Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชา หลักการสื่อสาร

วิชา หลักการสื่อสาร

Published by qacavalry, 2021-12-09 07:19:10

Description: วิชา หลักการสื่อสาร
รหัสวิชา ๐๑๐๒๒๗๐๕๐๓
หลักสูตร ช่างซ่อมบำรุงวิทยุประจำหน่วย
แผนกวิชาสื่อสาร กศ.รร.ม.ศม.

Search

Read the Text Version

โรงเรียนทหารม้า วชิ า หลกั การสอ่ื สาร รหัสวชิ า ๐๑๐๒๒๗๐๕๐๓ หลกั สตู ร ชา่ งซ่อมบารงุ วิทยปุ ระจาหนว่ ย แผนกวิชาสอ่ื สาร กศ.รร.ม.ศม. ปรชั ญา รร.ม.ศม. “ฝึกอบรมวชิ าการทหาร วทิ ยาการทันสมัย ธารงไวซ้ ่งึ คณุ ธรรม”

ปรชั ญา ทหารม้าเป็นทหารเหล่าหนึ่งในกองทัพบก ที่ใช้ม้าหรือส่ิงกาเนิดความเร็วอ่ืน ๆ เป็นพาหนะ เป็นเหล่าที่มีความสาคัญ และจาเป็นเหล่าหน่ึง สาหรับกองทหารขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับเหล่าทหารอ่ืน ๆ โดยมีคุณลักษณะ ที่มีความคล่องแคล่ว รวดเร็วในการเคลื่อนท่ี อานาจการยิงรุนแรง และอานาจในการทาลายและข่มขวัญ อันเป็นคณุ ลกั ษณะที่สาคัญและจาเป็นของเหลา่ โรงเรียนทหารม้า ศูนยก์ ารทหารม้า มปี รัชญาดังนี้ “ฝกึ อบรมวชิ าการทหาร วิทยาการทันสมัย ธารงไว้ซึ่งคณุ ธรรม” ปณธิ าน “ โรงเรียนทหารมา้ ศูนย์การทหารม้า มุ่งพัฒนาการฝกึ ศกึ ษา วชิ าการ และงานวิจัยเพื่อให้กาลังพลเป็นผู้มีความรู้ ทางวิชาการของเหล่า รวมท้ังเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผลิตผู้นาทางทหารท่ีดีมีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ และ สามารถนาความรู้ไปใช้ในการปฏบิ ตั ิหน้าท่ไี ด้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ” วิสัยทศั น์ “ มีความเป็นเลิศในการจัดการเรียนการสอน การบริการการศึกษา และงานวิจัยผลิตกาลังพลของเหล่าทหารม้า เพื่อเป็นกาลังหลกั ของกองทัพบก ” อตั ลกั ษณ์ “เข้มแขง็ มีวินัย ใฝ่ความรู้ เชดิ ชคู ณุ ธรรม นอ้ มนาพระราชดารัส ปฏบิ ตั ติ ามนโยบาย” เอกลกั ษณ์ “โรงเรียนทหารม้า มุ่งศึกษา องค์ความรู้ บูรณาการการรบทหารม้า ร่วมพัฒนาชาติ เพิ่มอานาจกาลังรบของ กองทัพบก” พันธกิจ ๑. พัฒนาคณุ ภาพครู อาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๒. จดั การฝึกศึกษาให้กบั กาลังพลเหล่าทหารมา้ และเหลา่ อื่นๆ ตามนโยบายของกองทัพบก ๓. ผลติ นายทหารช้นั ประทวนของเหลา่ ทหารม้า ตามทไี่ ด้รบั มอบหมาย ๔. วิจยั และพฒั นาระบบการศกึ ษา ๕. ปกครองบงั คับบัญชากาลังพลของหนว่ ย และผเู้ ข้ารับการศกึ ษาหลกั สตู รต่างๆ ๖. พฒั นาส่อื การเรยี นการสอน เอกสาร ตาราของโรงเรียนทหารม้า ๗. ทานุบารุงศิลปวฒั นธรรม วตั ถุประสงค์ ๑. เพอื่ พัฒนาครู อาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ให้กับ ผ้เู ข้ารบั การศกึ ษาได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ๒. เพ่อื พัฒนาระบบการศกึ ษา และจดั การเรยี นการสอนผา่ นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ใหม้ ีคณุ ภาพอย่างตอ่ เนื่อง ๓. เพื่อดาเนินการฝึกศึกษา ให้กับนายทหารชั้นประทวน ที่โรงเรียนทหารม้าผลิต และกาลังพลท่ีเข้ารับการศึกษา

ใหม้ คี วามรู้ความสามารถตามทหี่ นว่ ย และกองทัพบกต้องการ ๔. เพ่อื พฒั นาระบบการบริหาร และการจัดการทรัพยากรสนับสนุนการเรียนรู้ ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสดุ ๕. เพือ่ พฒั นาปรับปรงุ สอื การเรยี นการสอน เอกสาร ตารา ให้มีความทนั สมัยในการฝึกศึกษาอยา่ งตอ่ เน่อื ง ๖. เพื่อพัฒนา วิจัย และให้บริการทางวิชาการ ประสานคว ามร่วมมือ สร้างเครือข่ายทางวิชาการ กบั สถาบนั การศกึ ษา หน่วยงานอน่ื ๆ รวมท้งั การทานุบารงุ ศิลปวัฒธรรม

คำนำ เอกสารตาราวิชาสื่อสารทหารม้าเล่มน้ี ใช้เป็ นคู่มือประกอบการเรียนสาหรับนายสิบ นักเรียนหลกั สูตร นายสิบอาวุโสเหล่าทหารมา้ ซ่ึงประกอบดว้ ยเน้ือหาสาระท้งั หมด 8 บทเรียน และจะมีขอบเขตครอบคลุมในเร่ืองหลกั การส่ือสาร ท้งั น้ีเพอ่ื ใหน้ ายสิบนกั เรียนใชเ้ ป็ นแนวทางใน การวางแผนการใชง้ านทางยทุ ธวิธี และใชก้ ากับดูแลการปฏิบตั ิงานของเจา้ หน้าที่ที่เก่ียวขอ้ งกับ หน่วยอยา่ งมีประสิทธิภาพ เอกสารตาราเล่มน้ีไดร้ วบรวมจากหนงั สือของทางราชการ ไดแ้ ก่ คู่มือราชการสนาม(รส.) ทบ.ไทยท่ีเกี่ยวข้อง รวมท้ังการแปลและเรียบเรียงจากคู่มือราชการสนาม (FM) ของ ทบ. สหรฐั อเมริกา ซ่ึงในแต่ละทา้ ยบทจะระบหุ ลกั ฐานอา้ งอิงไวเ้ พอ่ื การศกึ ษาและ คน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ ตอ่ ไป หากผรู้ บั การศกึ ษาและ/หรือท่านใดก็ตามท่ีพบขอ้ บกพร่อง หรือมีขอ้ เสนอแนะ กรุณาแจง้ โดยตรงท่ี แผนกวชิ าสื่อสาร กศ.รร.ม.ศม. เพอื่ จะไดด้ าเนินการแกไ้ ขและปรบั ปรุงตอ่ ไป แผนกวชิ าส่ือสาร กองการศึกษา โรงเรียนทหารมา้ ศูนยก์ ารทหารมา้ คา่ ยอดิศร สระบุรี

เรื่อง สำรบัญ หนา้ บทที่ 1 1-9 บทท่ี 2 วชิ ำ หลกั กำรส่ือสำร สำหรับ หลกั สูตรนำยสิบอำวโุ ส 10 - 46 บทท่ี 3 47 - 60 บทท่ี 4 การส่ือสารทว่ั ไป 61 - 66 บทท่ี 5 วทิ ยเุ บ้ืองตน้ และเสาอากาศ 67 - 74 บทท่ี 6 ระเบยี บการพูดวทิ ยโุ ทรศพั ท์ 75 - 93 บทท่ี 7 การรกั ษาความปลอดภยั ทางการสื่อสาร 94 - 103 บทที่ 8 การสื่อสารในท่บี งั คบั การ 104 - 135 การสื่อสารในกองร้อยและกองพนั ทหารมา้ การสื่อสารทางยทุ ธวธิ ี คาสงั่ , บนั ทึก และรายงานการส่ือสาร ..............................

1 บทที่ 1 การสื่อสารทวั่ ไป (COMMUNICATION) 1. ความสาคญั ในการส่ือสาร ความเจริญของอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ในยคุ ปัจจุบนั บงั คบั ใหพ้ ้ืนที่ปฏิบตั ิการของหน่วยทหารตอ้ งมี ความกวา้ งขวางยง่ิ ข้ึนท้งั ทางกวา้ งและทางลึก ท้งั น้ีเพือ่ ลดอนั ตร ายจากอานาจการยงิ ของอาวธุ ในเขตพ้ืนที่ ปฏบิ ตั กิ ารที่เป็นป่ าและภูเขามีความยากลาบากในการบงั คบั บญั ชาและควบคุมสง่ั การเป็ นอยา่ งมาก การท่ีจะ บงั คบั บญั ชาและควบคุมหน่วย จึงจาเป็ นตอ้ งมีเครื่องมือสาหรับใช้ในการบงั คบั บัญชาและสั่งการท่ีมี เทคโนโลยที นั สมยั และมีประสิทธิภาพสูง ซ่ึงเคร่ืองมือน้นั ก็คือ “ เคร่ืองมือสื่อสาร ” นนั่ เอง 2. เคร่ืองมือสื่อสาร เคร่ืองมือส่ือสาร มีความมุ่งหมายเพอ่ื ใชใ้ นการรับ – ส่งข่าว แมว้ า่ เราจะอยหู่ ่างไกลเกินกวา่ เสียงของ มนุษยจ์ ะไดย้ นิ แต่เรากส็ ามารถส่งข่าวถึงกนั ไดโ้ ดยการใชต้ วั แทน หรือสญั ญาณตวั แทน อาจจะเป็ นพลนา สาร, การไปรษณีย์ หรือสตั วน์ าสารกไ็ ด้ สญั ญาณอาจจะเป็นเสียงสญั ญาณ, ทศั นสญั ญาณ หรือไฟฟ้า ก็ได้ เครื่องมือส่ือสารทใี่ ชส้ ญั ญาณ เรียกวา่ การโทรคมนาคม เคร่ืองมือสื่อสารแบ่งตามการใชท้ างทหารออกเป็ น 4 ชนิด คอื 1) การนาสาร ( Messenger ) 2) การไปรษณีย์ ( Mail ) 3) สตั วน์ าสาร ( Trained Animal ) 4) การโทรคมนาคม ( Telecommunication ) - ทศั นสญั ญาณ - เสียงสญั ญาณ - ทางสาย - วทิ ยุ ความสบั สนทเี่ กิดข้ึนบอ่ ยๆ เกี่ยวกบั เครื่องมือส่ือสารอยทู่ ี่วิธีการส่งข่าวดว้ ยเครื่องมือแต่ละชนิดท่ี มีคุณลกั ษณะแตกต่างกนั หน่วยทหารขนาดเล็กในแนวหน้าอาจใชว้ ทิ ยขุ นาดเล็ก ( Handy Talkie ) หรือ โทรศพั ทส์ นาม ในหน่วยทหารขนาดใหญ่ หรือสาหรับผบู้ งั คบั บญั ชาช้นั สูง อาจใชเ้ ครื่องอุปกรณ์ สื่อสารท่ี มีความสลบั ซับซ้อน เช่นการสื่อสารดว้ ยระบบดาวเทียม โทรพิมพ์ โทรสาร เพือ่ รับสัญญาณโทรทศั น์จาก สถานีส่งท่ีอยู่ในอากาศ เพ่ือส่งภาพถ่ายทางอากาศ และแผนท่ี รับส่งข่าวทางโทรพิมพ์ วธิ ีการส่งดังกล่าว ท้งั หมดน้ี ใชเ้ ครื่องมือประเภทไฟฟ้าซ่ึงไดแ้ ก่ ทางสาย หรือวิทยุ แมว้ ่าวธิ ีการส่งข่าวจะแตกต่างกนั แต่ เครื่องมือสื่อสารท่ีหน่วยทหารขนาดเล็กและหน่วยทหารขนาดใหญ่ใชน้ ้ัน จะได้ผลลพั ธ์เช่นเดียวกัน แตกต่างกนั ท่เี วลาเทา่ น้นั ภายในศูนยก์ ารส่ือสารน้ัน ข่าวสารส่วนมากอาจส่งโดยพลนาสาร และเคร่ืองมือ สื่อสารประเภทไฟฟ้า พลนาสารน้นั อาจเป็นพลนาสารทางบก, ทางน้า, ทางอากาศ วิธีการส่งข่าวซ่ึงใชไ้ ดท้ ้งั วงจรวทิ ยุ และทางสายน้นั ไดแ้ ก่โทรเลขเคาะดว้ ยมือ, โทรพมิ พ,์ โทรศพั ท,์ โทรสาเนา, โทรทศั น์ และการส่ง

2 ขอ้ มูลเพอ่ื ใหก้ ารส่งข่าวดาเนินไปโดยรวดเร็วศูนยก์ ารส่ือสารจะตอ้ งทราบวา่ เคร่ืองมือส่ือสารแต่ละชนิดใช้ งานไดห้ รือไม่อยา่ งไร เนื่องจากศูนยข์ ่าวซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของศนู ยก์ ารส่ือสาร มีหนา้ ท่ีในการเลือกเคร่ืองมือ ในการส่งขา่ ว ศูนยข์ ่าวจงึ ตอ้ งมี ตารางเครื่องมือส่ือสาร ( Means Chart ) ซ่ึงแสดงสถานภาพของอุปกรณ์การ ส่งขา่ วที่มีอยใู่ นศูนยก์ ารส่ือสาร ตารางน้ีเองที่ช่วยให้เจา้ หน้าท่ีในศูนยข์ ่าวสามารถเลือกเคร่ืองมือ สื่อสารที่ เหมาะสมที่สุดที่จะใชส้ ่งข่าว เนื่องจากศูนยก์ ารสื่อสารรับผดิ ชอบในการประสานการใชเ้ คร่ืองมือสื่อสาร ดังน้ันนายทหารฝ่ ายการสื่อสารและนายทหารเหล่าทหารส่ือสารทุกคน ควรจะไดม้ ีความรู้ในเร่ืองขีด ความสามารถ และขีดจากดั ของเคร่ืองมือชนิดต่าง ๆ โดยละเอียด การท่ีจะใช้เคร่ืองมือส่ือสารให้ได้ ประสิทธิผลกวา้ งขวางเพียงใด อาจถูกจากดั ดว้ ยสถานการณ์ของการรบ, ลมฟ้าอากาศ, ภูมิประเทศ,ภารกิจ ของหน่วย,ขอ้ พจิ ารณาทว่ั ๆ ไป 3. การนาสาร 3.1 พลนาสาร หรือลูกวงิ่ ( Runner ) เป็ นวิธีส่งข่าวที่เก่าท่ีสุด แมว้ ่าในปัจจุบนั เทคโนโลยสี มยั ใหม่จะ เขา้ มามีบทบาทในระบบการสื่อสารก็ตาม แต่บริการพลนาสารก็ยงั ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย และเป็ น เครื่องมือสื่อสารทีเ่ ชื่อถือได้ และปลอดภยั มากท่ีสุด ตามปกติจะใชพ้ ลนาสารเมื่อเห็นว่าการส่งข่าวดว้ ยพล นาสารน้นั เสียเวลานอ้ ยกวา่ การส่งข่าวดว้ ยเครื่องมือชนิดอื่น เร่ืองน้ีเป็ นความจริงสาหรับการส่งแผนท่ี และ คาสง่ั เป็ นจานวนมาก ๆ และการส่งข่าวที่มีความเร่งด่วนต่า เช่น ใบเบิกของ และรายงานธุรการ หรือข่าวท่ี กาหนดช้นั ความลบั ซ่ึงจะตอ้ งเขา้ การอักษรลบั ก่อนส่งดว้ ยเครื่องมือส่ือสารประเภทไฟฟ้า และถอดการ อกั ษรลบั หลงั จากรบั ขา่ วมาแลว้ พลนาสารเป็นมชั ฌมิ ที่ดีท่ีสุด สาหรับการส่งข่าวยาว ๆ ในระยะทางใกล้ ๆ เมื่อเปรียบเทยี บกบั มชั ฌิมอ่ืน ๆ แลว้ การส่งข่าวดว้ ยพลนาสารน้นั คอ่ นขา้ งชา้ และอาจเสี่ยงอนั ตรายจากการ กระทาของขา้ ศกึ ในพน้ื ทีข่ า้ งหนา้ ดว้ ย 3.2 ระบบของพลนาสาร 3.2.1 ระบบพลนาสารภายใน จดั ข้ึนเพอื่ นาส่งข่าวภายในท่ตี ้งั หน่วย 3.2.1.1 การนาส่งข่าวถึงผรู้ ับภายใน บก.หน่วย และจาก บก.หน่วยไปยงั ศูนยก์ ารสื่อสาร ใชเ้ จา้ หนา้ ทขี่ อง บก.น้นั เป็นพลนาสาร 3.2.1.2 การนาขา่ วจากศูนยก์ ารส่ือสารไปยงั บก.หน่วย ซ่ึงศูนยก์ ารส่ือสารน้นั จดั ประจา อยใู่ ชเ้ จา้ หนา้ ท่ขี องศูนยก์ ารส่ือสาร เป็นพลนาสาร 3.2.2 ระบบพลนาสารภายนอก จดั ข้ึนเพอ่ื นาส่งข่าวระหวา่ ง บก.หน่วย หรือระหวา่ งศูนยก์ าร สื่อสาร ใชเ้ จา้ หนา้ ทข่ี องศนู ยก์ ารส่ือสาร เป็นพลนาสาร 3.3 ชนิดของพลนาสาร 3.3.1 พลนาสารตามชนิดของงาน 3.3.1.1 พลนาสารตามกาหนดเวลา จะออกปฏิบตั ิงาน และกลบั ตามเวลาที่กาหนดไว้ และจะหยดุ ณ จุดต่าง ๆ ตามท่ีกาหนดไวใ้ นเส้นทางซ่ึงไดพ้ ิจารณาไวก้ ่อนแลว้ ตามปกติจะเดินทางเป็ น วงกลมไปยงั ศูนยก์ ารสื่อสาร หรือหน่วยต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ข่าวน้นั ๆ

3 3.3.1.2 พลนาสารไม่กาหนดเวลา จะออกปฏิบตั ิงานโดยไม่มีกาหนดเวลาท่ีแน่นอนตามปกติ จะใช้เม่ือยงั ไม่ได้จดั พลนาสารตามกาหนดเวลาข้ึน หรือจัดข้ึนเพ่ือเสริมพลนาสารตามกาหนดเวลา เมื่อจาเป็ นก็ได้ 3.3.1.3 พลนาสารพเิ ศษ หรือผนู้ าสารพิเศษ เป็ นพลนาสารที่จดั ข้ึนเพอื่ นาส่งข่าวท่ีตอ้ งมี การรกั ษาความปลอดภยั เป็นพเิ ศษ หรือดว้ ยเหตุผลพเิ ศษอ่ืน ตามความตอ้ งการของผบู้ งั คบั บัญชา ในกรณี ท่ขี า่ วน้นั เป็นข่าวลบั ทส่ี ุด จะตอ้ งจดั นายทหารช้นั สญั ญาบตั รเป็ นผนู้ าสารพเิ ศษ นาส่งข่าวน้นั เสมอ 3.3.2 พลนาสารตามชนิดของการขนส่ง 3.3.2.1 พลนาสารทางบก ไดแ้ ก่ พลนาสารเดินเทา้ , พลนาสารจกั รยาน,พลนาสารขี่มา้ , พลนาสารจกั รยานยนต,์ พลนาสารยานยนต์ และพลนาสารทางรถไฟ 3.3.2.2 พลนาสารทางอากาศ ท้งั เคร่ืองบนิ ปี กตดิ ลาตวั และปี กหมุน 3.3.2.3 พลนาสารทางน้า เรือพาย, เรือแจว, เรือยนต์ แพ 3.4 ขอ้ พจิ ารณาการใชก้ ารนาสาร 3.4.1 ขอ้ พจิ ารณาเก่ียวกบั บคุ คลท่ที าหนา้ ทเ่ี ป็ นพลนาสาร 3.4.1.1 ควรเป็นผทู้ ี่มีความกลา้ หาญ, ฉลาดรอบคอบและสามารถแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้า ได้ เพราะพลนาสารเป็นเคร่ืองมือสื่อสารทจี่ ดั อยใู่ นเกณฑป์ ลอดภยั มากท่สี ุด 3.4.1.2 เป็นบุคคลทม่ี ีสุขภาพดี อดทน ไม่ยอ่ ทอ้ ตอ่ อุปสรรคอนั ตรายท่ีจะเกิดข้ึน 3.4.1.3 ไดร้ บั การฝึกอบรมมาเป็ นอยา่ งดี มีความซื่อสตั ย์จงรักภกั ดี มีวนิ ยั 3.4.1.4 มีความคุน้ เคยกบั ภูมิประเทศ และสภาพลมฟ้าอากาศทจ่ี ะตอ้ งนาสารไปเป็ นอยา่ งดี 3.4.1.5 เป็นผทู้ ไี่ ดร้ ับการพสิ ูจนแ์ ลว้ วา่ เป็นผเู้ขา้ ถึงช้นั ความลบั ได้ 3.4.2 ขอ้ พจิ ารณาในการปฏิบตั ิ 3.4.2.1 มีขีดจากัด คือ ช้า และล่อแหลมจากการตรวจพบของขา้ ศึกในพ้ืนท่ีปฏิบตั ิการ โดยเฉพาะในแนวหนา้ 3.4.2.2 ไม่อานวยใหม้ ีการสนทนาระหวา่ งผสู้ ่งกบั ผรู้ บั 3.4.3 การฝึกพเิ ศษสาหรบั พลนาสาร 3.4.3.1 การอ่าน การใชแ้ ผนที่ และเขม็ ทิศ 3.1.3.2 การขบั รถในเวลากลางคนื โดยไม่ใชไ้ ฟ 3.4.3.3 กฎเกณฑเ์ ก่ียวกบั การพทิ กั ษข์ ่าวสาร 3.4.3.4 อาวธุ ประจากาย 3.4.3.5 การใชย้ านพาหนะ รวมท้งั การซ่อมดว้ ย 3.4.3.6 การจดั หน่วยทหาร และเครื่องหมายหน่วย 3.4.3.7 การใชว้ ตั ถุทาลาย 3.4.3.8 หนา้ ทข่ี องหวั หนา้ พลนาสาร

4 4. การไปรษณยี ์ การสื่อสารทางไปรษณียน์ ้ัน เป็ นการส่งข่าวโดยการจดั ต้งั ระบบการไปรษณียข์ ้ึน ตามปกตขิ ่าวทสี่ ่งทางไปรษณียม์ กั จะไม่ผา่ นศูนยก์ ารสื่อสาร เมื่อจะส่งข่าวทางไปรษณียพ์ งึ ระมดั ระวงั การ ฝ่ าฝืน ระเบยี บการรักษาความปลอดภยั ทใี่ ชบ้ งั คบั สาหรับการส่งข่าวสารทีก่ าหนดช้นั ความลบั 4.1 มกั มีบ่อย ๆ ทเ่ี จา้ ของข่าวตอ้ งการใหส้ ่งขา่ วดว้ ยเคร่ืองมือท่ีรวดเร็วไปยงั ผรู้ ับบางคน ส่วนผรู้ ับคน อ่ืน ๆ น้นั การส่งทางไปรษณียก์ ็พอแลว้ ในกรณีเช่นน้ีผูใ้ หข้ ่าวยอ่ มไดร้ ับอนุมตั ิ และไดร้ ับการสนับสนุน ใหใ้ ชก้ ารไปรษณียไ์ ด้ เมื่อจะส่งขา่ วใหผ้ รู้ ับทางไปรษณีย์ จะตอ้ งแสดงชนิดของบริการส่งขา่ วทางไปรษณีย์ ( ไปรษณียธ์ รรมดา, ไปรษณียอ์ ากาศ, ไปรษณียล์ งทะเบียน หรือ การส่งพิเศษ ) ต่อจากนามผูร้ ับ ท้งั น้ีเพ่ือ แสดงให้ศูนยก์ ารสื่อสารทราบว่า ผูร้ ับส่วนหน่ึงจะได้รับข่าวทางเครื่องมือตามที่ได้ บ่งไว้ เจา้ หน้าท่ี ผรู้ บั ผดิ ชอบทสี่ ่งข่าวทางไปรษณีย์ จะตอ้ งเซ็นนามยอ่ ไวข้ า้ งบน หรือทบั คาที่แสดงชนิดของบริการส่งข่าว ทางไปรษณีย์ ( ไปรษณียธ์ รรมดา, ไปรษณียอ์ ากาศ, ไปรษณียล์ งทะเบยี น หรือ การส่งพเิ ศษ ) 4.2 ตอ้ งไม่ส่งข่าวที่มีความเร่งด่วนข้นั ด่วน หรือสูงกวา่ ทางไปรษณีย์ ข่าวใดก็ตามที่มีความสาคญั เพยี งพอซ่ึงทาใหผ้ เู้ขยี นขา่ วกาหนดความเร่งด่วนสูงดงั กล่าวขา้ งตน้ จะตอ้ งส่งข่าวน้นั ดว้ ยเคร่ืองมือสื่อสาร ประเภทไฟฟ้า หรือประเภทอื่น ท่ีใหค้ วามรวดเร็วเวน้ แตไ่ ม่อาจส่งไดด้ ว้ ยเคร่ืองมือดงั กล่าว 5. สัตว์นาสาร 5.1 นกพิราบนาสาร ได้รับการฝึ กให้นาหลอดข่าวจากตาบลปล่อยใด ๆ ก็ไดก้ ลับไปยงั กรงเล้ียง ดงั น้นั จงึ ใชน้ กพริ าบในการส่งข่าวจากขา้ งหนา้ ไปยงั ขา้ งหลงั นกพริ าบมีน้าหนกั เบานาไปสะดวก เชื่อถือได้ มีความรวดเร็วในการบินส่งขา่ ว ประมาณ 35 ไมลต์ อ่ ชว่ั โมงและใชไ้ ดไ้ กลถึง 250 ไมล์ อยา่ งไรก็ดีการใช้ นกพริ าบตามปกติ คงใชแ้ ตใ่ นเวลากลางวนั เม่ืออากาศปลอดโปร่งเท่าน้ัน แต่นกพริ าบมกั เป็ นอนั ตรายจาก นกท่ีเป็ นศตั รูบางชนิด จากขา้ ศึกและการปฏิบตั ิต่อนกท่ีขาดความระมดั ระวงั ตามปกติจะเล้ียงนกพริ าบ เหล่าน้ีไวใ้ นกรงนกเคลื่อนที่ ณ ส่วนหลงั ของพ้ืนท่ีทาการรบ และจ่ายใหแ้ ก่หน่วยรบ โดยมีท่ีใส่นกพริ าบ ในกรณีฉุกเฉิน อาจทิ้งนกพริ าบพร้อมกรงพเิ ศษจากทางอากาศให้แก่หน่วยท่ีอยโู่ ดดเด่ียว กรงนกพิราบใน พ้นื ท่ีส่วนหน้าน้ัน ต้งั อยใู่ กลศ้ ูนยก์ ารสื่อสาร เพือ่ ให้สะดวกในการรับข่าว และส่งต่อไปโดยเครื่องมือน้ี หน่วยส่งทางอากาศ และหน่วยท่ีอย่โู ดดเดี่ยวมกั ใชน้ กพิราบนาสารเป็ นการส่ือสารหลกั ในระหว่างการ ระงบั วิทยุ พวกลาดตระเวนใชน้ กพิราบนาสารเพือ่ ส่งรายงาน และแผ่นบริวาร นอกจากน้นั ก็ใช้ นกพริ าบนาสาร เพอ่ื เป็นการประหยดั และเพม่ิ เติมการใชพ้ ลนาสาร 5.2 สุนัขนาสาร หน่วยทหารราบใชส้ ุนัขนาสารระหวา่ งหน่วยที่อยูใ่ นแนวหน้า และระหว่าง พลลาดตระเวนกบั หน่วยของตน การใชส้ ุนขั นาสารน้นั เป็ นการใชพ้ เิ ศษไม่เกี่ยวขอ้ งกบั ศนู ยก์ ารสื่อสาร 6. การโทรคมนาคม คาว่าโทรคมนาคมน้ัน ประกอบดว้ ยคาว่า โทร ซ่ึงแปลว่า ไกล ห่างไกล หรือแปลกวา้ ง ๆ ว่า การ ปฏิบตั ใิ นระยะไกล ส่วนคาวา่ คมนาคม น้นั หมายความวา่ การไปมาหาสู่กนั หรือการส่งข่าวถึงกนั ฉะน้ัน คาว่า โทรคมนาคม จึงมีความหมายว่า การส่งข่าวถึงกนั ในระยะไกล โดยอาศัยสัญญาณเป็ นตวั แทน ขอ้ ความของขา่ ว ไดแ้ ก่ โทรเลข, โทรศพั ท์ เป็นตน้ คาวา่ โทรคมนาคมน้นั มิได้ หมายถึง เครื่องมือสื่อสาร

5 ประเภทไฟฟ้าอยา่ งเดียวเท่าน้นั เสียงสญั ญาณ และทศั นสญั ญาณ ซ่ึงใชร้ ับส่งข่าวในระยะใกลก้ ว่าก็จดั เป็ น พวก โทรคมนาคมดว้ ย เคร่ืองมือส่ือสารประเภทเสียง และทศั นสัญญาณน้ันใช้ ภายในบริเวณที่ต้งั และมกั จะไม่รวมอยใู่ นจาพวกเคร่ืองรบั และส่งขา่ วของศนู ยก์ ารส่ือสาร 6.1 สญั ญาณโทรคมนาคม ไดแ้ ก่ 6.1.1 สญั ญาณคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า คอื คล่ืนวทิ ยุ ซ่ึงถูกผสมดว้ ยสญั ญาณตวั แทนของขา่ วสาร แลว้ ปล่อยกระจายออกจากสายอากาศเคร่ืองส่ง ไปยงั สายอากาศของเคร่ืองรับ ซ่ึงเคร่ืองรบั จะแปลง สญั ญาณแม่เหล็กไฟฟ้าน้ี กลบั เป็นสญั ญาณข่าวสารอีกคร้ังการกระจายคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าน้ีไม่ตอ้ งอาศยั ตวั นาไฟฟ้า 6.1.2 สญั ญาณไฟฟ้า คอื ขา่ วสาร ซ่ึงถูกแปลงเป็ นสญั ญาณทางไฟฟ้า เพอื่ ส่งไปยงั เคร่ืองรบั โดยอาศยั ทางเดิน คอื ตวั นาไฟฟ้า เช่น สายโทรศพั ท,์ สายโทรเลข 6.1.3 สญั ญาณเสียง คือ ข่าวสาร ซ่ึงถูกแปลงเป็นเสียง ซ่ึงเราสามารถฟังไดย้ นิ และแปล ความหมายออกไดเ้ ป็นขา่ วสาร การใชส้ ญั ญาณเสียง จะตอ้ งมีการตกลงกาหนดความหมายของสญั ญาณกนั ไวก้ ่อนเสมอ 6.1.4 สญั ญาณแสง มีการใช้ 2 ลกั ษณะ คือ 6.1.4.1 โดยอาศยั การมองเห็นของมนุษย์ มีลกั ษณะการใชเ้ ช่นเดียวกบั สัญญาณเสียง คือ ตอ้ งตกลงกาหนดความหมายของสัญญาณกนั ไวก้ ่อน เช่นในการใชพ้ ลุส่องแสง, สัญญาณธง, สญั ญาณมือ, แผน่ ผา้ สญั ญาณ, โคมสญั ญาณ เป็นตน้ 6.1.4.2 โดยไม่อาศยั การมองเห็นของมนุษย์ ในกรณีข่าวสารจะถูกแปลงเป็ นสญั ญาณแสง โดยเคร่ืองสญั ญาณแลว้ ส่งไปยงั เคร่ืองรบั โดยตรง หรือผา่ นไปตามใยแกว้ นาแสงก็ได้ ซ่ึงเครื่องรับจะแปลง สญั ญาณแสงกลบั เป็นสญั ญาณขา่ วสารอีกคร้งั หน่ึง 6.2 เครื่องมือส่ือสารทางโทรคมนาคม มี 4 ประเภท คอื 6.2.1 ทศั นสญั ญาณ เป็นวธิ ีการรับส่งข่าวท่ีมองเห็นไดด้ ว้ ยตา การส่ือสารประเภททศั นสญั ญาณ อาจใชโ้ คมสญั ญาณ, ธงสัญญาณ, พลุสญั ญาณ, แผ่นผา้ สัญญาณ, ไฟฉาย และอ่ืนๆ สาหรับกองทพั บกใช้ แผน่ ผา้ สญั ญาณในการพสิ ูจน์ฝ่าย และการสื่อสารระหวา่ งอากาศพ้นื ดิน ทศั นสญั ญาณเหมาะสาหรับข่าวที่ ไดเ้ ตรียมการและตกลงไวล้ ่วงหนา้ และสามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งรวดเร็วในระยะใกล้ ข้อควรระวัง ในการใชท้ ศั นสัญญาณอาจถูกขา้ ศึกทาการลวง โดยการกระทาอย่างเดียวกนั ทาให้เกิดการ เขา้ ใจผดิ ได้ จงึ ไม่ควรใชใ้ นขณะท่ีมีทศั นวสิ ยั เลวหรือมองไม่เห็นท่ตี ้งั ซ่ึงอยใู่ นเสน้ ระดบั สายตาของกนั และ กนั และการใชต้ อ้ งไม่ขดั กบั การรกั ษาความปลอดภยั ทางการสื่อสาร 6.2.2 เสียงสญั ญาณ ไดแ้ ก่การใชค้ ล่ืนเสียง เช่น นกหวดี , ไซเรน, ระฆงั , แตรเดี่ยว และอ่ืน ๆ ใช้ สาหรับการส่งข่าวส้ัน ๆ เช่นสัญญาณนัดหมายล่วงหน้า ตามปกติมักเป็ นสัญญาณแจ้งเตือน หรือ เตรียมพรอ้ ม และใชส้ าหรับการส่ือสารในกรณีฉุกเฉิน ข้อควรระวงั การใชจ้ ะตอ้ งไม่ขดั กบั การรกั ษาความปลอดภยั ทางการสื่อสาร

6 6.2.3 การส่ือสารทางสาย 6.2.3.1 ระบบทางสายเป็ นเคร่ืองมือส่ือสารประเภทไฟฟ้า ซ่ึงใชต้ วั นาไฟฟ้าเช่ือมโยง ระหวา่ ง สถานีส่งและสถานีรับ สามารถใชใ้ นภมู ิประเทศและสถานการณ์ทางยทุ ธวธิ ีไดเ้ กือบทุกรูปแบบ 6.2.3.2 การส่งข่าวด้วยระบบทางสาย ให้ความปลอดภยั มากกว่าการส่งข่าวทางวิทยุ อยา่ งไรก็ตามมิไดห้ มายความว่า ระบบทางสายสามารถประกนั ความปลอดภยั ของข่าวที่กาหนดช้ัน ความลบั ได้ ในการส่งข่าวดว้ ยวงจรทางสายเป็ นขอ้ ความธรรมดา อาจถูกดกั ฟังโดยการพว่ งวงจร 6.2.3.3 การตกลงใจท่จี ะวางการตดิ ต่อส่ือสารทางสายยอ่ มข้ึนอยกู่ บั ความจาเป็ น, เวลาที่มี อย,ู่ การส่งกาลงั เพมิ่ เติม และความตอ้ งการในอนาคต 6.2.4 การสื่อสารทางวทิ ยุ 6.2.4.1 วิทยเุ ป็ นเคร่ืองมือส่ือสารที่ใชค้ ลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งข่าวและรับข่าว ใน การตดิ ต้งั ชุดวทิ ยใุ ชง้ านจะส้ินเปลืองเวลานอ้ ยกวา่ การสื่อสารประเภททางสาย เมื่อชุดวทิ ยตุ ิดต้งั บนยาน ยนตแ์ ลว้ สามารถติดต่อส่ือสารในขณะเคล่ือนที่ได้ วทิ ยมุ ีความคล่องตวั สูงกวา่ ทางสาย ชุดวทิ ยสุ ่วน ใหญ่ท่ีมีใช้ปัจจุบนั น้ี ใช้สัญญาณการรับส่งด้วยคาพูด ทาให้สะดวกในการติดต่อส่ือสารในทุกๆ สถานท่ี 6.2.4.2 การส่ือสารประเภทวิทยุ จะล่อแหลมต่อการยิงของขา้ ศึกน้อยกว่าการสื่อสาร ประเภททางสาย แตก่ ารสื่อสารประเภทวทิ ยมุ ีจดุ อ่อนคือ จะถูกรบกวนจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าไดง้ า่ ย 6.2.4.3 การส่ือสารประเภทวิทยุ เป็ นเครื่องมือส่ือสารท่ีให้ความปลอดภยั น้อยที่สุด ใน การใชง้ านตอ้ งระลึกอยเู่ สมอวา่ ขา้ ศกึ กาลงั รับฟังการส่งขา่ วอยตู่ ลอดเวลา ดงั น้ันเม่ือใชก้ ารส่ือสารประเภท วทิ ยจุ ึงตอ้ งพจิ ารณาในเรื่องการรักษาความปลอดภยั ทางการส่ือสารเสมอ เมื่อขา้ ศึกดกั รับฟังข่าวสารทาง วทิ ยไุ ด้ กส็ ามารถจะนาไปวเิ คราะหใ์ นเร่ืองต่างๆ เช่นจานวนเครื่องวทิ ยทุ ี่กาลงั ใชง้ านอย,ู่ จานวนข่าวสารท่ี รบั ส่งกนั , ทต่ี ้งั ของสถานีวทิ ยุ ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีจะเป็ นข่าวกรองอนั มีคา่ อยา่ งเพยี งพอของขา้ ศกึ 7. เคร่ืองมือส่ือสารประเภทส่ือไฟฟ้า 7.1 โทรศพั ท์ ใช้ได้ท้งั วงจรทางสายและทางวิทยุ โทรศพั ทใ์ ห้ความรวดเร็วในการส่ือสารระหว่าง บคุ คลต่อบคุ คลและใชส้ ่งขา่ วส้นั ๆ ในการตอบโต้ แต่ไม่ใชส้ าหรับรายงานหรือคาส่ังยาว ๆ ถา้ สามารถใช้ เครื่องมือสื่อสารประเภทอ่ืนไดผ้ ลดีกวา่ 7.2 โทรเลข ใช้ส่งขอ้ ความด้วยประมวลเลขสัญญาณ โทรเลขแบบคนั เคาะดว้ ยมือเป็ นการส่งท่ี ลา้ สมยั หน่วยไม่นิยมใชแ้ ลว้ วิทยโุ ทรเลขใหค้ วามเช่ือถือมากที่สุดในการส่งข่าวทางวทิ ยใุ นระยะไกล ๆ แตต่ อ้ งใชพ้ นกั งานวทิ ยทุ ีม่ ีความชานาญจริง ๆ วทิ ยโุ ทรเลขใชเ้ ป็ นเคร่ืองมือส่ือสารหลกั ของหน่วยเคลื่อนท่ี และใชแ้ ทนโทรพมิ พใ์ นยามฉุกเฉินอีกดว้ ย 7.3 โทรพมิ พ์ ใชไ้ ดท้ ้งั วงจรทางสายและทางวทิ ยุ โทรพิมพเ์ ป็ นเครื่องที่ใชแ้ ป้นตวั อกั ษรคลา้ ย ๆ กบั เคร่ืองพมิ พด์ ีด และส่งขา่ วตามแบบพมิ พ์ ( เป็ นแผน่ หรือกระดาษแถบ ) การส่งข่าวอาจส่งโดยเป็ นตวั อกั ษร โดยตรง หรือโดยแถบปรุ โทรพมิ พส์ ามารถรับส่งขา่ วไดเ้ ป็ นจานวนมาก ๆ

7 7.4 โทรสาเนา ใชส้ ่งภาพลายเสน้ หรือวสั ดุเกี่ยวกบั ภาพ เช่น แผนท่ี, แผนภาพ และแผนผงั การดาเนิน กรรมวธิ ีในการส่งคอ่ นขา้ งชา้ ถา้ เปรียบเทยี บกบั เครื่องมือสื่อสารประเภทอ่ืน 7.5 โทรทศั น์ เป็นวธิ ีการส่ือสารประเภทไฟฟ้าชนิดหน่ึง ซ่ึงจะให้ภาพชว่ั ขณะจากของจริง หรือภาพ จากฟิ ลม์ ทีอ่ ยใู่ นระยะไกล 7.6 การส่งขอ้ มูล ในปัจจุบนั น้ี ไดม้ ีการใชร้ ะบบที่ทนั สมยั ระบบหน่ึงเรียกวา่ ระบบกรรมวธิ ีขอ้ มูล อตั โนมตั ิ ระบบน้ีใชเ้ ครื่องจกั รซ่ึงเรียกวา่ สมองอิเล็กทรอนิกส์ เป็ นส่วนประกอบที่สาคญั โดยใชร้ ่วมกบั ระบบการส่ือสาร บรรดาขา่ วสารตา่ ง ๆ จะถูกแปลงเป็ นภาษาอิเล็กทรอนิกส์ แลว้ ส่งไปยงั ปลายทางการส่ง ข่าวสารที่เป็ นขอ้ มูลตวั เลข และ/หรือตวั อักษร อาจทาเป็ นบตั รปรุแถบแม่เหล็ก หรือกระดาษแถบก็ได้ ซ่ึงการส่งขอ้ มูลน้ีสามารถส่งไดเ้ ร็วประมาณ 240 ถึง 9000 ตวั อักษรต่อนาที ระบบน้ี คือ คอมพิวเตอร์ ( Computer ) นนั่ เอง 7.7 การสื่อสารดาวเทียม ดาวเทียมส่ือสารก็ คือ สถานีทวนสัญญาณ ( Repeater ) ไมโครเวฟนนั่ เอง ดาวเทียมจะรับสญั ญาณขาข้นึ ( Up Link ) จากโลกทาการขยายให้มีความแรงมากข้ึนแลว้ ส่งสญั ญาณขาลง ( Down Link ) กลบั มายงั โลก ความถ่ีขาข้นึ กบั ความถี่ขาลงจะไม่เทา่ กนั เนื่องจากตาแหน่งของดาวเทียมอยู่ สูงจากโลกมาก ทาใหส้ ามารถครอบคลุมพ้นื ท่ไี ดก้ วา้ ง ปริมาณข่าวสารทสี่ ่งผา่ นดาวเทียมดวงหน่ึง คิดเป็ น จานวนช่องโทรศพั ทไ์ ดน้ บั แสนช่อง 8. ความรับผิดชอบต่อการสื่อสาร 8.1 ผูบ้ งั คบั บญั ชาตอ้ งรับผิดชอบในเร่ืองของการติดต้งั ( Installation ), การปฏิบตั ิงาน ( Operation ) และการซ่อมบารุง ( Maintenance ) 8.2 ผบู้ งั คบั บญั ชาหน่วยรองทกุ คนตอ้ งรับผดิ ชอบและควบคุมระบบการส่ือสารภายในหน่วยของตน ท้งั ในทางยทุ ธวธิ ีและทางเทคนิค การควบคุมในทางยทุ ธวธิ ีจะตอ้ งประกนั ไดว้ า่ ระบบการส่ือสารไดม้ ีการ วาง และดารงไวอ้ ย่างถูกตอ้ ง มีความแน่นอน เพ่ือให้ตรงกับเป้าประสงค์ที่มีความสอดคลอ้ งกับ สถานการณ์ทางยุทธวิธี ส่วนการควบคุมทางเทคนิคน้นั หมายถึง การกากับดูแลการติดต้งั , การ ปฏิบตั ิงานและการซ่อมบารุงการส่งกาลงั ของเครื่องมือสื่อสารทใ่ี ชเ้ หล่าน้นั ดว้ ย 9. กฎเกณฑ์ในการวางและการซ่อมบารุงการส่ือสารระหว่างหน่วย ความรับผดิ ชอบตอ่ การสื่อสารตอ้ งกระทาในทุกระดบั ของการบงั คบั บญั ชาและตอ้ งดารงไวซ้ ่ึง ความเหมาะสม โดยอาศยั หลกั การดงั น้ี 9.1 หน่วยเหนือวางการตดิ ต่อสื่อสารไปยงั หน่วยรองและหน่วยข้นึ สมทบ 9.2 หน่วยสนบั สนุนวางการติดตอ่ ส่ือสารไปยงั หน่วยรบั การสนบั สนุน 9.3 หน่วยเพมิ่ เตมิ กาลงั วางการตดิ ต่อส่ือสารไปยงั หน่วยรับการเพม่ิ เติมกาลงั 9.4 หน่วยเคล่ือนที่ผ่านวางการติดต่อส่ือสารไปยงั หน่วยอยกู่ บั ที่ ( เมื่อมีการผา่ นแนวในพ้นื ท่สี ่วนหนา้ ) 9.5 หน่วยอยกู่ บั ทีว่ างการตดิ ตอ่ ส่ือสารไปยงั หน่วยเคลื่อนทผี่ ่าน ( เม่ือมีการผ่านแนวในพน้ื ท่ีส่วนหลงั )

8 9.6 การวางการติดต่อส่ือสารระหวา่ งหน่วยขา้ งเคียง ผูบ้ งั คบั บญั ชาระดบั สูงข้ึนไปเป็ นผกู้ าหนดข้ึน และ/หรืออาจถูกกาหนดไวใ้ นระเบียบปฏิบตั ิประจา (รปจ.) ของหน่วยก็ได้ แต่ถา้ ไม่มีการสงั่ การและ/ หรือกาหนดไว้ ใหย้ ดึ ถือหลกั วา่ หน่วยทางซ้ายตอ้ งวางการติดต่อสื่อสารไปให้หน่วยท่ีอยทู่ างขวา (ซ้าย ไปขวา) และหน่วยขา้ งหลงั ตอ้ งวางการติดต่อสื่อสารไปใหห้ น่วยท่อี ยขู่ า้ งหนา้ (หลงั ไปหนา้ ) 9.7 ในกรณีที่การติดต่อส่ือสารระหวา่ งหน่วยเกิดขาดหาย ใหท้ ุกหน่วยปฏิบตั ิการแกไ้ ขเพ่อื ให้การ ตดิ ตอ่ สื่อสารกลบั คืนสู่สภาพการใชง้ านปกติในทนั ที โดยไม่ตอ้ งคานึงวา่ ความรับผดิ ชอบน้ันจะเป็ นของ หน่วยใด 10. วิธีการส่ือสาร 10.1 การส่ือสาร (Communication) หมายถึงวิธีการส่งข่าวใดๆ ที่ส่งเป็ นขอ้ ความธรรมดาหรือการส่ง อกั ษรลบั ซ่ึงมิไดเ้ ป็นการสนทนากนั โดยตรง วธิ ีการส่ือสาร (Means of communication) หมายถึง การใช้ เครื่องมือสื่อสารชนิดใดชนิดหน่ึงเพอื่ ส่งขา่ วจากบุคคลหน่ึงไปยงั อีกบุคคลหน่ึง หรือจากตาบลหน่ึงไปยงั อีก ตาบลหน่ึง 10.2 วธิ ีการส่ือสารของเหล่าทหารมา้ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ 1) ประเภทเสียงสญั ญาณ ( Sound ) 2) ประเภททศั นสญั ญาณ ( Visual ) 3) ประเภทการนาสาร ( Messenger ) 4) ประเภทการสื่อสารทางสาย ( Wire ) 5) ประเภทวทิ ยุ ( Radio ) 10.3 ขดี ความสามารถและ ขดี จากดั ของประเภทการส่ือสาร วิธีการส่ือสารแต่ละประเภท ยอ่ มมีขีดความสามารถและขีดจากัดต่างกนั การใช้ก็ควร ใช้ให้ สามารถสนับสนุนซ่ึงกันและกนั ได้ แต่ไม่ควรใชว้ ิธีการส่ือสารประเภทหน่ึงประเภทใดเพียงอยา่ งเดียว ระบบสื่อสารจะแน่นอนยงิ่ ข้นึ ถา้ ไดใ้ ชว้ ธิ ีการส่ือสารทกุ ประเภททีส่ ามารถอานวยใหใ้ ชไ้ ด้ 10.3.1 การจดั เคร่ืองมือส่ือสารใหแ้ ต่ละหน่วย ยอ่ มมีขีดจากดั อยทู่ ี่เจา้ หน้าที่ (Men),ยทุ ธภณั ฑ์ (Equipment) และการขนส่ง (Transportation) ซ่ึงหน่วยน้ันจะไดร้ ับตามอตั ราของหน่วยและท่ีจะไดร้ ับ จากหน่วยเหนือ 10.3.2 ในการเลือกวธิ ีการสื่อสารที่จะใชใ้ นสถานการณ์หน่ึง ๆ น้ัน ควรจะไดพ้ ิจารณาในเร่ือง คุณสมบตั ทิ างการสื่อสารท่สี าคญั ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 10.3.2.1 ความเชื่อถือได้ (Reliability) หรือความแน่นอน (Certainty) คือความแน่นอน ทจ่ี ะทาการรับ-ส่งขา่ วไดต้ ามเวลาทก่ี าหนด 10.3.2.2 ความอ่อนตัว (Flexibility) คือความง่ายในการปรับตัวเองให้เข้ากับ สิ่งแวดลอ้ มและสถานการณ์ทเ่ี ปลี่ยนแปลงไป โดยไม่เสียคุณลกั ษณะของตวั เอง

9 10.3.2.3 ความปลอดภยั หรือปกปิ ดเป็ นความลับ (Security) คือคุณภาพในการรักษา ความลบั ของขา่ วมิใหล้ ่วงรูไ้ ปถึงขา้ ศึกหรือบุคคลทไี่ ม่มีหนา้ ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 10.3.2.4 ความรวดเร็วและสิ้นเปลืองวสั ดุและแรงงานน้อยที่สุด (Speed with a mini- mum of effort and material) คือระยะเวลาท่ีใชใ้ นการปฏบิ ตั กิ ารรบั -ส่งขา่ ว 10.3.3 ตารางเปรียบเทียบคุณสมบตั ทิ างการสื่อสารของวธิ ีการส่ือสาร วธิ ี ความอ่อนตัว ความเชื่อถือ ความรวดเร็ว ความปลอดภัย เสียงสญั ญาณ พอใช้ พอใช้ พอใช้ พอใช้ ทศั นสญั ญาณ พอใช้ พอใช้ พอใช้ พอใช้ การนาสาร พอใช้ ดีมาก พอใช้ ดีมาก ประเภททางสาย พอใช้ ดี ดี ดี ประเภทวทิ ยุ ดีมาก พอใช้ ดีมาก พอใช้ ********************************** หลกั ฐานอ้างองิ : 1. รส. 24-5 การส่ือสาร พ.ศ.2535 2. นส. 24-5 การส่ือสาร พ.ศ.2536

10 บทท่ี 2 หลกั การวทิ ยุเบื้องต้น (RADIO PRINCIPLES) 1. ความสาคญั ของการส่ือสารทางวทิ ยุ ( The Principal of Radio Communication ) ในการทาสงครามแบบสมัยใหม่ สิ่งสาคัญที่จะนาไปสู่ความสาเร็จประการหน่ึง ก็คือ ความสามารถในการเคลื่อนท่ีอยา่ งรวดเร็ว ( Mobility ) ซ่ึงตอ้ งใชป้ ฏิบตั ทิ ้งั ใหค้ วามช่วยเหลือฝ่ ายเดียวกนั และต่อสูก้ บั ฝ่ายขา้ ศกึ การเคลื่อนที่อยา่ งรวดเร็วน้นั จะเกิดข้ึนไดก้ ็ต่อเม่ือหน่วยสนับสนุนการรบไดร้ ับการ แจง้ ข่าวสารอย่างรวดเร็วเช่นกัน การติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยจึงต้องมีความพร้อมสาหรับให้การ สนบั สนุนหน่วยกาลงั รบ เครื่องมือสื่อสารหลกั ท่ีใชใ้ นการบญั ชาการรบ, ควบคุมการยงิ , แลกเปล่ียน ขา่ วสาร, งานธุรการ และการติดต่อระหวา่ งภายในหน่วยต่างๆ ไดแ้ ก่ วทิ ยุ ดว้ ยคุณประโยชน์นานัปการ ของการติดต่อส่ือสารทางวิทยุ จะเป็ นปัจจยั สาคญั ทาให้เกิดความอ่อนตวั เขา้ กับการเปลี่ยนแปลงของ สถานการณ์ทางยทุ ธวธิ ีอยา่ งรวดเร็วและเหมาะสม วิทยยุ งั มีความจาเป็ นสาหรับการติดต่อสื่อสารเหนือพ้ืน น้าอนั กวา้ งใหญ่,บริเวณพน้ื ที่ท่ีถูกขา้ ศึกยดึ ครอง และในภูมิประเทศซ่ึงไม่สามารถใชก้ ารส่ือสารประเภท สายได้ นอกจากน้ียงั มีความจาเป็น สาหรับปฏิบตั กิ ารโจมตที างอากาศอีกดว้ ย 2. ขดี ความสามารถ และขดี จากดั ( Capability and Limitation ) 2.1 ขีดความสามารถของวิทยุ คือ การนาเอาความอ่อนตวั , ความปลอดภยั , การเคล่ือนท่ี และความ เชื่อถือไดข้ องวทิ ยมุ าใชใ้ หเ้ กิดประโยชนซ์ ่ึง ไดแ้ ก่ 1) วทิ ยตุ ิดต้งั ไดร้ วดเร็วกวา่ การส่ือสารประเภทสาย 2) วทิ ยเุ ม่ือตดิ ต้งั บนยานยนต,์ เคร่ืองบนิ หรือบนเรือคร้ังหน่ึงแลว้ ในการใชง้ านคร้ังตอ่ ไป ไม่จาเป็ นตอ้ งนาอุปกรณ์ต่างๆ มาติดต้งั ใหม่ ซ่ึงจะแตกต่างกบั การส่ือสารประเภทสายท่ีจะตอ้ งทาการ ติดต้งั ใหม่ทุกคร้งั เม่ือมีการเคล่ือนยา้ ยหน่วย 3) วทิ ยเุ ป็นเคร่ืองมือส่ือสารทีถ่ ูกออกแบบไวใ้ ชง้ านในการเคล่ือนท่ีท้งั ทางบก, ทางน้า และทาง อากาศ 4) วทิ ยมุ ีแบบของสญั ญาณการรบั –ส่งไดห้ ลายแบบ เช่น แบบคาพดู หรือวทิ ยโุ ทรศพั ท,์ แบบ วทิ ยโุ ทรเลข, แบบวิทยโุ ทรพมิ พ,์ แบบภาพและแบบขอ้ มูล ในแต่ละแบบสามารถที่จะรับและส่งแบบ เขา้ รหสั ไดโ้ ดยใชอ้ ุปกรณ์เพม่ิ เติมตามท่กี าหนด 5) เครื่องกีดขวางตามธรรมชาติ, สนามทุ่นระเบิด และพ้นื ทภ่ี ายใตก้ ารยดึ ครอง หรือภายใตอ้ านาจ การยงิ ของขา้ ศกึ ส่ิงดงั กล่าวน้ีจะไม่เป็นอุปสรรคในการตดิ ต่อส่ือสารทางวทิ ยุ 6) เม่ือใชเ้ ทคนิคพเิ ศษ วทิ ยสุ ามารถตดิ ต้งั ใชง้ านร่วมกบั เคร่ืองมือส่ือสารประเภทอ่ืนได้ เช่น การสนธิวทิ ยรุ ่วมทางสาย (Net Radio Interface), การใชง้ านจากทไี่ กล (Remote Control) และการส่งต่อ ( Retransmission )

11 2.2 ขีดจากดั ของวทิ ยุ ตอ้ งพจิ ารณาในสิ่งต่อไปน้ี 1) วิทยเุ ป็ นเครื่องมือส่ือสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ท่ีสามารถถูกตรวจคน้ ไดง้ ่ายที่สุด และมกั จะ ถูกรบกวนทางไฟฟ้า ท้งั โดยเจตนาและไม่เจตนาไดง้ ่ายจากฝ่ ายขา้ ศึก ดงั น้ันสภาวะภยั คุกคามในปัจจุบนั จงึ จาเป็นตอ้ งมีมาตรการตอบโตก้ ารต่อตา้ นทางอิเล็กทรอนิกส์ ( ECCM ) ที่ดี รวมถึงเทคนิคการควบคุม จากท่ีไกลอีกดว้ ย 2) วทิ ยตุ อ้ งมียา่ นความถี่ครอบคลุมกนั และสามารถปรบั ต้งั ความถ่ีใหต้ รงกนั ได้ รบั และส่งดว้ ย สญั ญาณชนิดเดียวกนั และตอ้ งอยภู่ ายในระยะการใชง้ านทีส่ ามารถตดิ ตอ่ กนั ได้ 3) วทิ ยเุ ป็นวธิ ีการติดต่อส่ือสารที่รกั ษาความปลอดภยั ในการส่งขา่ วไดน้ อ้ ยทส่ี ุด จึงตอ้ งพงึ ระลึก ไวเ้ สมอวา่ ทุกคร้ังท่ีทาการส่งออกอากาศ ถา้ ขา้ ศกึ สามารถดกั รบั ฟังได้ จะนาไปวเิ คราะห์ใชป้ ระโยชนท์ าง ข่าวกรองไดเ้ ป็นอยา่ งดี 3. ข้อพจิ ารณาการใช้วทิ ยทุ างยทุ ธวิธี ( Tactical Application ) ขอบเขตการใชว้ ิทยใุ นการปฏิบตั ิการยทุ ธข้ึนอยกู่ บั ขอ้ กาหนดในเรื่องความลบั (Secrecy) และ การจู่โจม (Surprise) ซ่ึงจะตอ้ งทาใหส้ มดุลกบั ความเร่งด่วนของการติดต่อส่ือสาร เมื่อการจู่โจมเป็ นสิ่ง สาคญั หน่วยต่างๆ จะถูกกาหนดใหอ้ ยใู่ นสถานการณ์ “งดใชว้ ิทย”ุ ต้งั แต่เร่ิมแรกจนกว่าจะปะทะขา้ ศึก จึงสามารถใชว้ ิทยไุ ด้ ในบางกรณีหน่วยเหนือสามารถใชว้ ิทยใุ นการลวง เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการ จู่โจมได้ โดยการต้งั สถานีวิทยจุ าลองข้ึน (Dummy Station) และทาการรับ–ส่งข่าวลวงในขณะท่ีหน่วย กาลงั เคล่ือนท่ีเขา้ ไปยงั พ้นื ที่ปฏิบตั กิ าร ในเวลาเดียวกนั หน่วยที่กาลงั เคล่ือนที่ก็อาจจะใชว้ ทิ ยใุ นลกั ษณะ “เงยี บรับฟัง” จนกวา่ การปะทะจะเร่ิมข้ึน ในสถานการณ์ต่อมาเมื่อหน่วยสามารถยดึ ครองพ้ืนท่ีส่วนหน่ึง ไดเ้ รียบร้อยแลว้ ใหด้ ารงการติดต่อสื่อสารทางวทิ ยตุ อ่ ไปตามปกตจิ นกวา่ การเขา้ ตีทีห่ มายต่อไปจะเริ่มข้ึน ถา้ มีหน่วยใดหน่วยหน่ึงตอ้ งเคล่ือนยา้ ยไปยงั พ้ืนท่ีแห่งใหม่ หรือไดร้ ับการสับเปล่ียนกาลงั จากอีกหน่วย หน่ึง การจดั ต้งั สถานีวทิ ยลุ วงอาจถูกกาหนดข้ึนอีก เพอ่ื ให้การปฏิบตั ิการดาเนินต่อไปอยา่ งต่อเนื่องจนกวา่ การเขา้ ตีจะเสร็จส้ินสมบูรณ์ โดยทวั่ ไปแลว้ ทนั ทีท่ีการปฏิบตั ิการเขา้ ตีเร่ิมข้ึน ขอ้ จากดั พเิ ศษเกี่ยวกบั การ ใชว้ ทิ ยจุ ะถูกยกเลิก 4. แบบของการติดต่อสื่อสาร ( Mode of Communication ) 4.1 การติดตอ่ ส่ือสารทางเดียว (Simplex) คอื การส่งข่าวโดยไม่มีการตอบรับ เครื่องส่งเม่ือออกอากาศ ไปแลว้ จะส่งไปไดไ้ กลเทา่ ใด เครื่องรบั จะรับไดห้ รือไม่ ผสู้ ่งไม่สามารถจะทราบได้

12 4.2 การติดต่อสื่อสารสองทาง (Duplex) คือ การส่งข่าวโดยมีการตอบรับ คู่สถานีจะมีท้งั เครื่องส่ง และเครื่องรับอยู่ดว้ ยกนั มีระบบการปรุงคล่ืนแบบเดียวกนั , ประเภทของสัญญาณเหมือนกัน และขณะ ตดิ ตอ่ ใชค้ วามถ่ีตรงกนั สามารถโตต้ อบในการส่งข่าวกนั ได้ เม่ือจบขอ้ ความในการส่งข่าวตอ้ งใชค้ าวา่ “ เปลี่ยน ” 4.3 การติดต่อสื่อสารสวนทาง (Full Duplex) คอื การส่งข่าวโดยมีการรับและสามารถพดู แทรกข้นึ ใน ระหวา่ งที่กาลงั ส่งข่าวอยู่ ( ลกั ษณะเช่นเดียวกบั การติดต่อทางโทรศพั ท์ ) คู่สถานีจะมีท้งั เคร่ืองรับ และ เครื่องส่งอยดู่ ว้ ยกนั และเพม่ิ เตมิ ดว้ ยเครื่องรับช่วยอีก 1 เครื่อง 5. ทฤษฎีและการแพร่กระจายคล่ืน (Theory and Propagation) 5.1 ชุดวทิ ยุ ( The Radio Set ) 5.1.1 ส่วนประกอบพ้นื ฐาน (Basic Components) ของชุดวทิ ยุ 1 ชุด ประกอบดว้ ย ส่วนประกอบ หลกั คือเครื่องส่ง และเครื่องรับอยา่ งละ 1 เคร่ือง ช้ินส่วนอ่ืนๆ ที่จาเป็ นจะจดั เป็ นส่วนประกอบชุด เช่น แหล่งจ่ายกาลงั ไฟฟ้า,เสา/สายอากาศ และปากพูด-หูฟัง ( Handset ) เป็ นตน้ หลกั การทางานในส่วนของ เครื่องส่งประกอบดว้ ยภาค Oscillator ซ่ึงทาหน้าท่ีผลิตความถี่วิทยุ (RF) ในรูปของไฟฟ้ากระแสสลบั (AC) ส่งไปยงั เสาอากาศหรือสายอากาศโดยผา่ นทางสายส่ง/สายนาสญั ญาณ (Transmission Line) เสาอากาศจะ ทาหนา้ ทเ่ี ปลี่ยนไฟฟ้ากระแสสลบั ใหเ้ ป็ นกาลงั งานแม่เหลก็ ไฟฟ้าเพอ่ื แพร่กระจายไปในอากาศ ก่อนการ ส่งออกอากาศทุกคร้ังจะมีสวิทซ์ควบคุมการทางานการส่งวทิ ยุ ในส่วนของเครื่องรับจะเร่ิมตน้ จากเสา

13 อากาศ ซ่ึงตามปกติแลว้ ชุดวิทยทุ ่ีใชง้ านทางยทุ ธวธิ ี จะใชเ้ สาอากาศเดียวกับเคร่ืองส่ง เสาอากาศทา หนา้ ที่รบั กาลงั งานคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า และเปลี่ยนเป็นความถ่ีวทิ ยใุ นรูปของไฟฟ้ากระแสสลบั สัญญาณ ความถี่วทิ ยุ ( RF ) จะถูกนาผา่ นสายส่ง ( Transmission Line ) ไปยงั เคร่ืองรับ เพ่อื เปลี่ยนเป็ นความถ่ีเสียง ( AF ) และความถี่เสียงน้ีเองก็จะถูกเปลี่ยนใหเ้ ป็นคลื่นเสียง โดยหูฟัง หรือลาโพง หมายเหตุ 1. ชุดวทิ ยทุ ีใ่ ชง้ านทางยทุ ธวธิ ี บางชุด จะตดิ ต้งั เสาอากาศของเครื่องส่ง และเคร่ืองรับ แยกจากกนั กไ็ ด้ 2. ชุดวทิ ยทุ ใ่ี ชต้ ิดต่อสื่อสารระหวา่ ง คู่สถานี ตอ้ งมีคุณลกั ษณะทางเทคนิค คอื การ ปรุงคล่ืนชนิดเดียวกนั ,ความถ่ีตรงกนั , สญั ญาณ การรับ-ส่งชนิดเดียวกนั และอยใู่ นระยะติดต่อของ ชุดวทิ ยนุ ้นั ๆ ดว้ ย รูปที่ 1 ส่วนประกอบชุดวทิ ยเุ บ้อื งตน้ 5.1.2 เครื่องส่งวทิ ยุ (Radio Transmitter) องคป์ ระกอบที่ง่ายที่สุดของเครื่องส่งวิทยุ ประกอบดว้ ย ภาคจ่ายกาลงั งานไฟฟ้า (Power Supply) และภาคผลิตความถ่ี (Oscillator) ภาคจ่ายกาลงั งานไฟฟ้าน้ัน อาจจะเป็นหมอ้ ไฟฟ้า (Battery), เครื่องกาเนิดไฟฟ้า (Generator),ไฟฟ้ากระแสสลบั พร้อมหมอ้ แปลงไฟ และไฟฟ้ากระแสตรง ส่วนภาคผลิตความถี่น้นั จะทาหนา้ ทผ่ี ลิตความถ่ีวทิ ยุ ซ่ึงจะตอ้ งมีวงจรสาหรับปรับ เครื่องส่งใหไ้ ดค้ วามถี่ใชง้ าน และภายในเคร่ืองส่งก็จะตอ้ งมีเครื่องมือควบคุมการส่งสัญญาณความถี่วทิ ยุ (RF) เช่น คนั เคาะ (Key) ซ่ึงเป็นสวทิ ซ์ชนิดหน่ึงที่ทาหนา้ ที่ควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ในขณะท่ี กดและปล่อยคนั เคาะ จะทาใหว้ งจรของภาคผลิตความถี่เปิ ด และปิ ด ตามห้วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละ คร้งั ทีก่ ดคนั เคาะ ผลของสญั ญาณ RF จะออกมาในรูปแบบของสญั ญาณส้นั และยาว (Dot and Dash) วิธีการ น้ีใชเ้ ป็นการส่งรหสั มอสสากล ( International Morse Code = IMC ) หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า คล่ืนเสมอ ( Continuous Wave = CW ) รูปท่ี 2 แผนภาพเครื่องส่งวทิ ยุ CW ธรรมดา

14 5.1.3 เคร่ืองส่งวิทยุคล่ืนเสมอ (Continuous Wave Transmitter) เคร่ืองส่งวิทยุทาหน้าที่ แพร่กระจายกาลงั งานความถ่ีวทิ ยุ (RF) ที่ถูกผลิตข้นึ ส่งออกไปในอากาศ องคป์ ระกอบของเคร่ืองส่งวทิ ยุ อาจประกอบด้วยภาคผลิตความถี่ (Oscillator) เพียงภาคเดียว (รูปท่ี 2) แต่เคร่ืองส่งส่วนใหญ่จะเพิ่ม ภาคขยายสญั ญาณ RF ข้ึนอีกไดแ้ ก่ Buffer และภาค RF Amplifier ( รูปที่ 3 ) ซ่ึงภาค Buffer จะทาหนา้ ท่ี รับสญั ญาณ RF จากภาคผลิตความถี่ (Oscillator) เพ่ือทาให้สัญญาณ RF น้ันคงท่ี แลว้ ส่งไปใหภ้ าคขยาย ความถี่วิทยุ (RF Amplifier) ซ่ึงจะทาหน้าท่ีขยายสญั ญาณ RF ให้มีความแรงมากยง่ิ ข้ึน ในการควบคุม สญั ญาณความถี่จากเคร่ืองส่งน้ัน อาจใชค้ นั เคาะ (Key) เป็ นเคร่ืองมือในการควบคุมก็ไดด้ ูรูปที่ 2 และ 3 ประกอบ รูปท่ี 3 แผนภาพเคร่ืองส่งวทิ ยุ CW เม่ือเพมิ่ ภาคขยายความถี่วทิ ยุ 5.1.4 เครื่องส่งวทิ ยโุ ทรศพั ท์ (Radiotelephone Transmitter) หรือเรียกกนั ทว่ั ไปว่าเคร่ืองส่งวทิ ยุ ซ่ึงใชใ้ นการส่งข่าวสารเป็ นคาพดู (Voice or Phone) กรรมวธิ ีในการส่งน้นั จาเป็ นตอ้ งมีวธิ ีการสาหรับ เปลี่ยนแปลงสญั ญาณทจี่ ะออกจากเคร่ืองส่ง (Output) กรรมวธิ ีดงั กล่าวน้ีสามารถกระทาได้ โดยการเพ่ิม ภาคผสมความถี่ (Modulator) และภาคเสียง (Microphone) ดูรูปที่ 4 ประกอบ เคร่ืองส่งวิทยุ หรือวทิ ยุ โทรศพั ท์ โดยทวั่ ไปแลว้ จะมีการปรุงคลื่นอยู่ 2 แบบ คือ การปรุงคลื่นแบบ AM (Amplitude Modulation) หมายถึง การผสมคล่ืนวทิ ยุ และคลื่นเสียงใหม้ ีการเปลี่ยนแปลงทางยอดคลื่น และการปรุงคลื่นแบบ FM (Frequency Modulation) หมายถึง การผสมคลื่นวิทยแุ ละคลื่นเสียงให้มีการเปล่ียนแปลงทางความถ่ี การ ปรุงคล่ืนท้งั 2 แบบ จงึ เป็นท่รี ู้จกั กนั โดยทว่ั ไปวา่ ชุดวทิ ยุ AM และชุดวทิ ยุ FM รูปท่ี 4 แผนภาพเครื่องส่งวิทยโุ ทรศัพท์ 5.1.5 เสาอากาศ (Antenna) หรือบางคร้ังอาจจะเรียกว่า สายอากาศก็ได้ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั รูปร่าง และลกั ษณะของการใชง้ าน เสาอากาศประกอบดว้ ย เสน้ ลวด หรือแท่งโลหะ ซ่ึงใชส้ าหรับท้งั เครื่องส่งวทิ ยุ และ/หรือเคร่ืองรบั วทิ ยกุ ็ได้ เสาอากาศของเคร่ืองส่งวทิ ยทุ าหนา้ ท่ีแพร่กระจายคล่ืนความถี่วทิ ยุ (RF) ออกไป

15 ในอากาศ ส่วนเสาอากาศของเครื่องรับวิทยทุ าหนา้ ที่รับคล่ืนความถ่ีวิทยุ (RF) ที่แพร่กระจายอยใู่ น อากาศเขา้ มายงั เคร่ืองรับวทิ ยุ รายละเอียดเก่ียวกบั เสาอากาศ สามารถศึกษาไดจ้ ากบทที่ 2 เรื่องเสาอากาศ 5.1.6 เคร่ืองรับวทิ ยุ (Radio Receiver) โดยทว่ั ไปสามารถรับสญั ญาณความถ่ีวทิ ยุ (RF) ได้ 2 ชนิด คอื 1.) สญั ญาณความถ่ีวิทยทุ ่ีถูกปรุงแลว้ (Modulated RF) ซ่ึงจะนาพาเสียงคาพดู , ดนตรี หรือเสียง อื่นๆ ใหไ้ ดย้ นิ ทางหูฟัง หรือลาโพง 2.) สัญญาณความถี่วทิ ยุคล่ืนเสมอ (CW) ซ่ึงจะนาพาข่าวสารใน ลกั ษณะของสญั ญาณวทิ ยเุ พยี งอยา่ งเดียว โดยวธิ ีการเขา้ รหสั สญั ญาณ Morse Code ( Dot / Dash ) 5.1.7 ภาคแยกสญั ญาณ ( Detector ) กรรมวธิ ีในการนาขอ้ ความข่าวสารออกจากสญั ญาณความถ่ี วทิ ยุ เรียกวา่ การแยกสญั ญาณ และในวงจรเคร่ืองรับวทิ ยุ จะเรียกว่า ภาคแยกสญั ญาณ ( ดูรูปท่ี 5 ) ภาค แยกสญั ญาณ (Detector) น้ีจะทาหนา้ ทแ่ี ยกเอาขอ้ ความข่าวสารออกจากคล่ืนพาห์ แลว้ นาไปใชง้ านโดยตรง หรือนาไปเขา้ ภาคขยายอีกคร้ังกไ็ ด้ หมายเหตุ ในเคร่ืองรับวทิ ยุ FM ภาคแยกสญั ญาณจะเรียกวา่ Discriminator รูปท่ี 5 แผนภาพเครื่องรบั วทิ ยุ 5.1.8 ภาคขยายความถี่วทิ ยุ (Radio Frequency Amplifier) หลงั จากที่ความถี่วทิ ยถุ ูกแพร่กระจาย พน้ จากเสาอากาศดว้ ยอตั ราความเร็วสูง และความแรงของสญั ญาณ RF ก็จะลดลงในระยะรัศมีท่ีไกล ออกไป ประกอบกบั ความถ่ีหลากหลายของสัญญาณ RF จานวนมากที่ปะปนอยใู่ นช้นั บรรยากาศก็จะ หนาแน่นอยใู่ นลาแสงของความถ่ีวิทยุ (Radio Frequency Spectrum) ดังน้ันในเคร่ืองรับวิทยจุ ึง จาเป็นตอ้ งมีภาคขยายสญั ญาณความถ่ีวทิ ยุ (RF Signal Amplifier) ไวส้ าหรบั ทาหนา้ ท่คี ดั เลือกความถ่ีวทิ ยุ ทต่ี อ้ งการใชอ้ อกจากลาแสงความถ่ีวทิ ยุ และนาสญั ญาณ RF น้นั มาขยายใหแ้ รงข้ึน เพื่อส่งใหก้ บั ภาคแยก สญั ญาณ (Detector) ดูรูปที่ 6 ตามปกติภาคขยายความถี่วทิ ยุ จะใชว้ งจรทีส่ ามารถปรบั ได้ เพอื่ คดั เลือกเอา สญั ญาณทตี่ อ้ งการออกมา ส่วนประกอบของภาคขยายความถี่วทิ ยนุ ้ีอาจใชท้ รานซิสเตอร์, หลอดวทิ ยุ หรือวงจรสมบรู ณ์(Integrated Circuits = IC) ก็ได้ รูปที่ 6 แผนภาพเคร่ืองรบั วทิ ยทุ มี่ ีภาคขยายความถี่วทิ ยุ

16 5.1.9 ภาคขยายความถี่เสียง ( Audio Frequency Amplifier ) จากกรรมวธิ ีของภาคแยก สญั ญาณ (Detector ) ท้งั ท่มี ีภาคขยายความถี่วทิ ยุ ( RF Amplifier ) และ/หรือไม่มีกต็ ามสญั ญาณความถ่ีเสียง ( AF = Audio Frequency ) ทีอ่ อกจากภาคแยกสญั ญาณจะมีความแรงทอ่ี ่อนมากในเคร่ืองรับวิทยุ จึงจาเป็ นตอ้ งมี ภาคขยายความถ่ีเสียงไวส้ าหรบั ทาหนา้ ทข่ี ยายสญั ญาณความถ่ีเสียงใหอ้ ยใู่ นระดบั ท่ีสามารถนาไปใชง้ านได้ โดยออกมาในลกั ษณะของเสียงทางหูฟัง/ลาโพง หรือทางโทรพิมพ/์ ขอ้ มูล ภาคขยายความถี่เสียง (AF Amplifier ) น้ีในเครื่องรบั วทิ ยอุ าจมีมากกวา่ 1 ภาคกไ็ ด้ รูปที่ 7 แผนภาพเครื่องรบั วทิ ยทุ ี่สมบรู ณ์ 6. คลื่นวทิ ยุ (Radio Waves) 6.1 ความเร็วของการแพร่กระจาย ( Propagation Velocity ) คลื่นวิทยเุ ดินทางใกลพ้ ้ืนผวิ โลก และยงั แพร่กระจายสู่ทอ้ งฟ้าโดยทามุมต่างๆ กบั พ้ืนผิวโลกอีกดว้ ย ( ดูรูปที่ 8 ) คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่าน้ีเดิน ทางผา่ นช้นั บรรยากาศ โดยใช้ความเร็วเท่ากบั การเดินทางของแสงมายงั พ้ืนโลก คือ ประมาณ 300,000 กม. ( 186,000 ไมล์ ) ตอ่ วนิ าที รูปท่ี 8 การแพร่กระจายของคลื่นวทิ ยจุ ากเสาอากาศในแนวต้งั ฉาก

17 6.2 ความยาวคล่ืน (Wavelength) หมายถึง ระยะทางระหวา่ งยอดคล่ืนหน่ึงไปยงั อีกยอดคลื่นหน่ึงถดั ไป หรืออาจหมายถึงความยาวของรูปคล่ืน 1 ไซเกิล ( Cycle คือ การบรรจบรอบหน่ึง 360 องศา ในทางไฟฟ้า กระแสสลบั หรือคลื่นเสียง หรือคลื่นวิทยุ ) ความยาวคลื่นใชห้ น่วยวดั เป็ นเมตรเสมอ และใชส้ ญั ลกั ษณ์ เป็น  ( Lambda ) รูปที่ 9 ความยาวคล่ืนของคล่ืนวทิ ยุ 6.3 ความถี่วิทยุ (Radio Frequency) ความถ่ีของคล่ืนวิทยจุ ะเหมือนกับจานวนรอบไซเกิล/วินาที รูป Cycle ของความถี่วทิ ยมุ ีการเปลี่ยนแปลงตามความถ่ี ถา้ ความถ่ีต่ารูป Cycle จะยาวกวา่ หมายถึง ความ ยาวคล่ืนจะยาวกว่าไปดว้ ย และถา้ ความถ่ีสูงรูป Cycle จะส้นั กว่า หมายถึง ความยาวคลื่นจะส้ันกว่าไป ดว้ ย ( ดูรูปท่ี 10 ) รูปท่ี 10 การเปรียบเทยี บคลื่นความถ่ีท่แี ตกตา่ งกนั หน่วยวดั ความถ่ี เรียกวา่ เฮิรทซ์ ( Hz = Hertz ) จานวน 1 Cycle/วนิ าที มีคา่ เท่ากบั 1 Hz เน่ืองจากความถ่ี วทิ ยมุ ีจานวน Cycle ท่สี ูงมาก โดยทวั่ ไปจงึ มกั ถูกวดั ค่าเป็นหลายพนั เฮริทซ์ เพื่อให้ง่ายต่อการใชค้ ่าหน่วย วดั ความถี่ สามารถเปรียบคา่ ความถี่ไดด้ งั น้ี 1,000 Hz = 1 KHz ( Kilohertz ) 1,000,000 Hz หรือ 1,000 KHz = 1 MHz ( Megahertz ) 1,000,000,000 Hz หรือ 1,000 MHz = 1 GHz ( Gigahertz ) 6.4 การคานวณหาค่าความถ่ี (Frequency Calculation) ค่าของความถี่เกิดจากความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ความเร็วของคลื่นวทิ ยุ (Velocity of Radio Wave) และความยาวคลื่น (Wavelength) ในส่วนของความเร็ว คล่ืนวทิ ยนุ ้นั จะมีคา่ คงทเี่ สมอไม่ว่าเครื่องส่งวิทยจุ ะส่งดว้ ยความถ่ีขนาดใดก็ตาม ค่าคงที่น้ันมีค่าเท่ากบั ความเร็วของแสง คือ 300,000,000 เมตร/วนิ าที ( 186,000 ไมล์/วนิ าที ) ส่วนค่าความยาวคลื่นจะคิดเป็ น เมตร และแทนคา่ ดว้ ยสญั ลกั ษณ์  ( Lambda ) ดงั น้นั เม่ือตอ้ งการหาค่าความถี่และ/หรือค่าความยาวคลื่น

(จาเป็นตอ้ งทราบคา่ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เช่น เมื่อตอ้ งการหาคา่ ความถี่ก็ตอ้ งทราบค่าความยาวคลื่นและ/ 18 หรือ เม่ือตอ้ งหสาูตครา่ คหวาาคมวยาามวถค่ี ลื่นกต็ อ้ ง=ทราบคา่ ควคาวคมาวถมา่ีเม)ร็สวยคาาวมลค่ืานลรวถื่นทิ คยาุนวณจากสหูตรรือดงั นF้ี = V  สูตร หาความยาวคล่ืน = ความเร็วคลื่นวทิ ยุ หรือ  = V ความถ่ี F 300,000, V 300,000 300 หรือ 1. 000 หรือ 2. F หรือ 3.  F F  ( Hz )  ( KHz )  ( MHz ) หมายเหตุ : 1) 1. เม่ือคา่ F เป็น Hz 2. เม่ือคา่ F เป็น KHz 3. เมื่อค่า F เป็น MHz 2) เม่ือตอ้ งการหาคา่ ความยาวคล่ืน()ใชน้ ิ้วหรือวสั ดุปิ ดช่อง  กจ็ ะทราบสูตรคานวณ 3) เม่ือตอ้ งการหาค่าความถี่ ( F ) ใชน้ ้ิวหรือวสั ดุปิ ดช่อง F กจ็ ะทราบสูตรคานวณ 6.5 ยา่ นความถ่ี (Frequency Bands) จากตารางท่ี 1 แสดงการแบ่งยา่ นหรือกลุ่มความถ่ี ภายในลาแสง ความถี่วทิ ยุ ( Radio Frequency Spectrum ) ทแ่ี พร่กระจายในช้นั บรรยากาศ ชุดวทิ ยทุ างยทุ ธวิธีท้งั หมดจะ ใชย้ า่ นความถี่ต้งั แต่ 2 – 400 MHz จากลาแสงความถี่วทิ ยนุ ้ี ยา่ นความถ่ี ความถี่เป็น MHz ความถี่ต่ามาก ( Very Low Frequency = VLF ) ต่ากวา่ .03 ความถี่ต่า ( Low Frequency = LF ) .03 - .3 ความถ่ีปานกลาง ( Medium Frequency = MF ) .3 – 3.0 ความถ่ีสูง ( High Frequency = HF ) 3.0 – 30 ความถ่ีสูงมาก ( Very High Frequency = VHF ) 30 – 300 ความถ่ี Ultrahigh = UHF 300 – 3,000 ความถ่ี Super high = SHF ความถี่ Extremely high = EHF 3,000 – 30,000 30,000 – 300,00 ตารางที่ 1 ยา่ นความถ่ีวทิ ยุ 6.6 คุณลกั ษณะของยา่ นความถี่ (Characteristics of Frequency Bands) จากตารางท่ี 2 แสดง คุณลกั ษณะ ที่แน่นอนของยา่ นความถี่แต่ละยา่ น ท้งั ระยะการติดต่อ และกาลงั ส่งท่ีกาหนดไวใ้ นตาราง เป็นสภาวะการใชง้ านตามปกติ (หมายถึงตอ้ งปฏิบตั ิตามข้นั ตอนการใชง้ านชุดวิทยอุ ยา่ งถูกตอ้ ง รวมท้งั

การเลือกทตี่ ้งั สถานีวทิ ยุ และการปรับทิศทางเสาอากาศตอ้ งถูกตอ้ งเหมาะสมดว้ ย)ระยะการติดต่อจะ 19 เปล่ียนไปตามสภาวะของศูนยก์ ลางการแพร่กระจายคล่ืน และกาลงั ส่งของเคร่ืองส่ง ยา่ น ระยะการตดิ ตอ่ ( Range ) กาลงั ส่งเป็นกิโลวตั ต์ ความถี่ (Power Required KW) ( Band ) คล่ืนดิน คลื่นฟ้า Ground Wave Sky Wave ไมล์ / กม. ไมล์ / กม. LF 0 – 1,000 / 0 – 1,609 500 – 8,000 / 805 – 12,872 50 ข้นึ ไป MF 0 – 100 / 0 – 161 100 – 1,500 / 161 – 2,415 .5 – 50 HF 0 – 50 / 0 – 83 100 – 8,000 / 161 – 12,872 .5 – 5 VHF 0 – 30 / 0 – 48 50 – 150 / 80.5 - 241 .5 หรือ นอ้ ยกวา่ UHF 0 – 50 / 0 – 83 XXX XXX .5 หรือ นอ้ ยกวา่ ตารางท่ี 2 คุณลกั ษณะและยา่ นความถ่ี 7.1 การแพร่กระจายคลื่นวิทยุ (Radio Wave Propagation) การเดินทางของคล่ืนวิทยจุ ากเคร่ืองส่งไป ยงั เคร่ืองรับมีอยู่ 2 ทางหลกั คือ ทางคล่ืนดิน (Ground Wave) และทางคลื่นฟ้า (Sky Wave) ดูรูปที่ 11 คลื่น ดินจะเดินทางโดยตรงจากเคร่ืองส่งไปยงั เครื่องรบั ดงั น้นั คลื่นดินจงึ ใชใ้ นการส่งในระยะใกล้ และการส่ง ในยา่ นความถี่ UHF ท้งั หมดรวมถึงยา่ น VHF ส่วนปลายดว้ ย ส่วนคลื่นฟ้าจะเดินทางข้ึนสู่ช้นั บรรยากาศ ไอโอโนสเฟียร์ ( Ionosphere ) แลว้ สะทอ้ นกลบั มายงั พ้นื โลก ดงั น้นั คล่ืนฟ้าจึงใชใ้ นการส่งในระยะไกล เป็ นหลกั รูปที่ 11 ทางเดินหลกั ของคลื่นวทิ ยุ 7.1 การแพร่กระจายคลื่นดิน (Ground Wave Propagation) การตดิ ตอ่ สื่อสารทางวทิ ยุ ซ่ึงใชก้ ารแพร่ กระจายของคลื่นดิน จะไม่ใช้ หรืออาศยั การสะทอ้ นคลื่นจากช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์ หรือ คลื่นฟ้า การแพร่กระจายของคล่ืนดินเป็นผลจากลกั ษณะทางไฟฟ้าของพน้ื โลก และจากการหกั เหของคลื่นจานวน หน่ึงตามส่วนโคง้ ของพ้ืนโลก ดงั น้ันความแรงของคลื่นดินที่จะมีผลต่อเครื่องรับ จึงข้ึนอยกู่ บั กาลงั ส่ง และความถี่ของเครื่องส่ง, รูปลกั ษณะของพ้ืนโลก และการเป็ นสื่อนาตามทางเดินของทิศทางการส่ง กระจายเสียง นอกจากน้ียงั รวมถึงสภาพอากาศประจาทอ้ งถ่ินน้นั ๆ ดว้ ย องคป์ ระกอบของคลื่นดินมีดงั น้ี

20 รูปท่ี 12 ทางเดินทเี่ ป็นไปไดข้ องคลื่นดิน 1) คลื่นตรง (Direct Wave) เป็นส่วนหน่ึงของคล่ืนวทิ ยุ ซ่ึงเดินทางตรงจากเสาอากาศเคร่ืองส่ง ไปยงั เสาอากาศเครื่องรบั ส่วนของคล่ืนตรงน้ีถูกจากดั อยใู่ นระยะเส้นแนวระดบั สายตา (Line-Of-Sight = LOS) ระหวา่ งเสาอากาศเครื่องส่งและเคร่ืองรับ และเพม่ิ ระยะข้ึนอีกเล็กนอ้ ยดว้ ยผลจากการแยกและหักเห ของคล่ืนในช้นั บรรยากาศบริเวณส่วนโคง้ ขอบพ้นื โลก ระยะเสน้ แนวระดบั สายตา ( LOS ) น้ีสามารถเพ่มิ ระยะใหไ้ กลข้ึนได้ โดยการเพมิ่ ความสูงของเสาอากาศเคร่ืองส่งและ/หรือเครื่องรับใหส้ ูงข้นึ 2) คล่ืนดินสะทอ้ น (Ground Reflected Wave) เป็ นส่วนหน่ึงของคล่ืนวทิ ยุ ซ่ึงเดินทางมาถึงเสา อากาศเคร่ืองรับภายหลงั จากการถูกสะทอ้ นจากพน้ื ผวิ โลก แต่ในกรณีเมื่อส่วนของคลื่นดินสะทอ้ น และ ส่วนของคล่ืนตรงเดินทางมาถึงเสาอากาศเคร่ืองรับในเวลาเดียวกัน และทามุมแนวระนาบ 180 องศา ซ่ึงกนั และกนั สามารถทาใหเ้ กิดการขาดหาย (Fading) ของสญั ญาณวทิ ยไุ ด้ 3) คลื่นผวิ โลก (Surface Wave) เป็ นส่วนหน่ึงของคลื่นดินที่เกาะตามผวิ โลก ซ่ึงเป็นผลทเี่ กิด จากการเป็นสื่อนา และคา่ คงท่ไี ฟฟ้าสองข้วั ของพ้นื ดิน 7.2 การแพร่กระจายคล่ืนฟ้า (Sky–Wave Propagation) การตดิ ต่อส่ือสารทางวทิ ยุ ซ่ึงใชก้ ารแพร่กระจาย ของคลื่นฟ้าน้นั จะข้ึนอยกู่ บั ช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ (Ionosphere) ทาหนา้ ทจ่ี ดั สรรทางเดินสญั ญาณ ระหวา่ งเสาอากาศเคร่ืองส่ง และเคร่ืองรับ 7.2.1 โครงสร้างช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์ (Ionosphere Structure) ไอโอโนสเฟี ยร์ เป็ นช้นั บรรยากาศทีอ่ ยถู่ ดั จากพน้ื โลกข้นึ ไป เมื่อความสูงเพม่ิ ข้นึ ความหนาแน่นของโมเลกุลในอากาศก็จะลดลง จึงทาใหเ้ กิดความแตกต่างข้ึนในช้นั บรรยากาศจากรูปที่ 13 ช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์จะแบ่งออกเป็ น 4 ช้นั โดยกาหนดดว้ ยตวั อกั ษร D, E, F1 และ F2 ในหว้ งเวลากลางวนั เม่ือรังสีของแสงอาทิตยส์ ่องตรงไปยงั ช้นั บรรยากาศส่วนน้ี ช้นั ท้งั 4 ของ ไอโอโนสเฟี ยร์ก็จะปรากฏเด่นชดั แตใ่ นหว้ งเวลากลางคืนช้นั F1 และ F2 จะรวมกนั เป็นช้นั เดียวกนั คือ ช้นั F ส่วนช้นั D และ E จะจางหายไป รายละเอียดของไอโอโนสเฟี ยร์ แตล่ ะช้นั มีดงั น้ี 1) ช้นั D ( D Layer ) เป็ นช้นั บรรยากาศทมี่ ีอยใู่ นห้วงเวลากลางวนั ที่มีแสงอาทิตยส์ ่องสวา่ ง

21 เท่าน้ัน และมีผลกระทบเล็กน้อยต่อการหักเหของทางเดินคลื่นวิทยคุ วามถ่ีสูง อยา่ งไรก็ตาม เม่ือ ทางเดินของคลื่นอย่ใู นยา่ นท่ีถูกแสงอาทิตยโ์ ดยตรง ผลกระทบที่สาคัญจากช้ันบรรยากาศ D ก็คือ คลื่นวทิ ยคุ วามถี่สูงจะถูกทาใหอ้ ่อนกาลงั ลง ระยะความสูงของช้นั D ต้งั แต่ 48 – 88 กม. ( 30 – 55 ไมล์ ) 2) ช้นั E ( E Layer ) เป็ นช้นั บรรยากาศทใี่ ชใ้ นหว้ งเวลากลางวนั สาหรบั การส่งคล่ืนวทิ ยุ ความถ่ีสูงในช่วงระยะติดต่อปานกลาง ( นอ้ ยกวา่ 2,400 กม. ) ในหว้ งเวลากลางคืนความเขม้ ของช้นั บรรยากาศ E ก็จะลดน้อยลงและไร้ประโยชน์ สาหรับการส่งคลื่นวิทยุ ระยะความสูงของช้นั E ต้งั แต่ 88 – 136 กม. ( 55 – 85 ไมล์ ) 3) ช้นั F ( F Layer ) เป็ นช้นั บรรยากาศท่มี ีอยใู่ นระยะความสูง ต้งั แต่ 136 – 400 กม. ( 85–250 ไมล์ ) เหนือพน้ื โลก และประจุไฟฟ้าของอะตอมจะถูกเปลี่ยนแปลง ( Ionized ) ตลอดเวลา ใน หว้ งเวลาของกลางวนั ช้นั บรรยากาศ F จะแบ่งยอ่ ยออกเป็ น 2 ช้นั ( F1 และF2 ) และในห้วงเวลากลางคืน จะรวมกนั เป็นช้นั เดียว ( F ) โดยเร่ิมช้นั ความสูงที่ประมาณต้งั แต่ 260 กม. ( 170 ไมล์ ) ช้นั บรรยากาศ F น้ี จะอานวยประโยชน์ สาหรับการติดต่อ สื่อสารดว้ ยวิทยใุ นระยะไกล ( มากกวา่ 2,400 กม. ) โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ช้นั บรรยากาศ F2 จะเป็นช้นั ทอ่ี านวยประโยชน์ไดม้ ากท่สี ุด สาหรับการติดต่อสื่อสารดว้ ยวทิ ยใุ น ระยะไกล ถึงแมว้ ่าระดบั ประจุไฟฟ้าของอะตอมในช้นั F2 น้ีจะถูกเปลี่ยนแปลง ( Ionization ) อยา่ งมาก ตลอดท้งั วนั กต็ าม รูปที่ 13 การแบ่งช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ 7.2.2 การเปล่ียนแปลงตามปกติของไอโอโนสเฟี ยร์ ( Regular Variation of The Ionosphere ) การหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ และการเปล่ียนแปลงการแผร่ งั สีความร้อนของดวงอาทิตยเ์ ป็ นอิทธิพล

22 ท่ีเอ้ืออานวยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของช้ันบรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์ การเปล่ียนแปลงเหล่าน้ีมีอยู่ ดว้ ยกนั 2 ประเภทใหญๆ่ คอื ประเภทปกติ ซ่ึงเป็ นการเปลี่ยนแปลงทีส่ ามารถพยากรณ์ได้ และประเภทไม่ ปกติ ซ่ึงเป็นการเปลี่ยนแปลงอนั เกิดจากการกระทาที่ผดิ ปกติของดวงอาทิตย์ การเปลี่ยนแปลงตามปกติ ทาใหเ้ กิดสิ่งต่อไปน้ี 1) กลางวนั และกลางคนื ( Day & Night or Daily ) เกิดจากการหมุนรอบตวั เองของโลก 2) ฤดูกาล ( Seasonal ) เกิดจากการโคจรของโลกรอบดวงอาทติ ย์ 3) วงรอบ 27 วนั ( 27 – Day ) เกิดจากการหมุนของดวงอาทิตยบ์ นแกนของตวั มนั เอง ซ่ึง ใชเ้ วลา 27 วนั 4) วงรอบ 11 ปี ( 11 – Year ) เกิดจากการเดินทางครบรอบไซเกิลของจุดดาบนดวงอาทิตย์ จากระดบั สูงสุดผา่ นระดบั ต่าสุด และกลบั สู่สูงสุดของความเขม้ ซ่ึงใชเ้ วลา 11 ปี 7.2.3 การเปล่ียนแปลงที่ไม่ปกตขิ องไอโอโนสเฟี ยร์ ( Irregular Variations of The Ionosphere ) ในการวางแผนระบบการติดต่อส่ือสาร จะตอ้ งนาสถานะปัจจุบนั ของการเปลี่ยนแปลงตามปกติท้งั 4 ประการมาคาดการณ์ไวล้ ่วงหนา้ นอกจากน้ียงั มีการเปล่ียนแปลงท่ีไม่ปกติ และไม่สามารถคาดการณ์ ล่วงหนา้ ได้ ซ่ึงตอ้ งนามาพจิ ารณาอีกดว้ ย การเปลี่ยนแปลงท่ีไม่ปกติน้ีมีผลตอ่ การลดประสิทธิภาพ ทาให้ เกิดช่องวา่ งของการตดิ ต่อส่ือสารในขณะน้ัน ซ่ึงเป็ นเรื่องท่ีไม่สามารถควบคุมหรือชดเชยไดใ้ นเวลาน้นั การเปล่ียนแปลงทไ่ี ม่ปกตมิ ีดงั น้ี 1) การกระจายตวั เองของช้นั บรรยากาศ E ( Sporadic E ) เม่ือเกิดการเปล่ียนแปลงทาง ประจไุ ฟฟ้าของอะตอมมากเกินไป จะทาใหบ้ รรยากาศช้นั E กระจายตวั และมีผลสะทอ้ นกลบั ของคลื่น จากช้นั ที่อยูส่ ูงกวา่ นอกจากน้ียงั สามารถทาใหเ้ กิดการแพร่กระจายสญั ญาณคลื่นไกลออกไปนบั หลาย รอ้ ยไมลเ์ กินกวา่ ระยะปกติ โดยไม่ไดค้ าดคดิ ผลกระทบลกั ษณะเช่นน้ีสามารถเกิดข้ึนไดต้ ลอดเวลา 2) การก่อกวนฉบั พลนั ของไอโอโนสเฟี ยร์ ( Sudden Ionospheric Disturbance = SID ) การก่อกวนฉับพลันน้ีเกิดข้ึนในเวลาเดียวกันกับการพุ่งประทุโชติของแสงอาทิตย์ และทาให้การ เปลี่ยนแปลงประจุไฟฟ้าของอะตอมในช้ันบรรยากาศ D ผิดจากปกติ ผลกระทบลักษณะน้ี จะทาให้ ความถ่ีท่ีสูงกว่า 1 MHz ข้ึนไปท้งั หมดถูกดูดกลืนเขา้ ไปในช้นั บรรยากาศ D ปรากฏการณ์ดงั กล่าวน้ี สามารถเกิดข้ึนไดต้ ลอดเวลา ในหว้ งเวลากลางวนั ซ่ึงอาจเกิดข้ึนเป็ นเวลานานจาก 2 – 3 นาที จนถึงหลาย ชว่ั โมงก็เป็นได้ และเม่ือเกิดข้นึ แลว้ เคร่ืองรบั จะรับสญั ญาณใดๆ ไม่ไดเ้ ลย 3) พายไุ อโอโนสเฟียร์ ( Ionospheric Storms ) ในระหวา่ งท่ีเกิดพายุ การรับคลื่นฟ้าทม่ี ี ความถี่สูงกวา่ 1.5 MHz สถานะความเขม้ ของคล่ืนจะต่า และมีแนวโนม้ จะถูกลมพายพุ ดั กระโชกและจาง หายไป ( Flutter Fading ) พายไุ อโอโนสเฟี ยร์ อาจเกิดข้นึ เป็ นหว้ งเวลายาวนาน จากหลายชว่ั โมงจนถึงเป็ น วนั ๆ และตามปกติแลว้ ก็จะแผข่ ยายออกไปเป็นบริเวณกวา้ ง ทวั่ ไป 7.2.4 คุณลกั ษณะของความถ่ีในช้นั ไอโอโนสเฟี ยร์ ( Frequency Characteristics In Ionosphere ) ระยะทางของการส่งวทิ ยรุ ะยะไกลจะข้ึนอยกู่ บั ความหนาแน่นของการเปลี่ยนแปลงทางประจุไฟฟ้าของ อะตอม ( Ionization ) ของแต่ละช้นั ในไอโอโนสเฟี ยร์เป็ นหลกั และการสะทอ้ นคลื่นวิทยกุ ลบั มายงั พ้นื

23 โลกที่ดีน้ันตอ้ งอาศยั ความถี่ที่สูงกวา่ และความหนาแน่นของการเปลี่ยนแปลงทางประจุไฟฟ้าของ อะตอมที่มากกว่าอีกดว้ ย จากคุณลกั ษณะดงั กล่าวทาใหช้ ้นั บรรยากาศ E และ F เป็ นช้นั ท่ีมีการสะทอ้ น คลื่นกลบั สู่พน้ื โลกไดด้ ีกวา่ ช้นั D เพราะช้นั บรรยากาศ D มีการเปลี่ยนแปลงทางประจุไฟฟ้าของอะตอม ( Ionized ) น้อยที่สุด และจะไม่สะทอ้ นคลื่นความถี่ที่สูงกว่า 500 KHz รูปที่ 14 แสดงทางเดินของการส่ง คลื่นฟ้า ซ่ึงสามารถแพร่กระจายออกไปไดห้ ลายทศิ ทาง เพอื่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจถึงการสะทอ้ นกลบั ของ คล่ืนฟ้าเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร จึงขอกล่าวถึงปัจจยั ที่เก่ียวขอ้ งดงั น้ี คือ “ เขตความถ่ีวกิ ฤต ” (The Critical Frequency) หมายถึง การกาหนดใหเ้ ป็นเขตสะทอ้ นกลบั มายงั พน้ื โลกของคลื่นความถ่ีวทิ ยุ ซ่ึงมีอยทู่ ุกช้นั ของ ไอโอโนสเฟี ยร์ “ มุมลาดเอียง ” ( Angle of Incidence ) หมายถึง มุมของคลื่นความถี่วิทยทุ ี่ถูก ส่งข้ึนไปยงั ช้นั ไอโอโนสเฟี ยร์ เป็ นมุมท่ีมากกวา่ หรือนอ้ ยกว่า 90 องศา, “ มุมวิกฤต ” (The Critical Angle) หมายถึง มุมของคล่ืนความถ่ีวทิ ยทุ ถ่ี ูกส่งข้ึนไปเหนือกว่าความถ่ีวิกฤต และจะสะทอ้ นกลบั มายงั พ้นื โลก ถา้ คล่ืนความถ่ีน้ันทามุมลาดเอียงเล็กกวา่ มุมท่ีแน่นอนบางมุม จากรูปท่ี 14 จะเห็นวา่ ส่วนหน่ึง ของคลื่นความถี่ทีม่ ากกวา่ ความถี่วกิ ฤต และมีมุมท่ใี หญ่กวา่ มุมวกิ ฤตคล่ืนความถ่ีวทิ ยเุ หล่าน้ีจะผา่ นทะลุ ช้นั บรรยากาศ ไอโอโนสเฟียร์ออกไปในอวกาศไม่มีการสะทอ้ นกลบั มายงั พ้ืนโลก และอีกส่วนหน่ึงท่ี อยใู่ นช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ คล่ืนความถี่วทิ ยสุ ่วนน้ีจะถูกสะทอ้ นกลบั มายงั พ้นื โลก เพราะอยใู่ น เขตความถ่ีวกิ ฤต และมีมุมลาดเอียงทีพ่ อดีไม่ใหญ่กว่ามุมวิกฤต คล่ืนความถ่ีวิทยทุ ่ีสะทอ้ นกลบั มายงั พ้นื โลกเหล่าน้ี จะอานวยประโยชน์ใหใ้ นการติดต่อส่ือสาร รูปท่ี 14 ทางเดินการส่งคล่ืนฟ้า 7.2.5 ทางเดินการส่งสัญญาณคล่ืน (Transmission Paths) การแพร่กระจายของคล่ืนฟ้าเก่ียวเนื่อง กบั การส่งคล่ืนวทิ ยุ ซ่ึงตอ้ งอาศยั ช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์ ในการจดั สรรทางเดินของสญั ญาณคลื่น ระหวา่ งเคร่ืองส่ง และเครื่องรับ ( ดงั แสดงในรูปท่ี 14 ) ระยะทางจากเสาอากาศเคร่ืองส่งไปยงั สถานที่ท่ี ซ่ึงคล่ืนฟ้าตกกระทบพน้ื โลกคร้ังแรก เรียกวา่ “ ระยะกระโดด ” (Skip Distance) ระยะกระโดดน้ีข้ึนอยกู่ บั

24 มุมลาดเอียง (Angle of Incidence), ความถี่ใชง้ าน, ความหนาแน่น และความสูงของช้นั ไอโอโนสเฟี ยร์ นอกจากน้ีความสูงของเสาอากาศท่ีมีความสัมพนั ธก์ บั ความถ่ีใชง้ านก็จะมีผลกระทบต่อมุมซ่ึงคล่ืนวิทยุ ถูกส่งออกไปปะทะและเจาะช้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์แลว้ สะทอ้ นกลบั สู่พ้นื โลก สาหรับมุมลาดเอียง น้นั สามารถควบคุมได้ เพอ่ื ใหก้ ารรับสญั ญาณท่ีตอ้ งการอยใู่ นพน้ื ทคี่ รอบคลุม การควบคุมมุมและ ทศิ ทาง การแพร่กระจายคล่ืนวทิ ยกุ ระทาได้ 2 วธิ ี คือ 1.) การทาความสูงของเสาอากาศให้ต่าลง โดยการใชเ้ ชือก ร้ังเสาอากาศ ดว้ ยวธิ ีน้ีจะมีผลในการเพ่ิมมุมการส่งคล่ืนวทิ ยอุ อกเป็ นบริเวณกวา้ ง และลดพ้นื ท่ีจุดบอด (Skip Zone) ไดม้ าก ทาใหส้ ัญญาณวิทยอุ ยใู่ นพ้ืนที่ครอบคลุมตามตอ้ งการ และ 2.) การทาความสูงของ เสาอากาศใหส้ ูงข้นึ โดยการยกหรือข้ึนเสาอากาศใหส้ ูงข้ึน ดว้ ยวธิ ีน้ีจะมีผลในการลดมุมการส่งคลื่นวทิ ยุ ใหต้ ่าลง ทาใหม้ ุมตกกระทบของคล่ืนมายงั พ้นื โลกมีมากข้ึน จึงเหมาะสาหรับการติดต่อสื่อสารในระยะไกล แต่อยา่ งไรกต็ ามผลเสียที่จะเกิดข้ึนก็คือ จะมีพ้ืนท่ีจุดบอด ( Skip Zone ) มาก รูปที่ 15 ทางเดินการส่งคล่ืนฟ้าในลกั ษณะมุมต่า เม่ือคล่ืนวทิ ยทุ ี่ส่งออกไปสะทอ้ นกลบั มายงั พน้ื โลก ส่วนหน่ึงของพลงั งานของคลื่นจะถูกดูดซึม ลงดิน และส่วนหน่ึงของพลงั งานที่เหลือจะถูกสะทอ้ นกลบั ไปยงั ช้ันบรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์ และ สะทอ้ นกลับมายงั พ้ืนโลกอีกคร้ัง และ/หรืออีกหลายคร้ังก็ได้ การส่งคลื่นวิทยุในลักษณะน้ีเป็ นการ สะท้อนกลับแบบสลับต่อเนื่องระหว่างช้ันบรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์และพ้ืนโลก ซ่ึงเรียกกันว่า “ กา้ วกระโดด ” ( Hops ) คุณลกั ษณะของคล่ืนวทิ ยกุ า้ วกระโดดสามารถทาใหร้ ะยะของการติดต่อสื่อสาร เพม่ิ ข้นึ เป็นระยะไกลมาก

25 IONOSPHERE SINGLE-HOP TTRWAON-HSMOIPSSION TRANSMISSION RECEIVER TRANSMITTER รูปท่ี 16 ทางเดินการส่งคลื่นฟ้าแบบกา้ วกระโดด 8. แบบของการปรุงคลื่น และวธิ ีการส่ง ( Types of Modulation & Methods of Transmission ) 8.1 วตั ถุประสงคห์ ลกั ของการใชเ้ ครื่องวทิ ยใุ นการติดต่อสื่อสารก็คือ ความตอ้ งการในการส่งข่าวสาร ในรูปของคาพดู ( Speech ),ขอ้ มูล ( Data ),วทิ ยโุ ทรพมิ พ์ ( RTTA ) และรหัสโทรเลข (Telegraphic Code) แต่ข่าวสารดงั กล่าวขา้ งตน้ ไม่สามารถจะทาการส่งออกไปในรูปสถานะเดิมโดยตรง จะตอ้ งถูกเปล่ียน สถานะใหเ้ ป็ นกาลงั งานไฟฟ้าความถ่ีเสียง และแพร่กระจายออกไปในช้นั บรรยากาศของโลกในรูปของ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างไรก็ตามสัญญาณความถ่ีเสียงท่ีจะใช้ในการแพร่กระจายคล่ืนน้ัน มีความ จาเป็ นตอ้ งใชเ้ สาอากาศที่ยาวมาก ตวั อยา่ งเช่น สญั ญาณความถี่เสียง 20 Hz จาเป็ นตอ้ งใชเ้ สาอากาศที่มี ความยาวถึง 8,000 กม. ซ่ึงไม่มีความเหมาะสมต่อการใชง้ าน ดังน้ันในทางปฏิบตั ิเพ่ือให้เกิดความ เหมาะสม และใชป้ ระโยชนไ์ ดด้ ี จงึ ใชก้ รรมวธิ ีผสมความถ่ีเสียงเขา้ กบั ความถี่วทิ ยุ เรียกวา่ “การปรุงคล่ืน” (Modulation) เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามถี่ที่สูงข้ึน และความยาวของเสาอากาศก็จะลดลง การส่งข่าวสารทางวทิ ยใุ ห้ได้ พ้ืนที่ครอบคลุมเป็ นบริเวณกวา้ ง จาเป็ นตอ้ งใช้เสาอากาศท่ีมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ความยาวของเสา อากาศตอ้ งเหมาะสม ( Match ) กบั ความถี่วิทยทุ ่ีใชง้ าน ท้งั น้ี เพ่อื ลดการสูญเสียกาลงั งานภายในเสา อากาศ 8.2 การปรุงคลื่น ( Modulation ) การปรุงคลื่นมีอยดู่ ว้ ยกนั 2 แบบ คือ การปรุงคลื่นทางความสูงของ คล่ืน (Amplitude Modulation = AM.) และการปรุงคลื่นทางความถี่ (Frequency Modulation = FM.) ท้งั เคร่ืองส่งแบบ AM. และ FM. จะผลิตคลื่นพาหค์ วามถ่ีวิทยุ ( RF Carrier ) ข้ึนมาซ่ึงคล่ืนพาห์น้ี ก็คือ คล่ืน ชนิดหน่ึงท่ีมีความสูงของคลื่นคงที่,ความถี่คงท่ี และช่วงระยะห่างคงท่ี คล่ืนพาห์สามารถถูกปรุง หรือ ผสมคลื่นโดยการเปล่ียนความสูงของคล่ืนของตวั มนั เอง, เปลี่ยนความถี่ของตวั มนั เอง หรือเปลี่ยนช่วง ระยะห่างของตวั มันเอง ดังน้ันคลื่นพาห์ความถ่ีวิทยุ ทาหน้าที่นาพาข่าวสาร โดยการถูกปรุงหรือผสม

26 นัน่ เอง หรือกล่าวอีกนัยหน่ึง “การปรุงคล่ืน” หมายถึง กรรมวธิ ีของการซอ้ นหรือทาบทบั ข่าวสาร (คาพดู สญั ญาณรหสั ) เขา้ กบั คล่ืนพาห์ 1) การปรุงคลื่นทางความสูงของคล่ืน (Amplitude Modulation = AM.) การปรุงคล่ืนแบบ AM. น้นั เราใช้ สญั ญาณขา่ วสาร สมมติวา่ ใหส้ ญั ญาณเสียงผสมลงบนสญั ญาณพาหะเพื่อเปลี่ยนคุณสมบตั ิทางความสูง ( หรือขนาด ) ของพาหะ ในรูปที่ 18 เราใชส้ ญั ญาณพาหะ ( ก ) ผสมกบั สญั ญาณเสียง ( ข ) ลงในวงจร นอนลิเนียร์ ( Nonlinear ) เช่น ใชไ้ ดโอดหรือทรานซิสเตอร์ โดยใหม้ ีจุดทางานอยใู่ นบริเวณที่ไม่เป็ น ลิเนียร์ ในอุปกรณ์แบบนอนลิเนียร์จะทาใหเ้ กิดสญั ญาณ AM. ดงั รูปท่ี 18 ( ค ) ข้ึน จะสังเกตวา่ สัญญาณ พาหะซ่ึงถูกปรุงแลว้ จะมีความสูง (ขนาด) เปลี่ยนแปลงตามสัญญาณเสียง สัญญาณเสียงที่ปนอยใู่ น สญั ญาณ AM. จะปรากฏเป็นกรอบคลื่น (Envelope) บน และล่าง ดงั เช่นรูปท่ี 19 ( ก ) เป็นสญั ญาณเสียงที่ มีความสูงขนาดหน่ึง โดยรูปท่ี 19 ( ข ) คือ สัญญาณ AM. ที่มีสัญญาณเสียงในรูปท่ี 19 ( ก ) ผสมอยู่ ในทางตรงขา้ มถา้ สญั ญาณเสียงมีขนาดเล็กลง ดงั รูปที่ 19 ( ค ) สญั ญาณ AM. ที่เกิดข้ึนก็จะมีกรอบ ( การเปล่ียนแปลงทางความสูง ) เล็กลงดว้ ย ดงั รูปที่ 19 ( ง )

27 สญั ญาณเสียง ที่เขา้ ไปผสม รูปท่ี 18 การปรุงคล่ืนทางความสูง โดยใชอ้ ุปกรณ์นอนลิเนียร์ สัญญาณเสียง ที่เขา้ ไปผสม รูปท่ี 19 การใชส้ ญั ญาณเสียงทีม่ ีขนาดมาก และนอ้ ย เพอื่ ผสมบนคลื่นพาหะ

28 2) การปรุงคล่ืนทางความถี่ของคลื่น (Frequency Modulation) รูปคลื่นของสญั ญาณ FM. เกิดจาก สญั ญาณการปรุงคลื่น ดงั รูปที่ 20 ( ก ) เช่น สญั ญาณเสียง ซ่ึงเป็นขา่ วสารเขา้ ไปผสมลงบนสญั ญาณพาหะ ดงั รูปที่ 20 ( ข ) สัญญาณพาหะหลงั จากผสมแลว้ ในรูปท่ี 20 ( ค ) เป็ นสญั ญาณ FM. จะเห็นว่ามีเวลา t0 สญั ญาณ FM. อยมู่ ี่ความถ่ีกลาง เมื่อสญั ญาณท่ีเขา้ มาผสมมีค่าทางบวกสูงสุด ความถ่ีของพาหะจะเพิ่มข้ึน สูงสุด นนั่ คือ สญั ญาณการปรุงคล่ืนถึงจุดยอดสุด ( สญั ญาณการปรุงคล่ืนมีขนาดสูงสุดนนั่ เอง ) ทีเ่ วลา t1 รูปท่ี 20 การปรุงคล่ืนทางความถ่ี 20 การปรุงคล่ืนทางความถี่ ทเี่ วลา t2 สญั ญาณการปรุงคลื่นลดลงเป็ นศนู ย์ ความถี่ของพาหะกจ็ ะลดลงมาที่ความถกี่ ลางดงั เดมิ หลงั จากเวลาสัญญาณการปรุงคล่ืนมีค่าต่าลงต่ากว่าศูนยก์ ลายเป็ นลบ พาหะจะมีความถ่ีลดลงต่ากว่า ความถี่กลาง และเมื่อเวลาสญั ญาณการปรุงคล่ืนกลบั เป็ นศูนยอ์ ีกคร้ังหน่ึง ความถี่ของพาหะกจ็ ะกลบั มายงั ความถี่กลางดงั เดิมเช่นกนั ในช่วงเวลา t4 ถึง t8 ก็จะชา้ แบบเดิมเร่ือยๆ ไป สรุปแลว้ ความถ่ีของพาหะจะ เปล่ียนแปลงไปตามขนาดของสญั ญาณการปรุงคลื่น และพาหะยงั คงอยทู่ ี่ความถี่กลาง เม่ือสญั ญาณการ ปรุงคล่ืนเป็นศนู ย์ ช่วงความถ่ีทพี่ าหะเบยี่ งเบนไปจากความถ่ีกลาง เรียกวา่ ความถ่ีเบี่ยงเบน (Frequency Deviation) ตวั อยา่ งเช่น พาหะมีความถ่ี 100 MHz ลดลงต่าสุดเป็ น 99.9 MHz และเพ่มิ ข้ึนสูงสุดเป็ น 100.1 MHz สลบั ไปมาเช่นน้ี หมายความวา่ ช่วงความถี่เบ่ียงเบนเท่ากบั ±0.1 MHz หรือ ±100 KHz อตั ราการเบี่ยงเบนความถ่ีของสญั ญาณ FM. ข้ึนอยกู่ บั ความถ่ีของสญั ญาณที่เขา้ ผสม ตวั อยา่ งเช่น ถา้ สญั ญาณที่เขา้ ผสมเป็นโทน ( สญั ญาณเสียง ) ความถ่ี 1000 Hz อตั ราการเบ่ียงเบนความถี่ของสญั ญาณ FM.จะเท่ากบั 1000 คร้ังต่อวนิ าที ถา้ สญั ญาณทีเ่ ขา้ ผสมเพม่ิ ความถ่ีเป็น 10 KHz โดยคงค่าความสูงเท่าเดิม ช่วงความถ่ีเบี่ยงเบนก็ยงั เท่าเดิม คือเท่ากบั ±100 KHz แต่อตั ราการเบ่ียงเบนจะเพิ่มเป็ น 10,000 คร้ังต่อ วนิ าที นนั่ คือ ความถ่ีของสญั ญาณท่ีเขา้ มาผสมเป็ นตวั กาหนดอตั ราการเบี่ยงเบนความถี่

29 สาหรับขนาดของสญั ญาณการปรุงคลื่น จะเป็ นตวั กาหนดช่วงความถ่ีเบี่ยงเบน ตวั อยา่ งเช่น สญั ญาณโทนท่ีมีขนาดสูง จะทาให้ความถ่ีเบ่ียงเบนไป ±100 KHz สญั ญาณโทนท่ีมีขนาดนอ้ ยลง จะทา ใหค้ วามถ่ีเบ่ียงเบนไป ±50 KHz กล่าวโดยสรุป สญั ญาณ FM. มีคุณสมบตั ทิ ่สี าคญั ดงั น้ี 1.) มีขนาดคงทต่ี ลอด แต่ความถี่เปลี่ยนตามสญั ญาณท่ีเขา้ มาผสม 2.) อตั ราการเบีย่ งเบนความถี่ของสญั ญาณพาหะมีคา่ เทา่ กบั ความถี่ของสญั ญาณทีเ่ ขา้ มาผสม 3.) ช่วงความถ่ีเบยี่ งเบน เป็ นสดั ส่วนกบั ขนาดของสญั ญาณที่เขา้ ผสม 8.3 วธิ ีการส่งคลื่นวทิ ยุ ( Method of Transmission ) 1) การส่งแบบ Single Side Band ( SSB ) หมายถึง การส่งข่าวสารทางวทิ ยทุ ่ีอาศยั สญั ญาณ AM. เป็ นหลกั แต่การส่งแบบ Single Side Band ( SSB ) น้ีจะใชส้ ญั ญาณ AM. เพยี งดา้ นใดดา้ นหน่ึงเท่าน้นั เพราะจากขอ้ เท็จจริงคล่ืนสญั ญาณ AM. แต่ละดา้ นสามารถนาพาข่าวสารที่ตอ้ งการติดต่อส่ือสารไปได้ แต่มีขอ้ แตกต่างเพยี งเล็กนอ้ ยระหวา่ งสญั ญาณเสียงทีอ่ อกทางลาโพง หรือหูฟัง กล่าวคือ ถา้ เป็ นคล่ืน AM. เสียงจะชดั เจน เพราะไซเกิลของคล่ืนจะครบ ถา้ เป็ นคลื่น SSB เสียงจะเพ้ียนไปเล็กน้อยแต่รับฟังได้ เพราะไซเกิลของคล่ืนจะมีเพยี งคร่ึงเดียวเท่าน้ัน สญั ญาณคลื่นความถ่ี SSB แบ่งออกเป็ น ดา้ นบน (Upper Side Band = USB ) และดา้ นล่าง ( Lower Side Band = LSB ) ซ่ึงแต่ละดา้ นสามารถใชง้ านในการ ติดต่อส่ือสารได้ โดยท้งั เครื่องรับและเคร่ืองส่งตอ้ งปรับต้งั ให้ตรง Side Band กนั ตวั อยา่ งเช่น ถ้า เครื่องส่ง ส่งทาง USB เครื่องรับก็ตอ้ งรับทาง USB เหมือนกนั เป็ นตน้ ส่วนใหญ่ชุดวิทยทุ างทหารที่มี ระบบ SSB จะใชท้ าง USB รูปที่ 21 การส่งแบบ SSB 2) การส่งแบบวทิ ยโุ ทรเลข หรือคล่ืนเสมอ (Radiotelegraphy or Continuous Wave = Cw ) หมายถึง การส่งข่าวสารดว้ ยสญั ญาณความถี่วิทยทุ ี่มีสวิทซ์คนั เคาะ (Key) ควบคุมสญั ญาณท่ีแพร่กระจาย ออกไป ขา่ วสารหรือขอ้ ความทตี่ อ้ งการส่งจะถูกแปลเป็นสญั ญาณรหสั สากล (International Morse Code) ดงั น้นั พนกั งานวทิ ยตุ อ้ งมีความชานาญในการใชร้ หสั สากลน้ี การทางานของรหสั สากลจะเป็ นในรูปของ สญั ญาณส้นั และยาว ( Dit & Dah ) ดูรูปที่ 21 ประกอบ การส่งข่าวสารแบบวทิ ยโุ ทรเลข อีกแบบหน่ึงจะ ไม่ใชค้ นั เคาะเป็ นอุปกรณ์ควบคุมความถ่ีวทิ ยุ แต่จะปรุงหรือผสมสญั ญาณ Tone เขา้ กบั คล่ืนพาห์วทิ ยทุ ี่ ระดบั อตั ราความถี่เสียงคงท่ี ( โดยปกติระหวา่ ง .5 – 1 KHz ) สัญญาณคล่ืนพาห์จะถูกสร้างให้อยใู่ นรูป ของ Dot และ Dash ( . & - ) ซ่ึงเรียกการปรุงคล่ืนแบบน้ีว่า MCW (Modulated Continuous Wave)

30 ประโยชน์ที่ไดจ้ ากสัญญาณ Tone ที่แพร่กระจายออกไปจะครอบคลุมย่านความถ่ีท่ีกวา้ งกวา่ และ สามารถหลบเลี่ยงจากการถูกรบกวนได้ แต่อยา่ งไรก็ตามสญั ญาณ Tone น้ีก็ง่ายต่อการถูกตรวจพบจาก เครื่องคน้ หาทิศทางวทิ ยุ รูปที่ 22 สญั ญาณ CW ( Dit & Dah ) 3) การส่งแบบวทิ ยโุ ทรศพั ท์ ( Radiotelephony ) หมายถึง การส่งข่าวสารทางวทิ ยทุ ่ตี อ้ งอาศยั กรรมวิธีของเคร่ืองส่งในการเปลี่ยนคาพูดหรือคลื่นเสียงใหเ้ ป็ นแรงดนั ไฟฟ้า และขยายให้แรงข้ึนโดย ภาคขยายความถ่ีเสียงแลว้ จึงผ่านไปยงั ภาคปรุงความถี่ (Modulator) เพ่ือรวมความถี่เสียงเขา้ กบั ความถ่ีวทิ ยุ และขยายสญั ญาณใหแ้ รงข้นึ เพอ่ื ส่งใหก้ บั เสาอากาศทาหนา้ ท่ีแพร่กระจายคลื่นไปในอากาศ เม่ือสัญญาณ ความถ่ีวทิ ยุ ( RF ) ถูกรับโดยเสาอากาศของเคร่ืองรับท่ีมีความถี่ตรงกนั สัญญาณ RF จะถูกส่งผ่านไปยงั ภาคแยกสญั ญาณ (Detector / AM. หรือ Discriminator / FM.) เพอ่ื ทาการแยกความถ่ีเสียงออกจากความถ่ีวทิ ยุ และเฉพาะความถ่ีเสียงเทา่ น้นั ท่จี ะถูกส่งไปยงั ลาโพงหรือหูฟัง เพอ่ื ทาการเปลี่ยนสญั ญาณความถี่เสียงให้ เป็นคาพดู หรือคลื่นเสียง ( ดูรูปท่ี 4 และ 7 ประกอบ ) 4) การส่งแบบวทิ ยโุ ทรพมิ พ์ (Radio Teletypewriter = RATT) เป็ นการส่งทเ่ี หมาะสาหรับการส่ง ขา่ วสารในระยะไกลมากๆ นบั เป็ นพนั ๆ ไมล์ และจะอานวยประโยชน์ให้กบั การใชง้ านในสถานการณ์ ทางยทุ ธวธิ ีท่มี ีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะเร่ืองเวลาท่ีจากดั ไม่สามารถทาการติดต้งั ทางสาย ข้ึนใชง้ านได้ เคร่ืองโทรพมิ พป์ ระกอบดว้ ย เคร่ืองส่งพร้อมแผงเป็ นตวั พิมพ์ (Transmitting Keyboard) และเคร่ืองรับพร้อมเครื่องพิมพ์ (Receiving and Printing Mechanism) การทางาน หมายถึง การรับ-ส่ง วทิ ยโุ ทรพิมพ์ เม่ือกดตวั พิมพท์ ี่เครื่องส่งจะทาให้เกิดแรงดนั ไฟฟ้าไปกระตุน้ เคร่ืองส่งให้ทางาน (ซ่ึง ตวั พมิ พแ์ ต่ละตวั จะเกิดแรงดนั ไฟฟ้าทแี่ ตกต่างกนั ) และส่งสญั ญาณวทิ ยอุ อกไปยงั เครื่องรับวทิ ยุ หลงั จาก ทีเ่ ครื่องรับวทิ ยรุ ับสญั ญาณได้ กจ็ ะแปลสญั ญาณเขา้ สู่ระบบกลศาสตร์โดยอตั โนมตั ิ จึงทาให้เครื่องพิมพ์ สามารถเลือกและพมิ พต์ วั อกั ษร, ตวั เลข หรือเคร่ืองหมายไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง จากรูปที่ 23 แสดงให้เห็นว่า ข่าวสาร หรือขอ้ ความท่ีถูกพมิ พอ์ อกมาจะอยใู่ นรูปของแถบปรุบนั ทึกเสียง (Perforated Tape) และแผงแป้น ตวั พมิ พจ์ ะประกอบดว้ ยตวั อกั ษร, ตวั เลข และเคร่ืองหมายวรรคตอนต่างๆ ************************************** หลกั ฐานอ้างองิ : FM 24 - 18 Tactical Single - Channel Radio Communications Techniques, 30 SEPTEMBER 1987

รูปที่ 23 ตวั อยา่ งวทิ ยโุ ทรพมิ พ์ 31

32 เสาอากาศ (ANTENNA) 1. กล่าวทว่ั ไป (Introduction) สายอากาศ หรือจะเรียกวา่ เสาอากาศก็ได้ ท้งั น้ีข้นึ อยกู่ บั ลกั ษณะของตวั มนั เองวา่ จะถูกออกแบบ มาเป็นสายหรือเสา ความหมายของสายอากาศหรือเสาอากาศก็คือ เป็ นวตั ถุตวั นาท่ีทาหน้าที่ในการถ่ายทอด คล่ืนวิทยุจากเครื่องส่งผ่านสายส่ง/สายนาสัญญาณ (ถ้ามี) ออกไปในตวั กลาง (อากาศ/อวกาศ) ด้วย วตั ถุประสงค์ เพอื่ ใหร้ ับไดท้ างเคร่ืองรบั ในระยะไกลและ/หรือทาหนา้ ที่รับคล่ืนวทิ ยจุ ากตวั กลาง (อากาศ/ อวกาศ) เขา้ มายงั เคร่ืองรบั ในเรื่องของสายอากาศน้ีมีรายละเอียดทางไฟฟ้าเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งมากมาย ดงั น้นั หลกั การเบ้ืองตน้ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การทางานของเสาอากาศ จึงมีความจาเป็ นที่ตอ้ งทราบและทาความเขา้ ใจ แตใ่ นบทน้ีจะเนน้ ในเรื่องของวธิ ีการหรือเทคนิค ซ่ึงสามารถนาไปใชใ้ หเ้ กิดผลดีและมีประสิทธิภาพในการ ปฏิบตั ิการทางยทุ ธวิธีของหน่วย โดยนาไปประยุกตก์ ารใชง้ านร่วมกบั ชุดวทิ ยทุ ่ีมีใช้ในเหล่าทหารม้า ปัจจุบนั 2. คาเตือนความปลอดภัย (Safety Warning) สายอากาศหรือเสาอากาศ จดั เป็ นอุปกรณ์ทางไฟฟ้าและเป็ นส่วนหน่ึงของเคร่ืองส่งและ/หรือ เครื่องรับวทิ ยุ จงึ มีความจาเป็นที่ผใู้ ชแ้ ละ/หรือผทู้ ่เี ก่ียวขอ้ งตอ้ งทราบถึงขอ้ ควรระมดั ระวงั เกี่ยวกบั การใช้ สายอากาศ โดยใหร้ ะลึกถึงคาเตือนในเร่ืองความปลอดภยั ดงั น้ี “ตอ้ งระมดั ระวงั อยา่ งยง่ิ ในขณะทาการต่อ และ/หรือถอดท่อนเสาอากาศหรือในขณะทาการเคล่ือนยา้ ยเสาอากาศที่ติดต้งั อยใู่ กลก้ บั แหล่งกาเนิด ไฟฟ้าแรงสูง (หมอ้ ไฟแรงสูง, สายไฟแรงสูง) เพราะอนั ตรายจากการท่ีเสาอากาศไปสัมผสั ถูกไฟแรงสูง จะเป็นผลใหบ้ ุคคลผซู้ ่ึงจบั ยดึ เสาอากาศ หรือส่วนใดส่วนหน่ึงท่ีเช่ือมต่อกบั เสาอากาศ เช่น สายลวดโยงเสา และสายเคเบิล ไดร้ ับอนั ตรายถึงชีวติ หรืออาจไดร้ ับบาดเจบ็ สาหสั ได”้ 3. ความต้องการและหน้าที่ (Requirement And Function) 3.1 ความจาเป็นของสายอากาศ (Necessity) วทิ ยทุ ุกเครื่องมีความจาเป็ นตอ้ งใชส้ ายอากาศในการส่ง และรับ โดยทวั่ ไปเราจะพบว่าวิทยทุ ี่มีเครื่องรับและเครื่องส่งอยใู่ นเครื่องเดียวกนั จะใชเ้ สาอากาศเพยี ง หน่ึงตน้ เพอื่ ใชใ้ นการรับและส่งสัญญาณวิทยุ ซ่ึงจะเรียกการทางานชนิดน้ีว่า “Simplex Operation” หรือ “One-Way-Reversible (OWR)” และยงั มีการทางานอีกรูปแบบหน่ึงซ่ึงเรียกวา่ “Duplex Operation” การ ทางานแบบน้ีจะใชเ้ สาอากาศจานวน 2 ตน้ โดยตน้ หน่ึงใชส้ าหรับการส่งและอีกตน้ หน่ึงใชส้ าหรับการรับ เป็ นการติดต่อส่ือสารระหวา่ ง 2 สถานีท่ีสามารถกระทาไดท้ ้งั การส่งและการรับในเวลาเดียวกนั อยา่ งไรก็ ตามท้งั 2 แบบการทางานยงั คงตอ้ งใชห้ ลกั การทางานเดียวกนั กล่าวคือ เคร่ืองส่งจะผลิตสัญญาณวทิ ยุ ข้ึนมาหน่ึงความถี่แลว้ ส่งผา่ นสายส่งหรือสายนาสญั ญาณ (Transmission line) เพอื่ ส่งใหส้ ายอากาศทาการ แพร่กระจายคล่ืนออกไปในอากาศ เม่ือเสาอากาศเคร่ืองรับรับสญั ญาณความถี่น้นั ไดก้ ็จะส่งสัญญาณน้ัน ผ่านสายส่งมายงั เคร่ืองรับเพื่อดาเนินกรรมวิธีเปลี่ยนสัญญาณวิทยุให้เป็ นเสียงออกที่ลาโพงหรือ เปลี่ยนเป็นสญั ญาณเขา้ เคร่ืองมืออ่ืน ๆ เช่น โทรพมิ พ์ เป็นตน้ ดูรูปท่ี 1 ประกอบ

33 เสาอากาศ ส่วนหน่ึงของคลื่นวทิ ยทุ ี่เสาอากาศเครื่องรบั เครื่องส่ง รบั ไว้ เสาอากาศ เคร่ืองรบั เครื่องส่ง เครื่องรบั เคร่ืองส่งปานกลาง ใน โชล้นั กรบูปรทรย่ี 1ากขาา่ศยขงอางนการสื่อสารทางวทิ ยแุ บบง่าย 3.2 หนา้ ท่ีของสายอากาศ (Antenna Function) หนา้ ที่ของสายอากาศส่ง คือ เปล่ียนกาลงั งานความถี่ วทิ ยุ (RF Output Power) ซ่ึงไดร้ ับจากเครื่องส่งใหเ้ ป็นสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้าแลว้ แผร่ งั สีไปในอวกาศ นัน่ ก็ คือสายอากาศเปล่ียนกาลงั งานรูปหน่ึงใหเ้ ป็นกาลงั งานอีกรูปหน่ึง หรือเป็ นการเปลี่ยนกาลงั งานในทิศทาง ตรงกนั ขา้ ม สายอากาศรับน้นั ทาหนา้ ท่ี คือ ทาการเปล่ียนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเคล่ือนที่ผา่ นสายอากาศ ใหเ้ ป็นกาลงั งานความถ่ีวทิ ยุ (RF Input Power) แลว้ จ่ายใหก้ บั ภาคเคร่ืองรับวทิ ยตุ ่อไป 3.3 อตั ราขยายของสายอากาศ (Antenna Gain) หมายถึง ความแรงของสญั ญาณท่ีเพิ่มข้ึนซ่ึงอาจเกิด จากการใช้เคร่ืองขยายกาลังส่งออกอากาศและ/หรือ การบังคบั ทิศทางการแพร่กระจายคลื่นของ สายอากาศ อตั ราขยายของสายอากาศข้ึนอยกู่ บั ขอ้ กาหนดของตวั มนั เองเป็ นหลกั กล่าวคือ สายอากาศ สาหรับการส่งจะถูกกาหนดใหม้ ีประสิทธิภาพสูงในการแพร่กระจายคล่ืน และสายอากาศสาหรับการรับ จะถูกกาหนดใหม้ ีประสิทธิภาพสูงในการรบั คลื่น ขอ้ กาหนดโดยทว่ั ไปของสายอากาศท้งั การส่งและการ รับคือ ตอ้ งพยายามให้มีการสูญเสียน้อยท่ีสุดและให้มีประสิทธิภาพท้งั การสูงและการรับสูงสุด ดงั น้ัน รูปร่างและรูปทรงของสายอากาศ จึงมีส่วนสาคญั ต่อการแพร่กระจายคล่ืนเป็ นอยา่ งมาก สายอากาศส่วน ใหญ่ จึงทาดว้ ยลวดตวั นาเป็นทอ่ ตนั หรือกลวง และเสน้ ตรงหรือโคง้ งอ แลว้ แต่ชนิดของสายอากาศ 4. การแพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Radiation) 4.1 สนามการแพร่คลื่น (Radiation Fields) เมื่อกาลงั ความถี่วทิ ยถุ ูกส่งมาที่เสาอากาศเคร่ืองส่งจะ เกิดสนามข้ึนสองสนาม คือ สนามการเหนี่ยวนา และสนามการแพร่คล่ืน ความหนาแน่นของสนามท้งั สองน้ีจะมีขนาดพ้ืนที่ท่ีกวา้ งใหญ่และประกอบเป็ นส่วนของจานวนกาลงั ความถี่วิทยุเพื่อส่งไปยงั เสา อากาศเครื่องรบั ในช่วงระยะทางส้นั ๆ จากเสาอากาศซ่ึงคล่ืนวทิ ยแุ พร่กระจายออกไป จะมีเฉพาะสนาม

34 การแพร่คล่ืนเท่าน้นั ทคี่ งอยู่ ส่วนสนามการเหนี่ยวนาจะถูกรวมเขา้ กบั กาลงั งานสะสม สนามการแพร่ คลื่นน้ีประกอบไปดว้ ย สนามแม่เหลก็ และสนามไฟฟ้า ดูรูปที่ 2 ประกอบ รูปที่ 2 ส่วนประกอบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า จะแพร่กระจายออกไปจากเสาอากาศในรูปของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซ่ึงสนามแม่เหล็กไฟฟ้าน้ี จะทาหน้าท่ีท้งั การส่งและการรับกาลงั งานแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีอยใู่ นอากาศและ/ หรือ อวกาศ จากท่ไี ดก้ ล่าวมาขา้ งตน้ ก็คอื คุณลกั ษณะของคล่ืนวทิ ยุ หรือสรุปไดว้ า่ คล่ืนวิทยหุ น่ึง ๆ ก็คือ การเคลื่อนตวั ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจานวนหน่ึง ซ่ึงมีความเร็วในทิศทางการเคล่ือนที่ ที่ประกอบไป ดว้ ยความหนาแน่นของสนามแม่เหลก็ และสนามไฟฟ้าท่ีทามุมฉากซ่ึงกนั และกนั 4.2 รูปแบบการแพร่คลื่น (Radiation Patterns) เสาอากาศแพร่คลื่นสญั ญาณวทิ ยอุ อกไปในอากาศ และ/หรืออวกาศในรูปของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าซ่ึงมีรูปแบบท่ีแน่นอน รูปแบบของคลื่นท่ีถูก แพร่กระจายจะมีรูปลกั ษณะใด ยอ่ มข้ึนอยกู่ บั แบบหรือชนิดของเสาอากาศท่ีใชง้ าน รูปลกั ษณะของการ แพร่คลื่นเป็ นเคร่ืองบอกคุณลกั ษณะทางทิศทางของเสาอากาศ เช่น เสาอากาศแบบแนวต้งั จะมี คุณลกั ษณะของการแพร่คล่ืนออกไปในทุกทิศทาง ดว้ ยปริมาณท่ีเท่ากนั (Omnidirectional) ถา้ เป็ นเสา อากาศแบบแนวนอน จะมีคุณลกั ษณะของการแพร่คล่ืนออกไปเป็ นสองทิศทางเป็ นหลกั (Bi-directional) นอกจากน้ียงั มีเสาอากาศแบบแพร่คลื่นออกไปทางทิศทางเดียว (Unidirectional) อีกดว้ ย ตามหลกั การ แลว้ ไม่วา่ จะเป็นเสาอากาศแบบใดยอ่ มใชห้ ลกั การแพร่คลื่นในทศิ ทางหน่ึงทิศทางใดเป็ นหลกั แต่อยา่ งไร กต็ ามในทางปฏิบตั ิ รูปแบบของคล่ืนทุกแบบ ยอ่ มถูกบิดเบือนใหเ้ ปลี่ยนรูปลกั ษณะไปจากเดิมไดโ้ ดยการ กระทาของส่ิงกีดขวางหรือ ลกั ษณะภูมิประเทศ

35 รูปท่ี 3 รูปแบบการแพร่คล่ืนท้งั สามมิติ จากรูปท่ี 3 แสดงใหเ้ ห็นรูปลกั ษณะการแพร่คล่ืนแบบเป็ นรูปทรงท้งั สามมิติ ซ่ึงมองดูแลว้ จะเหมือนกบั รูปขนมโดนทั โดยมีเสาอากาศสาหรบั การส่งอยตู่ รงกลาง รูปทรงภาพบนแสดงรูปลกั ษณะการแพร่คลื่น ของเสาอากาศแบบแนวต้งั หรือ ¼ ความยาวคลื่น (A Quarter-wave antenna) รูปทรงภาพกลางแสดง รูปลกั ษณะการแพร่คล่ืนของเสาอากาศแบบแนวนอน หรือ ½ ความยาวคล่ืน (A Half-wave antenna) และรูปทรงภาพล่าง แสดงรูปลกั ษณะการแพร่คลื่นของเสาอากาศแบบขนมเปี ยกปูนคร่ึงรูป (A Vertical Half–rhombic antenna) 5. POLARIZATION คอื การกาหนดทิศทางของการแพร่คล่ืนใหอ้ อกไปในทิศทางเดียว ซ่ึงตวั กาหนด ทิศทางน้นั ก็คือเส้นแรงไฟฟ้า จาการท่ีไดท้ ราบแล้ววา่ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีแพร่กระจายออกจากเสา อากาศประกอบดว้ ยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าสนามท้งั สองน้ีจะต้งั ฉากซ่ึงกนั และกนั และท้งั คู่ก็ต้งั ฉากกบั ทิศทางการเคล่ือนท่ีของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าดว้ ย หรือาจกล่าวไดอ้ ีกอยา่ งว่าท้งั สนามแม่เหล็กและ สนามไฟฟ้าจะเคล่ือนท่ที ามุมฉากกบั พ้นื โลกน่ันเอง จากรูปท่ี 4 ถา้ เส้นแรงสนามไฟฟ้าเคล่ือนท่ีทามุม ฉากกบั พ้นื โลกเราจะเรียกคล่ืนมี POLARIZATION ทางแนวด่ิง และจากรูปที่ 5 ถา้ เสน้ แรงสนามไฟฟ้า เคลื่อนที่ขนานกบั พน้ื โลกเราเรียกวา่ POLARIZATION ทางแนวระดบั สรุปไดว้ ่าสายอากาศที่วางตวั กบั แนวระดับจะเกิด POLARIZATION ทางแนวระดับและสายอากาศที่วางตัวในแนวดิ่งจะเกิด POLARIZATION ทางแนวดิ่ง ความสาคญั ของ POLARIZATION น้ันอยู่ตรงที่คลื่นท่ีส่งมาแบบ POLARIZATION ทางแนวด่ิงจะรบั ดว้ ยสายอากาศทีว่ างตวั ในแนวด่ิงไดด้ ีกวา่ สายอากาศท่ีวางตวั ในแนว ระดบั

36 รูปที่ 4 สญั ญาณคลืน่ POLARIZATION ทางแนวด่ิง รูปที่ 5 สญั ญาณคลื่น POLARIZATION ทางแนวระดบั 5.1 ความตอ้ งการ POLARIZATION สาหรบั ความถ่ีต่างๆ ณ ความถ่ีปานกลางและความถ่ีต่า การส่งด้วยคลื่นดินน้ันใชม้ ากและจาเป็ นตอ้ งใช้ POLARIZATION ทางแนวด่ิง เสน้ แรงไฟฟ้าจะต้งั ไดฉ้ ากกบั พ้ืนดินและคลื่นวทิ ยสุ ามารถเคลื่อนที่ไป ไดไ้ กลมากตามผวิ พน้ื ดิน โดยมีปริมาณการลดถอยนอ้ ยทสี่ ุด ท้งั น้ีเพราะวา่ พน้ื โลกจะแสดงการเป็ นตวั นา ท่ีดี ณ ความถี่ต่า สาหรบั เสน้ แรงไฟฟ้าระดบั จะลดั วงจรไปหมด ดงั น้นั การเป็ น POLARIZATION ทาง ระดบั จงึ มีระยะทางานที่ใชไ้ ดผ้ ลจากดั

37 ณ ความถี่สูง การส่งด้วยคลื่นไฟฟ้าไม่ว่าใช้ POLARIZATION ทางดิ่งหรื อ POLARIZATION ทางระดบั ก็จะมีผลแตกต่างกนั แต่เพียงเล็กนอ้ ย หลงั จากคลื่นฟ้าสะทอ้ นกลบั มาจาก บรรยากาศไอโอโนสเฟี ยร์แลว้ ก็จะไปถึงสายอากาศรับ โดยมีข้วั เป็ นรูปวงรี ดงั น้ันสายอากาศส่งและ สายอากาศรบั จะสรา้ งใหเ้ ป็ นสายอากาศระดบั หรือสายอากาศด่ิงก็ได้ อยา่ งไรก็ตามมกั จะใชส้ ายอากาศ ระดบั เพราะสามารถทาใหม้ ีการแพร่กระจายคลื่นทามุมกบั พ้นื ดินไดส้ ูงและมีคุณสมบตั ิบ่งทิศในตวั เอง อีกดว้ ย ณ ความถี่ VHF หรือความถ่ี UHF การใช้ POLARIZATION ทางระดบั หรือทางด่ิงก็ไดผ้ ลพอใช้ ท้ังน้ีเนื่องจากคล่ืนวิทยุเคลื่อนที่จากสายอากาศส่งตรงไปยงั สายอากาศรับ และการเป็ น POLARIZATION แตเ่ ดิมเกิดทส่ี ายอากาศส่งจะคงสภาพไวต้ ลอดระยะทางทเ่ี คล่ือนทไี่ ปจนถึงสายอากาศ รับ ดงั น้นั ถา้ ส่งดว้ ยสายอากาศแนวระดบั เคร่ืองรบั ก็จะตอ้ งใชส้ ายอากาศแนวระดบั ในการรับดว้ ย 5.2 ขอ้ ดีของ POLARIZATION ทางแนวดิ่ง 5.2.1 สายอากาศแนวด่ิงแบบ ½ และ ¼ ความยาวคล่ืน (A Half –Wave and A Quarter-Wave) จะใหก้ ารตดิ ต่อสื่อสารแบบรอบทิศทางซ่ึงเหมาะสาหรับการติดต้งั ใชง้ านบนยานยนต์ แต่มีขอ้ เสียตรงที่ การแพร่กระจายคล่ืนไปยงั ฝ่ายเดียวกนั และฝ่ายขา้ ศกึ จะมีปริมาณท่เี ท่ากนั 5.2.2 ในการติดต้งั เสาอากาศงานบนยานยนต์์เมื่อความสูงของเสาอากาศถูกจากดั อยู่ท่ี 3.05 เมตร (10 ฟุต) หรือนอ้ ยกวา่ การ POLARIZATION ทางแนวดิ่งจะใหส้ ญั ญาณการรบั ทีแ่ รงกว่า ณ ความถ่ี ที่สูงถึงประมาณ 50 MHz และในระดับความสูงเดียวกันจากความถ่ีประมาณ 50–100 MHz การ POLARIZATION ทางแนวด่ิงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีกวา่ การ POLARIZATION ทางแนวระดบั เพยี ง เลก็ นอ้ ย สาหรบั ความถี่ทสี่ ูงกวา่ 100 MHz ความแตกตา่ งของความแรงสญั ญาณระหวา่ งแนวด่ิงและแนว ระดบั มีเพยี งเล็กนอ้ ยเช่นกนั อยา่ งไรกต็ ามเมื่อสายอากาศตดิ ต้งั อยใู่ กลป้ ่ าทบึ คลื่นทางระดบั จะดีกวา่ ทางด่ิง 5.2.3 การแพร่กระจายคล่ืน POLARIZATION คอ่ นขา้ งจะไดร้ บั ผลกระทบจากการสะทอ้ นกลบั ของคลื่นจากเครื่องบินที่บินผ่านช่องทางการส่งน้อยกว่าคล่ืนทางระดับ ตวั อย่างเช่น ในพ้ืนท่ีที่มี การจราจรทางอากาศคบั คง่ั คล่ืนทส่ี ะทอ้ นจากเครื่องบินจะกลบั ไปรบกวนภาพในจอเคร่ืองรับโทรทศั น์ ทาใหภ้ าพสนั่ กระเพอื่ ม เป็นตน้ 5.2.4 โดยปกติการกระจายเสียงวทิ ยุ FM. และโทรทศั น์จะใชค้ ลื่น POLARIZATION ทางแนว ระดับซ่ึงมีการรบกวนเกิดข้ึนได้มาก แต่เมื่อใช้คล่ืน POLARIZATION ทางแนวด่ิงก็จะช่วยลดการ รบกวนจากการส่งความถี่ในยา่ น VHF และ UHF ได้ ดว้ ยปัจจยั สาคญั ดงั กล่าวน้ี จะใชเ้ ม่ืออยใู่ นพ้นื ท่ีใน เมืองซ่ึงมีสถานีกระจายเสียง FM หรือสถานีโทรทศั น์ 5.3 ขอ้ ดีของ POLARIZATION ทางแนวระดบั 5.3.1 สายอากาศแนวระดบั ½ ความยาวคลื่น (A half-wave) เป็ นสายอากาศแบบบ่งทิศ 2 ทศิ ทาง คุณลกั ษณะน้ีใหป้ ระโยชน์ในการลดการรบกวนใหเ้ หลือนอ้ ยที่สุดจากทศิ ทางทีแ่ น่นอน 5.3.2 สายอากาศแนวระดับจะรับเอาการรบกวนท่ีเกิดจากการกระทาของมนุษยไ์ ด้น้อยกว่า สายอากาศทางแนวด่ิง

38 5.3.3 เมื่อสายอากาศอยใู่ กลก้ บั ป่ าทึบคล่ืน POLARIZATION ทางระดบั จะสูญเสียกาลงั งาน นอ้ ยกวา่ คลื่น POLARIZATION ทางด่ิง โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ท่คี วามถี่เกินกวา่ 100 MHz 5.3.4 การเปลี่ยนแปลงที่ต้งั ของสายอากาศไปเล็กนอ้ ย ไม่เป็ นเหตุใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงความ เขม้ ของสนามอนั เกิดจากคลื่นซ่ึงมี POLARIZATION ทางระดบั เม่ือสายอากาศน้ันอยทู่ ่ามกลางตน้ ไมห้ รือ อาคารต่างๆ แต่เมื่อใช้ POLARIZATION ทางแนวด่ิงการเปล่ียนแปลงท่ีต้งั ของสายอากาศไปเพยี งไม่กี่ ฟุตอาจจะทาใหเ้ กิดผลอยา่ งมากต่อความแรงของสญั ญาณทรี่ บั ได้ 6. การบ่งทศิ (Directionality) 6.1 สายอากาศรับแบบด่ิง ยอมรับสญั ญาณวิทยใุ นปริมาณท่ีเท่ากนั จากทิศทางแนวระดบั ท้งั หมด เช่นเดียวกับสายอากาศส่งแบบด่ิงจะแพร่กระจายสัญญาณออกไปในทิศทางแนวระดับท้งั หมดด้วย ปริมาณที่เท่ากัน เพราะดว้ ยคุณลักษณะน้ีสถานีอื่นๆ ซ่ึงใช้งานในความถี่เดียวกันหรือใกลเ้ คียงกนั อาจ รบกวนกบั สญั ญาณที่ตอ้ งการรับและทาใหก้ ารรบั เกิดความยากลาบากหรือเป็ นไปไม่ได้ แต่อยา่ งไรก็ตาม การรับสญั ญาณท่ีตอ้ งการสามารถปรบั ปรุงใหด้ ีข้ึนได้ ดว้ ยการใชส้ ายอากาศบ่งทศิ 6.2 สายอากาศรับแบบระดบั ½ ความยาวคล่ืน ยอมรับสัญญาณวทิ ยจุ ากทุกทิศทาง สญั ญาณการรับท่ี แรงท่ีสุดคือแนวต้งั ฉากกบั สายอากาศและสัญญาณการรับท่ีอ่อนที่สุด จะอย่ทู ่ีส่วนปลายของสายอากาศ ดงั น้นั สญั ญาณการรบกวนสามารถถูกกาจดั ออกหรือลดลงไดโ้ ดยการเปล่ียนที่ต้งั สายอากาศและหันปลาย สายอากาศดา้ นใดดา้ นหน่ึงช้ีตรงไปทางสถานีรบกวน 6.3 การสื่อสารด้วยวงจรวิทยุสาเร็จไดก้ ็ต่อเม่ือสญั ญาณท่ีรับได้มีความแรงมากพอที่จะทบั สัญญาณ และเสียงรบกวนท่ีไม่ตอ้ งการ หรืออีกนัยหน่ึงเครื่องรับจะตอ้ งอยูใ่ นระยะการทางานของเครื่องส่ง ประสิทธิผลของการส่ือสารระหว่างสถานีวิทยุอาจจะเพ่ิมข้ึนได้ โดยการเพ่มิ กาลังของเคร่ืองส่งหรือ เปลี่ยนแบบของการแพร่คล่ืน (ตวั อยา่ งเช่น การเปล่ียนจากวทิ ยโุ ทรศพั ทเ์ ป็ นวทิ ยคุ ลื่นเสมอ/CW) หรือการ เปล่ียนเป็นความถี่ทีไ่ ม่ถูกดูดซึมไดง้ ่าย หรือการใชส้ ายอากาศบ่งทิศ ท้งั น้ีเพ่ือใหก้ ารส่ือสารมีประสิทธิภาพ ยง่ิ ข้นึ 6.4 สายอากาศเคร่ืองส่งแบบบ่งทิศเน้นการแพร่กระจายคลื่นในทิศทางที่กาหนด และลดการ แพร่กระจายคลื่นในทิศทางอื่นใหน้ อ้ ยท่ีสุด นอกจากน้ียงั อาจใชเ้ พอื่ ลดการถูกดกั ฟังจากขา้ ศึก และการ รบกวนจากสถานีฝ่ ายเดียวกนั 7. ผลกระทบของพืน้ ดิน (Ground Effects) โดยทางปฏิบตั แิ ลว้ บรรดาเสาอากาศท้งั หลายถูกสร้างใหอ้ ยเู่ หนือพ้ืนดิน แต่ไม่ไดข้ ้ึนไปอยเู่ ป็ น อิสระในหว้ งอวกาศ ยกเวน้ ดาวเทียม สถานะของดินจะเปล่ียนรูปแบบการแผ่รังสีของเสาอากาศไปใน หว้ งอวกาศอิสระและพ้ืนดินก็ยงั อาจมีผลกระทบต่อคุณลกั ษณะทางไฟฟ้าของสายอากาศอีกดว้ ย การ ติดต้งั เสาอากาศเหนือพ้ืนดินมีความจาเป็ นตอ้ งสัมพนั ธก์ บั ความยาวคล่ืน ตวั อยา่ งเช่น สายอากาศที่ใช้ ความถี่ปานกลางและความถี่สูงจะตอ้ งต้งั อยเู่ หนือพ้ืนดินโดยคิดเป็ นเศษส่วนของความยาวคลื่น จึงจะมี ผลทาใหร้ ูปแบบการแผร่ งั สีแตกต่างไปจากรูปแบบในหว้ งอวกาศอยา่ งมาก

39 7.1 หลกั การสายอากาศ-ดิน (Grounded Antenna Theory) ดินเป็ นตวั นาที่ดีสาหรับความถี่ปาน กลาง (MF) และความถี่ต่า (LF) และยงั เป็ นเสมือนกระจกเงาบานใหญ่อีกด้วย ดงั น้ันเมื่อสายอากาศ แพร่กระจายคลื่น (แผ่รังสี) ออกไปในอากาศรวมถึงลงสู่พ้ืนดินดว้ ย พ้นื ดินจะสะทอ้ นกลบั กาลงั งานให้ คืนสู่อากาศ จากคุณลกั ษณะดงั กล่าวจะเป็ นประโยชน์ต่อสายอากาศชนิด ¼ ความยาวคล่ืน (A Quarter- Wave Antenna) อยา่ งมาก เพราะสายอากาศชนิดน้ีจะใชด้ ินเป็ นส่วนหน่ึงของสายอากาศดว้ ย กล่าวคือ ถา้ เราสรา้ งเสาอากาศแบบ ¼ ความยาวคล่ืนในแนวดิ่ง ส่วนปลายดา้ นล่างจะเชื่อมต่อทางไฟฟ้ากบั พ้นื ดิน (ดู รูปท่ี 7) ทาใหด้ ูเหมือนเป็ นเสาอากาศแบบ ½ ความยาวคลื่น (A Half-Wave) ภายใตส้ ภาวะเหล่าน้ีดินจะ ทาหนา้ ทแี่ ทน ¼ ความยาวคล่ืนทีข่ าดหายไป และการสะทอ้ นกลบั จะจ่ายส่วนของกาลงั งานที่แผ่รังสี ซ่ึง ตามปกตแิ ลว้ จะตอ้ งจา่ ยโดยส่วนคร่ึงล่างของเสาอากาศแบบ ½ ความยาวคล่ืน ท่ไี ม่ไดต้ อ่ ดิน รูปที่ 7 สายอากาศแบบ ¼ ความยาวคล่ืน (A Quarter-Wave Antenna) 7.2 ชนิดของพ้นื ดิน (Types of Grounds) เม่ือใชส้ ายอากาศต่อลงดินแลว้ ส่ิงสาคญั เป็ นพิเศษก็คือดิน จะตอ้ งมีความเป็นตวั นาทางไฟฟ้าสูงเท่าที่จะเป็ นไปได้ ท้งั น้ีเพื่อลดการสูญหายของกาลงั งานไฟฟ้าไป กบั ดิน และจดั ใหม้ ีการสะทอ้ นกลบั บนพ้นื ผวิ ใหด้ ีทส่ี ุดเทา่ ท่จี ะเป็ นไปได้ ณ ความถ่ีต่าและปานกลาง ดินเป็นตวั นาท่ีดีพอสมควร ดงั น้นั การต่อลงดินจะตอ้ งทาในลกั ษณะทีเ่ กิดความตา้ นทานนอ้ ยท่ีสุดเทา่ ที่ จะเป็นไปได้ ณ ความถี่สูง การต่อลงดินจะต่อเขา้ กบั แผน่ โลหะขนาดใหญ่ท่ีสร้างข้ึนเพอ่ื ใชเ้ ป็ นดินเทียม การต่อดินน้นั ทาไดห้ ลายแบบ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั แบบของการตดิ ต้งั และความสูญเสียที่จะยอมใหไ้ ดเ้ พียงใด ในการต่อดินในสนามแบบง่ายๆ กระทาไดห้ ลายวิธี เช่น การต่อดินโดยการใชแ้ ท่งโลหะหน่ึงแท่งหรือ หลายแทง่ ตอกลงไปในดิน สถานทใ่ี ดก็ตามที่ไม่สามารถดาเนินการได้ ส่ือตวั นาลงดินที่จะนามาใชไ้ ดก้ ็ คอื การต่อลงดินกบั สิ่งทเ่ี ป็นสื่อใดๆ ที่มีอยซู่ ่ึงตอ่ ลงดินอยแู่ ลว้ ไดแ้ ก่ โครงสรา้ งโลหะหรือระบบทอ่ ใตด้ ิน เป็นตน้ ในภาวะฉุกเฉินการต่อลงดินทาไดโ้ ดยการใชด้ าบปลายปื นปักลงในพ้ืนดิน เม่ือจะตอ้ งต้งั เสา อากาศบนดินที่มีความเป็ นตวั นาทางไฟฟ้าต่า ตอ้ งทาให้ดินน้ันลดความตา้ นทานลง โดยการผสม สารละลายซ่ึงมีคุณสมบตั ิเป็ นตวั นาทางไฟฟ้าสูง ตวั อย่างสารละลาย เช่นโซเดียมคลอไรด์ (เกลือ ธรรมดา), แคลเซียมคลอไรด,์ คอปเปอร์ซลั เฟต (จลุ สี), แมก็ นีเซียมซลั เฟต (ดีเกลือ) และโปแตสเซียมไน เตรท (ดินปะสิว) ปริมาณที่ตอ้ งใชน้ ้ันข้ึนอยกู่ บั ชนิดของดินและความช้ืนของดิน (ข้อควรระวัง: อยา่ ใช้ สารละลายเหล่าน้ีใกลแ้ หล่งน้าดื่ม) อีกวิธีหน่ึงของการต่อลงดินแบบง่ายๆ กระทาโดยการใชแ้ ท่งโลหะซ่ึง

40 อาจจะทาข้ึนจากท่อน้าหรือโลหะอ่ืนๆ ส่ิงสาคญั ก็คือการต่อใหม้ ีความตา้ นทานต่าระหว่างสายดินและ แท่งโลหะ วิธีการจะตอ้ งทาความสะอาดแท่งโลหะดว้ ยการเกลาและใชก้ ระดาษทรายขดั ตรงจุดต่อและใช้ ตวั หนีบสายดินท่สี ะอาดคีบไว้ แลว้ บดั กรีหรือเช่ือมสายดินเขา้ กบั จุดต่อแท่งโลหะน้นั จุดต่อน้ีควรใชแ้ ถบ พนั สายไฟพนั ไวใ้ ห้เรียบรอ้ ย เพอื่ ไม่ใหเ้ กิดสนิมและเป็ นการป้องกนั มิใหเ้ กิดความตา้ นทานข้นึ 7.3 สายดินเทียม (Counterpoise) เม่ือไม่สามารถต่อดินจริงๆ ได้ เพราะว่าดินมีความตา้ นทานสูง หรือเพราะวา่ ระบบการฝังสายดินขนาดใหญ่ทาไดไ้ ม่สะดวก อาจใชส้ ายดินเทียมแทนการต่อตามปกติได้ ซ่ึงการตอ่ ดินตามปกติมีกระแสไฟฟ้าไหลไปมาระหวา่ งสายอากาศและดินไดจ้ ริงๆ สายดินเทียม (รูปที่ 8) ประกอบดว้ ยอุปกรณ์ที่ทาดว้ ยเส้นลวด ซ่ึงวางอยเู่ หนือพ้ืนดินเล็กน้อยและหุ้มฉนวนมิให้สมั ผสั ดินได้ ขนาดของสายดินเทียมอยา่ งนอ้ ยที่สุดควรเท่ากบั หรือใหญก่ วา่ ขนาดของสายอากาศ ในการต้งั เสาอากาศ ในทางด่ิง การทาสายดินเทียมให้มีรูปแบบทางเรขาง่ายๆ (ดูรูปท่ี 8) ไม่จาเป็ นตอ้ งใหม้ ีรูปสมส่วนกนั อยา่ งสมบูรณ์แบบก็ได้ แต่สายดินเทียมก็จะตอ้ งกระจายออกไป โดยมีระยะท่ีเท่ากนั ในทุกทิศทาง การ ติดต้งั สายอากาศความถ่ีสูงมากบางแบบบนยานยนต์ จะใชห้ ลงั คาโลหะของยานยนตน์ ้นั เป็ นสายดินเทียม อีกรูปแบบหน่ึงของสายดินเทียมจะมีขนาดเล็กซ่ึงทาดว้ ยตาข่ายโลหะ บางโอกาสจะใชก้ บั สายอากาศ VHF ชนิดพเิ ศษ ซ่ึงตอ้ งวางไวเ้ หนือพ้นื ดินใหม้ ีระยะห่างมาก สายดินเทียมจะทาหนา้ เป็ นดินเทียมซ่ึง จะช่วยใหเ้ กิดรูปแบบการแผร่ ังสีตามตอ้ งการได้ รูปที่ 8 สายดินเทยี ม 7.4 ฉากดิน (Ground Screen) ประกอบดว้ ยตาขา่ ยโลหะหรือฉากโลหะ ซ่ึงมีพ้นื ท่ีค่อนขา้ งกวา้ งใหญ่ วางอยบู่ นพน้ื ผวิ ดินใตส้ ายอากาศ มีความมุ่งหมายเพอื่ สร้างพ้นื ดินจาลองข้นึ โดยใหม้ ีผลเป็นดินท่มี ีความ เป็นตวั นาทางไฟฟ้าอยา่ งสมบรู ณ์ใหส้ ายอากาศน้นั การใชฉ้ ากดินจะเกิดขอ้ ดีโดยเฉพาะ 2 ประการคือ 1) ฉากดินจะลดการสูญเสียเนื่องจากการดูดซึมของดิน ซ่ึงเกิดข้ึนเม่ือสายอากาศน้นั ต้งั อยเู่ หนือพ้นื ดินที่มี ความเป็ นตวั นาทางไฟฟ้าทไี่ ม่ดี 2) ความสูงของสายอากาศจากพน้ื ดินจะทาไดแ้ น่นอนข้ึน ดว้ ยเหตุน้ีทา ใหค้ วามตา้ นทานการแผร่ ังสีของสายอากาศสามารถถูกกาหนดไดแ้ ม่นยายง่ิ ข้ึน

41 8. แบบของสายอากาศ (Types of Antennas) 8.1 ขอ้ พจิ ารณาทางยทุ ธวธิ ี (Tactical Consideration) สายอากาศทางยทุ ธวธิ ีน้นั ถูกออกแบบมาเป็ น พเิ ศษ โดยเนน้ ใหม้ ีความแขง็ แรง ทนทาน เคลื่อนที่ไดร้ วดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง เสาอากาศบางแบบ จะติดต้งั อยดู่ า้ นขา้ งของยานยนตซ์ ่ึงตอ้ งเคล่ือนที่ไปในภูมิประเทศที่ขรุขระ หรือบางแบบก็ใชป้ ระกอบ เป็นทอ่ น สาหรบั เสาอากาศท่ีมีขนาดเล็กท่ีสุดจะใชต้ ิดต้งั กบั หมวกเหล็กของพลวิทยุ อยา่ งไรก็ตามเสา อากาศทางยทุ ธวิธีท้งั สิ้นตอ้ งออกแบบให้มีความง่ายในการติดต้งั และถา้ มีขนาดใหญ่ก็ตอ้ งง่ายต่อการ ถอดประกอบ การเกบ็ รักษาและการขนยา้ ย เสาหรือสายอากาศมีอยดู่ ว้ ยกนั หลายแบบ (ดูรูปท่ี 9) A = สายอากาศ Rhombic B = สายอากาศ Hertz C = สายอากาศ Half Rhombic บงั คบั ทิศ D = เสาอากาศ Whip E = เสาอากาศ Loop F = สายอากาศ Long-wire G = สายอากาศ Half Rhombic แนวดิ่ง H = กลมุ่ เสาอากาศ OE-254/GRC A สายอากาศ Rhombic B สายอากาศ Hertz คร่ึงคลื่น การต่อตวั ตา้ นทาน ตวั ตา้ นทานตอ้ งมีค่า อยา่ งนอ้ ยท่ีสุด ½ ของ กาลงั วตั ตเ์ ครื่องส่ง รูปท่ี 9 แบบของสายอากาศ C สายอากาศ Half Rhombic บงั คบั ทศิ สายดินเทยี ม WD-1/TT ยาว 60 ฟตุ

42 E เสาอากาศ Loop D เสาอากาศ Whip F สายอากาศ Long-Wire G สายอากาศ Half-Rhombic แนวด่ิง H กล่มุ เสาอากาศ OE- 254/G รูปที่ 9 แบบของสายอากาศ RC8.2 สายอากาศเฮิร์ทซ (The Hertz Antenna) รูปที่ 10 สายอากาศ Hertz แบบป้อนสญั ญาณตรงกลางพรอ้ มเสารบั สายสองตน้

43 รูปท่ี 11 สายอากาศ Hertz แบบป้อนสญั ญาณตรงกลาง พรอ้ มเสารับสาย สามตน้ หมายเหตุ : ในกรณีทีไ่ ม่มีเสารบั สามารถใชต้ น้ ไม,้ อาคารหรือเคร่ืองค้าท่ีมีอยทู่ ดแทนกไ็ ด้ 8.3 สายอากาศแบบมาร์โคนี (Marconi Antenna) ถา้ ส่วนคร่ึงล่างของสายอากาศเฮิร์ทซทางแนวด่ิงถูกแทนทโี่ ดยพน้ื ราบท่ีมีความเป็ นตวั นาสูง สาเหตุแห่งการรบกวนจากคล่ืนทแ่ี พร่กระจายออกไปจากส่วนคร่ึงบนของสายอากาศก็จะไม่เกิดข้ึน หรือ พดู อีกนัยหน่ึงก็คือ ส่วนท่ีเหลือของสายอากาศ ¼ ความยาวคล่ืนน้ันยงั คงแพร่กระจายคล่ืนไดม้ าก เช่นเดียวกับสายอากาศคร่ึงคลื่น ท้งั น้ีเพราะมีพ้ืนท่ีราบท่ีเป็ นส่ือกวา้ งใหญ่มาประกอบเขา้ น่ันเอง สายอากาศมาร์โคนีเป็นสายอากาศทีใ่ ชร้ ะบบการแผร่ ังสีดว้ ยวธิ ีดงั กล่าวน้ี น่นั คือส่วนท่ี 1 จะใช้ ¼ ความ ยาวคลื่นของสายอากาศ และส่วนท่ี 2 จะใชด้ ินทาหน้าท่ีเป็ นสายอากาศอีก ¼ ดงั น้ันความยาวของ สายอากาศท่ใี ชง้ านท้งั หมดจะรวมเป็น ½ ความยาวคลื่นหรือคร่ึงคล่ืน ขอ้ ดีประการสาคญั ของสายอากาศมาร์โคนีก็คือ ทุกๆความถี่ที่ใชง้ าน ความยาวของ สายอากาศมาร์โคนีจะส้นั กวา่ ความยาวของสายอากาศเฮิร์ทซ เร่ืองดงั กล่าวน้ีเป็ นส่ิงสาคญั โดยเฉพาะของ การติดต้งั วิทยใุ นสนามหรือบนยานยนต์ สายอากาศมาร์โคนีแบบทวั่ ๆ ไป ไดแ้ ก่ แบบตวั แอลกลบั หวั (Inverted L), แบบแส้ (Whip), แบบ Ground Plane และแบบ Ground Plane ดดั แปลง 8.4 สายอากาศแบบแส้ (Whip) สายอากาศแบบแส้ เป็ นสายอากาศทีใ่ ชก้ นั อยา่ งแพร่หลายทีส่ ุดสาหรบั การสื่อสารประเภท วทิ ยทุ างยทุ ธวิธีในระยะทางใกลๆ้ สายอากาศแบบแส้จะเหมาะสาหรับชุดวิทยแุ บบสะพายหลงั (Man pack), แบบมือถือ (Handheld), และแบบตดิ ต้งั บนยานยนต์ สายอากาศแบบแส้ ส่วนมากทาจากแท่งโลหะกลวงเป็ นท่อนๆ สามารถถอดประกอบได้ และจะมีความยาวนอ้ ยท่ีสุดในขณะเคลื่อนที่ สายอากาศแบบแสจ้ ะใหค้ วามสะดวกในการใชง้ านมาก เพราะมีน้าหนกั เบา บางชนิดถูกออกแบบไวภ้ ายในเคร่ืองวทิ ยทุ าให้ง่ายต่อการพราง ในบางโอกาส เมื่อตดิ ต้งั ชุดวทิ ยใุ ชง้ านบนยานยนต์ สายอากาศแบบแสจ้ ะถูกติดต้งั ไวด้ ว้ ยเพือ่ ใชต้ ิดต่อในขณะท่ียาน ยนต์ กาลังเคลื่อนที่ ซ่ึงสามารถใช้งานเสาอากาศได้ทุกสภาพภูมิประเทศท่ียานยนต์เคล่ือนที่ไป นอกจากน้นั เสาอากาศท่ีติดต้งั บนยานยนต์น้ียงั สามารถใชเ้ ชือกร้ังเสาอากาศให้โนม้ เอียงลงได้เพื่อ หลีกเล่ียงการปะทะกบั ส่ิงกีดขวาง แต่ยงั คงใชท้ าการติดตอ่ ไดอ้ ยา่ งต่อเนื่อง

44 รูปที่ 12 เสาอากาศแบบแสโ้ ดยทว่ั ไป โดยปกติเสาอากาศแบบแส้ (Whip) ท่ีใช้กบั ชุดวิทยทุ างยทุ ธวิธีของทางราชการทหารจะมีความยาว ประมาณ 4.5 เมตร (15 ฟุต) สาหรับใชก้ บั ยา่ นความถ่ีสูง ถ้าใชก้ ับชุดวิทยุ FM ขนาดเบาความยาว สายอากาศจะเป็น 0.9 เมตร (3 ฟุต) และถา้ ใชร้ ่วมกนั ความยาวจะเป็ น 3 เมตร (10 ฟุต) ท้งั น้ีจะเห็นวา่ เสา อากาศแบบแส้จะถูกสร้างให้มีความยาวใช้งานที่ส้ันกว่า ¼ ของความยาวคล่ืนโดยจะสร้างตวั ปรับ สายอากาศไวภ้ ายในเครื่องวิทยหุ รือไม่ก็สร้างเป็ นอุปกรณ์เพม่ิ เติมจ่ายมาพร้อมกบั ชุดวทิ ยุ เครื่องปรับ สายอากาศน้ีจะทาหนา้ ท่ชี ดเชยความยาวของสายอากาศที่ขาดหายไปและจะเปลี่ยนค่าความยาวทางไฟฟ้า ของสายอากาศใหเ้ หมาะสมกบั ยา่ นความถ่ี เสาอากาศแบบแสม้ กั จะถูกนามาใชก้ บั ชุดวทิ ยทุ างยทุ ธวธิ ีเพราะวา่ เสาอากาศแบบแสม้ ีคุณสมบตั ิ ในการแพร่กระจายคล่ืนโดยรอบทศิ ทางในปริมาณที่เท่ากนั (ดูรูปที่ 13) เหตุผลอีกประการหน่ึงก็คือ การ ต้งั สถานีวทิ ยภุ ายในข่ายวิทยไุ ม่สามารถกาหนดตาแหน่งที่ต้งั ไดแ้ น่นอนและยงั ตอ้ งเปลี่ยนแปลงไปอยู่ ตลอดเวลา ดงั น้ันรูปแบบของการแพร่กระจายคลื่นของเสาอากาศแบบแส้ จึงอานวยประโยชน์สาหรับ การตดิ ต่อส่ือสารทางยทุ ธวธิ ีเป็นอยา่ งมาก รูปที่ 13 รูปแบบการแพร่กระจายคลื่นของเสาอากาศแบบแส้ (Whip)

45 เม่ือติดต้งั สายอากาศแบบแสบ้ นยานยนต์ สิ่งท่ีเป็ นผลกระทบต่อการทางานของเสาอากาศคือ ส่วนท่ีเป็นโลหะของยานยนตน์ ้นั ๆ ดว้ ยเหตนุ ้ีทศิ ทางดา้ นหน้าของยานยนตอ์ าจจะมีผลกระทบต่อการส่ง และการรบั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ของระยะทางหรือของสญั ญาณที่อ่อน จากรูปท่ี 14 สายอากาศแบบแส้ท่ี ติดต้งั อยดู่ า้ นหลงั ขา้ งซา้ ยของยานยนตจ์ ะส่งสญั ญาณแรงทส่ี ุดในแนวเส้นตรงจากสายอากาศผ่านไปทาง ดา้ นหนา้ ขา้ งขวา ในทานองเดียวกนั สายอากาศที่ติดต้งั อยดู่ า้ นหลงั ขา้ งขวาของยานยนตจ์ ะส่งสญั ญาณแรง ที่สุดในทิศทางตรงไปดา้ นหนา้ ทางซ้าย การรับที่ดีท่ีสุดจะไดจ้ ากสัญญาณที่เคลื่อนไปมาในทิศทางท่ี แสดงไวเ้ ป็นเสน้ ประ ในบางกรณีอาจหาทิศทางที่ดีท่ีสุดไดโ้ ดยการขบั ยานยนตว์ นเป็ นรูปวงกลมเล็กๆ จนกระทงั่ หาตาแหน่งไดว้ ่าตรงจุดไหนรับและส่งไดท้ ี่ดีที่สุด โดยปกติแลว้ ทิศทางที่รับจากคู่สถานีไดด้ ี ที่สุดกจ็ ะเป็ นทศิ ทางทีส่ ่งออกไปไดด้ ีท่สี ุดเช่นกนั รูปท่ี 14 ทศิ ทางท่ดี ีท่สี ุดของสายอากาศแบบแสต้ ิดต้งั บน 8.5 เสาอากาศแบยาบนGยนroตu์nd Plane เสาอากาศแบบ Ground Plane ก็คือ เสาอากาศแบบแส้นั่นเอง ซ่ึงจะรวมส่วนแพร่กระจาย คลื่นท่ที าหนา้ ทเี่ ป็นดินไวด้ ว้ ย เสาอากาศแบบ Ground Plane เป็นเสาอากาศที่ออกแบบมาเพือ่ ใชง้ านใน ยา่ นกวา้ ง (Broad-tuned Type) ซ่ึงจะให้ประสิทธิผลต่อการแพร่กระจายคล่ืนครอบคลุมยา่ นความถ่ีอยา่ ง กวา้ ง นอกจากน้ี เสาอากาศแบบ Ground Plane ยงั เหมาะสาหรับการใชง้ านกบั ชุดวิทยทุ างยทุ ธวธิ ี FM ดงั แสดงไวใ้ นรูปท่ี 15 เสาอากาศแบบ Ground Plane สามารถปรับความยาวของเสาอากาศให้เหมาะกบั ความยาวคล่ืนในยา่ นความถี่ท่ใี ชง้ านได้ ส่วนทางเดินของสญั ญาณระหวา่ งเครื่องรับ-ส่งและเสาอากาศจะ ผา่ นทางสายส่ง/สายนาสัญญาณ (Transmission Line) แบบ Coaxial ซ่ึงจะเป็ นสายเคเบิลเสน้ เดียวท่ี ประกอบดว้ ย 1) ส่วนท่เี ป็นสื่อนาสญั ญาณมีฉนวนหุม้ อยตู่ รงกลาง, 2) ส่วนท่ีเป็ นสายสื่อดินห่อหุม้ สายนา สญั ญาณ และ 3) ส่วนฉนวนห่อหุม้ ช้นั นอกสุดของสายเคเบลิ ในการตอ่ สายส่งใหใ้ ชส้ ่วนที่หน่ึงตอ่ เขา้ กบั ส่วนของเสาอากาศแบบแส้ (Whip) และส่วนทสี่ องตอ่ เขา้ กบั สายดินเทยี ม (Ground Plane) ประโยชน์ที่สาคญั ของสายอากาศแบบ Ground Plane ก็คือ การใชค้ ุณลกั ษณะของการ แพร่กระจายคลื่นในแนวระดับรอบทิศทาง เพื่อผลในการเพ่ิมระยะการติดต่อของชุดวิทยใุ ห้ไกลข้ึน เพราะเสาอากาศแบบน้ีในการติดต้งั ใช้งานจะตอ้ งยกให้สูงข้ึน จึงทาให้มีผลต่อการเพิ่มระยะการ แพร่กระจายคลื่นในแนวเสน้ ระดบั สายตา (Line of Sight) ไปดว้ ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook