหรับวงจรคอนเวอร์เตอร์เมื่อวดั แรงดนั VBE แลว้ ปรับหาคลื่น ถา้ วงจรชุดออสซิลเลเตอร์ ทางาน VBEจะตอ้ งเปล่ียนแปลงขณะหมุนหาคล่ืนจากแถบความถี่ต่าไปหาแถบความถี่สูง 2. การตรวจโดยใชเ้ คร่ืองสร้างสัญญาณอาร์เอฟ ต้งั คามถี่ให้ได้ 455 kHz INT MOD ป้อน สญั ญาณผา่ นคาพาซิเตอร์คา่ 0.01 uF ยอ้ นจากดา้ นหลงั เร่งโวลุมใหส้ ูงสุด (ตามเข็มนาฬิกา สุด) เร่ิมป้อน สญั ญาณจากจดุ เอาตพ์ ตุ ของขยายไอเอฟภาคสุดทา้ ย เอาตพ์ ตุ ภาคขยายไอเอฟภาคแรก เอาตพ์ ุตภาคคอน เวอร์เตอร์ ถา้ ป้อนจดุ ไหนแลว้ ไม่ไดย้ นิ เสียงกต็ รวจวงจรส่วนหลงั จดุ ท่ีป้อนสญั ญาณน้นั แต่ก่อนใชเ้ คร่ือง กาเนิดสัญญาณ (signal generation) ปอนเขา้ เบสของภาค คอนเวอร์เตอร์ จะตอ้ งลดั วงจรวาริเอเบิล คอนเดนเซอร์ของชุดออสซิลเลเตอร์ลงกราวดเ์ สียก่อนเพอ่ื ไม่ให้ส่วนของออสซิลเลเตอร์ทางาไม่เช่นน้ัน แลว้ ความถี่ 455 kHz ทส่ี ่งออกจากเคร่ืองกาเนิดสญั ญาณจะไม่สามารถส่งผ่านไอเอฟทรานฟอร์เมอร์ได้ เพราะความถ่ีออสซิลเลเตอร์ท่ีสร้างข้ึนในวงจรคอนเวอร์เตอร์จะไปบีตกบั ความถี่ 455 kHz ของเครื่อง กาเนิดสญั ญาณ ทาใหค้ วามถี่ผดิ ไปจากเดิมจึงผา่ นไอเอฟทรานฟอร์เมอร์ไม่ได้ อาการรับได้แต่เฉพาะสถานีทแี่ รง ตอ้ งเร่งโวลุมมากจงึ จะไดย้ นิ เสียง แสดงให้เห็นว่าความไวใน การรับต่าสาเหตุอาจเน่ืองจากวงจรจูนทางด้านอินพุตของวงจรคอนเวอร์เตอร์ซ่ึงประกอบด้วยคอยล์ อากาศเกิดการลดั วงจรรอบ เนื่องจากฉนวนท่หี ุม้ ถูกขดู จนถลอกเห็นลวดทองแดงดา้ นใน ทาใหเ้ กิดการ ลดั วงจรกนั หลาย ๆ ขด แกนเฟอร์ไรตค์ อยลอ์ ากาศหัก วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ของชุดคอยล์อากาศลัด วงจร ทริมเมอร์ของวาริเอเบลิ คาพาซิเตอร์ของชุดคอยลอ์ ากาศลดั วงจร หรือปรับผดิ อตั ราการขยายของ ทรานซิสเตอร์วงจรคอนเวอร์เตอร์เนื่องจากทรานซิสเตอร์มีเกนต่า (เส่ือม) วงจรไบแอสของ ทรานซิสเตอร์ผดิ ปกติหรือบายพาสคาพาซิเตอร์ขาด เสื่อม ทรานซิสเตอร์ในวงจรขยายไอเอฟตวั หน่ึงตวั ใดมีอตั ราการขยายต่าวงจรไบแอสเสียหรือบายพาสคาพาซิเตอร์ขาด เส่ือมวงจรจูน (กระป๋ องไอเอฟ) ปรับผิดหรือเสียไดโอด วงจรดีเทคเตอร์เส่ือมหรือร่ัวไหล บายพาสคาพาซิเตอร์บายพาสคาพาซิเตอร์ ร่ัวไหล (leak) เน่ืองจากสาเหตุท่ีเป็ นไปไดม้ ีอยหู่ ลายอยา่ ง ดงั น้นั จาเป็ นตอ้ งแยกแยะออกมาให้ไดว้ ่า อุปกรณ์ ตวั ใดท่ีอยู่ในภาคไหนเสีย สิ่งแรกจะต้องแยกหาภาคเสียก่อน แล้วจึงตรวจหาอุปกรณ์ท่ีเสียในข้ัน สุดทา้ ยเคเร่ืองมือท่ีสามารถตรวจแยกหาภาคที่เสียไดอ้ ยา่ งแน่นอนไดแ้ ก่ เครื่องสร้างสัญญาณอาร์เอฟ และออสซิลโลสโคปซ่ึงตอ่ ใชร้ ่วมกนั โดยเครื่องรับสัญญาณอาร์เอฟจะเป็ นตวั ป้อนสัญญาณใหก้ บั ภาค ต่าง ๆ โดยออสซิลโลสโคปเป็ นตวั ตรวจรูปร่างและขนาดของสญั ญาณท่ีผ่านออกมาจากภาคต่าง ๆ น้นั เพ่ือตรวจดูว่าอตั ราการขยายของภาคน้ันได้ตามกาหนดหรือไม่ ถา้ ภาคไหนไม่ไดอ้ ตั ราการขยายตาม กาหนด ก็ตรวจหาอุปกรณ์ทีเ่ สียในภาคน้นั อีกข้นั ตอนหน่ึง แตถ่ า้ ไม่มีเคร่ืองมือครบก็ตอ้ งใชห้ ลกั ในการ สงั เกตและทดสอบต่าง ๆ เช่น ทดลองใชส้ ายมิเตอร์แตะท่ีขาเบสของทรานซิสเตอร์ภาคขยายไอเอฟภาค แรก ถา้ เสียงสญั ญาณรบกวนดงั ออกลาโพงแรงแสดงวา่ จดุ เสียอยทู่ างดา้ นภาคคอนเวอร์เตอร์ตอ้ งตรวจดู คอยลอ์ ากาศวา่ มีรอยถลอก เห็นสายทองแดงหรือไม่ แกนคอยลอ์ ากาศแตกหักหรือไม่ วาริเอเบิลคา 125

พาซิเตอร์ของชุดคอยลอ์ ากาศแตกหกั หรือไม่ วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ของชุดคอยล์อากาศลดั วงจรหรือไม่ ทริมเมอร์ของชุดคอยลอ์ ากาศลดั วงจรหรือไม่ ปรับผิดหรือไม่ (ทดลองปรับดูใหเ้ สียงดงั แรงข้ึน) ถา้ ไม่ ตรวจสอบค่าความตา้ นทานของตวั ตา้ นทานทุกตวั ในภาคคอนเวอร์เตอร์ ถา้ ปกติตรวจอตั ราการขยายของ ทรานซิสเตอร์คอนเวอร์เตอร์ตรวจค่าของบายพาสคาพาซิเตอร์ ถา้ ไม่มีเครื่องตรวจค่า C และอตั ราการ ขยายของทรานซิสเตอร์คอนเวอร์เตอร์และบายพาสคาพาซิเตอร์ ถา้ ใชส้ ายมิเตอร์แตะทขี่ าเบสของทรานซิสเตอร์ภาคขยายไอเอฟภาคแรกไม่ดงั ก็ตอ้ งตรวจสอบ ค่าอตั ราการขยายกระแสของทรานซิสเตอร์และค่าความจขุ องบายพาสคาพาซิเตอร์ในภาคขยายไอเอฟท้งั สองภาค ถา้ ไม่มีเคร่ืองวดั อาจใชว้ ิธีทดลองเปล่ียนทรานซิสเตอร์ตวั ใหม่เขา้ แทน ส่วนบายพาสคาพา ซิเตอร์อาจใชต้ วั ท่ีมีค่าเท่ากนั ลองต่อคร่อมที่ละภาค ถา้ คร่อมตวั ไหนแลว้ เสียงดงั แรงข้ึนก็เปล่ียนคาพา ซิเตอร์ตวั น้นั ถา้ ทดลองเปล่ียนแลว้ ยงั ไม่ดีก็ตรวจคา่ ความตา้ นทานของวงจรขยายไอเอฟท้งั สองภาคโดย เฉพาะตวั ตา้ นทานทต่ี อ่ รับศกั ด์ิดา้ นเดียวกบั ขาคอลเล็กเตอร์มาเบส (RB) กบั ตวั ท่ตี ่ออนั ดบั กบั ขาอิมอเตอร์ (RE) ถา้ ปกติกต็ รวจการรว่ั ไหลของบายพาสคาพาซิเตอร์และไดโอดทวี่ งจรดีเทคเตอร์ อาการรับได้แต่เฉพาะสถานีท่ีสัญญาณอ่อน มีเสียงหวดี ดงั แรง เม่ือรบั ตรงความถ่ีบางสถานีเงียบ หายไป แต่บางสถานีดงั ขาด ๆ หาย ๆ ถา้ สถานีน้นั อ่อนมากก็จะไดย้ นิ ปกติ สาเหตุเนื่องจากวงจรเอจีซี หรือเอวซี ีผดิ ปกติทาใหอ้ ตั ราการขยายของวงจรขยายไอเอฟภาคท่ี 1 แรงมากเกินไป เมื่อรบั สญั ญาณแรง แอมพลิจูดดา้ นบวกและลบของสญั ญาณเอเอม็ ถูกตดั ออกไปหมด จึงทาใหส้ ญั ญาณเสียงทีเ่ กาะมากบั แอม พลิจูดถูกตดั ออกไปดว้ ย ทาใหเ้ ม่ือรับตรงสถานีจึงไม่มีเสียง แตถ่ า้ สญั ญาณทีร่ บั เขา้ มาไม่แรงมากนักเมื่อ รับเขา้ มาจงั หวะท่ีสญั ญาณแรงจะถูกตดั เสียงหายไปแต่เม่ือเป็ นช่วงสัญญาณเบาจะไดย้ นิ เสียงเบาออกมา จงึ เกิดการไดย้ นิ ในลกั ษณะเสียงดงั ขาด ๆ หาย ๆ ถา้ สญั ญาณท่รี บั เขา้ มาอ่อนมากเม่ือรับตรงสถานีแอมพลิ จูดของสญั ญาณเอเอ็มจะไม่ถูกขยายแรงเกินจุดคตั ออฟและจดุ อิ่มตวั ของวงจรขยายไอเอฟ ทาใหส้ ามารถ ไดย้ นิ เสียงออกมาชดั เจน จดุ เสียทเ่ี กิดอาการน้ีคอื วงจรเอจีซี (เอวซี ี) ซ่ึงประกอบดว้ ยตวั ตา้ นทานที่ต่อรับสญั ญาณเอาตพ์ ตุ จากวงจรดีเทคเตอร์มาเขา้ เบสของวงจรขยายไอเอฟภาคที่ 1 และฟิ ลเตอร์ท่ีต่ออยทู่ ่ีปลายตวั ตา้ นทานตวั เอจซี ีทางดา้ นเบสของทรานซิสเตอร์ภาคขยายไอเอฟภาคท่ี 1 รับได้เฉพาะแถบความถ่ดี ้านสูงหรือด้านต่า ความถี่ของสถานีที่รับไม่ตรงกบั ค่าตวั เลขท่ีแสดง บนหน้าปัด แสดงให้เห็นว่าความถ่ีที่วงจรออสซิลเลเตอร์สร้างสูงหรือต่ากว่าปกติ ตอ้ งตรวจอุปกรณ์ สร้างความถ่ีของออสซิลเลเตอร์ เช่น ออสซิลเลเตอร์คอยล์ วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์และทริมเมอร์ของชุด ออสซิลเลเตอร์ และอัตราการขยายของทรานซิสเตอร์วงจรคอนเวอร์เตอร์ ในกรณีสร้างเครื่องรับ ประกอบเอง ถา้ ออสซิลเลเตอร์คอยล์ (กระป๋ องสีแดง) ท่ีใชไ้ ม่เขา้ ชุดกบั วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ของชุด ออสซิลเลเตอร์ก็จะเกิดอาการเช่นน้ีได้ อาการรับได้สถานีเดียวตลอดแถบความถี่ อาการลักษณะเช่นน้ีแสดงให้เห็นว่าวงจร ออสซิลเลเตอร์ไม่สร้างความถ่ีเม่ือหมุนหาคลื่น จงึ ไม่มีความถี่จากออสซิลเลเตอร์ไปบีตความถี่อาร์เอฟท่ี รับเขา้ มา จงึ ทาใหส้ ญั ญาณอาร์เอฟตลอดแถบความถี่เอเอ็มไม่เปลี่ยนให้เป็ นสัญญาณไอเอฟ จึงผ่าน 126

วงจรจนู ในภาคขยายไอเอฟไม่ได้ ทาใหร้ ับไม่ไดท้ กุ สถานี แตก่ ารท่ีไดย้ นิ ดงั สถานีเดียวตลอดแถบความถ่ี เนื่องจากสถานีน้ันอยใู่ กลแ้ ละมีความแรงเพียงพอท่ีจะป้อนเขา้ ให้วงจรเอเอ็มดีเทคเตอร์ไดโ้ ดยตรงจึง สามารถถูกดีเทคและขยาย ทาใหไ้ ดย้ นิ เสียงดงั ออกลาโพง วธิ ีตรวจซ่อมอาการน้ีคอื ตรวจค่าของอุปกรณ์ในวงจรออสซิลเลเตอร์ เช่น คาพาซิลเลเตอร์และ ออสซิลเลเตอร์คอยล์ ตรวจการขาด รั่ว ลัดวงจร และอัตราการขยายของทรานซิสเตอร์วงจร ออสซิลเลเตอร์ถา้ ไม่มีกต็ รวจทรานซิสเตอร์วงจรคอนเวอร์เตอร์ อาการมีเสียงหวีดดังตลอดหรือมีเสียงจ๊ิบ ๆ ดังเป็ นระยะ อาการเช่นน้ีเป็ นลกั ษณะของการออ สซิลเลตท่คี วามถ่ีสูงคอื เครื่องเกิดการขยายความถี่สูงมากเกินไป ทาใหเ้ กิดการส่งส่วนของความถี่สูงน้ัน ป้อนกลบั มาทางดา้ นอินพตุ ของวงจรขยาย เช่น วงจรขยายไอเอฟ ทาให้เกิดการสร้างความถี่สูงเกินที่จะ ทาใหเ้ กิดออสซิเลตเองได้ เมื่อรบั สถานีเขา้ มาและสญั ญาณดงั แรงถึงจุดหน่ึงท่ที าใหเ้ กิดการป้อนกลบั ทาง ความสูงได้ กจ็ ะไดย้ นิ เสียงแหลมดงั จิ๊บ ๆ เฉพาะจงั หวะท่ีสัญญาณแรง ๆ เป็ นช่วง ๆ ไป สาเหตุท่ีทาให้ เกิดปัญหาป้อนกลบั ท่ีความถ่ีสูงอาจเนื่องมาจากนิวทราไลเซอร์คาพาซิเตอร์ค่านอ้ ย ๆ ที่ต่ออยู่ทางดา้ น เอาตพ์ ตุ กบั อินพตุ ของภาคไอเอฟอาจขาด บายพาสคาพาซิเตอร์ที่ตอ่ อยกู่ บั วงจรไบแอสหรือท่ีขาอิมิเตอร์ ในภาคขยายไอเอฟหรือคอนเวอร์เตอร์ขาด ลดคา่ วงจรจูนทางภาคขยายไอเอฟเคล่ือนไปจากเดิม วธิ ีแกไ้ ขใหท้ ดลองใชค้ าพาซิเตอร์ที่มีคา่ เทา่ กนั ลองคร่อมพาสคาพาซิเตอร์ทีล่ ะตวั ถา้ คร่อมตวั ใด แลว้ เสียงกวนหายไปก็เปลี่ยนตวั น้นั ถา้ คร่อมแลว้ ไม่หายทดลองปรับไอเอฟทรานฟอร์เมอร์ให้เสียงเบา ลงเลก็ นอ้ ย ตรวจอตั ราการขยายของทรานซิสเตอร์ภาคไอเอฟและคอนเวอร์เตอร์ อตั ราการขยายอาจเพมิ่ หรือทดลองใชค้ าพาซิเตอร์ 1000 pF ตอ่ คร่อมฟิลเตอร์คาพาซิเตอร์ทางดา้ นแหล่งจ่ายกาลงั และบายพาส คาพาซิเตอร์ทางดา้ นภาคขยายเสียง อาการมีเสียงป๊ี ดดังตลอดหรือดังปึ๊ ด…ๆ เป็ นระยะ อาการน้ีสาเหตุเหมือนกบั อาการท่ีมีเสียง หวีดตลอด คือ เกิดการออสซิลเลตหรือป้อนกลบั แต่ความถี่ป้อนกลบั น้นั เป็ นความถี่ต่า ดงั น้ันโทน เสียงจึงแตกต่างกนั สาเหตุทท่ี าใหเ้ กิดอาการน้ีส่วนใหญ่จะเกิดจากฟิ ลเตอร์คาพาซิเตอร์ทางภาคจ่ายกาลงั หรือท่ีตอ่ กบั สายไฟบวกกบั ลบที่เสียงใหว้ งจรภาคต่าง ๆ เกิดการลดค่าหรือขาด ทาใหเ้ กิดการป้อนกลบั ที่ ความถี่ต่า ซ่ึงอาจจะเกิดตลอดเวลาหรือเกิดข้ึนบางขณะหรือเม่ือตอนเร่งเสียงดงั แรง อีกสาเหตุหน่ึงก็คือ ถา้ วงจรทางภาคขยายไอเอฟคลาดเคล่ือนกอ็ าจเกิดอาการเช่นน้ีได้ เสียงเบา อาการเสียงเบาน้ีสาเหตุเกิดข้ึนไดท้ ุกภาค ดงั น้นั ส่ิงแรกท่ีตอ้ งตรวจคือ ดูวา่ ภาคจ่าย กาลงั จ่ายแรงเคล่ือนไฟฟ้าออกไปใหว้ งจรต่าง ๆ ไดถ้ ูกตอ้ งตามกาหนดหรือไม่ จากน้ันแยกส่วนท่ีเสียว่า อยทู่ ี่ภาคอาร์เอฟหรือภาคขยายเสียงโดยการใชม้ ือจบั ไขควงแตะขากลางของโวลุมเร่งเสียงขณะเร่งเสียง ดงั สุดดูวา่ มีเสียงฮมั ดงั ออกลาโพงแรงปกติหรือไม่ ถา้ เบามากหรือแทบไม่ไดย้ นิ เลย ตรวจวงจรขยายเสียง แตถ่ า้ ไดย้ นิ เสียงฮมั ดงั แรงเป็นปกติตรวจภาคอาร์เอฟ (ภาคคอนเวอร์เตอร์ ขยายไอเอฟ ดีเทคเตอร์) การตรวจเสียงเบาทางดา้ นภาคอาร์เอฟส่ิงแรกคือ ทดลองปรับวงจรทางภาคขยายไอเอฟดูวา่ ทา ให้ดังแรงข้ึนได้หรือไม่ ถ้าไม่ดีข้ึนตรวจตัวทรานซิสเตอร์ ซ่ึงถ้าตรวจอาการเสียงเบาท่ีเกิดจาก ภาคขยายเสียงก็ใชว้ ธิ ีตรวจค่าความตา้ นทานในวงจรไบแอส ตรวจการร่ัว การลดั วงจรและอตั ราการ 127

ขยายของทรานซิสเตอร์ในวงจรขยายเสียง ตรวจคา่ ของคาพาซิเตอร์คปั ปลิงสัญญาณจากภาคขยายเสียงท่ี ป้อนให้ลาโพงเพ่อื ฟังเสียงตอ้ งดงั พอสมควร ใชม้ ือลองดนั ตรงกรวยกระดาษลาโพงเบา ๆ ตอ้ งขยบั ได้ คล่องโดยไม่มีการฝืดหรือดงั แกรกกรากออกมา อาการเสียงเพีย้ น คาวา่ เสียงเพ้ยี น (distortion sound) น้ันมีเหตุกวา้ งมากเน่ืองจากการท่ีคลื่น เสียงมีรูปผดิ เพ้ยี นไปจากเดิมน้นั โดยทว่ั ไปจะผดิ เพ้ยี นในลกั ษณะคป้ ปลิงคือ ยอดคลื่นทางดา้ นบวกดา้ น ลบ หรือท้งั สองดา้ นถูกตดั ออกไป อนั อาจเป็ นไปไดท้ ้งั ทางภาครับ เช่น วงจรไบแอสของทรานซิสเตอร์ ภาคขยายไอเอฟวงจรเอจีซีเปลี่ยนค่า หรือวงจรไบแอสทางภาคขยายเสียงเปลี่ยนค่าทรานซิสเตอร์ ภาคขยายเสียงมีอตั ราการขยายต่า ร่วั ไหล เป็นตน้ จงึ ตอ้ งแยกใหช้ ดั เจนวา่ เสียงเพ้ยี นน้นั เกิดจากภาครับ หรือภาคขยายเสียงโดยใชว้ ธิ ีลดที่เร่งเสียงใหไ้ ดย้ นิ เสียงแต่เพยี งเบา ๆ ถา้ อาการเสียงเพ้ยี นยงั คงมีแสดงว่า จุดเสียอยู่ท่ีภาครับ แต่ถ้าเสียงเพ้ียนที่มีอยู่หายหรือลดลงมาก เมื่อลดเสียงเบา ๆ จุดเสียต้องอยทู่ าง ภาคขยายเสียงซ่ึงรวมไปไดถ้ ึงลาโพง --------------------------------------------- 128

บทท่ี 16 แนะนาเครื่องส่งแบบ FM F – M TRANSMITTERS การมอดูเลททางความถ่ี (Frequency Modulation) 1. กล่าวท่วั ไป ก. เสียงรบกวนทเี่ กิดข้ึนท่ีเอ๊าทพ์ ตุ ของเคร่ืองรบั ไม่ใช่เสียงหรือการรบกวนท่ีมีตน้ กาเนิดที่ปาก พูดของเครื่องส่งแต่เป็ นส่ิงที่เขา้ มารบกวนคลื่นวิทยุในระหว่างที่คล่ืนวิทยใุ นระหว่างที่คลื่นวิทยุแพร่ ออกไปในอากาศ แหล่งต่าง ๆ ที่ทาใหเ้ กิดเสียงรบกวนข้ึนไดแ้ ก่ระบบกาจุดเช้ือระเบิดของเตรื่องยนต์ ฟ้าแลบ , พายแุ ม่เหล็ก , เคร่ืองให้ความร้อนทางไฟฟ้าสาหรับบาบดั โรค , สภาพของบรรยากาศ , การ รบกวนจากสถานีส่งแห่งอ่ืน ส่ิงรบกวนต่าง ๆ เหล่าน้ีจะมีลกั ษณะเช่นเดียวกบั คล่ืนวทิ ยแุ ละมีความถ่ีอยู่ ในยา่ นความถ่ีวทิ ยุ เป็นตวั ทาใหช้ ่วงสูงของคลื่นวทิ ยเุ ปลี่ยนแปลง จึงทาให้เกิดการเพ้ยี นข้ึน เรื่องน้ีเป็ น ขอ้ บกพร่องท่ีสาคุญประการหน่ึงของคลื่นวิทยุท่ีมอดูเลททางช่วงสูง เพราะการรบกวนท่ีเกิดจาก ธรรมชาติและการรบกวนทีเ่ กิดจากสิ่งต่าง ๆ ทมี่ นุษยป์ ระดิษฐข์ ้ึงซ่ึงเป็ นการรบกวนทางไฟฟ้าสแตติคท้งั 2 อยา่ งน้ีจะเขา้ รวมกบั คล่ืนวิทยทุ ่ีสายอากาศของเคร่ืองรับ ทาให้ช่วงสูงของคล่ืนวิทยเุ ปล่ียนแปลงตาม ขนาดของแรงไฟฟ้าสถิตของมัน ซ่ึงเป็ นลักษณะเช่นเดียวกับท่ีคล่ืนวทิ ยตุ อ้ งเปลี่ยนแปลงช่วงสูงตาม ความถี่เสียงท่ีใช้มอดูเลท ด้วยเหตุน้ีท้ังสัญญาณความถี่เสียงท่ีใช้มอดูเลทและแรงไฟฟ้าสถิตของ สิ่งรบกวนจงึ ปรากฏข้ึนทลี่ าโพงของเครื่องรับ เพอ่ื ลบลา้ งขอ้ บกพร่องน้ีตอ้ งใชว้ ิธีมอดูเลทคลื่นวทิ ยทุ ี่ไม่ ทาใหค้ ลื่นเปลี่ยนแปลงช่วงสูง เพอ่ื ใหต้ า่ งกบั สภาพที่คลื่นถูกมอดูเลทดว้ ยแรงไฟฟ้าสถิตของส่ิงรบกวน วธิ ีมอดูเลทแบบใหม่น้ีคือ วธิ ีมอดูเลททางความถ่ี (Frequency Modulation) ข.ความถี่ของคลื่นพาหะคือ จานวนไซเกิลใน 1 วนิ าที ในยา่ นหน่ึง ๆ อาจเปลี่ยนใหส้ ูงหรือต่า กวา่ ความถี่เดิมของมนั ก็ได้ โดยใชค้ วามถี่เสียงเขา้ มอดูเลทการเปลี่ยนแปลงความถ่ีที่เกิดข้ึนจะดีเทคได้ ดว้ ยเคร่ืองรับที่สร้างข้ึนเป็ นพเิ ศษ (เคร่ืองรับเอฟเอ็ม.) ซ่ึงเป็ นเครื่องท่ีแสดงอาการสมั พนั ธ์กบั คลื่นท่ี เปลี่ยนความถี่น้ี การเปลี่ยนความถี่ของเคร่ืองส่งจะเกิดข้ึนภายในยา่ นที่จากดั ยา่ นหน่ึง ซ่ึงแลว้ แต่เสียง หรือเสียงพูดที่ใช้มอดูเลท แต่ช่วงสูงของคล่ืนพาหะจะคงที่ เคร่ืองรับที่ใช้รัยคล่ืนเอฟเอ็ม. จะเป็ น เครื่องรับท่ีมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางความถี่ของคลื่นพาหะที่เขา้ มา แต่จะไม่มีความไวต่อการ เปลี่ยนแปลงทางช่วงสูงของคลื่นพาหะการรบกวนของไฟฟ้าสถิต ,การรบกวนจากส่ิงต่าง ๆท่ีมนุษย์ ประดิษฐ์ข้ึน และการรบกวนจากสิ่งอื่น ๆ เหล่าน้ีจะทาให้ช่วงสูงของคล่ืนพาหะเปล่ียนแปลงอย่าง มากมาย มากกวา่ จะทาใหค้ วามถี่เปลี่ยนดงั น้ันการติดต่อโดยใชค้ ล่ืนเอฟเอ็มจึงใหค้ ุณภาพในการรับสูง มากโดยเกือบจะไม่มีเสียงรบกวนเกิดข้นึ เลย ค.ขอ้ แตกตา่ งท่ีสาคญั ระหวา่ งการมอดูเลททางความถ่ีและการมอดูเลททางช่วงสูงไดแ้ สดงไวใ้ น รูปที่ 1 เป็ นคล่ืนพาหะที่ยงั ไม่ไดม้ อดูเลท รูปที่ 2 เป็ นคลื่นพาหะท่ีมอดูเลททางช่วงสูงแลว้ รูปที่ 3 เป็นคล่ืนพาหะทีถ่ ูกมอดูเลททางความถี่ในรูปท่ี 3 ในระหวา่ งทาการมอดูเลทช่วงสูงของคลื่นพาหะจะสูง 128

และต่าตามสญั ญาณความถ่ีเสียงท่ีใชม้ อดูเลท ในระหวา่ งมอดูเลทความถี่ของคล่ืนพาหะจะสูงข้ึนและ ต่าลงตามสญั ญาณความถ่ีเสียง แตช่ ่วงสูงคลื่นพาหะจะคงท่ีตลอด รูปที่ 1 เปรียบเทียบการมอดูเลททางช่วงสูงกบั การมอดูเลททางความถี่ 1. คล่ืนพาหะที่ยงั ไม่มอดูเลท 2. คล่ืนท่มี อดูเลททางช่วงสูง 3. คลื่นทม่ี อดูเลทความถ่ี 2. หลักการในการส่งคล่ืนเอฟเอม็ . ก. วงจรมอดูเลทคลื่นทางความถ่ีทีง่ ่ายท่ีสุดก็คือวงจรท่ีใชป้ ากพดู ชนิดคอนแคนเซอร์ต่อคร่อมวงจรจู นด์ของวงจรออสซิเลเตอร์ การศึกษาการทางานของวงจรง่าย ๆ ตามรูปท่ีน้ีจะช่วยให้เขา้ ใจหลกั การ เบ้อื งตน้ ของเครื่องส่งเอฟเอม็ ทกุ เคร่ือง ข. วงจรท่แี สดงไวใ้ นรูปท่ี 2 เป็นวงจรออสซิเลเตอร์แบบฮารทเ์ ล่ชนิดป้อนศกั ย์ (ใหแ้ กรเพลท) ทาบ ขนาน (Parallel – FED) ใชว้ ธิ ีมอดูเลทโดยตอ่ ปากพดู ชนิดคอนเพดนเซอร์คร่อใแคแพซิเตอร์ ของวงจร ออสซิเลเตอร์ ปากพดู แบบน้ีก็คือแผน่ เพลท 2 แผ่น ของแคแพซิเตอร์น่นั เองซ่ึงแผ่นหน่ึงทาหนา้ ที่เป็ น 129

แผ่นส่ัน เมื่อคล่ืนเสียงเขา้ มากระทบปากพูด จะทาให้แผ่นสั่นมีการอดั ตวั และขยายตวั ทาใหค้ วามจุ เปลี่ยนแปลง เพราะค่าของความจุของแคแพซิเตอร์ข้ึนอยกู่ บั ระยะห่างระหว่างแผ่นเพลทท้งั สอง ส่วน ความถ่ีของออสซิเลเตอร์ข้ึนอยกู่ บั คา่ ของอินดคั แตน้ ซห์ รือค่าของแคแพซิเตอร์ของวงจรจูนด์ ดงั น้นั เมื่อ ความจขุ องปากพดู เปลี่ยนแปลง จะทาใหค้ ่าเรสโซแนน้ ซ์ของวงจรแทง้ ซ์ของออสซิเลเตอร์เปล่ียนแปลง ดว้ ย เกิดความถ่ีที่สูงกว่าและท่ีต่ากว่าความถ่ีเดิมของออสซิเลเตอร์ข้ึนการเปล่ียนความถ่ีจะเกิดข้ึนเม่ือ แผน่ สน่ั ของปากพดู เคลื่อนไหว สาหรบั ความถ่ีเดิมของออสซิเลเตอร์เมื่อยงั ไม่มอดูเลทมีชื่อเรียกเฉพาะวา่ ความถี่เรสติ้ง (Resting Frequency) BA D A B AB รูปที่ 2 วงจรมอดูเลททางความถ่ีอยา่ งง่าย ๆ ค. เมื่อคร่ึงไซเกิลบวกของคล่ืนเสียง (คือคร่ึง A ตามรูปท่ี 2) กระทบแผ่นส่นั D ของปากพูด (ดูรูปที่ 2 ซ่ึงไดข้ ยายไวท้ างซา้ ยของรูปท่ี 2 ) จะทาให้แผน้ สั่นเคล่ือนจากตาแหน่งเดิมของมนั ไม่อยทู่ ี่ ตาแหน่ง A เม่ือตาแหน่งระยะระหว่างแผน่ D และแผ่น E นอ้ ยลงความจุระหวา่ งแผน่ เพลทก็จะ เพม่ิ ข้นึ ทาใหค้ วามถ่ีออสซิเลเตอร์ลดลงต่ากว่าความถี่เรสติ้ง ตามที่แสดงไว้ ณ ยา่ น A ในรูปท่ี 2 ณ ตอนปลายของคร่ึงไซเกิลแรกแผน่ สนั่ ก็จะกลบั มาอยตู่ าแหน่งเดิม ความถ่ีของออสซิเลเตอร์ก็จะมีความถี่ เท่าเดิม ในระหว่างคร่ึงไซเกิลลบคือคร่ึง B ของคล่ืนเสียงตามรูปที่ 2 แผน่ ส่นั จะเคลื่อนมาอยูท่ ่ี ตาแหน่ง B ทาให้ระยะระหว่างแผ่นเพลทเพ่ิมข้ึน ความจุจะลดลง ทาให้ความถี่ของออสซิเลเตอร์ เพมิ่ ข้ึนตามที่แสดงไว้ ณ ยา่ น B ในรูปที่ 2 และ ณ ตอนสุดทา้ ยของไซเกิลแรกแผน่ ส่นั D ก็จะ กลบั มาอยตู่ าแหน่งเดิมอีก ความถ่ีของออสซิเลเตอร์ก็จะมีความถ่ีเท่าเดิม ในระหว่างคร่ึงไซเกิลลบคือ คร่ึง B ของคลื่นเสียงตามรูปที่ 2 แผ่นสั่นจะเคล่ือนมาอยทู่ ่ีตาแหน่ง B ทาใหร้ ะยะระหวา่ งแผ่นเพลท 130

เพม่ิ ข้ึน ความจุจะลดลง ทาใหค้ วามถ่ีของออสซิเลเตอร์เพมิ่ ข้ึนตามทแี่ สดงไว้ ณ ยา่ น B และ ณ ตอน สุดทา้ ยของไซเกิลแรกแผน่ สน่ั D กจ็ ะกลบั มาอยตู่ าแหน่งเดิมอีก ความถี่ของออสซิเลเตอร์ก็จะมีความถี่ เท่าเดิมคือเท่ากบั ความถ่ีเรสต้ิง สาหรับไซเกิลลูกต่อ ๆ ไปสภาพต่าง ๆ ก็ปรากฏซ้ากบั ท่ีไดอ้ ธิบาย มาแลว้ ง. ความถี่ของเสียง (คือเสียงสูงเสียงต่า) ท่ีเขา้ มาท่ีปากพดู จะเป็ นตวั กาหนดจานวนคร้ังที่แผน่ สน่ั จะตอ้ งสน่ั จากจุด A มาจดุ B ใน 1 วนิ าที ดว้ ยเหตุน้ีความถ่ีของเสียงจึงเป็ นตวั กาหนดจานวนคร้ังใน 1 วนิ าที ทีค่ วามถี่ของออสซิเลเตอร์จะตอ้ งเปลี่ยนจากความถี่เรสต้ิงไปหาค่าสูงสุด (ความถ่ีสูงสุด) และ ค่าต่าสุด (ความถ่ีต่าสุด) เสียงทม่ี ีความถี่ 1000 ไซเกิลต่อวนิ าที จะทาหแ้ ผน่ สน่ั เคลื่อนจากตาแหน่งที่อยู่ กบั ทีไ่ ปหาตาแหน่ง A กลบั มาหาตาแหน่ง B แลว้ กลบั มาหาตาแหน่งท่ีอยกู่ บั ท่ีใหม่เป็ นจานวน 1000 คร้ังต่อ 1 วนิ าที ฉะน้นั การเปลี่ยนความถ่ีของออสซิเลเตอร์ก็จะเกิดข้ึน 1000 คร้ัง ใน 1 วินาที ดว้ ย ส่ิงสาคญั ทีต่ อ้ งทราบไวใ้ นข้นั น้ีกค็ อื ถา้ ความแรง (คือช่วงสูง) ของสญั ญาณความถ่ีเสียงเพม่ิ ข้ึน (ตามท่ี แสดงไวด้ ว้ ยเส้นประในรูปท่ี 2 ระยะเคล่ือนท่ีของแผน่ ส่ันก็จะมากข้ึนและความถี่จะเปล่ียนแปลงมาก ข้นึ ดว้ ย ฉะน้นั ช่วงสูงของสญั ญาณท่ีใชม้ อดูเลทจึงเป็ นตวั กาหนดขนาดความถี่ของออสซิเลเตอร์ที่ตอ้ ง เปล่ียนต่างไปจากความถี่เรสต้ิงท้งั สองดา้ น (คอื ความถี่สูงสุดและความถ่ีต่าสุด) ปริมาณของการเปล่ียน ความถี่คอื ผลต่างระหวา่ งความถี่เรสต้ิงกบั ความถ่ีในทางสูงสุด หรือกบั ความถี่ในทางต่าสุดก็ไดเ้ รียกว่า ดีวเิ อชน่ั (Deviation) จ. กิโลไซเกิล ซ่ึงหมายความว่าความแรงสูงสุดของสัญญาณความถ่ีเสียงท่ีจะใชใ้ นการมอดูเลท เครื่องส่งน้ันจะจากดั อยู่ ณ ค่าท่ีทาใหเ้ กิดดีวเิ อชน่ั สูงสุดเท่ากบั 40 กิโลไซเกิล เราเรียกยา่ นน้ีว่า ยา่ น เปลี่ยนของความถี่พาหะ (Carrier Swing) หมายความว่าความถ่ีของสถานีส่งจะเปลี่ยนแปลงไดภ้ ายใน ยา่ นที่กาหนดใหน้ ้ี นอกจากน้นั ในยา่ นส่ง (channel) ยา่ นหน่ึง ๆ ยงั กาหนดความถ่ีเพิม่ เติมให้อีกขนาด หน่ึง ซ่ึงมีขนาดท้งั สิ้นเท่ากบั 10 กิโลไซเกิล สาหรบั ป้องกนั การรบกวนจากยา่ นส่ง (channel) ขา้ งเคียง ยา่ น 10 กิโลไซเกิล น้ีเรียกวา่ ยา่ นป้องกนั (Guard band) ดงั น้ันยา่ นส่ง (channel) ยา่ นหน่ึง ๆ ท่ีแบ่ง ใหแ้ ก่สถานีส่งจึงประกอบดว้ ย ดีวิเอชน่ั 2 ดา้ น (ซ่ึงดา้ นหน่ึงมีขนาดเท่ากบั 20 กิโลไซเกิล) และแต่ ละดา้ นจะตอ้ งบวกเขา้ กบั อีกคนคง่ หน่ึงของยา่ นป้องกนั ที่ไดก้ าหนดไวร้ วมท้งั ส้ินยา่ นส่ง (channel) ยา่ น หน่ึงมีขนาดเท่ากบั 50 กิโลไซเกิลอยา่ งไรก็ดีเครื่องส่งเอฟเอ็มทุกระบบท่ีใชก้ นั อยใู่ นปัจจุบนั น้ีปริมาณ ของ ดีวิเอช่นั ท่ีเกิดข้ึนในข้นั แรกการมอดูเลทจะมีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกบั ปริมาณของดีวิเอช่ันท่ี ตอ้ งการ (หรือที่กาหนดให)้ ในการจะทาใหก้ ารส่งสญั ญาณเอฟเอม็ ไดร้ บั ผลเป็ นทพี่ อใจ และการจะเพิม่ ปริมาณของ ดีวิเอช่ันให้สูงข้ึนถึงค่าที่เหมาะสมขนาดหน่ึงจะต้องมีการทวีความถ่ี (Ferquency Multiplication) ตวั อยา่ งเช่น ถา้ ป้อนความถี่ 2 ขนาด คือ 6.00 และ 6.025 เมกะไซเกิล ซ่ึงมีความถี่ ต่างกนั เท่ากบั 25 กิโลไซเกิล เขา้ ไปในวงจรทวคี วามถี่ 3 เท่า (Tripler) ซ่ึงเป็ นวงจรชนิดท่ีปรับไว้ อยา่ งกวา้ ง ๆ (Broadly Tuned) ความถี่ท่ีเกิดข้ึนที่เอ๊าทพ์ ตุ จะเท่ากบั 18 และ 18.075 เมกะไซเกิล ตามลาดบั ความถ่ีท่ีเกิดข้ึนทเี่ อา๊ ทพ์ ตุ จะเทา่ กบั 75 กิโลไซเกิล หรือเป็น 3 เท่าของผลต่างเดิม ดงั น้นั ถา้ 131

เราป้อนความถี่ที่เกิดข้ึน เม่ือทาการมอดูเลทแลว้ เขา้ ไปในวงจรทวีความถี่ (Multiplier) ท่ีอยเู่ รียงกนั ตามลาดบั กจ็ ะไดร้ ับขนาดของดีวเิ อชน่ั ทที่ ีคา่ เหมาะสมและสูงเพยี งพอแลว้ จึงป้อนสญั ญาณเขา้ ภาคขยาย กาลงั และป้อนเขา้ สายอากาศของเครื่องส่งต่อไป วงจรทวคี วามถ่ีและวงจรขยายกาลงั เป็ นวงจรท่ีไดศ้ ึกษา มาแลว้ ฉะน้นั จะไม่อธิบายในทน่ี ้ี รูปที่ 3 กราฟแสดงหลกั การของการมอดูเลททางความถี่ ฉ.การมอดูเลททางช่วงสูงขนาด 100 เปอร์เซ็นต์ ช่วงสูงของคล่ืนพาหะจะเปล่ียนแปลงอยรู่ ะหวา่ ง ศนู ยถ์ ึงสองเทา่ ของค่าปกติ ซ่ึงกาลงั (Power) ยอ่ มเปล่ียนแปลงไดส้ มั พนั ธต์ ามกนั ไปดว้ ย ทาใหต้ อ้ งจ่าย กาลงั เพม่ิ เติมใหแ้ ก่คล่ืนพาหะในระหว่างมอดูเลทถึงขีดสุดยอด เหตุน้ีจึงไม่สามารถใชห้ ลอดให้ทางาน ณ ประสิทธิภาพสูงสุดของหลอดไดต้ ลอดเวลา แต่การมอดูเลททางความถ่ีขนาด 100 เปอร์เซ็นต์ มี ความหมายต่างกบั ที่ได้กล่าวมาแลว้ ตามรูปท่ี 2 ช่วงสูงของสัญญาณจะคงท่ีไม่เก่ียวกบั การมอดูเลท สญั ญาณท่ใี ชม้ อดูเลทจะทาใหค้ วามถี่ของออสซิเลเตอร์เท่าน้นั เปลี่ยนแปลง เหตนุ ้ีจึงอาจใชห้ ลอดทางาน ณ ประสิทธิภาพสูงสุดของหลอดไดต้ ลอดเวลา ขอ้ น้ีเป็ นคุณประโยชน์ที่สาคญั ที่สุดประการหน่ึงของ 132

การมอดูเลททางความถี่ การมอดูเลททางความถ่ีขนาด 100 เปอร์เซ็นตห์ มายความวา่ การเปลี่ยนแปลง ความถ่ีของคลื่นพาหะที่เกิดข้นึ จะมีปริมาณเทา่ กบั คา่ ดีวเิ อชนั่ สูงสุดท่กี าหนดไว้ ซ่ึงถา้ ดูตามรูปที่ 3 ก็คือ จากเสน้ RO ไปหาจุด A และจุด B เสน้ RO แสดงขนาดของความถ่ีเรสต้ิง ซ่ึงในที่น้ีเท่ากบั 20 กิโลไซเกิลถา้ ออสซิเลเตอร์มีความถ่ีเท่ากบั 20 เมกะไซเกิล ถูกมอดูเลทดว้ ยสัญญาณความถี่เสียงท่ีเบา ขนาด 500 ไซเกิล ความถ่ีของออสซิเลเตอร์ก็จะเปลี่ยนจากความถี่เรสต้งิ เป็นความถี่ขนาดหน่ึงซ่ึงในท่ีน้ี สมมุตวิ า่ เท่ากบั 19.99 เมกะไซเกิล แลว้ จะลดกลบั มาหาความถ่ีเรสติง้ ผา่ นไปหาความถ่ีขนาด 20.01 เม กะ ไซเกิล แลว้ กลบั มาหาความถ่ีเรสติ้งอีกโดยมีอตั ราเปล่ียนเท่ากบั 500 คร้ังต่อนาที ถา้ ความถี่ของ สญั ญาณทใี่ ชม้ อดูเลทเปลี่ยนเป็นขนาด 1000 ไซเกิลตอ่ นาที (ส่วนช่วงสูงของสญั ญาณคงเท่าเดิม) การ เปล่ียนระหวา่ งจุด A มาจุด B กจ็ ะเกิดข้นึ ในอตั รา 1000 คร้งั ต่อ 1 วนิ าที ถา้ เพ่ิมช่วงสูงของสญั ญาณ ความถี่เสียงท้งั สองขนาดทกี่ ล่าวมาแลว้ ใหม้ ีค่าปานกลางค่าหน่ึง ดีวเิ อชนั่ จะสูงข้นึ คือเพมิ่ ข้นึ ไปหาจุด A ซ่ึงอยทู่ างดา้ นซ้ายของเส้น RO และเพมิ่ ข้ึนหาจุด B ซ่ึงอยทู่ างดา้ นขวาของเส้น RO แต่อตั ราเปลี่ยน ของความถี่จะคงท่ีคือเท่ากบั 500 คร้ัง และ 1000 คร้ังต่อ 1 วินาที ตามลาดบั ถา้ เพ่มิ ช่วงสูงของ สญั ญาณท่ีใชม้ อดูเลทข้ึนอีกจนกระทงั่ ทาให้ปริมาณของการเปล่ียนความถ่ี (ดีวเิ อชนั่ ) ของคลื่นพาหะ เกิดข้ึนสูงสุด คือระหว่างจุด A และจุด B ซ่ึงเป็ นดีวิเอชนั่ สูงสุดที่กาหนดไว้ (คือ ณ ความเท่ากบั 20.04 และ 19.96 เมกะไซเกิล ตามลาดบั ) อตั ราเปล่ียนของความถ่ีก็ยงั คงเท่าเดิมคือเท่ากบั ความถ่ีของ เสียงสญั ญาณทีใ่ ชม้ อดูเลท ความถ่ีที่อยรู่ ะหวา่ ง 19.96 กบั 19.94 เมกะไซเกิล และความถ่ีที่อยรู่ ะหว่าง 20.04 กบั 20.066 เมกะไซเกิล เป็ นยา่ นป้องกนั (Guard Band) ท่ีกาหนดไวท้ ้งั สองดา้ น สาหรับแยก ยา่ นส่ง (Channel) ทางสื่อสารท่ีอยขู่ า้ งเคยี งกนั 3 วธิ ีมอดูเลททางความถี่ ก.เครื่องส่งเอฟเอ็มท่ีนับว่าได้ผลตามตอ้ งการ จะต้องประกอบด้วยลักษณะพึงประสงค์ท่ีสาคัญ 2 ประการ คือ ความถี่ท่ีเปล่ียนแปลงหรือดีวเิ อชนั่ จะตอ้ งเท่ากนั หรือไดส้ ่วนกนั ท้งั สองดา้ นของความถี่ เรสต้ิง ประการที่ 2 ดีวิเอชนั่ ที่เกิดข้ึนจะตอ้ งไดป้ ฏิภาคตรงกนั ช่วงสูงของสัญญาณความถ่ีเสียงที่ใช้ มอดูเลทและไม่ข้ึนอยกู่ บั ความถี่ของสญั ญาณท่ีใชม้ อดูเลท วธิ ีมอดูเลททางความถี่เพอ่ื ใหไ้ ดล้ กั ษณะที่ พงึ ประสงคต์ ามทก่ี ล่าวมาน้ีมีวธิ ีทาไดห้ ลายวธิ ี วงจรท่ีไดศ้ ึกษามาแลว้ ในขอ้ 2 เป็ นวงจรมอดูเลเตอร์ที่ ใชว้ ิธีมอดูเลททางเมแคนิค ซ่ึงเป็ นวิธีมอดูเลททางความถี่ท่ีง่ายที่สุดแต่ไม่ค่อยมีที่ใช้ วธิ ีมอดูเลททาง ความถ่ีที่สาคญั และท่ีใช้ในเคร่ืองเอฟเอ็มของกองทพั บกมี 2 วิธี คือระบบการมอดูเลทดว้ ยหลอดรี แอ๊คแตน๊ ซ์ (Reactance – Tube Modulating System) กับระบบการมอดูเลททางเฟส (Phase - Modulating System) ขอ้ แตกต่างท่ีสาคญั ระหว่างวิธีท้งั 2 ก็คือ วธิ ีมอดูเลทดว้ ยหลอดรีแอ๊ดแตน๊ ซ์ คล่ืนวทิ ยจุ ะถูกมอดูเลททีแ่ หล่งเกิดของมนั คอื ที่ ออสซิเลเตอร์ ส่วนวิธีมอดูเลททางเฟสคลื่นความถ่ีวทิ ยุ จะถูกมอดูเลทท่ีภาค ๆ หน่ึง ซ่ึงอยจู่ ากภาคออสซิลเลเตอร์ ผลที่ไดร้ ับจาก 2 วิธีน้ี ก็คงเหมือนกนั คือ เกิดคล่ืนเอฟเอ็มข้ึน วธิ ีมอดูเลทท้งั 2 วธิ ีจะกล่าวตอ่ ไป 133

Audio FM. Wave FM. Wave Frequenc Of low radio Ant. y Ground Frequency AF. Reactance OSC. Frequenc Power Mic. Amp. y Amp. tube Modulator Doubler Frequency Frequenc Crystal Stabilizing y OSC. voltage Discriminato r Converter รูปท่ี 4 ภาคตา่ ง ๆ ของเครื่องส่งเอฟเอ็มทใ่ี ชห้ ลอดรีแอ๊คแตน๊ ซ์ ข. ภาคต่าง ๆ ของระบบการมอดูเลททางความถ่ีโดยใชห้ ลอดรีแอ๊คแตน๊ ซ์ไดแ้ สดงไวใ้ นรูปท่ี 4 ออสซิเลเตอร์เป็ นวงจรชนิดกระตุน้ ตวั เอง (Self Excited) และปกติใชว้ งจรแบบฮาท์เล่ย์ หลอด รีแอ๊คแต๊นซ์ (Reactance Tube) คือหลอดท่ีต่อขนานกบั วงจรแท๊งคข์ องภาคออสซิเลเตอร์ โดยวิธี ประกอบวงจรใหเ้ หมาะสมจะสามารถทาให้หลอดรีแอ๊คแตน๊ ซ์ หรือแสดงตวั เป็ นอินดคั ตีฟรีแอ๊คแตน๊ ซ์ ก็ได้ และ รีแอ๊คแตน็ ซ์น้ีจะเปล่ียนแปลงไดส้ ่วนสมั พนั ธก์ บั ความถี่เสียงทีใ่ ชม้ อดูเลท เมื่อรีแอ็คแตน็ ซ์ที่ ต่อคร่อมวงจรแทง๊ คข์ องออสซิเลเตอร์ เปล่ียนแปลงความถ่ีของออสซิเลเตอร์ก็เปลี่ยนไปดว้ ย เกิดคลื่น เอฟเอ็มข้ึนที่เอ๊าทพ์ ตุ ของภาคออสซิเลเตอร์ คล่ืนพาหะท่ีถูกมอดูเลททางความถ่ีน้ีผ่านเขา้ ไปยงั ภาคทวี ความถ่ี 2 เท่า (Frequency Doubler) เพอื่ เพม่ิ ความถ่ีของคลื่นพาหะและเพม่ิ ขนาดของดีวเิ อชนั่ ให้สูงข้ึน แลว้ จึงส่งเขา้ ภาคขยายกาลงั ซ่ึงเป็ นภาคทีป่ ้อนสญั ญาณใหแ้ ก่สายอากาศ การรกั ษาเครื่องส่งใหท้ างาน ณ ความถ่ี ท่กี าหนดจะทาไดโ้ ดยวธิ ีเปรียบเทียบเอ๊าทพ์ ตุ ของเครื่องส่งกบั ออสซิเลเตอร์ท่ีใชผ้ ลึกซ่ึงถือ เป็ นมาตรฐานแลว้ ป้อนแรงไฟที่มีค่าเหมาะสมค่าหน่ึง (ซ่ึงแรงไฟน้ีเรียกวา่ Correcting Voltage) จาก ภาคดิสคริมิเนเตอร์กลบั เขา้ มาเพอื่ แกไ้ ขความถ่ีของออสซิเลเตอร์ของเครื่องส่งทีเ่ ปลี่ยน Frequenc FM. Wave FM. Wave y Of low Of high radio radio carrier Crystal Frequency Frequency Crystal al control RF combining Rectifier Doubler second Power control carrier bining Rectifier Doubler wer Amp. ol rier ng tifier Amp. p. First Frequenc Aeru Mic. aAm-p. ynet dio 134 ic. amFp. work oscillator . p. Converter Fre oscillator rk ator que

รูปท่ี 5 ภาคต่าง ๆ ของเคร่ืองส่งเอฟเอ็มทใี่ ชร้ ะบบการมอดูเลททางเฟส 135

ค. ภาคตา่ ง ๆ ของระบบการมอดูเลททางเฟส ไดแ้ สดงไวใ้ นรูปท่ี 5 ออสซิเลเตอร์ของเครื่องส่งแบบ น้ีจะมีความถ่ีคงที่เพราะใชผ้ ลึก คลื่นพาหะท่มี ีความถ่ีคงทน่ี ้ีจะผา่ นเขา้ ไปในภาคขยายความถี่วทิ ยซุ ่ึงเป็ น ภาคที่เพม่ิ ช่วงสูงของคลื่นใหส้ ูงข้ึน ความถ่ีเสียงที่ใชม้ อดูเลทจะถูกป้อนเขา้ ไปรวมกบั คล่ืนพาหะทีภ่ าค ๆ หน่ึงซ่ึงเรียกว่าภาค Combining Network เอ๊าทพ์ ตุ ของภาค Combining Network ซ่ึงประกอบดว้ ย ความถี่เรสต้ิงของคลื่นพาหะกบั ดีวิเอช่ันของคลื่นพาหะ จะถูกป้อนภาคขยายความถ่ีวิทยทุ ี่มีการทวี ความถ่ีและอยเู่ รียงตอ่ กนั ไปตามลาดบั เป็ นภาคทท่ี างานใน Class C. และวงจรเพลทของทุกภาคถูกปรับ ไว้ ณ ความถี่ที่เป็น 2 เท่า ของความถี่ของวงจรกริดทาใหค้ วามถี่ถูกทวขี ้ึนเป็ น 2 เทา่ ทกุ คร้งั เอ๊าทพ์ ุต ที่ไดร้ ับจากภาคเหล่าน้ีจะเป็ นคลื่นพาหะที่มีความถ่ีสูงและมีดีวเิ อชน่ั สูงแลว้ จึงป้อนเขา้ สายอากาศของ เคร่ืองส่งต่อไปก่อนท่ีจะป้อนความถ่ีเสียงเขา้ ภาคมอดูเลเตอร์ จะตอ้ งป้อนผ่านวงจรอนั หน่ึง คือวงจร PRE – Distorter ซ่ึงเป็ นวงจรท่ีทาให้ช่วงสูงของคล่ืนเสียงเปลี่ยนแปลงได้ปฏิภาคกลบั ความถี่เสียง การทางานโดยละเอียดของการทุกภาคในระบบการมอดูเลททางเฟสจะไดอ้ ธิบายต่อไป ………………………………. 136

บทท่ี 17 วเิ คราะห์การทางานเคร่ืองส่งแบบ FM การทางานของเคร่ืองส่ง FM สัญญาณเสียงเพ่ือถูกขยายสัญญาณเสียงดว้ ยหลอด V3 และ V4 แลว้ ไดถ้ ูกส่งไป MOD กบั ความถี่ OSC แบบ PHASE MOD ที่ V2 V5 จะช่วยขยายสญั ญาณใหแ้ รงข้ึนระดบั หน่ึงเพ่อื ส่งสญั ญาณ ต่อใหก้ บั V6 และ V7 เพ่อื ทาการขยายและทวีคูณความถี่ V6 จะยกระดบั สญั ญาณให้แรงข้ึนเพ่อื ใหม้ ี กาลังเพียงพอท่ีจะป้อนให้กับ V9 เพ่ือทาการขยายสัญญาณคร้ังสุดท้ายแล้วส่งผ่านวงจรจูนเพ่ือ แพร่กระจายคลื่นต่อไป หนา้ ทขี่ องส่วนประกอบของวงจร X – TAL เป็ น ผลึกควอทใชข้ จดั ความถี่ V1 เป็น หลอดไดโอด R1 เป็น GRID RETURN, R – BIAS R2 เป็น R – DIVIDER C2 เป็น E- COUPLING R4 เป็น R – BIAS R7 เป็น R – BIAS R6 เป็น E – BALANCE R9 เป็น R – DIVIDER L1 เป็น CHOCK L2 , E11 เป็น TUNE CIRCUIT L7 , E21, E22 เป็น TANK CIRCUIT R16 เป็น VOLUME CONTROL R21 , L8 เป็น BIAS FILTER ………………………………….. 136

วงจรเคร่ืองส่งแบบ FM 137

บทที่ 18 การค้นหาข้อขดั ข้องเครื่องส่งแบบ FM ลาดบั อาการท่ปี รากฏ สาเหตุขดั ขอ้ ง 1. ไม่มีเสียงออกอากาศ - ภาค Audio Amp. ชารุด 2. ไม่มีความถอ่ี อกอากาศ 1. ภาค OSC. ไม่ทางาน 2. ภาค Fre. Multipliers ไม่ทางาน 3. เคร่ืองส่งออกอากาศความถ่ีแกวง่ ไปมา ภาค OSC. ไม่ทางาน 4. กาลงั ส่งออกอากาศต่า 1. หลอด V 9 เสื่อม 2. วงจร Tank Tune ปรับคา่ ผดิ 5. เคร่ืองส่งกินกระแสสูง เครื่องมีอาการรอ้ นจดั - วงจร Tank Tune ปรับค่าผดิ 138

บทที่ 19 เคร่ืองรับวทิ ยแุ บบ FM 1. หน้าท่บี ล็อกไดอะแกรมและทางเดนิ สัญญาณ รูปท่ี 1 บล็อกไดอะแกรมของเครื่องรับวทิ ยเุ อฟเอม็ บล็อกไดอะแกรมในรูปท่ี 1 เป็ นของเคร่ืองรับวิทยเุ อฟเอ็มแบบซูปเปอร์เฮทเทอโรดายน์ ซ่ึง พจิ ารณาดูตามบล็อกแลว้ จะเห็นวา่ คลา้ ยกนั กบั บลอ็ กไดอะแกรมของเคร่ืองรับวทิ ยเุ อเอม็ ส่วนทีแ่ ตกต่าง กนั ที่สาคญั ก็คือลกั ษณะการแยกสัญญาณ ซ่ึงตอ้ งใช้วงจรแยกสัญญาณแบบเอฟเอ็ม โดยก่อนป้อน สญั ญาณเขา้ วงจรจะตอ้ งมีวงจรลิมิตเตอร์ ซ่ึงเป็ นวงจรขยายไอเอฟภาคท่ี 3 ท่ีไดร้ ับการป้อนสัญญาณ แรงกว่าปกติโดยส่วนยอดบนและล่างของสัญญาณท่ีมีสญั ญาณรบกวนปนติดมาจะถูกตดั ออกไป โดย ระดบั จุดอิ่มตวั และระดับคตั ออฟของวงจรลิมิตเตอร์ (ขยายไอเอฟท่ี 3 ) จากน้ันจึงส่งเขา้ วงจรแยก สญั ญาณเอฟเอ็ม (FM Det) เพอื่ แยกสญั ญาณเสียงที่เอาตพ์ ตุ ของวงจร FM DET จะมีวงจร De – Emphasis ต่ออยเู่ พอื่ ลดระดบั สญั ญาณเสียงทถี่ ูกยกระดบั ใหแ้ รงกวา่ ปกติ โดยวงจร Pre – Emphasis ที่เครื่องส่งให้มี ระดบั ต่าลงเทา่ เดิมก่อนส่งเขา้ วงจรขยายเสียง FM ANT. เสาอากาศวทิ ยเุ อฟเอ็ม ถา้ เป็ นวทิ ยแุ บบกระเป๋ าห้ิวจะเป็ นแบบดึง ทาหน้าที่เลือก รับสญั ญาณวทิ ยแุ ถบความถี่เอฟเอ็มระหวา่ ง 88 MHz ถึง 108 MHz โดยจะเปล่ียนคล่ืนแม่เหล็กที่ส่งมา จากสถานีวทิ ยเุ อฟเอ็มใหก้ ลบั เป็นสญั ญาณเอฟเอ็มส่งใหว้ งจรจนู 1 139

จูน 1 เป็ นคอยล์อากาศที่ทาหน้าท่ีเลือกสญั ญาณอาร์เอฟ แถบความถ่ีระหว่าง 88 MHz ถึง 108 MHz ท่ีไดจ้ ากเสาอากาศส่งป้อนให้ RF AMP. RF AMP. ขยายสญั ญาณอาร์เอฟใหม้ ีขนาดแรงตามทต่ี อ้ งการ จูน 2 เลือกเอาความถ่ีเฉพาะความถี่ท่ีตอ้ งการรับ ซ่ึงถูกขยายโดย RF AMP. แลว้ ส่งเขา้ มิกเซอร์รับสญั ญาณอาร์เอฟ และความถี่ทสี่ ร้างจาก OSC. มาผสมกนั และขยายส่งใหจ้ ูน 3 จูน 3 เลือกเอาความถ่ีท่ีเกิดเฉพาะผลต่างระหว่างสัญญาณอาร์เอฟกบั ความถี่ OSC. ไดแ้ ก่ ความถ่ีไอเอฟ 10.7 MHz ส่งป้อนใหว้ งจร IF AMP. IF AMP. 1 วงจรขยายไอเอฟภาคที่ 1 ทาหน้าท่ีขยายสัญญาณไอเอฟความถ่ี 10.7 MHz +75 kHz ใหแ้ รงข้ึนแลว้ ส่งผา่ นวงจรจูน 4 ไปเขา้ IF AMP.2 จูน 4 เลือกเอาเฉพาะความถี่ไอเอฟ 10.7 MHz + 75 kHz ท่ีถูกขยายโดย IF AMP.1 ส่งให้ IF AMP.2 IF AMP.2 วงจรขยายไอเอฟภาคท่ี 2 ทาหนา้ ทขี่ ยายสญั ญาณไอเอฟความถ่ี 10.7 MHz +75 kHz ใหแ้ รงข้ึนแลว้ ส่งผา่ นวงจรจนู 5 ไปเขา้ IF AMP.3 จูน 5 เลือกเอาเฉพาะความถ่ีไอเอฟ 10.7 MHz + 75 kHz ท่ีถูกขยายโดย IF AMP.2 ส่งให้ IF AMP.3 IF AMP.3 วงจรขยายไอเอฟภาคที่ 3 ทาหนา้ ที่ขยายสญั ญาณไอเอฟความถ่ี 10.7 MHz +75 kHz ให้แรงข้ึนและตดั เอาสัญญาณรบกวนท่ีเกาะมากบั ยอดบวก และลบของสัญญาณไอเอฟ ก่อน ส่งผา่ นจูน 6 ไปเขา้ FM DET. FM DET. แยกสญั ญาณเสียงออกจากสญั ญาณเอฟเอ็ม DE- EMPHASIS ลดระดบั ความสูงของสญั ญาณเสียง ซ่ึงถูกยกระดบั แรงกวา่ ปกติ ก่อนส่ง ออกอากาศใหต้ ่าลงสู่ระดบั เดิม ซ่ึงขณะเดียวกนั จะเป็นการกดระดบั สญั ญาณรบกวนใหต้ ่าลงดว้ ย DRIVER วงจรขบั สัญญาณเสียง ทาหนา้ ที่ขยายสัญญาณเสียงท่ีแยกออกมา โดยวงจร FM DET. ใหม้ ีขนาดแรงข้ึนก่อนส่งเขา้ ท่เี ร่งลดเสียง AUDIO OUTPUT วงจรขยายสญั ญาณเสียงออก ทาหน้าที่ขยายสัญญาณเสียงใหม้ ีขนาดแรง พอท่จี ะส่งเขา้ ลาโพง แลว้ ทาใหเ้ กิดอานาจแม่เหล็กผลกั กรวยกระดาษของลาโพงให้สน่ั เพอ่ื สร้างคล่ืน เสียงออกมาแรงพอที่จะทาใหห้ ูมนุษยไ์ ดย้ นิ AFC สร้างแรงดนั ควบคุมความถ่ีของออสซิลเลเตอร์จากระดบั ความแรงของสญั ญาณเสียง เพอ่ื แกไ้ ขความถี่ใหถ้ ูกตอ้ ง เพอ่ื จะไดส้ ญั ญาณเสียงทมี่ ีระดบั ความแรงคงที่ วงจรน้ีอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ (ถา้ ไม่มี จะมีวงจร AGC แทน) AGC สรา้ งแรงดนั ควบคุมการขยายของวงจร RF AMP. จากขนาดของสัญญาณไอเอฟที่ได้ จากวงจร IF AMP . 3 เพ่อื ทาใหม้ ีการขยายสญั ญาณไดค้ งท่ี เพ่ือจะไดเ้ สียงท่ีมีความดงั สม่าเสมอออก ลาโพง 140

OSC. สรา้ งความถี่ทีส่ ูงกวา่ สญั ญาณอาร์เอฟท่ีรับเขา้ มา 10.7 MHz เพอ่ื เปลี่ยนสญั ญาณอาร์ เอฟใหเ้ ป็นสญั ญาณไอเอฟ วาริแคปไดโอด เปล่ียนคา่ ความจตุ ามแรงดนั AFC เพอื่ ทาใหว้ งจร OSC. สร้างความถี่ออกมา ถูกตอ้ ง 2. ข้อแตกต่างระหว่างเคร่ืองรับวิทยเุ อเอ็มกับเอฟเอม็ ย่านความถที่ ่ีใช้ส่งออกอากาศแตกต่างกนั เคร่ืองรบั วทิ ยเุ อเอ็มจะตอ้ งสามารถรับสัญญาณที่ส่ง กระจายเสียงในยา่ นเอเอม็ คอื ยา่ นความถี่ระหวา่ ง 540 ถึง 1600 kHz แต่เครื่องรับวิทยเุ อเอ็มจะตอ้ งรับ สญั ญาณท่ีส่งกระจายเสียงในยา่ น VHF แบนดท์ ี่ 2 คอื มีแถบความถี่อยรู่ ะหวา่ ง 88 ถึง 108 MHz ซ่ึง อยรู่ ะหวา่ งแถบความถ่ีของสถานีส่งโทรทศั น์ช่องแบนดต์ ่า (แบนด์ 1) (ช่อง 3 4) และแบนดส์ ูง (ช่อง 5 7 9) ดงั น้นั ความยาวเสาอากาศของเครื่องรบั วทิ ยเุ อเอ็มจึงตอ้ งยาวกว่าของเครื่องรับวทิ ยเุ อฟเอ็มมาก แต่เคร่ืองรบั วทิ ยเุ อเอ็มในปัจจบุ นั จะแกป้ ัญหาน้ีโดยการใชส้ ายอากาศภายในตวั แบบลูป (Loop Antenna) ซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นขดลวดเสน้ เล็ก ๆ พนั อยู่รอบแกนเฟอร์ไรต์ ซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นแท่งยาวสีดายึดอยู่ใน เครื่องจึงไม่ตอ้ งใชก้ ารต่อรับเสาอากาศภายนอกแบเครื่องรับสมยั เก่า ส่วนเสาอากาศของเครื่องรับวิทยุ เอฟเอ็มน้ันจะเป็ นเสาอากาศแบบภายนอก ซ่ึงบางแบบอาจยดึ ติดอยภู่ ายนอกตูเ้ ป็ นเสาอากาศแบบชัก หรือใชเ้ สาอากาศแบบยากิแบบเดียวกบั ของเคร่ืองรบั โทรทศั นต์ ิดต้งั อยยู่ นหลงั คาบา้ นก็ได้ ค่าอุปกรณ์ในวงจรเลือกรับความถี่ (วงจรจูน) ต้งั แต่จากเสาอากาศมาจนถึงวงจรดีเทคเตอร์จะ แตกต่างกนั โดยวิทยเุ อฟเอ็มจะใชค้ อนเดนเซอร์และขดลวดค่าน้อยกว่าของเอเอ็มมาก สงั เกตได้คือ คอนเดนเซอร์จะตวั เล็กและขดลวดจะจานวนรอบนอ้ ยมาก ลักษณะการแยกสัญญาณแตกต่างกัน เน่ืองจากการผสมสัญญาณของเครื่องส่งเอเอ็มน้ัน สัญญาณเสียงจะเป็ นไปทาให้แอมพลิจูดของคลื่นพาหะเปล่ียนแปลงไปตามลักษณะรูปร่างของ สญั ญาณเสียงคือคลื่นเสียงจะเกาะไปกบั ยอดบนและยอดล่างของคลื่นพาหะ เมื่อทาการแยก (ดีเทค) สญั ญาณกท็ าไดโ้ ดยการตดั สญั ญาณส่วนช่วงบวก หรือสญั ญาณส่วนช่วงลบไอเอฟแยกออกมา จากน้ันก็ กรองเอาแต่เฉพาะระดบั ยอดของสญั ญาณน้ัน ซ่ึงเป็ นสัญญาณเสียงความถี่ต่าระหวา่ ง 20 Hz ถึง 20 kHz ส่งออกไปทางเอาตพ์ ตุ ส่วนการผสมสัญญาณแบบเอฟเอ็มของเครื่องส่งวิทยุเอฟเอ็มน้ัน สัญญาณเสียงจะไป แปรเปล่ียนความถี่ของคล่ืนพาหะใหม้ ีความถี่สูงข้ึนหรือต่าลงกว่าเดิม ดงั น้ันในการแยกสญั ญาณของ เครื่องรับวิทยเุ อฟเอ็มน้ันจะทาใหเ้ กิดการแปรเปลี่ยนแรงดนั เกิดเป็ นสัญญาณกระแสสลบั ซ่ึงมีความถ่ี เทา่ กบั สญั ญาณเสียงส่งออกมาทางเอาตพ์ ตุ 3. การทางานของวงจรเครื่องรับวทิ ยุเอฟเอม็ วงจรคอนเวอร์เตอร์ วงจรน้ีมีหนา้ ที่เหมือนกบั ของเครื่องรับวทิ ยเุ อเอ็มเน่ืองจากเป็ นการรับ แบบซุปเปอร์เฮทเทอโรดายน์เช่นเดียวกนั โดยจะประกอบดว้ ย 3 ภาคคือ ภาคขยายความถ่ีวทิ ยุ ภาค ออสซิลเลเตอร์และภาคมิกเซอร์ โดยมีจุดมุ่งหมายเลือกรบั เอาสญั ญาณวทิ ยเุ อฟเอม็ ความถี่สูงระหว่าง 88 ถึง 108 MHz สถานีหน่ึงเขา้ มาทาการขยายและเปล่ียนความถี่ที่กาลงั รับเขา้ มาน้นั ใหเ้ ป็ นความถี่ปานกลาง 141

(ความถี่ไอเอฟ) 10.7 MHz เพอ่ื ส่งไปใหว้ งจรขยายความถี่ปานกลาง (วงจรขยายไอเอฟ) ขยายใหม้ ีความ แรงเพยี งพอก่อนท่จี ะทาการแยกสญั ญาณเสียงออกมา เนื่องจากสญั ญาณวทิ ยเุ อฟเอ็มมีความถ่ีสูงกว่าของ วทิ ยเุ อเอม็ ดงั น้นั อุปกรณ์ทใ่ี ชป้ ระกอบในวงจร เช่น ขดลวดและคาพาซิเตอร์ จะมีค่านอ้ ยกวา่ มากโดย คาพาซิเตอร์จะมีค่าเป็ น pF และขดลวดจะมีจานวนเพยี งไม่กี่รอบ รูปท่ี 2 วงจรคอนเวอร์เตอร์ของวงจรวทิ ยเุ อฟเอ็ม วงจรขยายความถ่ีวิทยุ ทาหนา้ ท่ขี ยายสญั ญาณจากสถานีวทิ ยเุ อฟเอ็มทุกสถานีท่ีรับเขา้ มาทาง สายอากาศแบบดึงที่ผ่านคอยล์อากาศ (วงจรจูนที่ 1) ซ่ึงเป็ นวงจรจูนชนิดเลือกแถบความถ่ีกวา้ งขด ทุตยิ ภูมิของคอยลอ์ ากาศทตี่ ่อขนานอยกู่ บั C1 จะเลือกรับสญั ญาณเอฟเอ็มความถี่ระหวา่ ง 88 ถึง 108 MHz ส่งผา่ น C2 ป้อนเขา้ ขาอิมิเตอร์ของ TR1 ซ่ึงเป็ นวงจรขยายความถี่วทิ ยุ โดยวงจรถูกจดั อยใู่ น รูปวงจรขยายแบบเบสร่วม สัญญาณที่เขา้ มาทางขาอิมิเตอร์จะถูกขยายโดย TR1 ส่งออกไปทางขา คอลเล็กเตอร์ป้อนให้ขดลวดทางดา้ นปฐมภูมิของ T1 ซ่ึงเป็ นวงจรจูนท่ี 2 มีวาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ชุด หน่ึงตอ่ ขนานอยู่ วงจรน้ีจะทาหนา้ ที่เลือกรบั เอาเฉพาะสถานีทีต่ อ้ งการรบั ฟังเพียงสถานีใดสถานีหน่ึงใน แถบความถี่วทิ ยเุ อฟเอ็ม โดยการปรับวาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ทาใหเ้ กิดแรงดนั ของสญั ญาณสถานีทตี่ อ้ งการ รับตกคร่อมวงจรน้ีมากท่ีสุด และส่งผ่าน C7 ไปเขา้ วงจรจูนท่ี 3 ซ่ึงประกอบขดลวดดา้ นทุติยภูมิของ T1 ซ่ึงตอ่ ขนานอยกู่ บั C9 เกิดสัญญาณตกคร่อมวงจรจูนท่ี 3 ส่งป้อนให้ขาอิมิเตอร์ของ TR2 (วงจร ออสซิลเลเตอร์และมิกเซอร์) เพอื่ ผสมกบั ความถี่ท่ีสร้างข้นึ จากส่วนออสซิลเลเตอร์ ลกั ษณะการจดั ไบแอสให้วงจรขยายความถ่ีวิทยุเป็ นแบบป้อนกลับทางกระแส ( Current Feedback) โดยใชต้ วั ตา้ นทาน R1 (100Ω) ต่ออนั ดบั กบั ขาอิมิเตอร์ของ TR1 รับไฟบวกจากแหล่งจ่าย กาลงั ส่วนเบสต่อรับไฟลบผ่านทาง R2 (82 K) ขาคอลเล็กเตอร์รับไฟลบผา่ นทางขดปฐมภูมิของ T1 ส่วนการจดั ลักษณะการขยายเป็ นวงจรขยายแบบเบสร่วมคลาส A ซ่ึงทรานซิสเตอร์จะนากระแสอยู่ ตลอดเวลาท่ีขาเบสจะมี C3 และ C4 ต่อลงดิน ซ่ึงเป็ นลกั ษณะของวงจรขยายแบบเบสร่วม คือขณะที่ ทรานซิสเตอร์ทาการขยายสญั ญาณขาเบสจะเปรียบเสมือนถูกลดั วงจรลงดิน โดยสัญญาณกระแสสลบั ท่ี เบสจะผ่านลงดินทาง C3 และ C4 แต่แรงดนั ไบแอสกระแสตรงที่เบสซ่ึงถูกจดั ไวจ้ ะยงั มีคงคงเดิม 142

ลกั ษณะเช่นน้ี เรียกวา่ เอซีกราวด์ (AC ground) ถา้ C3 และ C4 เสียในลกั ษณะขาด จะทาให้อตั รา การขยายของวงจรลดต่าลง ทาใหเ้ สียงเบา การรบั ไม่ไว (รบั ไดเ้ ฉพาะสถานีที่กาลงั ส่งสูงหรืออยใู่ กล)้ มี เสียงซ่ารบกวนมาก แต่ถา้ C3 และ C4 ลัดวงจรทรานซิสเตอร์จะไม่ไดร้ ับแรงดนั ไบแอสตรง จึง คตั ออฟไม่ขยาย ทาใหร้ ับไม่ไดท้ ุกสถานี ไม่ไดย้ นิ เสียง หรือไดย้ นิ เบามาก C2 ทาหนา้ ท่ีเป็ นตวั คปั ปลิง คือยอมให้สัญญาณกระแสสลบั ที่ผา่ นเขา้ มาทางคอยล์อากาศ ผ่านไปเขา้ ยงั ขาอิมิเตอร์ของ TR1 เพื่อรับการขยายและกันไฟกระแสตรงที่ขาอิมิเตอร์ไม่ให้ลงดิน ทางด้านขดทุติยภูมิของคอยล์อากาศ ถ้า TR2 รั่วหรือลดั วงจร จะทาให้แรงดันไบแอสตรงของ TR1 สูงข้ึนกระแสเบสจะไหลสูงมาก ทาใหท้ รานซิสเตอร์ลดั วงจรเสียหายได้ ซ่ึงถา้ ทรานซิสเตอร์ลด้ วงจรจะ ทาใหร้ บั ไม่ได้ ถา้ C2 ขาด การรับจะไม่ไวเสียงเบามาก อาการคลา้ ยกบั C3 และ C4 ลดั วงจร R1 คือตวั จดั ไบแอสให้ทรานซิสเตอร์ เพื่อใหเ้ กิดการป้อนกลบั ทางกระแส ถา้ R1 เพ่ิม ค่ากระแสเบสของ TR1 จะลดลง ทาใหอ้ ตั ราการขยายของ TR1 ลดลง การรับจะไม่ไว เสียงเบา รับได้ บางสถานี และ ถา้ R1 ขาด TR1 จะคตั ออฟ รบั ไม่ไดท้ ุกสถานี เบสของ TR1 จะต่อรับแรงดันเอจีซีมาจากวงจรเอจีซี เพื่อควบคุมอัตราการขยายของ วงจรขยายอาร์เอฟใหข้ ยายสญั ญาณออกมามีขนาดคงที่ เสียงจงึ ไม่เกิดการจางหายเป็ นช่วง ๆ วาริเอเบลิ คาพาซิเตอร์ CV1 ต่อขนานอยกู่ บั ทริมเมอร์ CT1 , C5 และขดปฐมภูมิของ T1 ทา หน้าที่เป็ นวงจรจูน การปรับค่า CV1 จะเป็ นการเปล่ียนค่าความถ่ีเรโซแนนซ์ของวงจรจูนระหวา่ ง 88 ถึง 108 MHz เพอ่ื เลือกรับสถานีที่ตอ้ งการรับตลอดแถบความถ่ีเอฟเอ็ม ลกั ษณะของ CV1 ส่วนมากจะ บรรจอุ ยใู่ นกล่องพลาสติกและมีแผ่นพลาสติกก้นั อยรู่ ะหวา่ งแผ่นเพลตแต่ละชุด เนื่องจากแผ่นเพลตจะ ปรบั ใหเ้ ลื่อนอยตู่ ลอดเวลาขณะหมุนหาสถานี จึงเกิดการขดั สีกบั พลาสติกที่ก้นั อยู่ ทาให้แผน่ พลาสติก สึกหรือขาด เพลตจึงแตะสัมผสั กันไดเ้ ป็ นบางคร้ัง ทาใหเ้ กิดอาการมีเสียงดงั โกรกกรากขณะหมุนหา สถานีและบางตาแหน่งรบั ไดป้ กติ วาริเอเบลิ คาพาซิเตอร์ของวทิ ยเุ อฟเอ็มน้ีถา้ เป็ นเคร่ืองรับวทิ ยแุ บบมีท้งั ภาครบั เอเอ็มจะถูกบรรจรุ วมกบั วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ของภาครับเอเอ็ม อยใู่ นผนึกพลาสติกตวั เดียวกนั ถา้ T1 หรือทริมเมอร์ท่ีต่อขนานอยขู่ นานอยู่กบั วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ ชุดจูนเนอร์อาร์เอฟปรับไม่ ถูกตอ้ ง จะทาให้สถานีแถบความถี่สูงและแถบความถี่ต่ารับไดแ้ รงไม่เท่ากนั เสียงจึงดงั ไม่เท่ากนั การ ปรับ T1 เพอ่ื ใหส้ ถานีแถบความถี่ต่ารบั ไดแ้ รงทส่ี ุด และการปรับ CT1 (ทริมเมอร์ของชุดจูนเนอร์อาร์ เอฟ) เป็นการปรบั เพอ่ื ใหส้ ามารถรับสถานีดา้ นความถ่ีสูงดงั แรงท่ีสุด วงจรออสซิลเลเตอร์ TR2 ทาหนา้ ท่ี 2 อยา่ งคอื เป็ นท้งั วงจรออสซิลเลเตอร์และมิกเซอร์ส่วน ออสซิลเลเตอร์จะเริ่มจากชุดสร้างความถี่ที่ประกอบดว้ ยขดลวด L1 C13 วาริเอเบิลคาพาซิเตอร์ CV2 และ R7 จะทาการสร้างความถ่ีออกมาตามการปรับ CV2 ขณะหมุนหาคลื่น โดยความถ่ีท่ีสร้างจะสูง กวา่ ความถี่ของสถานีที่รับเขา้ มา เท่ากบั ความถ่ีไอเอฟ (f OSC = f rf + f if) ความถ่ีน้ีจะส่งผ่าน C11 ไป เขา้ ขาอิมิเตอร์เพอื่ ให้ TR2 ขยายแลว้ ส่งป้อนกลบั ทาง C12 เพอื่ กระตนุ้ ใหช้ ุดสร้างความถ่ีผลิตความถ่ีที่มี ขนาดทีอ่ อกตลอดเวลา 143

วงจรมิกเซอร์ รับเอาสัญญาณอาร์เอฟท่ีเลือกเขา้ มาและความถ่ีท่ีสร้างข้ึนจากชุดสร้างความถ่ี เพอื่ ทาการขยายพร้อมกนั ทาให้เกิดการรวมตวั และหักลา้ งกนั ระหว่างความถี่ท้งั สอง เกิดเป็ นความถ่ี ต่าง ๆ ออกมามากมายส่งใหว้ งจรจูนไอเอฟ T2 และ C14 เพื่อเลือกเอาเฉพาะความถี่ที่ไดจ้ ากผลต่าง ระหวา่ งสญั ญาณท้งั สองคอื ความถ่ีไอเอฟ 10.7 MHz ส่งป้อนใหว้ งจรขยายไอเอฟทาการขยายต่อไป วงจรขยายไอเอฟ สญั ญาณไอเอฟ 10.7 MHz ท่ีผ่านออกมาจาก T2 จะถูกส่งป้อนเขา้ ขา อิมิเตอร์ของ TR3 (วงจรขยายไอเอฟท่ี 1) ซ่ึงเป็ นวงจรขยายแบบเบสร่วม ขยายใหแ้ รงข้ึนแลว้ ส่งผา่ น T3 ป้อนใหข้ าเบสของ TR4 (วงจรขยายไอเอฟท่ี 2 ) ท่เี ป็ นวงจรขยายแบบอิมิเตอร์ร่วมขยายส่งผ่าน T4 ไปเขา้ ยงั เบสของ TR5 (วงจรขยายไอเอฟที่ 3 ) ซ่ึงเป็ นวงจรขยายแบบอิมิเตอร์ร่วมเช่นกนั วงจรน้ีจะ ไดร้ บั สัญญาณอินพตุ ทีมีความแรงมากจนระดบั ยอดบวกของสัญญาณจะขบั ให้ TR5 ถึงจุดอิ่มตวั และ ระดบั ยอดลบขบั ให้ TR5 คตั ออฟ ดว้ ยเหตุน้ี ยอดบวกและลบของสญั ญาณเอฟเอ็มจึงถูกตดั ออกไป ทา ใหส้ ญั ญาณรบกวนท่ีปนมากบั ยอดของสัญญาณน้นั ถูกกาจดั ออกไป การทางานลกั ษณะเช่นน้ีจึงเรียก TR5 ว่าวงจรลิมิเตอร์ สัญญาณเอาต์พุตจากวงจรน้ีจะส่งป้อนให้วงจรเอฟเอ็มดีเทคเตอร์ เพ่ือแยก สญั ญาณเสียงออกมา วงจรเอจซี ี ทีข่ าคอลเล็กเตอร์ TR5 จะมี C21 ต่ออนั ดบั อยกู่ บั ไดโอด D2 โดยตรงจุดต่อจะมี ตวั ตา้ นทาน R18 ตอ่ รบั แรงไฟตรงจุดน้ีไปเขา้ เบสของ TR 1 (วงจรขยายความถี่วทิ ย)ุ เพือ่ ควบคุมอตั รา การขยายของวงจรน้ี ในลกั ษณะเอจีซียอ้ นกลบั คือ ถา้ สญั ญาณรับเขา้ มาแรง แรงไฟเอจีซีที่จุดต่อจะมี ศกั ยส์ ูง TR 1 จึงลดอตั ราการขยายลง และถา้ สญั ญาณเขา้ มาอ่อน แรงดนั เอจีซีจะมีศกั ยบ์ วกต่า TR 1 จึง เพม่ิ อตั ราการขยายสูงข้ึน จากการทางานดงั กล่าวจึงทาใหข้ นาดของสญั ญาณคงทีต่ ลอดเวลา รูปท่ี 3 วงจรขยายไอเอฟของวทิ ยเุ อฟเอ็ม 4. การแยกสัญญาณระบบเอฟเอม็ วงจรที่ทาหน้าที่แยกสัญญาณเสียงออกจากคลื่นพาหะท่ีผสมรวมรวมกนั มาในแบบเอฟเอ็มมีช่ือเรียกวา่ วงจรเอฟเอ็มดีเทคเตอร์ (FM Detector) หรือ เอฟเอ็มดีมอดดูเลเตอร์ (FM Demodulator) ลกั ษณะการ แยกสัญญาณในระบบเอฟเอ็มน้ันมีหลายวิธีดว้ ยกนั เช่น ใชว้ งจรเรโชดีเทคเตอร์แบบบาลานซ์ และ อนั บาลานซ์ลานซ์ซ่ึงใชก้ นั อยเู่ ป็ นส่วนมากในเครื่องรับโทรทศั น์ วงจรพลั ส์เคานต์ดีเทคเตอร์ (Pulse Count Detector) และวงจรควอดดราเจอร์ดีเทคเตอร์ (Quadrager Detector) ซ่ึงใชใ้ นเครื่องเล่นวิดีโอเทป เป็ นตน้ 144

วงจรบาลานซ์เรโชดีเทคเตอร์ วงจรน้ีจะใชอ้ ตั ราส่วนของความเหล่ือมล้ากนั ทางเฟสระหว่าง กระแส และแรงดนั ในขณะทค่ี วามถ่ีอินพตุ เปล่ียนแปลงผดิ ไปจากค่าความถี่เรโซแนนซท์ ี่เรโซทรานฟอร์ เมอร์ต้งั เอาไว้ ซ่ึงจะทาใหค้ า่ ระดบั แรงดนั ทีเ่ อาตพ็ ตุ เปลี่ยนแปลงไปเป็ นบวกหรือลบตามความถี่อินพตุ ท่ี เปลี่ยนแปลงไปทางสูงหรือต่า รูปที่ 4 วงจรบาลานซ์เรโชดีเทคเตอร์ ในขณะท่ไี ม่มีสญั ญาณเสียงผสมมา จะมีแตเ่ พยี งคล่ืนพาหะของสญั ญาณเสียงซ่ึงมีความถ่ี 10.7 MHz เขา้ มาทีข่ ดปฐมภมู ิของเรโซแนนซ์ทรานฟอร์เมอร์ ทาใหเ้ กิดแรงดนั e1 ตกคร่อมขดปฐมภูมิ (L1) และแรงดนั น้ีจะทาใหเ้ กิดแรงเคลื่อนชกั นา e2 ข้นึ ทางดา้ นขดทตุ ิยภมู ิ (L2) ดว้ ย แต่เฟสของแรงดนั e2 จะตา่ งเฟสของแรงดนั e1 อยู่ เท่ากบั 180 องศา (เฟสของแรงดนั ทีข่ ดทตุ ยิ ภมู ิ) e2 e1 (เฟสของแรงดนั ที่ขดปฐมภูมิ) รูปที่ 5 ลกั ษณะเฟสของ e1 และ e2 ท่แี สดงโดยเวกเตอร์ ขดลวด L2 และ C2 มีลกั ษณะเป็ นวงจรเรโซแนนซ์ที่ต่ออนั ดบั กนั อยกู่ บั แรงเคลื่อนชกั นาท่ี เกิดข้นึ ในขด L2 โดยค่าความถ่ีเรโซแนนซ์จะถูกปรับเอาไวท้ ่ีความถ่ี 10.7 MHz เม่ือสญั ญาณอินพุตมี ความถ่ี 10.7 MHz วงจรน้ีจะเกิดการเรโซแนนซ์ จึงไม่มีค่ารีแอกแตนซ์ในวงจร เน่ืองจากค่า รีแอกแตนซ์ในวงจรจะมีค่าเท่ากบั ความตา้ นทานภายในวงจรน้ีเท่าน้ัน (Z = R เมื่อวงจรเรโซแนนซ์) ดงั น้นั เฟสของกระแสที่ไหลผ่านขด L2 (i 2) จึงมีเฟสตรงกนั กบั แรงเคล่ือนชกั นาท่ีเกิดข้ึนท่ีปลายของ ขด L2 (e 2) ดงั เวกเตอร์ ในรูปที่ 6 i2 e2 e1 รูปที่ 6 ลกั ษณะเฟสของแรงดนั e2 i 2 และ e1 ที่แสดงโดยเวกเตอร์ 145

จะเห็นวา่ จดุ แยกก่ึงกลางขดลวด L2 น้นั จะต่อยกู่ บั ขดลวด L3 และถูกสนามแม่เหล็กจากขด L1 ตดั ผา่ น จงึ เกิดแรงเคลื่อนชกั นา e3 ข้นึ ทป่ี ลายขดลวดชุด L3 การพนั ขดลวด L3 จะพนั ในลกั ษณะ ทีท่ าใหแ้ รงเคลื่อนชกั นา e3 มีเฟสเหมือนกนั แรงเคลื่อน e1 ซ่ึงจะแสดงความสมั พนั ธ์ทางเฟสระหว่าง e2 , i2 , กบั e3 โดยเวกเตอร์ไวใ้ นรูปท่ี 7 i2 e3 e2 รูปที่ 7 เวกเตอร์แสดงความสมั พนั ธท์ างเฟสระหวา่ ง e2 , i2 และ e3 กระแสเหนี่ยวนา i2 ท่ีเกิดจากการท่เี สน้ แรงแม่เหลก็ จากขดลวด L1 เคลื่อนตดั ผา่ นน้นั จะทา ใหเ้ กิดแรงดัน e21 ข้ึนระหว่างจุดแยกก่ึงกลางขดกบั ปลายดา้ นบนของขดลวด L2 (L21) และเกิด แรงดนั e22 ข้ึนระหวา่ งจุดก่ึงกลางขด กบั ปลายส่วนล่างของขดลวด L2 (L22) โดยแรงดนั ท้งั สองจะ ต่างเฟสกบั i2 90 องศา แรงดนั e21 ซ่ึงเกิดจากขดลวด L21 และแรงดนั e 3 ท่ีเกิดข้ึนที่ขดลวด L3 น้ีจะตา่ งเฟสกนั 90 องศา ผลรวมระหวา่ งแรงดนั ท้งั สองจะทาให้เกิดกระแส i21 ไหลจากขดลวด L21 ไปออกทางจดุ ก่ึงกลางผา่ นขดลวด L3 ,C3 และไดโอด D1 ไปเขา้ ขด L2 ครบวงจร และแรงดนั C22 ซ่ึงเกิดจากขดลวด L22 และแรงดนั e3 ซ่ึงเกิดจากขดลวด L3 จะทาใหเ้ กิดกระแส i22 ไหลออกจาก ปลายดา้ นล่างของขดลวด L22 ไปเขา้ ไดโอด D2 ผ่าน C4 และ L3 ไปยงั จุดก่ึงกลางของขดลวด L2 ครบวงจร เม่ือความถี่ที่อินพุตมีค่าเท่ากับ 10.7 MHz (ไม่มีสัญญาณเสียงผสมมา) กระแส i21 และ i22 จะไหลเท่ากนั C3 และ C4 จะทาการประจุอดั กระแสเอาไวเ้ ป็ นจานวนเท่ากนั ดงั น้นั แรงดนั ท่ี ตกคร่อมคอนเดนเซอร์ท้งั สองตรงจดุ ร่วม ซ่ึงมีศกั ยต์ รงกนั ขา้ มจึงหกั ลา้ งกนั หมดไป ที่จุดน้ีจึงมีศกั ยเ์ ป็ น 0 V เมื่อเทียบกบั กราวด์ (ไม่มีสญั ญาณเสียงเอาตพ์ ตุ ) เมื่อความถี่อินพตุ มคี ่าสูงกว่า 10.7 MHz (เมื่อมีสัญญาณเสียงช่วงบวกผสมมา) เมื่อสญั ญาณ เอฟเอม็ ทมี่ ีสญั ญาณเสียงช่วงบวกผสมมา ซ่ึงมีความถ่ีสูงกวา่ 10.7 MHz เขา้ มาทางอินพุตของวงจรเรโช ดีเทคเตอร์ วงจรเรโซแนนซ์ แบบอนั ดบั จะแสดงคุณสมบตั ิของขดลวด ทาใหเ้ ฟสของกระแส i2 ชา้ กวา่ เฟสของแรงดนั e2 และในทานองเดียวกนั เฟสของของแรงดนั e21 และ e22 ก็จะเปลี่ยนไปดว้ ย คือมี เฟสชา้ กวา่ เดิมเพราะการเกิด e21 และ e22 น้นั ข้ึนอยกู่ บั กระแส i2 เม่ือเฟสของ i2 เปลี่ยนชา้ ลง เฟส ของ e21 และ e22 จึงชา้ ลงดว้ ย เมื่อเฟสของแรงดนั e22 ชา้ ลง จะทาให้ i21 ไหลไดม้ ากกวา่ i22 (ขณะท่ีความถ่ีสูงกว่า 10.7 MHz) กระแสจึงไหลผา่ น C3 ไดม้ ากกวา่ C4 ทาให้ C3 อดั ประจกุ ระแสไดม้ ากกวา่ C4 จึงเกิดแรงดนั ตกคร่อม C3 มากกว่า C4 ศกั ยต์ รงจุดต่อระหว่าง C3 และ C4 จึงมีค่าเป็ นบวก น่ันคือจะได้ สญั ญาณเสียงช่วงบวกปรากฏออกไปทางเอาตพ์ ตุ 146

เม่ือสัญญาณอนิ พตุ มคี วามถีต่ ่ากว่า 10.7 MHz (มีสัญญาณเสียงช่วงลบผสมมา) ความถ่ีของ สญั ญาณเสียงท่ีเขา้ มาต่ากว่าความถ่ีเรโซแนนซ์ (ต่ากว่า 10.7 MHz) วงจรเรโซแนนซ์แบบอันดบั จะ แสดงคุณสมบัติของคาพาซิเตอร์ คือกระแสที่ไหลในวงจรจะข้ึนอยู่กับคาพาซิตีฟรีแอกแตนซ์ (Capacitive Reactance ; Xc) ในวงจร ดงั น้นั เฟสของกระแส i 2 จะเร็วกวา่ เฟสของแรงดนั e2 ซ่ึงจะ ทาใหเ้ ฟสของแรงดนั e21 และ e22 เร็วข้นึ กวา่ เดิมดว้ ย เม่ือเฟสของ e21 และ e22 เร็วข้ึน จะทาให้กระแส i22 ไหลไดม้ ากกว่ากระแส i21 คอนเดนเซอร์ C4 จะทาการอดั ประจุกระแสไดม้ ากกว่า C3 ดงั น้นั จึงเกิดศกั ยล์ บปรากฏข้ึนตรงจุดต่อ ระหวา่ ง C3 และ C4 ไดเ้ ป็นสญั ญาณเสียงช่วงลบปรากฏออกมาจากเอาตพ์ ตุ ของวงจรเรโชดีเทคเตอร์ รูปที่ 8 เม่อื กระแสอดั ประจุของ C3 เทา่ กบั C4 แรงดนั ตรงจุดต่อมีค่าเป็น 0 V รูปท่ี 9 ลกั ษณะเฟสของแรงดนั และกระแสในวงจรเรโชดีเทคเตอร์ขณะทีส่ ัญญาณอินพุตมคี วามถ่ี 10.7 MHz 147

รูปท่ี 10 กราฟแสดงว่ารีแอกแตนซแ์ บบขนานและอนั ดบั ทคี่ วามทต่ี ่าง ๆ รูปที่ 11 ลกั ษณะเฟสของแรงดนั และกระแสในวงจรเรโชดีเทคเตอร์ เมื่อความถ่ีอินพุตสูงกว่า 10.7 MHz รูปที่ 12 ลกั ษณะเฟสของแรงดนั และกระแสในวงจรเรโชดีเทคเตอร์เมือ่ สญั ญาณอินพตุ มีความถ่ีต่ากวา่ 10.7 MHz วงจรอันบาลานซ์เรโชดีเทคเตอร์ มีหลักการทางานเหมือกับวงจรบาลานซ์เรโชดีเทคเตอร์ แตกต่างกนั แต่เพียงลกั ษณะวงจร ดงั ที่แสดงเอาไวใ้ นรูปท่ี 13 กระแสท่ีไหลในวงจรมีอยู่ 2 กระแส เช่นกนั คอื i21 ทเี่ กิดจากผลรวมระหว่างแรงเคล่ือนชกั นา e21 กบั e3 ซ่ึงจะทาใหเ้ กิดกระแส i21 ไหล จากปลายดา้ นบนของ L2 ผา่ นไดโอด D1 และ C34 โดยปลายดา้ นท่ีต่อกบั กราวดจ์ ะมีศกั ยเ์ ป็ นบวก 148

และดา้ นท่ี ต่อกบั L3 จะมีศกั ยล์ บ ส่วนกระแส i22 จะเกิดผลรวมระหว่างแรงเคล่ือนชกั นา e22 กบั e3 ซ่ึงจะทาใหเ้ กิดกระแส i22 ไหลออกจากปลายดา้ นล่างของ L3 ผา่ น C34 , D2 ไปเขา้ ปลาย ดา้ นล่างของ L2 เกิดศกั ยต์ กคร่อม C34 โดยปลายดา้ นล่างทีต่ ่อกบั L3 จะมีศกั ยบ์ วก และปลายดา้ นบน ที่ต่อกราวด์จะมีศกั ยล์ บ สญั ญาณเอาตพ์ ุตจะไดแ้ รงดนั ท่ีตกคร่อม C34 ส่งผา่ นวงจรดีเอมพาซิส (R D และ C D) ไปเขา้ วงจรขยายเสียง เม่ือสัญญาณเอฟเอ็มท่ปี ้อมให้วงจรมีค่าเท่ากับ 10.7 MHz (ไม่มีสญั ญาณเสียงผสม) กระแส i21 จะมีค่าเท่ากับ i22 จึงหักล้างกนั หมดไป ไม่มีแรงดนั ตกคร่อม C34 จึงไม่มีสัญญาณปรากฏ ทางดา้ นเอาตพ์ ตุ เมื่อสัญญาณเอฟเอ็มมีสัญญาณเสียงช่วงบวกผสมอยู่ ความถ่ีช่วงเวลาน้ีจะมีค่าสูงกวา่ 10.7MHz จงึ ทาใหก้ ระแส i22 ไหลไดม้ ากกวา่ กระแส i21 จะเกิดแรงดนั ตกคร่อม C34 โดยปลายดา้ นที่ต่อกบั จุด เอาตพ์ ตุ จะมีศกั ยเ์ ป็นบวกเม่ือเทยี บกบั กราวดไ์ ดเ้ ป็นสญั ญาณเสียงช่วงบวกส่งป้อนให้ ภาคขยายเสียง เมื่อสัญญาณเอฟเอ็มมีสัญญาณเสียงช่วงลบผสมอยู่ ความถี่ช่วงเวลาน้ีจะมีค่าต่ากว่า 10.7 MHz ทาใหก้ ระแส i22 ไหลไดม้ ากกวา่ กระแส i22 แรงดนั ที่ตกคร่อม C34 จึงมีศกั ยเ์ ป็ นลบเมื่อเทียบ กบั กราวดท์ าใหไ้ ดส้ ญั ญาณเสียงช่วงลบส่งออกไปจากเอาตพ์ ตุ รูปท่ี 13 วงจรอนั บาลานซ์เรโชดีเทคเตอร์ รูปที่ 14 ลิมิตเตอร์และเอฟเอ็มดีเทคเตอร์ 149

5. การตรวจซ่อมอาการขดั ข้อง ลกั ษณะอาการขดั ขอ้ งของเคร่ืองรบั วทิ ยเุ อฟเอ็มโดยทวั่ ไปแลว้ จะเหมือนกบั เครื่องรบั วทิ ยเุ อเอม็ แต่สาเหตุท่ีเสียจะแตกต่างกนั อยู่บางเน่ืองจากลักษณะของสัญญาณแถบความถี่ และการดีมอดูเลท สญั ญาณท่ีไม่เหมือกนั อาการขดั ขอ้ งทางภาคคอนเวอร์เตอร์ที่เก่ียวกบั ประสิทธิภาพและแถบความถี่ ในการรับสญั ญาณจะมีสาเหตเุ หมือนกนั แตผ่ ลการรบกวนทางแอมพลิจดู ของสัญญาณเอฟเอ็มจะไม่เกิด ผลไดย้ นิ ออกมากทางลาโพงเช่นวทิ ยเุ อเอม็ อาการเสียงบ้แี ละผดิ เพ้ยี นสาเหตทุ ่ีเป็ นไปไดข้ องวทิ ยเุ อฟเอ็ม จะมีมากกวา่ เพราะแถบความถ่ีที่ผา่ นวงจรจนู ส่วนต่าง ๆ ของวทิ ยเุ อฟเอม็ ถา้ ถูกลดลงไม่วา่ ทางปลายแถบ ความถี่ดา้ นสูงดา้ นต่าหรือท้งั สองดา้ นกต็ ามจะทาใหเ้ สียงเกิดผดิ เพ้ยี นอยา่ งสงั เกตไดช้ ดั ในการซ่อมเคร่ืองรับวิทยเุ อฟเอ็มที่ไม่มีเสียง เราจะไม่สามารถแยกหาจุดเสียโดยใชว้ ธิ ีสังเกต เสียงที่เกิดสญั ญาณรบกวนคงท่ีของบลั ลาสตห์ ลอดฟลูออเรสเซนต์ เสียงปิ ดเปิ ดสวติ ช์ หรือใชว้ ธิ ีสร้าง สญั ญาณรบกวนโดยใชม้ ิเตอร์ต้งั R x 1 แลว้ เขี่ยเพอ่ื สงั เกตเสียงสัญญาณรบกวนท่ีผ่านออกลาโพงได้ เพราะวงจรเอฟเอ็มดีเทคเตอร์ จะไม่เปลี่ยนสัญญาณเหล่าน้ี ให้เป็ นสัญญาณเสียงออกมาทางเอาตพ์ ตุ ดงั น้นั ในการตรวจซ่อมเพอื่ หาจดุ เสียของเครื่องรับวทิ ยเุ อฟเอ็ม จงึ จาเป็ นตอ้ งใชเ้ ครื่องมือพเิ ศษบางอยา่ ง เพมิ่ เตมิ ซ่ึงจะแยกลกั ษณะการตรวจซ่อมออกไดด้ งั น้ี 1. การซ่อมโดยใชม้ ิเตอร์ตรวจคา่ แรงดนั ไฟฟ้า 2. ใชอ้ อสซิลโลสโคปตรวจรูปคล่ืนสญั ญาณ 3. ใชเ้ ครื่องสรา้ งสญั ญาณอาร์เอฟป้อนสญั ญาณร่วมกบั มิเตอร์ 4. ใชเ้ คร่ืองสร้างสญั ญาณอาร์เอฟป้อนสญั ญาณร่วมกบั ออสซิลโลสโคป การซ่อมโดยใช้มเิ ตอร์ตรวจค่าแรงดันไฟฟ้า วธิ ีน้ีจะใชโ้ วลตม์ ิเตอร์ตรวจวดั ค่าแรงดนั ไฟฟ้าท่ี ป้อนใหว้ งจรต่าง ๆ ภายในเครื่อง เช่น ที่จา่ ยกาลงั และแรงดนั ทข่ี าต่าง ๆ ของทรานซิสเตอร์ เช่น VB , VE , VBE, VB และทีข่ าไอซีในวงจรแตล่ ะส่วนตรวจหาจุดท่ีมีค่าแรงดนั ผดิ ปกตเิ พอ่ื วเิ คราะหห์ าอุปกรณ์ทีเ่ สีย ใช้ออสซิโลสโคปตรวจรูปคลื่นสัญญาณใชว้ ธิ ีออสซิลโลสโคปตรวจรูปคลื่นสญั ญาณท่จี ุดตา่ ง ๆ ภายในเคร่ือง เช่น ตรวจดูคล่ืนไซน์ท่ีสร้างโดยโลคอลออสซิลเลเตอร์ในภาคคอนเวอร์เตอร์ ดูวา่ สร้าง ความถี่ออกมาหรือไม่ และความถ่ีที่สร้างข้ึนมาน้นั อยใู่ นแถบการรับคลื่นวทิ ยเุ อฟเอม็ ท่กี าหนดไวห้ รือไม่ โดยใชว้ ธิ ีวดั อ่านคา่ เวลาของความยาวคลื่นท่ีออสซิลเลเตอร์สร้างขณะหมุนหาคลื่นไปทางดา้ นต่าสุดกบั สูงสุด แลว้ คานวณเป็นค่าความถ่ีออกมาโดยใชส้ ูตร f = 1 / t โดยเมื่อหมุนทหี่ าคล่ืนไปทางดา้ นความถี่ต่าสุด ออสซิลเลเตอร์ตอ้ งสร้างความถ่ีออกมาต่ากว่า 99 MHz และเมื่อหมุนไปทางด้านความถ่ีสูงสุดจะต้องอ่านความถี่ได้ไม่ต่ากว่า 119 MHz แต่ถ้า ออสซิลโลสโคปที่มีวดั แถบความถี่สูงมากกวา่ น้ีไม่ได้ ก็ใชเ้ ครื่องวดั ความถ่ีตรวจสอบแทน ถา้ โลคอ ลออสซิลเลเตอร์ไม่สร้างความถ่ีหรือสรา้ งความถี่ออกมาไม่ถูกตอ้ งก็ตรวจวงจรโลคอลออสซิลเลเตอร์ ถา้ ความถี่ปกติให้ตรวจดูรูปคล่ืนสัญญาณท่ีจุดที่ 2 ถา้ ไม่มีแสดงว่าจุดเสียอยทู่ ่ีวงจร RF AMP หรือ มิกเซอร์ ถ้าปกติตรวจท่ีจุด 3 4 5 6 และ 7 ถ้าไม่มีสญั ญาณออกจากภาคไหนแสดงว่าภาคน้ันเสีย จะตอ้ งตรวจในภาคน้นั เพอื่ หาตวั อุปกรณ์ท่ีเสีย 150

ใช้เคร่ืองสร้างสัญญาณอาร์เอฟป้อนสัญญาณร่วมกับมเิ ตอร์ วธิ ีน้ีจะใชม้ ิลิโวลตม์ ิเตอร์วดั คร่อมสเตบิไลซิงคาพาซิเตอร์ที่ FM DET. (ดูรูปท่ี 16 ข.) ใชเ้ ครื่องสร้างสญั ญาณอาร์เอฟต้งั ความถ่ี 10.7 MHz ป้อนสญั ญาณเขา้ ทจี่ ุด 1 2 3 และ 4 ตามลาดบั ถา้ ปอนเขา้ ภาคไหนแลว้ ไม่มีสญั ญาณปรากฏ ออกที่ FM DET. มิลิโวลตม์ ิเตอร์ไม่แสดงค่าแรงดนั ไฟฟ้าใหเ้ ห็น แสดงว่าจุดขดั ขอ้ งอยทู่ ่ีภาคน้นั ตอ้ ง ตรวจสอบหาอุปกรณ์ทเ่ี สียในภาคน้นั ถา้ ป้อนสญั ญาณที่จุดที่ 1 ถึง 4 แล้วมีสัญญาณปรากฏทาง เอาตพ์ ุตให้ต้งั ความถ่ีเครื่องสร้างสัญญาณอาร์เอฟที่ 88 MHz โดยหมุนที่หาคล่ืนของเคร่ืองรับไป ทางดา้ นความถี่ต่าสุด ป้อนสัญญาณอาร์เอฟไปที่ 10.7 MHz แลว้ ป้อนให้จุดที่ 5 อีก ถา้ ป้อนคร้ังน้ีมี สัญญาณออกไปถึง FM DET.(มิเตอร์แสดงค่าแรงดนั ปรากฏ) แสดงว่าโลคอลออสซิลเลเตอร์ไม่สร้าง ความถี่ ให้ตรวจสอบหาตวั อุปกรณ์ที่เสียในวงจรโลคอลออสซิลเลเตอร์ แต่ถา้ ยงั คงไม่มีสัญญาณผา่ น แสดงวา่ วงจร FM CONV. เสีย ถา้ จุดท่ี 5 ป้อนความถ่ี 88 MHz ผา่ นได้ ใหย้ า้ ยมาป้อนสญั ญาณท่ีจุดท่ี 6 ซ่ึงถา้ ไม่ผา่ นแสดงวา่ วงจร RF AMP. เสีย ใช้เครื่องสร้างสัญญาณอาร์เอฟป้อนสัญญาณร่วมกบั ออสซิลโลสโคป วธิ ีน้ีกค็ ลา้ ยกบั วธิ ีท่ี 3 แตกต่างกนั อยตู่ รงท่ถี า้ เป็นวธิ ีที่ 3 มิลิโวลตม์ ิเตอร์จะวดั ไดเ้ ฉพาะตรงจดุ ตกคร่อมสเตบิไลซิงคาพาซิเตอร์ ทอ่ี ยใู่ นวงจรเอฟเอ็มดีเทคเตอร์ แตถ่ า้ ใชอ้ อสซิลโลสโคปตรวจวดั รูปสญั ญาณน้นั จะสามารถป้อนความถ่ี และตรวจคลื่นสญั ญาณไดท้ กุ จุด ทาใหก้ ารตรวจหาจุดเสียทาไดง้ ายและเร็วข้ึน รูปท่ี 15 การใชอ้ อสซิลโลสโคปตรวจดูสญั ญาณ 151

(ก) ตาแหน่งป้อนและวดั สญั ญาณ (ข) การวดั ตรวจเอาตพ์ ตุ ไอเอฟ (1) และเสียง (2) รูปท่ี 16 การใชเ้ ครื่องสร้างสญั ญาณอาร์เอฟร่วมกบั มิเตอร์ รูปที่ 17 การใชเ้ คร่ืองสร้างสุญญากาศอาร์เอฟร่วมกบั ออสซิลโลสโคป 152

บทท่ี 20 เครื่องรับ – ส่ง แบบ FM 1. ภาคเครื่องส่ง ในวงจรพ้ืนฐานของระบบเครื่องส่งจะประกอบไปดว้ ย ออสซิเลเตอร์กบั มอดูเลเตอร์ และ วงจรมลั ตพิ ลาย ซ่ึงทาหนา้ ที่คูณความถี่ใหไ้ ดค้ วามถ่ีท่ีตอ้ งการ เพอื่ ขยายกาลงั ส่งออกอากาศต่อไป ดูรูป ท่ี 1 สญั ญาณ FM จากมอดูเลเตอร์จะผา่ นการคูณความถ่ี 3 เทา่ รวม 2 คร้ัง เป็ น 9 เท่า รูปท่ี 1 แผนผงั ของเคร่ืองส่ง VHF / FM เคร่ืองส่งบางชนิด (ดงั รูปท่ี 2) จะทาการมอดูเลตทีค่ วามถ่ี IF ของภาคเครื่องรับเสียก่อนแลว้ จงึ นาไปเฮตเทอร์โรดายนก์ บั ความถ่ีของโลคอลออสซิเลเตอร์เพอื่ ใหไ้ ดค้ วามถี่ท่ีตอ้ งการ ในที่น้ีความ IF ของภาคเครื่องรับเท่ากบั 21.4 เมกะเฮิรตซ์ และความถ่ีโลคอลออสซิเลเตอร์เท่ากบั 453.6 เมกะเฮิรตซ์ (ไดจ้ ากการคูณความถี่คริสตอล 5.6 เมกะเฮิรตซ์ 81 เท่า) วิธีน้ีมีขอ้ ดีตรงที่ เราใชค้ ริสตอลเพยี งกอ้ น เดียวตอ่ ความถี่ใชง้ านหน่ึงความถ่ี โดยใชร้ ่วมกนั ท้งั สภาวะรับและสภาวะส่ง นอกจากน้ีภาคเครื่องส่งก็ ไม่จาเป็นตอ้ งมีวงจรมลั ติพลายตา่ งหากอีก รูปที่ 2 แผนผงั ของเครื่องส่ง UHF / FM 153

2. ภาคเคร่ืองรับ เครื่องรับ FM ในยา่ นความถ่ี VHF ส่วนใหญ่เป็นแบบดบั เบิลคอนเวอร์ชนั่ สาหรับในยา่ น ความถี่ VHF บางคร้ังอาจใชแ้ บบทริปเปิ ลคอนเวอร์ชนั่ (triple conversion) รูปที่ 3 แสดงแผนผงั ของ เคร่ืองรับชนิดซิงเกิลคอนเวอร์ชนั่ สังเกตว่าวงจรส่วนหน้าชนิดท่ีมีค่า Q สูงมาก เรียกว่าเฮลิคอน เรโซเนเตอร์ (Helical Reaontor) ส่วนในรูปที่ 4 แสดงแผนผงั ของเคร่ืองรบั ชนิดดบั เบลิ คอนเวอร์ชนั่ รูปที่ 3 เคร่ืองรบั FM แบบซิงเกิลคอนเวอร์ชน่ั รูปที่ 4 เคร่ืองรบั FM แบบดบั เบลิ คอนเวอร์ชน่ั 3. ตวั อย่างเครื่องรับส่งวทิ ยุ FM เคร่ืองรับส่งวิทยสุ ่วนใหญ่ ภาคเครื่องรับกบั ภาคเคร่ืองส่งจะแยกออกจากกนั โดยไม่ใชว้ งจร ร่วมกนั ดงั แผนผงั ท่แี สดงในรูปท่ี 5 แตก่ ย็ งั มีเคร่ืองรับส่งวทิ ยบุ างชนิดท่ีใชว้ งจรโลดอนออสซิลเลเตอร์ ร่วมกัน ดังรูปท่ี 6 โดยใช้คริสตอลเพียงก้อนเดียวกันท้ังในสภาวะส่ง สังเกตว่าในสภาวะส่งเรา จาเป็ นตอ้ งนาสญั ญาณออสซิลเลเตอร์มามิกซก์ บั ออสซิลเลเตอร์ที่มีความถ่ีIFเสียก่อนเพ่ือให้ไดค้ วามถ่ีใช้ งานทต่ี อ้ งการ สงั เกตอีกดว้ ยวา่ ความถ่ีของออสซิลเลเตอร์ในสภาวะรับกบั สภาวะส่งจะต่างกนั อยเู่ ท่ากบั ความถี่ IF พอดี 154

รูปที่ 5 เคร่ืองรบั ส่งวทิ ยุ FM ซ่ึงแยกภาคเคร่ืองรับและภาคเคร่ืองส่ง รูปท่ี 6 เครื่องรับส่งวทิ ยุ FM แบบใชว้ งจรออสซิลเลเตอร์ร่วมกนั เครื่องรับส่งวทิ ยอุ ีกชนิดหน่ึง (ในรูปที่ 7) ซ่ึงใชร้ ะบบสังเคราะห์ความถ่ีหรือซินธิไซเซอร์ แทนโลคอลออสซิลเลเตอร์ ขอ้ ดีของเครื่องรบั ส่งวทิ ยชุ นิดซินธิไซเซอร์น้ีก็คือเหมาะกบั กิจการท่ีตอ้ งใช้ ความถี่หลายความถี่ ช่วยใหป้ ระหยดั คริสตอลไปไดห้ ลายกอ้ น (และสามารถต้งั ความถี่ใชง้ านไดส้ ะดวก แต่ขอ้ ควรจาของเคร่ืองรับส่งในระบบน้ีก็คือ ความถี่ของออสซิลเลเตอร์ของระบบสงั เคราะห์ความถี่ จะตอ้ งขยบั ไปหรือออฟเซตไปเท่ากบั ความถ่ี IF 155


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook