โรงเรยี นทหารมา้ วิชา การศาสนาและศลี ธรรม รหัสวิชา ๐๑๐๒๐๕๐๔๐๔ หลักสูตรนายสิบอาวุโส แผนกวิชาท่ัวไป กศ.รร.ม.ศม. ปรชั ญา รร.ม.ศม. “ฝึกอบรมวิชาการทหาร วทิ ยาการทนั สมยั ธารงไว้ซ่ึงคณุ ธรรม”
ปรัชญา วสิ ยั ทัศน์ พนั ธกิจ วตั ถปุ ระสงค์การดาเนินงานของสถานศึกษา เอกลักษณ์ อัตลกั ษณ์ ๑. ปรัชญา ทหารม้าเปน็ ทหารเหล่าหน่งึ ในกองทัพบกทใ่ี ช้มา้ หรอื สิง่ กาเนดิ ความเรว็ อื่นๆ เป็นพาหนะ เป็นเหล่าท่ีมีความสาคัญ และจาเป็นเหล่าหนึ่ง สาหรับกองทหารขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับเหล่าทหารอ่ืน ๆ โดยมีคุณลักษณะ ที่มีความคล่องแคล่ว รวดเร็วในการเคล่ือนที่ อานาจการยิงรุนแรง และอานาจในการทาลายและข่มขวัญ อันเปน็ คณุ ลกั ษณะท่สี าคญั และจาเป็นของเหล่า โรงเรยี นทหารมา้ ศูนยก์ ารทหารมา้ มปี รชั ญาดังน้ี “ฝึกอบรมวชิ าการทหาร วทิ ยาการทันสมยั ธารงไว้ซึง่ คณุ ธรรม” ๒. วิสยั ทัศน์ “โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้วิชาการเหล่าทหารม้าท่ีทันสมัย ผลติ กาลังพลของเหลา่ ทหารมา้ ให้มีลักษณะทางทหารท่ีดี มีคณุ ธรรม เพ่อื เปน็ กาลังหลักของกองทัพบก” ๓. พันธกิจ ๓.๑ วจิ ัยและพฒั นาระบบการศึกษา ๓.๒ พฒั นาคุณภาพครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ๓.๓ จดั การฝกึ อบรมทางวชิ าการเหล่าทหารม้า และเหลา่ อน่ื ๆ ตามนโยบายของกองทัพบก ๓.๔ ผลิตกาลงั พลของเหล่าทหารมา้ ใหเ้ ป็นไปตามวตั ถุประสงค์ของหลกั สตู ร ๓.๕ พัฒนาสื่อการเรียนการสอน เอกสาร ตาราของโรงเรียนทหารมา้ ๓.๖ ปกครองบังคับบัญชากาลังพลของหน่วย และผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรต่างๆ ให้อยู่บนพื้นฐาน คุณธรรม จรยิ ธรรม ๔. วตั ถุประสงคข์ องสถานศกึ ษา ๔.๑ เพ่ือพัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ให้กบั ผ้เู ขา้ รบั การศึกษาไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ๔.๒ เพอ่ื พฒั นาระบบการศกึ ษา และจดั การเรยี นการสอนผา่ นส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ ให้มีคณุ ภาพอย่างต่อเนือ่ ง ๔.๓ เพื่อดาเนินการฝึกศึกษา ให้กับนายทหารชั้นประทวน ท่ีโรงเรียนทหารม้าผลิต และกาลังพลท่ีเข้ารับ การศึกษา ใหม้ คี วามรคู้ วามสามารถตามทีห่ นว่ ย และกองทพั บกต้องการ ๔.๔ เพือ่ พัฒนาระบบการบรหิ าร และการจัดการทรพั ยากรสนับสนนุ การเรียนรู้ ให้เกิดประโยชน์สูงสดุ ๔.๕ เพื่อพฒั นาปรบั ปรุงส่ือการเรยี นการสอน เอกสาร ตารา ใหม้ ีความทนั สมยั ในการฝึกศึกษาอย่างต่อเน่ือง ๔.๖ เพือ่ พฒั นา วจิ ัย และใหบ้ รกิ ารทางวิชาการ ประสานความร่วมมือ สร้างเครือข่ายทางวิชาการกับ สถาบนั การศึกษา หน่วยงานอืน่ ๆ รวมท้งั การทานบุ ารุงศิลปวัฒธรรม ๕. เอกลักษณ์ “เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ทางวิชาการ และผลิตกาลังพลเหล่าทหารม้าอย่างมีคุณภาพเป็นการ เพ่มิ อานาจกาลังรบของกองทัพบก” ๖. อตั ลกั ษณ์ “เด่นสง่าบนหลงั มา้ เกง่ กล้าบนยานรบ”
วชิ า การศาสนา - ศีลธรรม นายสิบอาวุโส ------------------- ๑. พระพุทธศาสนากับความมั่นคงของชาติ ๑. ความม่งุ หมาย เพอ่ื ให้ นทน. รูจ้ ักนาหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ไปใช้เป็นเครอ่ื งมอื ในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ เกิดความมั่นคงท้ังในดา้ นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการทหาร อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ๒. องค์ประกอบแหง่ ความมน่ั คงของชาติ ความม่ันคงของชาติ เป็นพ้นื ฐานของความสขุ ความเจริญในทกุ ๆ ดา้ น ดจุ คนท่ีมสี ุขภาพทางร่างกายดี ยอ่ มนามาซึ่งความสุขความเจรญิ ดา้ นอืน่ ๆ องค์ประกอบแหง่ ความมัน่ คงของชาติ คือ.- ๑) เศรษฐกิจ ๒) สงั คม ๓) การเมอื งการปกครอง ๔) การทหาร การสร้างความมน่ั คงใหแ้ กช่ าตบิ ้านเมอื งนั้น ปจั จัยสาคญั อยู่ที่คนในชาตินน้ั ๆ วา่ จะมคี ุณภาพมากน้อย เพยี งใด ประเทศใดทป่ี ระชาชนมีคุณภาพและประสทิ ธภิ าพ การสรา้ งความมั่นคง ความเจรญิ กย็ อ่ มเปน็ ไปได้ โดยงา่ ย ตรงกนั ข้าม ถ้าคนในชาติขาดคุณธรรม การพัฒนาให้เกิดความมัน่ คงก็ยอ่ มจะเปน็ ไปโดยยาก หรือ อาจจะเป็นไปไมไ่ ดเ้ ลย ศาสนาเป็นเรื่องของคณุ ธรรม,ของอุดมการณ์ เมือ่ เกดิ ข้ึนในจิตใจของผู้ใด ยอ่ ม กลอ่ มเกลา หลอ่ หลอมใหบ้ ุคคลผู้นั้นเป็นคนดมี ีคุณภาพ หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา ท่ีเกอ้ื กูลต่อการสร้างความม่นั คงของชาติมหี ลายประการ จะนามา กลา่ วเฉพาะทีจ่ าเป็นบางประการ ดังต่อไปนี้.- ๑. ธรรมมะเพอ่ื ความม่ันคงทางเศรษฐกิจ ก. หลกั ความสขุ ของผู้ครองเรอื น (๑) สุข เกิดแตก่ ารมีทรัพย์ (๒) สุข เกดิ แต่การใช้จ่ายทรพั ย์ (๓) สขุ เกดิ แตก่ ารไม่เปน็ หนี้ (๔) สขุ เกดิ แต่ประกอบการงานท่ปี ราศจากโทษ ข. หลกั การแสวงหาทรพั ย์ (๑) ถึงพร้อมดว้ ยความมน่ั (๒) ถึงพร้อมด้วยการรกั ษา (๓) คบมิตรดี (๔) เป็นอยพู่ อดี ค. หลกั การใชจ้ ่ายทรพั ย์ (๑) เล้ียงตวั บิดามารดา ภรรยา บุตร และคนอาศัยใหเ้ ปน็ สขุ (๒) เลี้ยงเพอ่ื นฝงู ให้เปน็ สขุ (๓) บาบดั อันตรายทเี่ กดิ ขนึ้ แตเ่ หตุต่าง ๆ (๔) ทาพลีกรรม (การเสยี สละ) ๕ อย่างคือ ๑) ญาตพิ ลี สงเคราะหญ์ าติ
ความเชือ่ ถอื ๒) อตถิ พิ ลี ตอ้ นรบั แขก ๓) บุพพเปตพลี ทาบญุ อทุ ิศให้ผูต้ าย ๔) ราชพลี บารุงราชการด้วยการเสียภาษีอากร เป็นตน้ ๕) เทวตาพลี ทาบุญอทุ ิศให้เทวดา มีสักการะ บารุงสิง่ ที่เคารพบชู าตาม (๕) อุปถมั ภ์บารุงสมณพราหมณ์(นักบวช) ผปู้ ระพฤตดิ ี ปฏิบตั ิชอบ บารงุ ศาสนา ง. หลักการรกั ษาทรัพย์ (๑) เว้นอบายมุข ๖ ๑) ติดสรุ าและของมนึ เมา สิง่ เสพติดทุกอยา่ ง ๒) ชอบเทย่ี วกลางคนื ๓) ชอบเท่ยี วดูการละเล่น ๔) ติดการพนัน ๕) คบคนช่วั เปน็ มิตร ๖) เกยี จครา้ นการทางาน (๒) ปฏิบัติตามหลักของตระกลู ทมี่ น่ั คง ๑) ของหาย ของหมด รจู้ กั หามาไว้ ๒) ของเก่า ของชารุด รู้จักบูรณะซอ่ มแซม ๓) รูจ้ ักประมาณในการกนิ การใช้(อปุ โภค - บริโภค) ๔) ตั้งผ้มู ศี ีลธรรมใหร้ บั ผดิ ชอบครอบครวั ๒. ธรรมมะเพือ่ ความมั่นคงทางสงั คม ก. พรหมวหิ าร ๔ (๑) เมตตา ความปรารถนาดีทีจ่ ะให้ผอู้ ืน่ เปน็ สุข (๒) กรณุ า ความสงสารเม่ือผอู้ นื่ ตกทกุ ข์ คิดจะให้เขาพน้ ทกุ ข์ (๓) มุทิตา ความพลอยยนิ ดเี มอ่ื ผู้อนื่ ได้ดี (๔) อุเบกขา ความวางเฉย วางใจเปน็ กลางเมื่อเหลือทจ่ี ะชว่ ย เมื่อหมดหว่ ง หรือเมอ่ื พิจารณาความดีความชอบ ตัดสินความผดิ ของผนู้ ้อย (ใหค้ วามยุตธิ รรม) ข. เบญจศีล (๑) เจตนา งดเวน้ จากการฆา่ สัตว์ (๒) เจตนา งดเว้นจากการลกั ทรัพย์ (๓) เจตนา งดเวน้ จากการผิดประเวณี (๔) เจตนา งดเวน้ จากการกล่าวเท็จ (๕) เจตนา งดเว้นจากการด่ืมเคร่ืองดองของเมา ค. เบญจธรรม (๑) เมตตากรณุ า (๒) สัมมาอาชีพ (๓) การสงั วร (๔) สัจจวาจา (๕) สติ
๓. ธรรมมะเพอ่ื ความมนั่ คงทางการเมือง ก. พรหมวหิ าร ๔ (๑) เมตตา ความรัก (๒) กรุณา ความสงสาร (๓) มทุ ิตา ความพลอยยนิ ดี (๔) อเุ บกขา ความวางตวั เปน็ กลาง (ความยตุ ธิ รรม) ข. เวน้ อคติ ๔ (๑) ฉันทาคติ ความลาเอยี ง เพราะชอบ (๒) โทสาคติ ความลาเอยี ง เพราะชงั (๓) โมหาคติ ความลาเอยี ง เพราะหลง (๔) ภยาคติ ความลาเอียง เพราะขาดกลัว ค. ทศพิธราชธรรม ๑๐ (๑) ทาน การให้ (ชว่ ยประชาชน) (๒) ศลี รักษาความสุจรติ (๓) ปรจิ จาคะ ความเสยี สละ (๔) อาชชวะ ความซอื่ ตรง (๕) มทั ทวะ ความอ่อนโยน (๖) ตปะ ความมพี ลังใจเข้มแข็ง (๗) อักโกธะ ความไม่โกรธ (๘) อวทิ งิ สา ความไมเ่ บยี ดเบยี น (๙) ขนั ติ ความอดทน (๑๐) อวิโรธนะ ความไมค่ ลาดจากธรรม (ไมท่ ิง้ ธรรม) ง. จกั รวรรดวิ ัตร ๕ (๑) ธรรมธิปไตย ถอื ธรรมเป็นใหญ่ (๒) ธรรมกิ ารักขา ใหค้ วามคุ้มครองโดยธรรม (๓) มาอธรรมการ หา้ มกน้ั การอาธรรม์ (ปอ้ งกนั สง่ิ ชั่วร้าย) (๔) ธนานุปทาน ปันทรพั ยเ์ ฉลย่ี แก่ผูไ้ รท้ รัพย์ (สงเคราะหค์ นจน) (๕) สมณพราหมณปรปิ ุจฉา สอบถาม ปรกึ ษากับพระสงฆ์ และนกั ปราชญ์ ๔. ธรรมมะเพอื่ ความมน่ั คงทางทหาร ก. พรหมวหิ าร ๔ (๑) เมตตา ความรัก ความภักดี (๒) กรณุ า ช่วยเหลอื กัน (๓) มุทิตา ไม่อิจฉารษิ ยากนั (มีน้าใจตอ่ กนั ) (๔) อุเบกขา มคี วามยุติธรรม ข. สังคหวัตถุ ๔ (๑) ทาน การใหป้ ันของของตน แกค่ นทีค่ วรใหป้ ัน (๒) ปิยวาจา เจรจาด้วยถ้อยคาทนี่ ่ารัก (๓) อตั ถจริยา บาเพญ็ ประโยชน์ต่อกัน (๔) สมานัตตตา วางตัวเหมาะสม
ค. สาราณยี ธรรม ๖ (๑) เมตตากายกรรม ต้งั กายกรรมท่ปี ระกอบดว้ ยเมตตา (๒) เมตตาวจีกรรม ตง้ั วจีกรรมที่ประกอบด้วยเมตตา (๓) เมตตามโนกรรม ตง้ั มโนกรรมท่ีประกอบดว้ ยเมตตา (๔) สาธารณโภคี แบง่ ปนั ลาภผลที่ไดม้ าโดยชอบธรรมใหท้ กุ คนมสี ว่ นใช้ ประโยชน์ท่วั กัน (๕) สลี สามัญญตา มีความประพฤตสิ ุจรติ ดงี ามเสมอกนั (๖) ทิฏฐิสามญั ญตา มที ฏิ ฐดิ งี ามเสมอกัน ง. อธิษฐานธรรม ๔ (๑) ปัญญา รอบรูใ้ นส่งิ ที่ควรรู้ (๒) สัจจะ ความจรงิ ใจ คือ ประพฤตสิ ง่ิ ใดก็ให้ได้จริง (๓) จาคะ สละสิ่งทเ่ี ปน็ ข้าศกึ แก่ความจริงใจ (๔) อุปสมะ สงบใจจากสิ่งทเ่ี ปน็ ข้าศกึ แกค่ วามสงบ จ. บริจาค ๓ (๑) เสียสละทรัพย์เพอื่ รกั ษาอวยั วะ (๒) เสยี สละอวัยวะเพือ่ รกั ษาชีวิต (๓) เสยี สละทกุ อยา่ ง (ทรัพย์,ชวี ติ ) เพอื่ รักษาธรรม ฉ. อภิณหปัจจเวกษณะ (การพจิ ารณาเนอื่ งๆ ) ๕ คือความเข้าใจชีวิตของตนเอง (๑) ชราธมั มตา เรามคี วามแก่เป็นธรรมดา (๒) พยาธธิ ัมมตา เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา (๓) มรณธมั มตา เรามคี วามตายเปน็ ธรรมดา (๔) ปิยมนาปวินาภาวตา เราจะตอ้ งประสบความพลดั พรากจากของรกั ของชอบไป ทัง้ ส้นิ (๕) กัมมสั สกตา เรามกี รรมเป็นของตน (ทั้งดแี ละชว่ั ) ----------------------
๒. ธรรมกับชีวติ ๑. ความนา ๑.๑ ชวี ิตคืออะไร ความหมายตามตวั อักษร \" ชีวติ \" แปลว่า \" ความเป็นอยู่ \" ๑.๒ ธรรมคอื อะไร นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ให้คาจากัดความของธรรมมะ วา่ หมายถึง \" ธรรมชาติ - กฎธรรมชาติ - การปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ และผลของการปฏิบัตติ ามกฎธรรมชาติ \" ๑.๓ ธรรมชาติคอื อะไร หมายถงึ สิง่ ท่ีมีอยู่เอง เกิดเอง เป็นเอง ไม่มีใครสร้าง ตรงกับภาษา อังกฤษว่า \" Nature \" ซึ่งถา้ แยกสว่ นของส่งิ ต่างๆ ที่เหน็ ออกดูจะพบว่า มีส่วนประกอบข้ึนจากของ ๔ อยา่ ง เรียกว่า ธาตุ ๔ คือ. - ๑. ธาตุดิน (ปฐวธี าตุ) ๒. ธาตนุ ้า (อาโปธาตุ) ๓. ธาตุลม (วาโยธาตุ) ๔. ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) ธาตุเหล่านี้เรียกว่า \" ธรรมชาติ \" เป็นของทีม่ ีอยูใ่ นโลก เมือ่ นาธาตตุ ั้งแต่ ๒ อย่างมาผสมกนั จะแสดงตวั ออกมาผิดแผกจากเดมิ เป็นส่งิ ที่เราสมมติ เรียกวา่ วัตถุ ส่ิงของ สัตว์ บคุ คล เป็นต้น ธรรมชาติ มี ๒ อย่าง คือ ๑) ธรรมชาตฝิ ่ายรปู ธรรม ไดแ้ ก่ ส่ิงทีเ่ ป็นวัตถทุ ง้ั ปวง เชน่ ภูเขา ต้นไม้ มนุษย์ สัตว์ ๒) ธรรมชาติฝา่ ยนามธรรม ได้แก่ ส่ิงท่ีไม่สามารถมองเหน็ ได้ หรอื สัมผสั ได้ เช่น จติ เจตสกิ กเิ ลส ความเกลียด ความโกรธ เปน็ ตน้ ๑.๔ ธรรมชาติ กับ ธรรมดา ต่างกันอย่างไร - ธรรมดา หมายถงึ ความเปน็ ไปของธรรมชาติ ซ่ึงต้องเป็นไปของมันเอง เช่น ดอกไม้ เริ่มแรกตูม-บาน-ร่วงโรย, คน เกิดมาตัวเลก็ -เติบโตขึ้น-ทรุดโทรม-ตาย ฯลฯ ๑.๕ ธรรมมะ เป็น ธรรมชาติ อย่างไร พทุ ธศาสนาสอนว่า \"...โลกนีเ้ ป็นสภาวะธรรม คือเปน็ ของธรรมชาติ และแสดง ปรากฏการณอ์ อกมาตามธรรมดาของมนั หากมีผู้ใดสร้างหรือบังคบั ใหม้ ันเปน็ ไปไม่...\" สภาวะธรรมคือ เกิดเอง เปน็ เอง อาศัยเหตปุ ัจจยั ในตวั มันเอง กฎธรรมดาคอื กฎอนจิ จา-เปลีย่ นแปลง ไมเ่ ที่ยง ไมค่ งท่ี เปน็ ทุกขท์ นได้ยาก ทนอยใู่ นสภาพเดมิ ไม่ไดต้ ลอด, เป็นอนตั ตา - ไมเ่ ป็นตัวตนท่ถี าวร ๑.๖ คาสอนทางพทุ ธศาสนาแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑) สัจจธรรม คาสอนทเี่ ก่ยี วกบั สภาวะของส่งิ ท้งั หลาย หรอื ธรรมชาติ และความเป็นไป โดยธรรมชาตขิ องส่งิ ทงั้ หลาย หรอื กฎธรรมชาติน่นั เอง ๒) จรยิ ธรรม คาสอนเก่ียวกับหลักปฏบิ ัติ หรือการนาเอาความรคู้ วามเข้าใจในสภาวะ และความเปน็ ไปของสิ่งทัง้ หลายหรือกฎธรรมชาตินน้ั มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดาเนนิ ชีวิต -๗- ๑.๗ สัจจธรรม มี ๒ อย่าง คอื ๑) สมมติสจั จะ คอื สง่ิ ท่ีสมมติวา่ เป็นจริง เกิดจากสามัญสานกึ ของคน หรือสิ่งท่คี นบัญญตั ิ เรยี กกันขึน้ ๒) ปรมตั ถสัจจะ คือส่งิ ท่ีเกดิ ขนึ้ เอง มเี อง เป็นความจรงิ อยูเ่ สมอไมเ่ ปลี่ยนแปลง ไม่ขึน้ อยู่กบั กาลเวลา สถานท่ี และทนตอ่ การพิสูจนข์ องคน ๒. ธรรมมะ,ธรรมชาติ และชวี ิต เกี่ยวขอ้ งกันอยา่ งไร หลกั คาสอนในพระพทุ ธศาสนา ได้ให้คาตอบเก่ียวกบั กระบวนการของชีวิตตามธรรมชาติ ไวด้ ังน.้ี - - ชวี ติ คอื อะไร...(ขันธ์ ๕, อายตนะ ๖)...สภาวะของชีวิต/ธรรมชาติ
- ชีวติ เป็นอย่างไร...(ไตรลกั ษณ์หรอื สามัญลักษณะ ๓)...กฎธรรมชาติ/กระบวนการธรรมชาติ - ชีวติ ควรเป็นอยา่ งไร...(นพิ พาน)...เปา้ หมายของชวี ติ /ผลการปฏิบัติตามธรรมชาติ - ชีวติ ควรดาเนินไปอย่างไร...(หลกั มชั ฌมิ าปฏิปทา,อรรถะ ๓)... แนวทางดาเนินชีวิต/การ ปฏิบตั ิตามธรรมชาติ ๒.๑ ชวี ิตคืออะไร ชวี ติ ตามคติทางพุทธศาสนา (๑)โดยสภาพของมนั เอง ไดแ้ กส่ ว่ นประกอบ ๕ สว่ น เรยี ก ขันธ์ ๕ (๒)โดยสว่ นสัมพันธก์ ับโลก เรยี กว่า อายตนะ ๖ ๒.๑.๑ ขนั ธ์ ๕ พระพุทธศาสนา มองสง่ิ ทั้งหลายในรปู สว่ นประกอบตา่ งๆ ที่ประชุมกันเขา้ ตัวตนแทๆ้ ของส่ิงทงั้ หลายไมม่ ี เมอื่ แยกส่วนตา่ งๆ ที่มาประกอบกันออกไปให้หมดแลว้ จะไม่พบวา่ มตี ัวตนของ สิ่งนั้นเหลืออยู่ เชน่ รถ เมอ่ื นาส่วนประกอบตา่ งๆ มาประกอบเข้าด้วยกนั ตามแบบท่ีกาหนด กเ็ รยี กว่ารถ ถา้ แยกส่วนประกอบออกจากกนั ท้ังหมด ก็หาตัวของรถไมไ่ ด้ มแี ต่ส่วนประกอบ ซ่ึงมีช่ือเรยี กต่างๆ กันจาเพาะแต่ ละอย่างอยแู่ ล้ว พุทธศาสนาแสดงสว่ นประกอบของชีวติ ซึง่ ครอบคลมุ ทัง้ รา่ งกายและจิตใจ (รูปธรรม - นามธรรม)ออกเป็น ๕ ส่วน เรยี กว่า \"ขนั ธ์ ๕\" คือ (๑) รปู สว่ นประกอบฝ่ายรปู ทงั้ หมด รา่ งกายและพฤติกรรมท้งั หมด ของ ร่างกาย/สสาร และพลงั งานฝา่ ยวตั ถุ พร้อมท้ังคุณสมบตั ิและพฤตกิ ารณ์ต่างๆ ของสสารและพลงั งาน เหล่านน้ั (๒) เวทนา ความรสู้ ึกพอใจ(สขุ ) ไมพ่ อใจ(ทกุ ข์) หรือเฉยๆ ทเี่ กดิ จากสัมผัส ทาง ประสาทท้ัง ๕ และทางใจ (๓) สญั ญา ความกาหนดได้ หมายรู้ คอื กาหนดรู้อาการ เคร่ืองหมาย ลักษณะตา่ งๆ อันเปน็ เหตุใหจ้ าอารมณน์ ้นั ได้ (๔) สังขาร องคป์ ระกอบหรือคุณสมบัตติ ่างๆ ของจติ ทม่ี เี จตนาเปน็ ตัวนา ซึง่ ปรงุ แตง่ จติ ใหด้ ี ชั่ว หรอื เป็นกลาง แรงจูงใจหรือส่ิงกระตนุ้ ให้กระทากรรม เปน็ ผลมาจากการรบั รู้ ความรูส้ ึก และความจาท่ีได้ผ่านมา เช่น ตาเห็นรูป - เกดิ ความร้เู รียกวา่ \"จกั ขวุ ิญญาณ\", เกดิ ความพอใจ - เรยี กวา่ \" เวทนา\", จาไดว้ ่าเป็นวัตถกุ ลมๆ เปน็ สัญญา, เกดิ แรงจูงใจหยิบมนั ขนึ้ มา เป็นสังขาร (๕) วิญญาณ ความร้แู จง้ อารมณท์ างประสาททง้ั ๕ และทางใจ กระบวนธรรมน้ี เวทนามบี ทบาทสาคญั มาก อารมณ์มีความพอใจมาก ก็กาหนดหมายมาก(สญั ญา) และมีแรงจงู ใจใหเ้ กดิ การ กระทาท่ีรนุ แรงข้นึ (สังขาร) คุณค่าการสอนเรือ่ งขนั ธ์ ๕ คอื .- - มงุ่ แสดงใหเ้ หน็ ว่า ทีเ่ รียกวา่ สัตว์, บุคคล นน้ั เมื่อแยกสว่ นประกอบแล้วมี แต่๕ สว่ นน้ี ซึ่งแตล่ ะอย่างมอี ยใู่ นรปู ทสี่ ัมพันธเ์ นือ่ งอาศยั กัน ไม่เป็นอิสระ ไม่มตี ัวตนของมนั เอง แสดงถงึ ความ เป็นอนตั ตาของชวี ิต - การมองสิง่ ทัง้ หลายโดยวธิ ีแยกสว่ นประกอบ เป็นการฝกึ ความคิด สรา้ ง นสิ ยั ใช้ความคิดวิเคราะห์ความจริง ให้รู้จักมองส่งิ ท้ังหลายตามสภาวะล้วนๆ คือ มองตามทม่ี นั เปน็ จริง ไม่ นาเอาตัญหา อุปาทาน เข้าไปจับ อันเปน็ เหตใุ หม้ องตามทอ่ี ยาก หรือไมอ่ ยากใหเ้ ป็น แต่ใช้ปัญญาพจิ ารณา ๒.๑.๒ อายตนะ ๖ (แดนรับรู้และเสพเสวยโลก, สัมพนั ธ์กับโลก) ชวี ติ ประกอบด้วย ขันธ์ ๕ เปน็ หน่วยยอ่ ย แตใ่ นการดาเนินชวี ิตทัว่ ไป มนุษยไ์ ม่ได้เก่ยี วข้องโดยตรงกับส่วนประกอบแตล่ ะส่วน อย่างทัว่ ถึงแต่อย่างใด ชีวิตประจาวันของคนทีด่ าเนนิ ตดิ ตอ่ เกยี่ วข้องกบั โลก มสี ง่ิ เชอื่ มตอ่ เรยี กวา่ \"ทวาร\" (ประตู, ช่องทาง) แบง่ ออกเปน็ 2 ภาค คือ (๑) ภาครบั รู้ และเสพเสวยโลก อาศัยทวาร ๖ คือ ตา, ห,ู จมกู , ล้ิน, กาย และใจ(อายตนะภายใน) สาหรบั รับรู้และเสพเสวยโลก ปรากฎแก่มนษุ ย์โดยอาการตา่ งๆ เรยี กวา่ \"อารมณ์ ๖\"
คือ รปู , เสียง, กลิ่น, รส, สมั ผัส และธรรมารมณ์ (อายตนะภายนอก) (๒) ภาคแสดงออกหรอื กระทาตอ่ โลก อาศัยทวาร ๓ คอื กาย, วาจา, ใจ (กายทวาร,วจีทวาร, มโนทวาร) สาหรับกระทาต่อโลก โดยแสดงออกเป็นการกระทา การพดู การคิด (กาย กรรม,วจีกรรม, มโนกรรม) กระบวนการชวี ติ ในภาคนี้ รวมอยู่ในขันธ์ ๕ คือ สงั ขาร ซ่งึ มที ้ังฝ่ายดี (กศุ ล) ฝ่าย ช่ัว (อกุศล) และฝ่ายกลางๆ (อพั ยากฤต) อายตนะ เป็นจุดเรมิ่ ต้นและหัวเล้ียวหัวตอ่ ของทางแยก ระหวา่ งฝ่ายดกี บั ฝา่ ยช่ัวคอื สายหนง่ึ นาไปสู่ ความประมาทมัวเมา ความช่ัว ความตดิ อยู่ในโลก, สายหน่ึงนาไปสูก่ ารร้เู ท่าทัน ประกอบกรรมดี หลดุ พน้ เป็นอิสระ อายตนะ เปน็ แหลง่ ทม่ี าของความสขุ ความทุกข์ ซง่ึ เปน็ เปา้ หมายแห่งการดาเนนิ ชีวติ ของปุถุชน เม่ือ สขุ กแ็ สวงหา เมอื่ ทุกขก์ ห็ ลีกเลย่ี ง องคธ์ รรมท่ีใช้ในข้อนี้ คือ (๑) สติ - ควบคมุ จติ ระมัดระวังป้องกนั มใิ หอ้ ารมณฝ์ ่ายช่ัวเข้าครอบงาจิต(หลักสมาธิ) (๒) โยนิโสมนสิการ - พจิ ารณาคุณ โทษ ขอ้ ดี ขอ้ เสีย ของอารมณ์น้ัน เพ่ือให้เกิดความรเู้ ท่าทนั (หลักปญั ญา ๒.๒ ชวี ิตเปน็ อยา่ งไร ความเป็นไปของส่งิ ท้งั หลาย เป็นไปตามกฎเกณฑธ์ รรมชาติ โดยอาศยั ความสมั พนั ธ์และปจั จัยเนือ่ งอาศยั กัน ไมม่ ตี ัวการอ่ืนทีน่ อกเหนอื ในฐานะผู้สร้างหรือผบู้ ันดาล จึงเรียกวา่ \"กฎธรรมชาติ\" หลกั ธรรมที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงในรูปของกฎธรรมชาติ มี ๒ หมวดคอื (๑)ไตรลักษณ์ หรอื สามญั ลกั ษณะ ๓ ประการ (๒) ปฏจิ จสมุปบาท ธรรมทงั้ ๒ หมวดนี้ถอื วา่ เป็นกฎเดยี วกนั แตแ่ สดงคนละ แนวเพื่อมองเห็นความจรงิ อยา่ งเดียวกัน กล่าวคอื ไตรลกั ษณ์ - มุ่งแสดงลักษณะของส่งิ ท้ังหลายท่ีปรากฏให้ เหน็ วา่ เปน็ อย่างน้นั , ปฏิจจสมุปบาท - มงุ่ แสดงถึงอาการของสิง่ ท้ังหลายทม่ี คี วามสัมพันธ์ เนื่องอาศัยกนั เปน็ ปจั จัยสืบต่อกันเป็นกระแส จนปรากฏให้เห็นเปน็ ไตรลกั ษณ์ ๒.๒.๑ ไตรลกั ษณ์ เรียกอีกอย่างหนง่ึ ว่า \"สามญั ลกั ษณะ\" แปลว่า ลักษณะทท่ี ่วั ไป หรือ เสมอเหมือนกันของสง่ิ ทั้งปวง มี ๓ อย่าง คือ (๑) อนจิ จตา ความไม่เทีย่ ง ไม่คงท่ี ภาวะที่เกิดขึ้น แล้วเสอ่ื มไป (๒) ทกุ จตา ความเปน็ ทุกข์ ภาวะท่ีถกู บีบค้ันด้วยการเกดิ ขนึ้ และสลายไป เพราะปัจจัยทปี่ รุงแตง่ มสี ภาพเปล่ียนแปลงไป ทาให้คงอยูใ่ นสภาพเดิมไม่ได้ (๓) อนัตตา ความเป็นอนตั ตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่มตี ัวตนท่แี ท้จริง สง่ิ ทั้งหลาย หากจะกลา่ วว่ามีก็ต้องมอี ยใู่ นรูปของกระแส ที่ประกอบดว้ ยปจั จัยต่างๆ อันสมั พันธ์เนือ่ ง อาศัยกัน เกดิ - ดบั สบื ตอ่ กันไปตลอดเวลาไม่ขาดสาย จึงเป็นภาวะท่ไี มเ่ ทีย่ ง (อนิจจตา) เมอื่ เกิด - ดบั ไม่คงท่ี และเปน็ ไปตามปจั จัยทอี่ าสัย ย่อมมคี วามบีบค้ัน กดดัน ขดั แย้ง และแสดงความบกพร่องไม่ สมบูรณใ์ นตัว (ทกุ ขตา) เมอ่ื ทุกสว่ น เกิด - ดับ อยู่ตลอดเวลา ขึน้ อย่กู ับเหตปุ จั จัยเชน่ น้ี ยอ่ มไม่เปน็ ตวั ของตัว มี ตัวตนท่แี ทจ้ ริงไม่ได้ (อนตั ตา) ประโยชน์ที่ไดจ้ ากเรื่องนค้ี อื เม่อื ประสบกับภาวะทเ่ี ปล่ียนแปลงอนั ไม่น่าปรารถนา ก็บันเทาความเศร้า โศกเสียใจได้ หรอื เปล่ียนแปลงเป็นทน่ี ่าพอใจ ก็ไมห่ ลงมัวเมา เพราะรู้เทา่ ทนั และทาให้มกี ารเร่งขวนขวายใน กจิ ที่ควรทาตอ่ ไปใหด้ ีท่ีสุด และทาดว้ ยจิตใจท่อี ิสระ เพราะรคู้ วามเปล่ยี นแปลงทเ่ี ป็นไปตามเหตปุ ัจจัย ไม่ เปน็ ไปตามความปรารถนาของใคร ปัจฉมิ โอวาทของพระพุทธเจ้าวา่ \"...สง่ิ ท้งั หลาย มีความเส่อื มส้ินไปเป็นธรรมดา ท่านท้ังหลายจง ทากิจให้สาเร็จ ดว้ ยความไมป่ ระมาท เถดิ ...\" ๒.๒.๒ ปฏิจจสมุปบาท (การทส่ี งิ่ ท้ังหลายอาศัย จึงเกิดมี) เป็นหลกั ธรรมอกี หมวดหน่งึ ที่ พระพุทธเจา้ ทรงแสดงในรปู ของกฎธรรมชาติ หรือหลักความจริงท่ีมอี ยู่โดยธรรมดา หลักน้นี ามาอธบิ ายถึง กระบวนการชีวิตทเ่ี ป็นไปตามธรรมชาติ มีองค์ประกอบ ๑๒ อย่าง ซึง่ องคป์ ระกอบเหลา่ น้ีเป็นปัจจัยเนือ่ ง
อาศยั กนั สบื ตอ่ กนั เป็นรปู วงเวยี น ไมม่ ีต้น ไมม่ ปี ลาย คอื ไม่มตี ัวเหตุเริ่มแรกท่ีสุด แตก่ ารทีย่ กเอาอวชิ ชา ตงั้ เปน็ ข้อทีห่ นึง่ ไม่ได้หมายความว่าอวิชชาเปน็ เหตแุ รก แต่เปน็ การต้งั เพอ่ื ความสะดวกในการทาความ เขา้ ใจ ดงั น้ี อวิชชา -> สังขาร -> วญิ ญาณ -> นามรปู -> สฬายตนะ -> ผัสสะ -> เวทนา ->ตัณหา -> อุปาทาน -> ภพ -> ชาติ -> ชรามรณะ ในกระบวนการเกดิ และดับ ทา่ นแสดงแบบความสัมพันธ์เปน็ ๒ นยั คอื (๑) ท่านแสดงกระบวนการ เกดิ (ทกุ ข์) ถอื วา่ เป็นการแสดงตามลาดบั เรยี กว่า \"อนโุ ลมปฏิจจสมุปบาท หรือ ปฏิจจสมุปบาทสมุทยวาร\" (๒) การแสดงการดับ(ทกุ ข)์ ถือเป็นการแสดงย้อนลาดับ จึงเรยี กว่า \"ปฏิโลมปฏิจจสมปุ บาท หรอื ปฏจิ จสมุปบาทนโิ รธวาร\" หลักปฏจิ จสมปุ บาทน้ี ใช้อธบิ ายโดยนัยต่างๆ เชน่ (๑)แสดงววิ ฒั นาการของโลกและชวี ติ (๒)แสดง กระบวนการเกิด - ดบั แหง่ ชวี ติ และทุกขข์ องคน ซึง่ แยกออกเปน็ ๒ นัยคือ ๑. แสดงกระบวนการช่วงกว้างระหว่างชวี ติ ตอ่ ชวี ติ คือแบบขา้ มชาติ ๒. แสดงกระบวนการทหี่ มนุ เวยี นอยตู่ ลอดเวลาในทุกขณะของการดารงชีวิต พระพุทธเจา้ ทรงแสดงหลกั ปฏิจจสมุปบาท ในรปู วิวัฒนาการตามกระบวนการแหง่ เหตปุ ัจจัยใน ธรรมชาติ ตามกระแสแห่งเหตุผล โดยมุ่งสง่ั สอนเฉพาะที่จะนามาใชป้ ฏบิ ัตใิ ห้เป็นประโยชน์ในชวี ติ จรงิ ได้ เก่ยี วข้องกับชวี ิต การแก้ปัญหาชวี ติ และการลงมือทาจริงๆ ไมท่ รงสนับสนนุ การพยายามเข้าถึงสจั จธรรม ดว้ ยวธิ ีการครุ่นคดิ และถกเถียงหาเหตุผลเก่ียวกับปัญหาทางอภิปรัชญา ซึง่ เปน็ ไปไม่ได้ ความหมายปฏิจจสมุปบาทเชิงอธบิ าย ๑. อวิชชา ความไมร่ ู้ ไมเ่ ห็นตามเปน็ จรงิ ไม่รู้เทา่ ทันตามสภาวะ ความไม่รทู้ ี่แฝงอยูก่ ับความ เชื่อถอื ต่างๆ ภาวะขาดปญั ญา ความไม่เขา้ ใจเหตุผล การไมใ่ ช้ปญั ญา หรือปญั ญาไม่ทางานในขณะนั้น ๒. สงั ขาร ความคิดปรงุ แตง่ ความจงใจ มงุ่ หมาย ตดั สินใจ และการทีจ่ ะแสดงเจตนาออกเปน็ การกระทา การจดั สรรกระบวนความคิด และมองหาอารมณ์มาสนองความคดิ โดยสอดคลอ้ งกับพนื้ เพนสิ ัย ความถนดั ความโน้มเอยี ง ความเช่ือถือ และทัศนคติ เป็นต้น ของตนตามท่ีสั่งสมไว้ การปรงุ แตง่ จิต ปรุงแตง่ ความคิด ปรุงแตง่ กรรม ด้วยเครอ่ื งปรุงคือ คุณสมบตั ติ ่างๆ ทีเ่ ป็นความเคยชนิ หรือได้ส่งั สมไว้ ๓. วิญญา ความรตู้ ่ออารมณ์ต่างๆ คอื เหน็ ได้ยิน ไดก้ ลน่ิ ร้รู ส รู้สมั ผัส รตู้ อ่ อารมณท์ ่มี ใี นใจ ตลอดจนพ้ืนเพของจติ ใจในขณะนัน้ ๆ ๔. นามรูป ความมอี ยูข่ องรูปธรรมและนามธรรม ในความรบั รขู้ องบุคคล ภาวะทรี่ ่างกายและ จิตใจ ทุกส่วนอย่ใู นสภาพทส่ี อดคลอ้ ง และปฏิบตั ิหน้าทเ่ี พ่ือตอบสนอง ในแนวทางของวญิ ญาณทเ่ี กดิ ขึ้นนน้ั ส่วนต่างๆของรา่ งกายและจติ ใจที่เจริญ หรือเปลีย่ นแปลงไปตามสภาพจิต ๕. สฬายตนะ ภาวะที่อายตนะท่ีเกี่ยวข้อง ปฏบิ ตั ิหน้าท่โี ดยสอดคล้องกบั สถานการณน์ ั้นๆ ๖. ผสั สะ การเช่อื มตอ่ ความรู้กบั โลกภายนอก การรบั รูอ้ ารมณ์ตา่ งๆ ๗. เวทนา ความรู้สกึ สุขสบาย ถกู ใจ หรอื ทกุ ข์ ไม่สบาย หรือเฉยๆ ๘. ตัญหา ความอยาก รนหาสง่ิ ทอ่ี านวยสุขเวทนา หลกี หนีทุกขเวทนา โดยอาการ ไดแ้ ก่ อยากได้ อยากเป็น อยากคงอย่อู ยา่ งนั้นๆ ยั่งยืนตลอดไป อยากให้ดับสูญพินาศไปเสีย ๙. อปุ าทาน ความยึดม่นั ถอื ม่นั ในเวทนาท่ชี อบ หรอื ชัง รวมทั้งเอาสิง่ ตา่ งๆ และภาวะชวี ติ ท่อี านวยเวทนาน้ันเเข้ามาผูกพันกับตวั จนเกดิ ท่าทหี รือตรี าคาตอ่ สงิ่ ตา่ งๆ ในแนวทางทเี่ สรมิ หรอื สนอง ตัญหาของตน ๑๐. ภพ กระบวนพฤติกรรมท้ังหมดท่แี สดงออก เพอ่ื สนองตญั หา อปุ าทานน้นั (กรรมภพ) และภาวะ ชีวติ ทปี่ รากฏเปน็ ไปอยา่ งใดอย่างหน่งึ (อปุ ปตั ภิ พ) โดยสอดคล้องกบั อปุ าทาน และกระบวน พฤติกรรมนนั้ ๑๑. ชาติ การเกิดความตระหนักในตวั ตนวา่ อยู่ หรือ ไมไ่ ดอ้ ยู่ในภาวะชีวิตนั้น หรอื ไม่ได้มี ไมไ่ ด้
เปน็ อย่างนัน้ การเขา้ ครอบครองภาวะชีวิตน้ัน หรือเข้าสวมเอากระบวนพฤติกรรมนน้ั โดยการยอมรับ ขึน้ มาว่า เปน็ ภาวะชวี ติ ของตน เป็นกระบวนพฤตกิ รรมของตน ๑๒. ชรามรณะ ความสานกึ ในความขาด พลาด หรือพราก แห่งตัวตนจากภาวะชวี ิตนนั้ ความรสู้ ึกตวั ว่า ตัวตนถูกคกุ คามด้วยความสญู สน้ิ หรอื พลดั พรากจากภาวะชวี ติ นัน้ หรอื จากการไดม้ ี ได้เปน็ นัน้ จงึ เกิด ความโศก ปริเทวะ โทมนสั อุปายล พ่วงมาดว้ ย คือ รสู้ กึ คบั แคบ ขัดข้อง ขุ่นมัว แหง้ ใจ หดหู่ไมส่ มหวงั กระวนกระวาย และทุกขเวทนาต่างๆ ตวั อย่างกระบวนการปฏิจจสมุปบาทในชีวติ ประจาวัน นาย ก. กับนาย ข. เป็นเพ่อื นกนั สนทิ สนมและทางานในที่เดยี วกนั ทุกวนั ทีม่ าทางานก็ทักทาย ยิ้มแย้มตอ่ กัน วนั หนง่ึ ก.มาถึงทที่ างาน พบเห็น ข. กย็ ้มิ แย้มเขา้ ไปทักทายตามปกติ แต่ ข.หน้าบ้ึง ไม่ยมิ้ ไม่พดู ก.จึงโกรธ ไม่พูดกบั ข. ในกรณีนี้ กระบวนการธรรมชาติ จะดาเนินไปในรูปต่อไปน้ี ๑. อวิชชา เมื่อ ก. เห็น ข.หน้าบ้งึ ไมพ่ ูดดว้ ย ก.ไมร่ ู้ความจรงิ ว่า เหตผุ ลตน้ ปลายเป็นอย่างไร และไม่ไดใ้ ชป้ ัญญาพิจารณาเพอ่ื หาข้อเทจ็ จริงว่า ข.มเี ร่อื งไม่สบายใจเกย่ี วกบั เร่ืองอะไร ๒. สังขาร ก. จึงคิดปรุงแต่งสรา้ งภาพข้นึ ในใจตา่ งๆ ตามนิสยั ทัศนคติ และความคิดทเ่ี คยชิน ของตนว่า ข. จะตอ้ งรสู้ กึ นึกคดิ (ในทางไมด่ ี)ต่อตนอยา่ งแน่นอน แลว้ เกดิ ความโกรธ ฟ้งุ ซา่ น ฯลฯ ๓. วิญญาณ จติ ใจของ ก. ขนุ่ มัวไปตามกิเลสที่ฟ้งุ ข้ึนมานน้ั คอยรับรู้การกระทาและอากปั กริ ิยาของ ข. ในแง่ที่จะมาปอ้ นความรูส้ กึ นกึ คิดท่เี ปน็ อยูใ่ นขณะนน้ั (ยง่ิ นึก ยง่ิ เหน็ ยิง่ คดิ ยิ่งเป็นจริงอย่างนนั้ ) สหี น้า และท่าทางตา่ งๆ ของ ข. ดูเป็นเรื่องกระทบกระทั่ง ก. ไปเสยี ทุกอย่าง ๔. นามรูป ทงั้ กายและใจทั้งหมดของ ก.(ความรสู้ ึก ภาพทีค่ ดิ สีหนา้ กริ ิยาท่าทาง) แสดงออกมาเป็น ผลรวม คือ ภาวะอาการของคนโกรธ คนงอน (สุดแตส่ งั ขาร) พร้อมทจ่ี ะทางานรว่ มกบั วญิ ญาณน้นั ๕. สฬายตนะ อายตนะตา่ งๆ มี ตา หู เปน็ ตน้ ของ ก. ( เฉพาะทเี่ กีย่ วขอ้ ง จะต้องใชร้ ับรู้ เร่อื งราว ในกรณนี ้ี ตื่นตวั พรอ้ มทจ่ี ะทาหนา้ ท่รี ับความรู้อย่างเตม็ ท่ี ) ๖. ผสั สะ สัมผัสกับลักษณะอาการแสดงออกตา่ งๆ ของ ข.ท่เี ดน่ ชัด เช่น ความบูดบึ้ง ทา่ ทาง ดูหมิน่ ไมใ่ ห้เกียรติ หรอื เหยียดศกั ดิ์ศรี เปน็ ต้น ๗. เวทนา ก. รสู้ ึกไม่สบายใจ บีบค้นั ใจ เจ็บปวดรวดร้าว หรือเหย่ี วแห้งใจ ๘. ตัญหา ก. เกดิ วภิ วตญั หา อยากใหภ้ าพทบี่ ีบค้ันใจ ทาให้ไม่สบายใจนนั้ อันตระธานไป ๙. อปุ าทาน ก. เกดิ ผกู ใจเจบ็ ต่อพฤตกิ รรมของ ข. ว่าเปน็ ส่งิ ทเ่ี ก่ียวข้อง กระทบกระทั่ง เป็น คู่กรณกี บั ตน ซง่ึ จะต้องจัดการกนั อย่างใดอย่างหนึ่ง ๑๐. ภพ พฤตกิ รรมต่อไปของ ก. คือตกอยู่ภายใต้อทิ ธพิ ลของอปุ าทาน เกิดกระบวนพฤตกิ รรมจาเพาะ ทีจ่ ะสนองอุปาทานนน้ั คอื พฤตกิ รรมปฏปิ กั ษก์ บั ข.(กรรมภพ) ภาวะชีวติ ทั้งทางกาย ทางใจท่ี รองรับกรรมพฤตกิ รรมนน้ั กส็ อดคลอ้ งกนั ด้วย คอื ภาวะแห่งความเป็นปฏิปกั ษ์กบั ข.(อุปปัติภพ) ๑๑. ชาติ ก. รับเอาภาวะชวี ิตที่เปน็ ปฏิปักษร์ ะหว่างตนกบั ข.ไว้อย่างชดั เจน คือแยกเป็น เรา - เขา มตี ัวตนท่ีจะเข้าไปกระทา และถูกกระทบกระแทกกบั ข. ๑๒. ชรามรณะ ตวั ตนท่ีเกิดในภาวะเป็นปฏิปกั ษ์นั้น จะดารงอยแู่ ละเติบโตเปน็ ผลพวง ติดตามมา เช่น ความเกง่ ความสามารถ ความมีเกยี รติ ความมีศกั ด์ิศรี และ ความเปน็ ผู้ชนะ ฯลฯ ซึง่ มภี าวะตรงข้ามขดั แยง้ อยู่ในตวั คือ ความดอ้ ย ไร้ค่า ไรเ้ กยี รติ พ่ายแพ้ ฯลฯ ทนั ทีที่ตวั ตนน้เี กดิ ก็ต้อง ถกู คุกคามด้วยภาวะ ขาดหลักประกันว่า ตนจะต้องได้เปน็ อย่างทตี่ ้องการ (แพ้ไมไ่ ด)้ ความทุกข์ในรปู ต่างๆ ก็เกดิ แทรกขน้ึ จากความหวนั่ กลวั จะไม่สมหวังนั้น ไตรวัฏฏ์ (วน ๓) องค์ประกอบของปฏจิ จสมปุ บาท ตามหนา้ ท่เี กิดเป็นวงจร แบ่งเปน็ ๓ พวก เรยี กวา่ \" วฏั ฏะ ๓ หรอื ไตรวัฏฏ์ หรอื วน ๓ \" คือ ๑. อวชิ ชา ตญั หา อุปาทาน เปน็ กเิ ลส คอื ตวั สาเหตุผลกั ดันให้คดิ ปรงุ แต่งกระทาการตา่ งๆ
เรยี กวา่ \" กิเลสวัฏฏ์ \" ๒. สังขาร (กรรม) ภพ เป็น กรรม คอื กระบวนการกระทา หรือกรรมทัง้ หลายที่ปรุงแต่งชีวิต ใหเ้ ปน็ ไปตา่ งๆ เรยี กว่า \" กรรมวัฏฏ์ \" ๓. วิญญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เป็น วบิ าก คือ สภาพชีวิตที่เปน็ ผลแหง่ การ ปรุงแตง่ ของกรรม และกลับเป็นปัจจัยเสริมสรา้ งกเิ ลสต่อไปไดอ้ ีก เรยี กวา่ \" วบิ ากวฏั ฏ์ \" วฏั ฏะทัง้ ๓ นี้ หมุนเวยี นต่อเนื่องเป็นปจั จยั อดุ หนุนแกก่ นั ทาให้วงจรชวี ติ ดาเนิไปไม่ขาดสาย - ๑๓ - ๒.๓ ชีวติ ควรเป็นอย่างไร เป้าหมายสูงสุด หรอื ประโยชนส์ ูงสดุ ของชวี ติ คือ การบรรลุนพิ พาน ซ่ึงเป็นผลของการปฏบิ ตั ิตามกฎธรรมชาติ จนร้แู จ้งเหน็ จรงิ ตามกฎธรรมชาตนิ ัน้ - ปัญหาของมนุษยม์ ตี า่ งๆ มากมาย เมอื่ กลา่ วให้สั้นแลว้ กเ็ ก่ียวกบั เร่อื ง ดี-ชว่ั /สขุ -ทกุ ข์ ถา้ พดู รวบรดั ลงไปอีกก็รวมลงไปในคาเดยี วคอื ทกุ ข์ แมเ้ ราจะพูดว่า มีชีวิตอยู่เพ่อื หาความสุข กเ็ ป็นการ บ่งบอกถึงทุกขอ์ ยูใ่ นตวั การแสวงหาความสขุ กแ็ สดงให้เห็นความขาดแคลน หรือภาวะไร้สุขอย่ภู ายใน เรียกว่ามที กุ ข์ - มองอกี ด้านหนง่ึ ปญั หาเกดิ จากมนุษยท์ ี่มที ุกข์อย่แู ลว้ แตแ่ กไ้ ขทกุ ข์ไมถ่ ูกตอ้ ง จึงระบาย ทุกข์น้ันออกไป ให้ทุกข์กระจาย เพ่ิมขยายปัญหาท้งั แก่ตนและคนอื่น ดงั นนั้ ทุกขท์ ่เี ป็นสภาวะติดเนื่องกับความ เปน็ สังขารของชวี ิต แทนที่จะถูกแก้ไข กลับถกู มองขา้ มและปิดกลบไวเ้ สยี สขุ ทุกข์ และปญั หาต่างๆ ทเ่ี กิดจาก การกระทาของมนษุ ย์ ก็พรง่ั พรวู ิจติ รพิศดาลออกมานานบั ประการ - การดาเนินชีวิต คือ พยายามทีจ่ ะแกป้ ญั หาของชีวติ หรอื หาทางปลดเปลอ้ื งไถ่ถอนทุกข์ ถ้า ไม่รูว้ ธิ ีแกไ้ ข ก็กลายเปน็ การเพ่มิ ปญั หา เปน็ การสะสมทกุ ข์ กลายเปน็ วงจรท่ยี งิ่ หนา ซับซ้อนขน้ึ ทุกที เรียกโดย ภาพพจนว์ า่ เป็นวังวนแหง่ ปญั หา หรือการเวียนวา่ ยอยู่ในกองทุกข์น่ันเอง - พระพทุ ธเจ้า เมื่อทรงแสดงหลักปฏจิ จสมุปบาท ฝา่ ยให้ทุกข์เกิดแล้ว ก็ไมท่ รงหยุดอยเู่ พยี ง นั้นยังทรงแสดงปฏจิ จสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ หรอื ฝ่ายแก้ปัญหาอีกด้วย กระบวนการดบั ทุกข์มีอธิบายเป็น ๒ วงจร คอื .- ๑. วงจรยาว กระบวนการดับทกุ ข์น้ี เริม่ ตน้ ดว้ ยการดบั อวชิ ชา หรือไม่มอี วิชชาเมอ่ื อวชิ ชาดับ องคป์ ระกอบข้ออนื่ ๆ เช่น สังขาร ก็ดับไปตามลาดับ ๒. วงจรส้ัน ในวงจรน้ี ทรงแสดงกระบวนการความเป็นไปในชีวติ ประจาวัน เริม่ ต้งั แต่การรับรทู้ างอายตนะ ๖ ไปจนถึงชรามรณะ โดยเว้นช่วงต้นตง้ั แตอ่ วิชชาออกไป เพราะถอื วา่ มีอวชิ ชาแฝง อยดู่ ว้ ยในตวั แลว้ ดงั นนั้ ภาวะนพิ พาน คอื ภาวะท่สี น้ิ กิเลส เมื่ออวิชชา ตญั หา อุปาทานดบั ไป นพิ พาน ก็ปรากฏ แทนท่ี หรือพดู อีกอย่างคอื การดับอวิชชา ตัญหา อุปาทาน นัน่ แหละคอื นิพพาน ภาวะของผบู้ รรลุนิพพาน มี คาเรียกหลายชื่อ เชน่ อรหนั ต์ - ผู้ไกลจากกเิ ลส, ขีนาสพ - ผ้สู ิน้ อาสวะแล้ว, อาเสขะ - ผู้จบการศกึ ษาแล้ว ฯลฯ โดยสรปุ แล้ว มีภาวะ ๓ ประการ คอื ๑. ภาวะทางปญั ญา คือ มปี ัญญามองเห็นสง่ิ ท้ังหลายตามที่มันเป็นจรงิ เร่มิ ตัง้ แต่ การ รบั ร้ทู างอายตนะด้วยจติ ใจที่เป็นกลาง และมสี ติ ไม่หว่ันไหวถกู ชกั จงู ไปตามความชอบใจ ไมช่ อบใจ สามารถ ตามรูอ้ ารมณน์ นั้ ๆ ไปตามสภาวะของมนั ตัง้ แต่ต้นจนตลอดสาย ๒. ภาวะทางจติ ภาวะทางจิตท่ีเปน็ พื้นฐาน คือ เปน็ อิสระ หรอื เรยี กวา่ ความหลดุ พ้น เปน็ ภาวะทีส่ ืบเน่อื งจากปัญญาคือ มองเห็นตามความเปน็ จริง ร้เู ท่าทนั สังขาร จิตจงึ พน้ จากอานาจ ครอบงาของกิเลส
๓. ภาวะทางความประพฤติหรอื การดาเนินชวี ติ ในด้านความประพฤติทั่วไป เรยี กวา่ \" ศลี \" พระอริยบคุ คล ย่อมเปน็ ผ้มู ีศลี สมบูรณ์ตงั้ แตช่ ้นั โสดาบัลแล้ว ภาวะทจ่ี ะทาให้เกิดความทศุ ีล หรือ ประพฤตเิ สียหาย ไมม่ ีเหลอื อีกตอ่ ไป การกระทาของท่านไม่เป็นกรรมอีกต่อไป ๒.๔ ชีวติ ควรดาเนนิ ไปอย่างไร จดุ มงุ่ หมายสูงสุดของชีวิตในทางพระพุทธศาสนา คือ การบรรลุ นิพพาน ทางปฏิบตั ิเพื่อเข้าถึงประโยชนส์ ูงสดุ ของชีวิตดังกล่าวนน้ั ตง้ั อยบู่ นพนื้ ฐานของหลัก มชั ฌมิ าปฏปิ ทา คอื ทางสายเอกท่ีประกอบดว้ ยอริยมรรค มีองค์ ๘ หรอื หลกั ศีล สมาธิ ปญั ญา นัน่ เอง แต่ อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจา้ มิได้ทรงมองขา้ มจุดหมายขนั้ รองลงมา ท่ีมนษุ ย์พงึ ไดพ้ งึ ถึงตามระดับความพร้อมของ ตน จงึ ไดท้ รงจาแนกธรรมให้บุคคลปฏบิ ตั ไิ ด้รับประโยชนต์ ามสมควรแก่อธั ยาศยั ตามกาลงั ความรู้ ความสามารถของแตล่ ะบุคคลไว้ จาแนกเปน็ \"อรรถ หรอื ประโยชนข์ องชีวิต\" ๓ ระดับ คอื ๑. ทิฏฐิธัมมิกตั ถะ ประโยชน์ปจั จุบัน ๒. สมั ปรายกิ ัตถะ ประโยชนเ์ บ้อื งหน้า ๓. ประมตั ถะ ประโยชน์อย่างสงู สดุ ๒.๔.๑ ประโยชน์ปจั จุบนั เป็นจุดหมายขัน้ ต้น ประโยชน์ที่มองเหน็ เฉพาะหนา้ เข้าใจ งา่ ยๆ เกยี่ วกับชวี ิตประจาวัน เปน็ ความสาเรจ็ ในชีวติ ตามภาษาชาวโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข ทรพั ยส์ นิ เกยี รติ ชวี ิตคคู่ รองท่ีเป็นสุข เปน็ ต้น มีหลกั ธรรมท่ีเหตุให้ได้ประสบความสาเร็จในข้นั นี้ ๔ ประการ คือ ๑. อฏุ ฐานสัมปทา ความขยันหม่ันเพยี ร รู้จกั ใช้ปัญญาจัดดาเนนิ การของ ตน ๒. อารกั ขสัมปทา รูจ้ ักเก็บ รักษาทรพั ยส์ นิ และผลแหง่ กจิ การงานไม่ให้ เสอื่ ม ๓. กัลยาณมิตตา รู้จกั เสวนาคบหาคนดีทีเ่ ก้อื กูลแกก่ ารงาน ความดี และ ความก้าวหน้าของชวี ิต ๔. สมชีวติ า รจู้ ักเล้ียงชวี ติ ใหพ้ อดี ให้มคี วามสุข ไม่ฟมุ่ เฟอื ยสุรุ่ยสรุ า่ ย สามารถประหยัดทรพั ยไ์ ว้ใหเ้ พิม่ พลู ได้ประโยชน์ในโลกนีเ้ ปน็ ประโยชนต์ า่ สุด มีไว้เพอื่ กนิ เพือ่ ใช้ในชวี ติ นี้ ทา ความดใี นโลกนเี้ ท่านั้น เมอ่ื ตายไปแล้วทุกสง่ิ ทุกอย่างตอ้ งคนื ให้แกโ่ ลก ๒.๔.๒ ประโยชนเ์ บื้องหนา้ เป็นจดุ หมายช้ันสูงข้นึ ไป เกย่ี วขอ้ งกบั ชีวิตในด้านคุณค่า เปน็ หลกั ประกนั ชวี ติ เม่ือละโลกนไี้ ปแลว้ ในดา้ นคุณคา่ ทีส่ งู ขนึ้ เกย่ี วกบั เรื่อง บุญกศุ ล ศรัทธาและความเสียสละ ความมั่นใจในคุณธรรม ความสุขทางจิต ความสุขที่ประณตี ในด้านผลสาเร็จทางจิตใจ คือ ฌานสมาบัติ - ๑๕ - ( ขอ้ นี้ จะลดหย่อนผ่อนคลายความยึดติดในวัตถุ ) มหี ลกั ธรรมทเี่ หตุใหป้ ระสบความสาเรจ็ ในขัน้ นี้ ๔ ประการ คือ ๑. ศรทั ธาสมั ปทา มีความเชอ่ื ประกอบดว้ ยเหตุผล ถูกหลักพระศาสนา ซาบซ้ึงในพระรัตนตรัย มีสง่ิ ท่ดี ีงามเป็นหลกั ยึดเหนย่ี วจติ ใจ ๒. ศลี สมั ปทา ถึงพรอ้ มด้วยศีล มีความประพฤติดงี าม เล้ยี งชวี ิตโดยทาง สจุ รติ มีระเบยี บ วนิ ัย ควรแกภ่ าวะแหง่ การดาเนนิ ชวี ติ ของตน ๓. จาคสมั ปทา ประกอบดว้ ยความเสยี สละ รจู้ กั เผือ่ แผแ่ บง่ ปนั พรอ้ มที่จะ ชว่ ยเหลอื คนท่ีควรไดร้ บั การช่วยเหลอื
๔. ปัญญาสัมปทา ดาเนนิ ชวี ิตดว้ ยปญั ญา รเู้ ท่าทันโลกและชีวิต สามารถ ทาจิตใจใหอ้ สิ ระตามโอกาส สง่ิ เหลา่ น้ี เกดิ ข้นึ แล้วยอ่ มขัดเกลาจิตใจของบุคคลใหม้ กี ิเลสบางเบาลงไป จิตใจจะบริสุทธม์ิ ากขึน้ เป็น บารมที ่สี ะสมเพม่ิ มากขึน้ ตามหลกั พระพุทธศาสนาถอื ว่า ชวี ติ คนและสัตวต์ ายแล้วจะต้องเกดิ อีก เพราะฉะนั้น หน้าทขี่ องผู้อยูใ่ นโลกนี้ประการหน่ึงคอื การทาประโยชน์เพ่ือผลในโลกหนา้ ตามคติทางพุทธศาสนา บุคคลควรดาเนนิ ชีวิตให้บรรลุจุดหมายอย่างนอ้ ยขัน้ ที่ ๒ คือ เม่ือไดป้ ระสบ ความสาเร็จในขัน้ ท่ี ๑ แลว้ กไ็ ม่ควรหยุดอยเู่ พยี งนั้น ควรก้าวหน้าต่อไปใหไ้ ดอ้ ย่างนอ้ ยบางสว่ นของขนั้ ที่ ๒ ผทู้ ไี่ ด้บรรลุขน้ั ที่ ๒ ท่านยกยอ่ งวา่ “ บัณฑิต \" คือ ผดู้ าเนินชีวิตด้วยปญั ญา ๒.๔.๓ ประโยชนส์ ูงสดุ เป็นเป้าหมายขน้ั สุดท้ายของชวี ติ คอื การรแู้ จ้งภาวะของส่ิง ท้งั หลายตามความเปน็ จรงิ การพัฒนาจติ ใจของตนให้หลุดพ้นจากอานาจกิเลสและความทุกข์ เขา้ ถึงสขุ ทไ่ี ม่มี การเปลี่ยนแปลงไปหาความทุกข์อีก เรียกวา่ \"นิพพาน\" พทุ ธศาสนาถือวา่ การไปเกดิ ในโลกหนา้ แมจ้ ะได้เกดิ เปน็ เทวดาชนั้ ต่างๆ สูงสุดอย่างไร ในทีส่ ุด กไ็ ม่พ้นความแก่ เจ็บ ตาย ไมพ่ น้ การเวยี นว่ายตายเกิด และถือวา่ การเวยี นว่ายตายเกดิ เป็นความทุกข์ และสอนให้พุทธศาสนกิ ชนพยายามบาเพญ็ ตน เพ่ือให้หลุดพ้นจากการเวยี นวา่ ยตายเกิด คือ ดบั กเิ ลส และ ความทุกขเ์ สยี การปฏบิ ตั ติ นเพื่อให้หลุดพ้นจากทกุ ข์คือ การเวยี นว่ายตายเกิด เรยี กว่า การปฏบิ ตั ิเพอ่ื ประโยชน์ สงู สดุ ชวี ติ ที่มีค่าท่ีสุดคือ ชีวิตทบ่ี รรลุปรมัตถะประโยชน์ เพราะเป็นประโยชน์ที่ทาขน้ึ เพือ่ ใหพ้ น้ ทุกขอ์ ย่าง แทจ้ รงิ ประโยชนส์ งู สุดจะเกดิ ขนึ้ ได้ จะต้องปฏบิ ัตติ นให้เกิดความรู้ ยง่ิ เหน็ จรงิ ในสภาวะธรรมท่ีเปน็ ปรมตั ถะสัจจะ ไดแ้ ก่ ความเป็นอนจิ จัง ทุกขัง อนัตตา ในสรรพสิ่งทั้งหลาย ---------------
๓. กฎแห่งกรรม ๑. ความม่งุ หมาย เพ่อื ให้ นทน. ทราบกฎเกณฑ์ในการใหผ้ ลของกรรม ตามหลกั พระพทุ ธศาสนาในขอ้ \" ทาดไี ด้ดี ทาชวั่ ได้ชัว่ \" ซงึ่ เปน็ หลกั สาคัญที่สดุ ท่ีจะทาให้ตนเชอ่ื ในเรื่องกฎของกรรม แลว้ เวน้ จากการกระทาชั่ว กระทาแต่ส่ิงทด่ี ีมีประโยชน์ ๒. หลักคาสอนเร่ืองกรรม คนไทย นับถอื พระพทุ ธศาสนาเป็นเวลาพันกวา่ ปีแลว้ ไมเ่ คยทอดทงิ้ พระพุทธศาสนาทงั้ ในยามสขุ ใน ยามทกุ ข์ มลู เหตทุ ี่คนไทยนับถอื พระพทุ ธศาสนาไมเ่ สอื่ มคลายท่ีสาคญั ที่สดุ คือ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนา แหง่ เหตุผล ทนต่อการพสิ ูจน์ทกุ กาลทุกสมยั ผปู้ ฏิบตั ติ ามสามารถพน้ ทกุ ขไ์ ด้จรงิ หลักคาสอนเรื่องกรรม มาจากหลักพุทธพจน์ทวี่ า่ พยาทิส วปเต พีช ตาทิส ลภเต ผล, กลยาณการี กลยาณ ปาปการี จ ปากก (บุคคลหว่านพืชเช่นใด ยอ่ มไดร้ ับผลเชน่ นน้ั , ทาดีย่อมได้ดี ทาชั่วยอ่ ม ได้ช่ัว) เร่อื งกรรมเป็นเร่อื งของเหตุผลที่ตรงไปตรงมามากที่สุด สามารถพิสูจนไ์ ด้ด้วยกฎเกณฑท์ างวิทยาศาสตร์ ๓. กฎแห่งกรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ กฎแห่งกรรม ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งของอิทธพิ ล ปฏิหารย์ หรืออานาจลึกลับใดๆ แต่เป็นกฎเกณฑ์ทสี่ ามารถ พสิ ูจน์ ทดลองได้ ตามหลักกวิทยาศาสตร์ คือ ๑. กฎแห่งทางดึงดูด ๒. กฎแหง่ ผลสะท้อน ๓. กฎแหง่ การออกกาลัง ๔. กฎแหง่ จิตวิทยา ๔. ความหมายของ \" ดี \" และ \" ชว่ั \" ปญั หาทีว่ ่า อะไรคือความดี อะไรคือความชวั่ เปน็ เรอื่ งที่ถกเถียงกนั เพราะคนในสังคมมองความดี ความชว่ั แตกต่างกัน แตใ่ นพระพุทธศาสนา มหี ลักในการตดั สินใจไว้ดังนี้ คือ ๑. ระดบั ต่า ส่ิงใดเราทากับเขา-เขาชอบ เขาทากับเรา-เราชอบ ส่ิงนน้ั เป็นความดี สง่ิ ใดเราทา กับเขา เขาไม่ชอบ เขาทากบั เรา เราไม่ชอบ สิ่งน้ันเปน็ ความชวั่ ๒. ระดับสงู สงิ่ ใดเมื่อทาแลว้ ทาให้ผู้ทาดีข้นึ เจรญิ ข้นึ เกอ้ื กูลทัง้ ตนเองและผอู้ ่นื สิ่งนัน้ ถือได้ว่าเปน็ ความดี ส่งิ ใดเมือ่ ทาแลว้ ทาให้ผู้ทาเลวลง เสื่อมลง ทาลายตนเองและผ้อู ่ืน ส่ิงนัน้ ถอื ไดว้ ่าเปน็ ความชว่ั ๕. ระดบั การให้ผลของกรรม การให้ผลของกรรมมหี ลายระดบั ต้ังแต่หยาบท่ีสุด ถึงละเอยี ดทีส่ ุด ดังนี้.- ๑. ใหผ้ ลข้ันวัตถุ ๒. ใหผ้ ลขน้ั จริยธรรม ๓. ให้ผลข้นั จติ ใจ ๔. ให้ผลข้นั กรรมบันดาล ๖. กรรม ๑๒ ประการ หลักพระพทุ ธศาสนา ได้สอนเรื่องหลักของกรรมไว้ละเอยี ดท่ีสุด ซึ่งแบ่งตามประเภทของการให้ ผลกรรมเปน็ ๑๒ ประการ คือ ๑. กรรมใหผ้ ลตามคราว (๑) ทิฏฐิธรรมเวทนียกรรม กรรมใหผ้ ลในภพนี้ (๒) อปุ ปชั ชเวทนยี กรรม กรรมให้ผลในภพหนา้ (๓) อปราปรเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพตอ่ ๆ ไป (๔) อโหสิกรรม กรรมใหผ้ ลสาเร็จแลว้ (ยตุ ิผลกรรม)
๒. กรรมให้ผลตามกิจ (๕) ชนกกรรม กรรมแตง่ ใหเ้ กิด (๖) อปุ ตั ถัมภกรรม กรรมสนับสนุน (๗) อปุ ปฬิ กกรรม กรรมบบี คนั้ (๘) อปุ ฆาตกรรม กรรมตัดรอน ๓. กรรมให้ผลตามลาดบั (๙) ครกุ รรม กรรมหนัก (๑๐) พหลุ กรรม กรรมทีท่ าบ่อยๆ จนชิน (๑๑) อาสนั นกรรม กรรมเมื่อจวนเจยี น (ใกลต้ าย) (๑๒) กตัตตากรรม กรรมสักว่าทา ๗. สรุป กฎแหง่ กรรมเป็นเร่ืองยง่ิ ใหญ่ในชีวิตคนเรา เรื่องกรรมเป็นหัวใจของคาสอนในพระพุทธศาสนา เป็นขอ้ ปฏิบัตติ ัง้ แตต่ ่าสดุ จนถึงสงู สดุ คนที่เชอื่ กฎแหง่ กรรมทีว่ า่ ทาดีได้ดี ทาชัว่ ได้ช่วั อยา่ งแท้จรงิ จะไม่เปน็ พษิ เปน็ ภยั มแี ตจ่ ะทาตนใหเ้ ปน็ ประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยส่วนเดียว ----------
๔. มูลเหตุแห่งการประกอบกรรมดี - กรรมช่ัว ๑. ความมุ่งหมาย เพือ่ ให้ นทน. ไดท้ ราบถึงกระบวนการแหง่ การประกอบกรรมดี-กรรมชวั่ ของคนในสังคมวา่ มีสาเหตุ มาจากสิ่งใด และจะดาเนินการอย่างไรเพื่อใหท้ กุ คนทาแต่กรรมดี งดเว้นกรรมชว่ั ๒. ความหมาย การกระทาความดคี วามช่ัว ของคนในสงั คม ย่อมมีสาเหตมุ าจากสิ่งตา่ งๆ มากมาย เชน่ เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมในสังคม และอ่ืนๆ พระพทุ ธศาสนาแสดงมลู เหตุท่ชี กั นาใหบ้ คุ คลกระทาความดี ความช่วั ว่า มาจากเหตุภายในทเี่ รยี กว่า \" กศุ ลมูล และ อกุศลมูล \" กศุ ลมูล แปลว่า รากเหง่าของความดี, อกุศลมูล แปลว่า รากเหง่าของความช่วั เราจะศกึ ษา ถงึ ตน้ เหตทุ ี่บันดาลให้คนทาความดี และทาความชัว่ ต่างๆ มุ่งเข้าหาตน้ เหตขุ องความชั่วที่เรียกว่าอกศุ ลมูล มากกว่ากุศลมลู เพราะกุศลมูลก็คือสง่ิ ที่ตรงกันข้ามกบั อกุศลมลู นน่ั เอง สิง่ ที่เรียกวา่ อกศุ ลมูล กค็ อื ตัวกิเลสที่อยใู่ นจิตใจของแตล่ ะคนนัน่ เอง เม่อื แยกแล้วมี ๓ รากเหงา่ ใหญ่ๆ คอื ๑. โลภะ โลภอยากได้ของเขา ๒. โทสะ คิดประทษุ รา้ ยเขา ๓. โมหะ หลงไมร่ ้จู ริง กเิ ลส ๓ ตระกูล ร่างกายมีส่งิ เบยี ดเบียนใหเ้ สียหาย เรียกวา่ \" โรค \" จิตก็มสี งิ่ เบียดเบยี นให้เสยี หายเหมอื นกัน แตเ่ รียกวา่ \" กิเลส \" กเิ ลสมีมากมาย แตเ่ มื่อจดั เขา้ พวกตามประเภทท่ีเกิดและมอี าการต่อเนื่องกนั มี ๓ ตระกูลใหญ่ คือ ตระกูลโลภะ, ตระกูลโทสะ และ ตระกูลโมหะ ๑. กเิ ลสตระกูลโลภะ มีลกั ษณะดงั นี้.- ๑.๑ ลาดบั ของโลภะ โลภะคอื ความอยากไดส้ งิ่ ต่างๆ เปน็ ความตอ้ งการของคนทยี่ งั ไม่พอใน สมบัติ ในภาษาไทย โลภะหมายถงึ ความมกั ได้(ไม่รู้จักพอ) โลภะนี้ ถา้ ยังมีอย่นู อ้ ย(ในจิตใจคน)แสดงอาการ อ่อนๆ กม็ ชี ือ่ เรียกอยา่ งหนึ่ง ถา้ มากขน้ึ ถงึ กับแสดงอาการรนุ แรง กม็ ชี ื่อเรียกอกี อยา่ งหนง่ึ ซงึ่ มกี ารจัดกเิ ลส ตระกูลโลภะ ไวต้ ามลาดับ ดงั นี้.- ๑.๑.๑ รติ ความชอบใจ ๑.๑.๒ อจิ ฉา ความอยากได้ ๑.๑.๓ มหิจฉา ความอยากได้มาก (เหน็ แกไ่ ด้, มกั ง่าย) ๑.๑.๔ ปาปิจฉา อยากได้อยา่ งเลวๆ (ปรารถนาลามก) ๑.๑.๕ โลภะ อยากได้ในทางทจุ ริต ๑.๑.๖ อภิชฌา อยากได้ชนิดรนุ แรง ๑.๒ ความผิดเพราะโลภะ คนท่ถี กู โลภะครอบงาจิตใจแล้ว ย่อมทาผดิ เพราะความ อยากได้ดังตัวอยา่ งนคี้ อื ลักทรัพย์, รูม้ าก, เห็นแก่ตวั , ปล้น, ตู่, ฉ้อโกง, คา้ ของเถอ่ื น, คอรัปชน่ั ฯลฯ ๑.๓ โทษของโลภะ โลภะทาใหจ้ ิตใจเตม็ ไปดว้ ยความหวิ แมจ้ ะเป็นคนม่ังมีสกั เทา่ ไร ถา้ ใจละโมบ ไมร่ ู้จักพอแล้ว ก็กลายเป็นคนทุกข์ ทุกขเ์ พราะหวิ ทกุ ขย์ ง่ิ กว่าคนจนทเ่ี ขารูจ้ กั อม่ิ ใจ ความอยากได้นั้น ถ้าอยู่ในขอบเขตคอื ไมใ่ ฝท่ างทุจริต ก็เป็นประโยชน์ในการต้ังตัว แต่ความอยากที่ เป็นโลภะคือ ความอยากในทางทจุ ริต นอกจากไม่เปน็ ไปเพอื่ ประโยชน์แลว้ ยงั เป็นภัยตอ่ การดารงชวี ติ อยา่ ง ร้ายแรงอีกดว้ ย
๒. กิเลสตระกลู โทสะ มีลกั ษณะดังน้ี.- ๒.๑ ลาดับของโทสะ โทสะคอื ความคิดประทุษรา้ ย เช่น คดิ จะด่าเขา คิดจะฆ่าเขา คิดจะใส่ ร้ายเขา ฯลฯ กเิ ลสตัวโทสะน้ี ขยายตวั ขึน้ มาจากความรูส้ กึ ไม่พอใจ จนถงึ ขนั้ พยาบาท ดงั น้ี.- ๒.๑.๑ อรติ ความไมพ่ อใจ ๒.๑.๒ ปฏิฆะ ความขัดใจ ๒.๑.๓ โกธะ ความเดือดดาล ๒.๑.๔ อุปนาหะ ความผกู โกรธ (เกลยี ดใครแล้วจาไมล่ มื ) ๒.๑.๕ พยาบาท ความคิดแกแ้ คน้ ๒.๒ ความผดิ เพราะโทสะ เมอื่ โทสะครอบงาจิตใจของผใู้ ดแล้ว มันยอ่ มเรง่ เร้า รบเร้า เรง่ รดั ให้ผูน้ ัน้ กอ่ กรรมทาเข็ญในทางล้างผลาญคนอื่น เช่น ทาร้ายรา่ งกาย ขม่ เหง เผาบา้ น ฆา่ ทาลาย ส่งิ ของของคนอน่ื ให้เสียหาย ฯลฯ ลกั ษณะของโทสะ มดี งั นี้ ดา่ วา่ เหนบ็ แนม แกลง้ ใส่ร้าย ฆ่าคน ลอบวางเพลงิ ทาร้ายร่างกาย นักเลงอนั ธพาล รังแกคน ใจดาอามหติ ฯลฯ ๒.๓ โทษของโทสะ โทสะเป็นกิเลสประเภทที่ทาให้จิตร้อนรน เมื่อเกดิ ขน้ึ ในจติ ใจของ ผใู้ ดแลว้ ยอ่ มเผาผลาญความสขุ สมรรถภาพ และความดขี องผูน้ นั้ เอง แลว้ กเ็ รง่ เรา้ ใจของเขาให้ประกอบแต่ ความชั่วรา้ ยตา่ งๆ ๓. กเิ ลสตระกลู โมหะ มลี กั ษณะดงั น้ี.- ๓.๑ ลาดบั ของโมหะ โมหะแปลว่าความหลง คอื การท่ีจติ ใจหลงผิด ไม่ร้จู ักผดิ ชอบ ลักษณะ แท้จรงิ ของโมหะน้นั ไมใ่ ชค่ วามไม่รู้ ใครจะรู้มากสักเทา่ ใดไม่สาคญั ถ้าทาอะไรโดยท่จี ิตหลง ไม่มีความรู้จัก รับผิดชอบชัว่ ดี หรอื ที่เรียกว่าไมร่ ู้จักบาปบุญคุณโทษแลว้ อยา่ งน้เี รยี กวา่ จติ มโี มหะ กิเลสสายโมหะน้ี แสดง ลกั ษณะเรม่ิ ตง้ั แต่ความไม่รู้ ไปตามลาดับจนถึงความเหน็ ผิด ดังนี้.- ๓.๑.๑ อวิชชา ความไม่รู้ ๓.๑.๒ วจิ ิกจิ ฉา ความลังเลสงสัย ๓.๑.๓ อทุ ธัจจะ ความคดิ ฟุ้งซ่าน ๓.๑.๔ มจิ ฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ๓.๒ ความผิดเพราะโมหะ ความผิดทค่ี นทาเพราะโมหะ เปน็ ความผิดประเภททาไปเพราะ ความโง่หรือความไมร่ ู้ หรือร้เู ทา่ ไมถ่ ึงการณ์ เป็นความผิดชนิดลงโทษตวั เองทั้งสิ้น เชน่ หูเบา เนรคณุ เผลอเลอ เหน็ ผดิ ดื้อดา้ น ถอื รนั้ มัวเมา ฯลฯ ๓.๓ โทษของโมหะ การแสดงโทษของโมหะ เป็นการยากทีจ่ ะช้ชี ัดลงไปว่า โมหะใหโ้ ทษ อยา่ งนนั้ ๆ เพราะโมหะอาจจะทาให้คนทาความผิดไดท้ ุกอยา่ ง ทกุ โอกาส สถานท่ี ตงั้ แต่ความผิดเล็กๆ น้อยๆ ซงึ่ มีผลเพยี งนาความอับอายขายหน้ามาสู่ตนเท่านนั้ จนถงึ ความผดิ ข้นั สูงสดุ (อกุ ฤษฏ)์ คือ อนันตรยิ กรรม เพราะคนเราลงได้โง่เสยี แล้ว กเ็ ท่ากบั คนตาบอด หาความปลอดภัยไดย้ าก กศุ ลมลู คือรากเหง่าของความดี มี ๓ อย่าง ตรงกันขา้ มกับอกุศลมลู คือ ๑. อโลภะ ความไม่โลภ ๒. อโทสะ ความไมค่ ิดร้าย (ไมโ่ กรธ) ๓. อโมหะ ความไม่หลง เม่ือจะทาความดีใดๆ พึงชาระใจของตนใหพ้ ้นจากอกุศลมูลเสยี ก่อน ใจจงึ จะมมี ูลฐานแหง่ ความดี และ ความเจริญ กศุ ลมูลน้ี พึงทราบคาอธิบาย ตรงกันข้ามกับอกุศลมูลทก่ี ล่าวมาแลว้ ทุกประการ ---------------
๕. หลักการบาเพ็ญบุญในพระพุทธศาสนา ๑. ความมงุ่ หมาย เพอ่ื ให้ นทน. ทราบเรอื่ งของบุญ - บาป ตามทัศนะของพระพุทธศาสนา และแนวทางในการบาเพ็ญ บญุ เพือ่ ความสุขความเจริญของชวี ิตต่อไป ๒. ความหมายของบุญ - บาป มีคนอย่ไู มน่ ้อยเข้าใจว่า บญุ เป็นวตั ถุอะไรสักอย่างหน่งึ ซึง่ แหล่ ้อมไปกบั ผมู้ บี ญุ คอยใหผ้ ลอยา่ งมากมาย ในชาตหิ น้า และบาปก็เป็นวัตถุอีกชนิดหน่งึ หรอื เป็นบนั ทึกโทษท่ยี มบาลไดจ้ ารึกไวใ้ นหนังสนุ ัข ความจริง บญุ คอื ความดแี ห่งจิต และ บาป คือความเสยี หายแห่งจิต น่ันเอง หมายความวา่ คาวา่ \" บุญ \" ไดแ้ กส่ ภาพของจติ ที่ดขี ้ึน เจริญขน้ึ ประณีตขึ้น สูงขึน้ ส่วนคาวา่ \"บาป\" ไดแ้ กส่ ภาพของจิตท่ีต่าทรามลง เสือ่ มลง บญุ คือความสะอาดแห่งจิต เปน็ สิง่ ท่ีมคี วามสาคญั ตอ่ มนุษย์มาก เพราะเมอ่ื จติ สะอาดแลว้ จะ รสู้ ึกปลอดโปรง่ สดชน่ื เบาสบาย เป็นปัจจัยในการดาเนินชวี ติ เป็นไปอยา่ งราบร่นื ทง้ั ยังเป็นพลังสาคญั ในการ ส่งจติ เข้าสูค่ ตอิ ันดเี ม่อื วญิ ญาณออกจากรา่ งนีไ้ ปแล้ว การทาบุญในพระพุทธศาสนา เรียกว่า บญุ กิรยิ าวัตถุ มี ๒ นัย คือ ๑. บญุ กิริยาวตั ถุ ๓ ๒. บญุ กริ ิยาวตั ถุ ๑๐ บุญกิริยาวตั ถุ ๓ ๑. ทาน การให้ ๒. ศลี การรักษา กาย วาจา ให้ปกติ ๓. ภาวนา การอบรมจติ ใจ บุญกิริยาวตั ถุ ๑๐ ๑. ทานมยั บญุ สาเรจ็ ด้วยการให้ ๒. ศีลมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บุญสาเร็จดว้ ยการเจรญิ ภาวนา ๔. อปจิตยนมัย บญุ สาเร็จดว้ ยการถอ่ มตน ๕. เวยยาวัจามัย บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการชว่ ยเหลอื ๖. ปตั ตทิ านมัย บญุ สาเร็จด้วยการให้สว่ นบญุ ๗. ปตั ตานุโมทนามัย บุญสาเรจ็ ดว้ ยการอนโุ มทนาส่วนบุญ ๘. ธมั มสั สวนามยั บุญสาเร็จด้วยการฟังธรรม ๙. ธมั มเทศนามยั บุญสาเรจ็ ด้วยการสอบธรรม ๑๐. ทฏิ ฐชกุ รรม บุญสาเร็จดว้ ยการทาความเห็นให้ตรง ๓. หลกั การทาบุญ ๓ วธิ ี บุญกริ ยิ าวตั ถุ แปลว่า วธิ ที าบุญ หมายความว่า บุญคอื ความสะอาดของจติ หรอื คุณภาพอันดีของจิต เราจะทาได้ดว้ ยวิธเี หล่านีเ้ สมอ ทาด้วยการให้ทาน รกั ษาศลี เจรญิ ภาวนา และบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นี้คอื วิธี ทาบญุ ในพระพุทธศาสนา การทาบุญ หลกั ใหญ่ๆ มีเพียง ๓ วิธคี ือ การใหท้ าน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา จดุ มุ่งหมาย เพอ่ื ขจดั กิเลส ๓ ตระกูลคอื โลภะ โทสะ โมหะ ส่วนทม่ี ีบุญกริ ยิ าวตั ถุ ๑๐ นนั้ เป็นส่วนขยายของบุญกริ ิยา วตั ถุ ๓ นั่นเอง ดังนน้ั ในท่ีนจ้ี ะกลา่ วเฉพาะบญุ กริ ยิ าวัตถุ ๓ เทา่ นั้น ทาน (การให)้ ๑. ความมงุ่ หมายของการบาเพญ็ ทาน คาว่า \"ทาน\" ในทางธรรมมะท่านกล่าวถงึ หลายแห่ง โดยสรปุ มีความหมาย ๒ ประการ คือ
๑.๑ ทาน (การให)้ มุง่ ฟอกกิเลสในใจของผใู้ ห้ ๑.๒ ทาน (การให)้ มุ่งการสงเคราะห์ผู้รับ ๒. ทานสมบตั ิ คือ ความพร้อมในการใหท้ าน ประกอบดว้ ยองค์ ๓ คือ วตั ถุ เจตนา และ บคุ คล ๓. ทานวธิ ี วิธใี ห้ทานมี ๒ วธิ คี อื ให้แบบเจาะจงผู้รบั (บคุ ลกิ ทาน) และ ใหเ้ พ่อื ส่วนรวม(สังฆทาน) ๔. ลกั ษณะทาน ลกั ษณะในการใหท้ านมี ๒ อยา่ งคอื อามิสทาน ให้สิ่งของตา่ งๆ และ ธรรมทาน ใหธ้ รรมมะ ๕. ทาน ๓ ชนั้ คอื ทาสทาน ใหอ้ ยา่ งดูหม่ิน เหมือนใหแ้ กค่ นใช้ - สหายทาน ใหโ้ ดยขาดคารวะ เหมอื นให้แกเ่ พ่อื น - สามิทาน ใหด้ ว้ ยความเคารพ เหมอื นให้แก่นาย ๖. ผลของทาน - โดยตรง คอื ทาใหใ้ หบ้ ริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากการรบกวนของกเิ ลส ข้อโลภะ - โดยออ้ ม การอุทศิ ผลของทานให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว (มีปรากฏในสมยั พทุ ธกาล) ศลี การรกั ษา กาย วาจา ๑. ความหมายของศีล คาว่า \"ศีล\" แปลว่า ปรกติ ท่ีว่ารกั ษาศีลก็คือตั้งใจรกั ษาปรกติของตนนน่ั เอง หมายเอาเฉพาะศีล ๕ ส่วนศลี ทีส่ ูงกว่านน้ั มคี วามหมายต่างออกไป หมายถงึ วัตร หรือ พรต เพราะเป็นการ บาเพญ็ วตั รชัน้ สูง เกินกว่าปกติของคนทั่วไป ๒. ประเภทของศลี มี ศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗, ๓๑๑ ๓. ผลของการรกั ษาศีล มีผลท้ังแกต่ นเอง สังคม และ ประเทศชาติ ๔. วิรตั ิ การรักษาศีล ตอ้ งมีวริ ัติ ศีลจงึ จะบริสุทธิ์ดี ๔.๑ สมาทานวริ ตั ิ เจตนางดเว้นดว้ ยการสมาทานศลี ไว้ล่วงหนา้ ๔.๒ สัมปัตตวริ ตั ิ เจตนางดเวน้ เมอื่ เผชญิ กบั เหตุที่จะทาใหผ้ ดิ ศีล ๔.๓ สมุจเฉทวิรตั ิ เจตนางดเวน้ เด็ดขาดของท่านผูส้ ้นิ กเิ ลสแล้ว ภาวนา การเจริญภาวนา มีคนเปน็ จานวนมากเขา้ ใจวา่ คาว่า \"ภาวนา\" หมายถึงการนั่งสมาธิ หลบั ตา แล้วก็วา่ คาบรกิ รรมทเ่ี รยี กว่าน่งั ภาวนา จึงทาใหเ้ หน็ ไปวา่ ภาวนาเหมาะกับคนแก่ ท่ีจรงิ คาว่า ภาวนา มคี วามหมายทัง้ เบ้ืองตา่ และเบ้ืองสูง ซ่ึงเมื่อสรปุ แลว้ คาวา่ ภาวนา มีความหมาย ๔ ประการคือ ๑. การศกึ ษา ๒. การทางานดว้ ยการพินิจพเิ คราะห์ ๓. การทาจิตใหส้ งบ (สมถภาวนา) ๔. การพิจารณาไตรลกั ษณ์ (วปิ สั สนาภาวนา) การศกึ ษา เรียนหนังสอื อ่านหนังสือ ฝึกฝน ฟงั เทศน์ ไปดูงาน ไปชมศิลปะวัตถุ สนทนาหาความรู้ถาม เอาความรู้ จดบนั ทกึ แตง่ หนังสือ ฯลฯ การทางานด้วยการพนิ จิ พเิ คราะห์ ๑. รู้จกั เลือกทาแตง่ านทเี่ ป็นประโยชน์ ๒. รู้จักวางแผนงานให้เหมาะเจาะ ๓. รู้จกั ปรบั ปรุงงานให้ดีขึ้น ๔. รู้จกั ค้นคว้าทางานให้ดีขึ้น ๕. รู้จกั ตรวจตรางาน ๖. รูจ้ กั ทางานถกู กาลเทศะ ๗. รู้จักทางานใหถ้ ูกต้อง การทาใจใหส้ งบ ไดแ้ กก่ ารทาใจใหส้ งบนงิ่ เปน็ อารมณ์เดยี ว ไมว่ อกแวก ฟุง้ ซ่านไปทางอืน่ วธิ ีทา ผู้ทาตอ้ งนัง่ ขัดสมาธิ ตั้งตวั ตรง มอื ท้ังสองวางทต่ี ัก มือขวาทับมอื ซา้ ย ปลอ่ ยส่วนต่างๆ ใหเ้ ป็นไป ตามธรรมชาติ ใหเ้ ลือดลมเดินสบาย ไม่เกรง็ หลับตาแล้วนกึ บรกิ รรมอารมณ์ของกรรมฐาน (สมถะ) ๔๐ อย่าง (เวลาปฏิบัตใิ ช้อยา่ งเดียว) เชน่ \" พุทโธ ๆ \" จนจิตตัง้ มั่นไมฟ่ ุ้งซ่านไปทางอ่ืน จดจ่ออยทู่ ที่ า บริกรรมเท่านนั้ ขณะท่จี ิตอยูใ่ นอาการอย่างน้ี เรียกวา่ จิตเปน็ สมาธิ
การพจิ ารณาไตรลักษณ์ ไดแ้ ก่การเจริญภาวนาตามหลักของสติปัฏฐาน ๔ คือ พิจารณา กาย เวทนา จิตธรรม ยกขึ้นส่ไู ตรลักษณ์ คอื ไม่เทีย่ ง เป็นทุกข์ เปน็ อนัตตา ซ่งึ เรียกว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนา การเจริญวิปสั สนา คือ การใช้ปัญญาเข้าไปวจิ ัยใน\"เรา\" จนเห็นความจรงิ ว่า สิ่งท่เี รายดึ ถอื วา่ \" เรา \" นน้ั ความจรงิ มนั เปน็ อนตั ตา คอื ไม่ใช่\"เรา\" ในทสี่ ุดจะเกิดความเบือ่ หน่าย หมดความยดึ มั่น ถือมนั่ ซึง่ ถอื ว่า เป็นเป้าหมายของการเจริญวปิ ัสสนาภาวนา ---------------------
๖. คณุ ธรรมของผนู้ า ๑. ความม่งุ หมาย เพอื่ ให้ นทน. ทราบหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาเก่ยี วกบั การเป็นผ้นู าทด่ี ี และสามารถนาไป ประยกุ ตใ์ ชก้ บั การปกครอง บังคับบญั ชากาลงั พลใหม้ ีประสิทธิภาพ ๒. ความสาคัญของความเป็นผู้นา งานในสงั คมมนษุ ยท์ ่ีถือว่าสาคญั และเป็นงานบุญกุศล มี ๓ งาน คือ ๑. งานของนักปกครอง ๒. งานของครู ๓. งานของนกั บวช งานดงั กล่าวทว่ี ่าสาคญั และเป็นงานไดบ้ ญุ กุศล เพราะไดท้ าประโยชน์เกื้อกูลแก่เพือ่ นมนษุ ย์ นามาซงึ่ ความสขุ ความเจริญแก่คนทัง้ หลายเปน็ อันมาก นักปกครองคอื ผู้นาของกลมุ่ ชน หากนาไปถกู ทาง มหาชนผู้อย่อู าสัยภายใต้การบงั คับบญั ชา กไ็ ด้รบั ความสุขความเจรญิ แต่ถา้ นาไปผิด มหาชนกไ็ ดร้ บั ความทุกข์ ความเสื่อม ผู้นาท่ีดี สามารถเป็นทพ่ี ่งึ พาอาศัยของคนทง้ั หลายได้ นอกจากจะมีความรูค้ วามสามารถแล้ว ยังจะต้องประกอบดว้ ยคุณธรรมประจาใจ คือ ตอ้ งมที ง้ั วิชาความรคู้ วามสามารถดี มีคุณธรรม ความประพฤติ ปฏบิ ตั ดิ ี คณุ ธรรมสาหรับผนู้ าที่ดนี นั้ มมี ากมายหลายประการ แตเ่ พอื่ ให้เหมาะแกเ่ วลา จึงนา มาศึกษาเพียง ๖ ข้อ ดังนี้.- ๑. พรหมวิหาร ๔ ๑.๑ เมตตา ความรกั ใคร่ปรารถนาให้ผอู้ นื่ เปน็ สขุ ๑.๒ กรุณา ความสงสาร อยากช่วยใหเ้ ขาพ้นทุกข์ ๑.๓ มทุ ิตา ความพลอยยนิ ดเี ม่ือเหน็ เขาได้ดี ๑.๔ อุเบกขา ความวางเฉย มีความยุติธรรม ไมห่ วัน่ ไหวลาเอียง ๒. สังคหวัตถุ ๔ ๒.๑ ทาน ใหด้ ้วยความเอือ้ เฟอ้ื เผ่อื แผ่ ๒.๒ ปิยวาจา เจรจาไพเราะประทบั ใจ ๒.๓ อตั ถจริยา ทาสงิ่ ที่เป็นประโยชน์ ๒.๔ สมานัตตตา วางตนสมา่ เสมอไม่ถอื ตัว ๓. เวสารชั ชกรณธรรม ๕ ๓.๑ ศทั ธา เช่ือในสงิ่ ท่ีควรเชอ่ื ๓.๒ ศีล รักษากายวาจาให้เรยี บร้อย ๓.๓ พาหสุ จั จะ ความเป็นผู้ศึกษามาก ๓.๔ วิริยารมั ภะ ปรารถนาความเพยี ร ๓.๕ ปัญญา รอบรูส้ ิง่ ทคี่ วรรู้ ๔. สปั ปุรสิ ธรรม ๗ ๔.๑ ธัมมญั ญุตา ความเปน็ ผู้รู้จักเหตุ ๔.๒ อตั ถญั ญุตา ความเป็นผู้รู้จกั ผล ๔.๓ อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รจู้ ักตน ๔.๔ มัตตัญญุตา ความเปน็ ผู้รจู้ ักประมาณ ๔.๕ กาสญั ญุตา ความเป็นผรู้ ู้จกั กาล ๔.๖ ปริสญั ญตุ า ความเปน็ ผู้รจู้ ักชุมชน ๔.๗ ปุคคลปโรปริ ญั ญุตา ความเปน็ ผ้รู จู้ กั เลือกคบบคุ คล
๕. ทศพธิ ราชธรรม ๑๐ ๕.๑ ทาน การให้ ๕.๒ ศีล ศีล ๕.๓ ปริจาค การบริจาค ๕.๔ อาชชวะ ความซ่ือตรง ๕.๕ มัททวะ ความออ่ นโยน ๕.๖ ตปะ ตบะ ๕.๗ อักโกธ ความไม่โกรธ ๕.๘ อวหิ งิ สา ความไมเ่ บียดเบียน ๕.๙ ขนั ติ ความอดทน ๕.๑๐ อวโิ รธนะ ความไมค่ ลาดจากธรรม ๖. จักรวรรดวิ ตั ร ๕ ๖.๑ ธรรมาธปิ ไตย ถอื ธรรมเป็นใหญ่ ๖.๒ ธรรมกิ ารกั ขา ให้ความคุ้มครองโดยธรรม ๖.๓ มาอธรรมการ หา้ มก้ันการอันอาธรรม์ ๖.๔ ธนานุประทาน ปนั ทรัพยเ์ ฉล่ยี แกผไู้ ร้ทรัพย์ ๖.๕ สมณพราหมณปริปจุ ฉา สอบถามปรกึ ษาพระสงฆแ์ ละนกั ปราชญ์ ----------------
๗. คณุ คา่ ของพธิ กี รรม ๑. ความมงุ่ หมาย เพือ่ ให้ นทน. เห็นคุณค่าของพธิ กี รรมต่างๆ วา่ สามารถอานวยประโยชน์แก่ผปู้ ระกอบพธิ ีกรรม อยา่ งไร ทัง้ ส่วนตัวและสว่ นรวม และการปฏิบัติพิธกี รรมตา่ งๆ ในสงั คมของชาวพทุ ธท่ถี กู ต้อง ควร ปฏิบัตอิ ย่างไร ๒. คุณค่าของพิธกี รรม พิธีกรรม เปน็ ข้อกาหนดทางวัฒนธรรมและประเพณี ทม่ี นุษย์สรา้ งข้นึ และถอื ปฏิบตั สิ ืบต่อกนั มา จุดมงุ่ หมายของการประกอบพิธีกรรม กเ็ พ่ือขจัดความทกุ ข์ และสร้างความสขุ ความเจรญิ แก่ตนเอง และ หมูค่ ณะ ในการศกึ ษาหาความรเู้ กยี่ วกบั ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ยอ่ มได้รับประโยชน์ต่างๆ ดงั นคี้ อื .- ๒.๑ สามารถปฏิบัตพิ ธิ ีกรรมตา่ งๆ ไดอ้ ย่างถูกต้องตามคตนิ ิยมนน้ั ๆ เพ่อื ความสขุ ความเจริญ ท้ังแก่ ตนเอง และหมู่คณะ ๒.๒ สามารถแนะนาผอู้ ่นื ในพิธีกรรมนนั้ ๆ ได้ อนั จะนามาซง่ึ ความเคารพนับถอื และเกียรติยศ ช่อื เสียง ๒.๓ ทาให้เกิดมนุษย์สมั พนั ธท์ ด่ี ี ทงั้ แก่ตนเองและหมู่คณะ ๒.๔ เป็นการรกั ษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมและประเพณีอนั ดีงามของชาติ พิธกี รรมเปน็ เรือ่ งของวฒั นธรรมประเพณี ซงึ่ หมชู่ นนยิ มถือปฏบิ ัตกิ นั หากบุคคลใดไมม่ คี วามรู้ความ เขา้ ใจในพิธีกรรมหรอื ประเพณนี น้ั ๆ ย่อมเกิดโทษคอื .- ๑. อาจจะทาให้ปฏบิ ัตผิ ดิ ระเบียบประเพณี เป็นท่ีดหู มน่ิ เกลยี ดชังของคนท้ังหลาย ๒. บคุ คลบางประเภท ซึ่งควรจะมีความรคู้ วามเข้าใจเก่ยี วกับพธิ ีกรรมของชมุ ชน เมอ่ื ไม่รยู้ อ่ ม เกดิ ความเสยี หาย คือ ก. พอ่ บ้านแมเ่ รือน ข. ผมู้ ีอายแุ กเ่ ฒา่ ค. ผนู้ าของชุมชน พิธกี รรมตา่ งๆ ทถี่ ือปฏบิ ัตกิ นั อยู่ในสังคม เม่อื พจิ ารณาถึงลักษณะของพธิ กี รรม อาจแยกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท คือ พธิ กี รรมทางศาสนาพราหมณแ์ ละพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ ซึ่งเรานยิ มพดู วา่ \" พุทธไสย \" พธิ กี รรมทางศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาทม่ี พี ิธีกรรมมากมาย ตามคัมภีร์ไตรเภท ดงั น้ี.- ๑. ฤคเวท ว่าด้วยเทวดาต่างๆ ๒. ยชรุ เวท ว่าด้วยพธิ ีกรรม ๓. สามเวท วา่ ด้วยการเหก่ ลอน ๔. อาถรรพเวท วา่ ด้วยเวทมนต์ต่างๆ ชาวฮินดูจะต้องประกอบพิธกี รรมประจาชวี ติ ตัง้ แต่เกดิ จนตาย ถงึ ๑๗ ประการ เรียกพธิ ีนว้ี ่า \" ฮนิ ดธู รรม “ อิทธิพลของพธิ กี รรมทางศาสนาพราหมณ์ ๑. ศาสนาพราหมณ์ เข้ามาเผยแพรใ่ นภมู ิภาคแหลมทอง ประมาณปี พ.ศ.๒๐๐ และมีอทิ ธพิ ลตอ่ ประชาชนในภมู ภิ าคนี้ต้ังแต่นั้นมา ๒. เมื่อคนไทยอพยพเขา้ มาส่ภู ูมภิ าคน้ี กย็ อมรับนับถือศาสนาพราหมณ์ และรับเอาพิธีกรรมต่างๆมา ถอื ปฏบิ ตั สิ ืบมา ๓. คนไทยหนั มานบั ถอื พระพุทธศาสนา ประมาณปี พ.ศ.๑๖๐๐ และไดเ้ ปลีย่ นมาปฏบิ ัตพิ ิธกี รรมแบบ พทุ ธตงั้ แตน่ ั้นมา แตก่ ย็ งั ไม่ทิ้งพิธกี รรมแบบพราหมณ์ จึงเป็นการปฏิบัติแบบผสมผสานกนั มาโดยตลอด
๔. ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ไดม้ พี ระราชกาหนดวา่ ในพธิ ีกรรมของพราหมณท์ กุ พธิ ี จะต้องมพี ธิ ีสงฆ์เสมอ เพราะฉะนน้ั พธิ ีพุทธและพธิ พี ราหมณจ์ งึ ปะปนพงึ่ พาอาศยั กนั มาโดยตลอดจนถงึ ปจั จุบนั พธิ กี รรมทางศาสนาพทุ ธ หลักของพระพุทธศาสนาถือว่า ความสขุ ความเจริญของชีวติ ยอ่ มเกิดจากการกระทาความดี ด้วยกาย วาจา ใจ มิใช่เกิดจากการบวงสรวงออ้ นวอนใดๆ พิธีกรรมทางศาสนาพุทธ มุ่งปฏบิ ตั ิให้เปน็ ไปตามหลักบญุ กริ ยิ าวัตถุ ๓ พิธกี รรมแม้จะเป็นเพยี งเปลอื กกระพ้ขี องศาสนา แต่ก็สามารถห้มุ ห่อหลอ่ เลย้ี งศาสนาใหม้ ี อายุยนื ยาวได้ ศาสนาท่ไี มม่ ีพธิ กี รรม ก็เหมือนต้นไมท้ ไ่ี ม่มเี ปลือกไม่มีกระพ้ี ยอ่ มไม่สามารถจะมชี ีวิตอยไู่ ด้ เพราะองค์ประกอบของศาสนา จะตอ้ งมพี ธิ ีกรรมอยดู่ ว้ ย ๓. ประโยชน์ของพธิ กี รรม พธิ กี รรมทางศาสนาพุทธ หากปฏิบัตใิ ห้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ท่ีเหมาะสมแล้ว ยอ่ มอานวยประโยชน์ ให้แก่ผู้ปฏิบตั ิ และสงั คมไดเ้ ปน็ อยา่ งมาก คอื ๑. เป็นเหตุใหม้ ีการสรา้ งคณุ งามความดี เป็นบญุ กุศล ๒. ทาให้เกดิ ความเปน็ ศิรมิ งคล เป็นความสุขความเจรญิ แก่ผปู้ ฏิบัติ ๓. ทาให้เกดิ ขวัญและกาลังใจ พร้อมทีจ่ ะตอ่ สู้กบั อปุ สรรคต่างๆ ๔. ชว่ ยดารงไว้ซ่ึงวฒั นธรรมและประเพณีอนั ดงี ามของชาติ ๕. ช่วยใหเ้ กดิ ความสามคั คีของหมูค่ ณะ ๔. ขอ้ พิจารณา เน่อื งจากพธิ ีกรรมเป็นเรื่องท่ีสังคมกาหนดข้นึ ตามความเหมาะสมแก่ยุคสมัย และเก่ียวกับศรทั ธา ความเชื่อของคนในการปฏิบัตติ ่อพธิ กี รรม จงึ ควรคานงึ ถงึ ส่ิงต่างๆ ดงั นี้.- ๑. พิธกี รรม ย่อมมคี วามผดิ แผกแตกต่างกนั ไปในแต่ละท้องถน่ิ แตล่ ะชมุ ชน ผู้ปฏิบัตพิ ธิ ีจงึ ไมค่ วรยดึ มน่ั ตามความเหน็ ของตนเพียงฝา่ ยเดียว ๒. พิธีกรรมบางอย่าง ทากนั แบบตามๆ กันมา โดยไมม่ ีเหตผุ ลตามหลักธรรมของพทุ ธศาสนา หาก สามารถปรับปรุงใหถ้ ูกต้องตามคตินิยมทางพทุ ธศาสนาได้ กค็ วรทา ๓. การประกอบพิธีกรรมใดๆ ควรคานึงถึงกาละเทศะ บุคคล และเหตุผล สงิ่ ใดควรอนุโลมได้ โดยไม่ เกิดความเสยี หายแก่การประพฤตปิ ฏิบัตธิ รรม กค็ วรทา ๔. พธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา ไม่ควรจะแสดงลักษณะของความงมงาย แตค่ วรจะทาดว้ ยสติปัญญา และเหตผุ ล ๕. เนอ่ื งจากความเปลย่ี นแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ควรประกอบพธิ ีกรรมโดยวิธปี ระหยดั คือ ประหยัดคน ประหยัดเงนิ และประหยดั เวลา จึงจะเหมาะสมกับยุคปจั จบุ ัน
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: