๑ โรงเรียนทหารม้า วิชา การขมี่ ้า รหัสวชิ า ๐๑๐๒๐๑๐๘๐๑ หลกั สตู ร ชน้ั นายพัน แผนกวชิ าการขมี่ ้า กศ.รร.ม.ศม. ปรัชญา รร.ม.ศม. “ฝึกอบรมวชิ าการทหาร วทิ ยาการทันสมยั ธารงไวซ้ ง่ึ คณุ ธรรม”
๒ ปรชั ญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถปุ ระสงคก์ ารดาเนินงานของสถานศกึ ษา เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ๑. ปรชั ญา ทหารม้าเป็นทหารเหล่าหน่ึงในกองทัพบก ที่ใช้ม้าหรือส่ิงกาเนิดความเร็วอ่ืน ๆ เป็นพาหนะ เป็นเหล่าท่ีมีความสาคัญ และจาเป็นเหล่าหนึ่ง สาหรับกองทหารขนาดใหญ่ เช่นเดี ยวกับเหล่าทหารอื่น ๆ โดยมีคุณลักษณะ ที่มีความคล่องแคล่ว รวดเร็วในการเคลื่อนที่ อานาจการยิงรุนแรง และอานาจในการทาลายและข่มขวัญ อนั เป็นคณุ ลกั ษณะทส่ี าคัญและจาเป็นของเหล่า โรงเรียนทหารมา้ ศนู ย์การทหารมา้ มปี รชั ญาดังน้ี “ฝึกอบรมวิชาการทหาร วิทยาการทันสมัย ธารงไวซ้ ึ่งคุณธรรม” ๒. วสิ ยั ทัศน์ “โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้วิชาการเหล่าทหารม้าท่ีทันสมัย ผลติ กาลงั พลของเหลา่ ทหารม้า ใหม้ ีลักษณะทางทหารทีด่ ี มีคุณธรรม เพอื่ เป็นกาลงั หลกั ของกองทัพบก” ๓. พนั ธกิจ ๓.๑ วิจัยและพัฒนาระบบการศึกษา ๓.๒ พัฒนาคุณภาพครู อาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา ๓.๓ จดั การฝกึ อบรมทางวิชาการเหล่าทหารม้า และเหลา่ อนื่ ๆ ตามนโยบายของกองทพั บก ๓.๔ ผลติ กาลงั พลของเหล่าทหารม้า ใหเ้ ป็นไปตามวตั ถุประสงคข์ องหลักสตู ร ๓.๕ พัฒนาสื่อการเรียนการสอน เอกสาร ตาราของโรงเรียนทหารม้า ๓.๖ ปกครองบังคับบัญชากาลังพลของหน่วย และผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรต่างๆ ให้อยู่บนพื้นฐาน คุณธรรม จริยธรรม ๔. วตั ถุประสงค์ของสถานศกึ ษา ๔.๑ เพ่ือพฒั นาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ให้กับผู้ เขา้ รบั การศกึ ษาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ๔.๒ เพ่อื พัฒนาระบบการศกึ ษา และจัดการเรยี นการสอนผ่านส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ ใหม้ ีคณุ ภาพอย่างตอ่ เน่ือง ๔.๓ เพ่ือดาเนินการฝึกศึกษา ให้กับนายทหารช้ันประทวน ที่โรงเรียนทหารม้าผลิต และกาลังพลท่ีเข้ารับ การศึกษา ใหม้ ีความรคู้ วามสามารถตามที่หน่วย และกองทัพบกตอ้ งการ ๔.๔ เพ่อื พัฒนาระบบการบรหิ าร และการจัดการทรัพยากรสนับสนุนการเรียนรู้ ใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ ๔.๕ เพือ่ พฒั นาปรับปรงุ สอ่ื การเรียนการสอน เอกสาร ตารา ให้มคี วามทันสมยั ในการฝึกศึกษาอย่างต่อเน่ือง ๔.๖ เพื่อพัฒนา วิจัย และให้บริการทางวิชาการ ประสานความร่วมมือ สร้างเครือข่ายทางวิชาการกับ สถาบันการศึกษา หนว่ ยงานอ่นื ๆ รวมทงั้ การทานุบารุงศลิ ปวฒั ธรรม ๕. เอกลักษณ์ “เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ทางวิชาการ และผลิตกาลังพลเหล่าทหารม้าอย่างมีคุณภาพเป็นการ เพิม่ อานาจกาลงั รบของกองทัพบก” ๖. อตั ลักษณ์ “เดน่ สงา่ บนหลังมา้ เก่งกลา้ บนยานรบ”
สารบัญ ๓ ๑. วชิ าการปฏิบตั ิบารงุ ม้า หนา้ ๒. วชิ าการขีม่ า้ ๔ ๓. วชิ า Coach Education Level 1 ๓๑ ๔. วชิ าการบรรทุกตา่ ง ๖๔ ๕. วิชาการฝกึ ม้าใหม่ ๗๗ ๙๕ .........................................................................
๔ วชิ าการปฏบิ ัติบารงุ มา้ การปฏิบัติบารุงม้า คือ การกระทาให้สิ่งอุปกรณ์อยู่ในสภาพท่ีใช้งานได้ดีอยู่เสมอ ตามขีด ความสามารถ และอายุการใชง้ านของส่งิ อปุ กรณน์ ้ัน ๆ ม้าเป็นอุปกรณ์ประเภท ๒ เพราะฉะน้ันการปฏิบัติบารุงม้า คือ การกระทาให้ม้าแข็งแรง สมบูรณ์ สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา เต็มความสามารถตลอดการใช้งาน ม้าตัวผู้ ๑๕ ปี ,ม้าตวั เมีย ๑๒ ปี และ ล่อ ๑๖ ปี การท่ีจะปฏิบตั บิ ารงุ มา้ ให้ได้ผลดนี ้นั ข้นึ อยกู่ ับองคป์ ระกอบ ๓ ประการ คอื ๑. การเลี้ยงดทู ดี่ ี ไดแ้ ก่การเลือกท่ตี ั้งคอกมา้ วธิ กี ารตง้ั และการดูแลรกั ษาโรงม้า ๒. การดแู ลท่ดี ี ได้แก่การทาความสะอาดม้าการอาบนา้ ม้า การตัดขนม้า และการบารงุ กีบม้า ๓. การใช้งานท่ดี ี ไดแ้ ก่การฝกึ ซ้อมและการใชง้ าน การใชม้ า้ ให้เหมาะสมแก่กาลงั และการเดนิ ทางไกล วธิ เี ลือกทต่ี ้งั โรงมา้ ท่ีตงั้ โรงม้าต้องเป็นท่ีสูง เป็นที่แจ้งลมพัดอากาศภายในโรงม้าจะได้ไม่ร้อน ข้อ สาคัญคอื น้าตอ้ งไมท่ ่วมอากาศไม่ช้ืนซึ่งที่ต่ามักชื้นกว่าท่ีสูง เหตุน้ีทาให้ท่ีอยู่ท่ีต่ามักจะมีโรงภัยมากกว่าท่ีอยู่บนที่สูง เวลากลางวันมกั จะร้อนจัดเวลากลางคืนจะหนาวมากบริเวณท่ีตั้งโรงม้าต้องมีความกว้างสาหรับให้ม้าได้ว่ิงและเดิน ไดส้ ะดวกและสาหรับจะไดก้ วาดแปรงมา้ และตากฟางที่ปูให้ม้านอนที่ตั้งโรงม้าควรอยู่ใกล้แม่น้าคลองท่ีมีน้าสะอาด สาหรับให้ม้ากินและอาบน้าบ้างก็จะเป็นการดี เพราะตามธรรมดาสัตว์ท่ีอยู่ในเขตร้อนได้อาบน้าบ้างจะได้รู้สึก สบายอนึ่งที่ตั้งโรงม้าต้องเป็นท่ีเงียบสงัดไม่มีสิ่งท่ีอึกทึกครึกโครมมาก เช่นอยู่ตลาดหรือเคร่ืองจักรโรงสีต่าง ๆ ที่ ทางานในเวลากลางคืนด้วย ม้าก็ไม่ค่อยได้นอน และถ้าติดตลาดก็มีแมลงวันรบกวนทาให้ม้าต้องดิ้นรนปัดอยู่ ตลอดเวลาทาให้ซบู ผอมได้ วิธีต้ังโรงม้า ในประเทศเราฤดูหนาวลมพัดมาทางเหนือ ฤดูแล้งลมพัดมาจากทางใต้ ฉะน้ันการ สร้างโรงม้าควรเป็นโรงยาว จากทิศตะวันออกมาทางทิศตะวันตก เม่ือลมพัดจะได้เข้าทางหน้าต่างโรงม้าในตอน บ่ายแดดจะส่องผ่านถูกน้อยท่ีสุดและถ้าทาหลายโรงไม่ควรจะให้ติดกันมาก เพราะการติดกันมาก ๆ โรงกลางจะ ไมไ่ ดร้ ับอากาศพอ และมืด ฉะนนั้ จงึ ควรให้โรงมา้ เรยี งหา่ งกันเป็นขั้นบนั ไดเพ่ือให้ลมผ่านสะดวกและต้องให้ห่างกัน พอสมควรตามธรรมดาระยะห่างระหวา่ งโรงม้าต้องหา่ งกนั อยา่ งนอ้ ยเทา่ กบั สว่ นสูงของโรงม้า แสงสว่างจะได้เข้าไป ในโรงมา้ ไดส้ ะดวก ลักษณะของโรงม้า พ้ืนโรงม้าควรทาให้สูงกว่าพ้ืนดินธรรมดาประมาณ ๕๐ ซม. เพื่อสะดวกแก่ การวางท่อให้มูลไหล คอกต้องกว้างพอให้ม้าหันหรือเล้ียวได้สะดวก ขนาดคอกท่ีแก้ไขเปลี่ยนแปลงใหม่นั้น คือ คอกม้าไทยมีขนาดกว้าง ๒.๕๐ ม. ลึก ๒.๕๐ ม. คอกม้าเทศกว้าง ๒.๕๐ ม. ลึก ๓ ม. และมีรางข้าว รางหญ้า สาหรับให้ม้ากินได้สะดวก พ้ืนที่ควรเทด้วยซีเมนต์ แต่อย่าให้เรียบมากเพราะจะทาให้ม้าล้มเป็นอันตรายได้ พ้ืน ด้านคอกต้องต่ากวา่ พ้นื ด้านหลังคอกเลก็ น้อย เพื่อให้นา้ สง่ิ สกปรกไหลออกได้สะดวก ฝาคอกมี ๒ แบบ คอื แบบปนู และแบบกระดาน ซ่งึ แต่ละชนดิ มีข้อแตกต่างกันคือ ฝาคอกแบบ ปูนหรือจะดีกว่ากระดาน เพราะไม่ร้อนแข็งแรงทนทาน ทาความสะอาดง่ายและปูองกันเชื้อโรค แต่ราคาแพง ส่วนฝาท่ีทาด้วยไมก้ ระดานไมค่ ่อยทนทาน ถ้าไม่ทาสีจะผุเร็ว เป็นรอยต่อเป็นที่สะสมเช้ือโรค และพยาธิทาให้เกิด โรคผิวหนังไดง้ ่าย หลังคา ถ้ามุงด้วยกระเบื้องจะดีมาก ถ้าเป็นสังกะสีควรมีฝูาเพดาน และสุดท้ายควรปูหญ้าให้ม้า นอน กันการกัดของปนู ไม่ทาให้เกดิ แผล
๕ การทาความสะอาดตวั มา้ การกราดแปรง ถือว่าเป็นการทาความสะอาดม้าท่ีมีประโยชน์ ทาให้ร่างกายสะอาด ปูองกันโรค ผิวหนัง และบารงุ ผวิ หนังให้มคี วามสมบรู ณ์ เนื่องจากเลือกม้าเล้ียงผวิ หนังไดม้ ากกระจ่ายทัว่ ผิวหนงั การกราดแปรง ในข้ันต้นใช้กราดเหล็กตามคอ ตามตัว เพ่ือให้รังแคออกหมด แต่ต้องระมัดระวัง อย่าให้ผิวหนังถลอกเพราะฟันกราด ในบริเวณหนังบาง เช่น หน้าและที่ท้องไม่ควรกราด ยิ่งม้ามีผอมบาง เช่น มา้ เทศควรระมัดระวงั ยงิ่ ขนึ้ ถ้าเปน็ การจาเปน็ ไมค่ วรใชก้ ราดเลย การแปรง จับแปรงมอื ขวาและกราดเหล็กมอื ซา้ ย เอาแปรงถูย้อนขนไปมาจะมีรังแคติดแล้วนาไป ถูกับกราดเพื่อให้รังแคหลุดจากแปรง ควรทาความสะอาดจากด้านซ้ายไปก่อน แล้วทาด้านขวาเพื่อสะอาดเท่ากัน เมื่อกราดแปรงแล้วก็เช็ดตา จมูก ปาก และใบหน้าให้สะอาด ม้าท่ีกลับจากใช้งานใหม่ ๆ ควรใช้หญ้าถูตัวก่อน เพอ่ื ให้เหงอื่ แหง้ ไม่เกรอะกรัง และทาใหเ้ ลอื ดใต้ผวิ หนังกระจาย และสุดทา้ ยก็แคะกบี ลา้ งกบี ใหส้ ะอาด การอาบนา้ มา้ การอาบนา้ ม้าไม่สู้จาเป็นนกั คงอาบเพื่อล้างโคลนและฝุนตามตัวซ่ึงกราดแปรงไม่ ออก การอาบน้าบ่อย ๆ ด้วยสบู่ทาให้น้ามันที่ขนน้อยลง และอาจทาให้เป็นหวัดได้ง่าย สัปดาห์หน่ึงไม่ควร อาบนา้ ม้าเกิน ๑ ครัง้ และการอาบน้ามา้ มขี ้อควรระมัดระวัง ดงั นี้ ๑. ควรหาทส่ี ะดวก คือ เป็นท่ตี ลิง่ ไมช่ ัน หรือใกล้กับทสี่ กปรก เชน่ ทถ่ี า่ ยอจุ จาระเป็นตน้ ๒. ทนี่ า้ ไม่ควรหา่ งไกล เพราะการเดินไปไกล ๆ มา้ รอ้ นเปน็ หวดั ได้เน่อื งจากรอ้ นกระทบเยน็ ๓. มา้ ท่ีเปน็ หวดั ไม่ควรอาบนา้ และในเวลาแดดร้อนกไ็ ม่ควรอาบนา้ เมื่ออาจเสร็จกเ็ ช็ดตวั อย่าให้โดนลม การตดั ขนและผมม้า มีประโยชน์สาหรับการกวาดแปรงง่าย และดูสะอาด การตัดควรตัดในฤดูร้อน ห้ามตัดในฤดู หนาว ท่ีสาหรับตัดควรอยู่นอกโรงม้าและห่างเพราะผมท่ีตัดอาจปลิวติดตามคอกหรือเข้าจมูกทาให้ระคายเคือง และเป็นการปูองกันโรคผิวหนังและโรคติดต่อ เครื่องมือเมื่อใช้เสร็จทาความสะอาดและใช้เฉพาะตัวยิ่งเป็นการดี การตดั นนั้ จะตดั จากขาก่อน หรือตัวก่อนก็ได้ตามสะดวก เพราะม้าบางตัวต่ืนง่าย และตัดเป็นหน้า ๆ ไป ขนหาง และท่ีหน้าไม่ควรตัด ผมหน้าปอู งกันแสงส่องกระหมอ่ มกนั รอ้ นและหางสาหรบั ไลแ่ มลง ถ้าหางยาวมากตดั ออกก็ ได้แต่จะตัดข้อน่องแหลมไมไ่ ด้ เคราท่ใี ต้คางควรตัดออกใหห้ มดเพราะหนา้ เกลียดไม่มีประโยชน์ การบารงุ กบี การบารุงกีบเป็นสิ่งสาคัญมาก ถึงแม้ม้าไทยกีบจะทนทานแข็งแรงดีก็จริง แต่ผู้เล้ียงไม่เข้าใจ วิธีการบารงุ ก็ทาให้กีบม้าเสยี บอ่ ย ๆ วธิ ีการบารงุ กีบมดี งั น้ี ๑. เม่ือกลับมาจากราชการหรือฝึก ตอ้ งเอาดินหรือโคลนทีต่ ดิ ออก ๒. ถ้าใชน้ า้ อุ่นล้างกีบยง่ิ ดี ไม่ควรใช้นา้ เย็นลา้ งเม่อื วง่ิ มาใหม่ ๆ ต้องพกั ๑๕ นาที ๓. การจะให้กีบอ่อนและเหนียว ต้องให้มาว่ิงทุกวันและเดินท่ีนุ่ม ๆ ห้ามขึ้นที่แข็งที่มีหินโต ๆ ทาให้กีบ แตกรา้ วเสียได้งา่ ย บนถนนไมค่ วรวงิ่ เร็วควรวิง่ เรียบชา้ ๆ ๔. ห้ามใช้ส่ิงหนึ่งสิ่งใด เช่น ตะใบ บุ้ง กระดาษทราย ขัดถูที่ประทุนกีบหรือที่พ้ืนกีบ เพราะจะทาให้กีบ แตกรา้ วเสยี ไดง้ ่าย ๕. ห้ามยนื ท่ีแข็งนาน ๆ เช่น กระดานหรือพื้นซีเมนต์ ถา้ กบี มา้ แห้งเกนิ ควรใชด่ ินเหนียว
๖ พอกหรอื ยนื บนท่ีแฉะหรือโคลนท่ไี มส่ กปรก หรอื ใช้ผ้าชุบนา้ มันบารงุ กบี ทา เชน่ นา้ มันวาสลิน ๖. ควรเปลี่ยนเกือกตามกาหนดเวลา และตรวจเกือกเสมอ ๆ ถา้ หลวมควรเปลยี่ นหรือ ตอกใหแ้ น่น การฝกึ ซ้อมและการใช้งาน การให้ม้าวิง่ หรือเดนิ อยเู่ สมอนัน้ เป็นประโยชนต์ ่อร่างกายม้ามาก เพราะการวิ่งหรือเดินทาให้หัว ใจเต้นแรง หายใจถี่ ทาให้โลหติ และนา้ เหลืองเดินเร็วขึ้น การแลกเปล่ียนธาตขุ องเซลลด์ ขี น้ึ การขับของเสียก็ดีข้ึน การที่สัตว์ไม่ได้ออกกาลังกายทาให้ร่างกายไม่ปรกติใช้ง่ายได้ไม่ดี แต่การออกกาลังกายไม่ควรจะให้เหน่ือยเกินไป เพราะทาให้กล้ามเน้ือล้าได้หรือทาให้ซูบผอม เบื่ออาหาร และถ้าบารุงกลับคืนสภาพไม่ได้ก็เสียม้าราชการ เมื่อมี ความประสงค์จะให้ม้าทางานหนักหลายชั่งโมง ควรจะให้ทางานหนักข้ึนทีละน้อย ไม่ควรหักโหมทาทีเดียว ข้อ สาคญั ถา้ ทางานมากต้องเพมิ่ อาหารมากข้ึนตามสว่ นดงั ท่ีกล่าวแลว้ ข้างต้น การใช้ม้าให้เหมาะสมแก่กาลังและเหตูการณ์น้ัน เป็นข้อสาคัญยิ่งสาหรับความสมบูรณ์ของม้า เพราะถา้ ทางานได้ดแี ละสมบูรณ์ไม่ทรุดโทรมน้ัน ต้องเกี่ยวกับการใช้และการออกกาลังที่ถูกต้อง ต้องเร่ิมจากงาน ทีเ่ บาไปหาหนักและวนั หนง่ึ ไม่น้อยกว่า ๑ ชม. การเดินทางไกล เป็นประเภทหนักของม้า ดังน้ันท่ีนาออกเดินทางไกล ควรได้รับการฝึกซ้อมจน ร่างกายแข็งแรงเสียก่อน และก่อนเดินทางไกลควรตรวจเช็คอุปกรณ์การข่ี เช่น อาน บังเหียน และเกือกม้าให้ เรยี บร้อย ซึ่งถือว่าสาคญั มากดังสภุ าษติ ทว่ี ่า ไม่ตรวจดูตะปตู วั เดยี วถอน เกือกม้าคลอนไมก่ ระชับเขา้ กบั ที่ ม้าจงึ พลาทาขนุ พลหลน่ ทัน ทพั ไม่มีใครบัญชาจงึ ปราชยั ในเวลาเดินควรวิ่งบ้างเดินบ้างและว่ิงโขยกสลับกัน แต่ไม่ควรวิ่งเกินกว่าคราวละ ๑๕ นาที ควร เลือกทาเลท่ีเหมาะถ้ามีปัญหาควรจูงเดิน เช่น เนินท่ีขรุขระ และขบวนเดินถ้าเป็นหน้ากระดานได้ย่ิงดี ม้าจะได้ มองเห็นทางสะดวกและไม่ได้รับฝุนละออง เม่ือเดินได้ ๒-๓ กม. ควรจะหยุดพัก ๒-๓ นาที เพ่ือตรวจความ เรียบรอ้ ยด้วย และคราวต่อไปพัก ๕-๑๐ นาที ทุก ๆ ช่ังโมง ส่วนน้าให้กินได้ในขณะหยุดพัก แต่ควรให้กินทีละ น้อย และกินแล้วต้องเดินต่อไปอีก เพราะถ้าหยุดเลยโลหิตจะไปคลั่งท่ีกล้ามเนื้อมากเกินไป จะทาให้ม้าเป็นโรคโร มาตสิ ์ม และเป็นโรคปอดบวมได้ ดังน้นั กนิ นา้ ควรให้กินพอแกก้ ระหานเทา่ น้ันไม่ควรให้อิ่ม การจะกินใหอ้ ิม่ ตอ้ งได้ พักนานพอสมควรและหายเหนอ่ื ยแลว้ ลักษณะม้าและการตรวจคดั เลือกม้า ลักษณะม้า การเรียนเร่ืองนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อให้รู้เครื่องหมาย ตาหนิ สี ขวัญ ของตัวม้า เพื่อให้เป็นท่ีสังเกตจดจาตามหลักฐานทางราชการ เช่น ทาทะเบียนประวัติ รูปพรรณ ให้ถูกต้อง อันจะเป็น หลกั ฐานในการตรวจสอบเมอื่ มคี วามจาเป็น เครอื่ งหมายและตาหนิบนตัวม้า มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน แต่ละอย่างก็อาจจะเกิดข้ึนได้ตามส่วน ตา่ ง ๆ รา่ งกายมา้ แต่ที่เราสังเกตได้งา่ ยจากส่วนใหญ่ ๆ ๓ สว่ น คือ ๑. ส่วนศีรษะ ตลอดจนใบหน้าของม้า มตี าหนเิ คร่ืองหมายปรากฏอยหู่ ลายอยา่ ง เช่น ๑.๑ มา้ หน้าดาว คือ ม้าที่มีหน้าผากมีขนสขี าวเป็นจดุ กลมโตประมาณ ๒-๓ นิว้
๗ ๑.๒ มา้ หน้าใบโพธ์ิ คือ ม้าท่ีมีหน้าผากมขี นสีขาวขนึ้ อย่เู ป็นรปู คล้ายใบโพธ์ิ ๑.๓ มา้ หนา้ แด่น คอื ม้าท่ีมหี นา้ ผากมีขนสีขาวข้นึ เปน็ ทางยาวถึงปลายจมูก ๑.๔ ม้าหน้าดา่ ง คือ มา้ ทีม่ ีขนสีขาวทหี่ น้าผากเฉพาะบริเวณปลายจมกู หรือปาก ๑.๕ มา้ ตาแหวน คอื ม้าทล่ี กู ตาข้างใดขา้ งหน่งึ หรือสองขา้ งเปน็ สีขาวโดยรอบเปน็ รปู วงแหวน ๒. สว่ นขา มตี าหนิท่ีมองเหน็ ได้หลายอย่างและเรียกต่างกันดังนี้ ๒.๑ มา้ ขาสวมถุง คือ ม้าท่ีขนสีขาวตงั้ แตไ่ รกีบข้นึ ไป สงู กวา่ ข้อตาตุม่ ทั้งสองคหู่ น้า หรอื ขาคู่หลังแม้เพียง ค่เู ดียว ๒.๒ ม้าขาด่าง คอื มา้ ที่มีขนสีขาวทไี่ รกีบขึ้นไปเพียงข้างเดียว ๓. สว่ นลาตัว เราจะสงั เกตได้จากสขี องม้าซงึ่ อาจเปลย่ี นแปลงไดเ้ มอื่ สูงอายุข้ึน สีของม้าเราแบ่งออกเป็น ๓ พวก คอื ๓.๑ สลี ว้ น คือ ม้าทีม่ ขี นสีเดียวหรือคล้ายคลึงกันท้ังตัว และผิดกันบา้ งเล็กน้อย เช่น ลาตัวสีแดงอาจจะ มจี ุดสีดาปนบ้างเลก็ นอ้ ยก็อนุโลมเข้าอยกู่ ับพวกสีลว้ นได้ มา้ สีลว้ นจะมีสตี ่าง ๆ เช่น สีขาว สเี หลอื ง สนี า้ ตาล สีเขียว สีดา เหล่านี้หากมีสีปน ๆ กัน เช่น สีแดงกับสีน้าตาลหากมีสีใดเป็นสีนาหรือสีเด่นกว่าก็เรียกตามสีท่ีนา หรอื สที ีเ่ ดน่ ๓.๒ สีแซม ม้ามสี แี ซม คอื ม้าทีม่ สี หี นงึ่ ขึ้นปนกับอีกสีหนงึ่ เชน่ แซมดา คือ ม้าที่มีขนสีดาขึ้นปนสีขาว อยู่ท่ัวตัวจานวนใกล้เคียงกัน แซมเหลือง คือ ม้าที่มีขนสีเหลืองข้ึนแซมอยู่ทั่วตัว แซมแดง คือ ม้าท่ีมีขนสีแดงขึ้น ปนกบั ขนสีขาว ๓.๓ สีผ่าน ม้าสีผ่านก็คือม้าด่างน่ันเอง โดยถือสีขาวเป็นพื้นเดิม แล้วมีสีอ่ืนตัดผ่านเป็นทางยาว หรืออาจขา้ มสนั หลังไปกไ็ ด้โดยถอื เอาสีอนื่ นอกจากสีขาวเป็นสที ี่เรยี ก เชน่ ผ่านแดง ผ่านเหลือง อนึ่ง ม้าบางตัว อาจมีสเี หลืองหรือสีแดงเป็นพื้นแต่มีสีดาเป็นทางผ่านตั้งแต่ ตะโหนกถึงโคลนหาง ม้าเช่นน้ีเรียกว่าม้าบรรทัดหาง เหล็ก นอกจากสีและจุดสีต่าง ๆ อันเป็นตาหนิประจาม้าท่ี กล่าวมาน้ัน ยังมีส่ิงสังเกตบนตัวม้าซึ่งถือว่าสาคัญ ยิ่งอีกอย่างหน่งึ คอื ขวัญ ซึ่งจะได้กล่าวตอ่ ไป ขวญั ของม้า จัดว่าเป็นเครือ่ งสาคญั อย่างหนงึ่ ซึง่ มีเกือบจะทุกแห่งบนตังม้าและจะมีบางแห่งบาง ตวั เท่าน้นั ซ่ึงโบราณถือกันเคร่งครัดมากอาจให้คุณหรือให้โทษได้มากแต่ทหารไม่ถือเร่ืองขวัญเป็นเร่ืองสาคัญ ถือ วา่ ม้าน้ันแข็งแรงฝเี ท้าดเี ป็นสาคัญ ตามธรรมดาขวัญมา้ มีรปู ร่างอยู่ ๒ ชนดิ ๑. ขวญั ตะขาบ ขวัญชนิดนมี้ ีขนขนึ้ เรยี กกันทแยง ๆ แสกเปน็ ทางยาวคลา้ ยตัวตะขาบ ๒. ขวัญก้นหอย เป็นขวัญท่ีมีขนขึ้นชัดเรียงกันคล้ายก้นหอย และจะมีอยู่ทั่ว ๆ ไปตามร่างกายในท่ีต่าง ๆ ขวญั ตา่ ง ๆ เหล่านี้ ถ้าตาหนริ ปู พรรณกใ็ ชจ้ ดุ หรือทารูปตามท่ีต่าง ๆ ในรูปประพรรณกระดาษพอให้รู้ว่าเป็นขวัญ และมชี ือ่ เรียกกนั แตโ่ บราณ ดังน้ี ๑. ขวญั ดอกไม้ อยู่ทโี่ คนหซู ้ายขวา ๒. ขวัญรดั เกลา้ อย่รู มิ ผมทัง้ สองขา้ ง ๓. ขวญั หอ้ ยราชสาร อยทู่ ี่ใต้คอต่ากวา่ ลูกกระเดือก ๔. ขวัญผาดหอก เปน็ ขวญั ตะขาบอ ยขู่ า้ งใดข้างหนง่ึ ถา้ มที งั้ สองข้างเรยี กวา่ ขวญั ขนาบ ๕. ขวญั กาจับปากโลง อยูท่ ่ตี อนใต้ของขากรรไกรทั้งสองข้าง (ไม่ด)ี ๖. ขวญั คอเชือด อยใู่ ต้คอตรงลูกกระเดอื ก (ไมด่ )ี
๘ ๗. ขวัญดวงจันทร์ อยทู่ ห่ี น้าผาก (ด)ี ๘. ขวัญชัย อยู่ท่ปี ลายใบหู (ด)ี ๙. ขวัญหลุมผี อย่ทู ห่ี น้าผากมีลกั ษณะลึกโบ๋ (ไมด่ )ี ๑๐. ขวญั จกุ เลอื ด อย่ทู ่หี นา้ อกระหว่างขาหนา้ (ไม่ด)ี ๑๑. ขวญั ลงิ เจ่า อย่ทู ผ่ี มนกเอ้ียงใกลต้ ะโหงก (ไม่ด)ี ๑๒. ขวัญทนี่ ั่งโจน อยทู่ ่กี ลางหลงั ๑๓. ขวัญจาตรวน อยทู่ บี่ รเิ วณตาตุม่ ทั้งสองข้างของขาหนา้ (ไมด่ )ี ๑๔. ขวัญโกลนพระอนิ ทร์ อยตู่ รงแนวรัดทึบเหนอื ข้อศอกทั้งสองข้าง ๑๕. ขวญั บันไดแกว้ อยู่เหนือขอ้ เข่าด้านหลังของขาหนา้ ๑๖. ขวญั อู่ตะเภา อยู่ตรงกระพงุ้ ท้องมกั มที ั้งสองขา้ ง (ดี) ๑๗. ขวญั ลงึ คจ์ ้า อยูต่ รงปลายลึงคโ์ ผลอ่ อกมา (ไม่ด)ี ๑๘. ขวัญหวั คว้ิ อยตู่ รงหวั ค้วิ ๑๙. ขวัญแร้งกระพือปีก อยูบ่ ริเวณหวั ไหล่ม้า ขวญั ต่าง ๆ ของมา้ กม็ อี ยเู่ ท่าน้ี ซึ่งทางราชการไมส่ นใจว่าดหี รอื ไมด่ ีของขวญั การทราบกเ็ พอ่ื ให้ ทราบตาแหนง่ ท่อี ยู่ เพ่อื ประโยชนใ์ นการทาตาหนริ ูปพรรณเท่านัน้ หลักเกณฑใ์ นการคัดเลือกมา้ เพอื่ ใช้ในราชการทหาร ม้าท่ีใช้ในราชการทหารจาเป็นอย่างย่ิง จะต้องมีหลักเกณฑ์ในการตรวจคัดเลือกเพ่ือให้ได้ม้าที่ได้ ขนาดเหมาะสมในการข่ี เทียนลาก หรือบรรทุกต่าง ตามท่ีกาหนดความมุ่งหมายเอาไว้ว่า จะใช้งานในประเภทใด ม้าทด่ี จี ะมีหลักเกณฑโ์ ดยส่วนรวมดังน้ี ๑. มีความสมบูรณท์ างร่างกายโดยเดน่ ชดั ไม่มีสว่ นใดบกพร่อง ๒. ไมม่ โี รคภัยไข้เจบ็ โดยเฉพาะโรคตดิ ตอ่ ๓. อายุพอเหมาะแก่การใชง้ าน ไม่อายุน้อยหรือมากเกินไป ๔. ควรอยใู่ นเกณฑพ์ อเหมาะทจ่ี ะใชง้ านแต่ละประเภท ซึ่งมีรายละเอียดดงั นี้ ๔.๑ ความสมบูรณข์ องรา่ งกาย ม้าที่สมบูรณ์จะมีลักษณะร่าเริง ปราดเปรียว ฉลาด ฝึกง่าย ทางานหนัก ไดน้ าน และไม่อยู่ในข้อหา้ มขอ้ ใดข้อหน่ึงดังนี้ - ตาบอดฝูาฟาง ตาบอดตาใส หรอื มีพยาธใิ นตา - สตั ว์ทมี่ ีโรคทางปอดเรอื้ รัง - สตั ว์ทเ่ี ป็นโรคกระดูกผุ เช่น หนา้ บวม ขอ้ บวม เอวและหลังแขง็ - ม้าหลงั แอน่ เอวยาวและออ่ น - มา้ ทม่ี หี วั ตะคากยุบข้างใดข้างหนึ่ง - หางเน่ากดุ หายไป - ลิ้นขาดหายไปเกนิ ครึง่ - ซี่โครงและอกลีบเลก็ มาก - แข้ง เอน็ ขา ข้อน่องแหลมพกิ าร - ขอ้ ขาพิการ ขาเสีย - ขาอ่อนโคง้ ข้อใต้ตาตุม่ ขาหนา้ ยาวอ่อนเอนมาก
๙ - เปน็ โรคทางกีบซึง่ ไม่สามารถรักษาได้เร็ววัน - นสิ ยั ดรุ ้ายผดิ ธรรมชาติ - รปู ร่างผิดธรรมดาจนน่าเกลียด - สัตว์เจ็บปวุ ยเป็นโรคติดต่อต่าง ๆ - เนอ้ื งอกอยา่ งร้ายแรง - ร่างกายทรดุ โทรมซูบผอมมากซง่ึ จะฟ้ืนตัวได้ยาก - เป็นโรคทางอวัยวะสืบพนั ธ์หุ รอื พกิ าร ๔.๒ การไม่มโี รคภัยไขเ้ จบ็ โดยเฉพาะโรคติดต่อตา่ ง ๆ ๔.๓ อายุ อายุของม้าท่ใี ชใ้ นราชการไดก้ าหนดไว้ดังน้ี มา้ ขไ่ี ด้ถือเกณฑ์อายุไม่ต่ากว่า ๓ ปี และไม่เกิน ๘ ปี ส่วนโค ,กระบือ ต้องมีอายุไม่ต่ากว่า ๔ ปี และไม่เกิน ๗ ปี ๔.๔ ความสูง ตามระเบยี บกาหนดไว้ดงั น้ี ๔.๔.๑ ม้าขส่ี าหรับนายทหารทั่วไป ใช้ม้าสูงตั้งแต่ ๑.๒๐ - ๑.๓๐ เมตร แต่ถ้าผู้ขี่ม้ามีน้าหนักเกิน กว่า ๖๐ กก. ใหใ้ ช้มา้ ทม่ี ีขนาดสูง ๑.๓๐ - ๑.๓๕ เมตร ๔.๔.๒ มา้ ขสี่ าหรับนายทหารมา้ ใชม้ ้าทีม่ ขี นาดสูง ๑.๓๖ เมตรขึน้ ไปหรือมา้ เทศ ๔.๔.๓ มา้ ขี่สาหรบั กองพันทหารมา้ ท่วั ไป ใชม้ า้ ท่ีมขี นาดตัง้ แต่ ๑.๒๐ - ๑.๓๐ เมตร เว้น ม.พนั .๒๙ รอ. ใชม้ ้าขนาดสูงเกินกว่า ๑.๓๐ เมตรข้ึนไปหรอื มา้ เทศ ๔.๔.๔ ลา ลอ่ และโค ทใี่ ช้เทียมลากและบรรทุกต้องมีขนาดสูงตั้งแต่ ๑.๑๖ - ๑.๒๔ เมตร การวัด ความสงู ของมา้ ลา ลอ่ ใหถ้ ือระดบั ความสูงทสี่ ดุ ของตะโหงก สาหรับโคใหถ้ อื ระดับความสูงตรงเท้าตะโหงก บรเิ วณขวญั กลางหลงั เรอ่ื งการสัตว์ สตั วพ์ าหนะ ในราชการทหารหมายถงึ สตั ว์พาหนะใช้ในราชการในการขับข่ี เทียมลาก บรรทุกต่าง และผสมพนั ธุ์ เช่น ม้า ลา ล่อ โค กระบอื สัตวฉ์ กรรจ์ หมายถงึ สตั ว์พาหนะทัง้ เพศผู้และเพศเมยี มีอายุ ๓ ปี บรบิ รู ณข์ นึ้ ไป การจัดหาสัตว์พาหนะใช้ในราชการ ทบ. จัดหาโดย ๑. จดั หาซื้อดว้ ยเงินงบประมาณ ทบ. เปน็ คร้งั คราว หรือจดั ซื้อด้วยเงนิ รายไดร้ ายใดรายหน่ึงตามความ เหมาะสม ๑.๑ จดั ซอื้ ภายในประเทศ ๑.๒ จัดซอื้ นอกประเทศ ๒. จัดหาด้วยการเกณฑ์มาจากประชาชน หรอื มผี ใู้ ห้ หรอื จากการผสมพันธ์ุภายในหน่วย ๒.๑ สัตวพ์ าหนะมาใชท้ างราชการทหารนัน้ ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามพระราชบญั ญัตกิ ารเกณฑพ์ ลเมือง อุดหนุนราชการทหาร ๓. การจัดหาสัตว์พาหนะในปีใดจะซ้ือภายในหรือต่างประเทศเท่าใด ให้แจ้งให้ ทบ. ไปพร้อมกับการขอตั้ง งบประมาณ ส่วนราชการคิดวงเงินจดั ซือ้ ให้ถอื ราคาสัตว์พาหนะของท้องถิ่นในปัจจุบันเท่าที่ปรากฏมีการซื้อขายกัน การจดั ซอื้ จะต้องมีนายแพทย์เป็นกรรมการดว้ ย ๑ นาย เปน็ อย่างนอ้ ยเสมอไป
๑๐ ลกั ษณะสัตว์ใชใ้ นราชการ ๑. มา้ ที่ ทบ.จดั หาใชใ้ นราชการนน้ั มขี นาดดงั น้ี ๑.๑ ม้าสาหรบั นายทหารท่วั ไปใช้ม้าขนาดสงู ตง้ั แต่ ๑.๒๕ - ๑.๓๐ ม. แต่ถ้ามผี ู้ขม่ี ีน้าหนกั ตั้งแต่ ๖๐ กก. ข้ึนไปใหใ้ ช้ม้าขนาดสงู ๑.๓๐ - ๑.๓๕ ม. ๑.๒ ม้าข่สี าหรบั นายทหารม้า ใช้ม้าท่มี ีความสูง ๑.๓๖ ม. ขน้ึ ไปหรอื ม้าเทศ ๑.๓ มา้ ขี่กองพนั ทหารมา้ ท่ัวไปใช้ม้าท่มี ีขนาดต้ังแต่ ๑.๒๐ - ๑.๓๐ ม. เว้น ม.พัน.๒๙ รอ. ใช้ม้าสูงเกิน กวา่ ๑.๓๐ ม. หรือม้าเทศ ๑.๔ มา้ ลา ล่อ และ โค ทีใ่ ช้เทยี มลาก และบรรทุกต่างต้องมขี นาดสงู ต้ังแต่ ๑.๑๖ - ๑.๒๔ ม. ๒. การวัดขนาดความสูงของม้า ลา ล่อ ให้ถือความสูงที่สุดของตะโหงก สาหรับโค ให้ถือระดับความสูงตรง ทา้ ยตะโหงกบรเิ วณขวญั กลางหลงั ๓. อายุของม้า ลา ล่อ ท่ีจะซื้อมาใชใ้ นราชการ ทบ. น้ัน ให้ถือหลักเกณฑอ์ ายุไมต่ ่ากวา่ ๓ ปี และไมเ่ กนิ ๘ ปี ส่วน โค กระบือ ตอ้ งมอี ายไุ มต่ า่ กวา่ ๔ ปี และไมเ่ กิน ๗ ปี ๓.๑ ม้า ลา ล่อ ให้สงั เกตฟันเปน็ หลกั ในการดูอายุ ๓.๒ โค กระบือ ให้สงั เกตฟันกบั เขาเปน็ หลกั ๔. ลักษณะของสัตวท์ ี่ห้ามซื้อในราชการ ๔.๓ ตาบอด ตาฝาู ฟาง บอดตาใส หรือมพี ยาธิในตา ๔.๔ สัตว์ท่เี ปน็ โรคทางปอดเรื้องรงั เช่น หอบหดื ๔.๕ ม้า ลา ล่อ ทีเ่ ป็นโรคกระดกู ผคุ อื อาการหนา้ บวม ข้อบวม เอวและหลงั แข็ง ๔.๖ เป็นโรคสูบสมุทร ๔.๗ มา้ ทม่ี รี ปู ร่างลกั ษณะหลังแอ่น เอวยาวและอ่อน ๔.๘ หวั ตะคากยุบไปข้างหนงึ่ หรอื สองข้าง ๔.๙ หางกดุ หรอื หลดุ ไป ๔.๑๐ ล้ินขาดหายไปเกินครึง่ ๔.๑๑ มีซี่โครงและอกลีบมาก ๔.๑๒ แข้งและเอ็นขา หรอื ขอ้ น่องแหลมพิการ ขาดหรอื เป็นปุมโตจนกีดขวางการเคล่ือนไหว ๔.๑๓ กระดูกขอ้ พิการหรอื ขาเสีย ๔.๑๔ ขาอ่อน ขาโค้ง หรอื ขาเก หรือข้อใตต้ าตมุ่ ขาหนายาวและออ่ นแอมาก ๔.๑๕ มโี รคทางกีบ ซ่ึงสัตวแพทย์ตรวจแลว้ เหน็ วา่ ไม่มที างรกั ษาหายเปน็ ปกตไิ ดใ้ นเร็ววนั เชน่ กบี ผุ กีบแตกร้าวจนเห็นเนื้อในกีบ กบี ชา้ บวมจนอ้งุ กบี บวมนูนผดิ ปกตธิ รรมดา ๔.๑๖ มีนิสัยดรุ ้ายผิดธรรมชาติ ๔.๑๗ มีรปู รา่ งผิดธรรมชาติจนหน้าเกลียด ๔.๑๘ เจ็บปวุ ยดว้ ยโรคตดิ ตอ่ ตา่ ง ๆ ๔.๑๙ เป็นแผลเน้อื งอกอยา่ งร้ายแรง ๔.๒๐ แสดงอาหารปรากฏชดั วา่ เป็นโรคทางสืบพันธ์ ๔.๒๑ รา่ งกายทรดุ โทรมซบู ผอมมากซงึ่ สตั วแพทยต์ รวจแลว้ มอี าการฟนื้ ตัวยาก
๑๑ การนาสตั วข์ นึ้ ทะเบยี น ๑. กรมการสัตว์ทหารบก เป็นเจา้ หนา้ ที่ควบคุมยอดสัตว์พาหนะของหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพบก รวมทั้งการ ปลดจาหน่ายทะเบียนโดยตลอด การปลดจาหนา่ ยถือตามระเบียบ ทบ.ว่าดว้ ยการจาหน่ายสิ่งอปุ กรณ์ พ.ศ.๒๔๐๙ ๒. เมื่อกรมกองต่าง ๆ ได้รับสตั ว์พาหนะเพ่มิ เติมข้นึ มาใหม่ ให้รายงานขออนุญาตนาสัตว์ข้ึนทะเบียน พร้อม ด้วยบัญชีนาสัตว์ขึ้นทะเบียน เสนอผู้บังคับบัญชาช้ัน ผบ.พล หรือ ผบ.หน่วยอิสระรวบรวมส่งกรมการสัตว์ ทหารบกในทา้ ยรายงานใหแ้ จง้ สตั วพ์ าหนะทอ่ี ยูเ่ ดมิ ประเภทใด เท่าใด ขอขน้ึ ทะเบียนใหมป่ ระเภทใดเท่าใด ๓. สตั ว์พาหนะทจ่ี ะต้องนาขน้ึ ทะเบยี นคอื ๓.๑ สตั วพ์ าหนะทเี่ กดิ ใหม่ ๓.๒ สตั ว์พาหนะทส่ี ญู หายใหจ้ าหนา่ ยจากบญั ชีแลว้ ภายหลังไดค้ นื มา ๓.๓ สัตว์ที่ได้รบั มาใหม่จากการจัดหาหรือโอนมาจากหน่วยอนื่ หรือมบี ุคคลมอบ ใหเ้ ปน็ สมบัตขิ องทางราชการ ๔. สตั ว์พาหนะทนี่ าข้นึ ทะเบยี นใหมน่ ัน้ ให้ ผบ.หนว่ ย ส่งั ตัง้ คณะกรรมการประกอบดว้ ย สัตวแพทย์ของหน่วยนั้น ตรวจตาหนิรูปพรรณทาประวัติประจาตัวแนบกับรายงานขอข้ึนทะเบียน เสนอ ผู้บงั คับบญั ชารวบรวมสง่ กรมการสตั วท์ หารบกภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันท่ีได้รับสัตว์พาหนะเข้า แต่ลูกสัตว์ที่ได้รับ โอนซ่ึงมปี ระวัติประจาตัวอย่แู ล้ว ไม่ต้องส่งประวัติประจาตวั ๕. เมื่อกรมการสัตว์ทหารบก ได้รับเรื่องการขอขึ้นทะเบียนสัตว์พาหนะแล้วพิจารณาตั้งชื่อและกาหนด เครื่องหมายประจาตัวแก่สัตว์น้ันๆ และแจ้งหน่วยต้นสังกัดทราบแล้วนาสัตว์ขึ้นทะเบียนสัตว์พาหนะตามประเภท และชนดิ ของสัตว์ ๖. เมื่อลูกสัตว์ได้ข้ึนทะเบียนประเภทลูกสัตว์ไว้แล้ว เม่ือมีอายุครบ ๓ ปีบริบูรณ์ ให้หน่วยต้นสังกัด ตรวจ ตาหนิรูปพรรณ ลงในประวตั ปิ ระจาตวั สตั ว์อกี ครั้งหนง่ึ แนบกับรายงานการขอย้ายประเภทเป็นสัตวฉ์ กรรจ์ ๗. ให้กรมการสัตว์ทหารบก กาหนดตรวจเครื่องหมายทะเบียนสาหรับใช้ประทับที่มุมขวาบนของประวัติ ประจาตัวสัตว์ ซึ่งแสดงว่าสัตวน์ ้ันได้ผ่านการขึน้ ทะเบียน ณ กรมการสตั ว์ทหารบก โดยถูกต้อง ๘. หน่วยท่ีต้องรับผิดชอบเล้ียงดูสัตว์พาหนะ มีหน้าท่ีเก็บรักษาประวัติประจาตัวสัตว์และทาบัญชีทะเบียน สัตวป์ ระจาหน่วยไวใ้ หเ้ รยี บรอ้ ยถูกต้องกบั สัตว์ในปกครองเสมอ ๙. การทาประวตั ิประจาตัวสตั ว์ขน้ึ มาใหม่ เพื่อทดแทนฉบับท่สี ูญหายหรือถูกทาลายไปด้วยเหตุใด ๆ กต็ าม ให้ ผบ.หน่วยชน้ั ผบ.พนั สงั่ ต้ังคณะกรรมการซง่ึ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ทาการสารวจ โดยอาศัยบัญชี ทะเบียนสัตว์ของหนว่ ยทาประวตั ิประจาใหม่ แนบรายงานเสนอผบู้ ังคบั บัญชี ส่งไปกรมการสัตว์ทหารบกเพือ่ ตรวจสอบและประทบั ตราเครอ่ื งหมายใหม่
๑๒ การปลดจาหนา่ ยสัตว์พาหนะออกจากทะเบยี น ๑. สัตวพ์ าหนะจะจาหน่ายออกจากทะเบียนไดต้ ามเหตุต่อไปนี้ ๑.๑ ตาย ๑.๒ สูญหาย ๑.๓ ได้รบั อนมุ ตั ใิ ห้โอนย้ายไปสงั กดั หนว่ ยอื่น ๑.๔ ร่างกายอ่อนแอทรุดโทรมใช้ราชการไม่ได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ตรวจสอบแล้วเห็นว่า ไม่มีทางให้ สมบรู ณ์แขง็ แรงได้ ๒. เมื่อสัตว์พาหนะตายหรือประสบอันตรายบาดเจ็บสาหัส ผบ.พัน ตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์สอบสวนหาสาเหตุ พร้อมท้ังรายงานการตรวจซากศพเสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชา แต่ถ้า ตายด้วยสาเหตุ เช่น ตกเขาตาย ถูกรถชนตาย หรือถูกทาร้ายถึงตายหรือประสบอันตรายบาดเจ็บสาหัส ให้ต้ัง คณะกรรมการสอบสวนหาหลกั ฐานและพิจารณาหาตวั ผกู้ ระทาความผดิ เพ่อื ชดใช้ราคาสัตว์หรือลงโทษผู้รับผิดชอบ ตามควรแต่กรณี เว้นแต่กรณที เ่ี หน็ ว่าเปน็ เหตุสดุ วิสยั ๓. สัตว์พาหนะสูญหาบไปด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตามให้ถือว่าเป็นความบกพร่องของผู้รับผิดชอบโดยตรงจึงให้ ผบ.หนว่ ยเทียบชน้ั ผบ.พัน ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาตามลักษณะเหตุการณ์ดงั นี้ ๓.๑ ถ้าสูญหายแล้วติดตามตัวได้คืนมาภายใน ๑ เดือน ยังไม่ถือว่าเป็นความบกพร่องเพราะขาดความ ระมดั ระวงั ให้พิจารณาลงทณั ฑผ์ กู้ ระทาผิด เว้นแตก่ รณที เ่ี หน็ วา่ เป็นเหตุสุดวิสยั จรงิ ๆ ๓.๒ ถ้าสูญหายไม่ได้คืนมาภายใน ๑ เดือน ให้ผู้รับผิดชอบร่วมกันชดใช้ เว้นแต่ในกรณีท่ีได้ตัวคนร้าย และศาลไดพ้ จิ ารณาลงโทษให้จาเลยไดร้ ับโทษโดยเดด็ ขาดแลว้ ไมต่ ้องใหผ้ รู้ ับผดิ ชอบชดใช้ราคาสตั ว์ ๔. การย้ายสัตวพ์ าหนะออกจากการปกครองของเจ้าหน้าท่ี ของหน่วยหน่ึงไปให้อีกฝุายหนึ่งเม่ือได้รับอนุมัติ จากผู้บังคับบัญชาแลว้ ใหแ้ จ้งกรมการสตั วท์ หารบกทราบภายใน ๗ วนั เพ่อื จดั การลงทะเบยี นต่อไป ๕. การอนุญาตจาหน่ายสัตว์พาหนะออกจากทะเบียนให้หน่วยต้นสังกัดรายงานต่อผู้บังคับบัญชา นับต้ังแต่ สัตว์ตายหรือโยกย้าย เว้นแต่กรณีสูญหายให้รายงานเม่ือครบ ๑ เดือน รวบรวมส่งกรมการสัตว์ทหารบก พร้อม หลักฐานตอ่ ไปน้ี ๕.๑ ยอดสัตว์พาหนะเม่อื ไดจ้ าหน่ายในคร้ังนั้นแลว้ คงเหลือคงเหลอื ทั้งส้ินประเภทใดเทา่ ใด ๕.๒ สาเนารายงานผลการสอบสวน ๕.๓ ความเห็นของเจ้าหนา้ ท่แี พทย์ ๕.๔ บญั ชจี าหน่ายสตั ว์พาหนะ ๖. ให้กรมการสัตว์ทหารบกพจิ ารณาเสนอความเหน็ ขออนมุ ัติต่อ ผบ.ทบ. ตอ่ ไป ๗. สัตว์พาหนะซ่ึงไม่เหมาะสมแก่การใช้ราชการน้ัน ให้หน่วยต้นสังกัดรายงานขออนุญาตขายต่อ ผบ.ทบ. และเมือ่ ได้รบั อนุมัตแิ ลว้ ให้ผูบ้ งั คบั บัญชาช้ัน ผบ.พล ดาเนินการขาย เสร็จแล้วขอจาหน่ายทะเบียนต่อกรมการสัตว์ ทหารบก ๘. ถ้าสัตวต์ ายด้วยโรคติดตอ่ และเนอื้ ใช้เป็นอาหารไมไ่ ด้ ให้จัดการฝังหรือเผาซากสัตว์ให้ดีที่สุดห้ามนามาใช้ ประโยชน์ใด ๆ เปน็ อันขาดการตรวจรักษาและคดิ ราคาสัตวพ์ าหนะ ๙. เม่ือสัตวพ์ าหนะของหนว่ ยเจ็บปุวย ให้หน่วยต้นสังกัดนาสัตว์ส่งเจ้าหน้าที่สัตวรักษ์รักษาพยาบาลด้วยใบ
๑๓ ส่งสัตว์พร้อมกับประวัติประจาตัว เม่ือสัตว์น้ันหายปุวย ตาย หรือ พิการ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สัตวรักษ์จะต้อง กรอกรายการเจ็บไข้ และลงบันทึกความคิดเห็นในประวัติประจาสัตว์น้ัน ๆ ไว้ ให้ชัดเจน และลงนาม,วัน,เดือน,ปี กากบั ไว้ทกุ คร้งั ๑๐. ให้ผูบ้ งั คับบัญชาช้นั ผบ.พนั ทาการตรวจเขตสุขาภิบาลสตั วพ์ าหนพของหนว่ ยเดอื นละครั้ง และเพอ่ื ให้ สัตวข์ องกองทพั บกอยู่ในสภาพสมบูรณจ์ งึ ให้ ผบ.หมวด หรอื กองสตั วรักษ์ ทาการตรวจสขุ าภิบาลสตั ว์พาหนะใน หน่วยต่าง ๆ ท่ีอยู่ในความรับผิดชอบ ทารายงานและทาบัญชีงบยอดสัตว์เจ็บปุวยประจาเดือน เสนอ ผู้บังคบั บญั ชา เพ่ือส่งใหก้ ับกรมการสัตวท์ หารบกภายในวันท่ี ๑๐ ของเดือน หลกั เกณฑ์การตรวจใหถ้ อื ดังนี้ ๑. สัตว์พาหนะของหน่วยใดมีขนาดเทา่ ใด ๒. ความสมบูรณ์ของร่างกายดเี ลวเท่าใด ๓. ความเอาใจใสใ่ นการปฏบิ ัติเล้ียงดอู ย่ใู นระดับดเี ลวเพียงใด ๔. มีโรคภยั ไขเ้ จบ็ อย่างใด เท่าใด ๕. บริเวณทีอ่ ย่ขู องสตั ว์เรียบร้อยเพยี งใด ๖. ถา้ มีการบกพรอ่ งให้ตักเตือนแนะนาอยา่ งใด ๑. เมื่อสัตว์พาหนะมีร่างกายทรุดโทรมซูบผอม ให้หัวหน้าหน่วยปกครองสัตว์พิจารณาส่ังแยกสัตว์ไปพัก ทอดและบารุงใหส้ มบรู ณ์ หรือขอคาแนะนาจากเจา้ หน้าที่สตั วรักษ์ ๒. ให้ ผบ.หมู่ หมวด หรือ กองพันสัตวรักษ์ ทาสถิติพยากรณ์โรคสัตว์ภายในหน่วยต่าง ๆ ท่ีอยู่ในความ รับผิดชอบทุก ๆ ๖ เดือน ทารายงานเสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อส่งให้กรมการสัตว์ทหารบกภายในวันท่ี ๑๐ ของ เดอื น กรกฎาคมและ มกราคม ของทกุ ปี ๓. บรรดาสัตว์พาหนะที่ใช้ราชการตามหน่วยต่าง ๆ นอกจากมีโรคภัยเบียดเบียนแล้วร่างกายอาจเสื่อม โทรมตามอายุ จึงกาหนดอายเุ พ่ือพิจารณาจาหนา่ ยสัตว์ดงั ต่อไปนี้ ๓.๑ ม้าผู้อายปุ ระมาณ ๑๕ ปี ๓.๒ ม้าเมยี อายปุ ระมาณ ๑๒ ปี ๓.๓ ลา ลอ่ มอี ายปุ ระมาณ ๑๖ ปี ๓.๔ โค กระบอื มอี ายุประมาณ ๑๖ ปี ระยะความเส่ือมโทรมของร่างกายสัตว์ที่กาหนดเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าสัตว์ตัวใดยังมีร่างกาย สมบูรณแ์ ข็งแรงดี พอท่จี ะปฏิบตั งิ านของหนว่ ยไดก้ ใ็ หง้ ดการปลดจาหน่ายไว้ชว่ั คราว หรอื เห็นสมควรจะใชท้ าการ ผสมพนั ธไ์ ดก้ ม็ อบให้แก่เจ้าหนา้ ท่ีสัตวรักษข์ องหนว่ ยหรือกรมการสตั ว์ทหารบก นาไปใชผ้ สมพนั ธแ์ ล้วแต่กรณี ๔. สัตวพ์ าหนะของทางราชการ จะได้มาด้วยการซ้ือหรือมีผู้ให้ หรือผสมพันธ์ขึ้นก็ตาม ต้องกาหนดราคา ไวป้ ระวัตปิ ระจาตวั โดยอาศัยหลักเกณฑ์ดงั น้ี ๔.๑ ถ้าสัตว์พาหนะนนั้ ไดม้ าด้วยการซอ้ื ให้ถือตามราคาซื้อ ๔.๒ ถ้าสัตว์นั้นได้มาด้วยการให้ คณะกรรมการจะต้องพิจารณาต้ังราคาตามปัจจุบันของท้องถิ่นนั้น ประกอบสภาพสัตว์ ๔.๓ การคิดราคาลูกสัตว์ ให้เป็นหน้าที่ของกรมการสัตว์ทหารบกเป็นผู้กาหนดและวางระเบียบ
๑๔ ปลีกย่อย และเมื่อลูกสัตว์มีอายุ ๓ ปีบริบูรณ์ จึงกาหนดราคาแน่นอนลงในประวัติประจาตัวเนื่องจากราคาสัตว์ พาหนะไม่คงตามสภาพท้องถ่ิน ดงั นัน้ การคิดราคาควรให้คณะกรรมการยึดถือหลกั เกณฑ์ดังน้ี ๔.๓.๑ ถ้าราคาสัตว์ในท้องถ่ิน เมื่อเฉล่ียแล้วมีราคาสูงกว่าท่ีกาหนดไว้ในประวัติประจาตัว ให้ถือ ราคาท้องถิ่นน้ัน ถ้าราคาในท้องถิ่นต่ากว่าราคาในประวัติประจาตัวม้า ให้ ถือราคาชดใช้ตามกาหนดไว้ในประวัติ ประจาตัว ๔.๓.๒ ถ้าสัตวน์ น้ั มีอายตุ ัง้ แต่ ๗ ปบี ริบูรณ์ขนั้ ไป ก็ให้ลดราคาชดใชล้ งปีละ ๑๐ เปอร์เซน็ ต์ ๕. ถ้าสัตว์พาหนะเป็นของประชาชนหรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่หรือเพ่ือส่งเสริมบารุงพันธ์ ให้ กรมการสตั วพ์ จิ ารณาและเสนออนมุ ัติ ผบ.ทบ. เป็นราย ๆ ไป ๖. เงินคา่ สตั ว์พาหนะให้นาเงนิ สง่ ต่อเจ้าหนา้ ที่ฝุายการเงนิ ตามข้อบังคับทหารว่าดว้ ยการเงนิ การใชแ้ ละบารุงสัตว์พาหนะ ๑. ห้ามนาสัตว์พาหนะของทางราชการไปประกอบกิจอันเป็นประโยชน์ส่วนตัว เว้นแต่กรณีซึ่งเป็น นโยบาย ที่ต้องการให้ความช่วยเหลือเป็นคร้ังคราว อันเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ทางจิตใจ ให้ ผบ.หน่วย ช้ัน ผบ.พนั พิจารณาผอ่ นผันตามสมควร แต่ถ้าสัตว์น้ันต้องประสบอันตรายล้มตายลงด้วยเหตุอันใดก็ดี ผู้นาสัตว์หรือผู้ รับรองต้องชดใช้เงนิ ๒. ให้ ผบ.หน่วยเทียบช้ัน ผบ.พล ต้ังกรรมการสารวจสัตว์พาหนะตามกรมกองต่าง ๆ ที่อยู่ในความ รับผิดชอบในเดือนมกราคมทุกปี คณะกรรมการต้องประกอบด้วยข้าราชการช้ันสัญญาบัตรไม่น้อยกว่า ๔ นาย และสตั วแพทย์ ๑ นาย เปน็ อยา่ งนอ้ ย หลักการสารวจใหค้ ณะกรรมการปฏิบัติดังนี้ ๒.๑ สตั วพ์ าหนะหน่วยใดมียอดเดิมชนิดใด เท่าใด มีตัวจริงในขณะน้นั เทา่ ใด ขาดจานวนเท่าใด ๒.๒ สัตวพ์ าหนะทีม่ อี ยู่นน้ั รา่ งกายสมบูรณ์ ใช้ราชการได้ทุกตัวหรือเจ็บปุวย ทรุดโทรมหรือชราจนไม่ สามารถใช้ราชการไดจ้ านวนเทา่ ใด ๒.๓ สัตว์พาหนะชนิดใดของหน่วยใด ยังขาดอัตราเท่าใด ควรจัดหาเพ่ิมเติมอีกเท่าใด แล้วรายงาน ผลการสารวจเสนอตัง้ กรรมการ ๓. ห้ามมใิ ห้นาสตั วพ์ าหนะไปให้บุคคลอ่ืนใดเช่าหรือยืมไปประกอบกิจการต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ส่วน บุคคล เว้นแต่กรณีอันเกี่ยวกับการส่งเสริมบารุงสัตว์ ซึ่งเป็นหน้าท่ีของกรมการสัตว์ทหารบกต้องพิจารณา ดาเนนิ การตามระเบียบท่ีกาหนดไวส้ าหรบั กจิ การนั้น ๆ ๔. ให้ ผบ.หน่วยเทียบชั้น ผบ.พล แจ้งผลการสารวจสัตว์พาหนะประจาปี พร้อมด้วยบัญชีรายชื่อสัตว์ พาหนะ ท่อี ยใู่ นวนั สารวจนั้นตอ่ กส.ทบ. ภายในเดือน กุมภาพันธ์ ทุกปี ๕. ให้กรมการสัตว์ทหารบกเป็นเจ้าหน้าที่รวบรวมรายงาน พิจารณาขอต้ังวงเงินงบประมาณจัดหาสัตว์ พาหนะตามทีก่ าหนดไว้ ๖. เพ่ือให้สุขภาพของสัตว์พาหนะทุกตัว ได้อยู่ในสภาพม่ันคงแข็งแรงและทนต่อการตรากตรางาน ให้ ผู้บังคับบัญชาเอาใจใส่สอดส่องดูแล และกวดขันการปฏิบัติบารุงของผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบงั คับกล่าวคือ ๖.๑ ต้องกินอาหารทม่ี คี ุณภาพดสี มบรู ณ์ตามอตั ราในระเบยี บนี้
๑๕ ๖.๒ สัตว์พาหนะตัวใดมีร่างกายทรุดโทรม ซูบผอมหรือเจ็บไข้ซึ่งจะหวังพ่ึงแก่การรักษาทางยาย่อม ได้ผลชา้ ควรจัดหาอารพิเศษเลี้ยงดูดว้ ย ๖.๓ ในวันหนง่ึ ๆ โดยเฉพาะม้าทุกตัวจะต้องออกกาลังกายด้วยการเดินหรือวิ่ง ไม่ต่ากว่าวันละครึ่ง ชัว่ โมงและนาออกล่ามในสนามหญ้าในตอนเช้าเยน็ ๗. ห้ามนาม้าออกไปขี่ภายนอกบริเวณโรงทหาร เว้นแต่กรณีที่เกี่ยวกับการฝึก หรือกิจการอันเก่ียวกับ การส่งเสรมิ บารุงพนั ธมุ์ า้ หรอื กจิ การท่ีเก่ยี วแก่สโมสรของกองพันทหารม้าให้ ผบ.หน่วย เทียวชั้น ผบ.พัน พิจารณา ผ่อนผันตามสมควร แต่ถ้าม้านั้นต้องประสบอันตรายถึงล้มตายหรือบาดเจ็บสาหัส ก็ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ความเห็น ว่าควรจะชดใชห้ รือลงโทษสถานใดหรือควรผ่อนผนั เพียงใด ๘. น้าหนักของสัตว์พาหนะย่อมเลื่อมล้าต่าสูงกันเสมอ แม้แต่สัตว์ขนาดเดียวกัน ดังนั้น จึงให้ถือเกณฑ์ น้าหนักของสัตว์ ท่มี ีสาภาพอยู่ในลักษณะสมบรู ณอ์ ้วนไม่ซูบผอมเกนิ ไปโดยประมาณ ดังนี้ ๘.๑ มา้ เมอื งไทย พื้นเมือง ลง ลอ่ ขนาดตา่ สูงตง้ั แต่ ๑.๒๕ - ๑.๓๕ ม. นา้ หนกั ตวั ประมาณ ๑๔๐ - ๒๔๐ กก. ๘.๒ ม้า ลา ล่อ ขนาดเล็ก สงู ต้งั แต่ ๑.๒๕ - ๑.๓๕ ม. มีน้าหนกั ตวั ประมาณ ๑๘๐ - ๒๘๐ กก. ๘.๓ มา้ ลา ลอ่ ขนาดกลาง สูง ตง้ั แต่ ๑.๓๖ - ๑.๔๗ ม. มีน้าหนักตัวประมาณ ๒๘๐ - ๓๘๐ กก. ๘.๔ ม้า ลา ลอ่ ขนาดใหญ่ สูง ต้ังแต่ ๑.๔๘ - ๑.๖๐ ม. มีน้าหนักตวั ประมาณ ๓๖๐ - ๕๐๐ กก. ๘.๕ โค กระบือ พนื้ เมือง ขนาดสงู ไมเ่ กิน ๑.๒๕ ม. มีนา้ หนักตัวประมาณ ๒๔๐ - ๓๐๐ กก. ๘.๖ โค กระบือขนาดใหญ่ ขนาดสูงไม่เกิน ๑.๒๕ ม. ขนึ้ ไปมนี ้าหนกั ตัวประมาณ ๓๐๐ - ๔๕๐ กก. ๙. หน้าที่ของสัตว์พาหนะดังกล่าวโดยทั่วไปย่อมเกี่ยวกับการขับขี่รับน้าหนักบรรทุกต่างเทียมลากต่าง ๆ จึงจาเป็นต้องทราบข้อพิจารณาในสมรรถภาพสัตว์ และลักษณะส่ิงของท่ีสัตว์จะต้องบรรทุกหรือลากเข็น เพื่อมิให้ เป็นการทรมาน และทาลายสตั วโ์ ดยใช้หลกั เกณฑด์ งั นี้ ๙.๑ ต้องพิจารณาลกั ษณะประจาตวั ของสตั วท์ ีจ่ ะปฏิบตั งิ านคือ ๙.๑.๑ นา้ หนักตวั ของสัตว์ สัตวท์ ีม่ นี า้ หนักสูงยอ่ มบรรทุกของได้มากกว่าสัตว์ทม่ี นี ้าหนักตวั น้อย ๙.๑.๒ ความสงู ของร่างกายและกล้ามเนอ้ื ตามปกตสิ ัตว์ที่ล่าสันย่อมจะมีสมรรถภาพในการใช้งาน สงู กวา่ ๙.๑.๓ การฝึกสัตว์อดทนและชินต่องาน ข้อนี้ถึงแม้ว่าสัตว์จะล่าสันดีแต่ถ้าหากไม่ชินต่องานหนัก มากอ่ น เมอ่ื มารับงานหนักทันทีจะเปน็ อนั ตรายตอ่ รา่ งกายมาก ๙.๒ ตอ้ งพจิ ารณาลกั ษณะของวตั ถทุ ่ใี ช้บรรทกุ ลากเขน็ ๙.๒.๑ วัตถุคานวณไว้ต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นน้าหนักแท้ของวัตถุท่ีสัตว์จะบรรทุกได้โดยมิได้ เก่ียวกบั น้าหนักตวั ของสัตว์เอง ๙.๒.๒ วัตถุเทียมลากในที่นี้หมายถึงการเทียมลากที่ใช้ล้อเล่ือนเป็นพาหนะเท่าน้ัน จะต้องคิด รวมน้าหนักของล้อเลื่อนนั้นด้วย ๙.๓ ใหพ้ ิจารณาสภาพแวดลอ้ มและงานจะตอ้ งลดนา้ หนักบรรทกุ หรือเทยี มลากลงในเมื่อ ๙.๓.๑ สัตว์ตอ้ งทางานหนกั ติดต่อกนั หลายช่วั โมง โดยไมม่ กี ารพกั ผอ่ น ๙.๓.๒ ทางท่ีสตั ว์เดนิ เปน็ ทางวบิ าก เชน่ โขดเขา หม่ โคลน ทราย เป็นตน้ ๙.๓.๓ สัตว์ต้องการใช้กาลังเรง่ เมอื่ ต้องการใหส้ ตั วว์ ิ่งเร็วข้ึนต้องลดน้าหนักบรรทุกหรือฉุดลากให้ นอ้ ยลงตามลาดับ
๑๖ เกณฑ์น้าหนกั ของสง่ิ ของทจ่ี ะใหส้ ตั ว์บรรทุกหรือฉดุ ลากนัน้ ให้เปน็ ไปตามกฎเกณฑด์ ังน้ี ๑. มา้ น้าหนกั บรรทกุ หรอื น้าหนักฉุดลากมีดงั นี้ ๑.๑ นา้ หนกั บรรทุก สามารถรบั น้าหนกั บรรทุกได้ ๑/๓ ของน้าหนกั ตวั ๒. ลา ล่อ นา้ หนกั บรรทุกหรอื นา้ หนกั ฉดุ ลากดังน้ี ๒.๑ นา้ หนกั ฉดุ ลาก ไมเ่ กิน ๒ เทา่ ของน้าหนกั ตวั ๓. โค กระบอื น้าหนกั บรรทกุ หรอื ฉดุ ลาก ดังน้ี ๓.๑ นา้ หนกั บรรทกุ สามารถรับน้าหนกั ได้ถึง ๑/๓ ของนา้ หนักตัว ๔. ความสามารถในการเดินทางของสตั วพ์ าหนะตา่ ง ๆ มีดังนี้ ๔.๑ มา้ ข่ีขนาดต่า และขนาดเลก็ เดินทางไดช้ ่ัวโมงละ ๖ - ๗ กม. ในวนั หนึง่ เดินทางได้ประมาณ ๓๐ - ๔๐ กม. ๔.๒ ม้าข่ี ขนาดกลาง และใหญ่ เดินทางได้ช่วั โมงละ ๖ - ๗ กม. ในวนั หน่งึ เดนิ ทางได้ประมาณ ๓๕ - ๔๕ กม. อย่างสงู ไม่เกิน ๕๐ กม. ๔.๓ ม้า ลา ล่อ และ โค กระบือ บรรทุกต่างเดินทางได้ชั่วโมงละประมาณ ๔ - ๕ กม. ในวันหน่ึง เดินทางไดป้ ระมาณ ๓๐ - ๓๕ กม. ๔.๔ โค เกวียน เดนิ ทางไดช้ ่วั โมงละประมาณ ๓ - ๔ กม. ในวนั หนง่ึ เดินทางไดป้ ระมาณ ๒๐ - ๒๕ กม. การบารงุ สตั ว์พาหนะในราชการทหาร การเลีย้ งและระวงั รักษา ๑. ให้ ผบ.ชา ช้ัน ผบ.พนั เป็นผกู้ าหนดวางระเบียบการเลี้ยงระวังรักษาสัตว์พาหนะในหน่วยของตนให้ได้รับ การเลี้ยงดู การอนามัย และการปอู งกันความสูญหายหรืออบุ ตั ิเหตใุ ด ๆ ใหร้ ัดกมุ ๒. การแบง่ ประเภทของสตั วด์ งั น้ี ๒.๑ สตั วผ์ ู้ตอน ๒.๒ สตั วผ์ ฝู้ ัก ๒.๓ สัตว์เมยี ๒.๔ ลกู สตั ว์ สัตว์ท้ัง ๔ ประการนี้ ให้พิจารณาการล่ามหรือปล่อยเลี้ยงโดยถือเกณฑ์ว่า ถ้าเลี้ยงด้วยวิธีปล่อย ไมส่ ะดวกดว้ ยประการใด ๆ แลว้ ต้องใชว้ ธิ ีลา่ มเสมอ ทั้งนีต้ ้องคานงึ ถึงภูมปิ ระเทศและเหตกุ ารณ์ดว้ ย ๓. ผบ.ชาช้ัน ผบ.มว. เป็นผู้รับผิดชอบในการเล้ียงดูและระวังรักษาสัตว์ภายในหมวดของตนเองโดยเฉพาะ แยกสัตวท์ ซี่ ูบผอมเจบ็ ปวุ ยมาทาการเลีย้ งดู และรักษาเป็นกรณีพเิ ศษนอกเหนือจากที่ ผบ.ร้อย ได้ปฏบิ ตั ิแล้ว ๔. การนาสัตว์ออกจากคอก เมื่อเลี้ยงด้วยวิธีล่ามหรือปล่อยเล้ียงเป็นฝูงจะต้องจัดผู้ระวังรักษาโดยถือเกณฑ์ คนเล้ียงหนง่ึ คนจะต้องดแู ลสตั ว์ที่เลยี้ งไว้ไม่เกิน ๓๐ ตวั ๕. ผู้ควบคุมการนาสัตว์ออกเลี้ยง จะต้องตรวจตราต้ังแต่สัตว์ออกจากคอกขณะไปล่ามและเล้ียงในท่ี ๆ มี หญา้ ดีจรงิ ๆ ตลอดจนการนากลบั เข้าคอกโดยเรียบร้อย
๑๗ ๖. การนาไปเลี้ยงหรือกลับจากเล้ียง ห้ามมิให้ใช้ฝีเท้าสัตว์อย่างเร่งรีบโดยไม่จาเป็น เป็นอันขาด เพราะจะ ทาให้สตั ว์แตกกระจายเปน็ อนั ตรายและเหน็ดเหน่ือย ๗. การนาสตั วอ์ อกจากคอกเป็น หมู่ หมวด กองร้อย กองพัน ให้ ผบ.ชา ของหน่วยน้ัน ๆ เปน็ ผู้ควบคุม ๘. ทุก ๆ ครั้ง หลังจากท่ีให้สัตว์ปฏิบัติงานเสร็จในคร้ังหน่ึงหรือเลิกจากการใช้ก่อนที่จะให้สัตว์ได้รับการ พักผอ่ น หรอื นาสตั ว์เข้าคอก ต้องทาการปรนนิบัติบารุงให้ถูกต้องตามหลักวิทยาการเสียก่อนดังน้ี ปลดส่ิงของที่อยู่ บนหลงั ออก หรอื ผู้ขีล่ งจากหลงั ผอ่ นเคร่อื งรัดกุมสัตว์ เชน่ หย่อนสายรัดทึบ และขยับท้ายอานให้อากาศเข้าหลาย ๆ คร้ัง ๘.๑ จงู สัตวใ์ ห้หายเหนือ่ ยประมาณ ๑๐ นาที ๘.๒ ปลดอานและผา้ ปูหลงั ออกจากหลงั นาไปผ่งึ ใหเ้ หงือ่ แหง้ แลว้ ใชฝ้ าุ มอื ขยตี้ ามหลังบรเิ วณเคร่อื งบรรทุ วางอยู่เพือ่ ให้โลหิตเดนิ สะดวก ๘.๓ ใชฟ้ างหรือหญ้าแห้ง หรือเศษผา้ ก็ได้ เข็ดตามตวั ให้แห้ง ใหต้ ัวสตั วส์ ะอาด ๘.๔ ควรทาการดดั ขาตามวธิ ี ขาละประมาณ ๒ - ๓ ครงั้ เพ่อื ให้สัตว์หายเมือ่ ยล้า ๘.๕ ผูกหรือลา่ มไวใ้ นท่รี ่มเยน็ และอากาศดี และนาเขา้ คอก ๘.๖ ให้น้าสะอาดหลงั จากใช้งานแล้วประมาณไมน่ อ้ ยกว่า ๓๐ นาที ๘.๗ หลงั จากให้น้าประมาณ ๓๐ นาที จึงใหก้ นิ ข้าว เรอ่ื งอาหารมา้ อาหารสัตว์ทีเ่ รานามาเลี้ยงดหู รอื มีอยู่ ตอ้ งมีประโยชน์ซึง่ จะทาให้มีความเจรญิ เติบโตแข็งแรง เรื่อง อาหารสัตว์เป็นท่ีกว้างขวางมาก และมีการทดลองค้นคว้าทดลองให้สัตว์กินเพื่อดูผลเสมอ คาว่าอาหารน้ีเป็นส่ิงท่ี สตั ว์สามารถกนิ เขา้ สรู่ ่างกายได้โดยไมเ่ ป็นพิษ และเมอื่ กินเขา้ ไปแลว้ มีคณุ สมบัตหิ ล่อเลี้ยงร่างกายเชน่ ๑. ตอ้ งไม่เปน็ พษิ และมเี ชอื้ โรคเจือปน ๒. มีแรธ่ าตุเข้าไปหล่อเลยี้ งร่างกาย ๓. สะดวกในการกินและการย่อย ๔. หายได้ง่ายและลดต้นทุน อาหารตา่ ง ๆ ไมว่ ่าจะเปน็ ชนิดใดก็ตามส่วนประกอบของอาหารแบ่งเป็น ๕ จาพวก คือ ก. นา้ ข. คารโ์ บไฮเดรท ค. ไขมนั ง. แร่ธาตุ ส่วนประกอบของอาหารแตล่ ะหมปู่ ระกอบดว้ ยอาหารที่มสี ว่ นประกอบทางเคมีเหมือนกนั อกี เปน็ จานวนมาก เราเรยี กวา่ สว่ นประกอบย่อยของอาหารเหลา่ นว้ี ่า “โภชนะ”
๑๘ แผนภูมปิ ระกอบอาหาร อาหาร น้า วัตถแุ หง้ คาร์โบไฮเดรท ไขมนั โปรตีน แร่ธาตแุ ละเกลือ ๑. อาหารจาพวกโปรตีน มีในอาหารทุกชนิดที่มีเนื้อปน จะมากหรือน้อยแล้วแต่ชนิดของอาหาร เช่น ปลา นม ไข่ และโปรตีนจากพืช เช่น กากถ่ัว ข้าวหรือข้าวโพด หน้าที่เก่ียวกับอาหารประเภทโปรตีน เกี่ยวกับร่างกาย สัตว์นน้ั คือ ช่วยบารงุ ร่างกายหรือซอ่ มแซมส่วนทส่ี ึกหรอใหก้ ลบั คนื สู่สภาพเดิม ทาให้ร่างกายได้รับความร้อน ทาให้ ไดพ้ ลังงาน และสดุ ทา้ ยเปล่ยี นไขมันได้ ถ้าเกินความตอ้ งการของรา่ งกาย ๒. อาหารจาพวกแห้ง มมี ากในพืช เช่น ข้าวต่าง ๆ ท่ีมีน้อยในอาหารจาพวกเนื้อสัตว์ อาหารจาพวกแปูงนี้ ทาประโยชน์แบบพวกเน้ือ ทาให้เกิดความร้อนเป็นพลังงานของร่างกาย หรือเปลี่ยนเป็นน้าตาลต่าง ๆ และ สุดท้ายกเ็ ปน็ ไขมนั คารโ์ บไฮเดรทแบ่งเปน็ ๒ พวก - พวกยอ่ ยงา่ ย เช่น ข้าวโพด และมนั - พวกย่อยยากเปน็ สายเยอ่ื ใย ได้แก่ เซลลโู ลส มีมากในพวกหญา้ ๓. อาหารจาพวกไขมันได้มาจากไขมันสัตว์ และไขมันพืชต่าง ๆ ร่างกายจาเป็นต้องมีอาหารจาพวกน้ี เพ่ือ ทาให้เกิดความร้อนเป็นพลังงานมากกว่าพวกอื่น ๆ เป็นฉนวนกันความหนาว ทาหน้าท่ีกันการกระทบกระเทือน จากภายนอก เป็นตัวละลายและดูดซมึ วิตามินบางชนดิ เช่น วิตามนิ เอ ดี อี และ เค ๔. อาหารจาพวกแร่ธาตุ หรือเกลือนับว่าสาคัญเหมือนกัน เพราะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น โลหิต กระดูก กล้ามเน้ืออวัยวะต่าง ๆ ต้องการแร่ธาตุเกลือท้ังสิ้น ถ้าขาดจะทาให้สุขภาพเส่ือม โลหิตจาง กระดูกไม่แข็ง หนา้ ทข่ี องน้าในรา่ งกาย ๕. เป็นสื่อกลางทาให้เกิดปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เช่น การย่อย การดูดซึมการเปลี่ยนแปลงสายต่าง ๆ ใน รา่ งกาย ๖. เปน็ ตัวโภชนาตา่ ง ๆ ท่ีย่อยแลว้ ไปเลย้ี งส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย และลาเลียงของเสียออกจากรา่ งกาย ๗. ชว่ ยปรับและรกั ษาระดบั อุณหภูมใิ นร่างกายใหค้ งท่ี ๘. เป็นตัวปูองกันการกระทบกระเทือนของเซลล์ร่างกาย เพ่ือทาให้เกิดการยืดหยุ่นตามธรรมชาติแหล่งท่ีมี ของนา้ ๙. ไดม้ าจากการดืม่ โดยตรง ๑๐. ได้จากนา้ ในอาหาร อาหารอวบน้าไดด้ มี าก เช่น หญา้ สด ๑๑. ไดจ้ ากการสลายตวั ของอาหารภายในร่างกาย เช่น คารโ์ บไฮเดรท ไขมนั ความต้องการน้าของม้าขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและชนิดของอาหารที่สัตว์กิน โดยม้าต้องการน้า วันละ ๖๐ - ๗๐ ลิตร และถ้าสัตว์อดอาหาร ๒๐ วัน สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ๗ วันเท่าน้ัน นอกจากอาหารพวกต่าง ๆ แลว้ วิตามนิ และเกลอื แรต่ ่าง ๆ ถ้าสัตว์ขาดแล้วก็อาจทาให้เกิดโรคหรือทาให้สุขภาพเส่ือมโทรมทันทีวิตามินที่ นกั วิทยาศาสตรพ์ บโดยแยกจากอาหารตา่ ง ๆ น้นั มีมากมายหลายขนาด กท็ าหน้าทท่ี าประโยชน์แตกตา่ งกัน
๑๙ เป็นท่ีทราบกันแล้วว่า อาหารของม้ามักเป็นพวกพืช แต่นอกจากอาหารจาพวกพืชแล้ว ยังมี อาหารพเิ ศษต่าง ๆ ซง่ึ ช่วยบารงุ ร่างกายให้เจริญเติบโตรวดเรว็ ดังน้ันจงึ แบ่งอาหารทมี่ า้ กินได้เป็น ๖ ชนดิ คอื ๑๒. อาหารจาพวกข้าว มีอย่มู ากมายหลายชนดิ พวกกินแล้วไดป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ก่ ขา้ วโพด ข้าวเปลอื ก ขา้ วสาลี ขา้ วโอต๊ ๑๓. อาหารจาพวกถวั่ นับวา่ เป็นอาหารบารุงร่างกายที่นิยมกิน เชน่ ถ่วั ลสิ ง ถั่วเหลอื ง ถ่ัวเขยี ว ถ่วั ขาว ๑๔. อาหารจาพวกรา ได้แกร่ าขา้ วเจ้าแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ราละเอยี ด ราหยาบ ๑๕. อาหารจาพวกหญ้า เป็นอาหารหลักทาใหอ้ ิม่ ท้อง มีหญ้าต่าง ๆ ท่ีนิยมให้ม้ากิน เช่น หญ้าแพรก หญ้า ขน หญ้าใบขาว หญ้าหางกระรอก เป็นต้น หญ้านอกจากจะกินสด ๆ สามารถเก็บไว้เป็นหญ้าแห้ง เพื่อเก็บไว้ กินหน้าแลง้ ไดน้ าน ๆ ๑๖.อาหารพเิ ศษจดั ว่าจาเป็นอยู่เช่นกัน ได้แก่ เกลือตา่ ง ๆ กระดูกปนุ เลอื ดแห้งเปลอื กหอยปุน ๑๗. อาหารบารงุ มี นม ไข่ และนา้ ตาล ซ่ึงนับวา่ จาเป็น หลักการให้อาหารสัตว์ ๑. ข้าวเปลอื ก ต้องเป็นขา้ วทีไ่ ม่เสยี และขน้ึ รา ปราศจากฝุนละออง ถ้ามีฝุนละออง ควรล้างน้าเสียก่อนหรือ ฝดั กอ่ น และปนราปนหญ้า ปนเกลอื พอประมาณ (๑๕ กรมั ) ผสมใหก้ ินวันละ ๒ ม้ือ เช้าและเย็น ถ้าม้าไม่เคยกิน ข้าวเปลือกเลยคร้ังแรกควรใส่เล็กน้อย เพ่ือให้กระเพราะเคยชิน มิฉะนั้นอาจเกิดอาการท้องเสียหรือแน่นขึ้นกับม้า ได้ ๒. รา ควรให้ราโรงสีอยา่ งละเอียดเพราะมีเชอ้ื อาหารและยอ่ ยง่าย เวลาให้กินควรดูสิ่งเจือปนและดูว่าเหม็น อับหรือไม่ และเราจะให้ม้ากินอย่างเดียว คือ ม้าท่ีเป็นโรคกระดูกพิการ เช่น โรคหน้าบวม ควรให้กินแทน ขา้ วเปลอื กหรอื ลดจานวนข้าวเปลือกแลว้ เพมิ่ ราแทน และมา้ ปุวยเรื้อรัง ม้าที่ร่างกายทรุดโทรม และตรากตรา ม้าท่ี ไม่เคยกินราอาจมีอาการท้องเสียได้ ควรเริ่มกัดกินโดยปนกับข้าวเปลือก ๒ - ๓ กามือ แล้วเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ ตาม ธรรมดาวันหน่งึ ไมค่ วรเกนิ ๓ กก. ๓. หญ้าแห้ง ควรเป็นหญ้าท่ีดีคือเป็นหญ้าค้างปี เวลาให้กินควรตัดเป็นท่อน ๆ ยาว ประมาณ ๒ - ๓ ซม. คลุกปนราและขา้ ว ก่อนให้กนิ นาหญา้ มาขยายออกเกบ็ หนามและสง่ิ เจอื ปนออกนาใหส้ ัตวก์ นิ ตลอดเวลา ๔. หญ้าสด สาหรับสัตว์ที่มีร่างกายอ่อนแอหรืออวัยวะย่อยอาหารไม่ปกติหรือม้าแม่ลูกอ่อนส่วนม้าท่ี สมบูรณ์อาจปลอ่ ยใหแ้ ทะเล็มหญา้ ในแปลงได้ ๕. เกลอื ท่ใี หก้ ินคือเกลอื สินเธาว์ หรือธรรมดาผสมข้าวเปลือกกิน ม้ือละประมาณ ๑๕ กรัม หรือปล่อยให้ เลียเองในรางข้าว ๖. น้า ควรให้กินก่อนกินข้าวประมาณ ๓๐ นาทีเป็นอย่างน้อย และน้าต้องสะอาด ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป วันหน่ึงประมาณ ๔ ครั้ง คือ เวลา ๐๖๐๐ , ๑๑๐๐ , ๑๘๐๐ และ ๒๑๐๐ ในขณะเดินทางเวลากินควรให้กินแต่ น้อย หลงั เดินทางควรให้กนิ อีก แลว้ จงู ใหเ้ หง่ือแหง้ อาหารปกติและอาหารพเิ ศษ สาหรับ ม้า ลา ล่อ อาหารปกติ ได้แก่อาหารท่ใี หม้ ้า ลา ลอ่ กนิ ดารงชีพ เพือ่ ใหเ้ ผาผลาญไปสร้างกาลังให้แก่ร่างกาย อนั ไดแ้ ก่ ขา้ วเปลือก ราละเอยี ด เกลอื หญ้าแห้ง ปลาปนุ หญา้ สด
๒๐ อาหารพิเศษ ได้แก่อาหารท่ีใช้ให้ม้า ลา ล่อ กินเป็นการบารุงร่างกาย สาหรับสัตว์ท่ีใช้งานมาก เปน็ พเิ ศษ และสาหรับเจบ็ ปุวย หรอื สัตวฟ์ นื้ ไข้ สัตวใ์ หน้ มลกู สัตว์อายุนอ้ ยหรอื มากเกินไปอาหารเหลา่ นีไ้ ด้แก่ กากถว่ั ตา่ ง ๆ เช่น ถวั่ เหลอื ง ถัว่ ลิสง ถ่ัวเขยี ว ข้าวโพดปนุ นม เกลือแร่ น้าตาล อัตราการให้อาหารม้า ในปัจจุบัน อาศัยคาส่ังกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ ๑๔๔๗/๒๕ ลง ๒๓ ธ.ค.๒๕ ผนวก ก.และ ผนวก ข.ที่แนบผนวก ก. (ประกอบ คาสง่ั ทบ.(เฉพาะ) ที่ ๑๔๔๗/๒๕ ลง ๒๓ ธ.ค.๒๕ (เกณฑ์การจ่ายอาหารสัตว์ (มา้ ,ลา,ล่อ) ใช้ผสมพันธุใ์ น ๑ วัน) ประเภทสัตว์ นน.ตวั ข้าวเปลือก อาหารสาเร็จรปู จ่ายอาหาร เปลอื กหอยปนุ พ่อมา้ , พอ่ ลา ประมาณ (กก.) กก. กก. กก. เกลอื หญา้ แห้ง กก. กก. แม่ม้าแม่ลาท้อง ๓๐๐ ขึ้นไป ๔ ๑.๕ ๐.๐๕ ๕ ๐.๐๒๕ แม่มา้ แม่ลา ๔๐๐ ขน้ึ ไป ๔ ๑.๕ ๐.๐๕ ๕ ๐.๐๒๕ แม่ลกู อ่อน ๓๐๐ – ๔๐๐ ๔ ๑๑ ๐.๐๔ ๔ ๐.๐๒๕ แมม่ ้า แม่ลา ตา่ กว่า ๓๐๐ ๓ ๑ ๐.๐๓ ๓ ๐.๐๒๕ ผสมพันธ์ุ ลูกม้า ลกู ลา หย่านมแล้ว ม้า,ลา,ล่อ รุน่ หมายเหตุ ๑. ถ้าข้าวเปลือกไมม่ ีให้ใช้อาหารสาเร็จรปู แทนอตั รา ๒ กก./นน. ๑๐๐ กก. กับให้งดเกลอื และเปลือก หอยปนุ ๒. ถา้ อาหารสาเรจ็ รูปขาดแคลนให้ใช้รา,ข้าวโพด,ขา้ วเปลอื ก ตามลาดับแทนในอตั รา ๑/๑ โดย นา้ หนัก ๓. การทดแทนตามข้อ ๑ และ ๒ ให้ใชก้ รณีทจี่ าเป็นเทา่ น้ัน ๔. ควรเกย่ี วหญ้าสดใหก้ นิ ๖ - ๑๐ กก./ตัว/วนั หรือปลอ่ ยเล้ยี งในแปลงแทะเลม็ ๕. การผสมอาหารต้องผสมคลุกเคลา้ ทงั้ อาหารสาเร็จรปู ขา้ วเปลือกและหญา้ แหว้ ห่ันวันละ ๑ กก./ตวั ๖. ถ้าสัตว์ทอ้ งอ่อน หรอื แมล่ ูกอ่อนควรเพิ่มหญา้ สดให้
๒๑ ผนวก ข. (ประกอบคาส่งั ทบ.(เฉพาะ) ท่ี ๑๔๗๗/๒๕ ลง ๒๓ ธ.ค.๒๕ เกณฑก์ ารจา่ ยอาหารสตั ว์ (มา้ ลา ล่อ) ใช้งานใน ๑ วัน ประเภท นา้ หนกั ตวั ขา้ วเปลือ อาหารสาเรจ็ รูป เกลือ หญา้ แห้ง เปลอื กหอย ประมาณ ก กก. กก. กก. ปนุ กก. เกณฑ์ปกติ กก. ม้า ลา ลอ่ ๓๐๐ ขนึ้ ไป ๔ ๑.๕ ๐.๐๕ ๕ ๐.๐๒๕ ตา่ กว่า ๒๐๐ ๓ ๑ ๐.๐๓ ๓ ๐.๐๒๕ เกณฑ์ในสนาม ๔๐๐ ขน้ึ ไป ๖ - ๐.๐๘ - - ม้า ลา ลอ่ ๓๐๐ – ๔๐๐ ๕ - ๐.๐๖ - - ต่ากว่า ๓๐๐ ๔ - ๐.๐๕ - - หมายเหตุ ๑. ถ้าข้าวเปลือกไม่มีให้ใชอ้ าหารสาเรจ็ รูปแทนในอัตรา ๑ กก/นา้ หนกั ตวั ๑๐๐ กก. กบั ใหง้ ดเกลือและ เปลือกหอยปนุ ๒. ถ้าอาหารสาเรจ็ รูปขาดแคลนใหใ้ ชร้ า,ขา้ วโพด,ข้าวเปลือก ตามลาดับแทนในอัตรา ๑/๑ โดยน้าหนกั ๓. การทดแทนตามข้อ ๑ และ ๒ ให้ใชก้ รณที ี่จาเป็นเทา่ น้ัน ๔. หากเก่ยี วหญ้าสดให้กนิ ไดไ้ มเ่ กิน ๔ กก./ตวั /วนั หรอื ปล่อยแปลงเลี้ยงในสนามในแปลงหญา้ แทะเล็มท่ี อุดมสมบรู ณ์ได้ตลอดวนั ใหล้ ดข้าวเปลอื กได้ ๑ กก. ๕. การผสมอาหารต้องผสมคลุกเคลา้ ทง้ั อาหารสาเรจ็ รูป ข้าวเปลือกและหญ้าแห้งนน้ั วันละ ๑ กก./ตวั
๒๒ อายุรศาสตร์ ที่กลา่ วถึงต่อไปนเ้ี ป็นวิชาท่ีกล่าวถึงโรคต่าง ๆ ของสตั ว์โดยเฉพาะ ความถึงสาเหตุและอาการ การ ทานายหรือการคาดโรควา่ สตั วจ์ ะมีอาหารโรคถงึ ตายหรือไม่ การรกั ษาและการปูองกันโรค โรคของสตั ว์แบ่งออกเป็น ๒ ชนิดตามลักษณะของโรค ๑. โรคระบาด ๒. โรคธรรมดา ๑. โรคระบาด คือ โรคทเี่ กิดจากเชื้อโรคอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วติดต่อจากสัตว์อีกตัวหนึ่งไปอีกตัวหนึ่ง ได้โดย วิธีแตกต่างกนั สุดแล้วแตช่ นดิ ของเชือ้ โรค ซ่งึ โรคระบาดสตั วอ์ าจแพรห่ ลายไดด้ ้วยวธิ ีต่าง ๆ กัน คือ ๑. เช้ือท่ีไปกับส่ิงที่ขับถ่ายออกมา เช่นน้ามูก น้าลาย ปัสสาวะ อุจจาระ ตลอดจนหนองจากแผลเร้ือรัง ของฝี และการกระจายไปตามนา้ และอาหาร ๒. เชือ้ ท่ีตดิ ไปกับแมลงดดู เลอื ด โดยแมลงดูดเลือดสตั ว์ปุวยท่ีมีเชือ้ โรคเขา้ ไปแล้วไปกดั สัตว์ทเี่ ป็นโรค ๓. เช้ือตดิ ไปกับสัตว์ เชน่ สนุ ัข หนู นก ทีไ่ ปกินสัตว์ท่ตี าย เชือ้ โรคกต็ ิดเข้าไปกบั สตั ว์ ๔. สัตว์บางตัวเป็นโรคระบาดเร้ือรังไม่แสดงให้เห็น ทางานบางประเภทได้ แต่มีเช้ือในตัว เมื่อไปรวมกับ สัตว์เลีย้ ง ก็อาจติดเชอ้ื โรคได้ โรคเข้าสรู่ ่างกายสัตวต์ ามทางต่าง ๆ ได้ดงั นี้ - ทางปาก ตดิ ไปอาหารและนา้ - ทางจมูก หายใจเอาฝุนละออง - ทางบาดแผล รอยถลอกของผิวหนงั และเยอ่ื เสมหะต่าง ๆ - ทางอวัยวะสืบพนั ธุ์ เน่อื งจากการสืบพันธ์ุ - ฉีดเขา้ ทางรา่ งกายเพ่ือการทดลองต่าง ๆ ๒. โรคธรรมดา คือโรคทไ่ี ม่ใชโ่ รคตดิ ตอ่ เกิดขึน้ เนื่องจากสภาวะของอวยั วะตามระบบตา่ ง ๆ ทางานผดิ ปกติ อาจจะมกี ารติดเช้ือหรือไม่ก็ได้ และเป็นกบั สัตว์เฉพาะตวั ไมม่ กี ารเผยแพรไ่ ปยังตัวอน่ื โรคอาจแยกออกไดต้ ามลกั ษณะความรนุ แรง แบง่ ออกเป็น ๔ ชนดิ คือ ๑. ชนิดรา้ ยแรง หมายถึง สัตวท์ ่เี ป็นโรคอยา่ งกะทนั หันและระยะเวลาการเป็นสิน้ สดุ ลงในเวลาไม่ก่วี นั ๒. ชนิดอ่อน หมายถึง สัตว์เป็นโรคอย่างช้า ๆ ไม่กะทันหันและระยะการเป็นโรคอาจติดเรื้อรังไปเป็น สปั ดาห์หรอื หลายสปั ดาห์ ๓. เรอื้ รงั หมายถงึ สตั ว์เป็นโรค เปน็ เวลาหลายสัปดาหห์ รือเปน็ เดือน และไมม่ กี าหนดหายแน่นอน บางราย ไมม่ ีอาการใหเ้ หน็ แต่มีเชื้ออยู่ เชน่ โคเปน็ โรคเซอร่า สาเหตุชกั นาให้สัตว์เปน็ โรคหลายอย่างด้วยกัน ๑. การเปลี่ยนแปลงทางอากาศ เช่น อากาศหนาวเป็นอากาศร้อนอย่างกะทันหันโดยที่ร่างกายปรับ สภาพไม่ทัน ทาให้ร่างกายอ่อนแอ ความแห้งแล้ง ความช้ืน ความกดดันของอากาศส่ิงเหล่าน้ีถึงปรับตัวได้ก็ต้อง อาศยั เวลา ๒. อากาศทใ่ี ชห้ ายใจ เชน่ ขงั ในคอกทีจ่ ากดั อากาศบรสิ ุทธิ์ทใ่ี ชห้ ายใจไมเ่ พยี งพอ สตั วห์ ายใจไม่ สะดวก จึงเป็นช่องทางทาให้เกิดโรคเก่ียวกับช่องทางเดินลมหายใจ อากาศท่ีมีฝุนละอองก็เพิ่มการระคายเคืองต่อ ระบบหายใจและเปน็ ช่องทางทาใหเ้ กดิ โรครา้ ยแรงเขา้ สรู่ า่ งกายของสัตวไ์ ดง้ ่ายทางหายใจและอาหาร
๒๓ ๓. พนื้ ดิน พื้นทชี่ น้ื และเปียก ย่อมเปน็ แหลง่ เพาะพันธเ์ุ ช้ือโรคมากกว่าทแ่ี หง้ ซึ่งเชอื้ โรคเข้าสู่ร่างกาย ๔. น้าและอาหาร เช้ือโรคบางชนิดอยู่ในอาหารและน้า อาหารที่สกปรกเป็นแหล่งสาคัญทาให้เกิด โรค ๕. การกินอาหารมาก จะทาให้อ้วนจนกระเพราะคราก กระทบกระเทือนระบบย่อยอาหาร และ อาจเป็นหมัน ผสมตดิ ยาก และถา้ ไดร้ ับอาหารนอ้ ยขณะท่สี ัตว์กาลังเจริญเติบโต สัตว์อาจชะงักการเจริญเติบโตธาตุ อาหารไมค่ รบไมถ่ กู สว่ น ทาให้การต้านทานโรคนอ้ ยลง ๖. อายุ โรคบางอย่างไม่เปน็ กบั สัตวท์ โ่ี ตเต็มท่ีหรือเปน็ ก็ไมร่ ้ายแรงเท่าสตั วเ์ ลก็ เชน่ โรคกระดูกออ่ น ๗. เพศ ก็เป็นปัจจัยทาให้สัตว์เป็นโรค สัตว์ตัวผู้มักมีความต้านทานโรคมากกว่าตัวเมียหรือ โรค บางอย่างทเี่ ป็นกับสัตว์ตัวเมียและมอี าหารรนุ แรง เชน่ แท้งตดิ ตอ่ แต่ตัวผู้ไมม่ ีอาการ ๘. กรรมพันธุ์ สตั ว์ที่ไม่มีโรคตอดต่อทางกรรมพันธุ์ ท่ีว่าสัตว์ติดโรคมาแล้วแต่กาเนิดนั้นหมายถึงโรค เอามาเม่อื ตอนคลอดเทา่ นั้น ๙. การจาดการออกกาลังกาย การขังสัตว์ในท่ีแคบ หรืออยู่กันเป็นฝูงมาก ๆ จะทาให้สัตว์แข็งแรง การออกกาลังกายทาใหก้ ารไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น และทาให้อาหารท่ยี ่อยนาออกมาใช้ได้ดีแทนท่จี ะสะสมใหอ้ ้วน ๑๐. การใช้แรงงานสัตว์ เม่ือสัตว์โตเต็มที่แต่ใช้งานหนัก อาจแคระแกรนได้ หรือสัตว์กินอิ่มแล้ว นามาใช้งานอาจเกิดโรคเสียดได้จะเห็นว่าสาเหตุชักจูงของโรคน้ันมีอยู่มาก ก่อนท่ีสัตว์จะเป็นโรคจากสาเหตุที่ แท้จรงิ ควรหาทางปอู งกันไว้ก่อนเสมอ สาเหตุของโรค โรคของสัตว์จะเป็นโรคธรรมดาหรือเป็นโรคระบาดก็ตาม ย่อมเกิดจากสาเหตุ โดยตรงและสาเหตุโดยอ้อมประกอบกันสาเหตุโดยตรง ต้นเหตุของโรคท่ีทาให้เกิดโรคแก่สัตว์ปัจจุบันทันด่วน เจบ็ ปุวยข้นึ ทันทสี ตั ว์จะเปน็ โรครุนแรงขึน้ เมือ่ มสี าเหตุชักนามาประกอบกันสาเหตุของโรค จาแนกได้ ๔ ชนิด ๑. เกดิ จากเชื้อโรค เช่น ไวรัส จลุ ินทรยี ์ รา และ โปรโตรซวั ๒. เกิดจากการขาดอาหารและแร่ธาตสุ าคัญ น้าอาหาร แร่ธาตุ ไวตามิน ฮอรโ์ มน ๓. เกดิ จากส่ิงทมี่ พี ษิ ได้แก่ พษิ ของยา พษิ ของพชื พษิ จากสัตวร์ ้ายแรงและอาหารเปน็ พษิ ๔. เกิดจากอุบัตเิ หตุ หรอื เกดิ บาดแผล เกิดจากของมีคม หรือไดร้ ับการกระทบกระเทอื น และหาทาง ปอู งกนั กดดนั ไวย้ อ่ มเปน็ ประโยชน์อยา่ งย่ิง อาหารท่วั ไปของสตั ว์ที่เป็นโรค อาการทั่วไปได้แก่ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมใด ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของชีพจรและการ หายใจ แสดงว่าสัตว์เป็นไข้หรือไม่เป็น ตลอดจนส่ิงขับถ่ายออกจากสัตว์ รวมทั้งการสังเกตดูอาการกิริยาสัตว์เวลา เดนิ ยนื นอน ตลอดจนผวิ หนัง หรอื จากการสอบถามผู้เล้ยี ง สตั ว์เจ็บโดยมากจะแสดงอาหารเตน้ ของหวั ใจเร็วหรือช้าผิดปกติ มีไข้สูง หายใจถี่กลายเป็นหอบ หรอื หายใจชา้ ผิดปกติ ถา้ เป็นสัตว์เล็ก เช่นสุนัข ถ้าหูเจ็บจะเดาแถว ๆ ข้างหูหรือถูจนเป็นแผล ตาแดงกล่า หรือมีสี ซีดขาวไม่เป็นสชี มพู มีขตี้ า จมูกแหง้ สัตว์ที่มีอากัปกริยาในเวลาเดิน เวลายืนเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะธรรมดา เช่นเวลาก้าวเดิน โซเซ ขาหลังอ่อนเปล้ีย ไม่มีแรง สะโพกปัดไปปัดมา หรือเวลาสัตว์ยืนไม่สามารถรับน้าหนักได้ ยืนสักครู่ก็ล้มลงยัน ตวั ไมข่ ้นึ ลักษณะนี้เรียกวา่ อัมพาต เกีย่ วกบั เรือ่ งอาหาร สัตวบ์ าดเจบ็ มักเบือ่ อาหารเป็นคร้ังคราวหรือไม่กินเลยการถ่ายอุจจาระเหลว เป็นนา้ บางครง้ั เปน็ มูกเลือด หรือถา้ สตั วถ์ ่ายไม่ออกก็จะเกดิ อาหารท้องผกู หรอื อาเจยี นออกมามีพยาธิปน เวลาถ่าย
๒๔ ปัสสาวะมักจะเบง่ หรอื ไม่ถา่ ย บางครง้ั ปสั สาวะสีเข้มเหมือนชาแก่เรียบเป็นผ่ืนคันมาก และพยาธิไต่ตอมขุมขน เช่น เห็บ หมดั และ เหา อาการดงั กล่าวตา่ ง ๆ จัดเขา้ อยูอ่ าการทั่วไป ซึ่งจะพบในสัตว์ที่เป็นโรค แต่ไม่ใช่อาหารของโรคใน โรคหนึ่งโดยเฉพาะ ท้ังน้ีแล้วชนิดของโรคว่าจะเกิดจากไวรัส จุลินทรีย์ เช้ือรา และพยาธิ หรือเกิดจากพืชหรือสิ่งมี พิษ อาการของสัตว์บางตัวแสดงออกมาวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรย่อมแล้วแต่ความชานาญของสัตวแพทย์ ท่ีเคย ปฏบิ ตั ิในด้านรกั ษาโรคมาแลว้ อยา่ งชา่ ชองเท่านัน้ การปอ้ งกนั และการรักษาโดยทวั่ ไป ตามหลักการปูองกันสัตว์นั้น ในขั้นต้นต้องปูองกันสาเหตุท่ีชักนาให้สัตว์เป็นโรคซ่ึงเป็นสาเหตุ ทางอ้อม ที่มีสิ่งแวดล้อมชักนาให้สัตว์เป็นโรคต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางอากาศ พ้ืนดิน และ การให้อาหาร และการออกกาลังกายตามท่ีกล่าวมาแล้ว ส่วนที่เป็นสาเหตุโดยตรงก็พึงปูองกันสาเหตุที่เกิดโรค เช่น ระวังปูองกัน เร่อื งอาหาร ใหม้ คี ณุ คา่ ตามความตอ้ งการของร่างกายซ่งึ รวมทั้งแรธ่ าตแุ ละวติ ามนิ ต่าง ๆ ระวังส่ิงท่ีมีพิษ เช่นยาพิษ พิษของพืช พิษของอากาศส่ิงแวดล้อม พิษของอาหาร และแร่ธาตุ รวมท้งั พษิ ท่เี กดิ จากสัตวร์ ะมดั ระวัง สงิ่ ที่ทาให้สตั ว์บาดเจ็บ ซึง่ อาจเกดิ บาดแผล จากของมีคมทิม่ ตา การถูกตี สว่ นทเ่ี กิดจากเช้ือโรคเรียกวา่ โรคระบาดสตั ว์ สตั วก์ ็มกี ารปูองกนั โดยการควบคุม ซ่งึ กระทาได้ ๒ วธิ ี ๑. ทาการปูองกันไมใ่ ห้โรคแพร่หลาย ทาให้เกิดความตา้ นทานขึ้นภายในรา่ งกายเพ่ือต่อส้กู บั เช้ือโรค ซง่ึ ไดแ้ ก่ การปลูกภูมคิ ุ้มกัน ๒. การปูองกันมใิ ห้เช้ือโรคแพรห่ ลาย สว่ นใหญ่ไดแ้ ก่การควบคมุ และทาลานซากโดยการ เผาหรอื ทาการฝัง การฝังซากสัตว์มีหลักการดงั นี้ ๑. การเลอื กสถานทีอ่ ย่าให้ใกล้แหล่งน้าลาธาร เพราะแหลง่ นา้ จะเปน็ ตัวเพาะเชอ้ื ทาใหเ้ ชอ้ื ขนึ้ จากนา้ ส่ดู ิน ๒. บริเวณทฝี่ ังขดุ ดนิ พอให้ลกึ และมีดินถมใหห้ นาได้ เพ่อื ปอู งกนั การคุ้นของสตั ว์อื่นทาใหเ้ ชื้อโรคแพร่ได้ ๓. ขนาดของหลุมลกึ ประมาณ ๒.๕๐ – ๓.๐๐ ม. ๔. ขนาดความกวา้ งหลุม ม้าใหญ่ประมาณ ๒ – ๒.๕๐ ตาราง ม. โคขนาดใหญ่ ๒.๕๐ ตาราง ม. สุกร ๑.๐๐ ตาราง ม. ๕. การนาซากสัตวไ์ ปฝังอยา่ ให้โลหิตหรอื สงิ่ ทขี่ ับออกมาเปรอะเป้อื นทาลายด้วยยาฆา่ เช้ือ ๖. เมอื่ เอาซากลงหลุมแลว้ ลาดด้วยยาฆ่าเช้ือ เชน่ ปูนขา หรือเผาแบบคล้ายเตาถ่านหรือจะเผาโดยไม่ขุดหลุม เลยก็ได้ ๗. บรเิ วณที่ฝังตอ้ งปูองกันสตั ว์อ่นื เขา้ เหยียบยา่ ขดุ คุ้ย ควรมีไม้ทบั การเผาซากสตั ว์ จะเผาได้โดยขดุ หลมุ เปิดฝาแล้วเผา หรือเผาแบบคล้ายเตาถ่านหรือจะเผาโดยไม่ขุดหลุมเลยก็ได้การทาให้ร่างกายเกิดการต่านทนข้ึน ภายใน ซง่ึ ได้แกก่ ารปลกู ภูมิคมุ้ กนั เช่น การใช้วคั ซนี และเซร่มุ วัคซีนที่ใช้ปูองกันแล้วแต่โรค เช่นปากและเท้าเป่ือย จะต้องใช้ให้ถูกต้อง ฉะนั้นจาเป็นต้องทราบ ชนิดเสียกอ่ น วัคซนี จะไมใ่ หภ้ ูมิคุ้มกันทันที จะตอ้ งใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๕ – ๒๐ วัน จึงจะให้ภูมิคุ้มกันโรค ทั้งน้ี แล้วแต่ชนดิ ของวคั ซีน วคั ซีนแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ๑. วัคซนี เช้ือตาย เปน็ วัคซนี ที่ทาให้เชอ้ื หมดสามารถทจี่ ะทาให้เกิดโรค แต่ยงั มีความสามารถ ท่จี ะ กระตนุ้ ใหร้ า่ งกายสร้างภูมิค้มุ กนั โรคไดว้ คั ซนี เชือ้ เป็น เป็นวคั ซีนที่ได้จากเช้ือท่ีมีชวี ติ อยเู่ จริญเตบิ โตได้ แต่เป็นชนิดท่ี
๒๕ ไมส่ ามารถทาใหเ้ กดิ โรคได้ ๒. เซร่มุ ไดจ้ ากสว่ นท่เี ป็นนา้ ของโลหิตของสตั วท์ ม่ี ีภูมคิ มุ้ กนั โรคแลว้ โดยจะนามาทาให้ โลหิตตกลิ่ม ส่วนที่เป็นน้าเรียกว่าเซรุ่ม ซ่ึงจะมีสารชนิดหน่ึง และภูมิคุ้มกันโรค ใช้ฉีดให้แก่สัตว์ จะมีภูมิคุ้มกันโรค ทันทจี ึงจะมผี ลในการรักษา แต่ภมู คิ ุ้มกันโรคจะอยู่ในรา่ งกายสตั ว์เพยี งระยะเวลาส้ัน ไมเ่ กนิ ๑๕ วนั โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสตั ว์ใน พรบ.โรคระบาดสตั ว์ พ.ศ.๒๔๙๙ มี ๑๑ โรค ๑. โรครินเดอร์เบสต์ ๒. โรคเฮโมเรยิกเซพตีนิเวยี ๓. โรคแอนแทรค ๔. โรคเซอรา่ ๕. โรคซาราตคิ ๖. โรคมงคลอ่ พิษ ๗. โรคปากและเทา้ เปือ่ ย ๘. โรคอหวิ าสกุ ร ๙. โรคทนิ โิ ตนซิสต์ ๑๐.โรคบเู ซลโรซีสต์ ๑๑.โรคกาฬโรคเป็ด โรคธรรมดาและโรคระบาดท่พี บในมา้ บ่อย ๑.โรคเสยี ด หมายถึงการเจ็บปวดหรอื ทอ้ งเสีย เปน็ การยากท่จี ะทราบสาเหตุ สาเหตุ มีหลายประการด้วยกนั อาจเกิดจากสัตว์ที่กินอาหารมากเกนิ ไป กนิ อาหารบูดเน่า กินอาหารผิด เวลา หรือกินน้าทันทีหลังจากการใช้งานมาใหม่ ๆ หรือนาออกใช้งานทันทีท่ีกินอาหาร หรืออาจเกิดจากลาไส้มี แก๊สมาก หรือลาไส้บางส่วนหดตัวหรือกระตุ้นอย่างรุนแรง หรือลาไส้บิดพันกัน หรือ ในกระเพราะอาหารมีพยาธิ มาก อาการ สัตว์จะตนื่ เต้นทุรนทรุ าย เหงอ่ื ออกมากผิดปกติ ด้ินรน เตะคอก เหลียงดทู ้องตนเองตลอดเวลา บางทจี ะนอนเกือกกลิ้ง ท้องพองโตกว่าปกติ อาการไข้ไม่มี สัตว์ไม่ยอมกินอาหาร จะเบ่งอุจจาระตลอดเวลา ชีพจร เต้นแรง ตัวเย็น เปน็ ตะครวิ ตวั สั่น ขากรรไกรแขง็ หายใจถี่ ถ้ามีอาการมากสัตวจ์ ะล้มลงแล้วตายในทส่ี ุด การรักษา ต้องจูงสัตว์เดินอย่าให้นอน ใช้ฝุามือหรือหญ้าแห้งถูใต้ท้องตามตัว หรือใช้น้าร้อน ๆ หรือ พวกน้ามันสน สวนอุจจาระ หรือสบู่อ่อน ๆ ล้วงเอาอุจจาระออก ถ้าท้องโตมากควรเจาะเอาแก๊สออกโดยใช้ เครื่องมือเจาะ ซ่ึงจะเป็นวิธีการรักษาขั้นท้ายสุด เมื่อสัตว์ทุเลาแล้วให้กินน้า นาไปเล้ียงที่อากาศปลอดโปร่ง งดใช้ งาน ๒ – ๓ วัน ใหอ้ าหารอ่อนพวกหญา้ สดปนหญา้ แหง้ ๒.โรคทอ้ งรว่ ง เกิดจากสารอาหารบดู เนา่ เชน่ หญ้าเน่า ข้าว ราเน่า หรอื กนิ ท่ีมีธาตุ เหลอื หรอื เกดิ อวัยวะย่อยอาหารอ่อนแอ เช่นฟันหัก หรือมีพยาธิในลาไส้มาก หรือเกิดจากโรคติดต่อบางชนิด หรือ เกดิ จากการเปล่ยี นแปลงอาหารทันที เกิดจากการทางานหนัก ร่างกายไมส่ มบรู ณ์
๒๖ การรกั ษา ให้ยาสมานลาไว้ สวนทวารหนกั ด้วยด่างทับทมิ และให้กนิ ยาทกุ ๔ ชม. ถ้าเพลียมากควรฉีด น้าเกลือ ใช้ยาบารุงชว่ ย งดอาหารหนัก ใหอ้ าหารอ่อนแทน ถา้ เป็นมากควรงดอาหาร ๓.โรคหน้ามดื สาเหตเุ นื่องจากสตั ว์อยกู่ ลางแดดนาน ๆ หรืออยใู่ นที่รอ้ นอบอ้าวเวลาบรรทุกรถไปมา ไกล ๆ มักพบโรคนีบ้ ่อย อาการ สัตว์ยนื ซมึ ศรี ษะตก หอบมาก ออ่ นเพลยี และมีไข้ อุณหภูมิสูง ๑๐๖ - ๑๑๐ F ในท่ีสุดจะเป็น ลมและชกั ตายลงการรักษา และปฐมพยาบาล ในขน้ั ต้นใหป้ ลดเครอ่ื งรัดกุมออกให้หมดนาสัตว์เข้าท่ีร่ม มีอากาศ ถา่ ยเทสะดวก ใชน้ ้าแข็งหรอื นา้ เยน็ ลบู ศีรษะเสมอ ๆ หรือใชย้ าแก้ไข้ลดความร้อน ถ้าอาการไม่ทุเลาให้ถ่ายยา เช่น ดเี กลือ แลว้ ใหย้ าบารงุ ประสาท สดุ ทา้ ยงดใชง้ าน ๒ - ๓ วนั ๔.โรคหลังพอง สาเหตุ เนอ่ื งจากเครือ่ งตา่ งหรอื อานกดหลงั ถหู ลงั เม่ือเวลาวง่ิ หรอื เดิน หรือ ผา้ ปูหลัง ไมเ่ รยี บรอ้ ย หรือไมใ่ ช้ผา้ ปูหลัง เวลาผูกอาน อานไม่ดี เช่นโครงเหล็ก หรือตะปูแหลมออกมาทาให้ขูดหลังแตกพอง ได้ อาการ เม่อื เร่ิมเปน็ สงั เกตอาการไดม้ า้ จะไมว่ งิ่ เดินชา้ ถา้ ลูบหลงั ไปพบทพี่ องหรอื แตก มา้ จะ แอ่นหลัง แสดงอาการด้ินรนและร้อนท่ีหลัง ถ้าเป็นน้อยจะยุบไปเอง ถ้าเป็นมากอาจกลายเป็นแผลมีน้าเหลืองไหล ควรรีบรกั ษา ๕.โรคกระดูกหรือหน้าบวม เกิดจากธาตุหินปูนในอาหารซ่ึงสัตว์จาเป็นต้องได้รับมากพอกับความ ต้องการของร่างกายที่นาไปสร้างกระดูก ถ้ารับน้อยจะทาให้เป็นโรคกระดูกผุ เปาะไม่แข็งและธาตุหินปูนหรือ แคลเซยี ม ยงั มคี วามสมั พันธ์กับฟอสฟอรสั และวติ ามินดีมากอีกด้วย อาการ มา้ ท่ีเป็นโรคน้ีจะมกี ระดูกงอกมาทรี่ ิมสนั จมกู ทง้ั สองข้าง เมือ่ คลาดสู ัตว์จะไม่ร้สู ึกเจบ็ ต่อมาจมกู จะงอกโตทุกวัน ถา้ เอามือเคาะที่กะโหลกจะมีเสียงดังโปร่ง แสดงว่าเป็นโพรงภายใน สัตว์จะหงอยซึม ไม่ อยากกินอาหาร สุขภาพท่ัวไปเสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัด ผิวหนังและขนหยาบกระด้างถ้าเป็นมากจะพบว่าขาแข็ง กา้ วขาไม่ออก ทางานหนักอาจขาหกั พิการ และบางทีม้ายืนไม่ได้ต้องนอนตลอดเวลาและอาจลุกข้ึนไม่ไหวเพราะมี อาการทเี่ อว การรักษา หลักใหญอ่ ยทู่ ่ีการเพ่มิ ปรมิ าณของหนิ ปนู ในรา่ งกายใหเ้ พียงพอ โดยบารุงอาหาร และการให้อาหารพวกบารุงกระดูก ถ้าได้รับน้อยจะทาให้กระดูกผุ ไม่แข็งแรง สัตว์จะเดินไม่ไหว อาหารที่ให้ควรมี แคลเซยี มและวิตามนิ มา้ ท่แี สดงอาการของโรคนี้มักจะไมห่ ายหรอื หายยาก ๖.โรคบาดทะยัก สาเหตเุ น่ืองจากเชือ้ เขา้ สรู่ า่ งกายทางบาดแผล ระยะฟักตัวประมาณ ๔ - ๒๐วนั ถ้าสัตว์เป็นโรคน้ไี ม่ตายภายใน ๑๐ วนั มักจะหาย และมคี วามตา้ นทานโรค๑ปี อาการ ถา้ มอี าการสตั ว์จะเดนิ ขาลาก ถา้ ทางานไมเ่ ป็น แตเ่ วลาหยดุ จะมีอาการเป็น บางทีอาจจะมีอาการอ้าปากลาบาก มีความร้อนสูง ๑๐๓ - ๑๐๔ F นอกจากนั้นจะหายใจเร็วตื่นตกใจง่าย เหงื่อ ออกเป็นแห่ง ๆ ถ้ามีอาการมากสัตว์จะยืนขาถ่าง ขาหลังยันเข้าใต้ท้องลาบาก กล้ามเน้ือเป็นตะคริว รูจมูกขยาย ใหญ่ รมิ ฝปี ากเม้มเห็นฟนั หน้า หูชดิ กนั ลกู ตาลึก นา้ ลายไหล สัตว์ ๆ ไมช่ อบแสงตะเกียง หางอาจสั่น หรือมีอาการ ยกตวั ตลอดเวลา การปอ้ งกันรักษา โรคน้ีส่วนใหญ่มักตาย การปูองกันโดยรักษาแผลให้สะอาด ฉีดเซรุ่มบาดทะยัก เม่ือเป็นนาสัตว์ไม่ท่ีมืด และเงียบ ให้อาการอ่อน น้าดื่มควรใส่ดีเกลือเพ่ือระบาย เม่ือสัตว์เป็นตะคริวให้รักษาตาม อาการ โรคน้มี กั เปน็ กบั สัตวเ์ ฉพาะตัว ไมร่ ะบาด แตต่ ดิ ต่อกนั ได้โดยเชอ้ื เขา้ ทางบาดแผล
๒๗ ๗.โรคภาคี โรคชนิดนี้เป็นโรคตดิ ต่อรา้ ยแรงของสัตว์กนิ หญ้า เชอ้ื สามารถตดิ ต่อถงึ คนทาให้ตายได้ สาเหตุ เกิดจากเช้ือบาซิรัสแอนทราซิส ระยะฟักตัว ๑๔ - ๔๐ ชม. บริเวณที่เป็นโรคนี้ มักเกิดโรคได้อีก เพราะโลหติ ของสัตว์ติดต่อได้ทางพืน้ ดิน และทนอยู่นาน เมื่อสัตว์กินหญ้าบริเวณนั้นก็ติดเช้ือ และเชื้อน้ีมากับแมลง ดดู เลอื ด และมากับนา้ และอาหาร สว่ นทางบาดแผลมักเปน็ ไปได้น้อย อาการเกดิ ขน้ึ ได้ ๔ ชนิด คอื ๑. ชนิดเฉียบพลัน สตั วจ์ ะตายทันที มเี ลือดออกทางทวารตา่ ง ๆ ๒. ชนดิ ร้ายแรงสตั วจ์ ะตายภายใน ๒๔ - ๔๘ ชม. ๓. ชนิดอ่อนสัตว์อยูไ่ ด้ ๔ - ๕ วนั หรอื อาจหายจากโรคน้ไี ด้ ๔. ชนิดเรอ้ื รัง จะพบเฉพาะแผลทลี่ ิ้น , คอ อาการชนิดรา้ ยแรง ๑. อณุ หภมู สิ ูงถึง ๑๐๗ องศา F ตืน่ เตน้ ผิดชกติ ตัวสน่ั เบือ่ อาหาร ขาไมม่ ีกาลงั ๒. ท้องเสีย อจุ จาระที่ถา่ ยมามีเลือดปน ๓. ลาตวั ทอ้ งและคอมอี าการบวม ร้อนและเมอ่ื กดจะเจบ็ ๔. เจ็บบรเิ วณท้อง มีอาการของโรคเสยี ดอยา่ งรนุ แรง ๕. หายใจลาบาก ชัก และจะหายใจในเวลาต่อมา การควบคมุ ปอ้ งกนั ๑. โดยการทาวคั ซนี ปอู งกนั โดยเฉพาะบริเวณที่มีอาการระบาดของโรค ๒. เมื่อสัตวต์ าย ควรทาลายซากโดยฝังลึก ๆ หรอื เผา รวมทั้งพ้ืนดินที่มเี ลอื ดสตั ว์ ๓. กักสัตว์ไว้ท้ังหมด ตรวจดูอาการ แยกสัตว์ปุวยไว้ และรักษาด้วยซีร่ัมรักษาโรค แอนทรา เพนนิซิลีน หรือ เทอรามัยซนิ ๔. ยา้ ยทเ่ี ลย้ี งสัตวใ์ หม่ ๕. ใชย้ าฆา่ แมลงกาตดั บรเิ วณน้นั ใหม่ เพ่ือปอู งกนั การแพรโ่ รค ๖. ใช้โซดาละลายน้า ๕ ส่วนใน ๑๐๐ ส่วน ฆ่าเชื้อโรคนี้ได้ดีท่ีสุด ใช้ทาลายเชื้อโรคที่ติดมากับดินโดยเลือด สัตว์ ขอ้ ควรจา ๑. เปน็ เช้อื โรคตดิ ต่อร้ายแรงของสัตว์ท่ีติดต่อถึงคนทาใหต้ ายได้ ๒. เช้อื สามารถสรา้ งสปอร์อยใู่ นดินได้นาน ๑๘ ปี ๓. ซากสตั ว์มีโลหติ ออกทางผวิ หนังโลหติ ไม่แข็งตัว อจุ จาระมีสดี า ถ้าผ่าซากมา้ จะโตกวา่ ปกตหิ ลายเท่า ๔. ตายโดยปจั จบุ ันซากเน่าเรว็ ๕. ปอู งกนั โดยฉีดวัคซีปีละ ๑ ครัง้ ๘.โรคเซอรา่ โรคนี้แสดงอาการรุนแรงในมา้ ลา และลอ่ สาเหตุ เกิดจากเช้ือโปรโตซัวท่ีอยู่ในโลหิตชื่อ ทริพาโนโวม่า อีวานไซ พาหะเแพร่เชื้อคือ แมลงดูด เลือด ระยะฟักตวั ๔ - ๑๓ วัน อาการ สัตว์พวกกีบเดยี วเป็นโรคน้ไี ด้ง่ายกว่าสัตวอ์ ่ืน โดยเฉพาะม้าจะแสดงอาการรุนแรง ๑. ไขส้ งู ๑๐๒.๕ F มไี ขข้ ึ้น ๆ ลง ๆ
๒๘ ๒. เบ่ืออาหาร ยืนหงอยเหงา ก้าวขาไมป่ กติ ซมึ ยืนเพลีย ขนหยาบดา้ น ขนร่วง ๓. หายใจหอบถี่ มเี ลือดออกเป็นจดุ ๆ ท่ีเหงอ่ื ชมุ่ เย่ือช่มุ ซีด ๔. เลอื ดออกช่องดา้ นหน้าของลูกตา ๕. บวมตามหนัง อวัยวะสืบพันธ์ุ ขา และใตค้ างและทีท่ ้อง ๖. ก่อนตายมอี าการชักถี่ ๆ ไม่รุนแรงมาก แลว้ ตายภายใน ๑ – ๒ ชม. การรักษา ๑. ใชย้ า โปรโตซัว เช่น แอนตสิ ซ์ซลั เฟส นากานอล ๙.โรคซาราติค สาเหตุ เกดิ จากเชื้อรา โรคน้ที าใหต้ อ่ มนา้ เหลอื งอกั เสบ พบบ่อยในสัตว์ จาพวกมา้ ลา ลอ่ โดยเฉพาะ รวมท้งั คนอาจติดโรคน้ไี ด้ โรคระบาดนเ้ี ขา้ ทางบากแผลและรอยแตกของผิวหนังนอกจากนี้ยังติดต่อจาก เครื่องมือทาความสะอาด เชน่ กราด แปรง อาการ ๑. กิดตมุ่ พองคล้ายฝีบรเิ วณตอ่ มนา้ เหลืองที่ไดร้ ับเช้อื เรยี กว่า “ฝีสาระตคิ ” ๒. ตามปกตเิ กิดฝบี ริเวณตอ่ มนา้ เหลืองทโ่ี คนขา แลว้ รวมมาท้องและระบาดท่วั ตัวหรอื เกิดตามเส้น น้าเหลืองเรยี งกนั เปน็ แถว ๑. ฝีเกดิ ขนึ้ ออ่ นจะแตกมีน้าเหลอื งไหล และโลหติ ไหล ๒. บางรายมีฝที ช่ี ่องจมกู ทาให้หายใจไมอ่ อก และท่ีปากทาใหก้ ินอาหารไมไ่ ด้จะทาให้สตั ว์ตายเร็ว การรกั ษา ๑. ผา่ ตัดฝีออกเยบ็ แผล ๒. ใช้เหลก็ เผาไฟจ้ที ่แี ผลฝี ๓. การรักษาดว้ ยยาเกลอื่ นฝี เชน่ ทงิ เจอรไ์ อโอดนี ๒๐ % ๔. ใชย้ าปฏิชีวนะฉีด เชน่ สเตรบโตมยั ซนิ ขอ้ ควรจา ๑. เป็นโรคติดต่อของม้า ลา ลอ่ และอาจตดิ ต่อถึงคนได้ ๒. เกดิ จากเช้ือรา ๓. อาการสาคญั คอื เปน็ ฝีตามเสน้ น้าเหลือง ๑๐.โรคแกลเดอร์ ชื่อพอ้ ง โรมงครอ่ พิษ สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทเี รยี เปน็ โรคตดิ ตอ่ รุนแรง เกิดในมา้ และสตั วต์ ระกูลเดียวกับมา้ โรคนี้ ทาใหเ้ กิดตมุ่ ท่ีปอด ตับม้า และอวยั วะส่วนอืน่ ๆ โดยเฉพาะเยอ่ื ทีบ่ ริเวณทางเดนิ หายใจ อาการ ๑. มีไขส้ งู ๑๐๓ – ๑๐๔ ฟ. หรือมากกว่า ๒. มีนา้ มกู ขน้ เป็นหนอง ๓. ในรายร้ายแรง พบวา่ สตั วเ์ ปน็ ปอดบวม และจะตายภายใน ๒ – ๓ วัน ๔. ในรายเรือ้ รัง มา้ จะผอมอย่างรวดเร็ว ขนด้าน ไม่มีแรงเคลือ่ นไหว
๒๙ ๕. พบตุ่ม แผลหลุมตามผวิ หนัง และในเยือ่ จมูก ๖. ในรายท่ีเปน็ มาก ต่อมนา้ เหลืองใกลข้ ากรรไกรจะบวมใหญแ่ ขง็ ๗. พบแผลหลุมตามขา โดยเฉพาะใกล้ ๆ กับข้อเทา้ ๘. ตุม่ หนองอาจพบในอวัยวะภายใน เชน่ ตบั ม้าดว้ ย ๙. มา้ ทเ่ี กิดโรคมักจะตาย ในลาจะตายอยา่ งรวดเร็ว กลา้ มเน้อื กระตกุ ๑๐. คนและแมวสามารถติดต่อโรคน้ีได้ การรักษา ๑. ไมม่ วี ัคซนี ปูองกนั ๒. ยาปฏิชวี นะมักใช้ไมไ่ ด้ผล ๓. ในระยะเริม่ แรก การใชย้ าซลั ฟาไดอะมีน จะช่วยได้ การควบคุม ๑. การทาลายซากปุวยท้งิ ๒. ทาการตรวจเลือดม้าทกุ วนั ถ้าได้ผลบวกคดั ท้ิง ๓. แยกสตั ว์ทสี่ ุขภาพดีออกจากสัตวป์ ุวย ๔. ทาความสะอาดและฆ่าเชอ้ื บรเิ วณคอก และอุปกรณ์ทใ่ี ช้เล้ยี งสตั วป์ วุ ย รวมท้งั รางข้าวนา้ ๕. รางอาหาร ๑๑. โรคสมองและไขสันหลังอกั เสบติดตอ่ มในมา้ สาเหตุ เกิดจากเช้ือไวรัส โรคนี้ทาให้สมองและไขสันหลังอักเสบ มีแมลงเป็นสื่อทาให้เกิดโรคระบาด แพร่หลาย นอกจากนี้ยังติดต่อถึงสัตว์ทดลอง แกะ โค กวาง และเชื้อติดต่อถึงคนได้อีกด้วย โรคนี้แบ่งเป็น ๒ ชนิด คอื ๑.โรคบอนนาดซิ ัส แพรร่ ะบาดครง้ั ทเ่ี มอื งบอนนา เยอรมนี อาการ ๑. มไี ขอ้ ่อน กลืนอาหารลาบาก นา้ ไหลผดิ ปกติ กล้าเนื้อคอแขง็ เกร็ง ๒. ความร้สู ึกไวตอ่ การสัมผัส ๓. มีอาการสมองอกั เสบ เช่น งว่ งเหงามีอาการอัมพาต ๔. มอี ตั ราการตายสูง ๙๐ % ระยะของโรคประมาณ ระยะของโคประมาณ ๑ – ๓ สัปดาห์ การปอ้ งกนั ฉีดวัคซีนปอู งกนั โรคทาจากกระต่าย ใหค้ วามคมุ้ กันนาน ๖ เดือน – ๑ ปี ๒. โรคอไี ควเอนเซฟาโลไมอไี ลเซติค อาการ ๑. อาการเริ่มแรกมีไข้สูง หงอยซึม ในระยะนี้มีไวรัสในร่างกายทั่วไปจนถึงสัตว์ จึงเป็นแหล่งแพร่ระบาด ของเช้อื โดยแมลงดูดเลอื ด ๒. ไมก่ นิ อาหารและตอ่ มาซึมงว่ งเหงา เม่อื ทาให้ตกใจจะต่นื เตน้ และงว่ งซมึ ต่อ ๓. มีอาการอัมพาตข้ึนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บังคับปากพูดไม่ได้ ปากย้อย ลิ้นย้อย บังคับขา ลุกไมข่ นึ้ ๔. สตั ว์จะตายภายใน ๑ – ๒ วัน ภายหลงั เมอื่ มอี าการทางประสาทเกิดขนึ้ ๕. สัตว์ทีห่ ายปุวยจะมีอาการทางสมองเหน็ ชัดว่ามอี าการทางสมองพกิ าร
๓๐ ๖. ตอ่ มาเชื้อเข้าระบบประสาท อาการไขห้ ายไป สัตว์เริ่มมีอาการทางประสาท ต่ืนเตน้ ไมเ่ ป็นสุขอาจ เดนิ เปน็ วงกลมหรอื เดนิ อยเู่ ร่อื ย ๆ การติดโรค โดยแมลงดดู เลือด เชน่ ยุง เห็บชนดิ ตา่ ง ๆ เม่ือเข้าสรู่ ่างกายจะอยูต่ ลอดชวี ิต เพราะไวรสั แพร่เชื้อได้ด้วยตัวเอง ในเห็บแพร่เชื้อได้เร็วโดยแพร่เข้าสู่ลูกได้อีก เมื่อม้ามีน้ามูกเชื้อก็จะออกมาและถ้ามีการเลีย กันกจ็ ะเกดิ โรคได้ การปอ้ งกัน ๑. โดยการฉดี วัคซนี โดยมากจะเปน็ เชอ้ื ตายท่ีทาจากไข่ฟัก ใชฉ้ ดี เข้าผิวหนงั ๒. ทาการปราบพาหะ เช่นยาฆ่าแมลง ฉีดแพร่แหลง่ เพาะพนั ธุ์ยุงและแมลงดดู เลอื ดตา่ งๆ ๑๒.โรคโลหติ จางตดิ ต่อในมา้ (EIA) สาเหตุ เกิดจากเชือ้ ไวรัส เป็นโรคติดต่อของสัตว์ตระกูลม้า ลา ล่อ มีการทาลายของเม็ดเลือดแดงจนทาให้เกิดโรค โลหติ จาง และมีไข้ สตั ว์จะอ่อนเพลียและซบู ผอมอยา่ งรวดเร็ว อาการ สามารถแบง่ ไดต้ ามลักษณะ ๔ แบบ คือ ๑. ชนิดเฉียบพลัน แสดงอาการของโรคออกมาตายภายใน ๗ – ๑๘ วัน สัตว์ซึมทางานไม่ไหว ขาหลังอ่อน ทรงตัวไมไ่ ด้ หายใจเร็ว เบอ่ื อาหาร หน้าตาบวม นา้ ตาไกล บวมนา้ อณุ หภมู สิ ูงประมาณ ๑๐๕ ฟ. ปัสสาวะ มากผิดปกติ อาจมอี าการทอ้ งร่วงลาไสอ้ ักเสบ สองขาหลังเป็นอมั พาตแล้วตายในทีส่ ุด ๒. ชนิดกึ่งเฉียบพลันมีอาการเช่นเดียวกับชนิดเฉียบพลัน ไข้ลดลง และกลับเป็นปกติ ในระยะหลาย ๆ อาทติ ย์ หรือหลายเดือนแล้วจะกลบั มาเปน็ อีก มกั จะรนุ แรงกวา่ คร้ังแรก ๓. ชนิดเรื้อรัง อุณหภูมิเป็นปกติ แต่ซึม เย่ือตาและเหงือกซีด ทางานไม่ไหว ซูบผอม อ่อนแอ ปัสสาวะมาก ท้องเดนิ เป็นครง้ั คราว ทางคราวมีเลือดปน โลหติ จาง เดนิ ขาลาก ในท่ีสุดจะตายเพราะหมดแรง ๔. ชนดิ ไม่แสดงอาการ สตั วม์ อี าการเหมือนปกตมิ ไี ข้เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีอาการปุวย โลหิตจางอย่างช้า แต่มี เชอ้ื อยูใ่ นร่างกาย และสามารถตดิ ต่อได้ การตดิ โรค ๑. โดยแมลงดูดเลอื ด เช่น เหลอื บ ซงึ่ มีมากตามคอกสตั วแ์ ละยุงบางชนิด ๒. ใช้อปุ กรณร์ ว่ มกนั เชน่ บังเหียน ๓. กาจัดแมลงดดู เลอื ด และยงุ ๔. ใช้เข็มฉีดยาท่ีสะอาด เครือ่ งผ่าตัดตอ้ งตม้ ฆา่ เชือ้ ใหส้ ะอาดก่อนผา่ --------------------------------------
๓๑ วชิ าการข่มี า้ บทท่ี ๑ ประวตั ิการขี่มา้ ตานานการการขีม่ า้ มนุษย์ได้นาม้ามาใชเ้ ป็นพาหนะขบั ขีน่ ับตัง้ แตส่ มัยโบราณ โดยเรม่ิ จากการนาม้าปาุ มาใชข้ ใ่ี นสมยั น้นั ไม่ สามารถหาหลกั ฐานไดช้ ดั เจน หลกั ฐานทีพ่ อจะนามาพจิ ารณานนั้ ได้จากรปู เขยี น,รูปสลักหินโบราญ ซงึ่ กระจ่ายอยู่ ตามพิพิธภัณฑท์ ส่ี าคญั ๆ ของโลก ประมาณพนั ปีก่อน คศ.ไดบ้ รรยายความงดงามและสง่างามของเทพเจา้ และผู้ หาญกลา้ ตา่ ง ๆ บนศึกเทียมม้า รวมทั้งชาวอียิปและกรีก ได้ใช้ม้าสาหรบั ขยั ข่เี ป็นพาหนะ ศิลปะการบังคบั มา้ ได้แพรห่ ลายเข้าไปในทวปี ยุโรปในราวปี ๕๐๐ ปกี ่อน คศ. โดยมตี าราเขียนไว้วา่ ผู้ข่ี ม้าคุมสติไว้ได้ นบั ว่าเป็นปัจจยั ท่ีดแี ละนสิ ยั อันเลิศ ความโมโหหุนหันจะทาให้เปน็ ผ้ปู ราศจากเหตผุ ล และนาให้ทา ในสิง่ ซ่ึงตอ้ งเสยี ใจภายหลงั ในเมอื่ มา้ แสดงความหวาดกลัวต่อส่งิ ใดส่ิงหนึ่งและขัดขืนไม่เขา้ ใกล้ ผู้ขต่ี ้องทาให้มา้ เหน็ ว่า ไม่มีอะไรท่นี ่ากลัวเลย โดยให้ผู้ขี่เดินเข้าไปยังส่งิ ท่ีทาใหม้ า้ ตน่ื กลัวและจบั ต้อง แลว้ จงึ จงู ม้าเขา้ ไปยังสงิ่ นั้น อยา่ งสงบ ผู้ข่ีซึ่งบังคบั ม้าโดยอาศัยแซ้เทา่ นั้นจะต้องให้มา้ ตื่นยืนข้ึน เพราะม้าจะนึกวา่ ความเจบ็ ปวดที่ตน ไดร้ บั นนั้ เนอื่ งมาจากส่งิ ทต่ี นกลัวนน่ั เอง โรงเรียนขี่มา้ ท่ีดีมีซื่อเสียงทีส่ ุดในสมยั นัน้ ได้แก่ โรงเรียนขี่มา้ เนเปลิ ชาวอิตาเล่ยี นเปน็ ผูจ้ ดั ตั้งข้ึน และเปน็ ท่ีรูจ้ กั ทั่วไปตลอดทวีปยุโรปซงึ่ บรรดาประเทศทั่วไปไดใ้ ชเ้ ป็นรากฐานแห่งศลิ ปะบงั คบั ม้าและดัดแปรงแก้ไข ให้เหมาะสมครบถ้วนมาจนครบเทา่ ทุกวันนี้
บทท่ี ๒ การข่มี า้ เบอื้ งตน้ ๓๒ ๑. สรีระร่างกายของมา้ โคนหาง หางม้า หูม้า แผงคอ ตะโหงก ผมม้า ปลายหาง สนั จมกู หลงั สะวาบ ข้อน่องแหลม รูจมูก กามม้า หน้าอก ขาท่อนบน หน้าแข้ง กีบม้า ท้อง ข้อศอก ไรกีบ ร่างกายของม้าแบง่ ออกตามสัตวแพทย์ เป็นสว่ นใหญ่ ๆ ได้ ๓ ส่วนคือ ๑. สว่ นศีรษะและคอ ๒.ส่วนลาตัว ๓.ส่วนทา้ ยและขาทัง้ ส่ขี ้าง รา่ งกายของม้าแบง่ ทางวิชาการข่ีม้าแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คอื ๑. ส่วนหน้ามือและหลังมือ ๒. สว่ นหลังมือ สว่ นหน้ามอื เรม่ิ ตงั้ แตห่ ัวถงึ ตะโหงก ส่วนหลังมือ เร่มิ ต้งั แตต่ ะโหงก ถึงทา้ ยม้า
๓๓ ๒. อนั ตรายจากมา้ มีดว้ ยกนั ๕ อยา่ ง ๒.๑ การกดั เน่ืองจากม้าจะใชฟ้ นั ในการกัดเพอ่ื ปูองกนั ตัวเอง หรือเพอ่ื ต่อสกู้ ับคตู่ ่อสูเ้ พ่ือเอาตวั ลอด อนึง่ การทจ่ี ะไปหาม้าทีย่ งั ไม่ไดผ้ ่านการฝกึ มา้ นัน้ ย่อมอนั ตรายและเส่ียงต่ออวัยวะหรือสว่ นที่สาคญั อาจจะทาให้ ถงึ กบั พกิ ารไดส้ าหรับม้าทหารทีเ่ ร่มิ ทาการฝกึ มา้ ใหม่ในข้นั ตอนแรก
๓๔ ๒.๒ การโขก การสบั คือ เม่ือมา้ ได้รับการฝกึ แล้วมีความรู้แล้ว จาเป็นจะต้องตอกเกือกม้าเพ่ือรักษากบี ม้าเพ่ือไม่ให้มา้ เกิดกีบมา้ ฉีด ในการเสี่ยงเร่ิมตัง้ แตก่ ารเขา้ หามา้ เหมือนม้ามีอาวุธเพิ่มขึน้ มา คือเกือกม้าซึง่ เป็นเกือก ที่สร้างขึ้นมาจากเหลก็ ล้วน ๆ ซ่ึงคร/ู อาจารย์ อาจมีอันตรายโดย การโขกหรอื การสับ ม้าจะใชข้ าข้างใดข้างหนง่ึ โขกสับลงพนื้ ถ้าขาดการระมัดระวงั อตั ราเสีย่ งทาให้เท้า หรือเขา่ อาจทาใหแ้ ตกหรือหักได้ซงึ่ จะทาให้เกิดความเส่ียง อยู่ตลอดเวลา ๒.๓ การส่มุ ของม้า คอื เมื่อม้าตกใจกลัวหรือปอู งกันตนเองแล้วม้าก็จะยกขาขนึ้ สองขาความสงู อยู่ ระหว่าง ๑๕๐ – ๑๗๐ ซม. อนั ตรายจะอยูร่ ะหว่างไหล่ , ศรษี ะ ทาให้เกิดแผลไดเ้ นื่องมา้ นั้น ไดม้ ีการตอกเกือก ซง่ึ เปน็ เกือกเหล็กอตั ราเสยี่ งก็ทาเกดิ การบาดเจบ็ ไม่มากก็น้อย อยู่กับจงั หวะ คร/ู อาจารย์ มีการระวังปูองกนั ทัน หรือไม่ทัน เปน็ ชว่ งเวลาไมค่ าดคดิ มาก่อน
๓๕ ๒.๔ การดีดของมา้ คือ ม้าใชข้ าหลังข้างใดขา้ งหน่งึ ดีดออกมาเป็นรูปครงึ่ วงกลม เพื่อปอู งกนั อันตราย ของตนเองในเรื่องแมลงกัดทอ้ งหรอื อะไรต่างที่ทาใหม้ า้ เขาราคาญกจ็ ะใช้ขาใดก็ได้ดีดออกมาเพ่ือให้โดน หรอื ใชใ้ น การต่อสูแ้ ละปูองกนั อันตราย อัตราเสีย่ งของ คร/ู อาจารย์ เวลาเข้าไปหาม้าแล้ว เมอ่ื ม้าดีดมาแลว้ แนน่ นอนจะต้อง โดนส่วนชว่ งเอวลงมาถึงขาแน่นอันตรายเกดิ ขึ้นหรือได้รับบาดเจ็บถึงกบั พกิ ารเลย ๒.๕ มา้ เตะ๊ คือ มา้ จะใช้สองขาหลังออกจากด้านหลังเป็นอนั ตรายม้าสาหรับม้าเต๊ะ อาจจะมกี าร สญู เสยี ถึงชวี ติ กไ็ ด้ถา้ โดนจุดที่สาคัญ เชน่ ศรีษะ , ไหล่ ,คอ ,อันถะ
๓๖ วธิ ีเข้าหามา้ กอ่ นอื่นให้เรยี กชื่อม้าเพ่ือให้มา้ ร้ตู วั แล้วเดินเข้าหาทางด้านหนา้ เฉียงกบั ตวั ม้าประมาณ ๔๕ องศา เมอ่ื ถึงตวั ม้าใช้มือสมั ผัสเบาๆตบคอเพื่อแสดงให้ม้ารบั รูไ้ ม่ตื่นตกใจ ๓. การปฏบิ ตั บิ ารุงม้า ก่อนและหลงั ใช้งาน ก่อนท่ีจะทาการขี่ม้าจะต้องมีการปฏบิ ตั ิบารงุ ม้าก่อนที่จะใช้งานเพ่ือใหต้ วั ม้าสะอาดปราศจากฝุนผง,รงั แค และ ดูความพร้อมของม้า เคร่ืองมือ ปบ.ม้าประกอบดว้ ย กราด , แปรง ,หวี ,ไมแ้ คะกีบ,น้ามนั ทากบี และผา้ การปฏิบัตบิ ารงุ มา้ ก่อนใช้งาน ให้หันหนา้ มา้ สวนทิศทางลม เพื่อเวลาทาความสะอาดเศษสง่ิ สกปรกจะถูกปดั ไป ตามลม เศษผงจะไมถ่ ูกหนา้ ผ้ปู ฏิบัตแิ ละหน้าม้า โดยเรม่ิ จากหนา้ มา้ ,คอและลาตัวผ้ปู ฏิบัติถ้าทาดา้ นซา้ ยให้ถือ กราดดว้ ยมอื ขวาและถือแปรงดว้ ยมือซา้ ย กราดใชถ้ ูย้อนไป มาหลายๆครั้ง แล้วใชแ้ ปรงปัดซา้ ตามขนจะทาให้ส่ิงสกปรกหลดุ ออกไดง้ ่ายทาทาจนทัว่ ตัวและขาทั้ง ๔ ขา้ ง เสร็จแลว้ ทาความ สะอาดกบี โดยการแคะส่งิ สกปรก,มลู สตั วอ์ อกทาดว้ ยน้ามนั ทากบี เสร็จแล้วจึงเริ่มผกู เครื่องม้า การปฏบิ ตั ิบารุงม้า หลังใช้งาน หลงั จากทาการฝึกม้าหรือเลกิ ขี่ม้าและปลดเครื่องมา้ แล้วให้ใชฟ้ างหญ้า แหง้ ถูทีล่ าตัวมา้ และส่วนทม่ี ีเหงื่อโดยถูย้อนไปย้อนมาจนเหง่ือแหง้ การใชห้ ญา้ แห้งถูตัวมา้ จะเป็นการนวดตัวมา้ ไป ในตัวด้วยซ่งึ จะทาให้เลือดม้าบรเิ วณน้ันกระจายตวั นามา้ จงู เลย้ี งประมาณ ๒๐ นาทีให้ม้าหายเหนอื่ ย แล้วจงึ นา ม้าไปล้างตัวหรืออาบน้าลา้ งกีบ เมื่อตวั มา้ แห้งสนิทให้ใชน้ า้ มันบารุงกบี ทากีบแล้วจงึ นาม้าเขา้ คอก
๓๗ ๔. เครอ่ื งม้า เครอ่ื งมา้ ประกอบด้วย ๑. บงั เหียน ( ขลมุ ข่ี ) ๕. เหล็กโกลน ๙. นวมอาน ๒. อาน และผ้าปูหลัง ๖. แผงอานใหญ่ ๑๐.สายรดั ทึบ บงั เหยี น ประกอบด้วย ๗. สายร้ังสายรัดทบึ ๘. แผงอานน้อย ๑. สายรดั กระหม่อม ๒. สายรดั หน้าผาก ๓. สายรดั ด้งั และสายรดั คาง ๔. สายรัง้ เหล็กบังเหียน ๕. สายรัดคอ ๖. สายขบั อาน ประกอบด้วย ๑. แท่นอาน ๒. หวั อาน ๓. ท้ายอาน ๔. สายโกลน
๓๘ ๕. การผูกปลดเครอ่ื งมา้ ก่อนท่จี ะทาการผกู เคร่อื งมา้ ต้องทาการปฏบิ ตั ิมา้ ก่อนใช้งานให้เรียบรอ้ ยเสียก่อน วิธกี ารผกู บังเหียน ๑. มือซา้ ยจับบงั เหยี นทส่ี ายรัดกระหม่อมมือขวานาสายบังเหียนคล้องคอมา้ เพื่อปูองกันไมใ่ หม้ ้า หนไี ปไหน ๒. ปลดขลมุ จูงออก (ถ้ายงั ใสข่ ลมุ จงู อยู่)มือขวาจับผมหนา้ มา้ ยกหัวแม่มือขึน้ มอื ซ้ายนาสายรัด กระหม่อมเกย่ี วกับหัวแม่มอื ขวามือซ้ายจบั เหลก็ บังเหยี นเข้าปากมา้ ลกั ษณะแบมือ ๓. เม่อื เหลก็ บังเหียนเขา้ ปากม้าเรยี บร้อยแลว้ ให้จัดขลุมให้เขา้ ทโี่ ดยให้ หมู ้าทัง ๒ ข้างเข้าอยู่ใน ระหว่างสายรดั กระหมอ่ มกบั สายรัดหน้าผาก ใส่สายรัดคอสายรัดคางให้เรียบร้อย การตรวจ ๑. สายรัดคอต้องหย่อนประมาณ ๑ กาปั้นมือ ๒. สายรัดคางรัดแน่น โดยสามารถให้น้ิวมือสอดเข้าไปได้ ๓. เหล็กบังเหียนห่างจากสายรดั ด้งั ๓ นิ้วมอื ๔. มมุ ปากมา้ จะย่น ๑,๒ รอยถือว่าพอดี แต่ ถ้ายน่ ๓ รอยถือวา่ ตึงเกนิ ไป
๓๙ วธิ ผี ูกอาน ๑. นาผา้ ปหู ลงั เช็ดถตู วั มา้ ประมาณ ๒ – ๓ ครัง้ นาผา้ ปลู งบนหลังม้าโดยให้ส่วนเวา้ อยู่บริเวณ กึ่งกลางตะโหงก ชายผา้ ปหู ลงั ตกข้างตัวมา้ เทา่ ๆกนั ท้ัง ๒ ขา้ ง ๒. ใช้มือซ้ายจับหวั อานมือขวาจบั ทา้ ยอาน ยกอานวางลงบนหลงั มา้ โดยใหห้ วั อานอย่บู ริเวณ กง่ึ กลางตะโหงก แผงอานใหญ่ห่างจากขอบผ้าปหู ลงั ประมาณ ๒ น้วิ มือ ๓. นาสายรัดทึบรัดให้เรียบรอ้ ยโดยแบง่ สายรัดทึบเสน้ ที่ ๑ ออกเปน็ ๓ สว่ นรัดสายรัดทึบเสน้ ท่ี ๒ ทับเส้นท่ี ๑ โดยทบั เสน้ ท่ี ๑ สองส่วนรดั ใหแ้ นน่ พอดี การตรวจ ๑. สายรดั ทบึ ต้องห่างจากรักแร้มา้ ประมาณ ๑ ฝุามือ ๒. ใช้มอื สอดเข้าระหวา่ งท้องมา้ กับสายรัดทบึ โดยสอดจากด้านท้ายม้า ถา้ สอดได้พอดตี ้องไมต่ ึง หรอื หลวมเกินไป การปลดเครอื่ งมา้ (บังเหียนและอาน) ให้กระทายอ้ นกลับกนั
๔๐ ๖. การขึน้ มา้ – ลงม้า มี ๓ วิธี ๑. การขน้ึ มา้ – ลงม้า โดยใชโ้ กลน ๒. การขึ้นม้า – ลงม้า โดยไมใ่ ชโ้ กลน (กระโดดขน้ึ มา้ ) ๓. การสง่ ขน้ึ ม้า ผ้ขู ่ีม้ายนื ประจาข้างม้าทางด้านซ้ายบรเิ วณขากรรมไกม้า มือขาจบั สายบังเหยี นทงั้ ๒ เส้นใต้คางม้าห่างจากคางมา้ ประมาณ ๑ ฝาุ มอื กามือและใชน้ ิว้ ชีส้ อดเข้าระหวา่ งกลางของสายบงั เหยี นท้งั ๒ เสน้ อยูใ่ นลกั ษณะทา่ ตรง การขน้ึ มา้ โดยใชโ้ กลน มี ๓ ขนั้ ตอน ใชค้ าบอกคาส่ังว่า “ขึ้น.....ม้า” เป็นคาบอกแบ่ง ขัน้ ตอนท่ี ๑ ทาขวาหัน มือซ้ายจบั สายบงั เหยี นแทนมือขวาตบเท้าข้าไปบรเิ วณไหลม่ า้ มือขวา รวบสายบังเหยี นดงึ ให้ตึงพอดีกบั ปากมา้ แลว้ จับไว้ท่หี วั อาน มือขวาจับทีเ่ หล็กโกลนบดิ เข้าหาตวั ขั้นตอนท่ี ๒ นาเทา้ ซ้ายสวมเข้ากบั เหลก็ โกลนละมือขวาจับท่ีทา้ อาน เท้าขวายันพื้นสปริงตวั ข้ึน ไป ส้นเทา้ ทั้ง ๒ ข้าชิดตดิ กัน นา้ หนักตัวตกท่ีแขนทงั ๒ ขา้ ง ลาตัวเฉยี งกับตวั ม้าประมาณ ๔๕ องศา ตา มองตรงไปข้างหน้า ขั้นตอนท่ี ๓ เลอ่ื นมอื ขวาไปจับท่ีหัวอานและเตะเทา้ ขวาผ่านท้ายม้า ด้วยอาการขาตรงึ น่ังลงบน แท่นอานอย่างเบาๆ สวมโกลน มือทัง้ ๒ ข้างแยกจบั บังเหยี นทั้ง ๒ เสน้ การลงจากมา้ โดยใช้โกลน มี ๓ ข้นั ตอน ใช้คาบอกคาสง่ั ว่า “ลงจาก........ม้า”เป็นคาบอกแบ่ง ขน้ั ตอนท่ี ๑ มือขวาสง่ สายบงั เหียนให้มอื ซา้ ยๆมือทง้ั สองขา้ งจบั ท่หี วั อาน เท้าขวาถอดโกลน ขั้นตอนที่ ๒ ก้มตวั ไปขา้ งหนา้ เล็กนอ้ ยพรอ้ มกับเตะเทา้ ขวาผา่ นทา้ ยม้าด้วยอาการตรึงนาเท้าขวา ชิดเท้าซ้ายมือขวารบี จบั ที่ทา้ อาน ลาตัวเฉียงกับตัวมา้ ประมาณ ๔๕ องศา ตามองตรงไปข้างหน้า ( เหมอื นกับการขึ้นม้าขนั้ ตอนท่ี ๒ ) ขน้ั ตอนที่ ๓ บดิ ลาตัวไปทางท้ายม้าพรอ้ มกบั หย่อนตวั ลงเท้าขวาอยู่ขา้ งลาตวั มา้ เทา้ ซ้ายถอด จากเหลก็ โกลนกา้ วไปอยู่บริเวณขากรรไกม้า มือซ้ายจับรวบสายบังเหียนใต้คางมา้ นามือขวาจบั รวบสายบังเหียน แทนมือซา้ ย นาเท้าขวาชิดเท้าซ้าย ทาซา้ ยหัน
๔๑ การขึ้นม้าโดยไมใ่ ชโ้ กลน มี ๓ ขนั้ ตอน ใช้คาบอกคาสง่ั ว่า “ขึ้นม้า” เปน็ คาบอกรวด ขัน้ ตอนท่ี ๑ ทาขวาหนั มือซ้ายจบั สายบงั เหียนแทนมือขวา ตบท้าขวาไปบริเวณกลางลาตัวมา้ มอื ซ้ายจับรวบสายบังเหียนให้สายบังเหยี นตึงพอดีกบั ปากม้าลา้ จบั ไว้ทีห่ ัวอาน มือขวาจับทที่ ้าอาน ขน้ั ตอนท่ี ๒ สปริงตวั ข้นึ ไปเท้าท้งั สองขา้ งชิดติดกันน้าหนักตวั ตกทีแ่ ขนทั้ง ๒ ขา้ ง ลาตวั เฉียงกบั ตัวม้าประมาณ ๔๕ องศา ตามองตรงไปข้าง (เหมอื นกบั การขน้ึ มา้ ขัน้ ตอนท่ี ๒ แตไ่ มส่ วมโกลน ขัน้ ตอนที่ ๓ เลือ่ นมอื ขวาไปจับที่หัวอานพร้อมกบั เตะเท้าขวาผ่านทา้ ยมา้ ด้วยอาการขาตรงึ นัง่ ลง บนแท่นอานอยา่ งเบาๆสวมโกลนทง้ั ๒ ขา้ ง มือทง้ั ๒ ข้างแยกจับบังเหียนทงั้ ๒ เสน้ การลงจากม้าโดยไมใ่ ช้โกลน มี ๓ ขนั้ ตอนใชค้ าบอกคาสัง่ ว่า “ลงมา้ ” เปน็ คาบอกรวด ขนั้ ตอนที่ ๑ มือขวาส่งสายบังเหยี นให้มือซ้ายๆมือท้ังสองขา้ งจบั ท่หี ัวอาน เท้าท้ัง ๒ ข้างถอด โกลน ขั้นตอนที่ ๒ สปริงตวั โดยให้เทา้ ขวาผา่ นท้ายม้า นาสะโพกขวาติดไวท้ ีห่ ัวอานเท้าทงั้ สองขา้ งชดิ ติดกันนา้ หนักตัวตกทีแ่ ขนทง้ั สองขา้ ง ลาตวั เฉียงกบั มา้ ประมาณ 45 องศา ตามองตรงไปข้าหนา้ ขนั้ ตอนที่ ๓ หย่อนตัวลงบรเิ วณไหลม่ ้า ก้าวเท้าซ้ายไปอยบู่ ริเวณขากรรไกม้า มือซ้ายจบั รวบ สายบังเหียนใต้คางม้า นามือขวาจับสายบงั เหียนแทนมือซ้ายนาเท้าขวาชดิ เท้าซา้ ยทาซ้ายหนั การส่งขน้ึ มา้ เป็นการกระทาให้กับนายทหารผู้ใหญ่ หรือ เดก็ ๆทีไ่ ม่สามารถข้ึนมา้ ได้ มี ๓ ขน้ั ตอน คือ ขน้ั ตอนท่ี ๑ ผขู้ ่ีมา้ จะยนื อย่บู ริเวณกลางลาตัวมา้ มือซ้ายรวบจับสายบังเหียนไว้ทหี่ ัวอานมอื ขวา จบั ทา้ ยอาน ยกขาซ้ายข้ึนโดยใหข้ าท่อนลา่ งขนานกบั พ้ืน ปลายเท้าจกิ ลงดนิ ขน้ั ตอนท่ี ๒ ผ้สู ง่ ขึ้นมา้ มือซ้ายรองจบั ท่ีหวั เขา่ ซา้ ยของผู้ข่ี มอื ขวาจบั ที่ข้อเทา้ ซ้ายโดยลักษณะ อ้อมดา้ นใน ขัน้ ตอนท่ี ๓ ท้งั ผู้ขแ่ี ละผ้สู ง่ นับ ๑,๒,๓ พรอ้ มกนั เมื่อส้นิ สดุ คาว่า ๓ ผขู้ ่ีสปรงิ ตวั ผู้ส่งยกดันขาผู้ขี่ ขึ้นพร้อมกัน ผู้ขี่เตะเท้าขวาผ่านท้ายมา้ นั่งลงอยา่ งเบาๆสวมโกลนทง้ั ๒ ข้าง
๔๒ เรอ่ื ง หลักการในโรงฝึก ๑.สว่ นตา่ งๆ ในโรงฝกึ เพอ่ื ความสะดวกแก่การเรียนและการฝึก จึงได้กาหนดเสน้ ภายในโรงฝึกข้นึ ดังน้ี ๑. ฝาโรงฝึก ๒.เสน้ ใน ๓. เส้นนอก ๔.เสน้ ก่ึงกลางโรงฝกึ ๑. ผ่าโรงฝึก ๓. เสน้ ใน ๒. เส้นนอก ๔. เสน้ กึ่งกลางโรงฝกึ - เส้นนอก ห่างจากฝาโรงฝึกประมาณ ๑ เมตร - เสน้ ใน หา่ งจากเสน้ นอกประมาณ ๓ เมตร เสน้ สมมตุ ิ เหล่านแี้ ม้จะเป็นการฝึกในสนามนอกโรงฝึกก็ใหใ้ ชโ้ ดยอนุโลม ๒. ลาดบั งานในโรงฝึก การเดนิ เมอ่ื มคี าบอกวา่ “ หน้า…..เดิน “ ให้ใชน้ อ่ งท้งั สองข้างอดั ท่หี ลังสายรัดทึบพร้อมกนั โดยใชก้ าลงั เท่ากนั จะเบาหรือแรงแลว้ แต่ความตอ้ งการของผขู้ ี่ หรือความรสู้ กึ ของมา้ พร้อมกบั หย่อนสาย บงั เหียนและใสเอวไปข้างหนา้ เพ่ือใหน้ ้าหนักตวั ของผู้ขี่พ่งุ ไปขา้ งหนา้ ซึ่งเปน็ ผลให้มา้ เสยี การทรงตัว คอื นา้ หนกั ถ่วงไปขา้ งหนา้ ม้ากจ็ ะออกเดนิ ตามความประสงค์ของผู้ขี่ ในขณะทมี่ ้า เดินอยู่ผขู้ ีก่ ็พยายามจดั ท่านัง่ ม้า และฝึก การใสเอวใหเ้ ขา้ กบั จังหวะในการเคลื่อนท่ขี องมา้ โดยทาเอวอ่อน ๆ (ครปู ฏบิ ตั กิ ารใสเอวให้นกั เรยี นดู) การเดนิ ทางขวาหรือทางซา้ ย ในโรงฝกึ ถา้ รา่ งกายซีกขวาของม้าหรอื ของผูข้ ีห่ นั เขา้ หาด้านในของโรงฝกึ เราเรียกวา่ “ เดินทางขวา “ เมอ่ื มีคาบอกว่า “ ทางขวาหนา้ …เดิน “ ใหบ้ งั คับม้าเดนิ ออกจากแถวตรงไปยังฝาโรงฝกึ ตรงหนา้ เม่ือถงึ เส้นนอกให้เลย้ี วไปทางขาวแล้วเดนิ ไปตามเส้นนอกถา้ ต้องการเดิน ทางซา้ ยก็ใหก้ ระทาตรงขา้ ม การใช้ระยะตอ่ ระยะต่อนับว่าเปน็ สิง่ สาคัญมาก เพราะถา้ นกั เรียนจัดระยะต่อไมไ่ ด้ตามที่ผูฝ้ กึ กาหนดให้ แลว้ จะทาให้การฝึกเรื่องอ่ืน ๆ ไม่ได้ผล ดงั น้นั ในขั้นตน้ ให้ใชเ้ พียงฝเี ท้าเดิน โดยผู้ฝึกสัง่ ให้นักเรยี นบงั คับม้าเดนิ บน เส้นนอก และใหร้ ักษาระยะต่ออย่างเคร่งครดั ตามท่ผี ูฝ้ กึ กาหนดให้สาหรับมา้ เทศใหถ้ ือระยะต่อ ๘ กา้ ว มา้ ไทย ๖ ก้าวนักเรยี นจะต้องรักษาระยะตอ่ ให้ประมาณนี้อย่างกวดขันถ้าระยะต่อชิดไปใหด้ ึงบังเหียนไวเ้ พอ่ื ม้าลดฝเี ท้าลงจน ไดร้ ะยะต่อทกี่ าหนด ถ้าระยะต่อหา่ งให้อัดนอ่ งบังคบั ม้าให้เรว็ ข้นึ จนไดร้ ะยะต่อทกี่ าหนด การเปิดแถว การเปิดแถวมี ๒ วิธี ๑. การเปิดแถวพร้อมกัน คาบอก “ ระยะตอ่ . . . . ก้าว ทางขวาหรือซ้าย หนา้ . . . เดิน วธิ ี ปฏิบัติ นกั เรยี นบังคบั ม้าให้ออกเดนิ จากแถวบนเสน้ กง่ึ กลางโรงฝึกตรงไปยังเส้นนอกตรงหนา้ พรอ้ มกนั เม่ือถึง เสน้ นอกแลว้ ให้เลย้ี วไปทางขวาหรอื ทางซา้ ยตามคาบอก เมอ่ื ทุกคนอยู่บนเสน้ นอกแล้ว ใหร้ ีบจัดระยะต่อให้ได้ ตามทผ่ี ู้ฝกึ กาหนด
๔๓ ๒. การเปดิ แถวทล่ี ะมา้ คาบอก “จากซา้ ยหรอื จากขวา ระยะตอ่ ...กา้ ว ทางขวาหรือซา้ ยหน้า...เดนิ วิธปี ฏิบตั ิ เมอื่ สิ้นสุดคาส่งั ให้นกั เรยี นทอ่ี ยหู่ วั แถวดา้ นซา้ ยหรือดา้ นขวาบงั คับม้าให้ออกเดินจากแถวบนเสน้ กึ่งกลาง โรงฝกึ ตรงไปยังเสน้ นอกตรงหน้าท่ีละ ๑ ม้า เมื่อถึงเสน้ นอกแลว้ ให้เลีย้ วไปทางขวาหรือทางซ้ายตามคาบอก มา้ ตัว ตอ่ ไปเมอ่ื ม้าตวั อรกออกเดนิ แล้วประมาณ ๓ – ๔ กา้ ว กบ็ ังคบั มา้ ให้ออกเดนิ จากแถวบนเส้นกง่ึ กลางโรงฝึกตรงหนา้ ไปยงั เส้นนอก เมื่อถึงเสน้ นอกแล้วใหเ้ ลย้ี วไปทางขวาหรอื ทางซา้ ยตามคาบอก เมือ่ ทกุ คนอยบู่ นเสน้ นอกแลว้ ใหร้ ีบ จดั ระยะต่อให้ไดต้ ามที่ผฝู้ กึ กาหนด การหยุด คาบอก “ แถว . . . .เดิน “ วิธปี ฏบิ ตั ิ จับสายบงั เหียนดว้ ยน้วิ มือให้แนน่ ดึงสายบังเหียนมาข้างหลังจากข้างลา่ งข้ึนขา้ งบนด้วยแขนทอ่ น ลา่ ง ใชข้ ้อศอกเป็นดุมติดกบั ลาตวั การดงึ น้นั ใช้แรงดงึ ที่สายบงั เหยี นใหเ้ ทา่ กนั ทง้ั สองมือ และดงึ จากเบาไปหา หนักจนกระทั่งมา้ หยดุ ถ้าม้าไมห่ ยดุ ก็อาจใชน้ า้ หนักตวั ชว่ ยโดยเอนตัวไปขา้ งหลัง การทาวง การทาวง คือ การบังคับม้าใหเ้ คลอื่ นท่ีเปน็ วงกลมสัมผสั กับเส้นท่กี าลังเคล่ือนอยู่ ๑ รอบ ถ้าผูฝ้ กึ มไิ ด้กาหนดเสน้ ผา่ นศูนย์กลางของวงกลมให้ ให้ถอื วา่ เส้นผา่ นศูนย์กลางของวงกลมยาวไปถงึ เสน้ กงึ่ กลาง โดยธรรมดาแล้วผู้ฝกึ จะกาหนดเส้นผา่ นศนู ย์กลางตามประเภทของมา้ คอื ถ้าเป็นมา้ เทศใช้เสน้ ผ่าศนู ย์กลาง ๘ ก้าว ม้าไทยใช้เส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง ๖ ก้าว คาบอก “ ทาวง . . . . ทา “ หรือ “ เส้นผ่าศูนยก์ ลาง . . . .กา้ ว ทาวง . . .ทา “ ถ้ามา้ เคลื่อนท่ีทางขวาใชบ้ ังเหยี นขวาเปดิ บังเหียนซา้ ยทาบคอน่องขวาอัดบรเิ วณสายรัดทึบ นอ่ งซ้ายหลังสายรดั ทึบ นา้ หนกั ตัวเอยี งมาทางขวาเล็กนอ้ ย เมื่อเล้ยี วทาวงกลมครบ ๑ รอบแลว้ คงเคลื่อนทตี่ ่อไปในทศิ ทางเดิม ( ถ้า เดินทางซ้ายก็ปฏิบัติตรงกนั ข้าม ) หมายเหตุ การทาวงน้ีถ้าผู้ฝกึ สง่ั ฝีเทา้ อะไร ผู้ปฏบิ ัติตอ้ งบงั คบั มา้ ให้ทาวงดว้ ยเทา้ นน้ั ห้ามมใิ หเ้ ปลีย่ นฝเี ทา้ ในขณะทาวงเป็นอนั ขาด - ระยะต่อเป็นสิ่งสาคัญทส่ี ดุ ในการทาวง เพราะถ้าทุกคนจัดระยะต่อไม่ไดจ้ ะทาให้มา้ ชนกัน - ความพรอ้ มเพรียงกนั ในขณะทาวง จะมคี วามเปน็ ระเบยี บและสวยงาม - ท่านงั่ ม้า ผู้ฝกึ ควรจะไดก้ วดขนั อยูต่ ลอดเวลา เพราะเปน็ พื้นฐานของการขมี่ ้า การกลบั หลังเลย้ี ว การกลบั หลงั เล้ยี ว คือ การบังคบั ม้าใหท้ าวงได้ ๒ ใน ๓ สว่ นของวงกลม เหลือ อีก ๑ สว่ น ให้เคลอื่ นที่เฉยี งเข้าหาเส้นนอก โดยทามมุ กบั เสน้ นอกประมาณ ๔๕ องศา แต่ไปในทางตรงกันขา้ มกบั เมื่อก่อนเลยี้ ว การกลับหลงั เล้ียวมี ๒ อยา่ ง คอื ๑. ขวากลับหลงั เลย้ี ว ๒. ซ้ายกลบั หลงั เล้ยี ว คาบอก “ขวากลับหลงั . . .เลย้ี ว “( จะคาส่ังเมื่อมา้ ของนักเรยี นเคล่ือนที่ทางขวา) วธิ ปี ฏบิ ตั ิ นักเรยี นบังคับมา้ ใหท้ าวงไปทางขวา ประมาณ ๒ ใน ๓ สว่ นของวงกลมเหลือ ๑ สว่ น ให้บงั คบั มา้ เดนิ เฉียงออกไปหาเสน้ นอก โดยให้ทามมุ กบั เสน้ นอกประมาณ ๔๕ องศา มา้ จะเปล่ยี น ทศิ ทางเคลื่อนท่ี ตามรปู
๔๔ คาบอก “ ซา้ ยกลบั หลัง . . . .เลี้ยว “ ( การปฏบิ ตั ิเหมือนกับขวากลบั หลังเล้ียวแต่ปฏบิ ตั ใิ น ลกั ษณะตรงกันข้าม) หมายเหตุ สาหรบั การฝกึ ขี่มา้ ขัน้ ต้นนั้นการกลบั หลงั เลย้ี วใช้ไดก้ ับฝเี ท้าเดิน และวิ่งเรยี บ เทา่ น้นั การว่งิ เรยี บธรรมดา คาบอก “ ว่ิงเรยี บ . . .วงิ่ “ วิธปี ฏิบตั ิ อดั น่องทั้งสองข้างให้แรงขนึ้ กว่าเมื่อขณะใชฝ้ เี ท้าเดิน ม้ากจ็ ะออกวิ่งเรียบ ฝึกให้ นักเรยี นสวมโกลนเสยี กอ่ น เพื่อใหน้ ักเรียนค้นุ เคยกับจงั หวะในการเคล่ือนที่ของมา้ การฝึกขี่มา้ ในฝีเท้านี้นักเรียนจะตอ้ งปลอ่ ยให้กน้ กระแทกไปกับการม้าตามจงั หวะวง่ิ ของม้า พร้อมกับใสเอวให้ไป กับจังหวะของม้าเอนตัวไปขา้ งหลังเลก็ น้อยเพื่อดนั ใหก้ นั ไปข้างหน้าซ่งึ จะทาให้การกระแทกอานเบาลง มือทถี่ ือ บงั เหียนต้องระวงั อยา่ ให้เขย่าปากมา้ การฝึกในฝีเท้าวงิ่ เรยี บครง้ั แรก ควรจะใชฝ้ เี ทา้ สลบั กบั ฝเี ทา้ เดิน เพอ่ื ผ่อนคลายความเหนด็ เหน่ือย ของนักเรียนและมา้ ด้วย โดยใหว้ ่ิงเรียบประมาณ ๒ – ๓ นาที แลว้ ให้เดิน ๒ – ๓ นาที เสรจ็ แล้วสง่ั ใหว้ ่งิ เรียบอีกสลับกนั ไป เมอื่ เหน็ ว่านักเรียนมีการทรงตวั ดแี ล้วกค็ อ่ ยๆเพ่ิมเวลาในการวิ่ง เรียบ ให้มากขนึ้ ทีละ เลก็ ทลี ะน้อย และต่อไปก็เริ่มปฏบิ ัติการทาวง และการกลับหลังเลี้ยวในฝเี ทา้ ว่ิงเรยี บเพ่ิมขึน้ หมายเหตุ เมือ่ จะให้เปล่ยี นเท้าจากวิ่งเรียบมาเป็นเดนิ ผ้ฝู ึกจะใชค้ าบอกวา่ “ แถว . . . เดิน “ และถ้าจะให้เปล่ยี นเท้าเดินเป็นหยดุ ผ้ฝู ึกจะใช้คาบอกว่า “ แถว . . . หยุด “ การว่ิงเรียบธรรมดาไมส่ วมโกลน เม่ือจะให้มา้ วิง่ เรียบธรรมดาไม่สวมโคลน ผฝู้ ึกจะส่ังวา่ “ ตลบโกลน “ นักเรยี นเอาโกลนท้ังสองขา้ งตลบข้ึนพลาดตะโหงกมา้ ข้างหน้าหัวอาน เสร็จแล้วจัดท่านงั่ มา้ โดยไม่ สวมโกลน ต่อไปผู้ฝกึ กจ็ ะใช้คาบอกวา่ “ วิ่งเรยี บ . . . ว่งิ “ นกั เรียนก็บงั คับมา้ ออกวงิ่ สาหรับการฝกึ วิง่ เรยี บธรรมดาโดยไม่สวมโกลนนี้ ในการฝึกคร้ังแรกผฝู้ ึกควรจะส่ังใหน้ ักเรยี น ปฏิบัตกิ ารว่งิ เรียบเป็นชว่ งระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณครง้ั ละ ๒ – ๓ นาที หรือ ๕ นาที สลบั กันกบั การใชฝ้ ีเท้า เดิน ต่อไปพอนักเรียนรู้จักการทรงตัวดีขนึ้ ก็คอ่ ย ๆ เพ่ิมระยะเวลาในการว่ิงเรยี บตามลาดับและให้นักเรยี น ปฏบิ ัตกิ ารบงั คบั ม้า ทาวง หรือการกลบั หลังเล้ยี วประกอบไปดว้ ย เมอ่ื ผู้ฝึกจะใหน้ กั เรียนสวมโกลน ผฝู้ กึ กส็ ่งั ว่า “ เอาโกลนลง “ นักเรยี นก็เอาดกลนลงแลว้ สวมโกลน การว่งิ เรยี กตวั ประโยชนข์ องการขี่ม้าวง่ิ รอบยกตวั - ผ่อนการกระแทกตวั ของผขู้ ่ีม้าบนหลังม้าให้เบาลง - เป็นการถนอมปากและหลงั ม้า - ผ่อนคลายความเหน็ดเหน่อื ยใหแ้ ก่มา้ และคน - มา้ ยดื แข้งขาได้เต็มท่ี การยกตวั บนขาหน้าขวา ในขณะมา้ วิ่งเรียบธรรมดา ( เคล่ือนที่ทางซา้ ย ) ผฝู้ กึ จะส่ังว่า “ เร็วขน้ึ “ นกั เรยี นบังคบั มา้ ใหว้ ิง่ เรียบยาว ( คือใหม้ า้ ว่ิงเรียบก้าวขายาวขน้ึ ) ตอ่ ไปผู้ฝึกจะใช้คาส่ังวา่ “ ยกตัว บนขาขวาทา “ วิธปี ฏิบตั ิ - ยกตัวเม่ือขาหน้าขวาของมา้ ยกจากพื้น โดยผู้ขยี่ ืนขน้ึ ดว้ ยการใชเ้ ท้ายนั ดกลน และใหน้ อ่ งหนบี ม้าเพือ่ ทรงตัวยกกน้ ข้ึนจากอาน และก้มตัวไปขา้ งหน้า - นงั่ ลงบนอานเบา ๆ เมือ่ ขาหน้าขวาของม้าจรดพ้นื
๔๕ การยกตัวบนขาหน้าซ้าย วธิ ปี ฏิบตั ิ ตรงขา้ มกับยกตวั บนขาหนา้ ขวา เมือ่ ผ้ฝู กึ จะให้นกั เรียนเลิกปฏิบัตกิ ารขม่ี ้ายกตัว ผูฝ้ กึ จะส่ังว่า “ ชา้ ลง “ นักเรียนบงั คับม้าให้ม้าวงิ่ เรยี บชา้ ลง ( ว่งิ เรยี บธรรมดา ) ไม่ยกตวั ขอ้ สงั เกต วิธีสงั เกตวา่ ยกตวั ถูกขามา้ หรอื ไม่ ให้ผูม้ องดูที่ไหลม่ า้ ถา้ ยกตัวบนขาขวาให้มอง ท่ี ไหลข่ วาของมา้ คือ ถ้าไหล่ขวาของม้าโผลไ่ ปขา้ งหน้ากใ็ ห้ยืนข้นึ และเวลาไหลข่ วาลดลงกใ้ ห้น่ังลงบนอานทงั้ น้ีก็ เพราะวา่ เวลาไหล่ขวาของมา้ โผลไ่ ปข้างหน้านั้น ขาหนา้ ขวาของม้าจะยกข้นึ ไปดว้ ย และเวลาไหลข่ วาลดลงขา ขวาของมา้ ก็จะเตะพน้ื พอดสี าหรับการยกตวั บนขาหนา้ วา้ ยกส็ ังเกตตรงกันข้าม ขอ้ ควรระวงั ๑. ถา้ จะวงิ่ เรยี บยกตัวบนขาหนา้ ขวาตอ้ งใหม้ า้ เคลอื่ นทีท่ างซา้ ย ๒. ถ้าจะวงิ่ เรียบยกตัวบนขาหนา้ ซา้ ยต้องใหม้ า้ เคลื่อนท่ที างขวา ๓. ในการฝกึ ควรจะไดฝ้ ึกวงิ่ เรียบยกตัวบนขาหน้าขวาและซ้ายสลบั กันดว้ ยเวลา เท่ากนั ทั้ง ๒ ข้างเพราะ - เมอ่ื ยกตัวบนขาขวา ขาหน้าขวาและขาหลงั ขวาขิงม้าได้รบั การพกั ผ่อน ขาหน้าซา้ ยและ ขาหลังซ้ายจะรบั น้าหนกั - เมอื่ ยกตวั บนขาซ้าย ขาหนา้ ซา้ ยและขาหน้าหลงั ซ้ายของม้าจะได้รบั การพักผ่อน ขา หนา้ ขวาและขาหลังขวารับน้าหนกั การเปลยี่ นทางจากมมุ เลีย้ ว คาส่ัง “ จากมมุ เปลีย่ นทางเลย้ี ว “ วิธปี ฏบิ ตั ิ กระทาเมือ่ นักเรียนเคลอื่ นท่ีพน้ จากมุมโรงฝึก ระหวา่ งด้านกวา้ งจดกบั ด้าน ยาวไปแลว้ ประมาณ ๖ เมตร จงึ บงั คับม้าเลีย้ วไปตามเสน้ ทแยงมุม ไปยังเส้นนอกท่ีมุม- ตรงกันขา้ ม ก่อนถึงมุมโรงฝกึ ระหว่างด้านยาวจดกับด้านกว้าง ประมาณ ๖ เมตร แลว้ เคล่ือนที่ไปทิศทางตรง ข้าม ภาพแสดงการปฏบิ ตั ิ การว่ิงโขยก การบังคบั มา้ ให้ออกวิ่งโขยก กระทาจากฝีเท้าวงิ่ เรยี บ,เดิน,หรอื หยุด แตส่ าหรบั นกั เรยี นทีท่ าการฝึกใหม่ ๆ ควรจะบังคบั ม้าออกว่งิ โขยกจากฝเี ท้าวิ่งเรยี บเพราะจะทาให้การบังคบั มา้ ออกวง่ิ โขยก ไดง้ ่ายขนึ้ และฝกึ ใหว้ ง่ิ โขยกในขณะท่ีสวมโกลนอยู่ การว่งิ โขยกขาหน้าขานา เม่อื ม้ากาลังเคลอื่ นที่อยู่ทางขวา ผฝู้ ึกจะส่ังให้ออกวง่ิ โขยกโดยใช้ขาหน้าขวานา คาบอก “ วิง่ โขยก . . . . วงิ่ “ วธิ ีปฏิบัติ บังเหยี นซา้ ยหลังตรง ดึงใหห้ นา้ ม้าหันมาทางซา้ ย บงั เหียนอนโุ ลม ( คอื ถือบงั เหยี น พอดีกับปากมา้ ) นอ่ งขวาอดั บรเิ วณสายรกั ทึบ น่องซา้ ยอัดแรงบรเิ วณหลังสายรัดทบึ โน้มน้าหนกั ไปทางไหลข่ วา
๔๖ เลก็ น้อย ม้าก็จะออกว่ิงโขยกขาหนา้ ขวานาตามความต้องการ เมอ่ื มา้ ออกวงิ่ โขยกขาหน้าขวานาแล้วหห้ ยอ่ ย บงั เหยี นซ้ายเพ่ือให้ม้ายืดคอตรงธรรมดา การวง่ิ โขยกโดยไม่สวมโกลน ข้ันแรกใหน้ ักเรียนตลบดกลนขึน้ เสรจ็ แลว้ มือซ้ายถือบังเหียนมือ ขวาจบั หวั อาน ผู้ฝึกสงั่ ให้วิ่งโขยกเป็นแถวตามมา้ นา ไม่จัดระยะต่อให้นักเรยี นฝกึ การใสตวั ใหไ้ ปกบั จังหวะม้า โดยทาเอวให้อ่อน ใชม้ ือขวาชว่ ยดึงทห่ี วั อานเพ่ือชว่ ยในการใสเอวและก้นไปข้างหน้า น่องทัง้ สองหนีบท้องม้า เม่อื ผ้ฝู กึ เหน็ วา่ นักเรยี นมีการทรงตัวดีและรจู้ กั การใสตวั ดีแล้ว ก็ให้ปล่อยมือขวาจากหวั อานมาถือบังเหียนแยกสอง มอื ข้นั ตอ่ ไปเม่ือนกั เรียนมีการทรงตวั ดีแล้ว ใหน้ กั เรยี นทดลองไมใ้ ช้นอ่ งหนีบมา้ โดยการกางหัว เขา่ และน่องออกแล้วแกวง่ เท้าสลบั กันโดยพยายามแกว่งเท้าเหว่ยี งไปทางทา้ ยมา้ ให้มาก ๆ เพือ่ เป็นการดนั ก้นของผู้ ขใ่ี หไ้ ปขา้ งหน้าไดเ้ ต็มที่ (ในขน้ั น้ีตอนแรกอาจให้นักเรียนจับหวั อานกอ่ นกไ็ ด้ เมอื่ นกั เรยี นทรงตวั ได้ดีแลว้ จึง ปลอ่ ยมอื ทห่ี ัวอาน) การฝึกวิง่ โขยกโดยไม่ใช้โกลน ควรจะใหว้ ่ิงโขยกทง้ั ทางขวาและทางซ้ายเท่า ๆ กัน เพื่อเปน็ การฝกึ ใหม้ า้ ออกวิ่งโขยกได้ทั้งขาหนา้ ขวาและขาหน้าซ้าย เม่ือนักเรยี นสามารถปฏิบัตติ ามมา้ นาไดแ้ ล้วต่อไปให้ นกั เรียน ปฏบิ ัตทิ ลี ะคน การวิ่งโขยกเป็นวงกลม คาบอก “ ทาวงกลม . . . . ทา “ วธิ ีปฏิบตั ิ มา้ นาเรมิ่ ทาวงกลม มา้ ตวั ต่อว่ิงตามม้านาโดยจัดระยะต่อแต่ละมา้ ใหเ้ ท่ากนั หมดจาก ม้านาจนถงึ ม้าตัวสุดท้าย เม่ือผูฝ้ กึ สง่ั วา่ ตามกวา้ ง ให้มา้ นาบังคบั ม้าออกไปยงั เส้นนอกเคล่อื นที่ไปตาม ทิศทางเคลือ่ นทอ่ี ยู่เดิม (คอื เลิกปฏบิ ัตกิ ารทาวง) ม้าตวั ตอ่ ๆ ไปเคล่ือนท่ตี มม้านา การทางูเล้ือย คาบอก “ งูเล้อื ย . . . . ทา “ วิธปี ฏบิ ัติ บังคับม้าใหเ้ ดินในลักษณะงเู ล้ือยทุกตัวจากเส้นนอกไปยังเส้นในและจากเส้นในหา เส้นนอก เคลอื่ นทต่ี ดิ ต่อกนั ไปเลือ่ ย ๆ จนกวา่ จะส่ังวา่ “ ตามกวา้ ง “ จงึ เลิกปฏบิ ตั ิ คือ ใหท้ กุ คนบังคับมา้ ออกไปเคลื่อนที่บนเส้นนอกตามเดมิ ภาพแสดงการปฏบิ ตั ิการทางูเลือ้ ย การหนั ขาหนา้ เป็นหลกั คาบอก “ ขาหน้าเป็นหลัก ขวา . . . . หนั “ วธิ ปี ฏบิ ตั ิ บงั คับม้าให้หันหน้าไปทางขวาชา้ ๆ ทลี ะกา้ ว โดยขาหน้าทงั สองซอยเทา้ อยู่กับท่ีพร้อม กับหนั หน้ามา้ ไปทางขวา ส่วนขาหลงั ทง้ั สองข้างหมนุ ไปทางซา้ ยจนกระทั่งได้ ๙๐ องศา จึงหยดุ โดยใชบ้ งั เหียน
๔๗ ขาหลังตรง นอ่ งขาอัดบริเวณหลงั สายรัดทบึ เพอ่ื ปดั ใหท้ า้ ยมา้ หมนุ ไปทางซ้าย นา้ หนักตัวของผู้ขี่อยูบ่ นขาหน้า ขวาของมา้ เพ่ือให้ขาหน้าท้ังสองขา้ งซอยเทา้ อยูก่ ับที่ การทาขาหน้าเป็นหลักซา้ ยหัน คาบอก “ ขาหนา้ เปน็ หลกั ซา้ ย . . . หนั “ วิธปี ฏิบัติ ทาตรงกนั ข้ามกบั ขาหน้าเปน็ หลกั ขวาหนั การทาขาหน้าเปน็ หลักขวากลับหลงั หัน ก็ทาเช่นเดยี วกบั ขวา . . หัน แตบ่ ังคบั มา้ ให้หนั เพ่ิมขึน้ อีก ๙๐ องศา เป็น ๑๘๐ องศา ภาพแสดงการบังคับม้าขวากลบั หลังหัน -8- ขาหน้าเปน็ หลักซ้ายกลบั หลงั หัน ใหป้ ฏิบตั ติ รงกนั ขา้ มกับขาหน้าเป็นหลักขวากลับหลงั หัน ข้อควรระวัง ๑.ขวาหันหรือขวากลับหลงั หนั จะปฏบิ ัตเิ ม่อื มา้ เคล่อื นท่ีทางซา้ ยเทา่ น้นั เพื่อปูองกันมิให้ทา้ ยหมนุ ไป ชนโรงฝกึ ๒. ซ้ายหนั หรือซา้ ยกลับหลงั หนั จะปฏิบัติตอ่ เมอ่ื มา้ เคล่อื นท่ที างขวาเท่านนั้ ดว้ ยเหตุผลข้อที่ ๑ คาบอกในการฝกึ หนั ในฝีเท้าต่าง ๆ ๑. ในขณะม้ายุดอยกู่ ับที่ หรือในขณะมา้ เดิน เมือ่ ผ้ใู ชค้ าบอกว่า “ ขาหน้าเปน็ หลกั ขวาหรอื ซ้ายกลับหลัง . . . หนั “ ต้องบงั คับมา้ ใหห้ ยุดน่งิ เสยี ก่อน แล้วบังคับม้าใหห้ ันไปตามทศิ ทางที่ ผฝู้ กึ ต้องการ เสร็จแล้วให้ม้าหยดุ น่งิ เมื่อผฝู้ ึกต้องการให้ม้าออกเดิน ผฝู้ กึ จะใชค้ าบอกว่า “เดิน . .ตรง ๒. ในขณะท่ใี ช้ฝเี ท้าม้าว่งิ เรยี บ เมอ่ื ผู้ฝึกใชค้ าบอกว่า “ ขาหนา้ เปน็ หลักขวาหรือซ้ายกลบั หลงั หนั บังคบั ใหม้ ้าเปล่ียนจากฝเี ท้าวิ่งมาเป็นเดนิ และจากเดนิ มาเป็นหยุดตามลาดบั แล้วคอ่ ย ๆ บังคบั ม้าใหห้ นั ไปทิศทางท่ผี ู้ฝึกกาหนดให้แล้วหยุดนง่ิ เม่ือผฝู้ ึกต้องการใหม้ ้าออกวิ่งเรียบ ผฝู้ ึกจะใช้คาบอกว่า “ วิ่ง . . . ตรง “ บงั คบั ม้าให้ออกวิง่ เรียบทันทจี ากหยุดอยู่กับท่ี โดยไมต่ ้องบังคับให้มา้ เดินเสยี กอ่ นจึงออกวง่ิ เรยี บ เรอื่ ง เครื่องมือบงั คับม้า เคร่อื งมือบงั คบั ม้าเปน็ สิ่งสาคัญอย่างหนงึ่ ในการขี่ม้าที่ผู้ข่มี ้าสามารถทจ่ี ะให้ม้าทาอะไรไดต้ ามความ ประสงคท์ ุกอย่าง ถ้าผูข้ ่ใี ช้เครื่องมือบังคบั ม้าไดถ้ กู ต้องแลว้ มา้ ก็จะทาตาม แต่ถา้ ผขู้ ี่ใช้เครอื่ งมือไมถ่ ูกต้องมา้ ก็ไม่ สามารถทาอะไรไดถ้ ูกตอ้ ง
๔๘ ๑ . เครือ่ งมือบังคบั ม้ามี ๒ อยา่ ง ๑.๑ เคร่ืองมอื บังคับม้าหลกั ๑.๒ เครอ่ื งมือบงั คับม้ารอง (พเิ ศษ) ๑.๑.๑ เครือ่ งมือบังคับม้าหลกั มี ๓ อย่าง ก. นอ่ ง ข. บังเหียน ค. นา้ หนักตวั ดว้ ยเครือ่ งมือบังคบั ท้งั ๓ อยา่ งน้ี ถา้ ผขู้ ่ีรู้จักใชใ้ ห้ถูกต้องตามหลกั การ เหมาะสมกับโอกาสความร้สู ึกของมา้ แต่ และก้าวแลว้ กส็ ามารถที่จะบังคับใหม้ า้ ปฏบิ ตั ิตามความประสงค์ของผขู้ ่ีท่ีถ่ยทอดมาตามวิธีการบงั คับทงั้ ๓ นนั้ ได้เสมอ การบงั คับม้าท่ีดีน้นั ต้องเป็นไปอย่างโอนโยนและตามลาดับจากเบาไปหาหนกั แล้วแต่ละตัวจะมี ประสาทความรู้ หรอื ความเคยชนิ ต่อการบงั คบั ทีห่ นักเบาเพยี งใด นอกจากนน้ั ใชเ้ ครอ่ื งมือแตล่ ะอย่างจะต้องให้ เปน็ อิสระต่อกันอย่างเด็ดขาด ผูข้ จี่ ะตอ้ งใช้เครอ่ื งมือบังคับมา้ อย่างใด แค่ไหน ต้องปล่อยใหเ้ คร่ืองการบังคับ และร่างกายส่วนอ่ืน ๆ เป็นอยอู่ ย่างปกติ ไม่พลอยเคล่ือนไหวไปดว้ ยแมแ้ ตน่ ้อย ซึง่ จะทาใหม้ ้าเกดิ ความสงสยั ลงั เล เพราะม้าต้องมคี วามรสู้ ึกในความเคลื่อนไหวจากปกติของคนขี่อยบู่ นหลงั ตลอดเวลา ฉะนนั้ จะสงั เกตได้ว่า คนขีม่ ้าดหี รือการบังคบั มา้ ทีด่ ีจะทาใหผ้ ดู้ ูเหน็ น้อยทีส่ ดุ แต่ม้าจะปฏบิ ตั ติ ามอย่างดี และแนน่ อนทสี่ ุด น่องและวิธีใช้ เมื่อต้องการใชน้ ่องบังคับม้าให้กดสน้ เทา้ ให้ต่าลงเพ่อื ให้กลา้ มเน้ือ เกรง็ แข็งเต็มที่แลว้ กดนอ่ งลดขาลง ประโยชนข์ องน่อง - ทาใหเ้ กิดกาลงั ดันไปข้างหนา้ - เปน็ เครือ่ งกากับความเรว็ - ใชค้ มุ ทิศทางในการเคลอ่ื นทีท่ างสว่ นหลงั มือ (คลา้ ยหางเสอื ) - ใช้เปน็ เครื่องส่วนท้ายของม้าให้เคลื่อนท่ีไปทางข้าง หน้าที่ของนอ่ ง ๑. น่องบงั คับ คือ ใชก้ ดและรดี ทาใหอ้ าการเคล่ือนที่ ไปทางขา้ งหรือปดั ท้ายไปทางขา้ ง ๒. น่องกัน คือ น่องทท่ี าการต้านทานไม่ยอมใหท้ ้ายม้าปัดไปทางทเ่ี ราใช้นอ่ งกนั ไว้ ๓. น่องอนโุ ลมหรอื ผ่อนตาม คอื น่องท่แี นบไปกบั มา้ เฉย ๆ โดยไม่มีการบังคบั หรือกัน ผลทไี่ ดจ้ ากการใช้น่องท่ีถูกตอ้ ง ๔. บงั คับให้มีกาลังดันให้เคลอื่ นท่ี เช่น ให้ไปข้างหน้าหรอื ไปทางข้าง ๕. ทาใหก้ ารเคลอ่ื นท่เี ร็วขนึ้ และกากับความเร็วให้คงที่ ๖. บงั คับมา้ ใหเ้ คล่ือนที่ขนานไปกบั สว่ นหน้าเป็นกรอบของการเคล่อื นโดยไมใ่ หเ้ คล่ือนท่ีส่ายไปสา่ ยมา ๗. ในเวลาเลย้ี ว บังคบั สว่ นท้ายหรือกนั ไมใ่ หส้ ว่ นทา้ ยออกมาทางขา้ ง (เปน็ การดนั กระดูก) ๘. บงั คบั ส่วนท้ายเฉพาะขาใหท้ างานไขวก้ นั เชน่ ให้โขยกผดิ ขา คอื ตามธรรมดาม้าจะโขยก ขาเสมอตามธรรมชาตขิ องม้า นอกจากคนขีบ่ ังคบั ให้มนั ตอ้ งวงิ่ ผิดขา การโขยกผดิ ขามี ๒ อยา่ งคือ (๑) ออกโขยกผดิ ขา หรอื ขานาผิด (๒) ขาหลังไม่สมั พันธ์กบั ขาหนา้ เช่น ขาหนา้ ขวาควรทีข่ าหลงั ขวาตามแต่ ใหข้ าหลงั ซา้ ยตาม ซึ่งถา้ เป็นไปโดยผู้ขีก่ ่อนและไม่ตั้งใจ ม้าเปน็ ไปเองแลว้ จะเป็นอันตรายแกม่ ้า ถ้าเป็นการข่มี า้ ชนั้ สูงและผขู้ ่บี งั คับให้เป็นไปแล้ว จะมปี ระโยชน์ในการดัดกระดูกหลังม้า
๔๙ ๖. เปน็ แบบผ่อนกาลังกระแทกของส่วนหลังมอื เม่อื ม้าถูกบงั คับใหห้ ยดุ โดยฉับพลัน ถา้ ใช้น่องหนีบใหม้ ้า เก็บขาหลังเขา้ ใตท้ ้องกอ่ นแล้วจึงหยดุ โดยใชข้ าท้ังสยี่ ันพื้น ทาเอวไม่ต้องรับการกระแทกเตม็ ท่ี ๗. ทาใหอ้ าการเคล่ือนทห่ี รือจงั หวะการเคล่ือนทนี่ ิม่ นวลข้ึน โดยม้าเก็บขาหลังเขา้ ใต้ตัวและศนู ยค์ วาม หนกั ของมา้ พอดี ข้อเตือนใจในการใช้นอ่ ง ผขู้ ีโ่ ดยมากมกั จะอาศยั บงั เหียนเล้ียงตัว หรอื อาศยั โกลนเป็นเครือ่ งช่วยใหน้ ่ังอยูบ่ นหลัง ม้าได้ซึ่งม้าจะถูกกระชากปากหรือน่องตีท่ีข้างหลังตลอดเวลา จึงกลายเป็นม้าท่ีปากแข็งไม่ยอมทาตามการบังคับ เคลอ่ื นทีไ่ ม่เป็นจงั หวะและรับนา้ หนักไม่ถูกท่ี ทาให้ขาและเอวเสยี เรว็ เกินกวา่ ควร ความจริงบังเหียนเป็นเคร่ืองมือ ในการบงั คบั ม้ามิใช่เกีย่ วกบั การชว่ ยมใิ ห้คนตกม้าเลย และโกลนก็ใช้สาหรับพักเท้าเท่านั้น คือ เวลาม้าหยุดหรือ เคลื่อนท่ีตามธรรมดากใ็ ชพ้ ักเท้าเพอ่ื มใิ ห้เม่ือยล้าจนเกินควร เม่ือตอ้ งการบังคับม้ากระโดดเคล่ือนที่แรง หรือเมื่อ มา้ ต่ืนจึงใช้เก็งขาหนบี ตอนนี้โกลนไมม่ ีประโยชนน์ กั นกั ขม่ี ้าโลดโผนมกั จะไม่สวมโกนเลย ใชข้ าหนีบม้าจริง ๆ นอกจากนั้นถ้าขี่กระโดดผู้อาศัยยันโกลนเข้าไปจนลึก เมื่อพลาดพลั้งลงมาเท้าอาจจะติดโกลนอาจถูกลากไปเป็น อันตรายได้ เพราะฉะนน้ั เวลาหดั ม้าใหม่จึงไมใ่ ชโ้ กลน การข่ีมา้ น้ันแท้จริงจะต้องขี่ดว้ ยน่อง และการทรงตัวทถ่ี ูกตอ้ ง ซ่งึ จะเกบ็ ม้าเข้าหามือวิง่ ทาใหป้ ากม้า เบาและผ่อนการกระแทกกระเทอื น ทาให้ม้าเคลอื่ นท่ไี ดจ้ ังหวะ คนขีก่ ส็ บายมา้ ก็คงทนและทาให้มา้ กระทา ตามการบงั คบั และมีความรู้ดีขึน้ ผู้ข่ที ่ีน่องไมแ่ นบแกวง่ ไกวและกระแทกท้องม้าอยูเ่ รอื่ ย ๆ จะทาให้มา้ เสยี นิสยั หนักนอ่ งและแสดง อาการคดโกงตา่ ง ๆ เพราะความราคาญและไมร่ จู้ ักทาตามการบงั คับอย่างไมเ่ ปน็ เร่อื งเป็นราวน้ันอยา่ งไร ท่ี ถูกแลว้ ม้าจะตอ้ งร้สู กึ สบายใจตอ่ ความร้สู ึกของนอ่ งทดี่ แี ละนง่ิ ซึง่ ไมท่ าความราคาญใหต้ ลอดเวลา และคอย รบั ความรู้สึก ปฏบิ ัตติ ามการบังคบั อนั แน่นอนน้นั ทันทีดว้ ยความเคยชิน คาว่าน่องดีและนิง่ คือ สัมผัสกบั ม้าเปน็ กรอบอยกู่ ับท่ีตลอดเวลา ไมว่ า่ จะเคลื่อนที่อย่างไรไม่ห่างหรือ กวดั แกว่งติดไปกับม้าตามอาการเคลื่อนไหวและสีข้างม้าไม่แข็งท่ือ การทรงตัวทถี่ ูกตอ้ ง คอื ศูนย์ความถ่วงของคนขี่อยกู่ ึง่ กลางฐานเสมอ ซึง่ จะตดิ ไปกับม้าได้ทกุ อริ ิยาบทและอาการ บังเหียน วิธีใช้ จับบังเหียนให้แน่นด้วยนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้เท่ากัน ส่วนอีกสามนิ้วท่ีเหลือปล่อยให้ อ่อนเป็นอิสระไปตามจังหวะการยืดและหดของคอม้าทุกอิริยาบท และให้บังเหียนอยู่ปากม้าเท่าๆ กันอยู่ ตลอดเวลา เมื่อต้องการใช้ให้ใช้ตามลาดับตั้งแต่น้ิวท้ังหลายเข้าหันข้อมือลง ดึงด้วยกาลังแขน (โดยใช้ ข้อศอกเป็นดุม ใช้เฉพาะแขนท่อนล่าง คือ ดึงกดลงล่างข้อศอกจะเคลื่อนท่ีจากแนวหลังได้เล็กน้อย) และก่อนจะ ใช้บังเหียนใด ๆ ก็ตามให้ใช้น้ิวมือดึงมาข้างหลังเท่า ๆ กันเล็กน้อยพอให้ม้ารู้สึกและเตรียมตัวให้บังเหียนเข้าที่จึง คอ่ ยใชบ้ งั เหยี นบงั คบั ตามตองการ ประโยชนข์ องนอ่ ง - ทาใหเ้ กิดการต้านทานใหม้ า้ เคล่ือนทชี่ ้าลง หรือหยุดและใชเ้ ป็นเครื่องกากบั ความเรว็ ของม้า - ทาใหเ้ กิดกาลงั ฉุดไปข้างหลัง - เปน็ เคร่อื งบังคับทางส่วนศรษี ะและคอม้า ซงึ่ เปน็ เครอ่ื งชง่ั น้าหนักข้างส่วนตัวมา้ ใหเ้ คล่ือนที่ไปใน ทศิ ทางต่าง ๆ
๕๐ วิธีใชบ้ ังเหยี น ๕ อยา่ ง นอกจากการผ่อนและการเก็บบังเหียนทั้งคู่เท่า ๆ กัน ผ่อนให้ม้าเคล่ือนที่ไปข้างหน้าและบังคับให้ เคล่ือนท่ีช้าลงหรือหยุดในทิศทางตรงหน้า และการดึงม้าเพื่อให้ม้าเคล่ือนที่ไปทางหลังแล้ว เราอาจใช้บังเหียน เพ่อื ใหม้ ้าปฏบิ ตั กิ ารไดต้ ่าง ๆ ได้ ๕ อยา่ ง คือ ๑. บังเหียนเปดิ ๒. บงั เหยี นหลังตรง ๓. บังเหียนทาบคอ ๔. บงั เหยี นตะโหงก ๕. บังเหยี นหลังตะโหงก บงั เหยี นที่ ๑ บังเหยี นเปิด ใช้ศอกเปน็ ดุมเปดิ แขนท่อนลา่ งออกไปทางขา้ งในระดบั เดยี วกัน ถา้ ใช้กับมา้ ใหม่เปดิ ทัง้ แขนได้เพ่ือให้บงั เหียนออกแรงมากขึน้ แขนตรงขา้ มปล่อยให้เปน็ อิสระไมท่ าอะไรท้ังสิ้นซงึ่ จะทาใหม้ า้ สงสัยได้ บงั เหียนท่ี ๒ บังเหยี นหลงั ตรง วิธดี งึ ให้ดึงตา่ ลง ใชศ้ อกเป็นดมุ ศอกอาจจะเลยไปข้างหลังไดเ้ ลก็ น้อย เพ่อื ให้เลก็ บงั เหียนกดเหงือกซ่ึงเป็นที่ ๆ มา้ รสู้ ึกได้ไว เม่ือดึงบังเหยี นหลงั ตรงจมูกศรี ษะม้าจะตา่ ลง และบดิ มาทาง นน้ั เตม็ ท่ี คอม้าจะโค้งมาตามบังเหียน ไหล่ทางนน้ั จะรับน้าหนักกดเต็มท่ี (มากกว่าบงั เหียนที่ ๑) ม้าจงึ ต้องปัด ท้ายไปรับนา้ หนักด้วย และก้าวขาหน้าทางตรงขา้ มไปรับน้าหนกั ด้วยถ้าเป็นเวลาเคล่ือนทม่ี า้ จะเลีย้ ววงแคบกวา่ บังเหยี นท่ี ๑ ถ้าเปน็ เวลาหยุดจะหมุนตวั อยู่กบั ทโี่ ดยเคล่ือนทท่ี ้ังขาหนา้ และขาหลัง บังเหียนท่ี ๓ บังเหียนทาบคอ ดึงผ่านคอแล้วกดไปข้างหน้าต่า ๆ จมูกจะค่อย ๆ หันทางท่ีดึงศีรษะ ส่วนบนจะเอนไปทางตรงข้ามเพ่ือเฉล่ียน้าหนักของศรีษะคอถูกถึงไปทางบังเหียน ไหล่ตรงข้ามถูกกดลงเล็กน้อย ถ้าทาเวลาม้าเคลื่อนทข่ี าหนา้ ทางบงั เหียนท่ดี งึ จะกางขาเฉียงออกไปทางด้านตรงข้ามเพ่ือรับน้าหนัก ม้าจึงเล้ียวไป นน้ั ถา้ ทาเวลาม้าอยกู่ ับทมี่ า้ ยนื ตะแคงอยเู่ ชน่ น้นั แต่ขาหลังเตรียมทจี่ ะเคลื่อนท่ีทนั ที บังเหียนท่ี ๔ บังเหียนหน้าตะโยงกดึงผ่านตะโหงกและเลยผ่านไปทางหลัง จมูกม้าจะหันมาตาม บงั เหียนและเลีย้ วไปทางหลัง ศรีษะม้าจะเอ้ยี วตามไปด้วยเชน่ กัน คอโค้งไปตามบงั เหียน ไหล่ทางตรงข้ามจะถูก น้าหนักถ่วงมากกว่าบังเหียนท่ี ๓ ถ้าม้ากาลังเคลื่อนที่จะเลี้ยวไปทางตรงข้าม ถ้าเวลาหยุดอยู่กับที่ม้าจะหมุนตัว ไปทางตรงกนั ขา้ ม บงั เหียนท่ี ๕ บงั เหยี นหลงั ตะโหงก ดึงผ่านหลังตะโหงกและเลยผ่านไปทางหลังคล้ายกับบังเหียนท่ี ๔ แต่ให้สายบังเหียนผ่านเลยไปทางหลัง จมูกและศรีษะม้าจะแสดงคล้ายกับบังเหียนท่ี ๔ คอโค้งไปตามบังเหียน ไหล่ตรงข้ามจะถูกถ่วงน้าหนักมากที่สุด ถ้าทาในเวลาเคล่ือนที่ม้าจะเล้ียวก้าวไปทางตรงกันข้ามทั้งตัว ถ้าม้าอยู่ กับท่ีน้าหนักท้ังหมดจะเฉลี่ยทางด้านตรงข้ามท้ังหน้ามือและหลังมือ ม้าจะก้าวเท้าเดินไปทางตรงข้ามโดยก้าวขา หลังออกกอ่ น ขอ้ ระลึกในการใชบ้ งั เหยี น - การใชบ้ งั เหยี นไม่ควรใช้พรอ้ มกันถึง ๒ อยา่ ง ควรปลอ่ ยขา้ งท่ีไม่ไดใ้ ชเ้ ปน็ อสิ ระโดยผอ่ นหรอื ถูกกับ ที่ แลว้ แต่เหมาะหรือควร - ทาความเข้าใจในวิธีการใช้ และลักษณะการทางานของบังเหียนให้แจ่มแจ้งแน่ชัดแล้วพิจารณา นาไปใช้ใหเ้ หมาะกบั อาการท่เี ราต้องการใหม้ า้ ปฏบิ ตั ิประกอบกับเครอื่ งมือการบังคับอ่ืน ๆ คือ น่อง และน้าหนัก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111