โรงเรียนทหารมา้ วิชา การปฏบิ ตั งิ านเกย่ี วกบั ยุทโธปกรณ์ เล่มท่ี ๑๐ รหัสวิชา ๐๑๐๒๒๔๐๖๑๐ หลักสูตร นายสิบยานยนต์ แผนกวิชายานยนต์ กศ.รร.ม.ศม. ปรัชญา รร.ม.ศม. “ฝึกอบรมวชิ าการทหาร วทิ ยาการทนั สมยั ธำรงไว้ซึ่งคุณธรรม”
ปรัชญา วิสยั ทศั น์ พันธกจิ วตั ถุประสงค์การดำเนนิ งานของสถานศกึ ษา เอกลักษณ์ อตั ลกั ษณ์ ๑. ปรัชญา ทหารม้า เป็นทหาร เหล่าหนึ่งในกองทัพบก ที่ใช้ม้าหรือส่ิงกำเนิดความเร็วอ่ืน ๆ เป็นพาหนะ เป็นเหล่าท่ีมี ความสำคัญ และจำเปน็ เหล่าหน่ึง สำหรับกองทหารขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับเหล่าทหารอ่ืน ๆ โดยมีคุณลักษณะ ที่มีความคล่องแคล่ว รวดเร็วในการเคล่ือนที่ อำนาจการยิงรุนแรง และอำนาจในการทำลายและข่มขวัญ อนั เป็นคุณลักษณะทส่ี ำคัญและจำเปน็ ของเหลา่ โรงเรยี นทหารมา้ ศูนย์การทหารมา้ มีปรัชญาดังน้ี “ฝึกอบรมวิชาการทหาร วทิ ยาการทนั สมยั ธำรงไว้ซึง่ คุณธรรม” ๒. วิสัยทศั น์ “โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้วิชาการเหล่าทหารม้าท่ีทันสมัย ผลิตกำลงั พลของเหล่าทหารมา้ ใหม้ ีลักษณะทางทหารทดี่ ี มีคณุ ธรรม เพอ่ื เป็นกำลังหลักของกองทพั บก” ๓. พนั ธกิจ ๓.๑วิจยั และพฒั นาระบบการศกึ ษา ๓.๒ พัฒนาคณุ ภาพครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ๓.๓ จดั การฝกึ อบรมทางวชิ าการเหล่าทหารมา้ และเหล่าอื่นๆ ตามนโยบายของกองทพั บก ๓.๔ผลติ กำลงั พลของเหล่าทหารมา้ ใหเ้ ป็นไปตามวตั ถุประสงค์ของหลักสตู ร ๓.๕ พัฒนาสอื่ การเรียนการสอน เอกสาร ตำราของโรงเรียนทหารม้า ๓.๖ปกครองบังคับบัญชากำลังพลของหน่วย และผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรต่างๆ ให้อยู่บนพ้ืนฐาน คุณธรรม จริยธรรม ๔. วตั ถปุ ระสงคข์ องสถานศกึ ษา ๔.๑เพ่ือพัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ให้กับผ้เู ข้ารับการศกึ ษาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ ๔.๒ เพอื่ พัฒนาระบบการศึกษา และจัดการเรียนการสอนผา่ นสอ่ื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ให้มคี ุณภาพอย่างต่อเนอ่ื ง ๔.๓ เพ่ือดำเนินการฝึกศึกษา ให้กับนายทหารช้ันประทวน ท่ีโรงเรียนทหารม้าผลิต และกำลังพลที่เข้ารับ การศึกษา ให้มคี วามรคู้ วามสามารถตามที่หนว่ ย และกองทพั บกต้องการ ๔.๔ เพ่ือพฒั นาระบบการบรหิ าร และการจัดการทรัพยากรสนับสนุนการเรียนรู้ ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สดุ ๔.๕ เพื่อพัฒนาปรับปรุงสอ่ื การเรยี นการสอน เอกสาร ตำรา ให้มคี วามทนั สมัยในการฝกึ ศึกษาอยา่ งต่อเนอ่ื ง ๔.๖เพ่ือพัฒนา วิจัย และให้บริการทางวิชาการ ประสานความร่วมมือ สร้างเครือข่ายทางวิชาการกับ สถาบันการศกึ ษา หนว่ ยงานอ่ืนๆ รวมท้งั การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ๕. เอกลกั ษณ์ “เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ทางวิชาการ และผลิตกำลังพลเหล่าทหารม้าอย่างมีคุณภาพเป็นการ เพ่ิมอำนาจกำลงั รบของกองทัพบก” ๖. อตั ลกั ษณ์ “เดน่ สง่าบนหลังมา้ เกง่ กล้าบนยานรบ”
สารบญั หนา้ บทที่ 1 15 1. การคดั เลือกพลขับ 26 2. หลกั การขบั รถโดยทว่ั ไป 35 3. หลกั การขับรถเวลากลางคืนและเคร่ืองมือขับรถในเวลากลางคืน 4. หลักการกู้รถ
ห น้ า | 1 แผนกวิชายานยนต์ กองการศึกษา โรงเรยี นทหารมา้ ศูนยก์ ารทหารมา้ คา่ ยอดิศร สระบรุ ี ---------- เอกสารนำ การคัดเลอื กพลขับ และการฝกึ พลขบั 1. ขอ้ แนะนำในการศึกษา วิชาน้ีทำการสอนแบบเชิงประชมุ เพื่อให้ผเู้ ข้ารับการศกึ ษามคี วามรูค้ วามสามารถเก่ียวกบั ระเบยี บ การคัดเลือกพลขับ การฝึก และวิธีการดำเนินการฝึกขับ เทคนิคต่าง ๆ และวิธีกำกับดูแลการฝึกขับ เครื่องมือ ในการทดสอบสภาพร่างกายพลขับ หลักการขับรถท่ีถูกวิธี เพื่อป้องกันการใช้งานยานยนต์อย่างผิดวิธีหรือหัก โหม ทงั้ นี้เพ่ือให้นกั เรยี นทราบถึงเหตผุ ล และจดุ ประสงคใ์ นเร่อื งการคัดเลือกพลขบั และการดำเนนิ การฝึกขับ 2. หวั ข้อสำคัญในการศกึ ษา เพื่อให้นกั เรียนมีความรูใ้ นเร่ืองเหลา่ นี้ คือ 2.1 การประมาณสถานการณ์ และสภาพการฝึก 2.2 การวางแผน และการจดั หลกั สตู รการฝึก 2.3 การคัดเลอื กครูฝึก และพลขบั ในอนาคต 2.4 การทดสอบความเหมาะสมทางรา่ งกาย 2.5 การจดั หน่วยทำการฝกึ 2.6 การฝึกพลขับ 2.7 การกำกับดูแลพลขับ 3. งานมอบ ใหน้ ักเรียนอ่านเอกสารเพม่ิ เติม เรื่องการคัดเลือกพลขบั กอ่ นเข้าหอ้ งเรียน 4. คำแนะนำพเิ ศษ ไมม่ ี 5. เอกสารแจกจา่ ยพร้อมเอกสารนำ เอกสารเพ่ิมเติม ***********
ห น้ า | 2 แผนกวชิ ายานยนต์ กองการศึกษา โรงเรยี นทหารมา้ ศูนยก์ ารทหารมา้ คา่ ยอดศิ ร สระบรุ ี ---------- เอกสารเพิม่ เตมิ การคดั เลือกพลขบั และการฝกึ พลขับ กล่าวทั่วไป พลขบั ยานยนตท์ หาร มีหน้าท่ตี อ้ งรับผิดชอบในการใช้ และการปรนนิบัติบำรุงตอ่ ยานยนต์ กองทพั จะ มีความคล่องตัวได้ชัยชนะต่อข้าศึกหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับพลขับประการหน่ึง พลขับยานยนต์ทหารนั้น จำเป็นจะต้องกวดขันในการคัดเลือกและการฝึกมากกว่าพลขับในกิจการพลเรือน เพราะพลขับยานยนต์ทหาร จะต้องปฏิบตั ิหน้าท่โี ดยไมเ่ ลอื กเวลา ลมฟา้ อากาศ และเหตกุ ารณ์ ดังนัน้ ความอดทน ความมวี นิ ัยของพลขับ จึง เป็นสิ่งพึงปรารถนาอย่างยิ่ง ทหารที่เอาใจใส่ต่อยุทโธปกรณ์ เส้ือผ้า และอาวุธประจำกาย ย่อมจะเกิดความ ภูมิใจ ในเม่ือสิ่งเหล่าน้ัน สะอาด ประณีต เป็นระเบียบเรียบร้อย และพร้อมจะหยิบใช้งานได้ทันที ในทำนอง เดียวกนั พลขบั ทดี่ ี ยอ่ มจะต้องทำให้ยานยนตท์ ่ีไดร้ ับมอบหมายให้อยใู่ นสภาพดีเชน่ เดียวกัน การละเลยไม่เอาใจ ใส่ต่อหลักการใช้งาน ไม่มีการปรนนิบัติบำรุง หรือปรนนิบัติบำรุงนอกแบบแผนออกไป ย่อมเป็นการนำมาซึ่ง ความเสียหายของยานยนต์ จนต้องเสียเวลา และแรงงานในการซ่อมบำรุง และท้ายท่ีสดุ เสียประวัติของตนเอง และของหน่วย สภาพของยานยนต์จะมคี วามยง่ั ยนื การใช้ยานยนต์เปน็ ไปดว้ ยความปลอดภัย และใชง้ านไดส้ ม ความมุง่ หมาย ยอ่ มขน้ึ อยกู่ ารกระทำของพลขับเปน็ สว่ นใหญ่ 1. การประมาณสถานการณ์ในการฝกึ พลขบั นายทหารผู้ได้รับหน้าที่ ให้จัดทำหลักสูตรการฝึกพลขับ จะต้องประมาณสถานการณ์ในการฝึกพลขับ ทนั ที โดยใช้แนวทางในการตกลงใจดำเนนิ การ ตามหวั ขอ้ ต่อไปนี้ 1.1 มพี ลขับใหม่จำนวนเทา่ ใดทต่ี อ้ งการรบั การฝึก 1.2 มพี ลขบั เก่าจำนวนเทา่ ใดทตี่ อ้ งการฝึกซำ้ 1.3 พลขับใหม่มคี วามสามารถและมปี ระสบการณโ์ ดยท่ัวไปอยา่ งไรบา้ ง 1.4 เวลาทใ่ี ช้ในการฝึกมีเท่าใด 1.5 ครแู ละผ้ชู ว่ ยครทู ่ีจะหามาได้มจี ำนวนเทา่ ใด 1.6 ครแู ละผ้ชู ว่ ยครูตอ้ งการรบั การฝกึ พเิ ศษเพ่ิมเติมอยา่ งไรบ้าง 1.7 ส่ิงอำนวยความสะดวกมีอะไรบ้าง ท่ีสามารถจัดหาได้ รวมทั้งห้องเรียน เคร่ืองช่วยฝึก สนามฝกึ ขบั และภูมิประเทศตา่ ง ๆ 1.8 สิ่งอำนวยความสะดวก เพ่มิ เติมที่ตอ้ งการ และสามารถนำมาใชไ้ ด้ 1.9 จะต้องทำอะไรในการทำให้ยทุ โธปกรณ์ และส่ิงอำนวยความสะดวก พรอ้ มทีจ่ ะใชด้ ำเนนิ การฝกึ 2. การวางแผน และการจัดหลกั สตู รการฝกึ การวางแผนเก่ยี วกับการจัด และดำเนินการสอน มดี ังน้ี 2.1 จำนวนพลขับที่เขา้ รบั การฝกึ หรือฝกึ ซำ้ 2.2 หลักสตู รการฝกึ หรือตารางการฝกึ สอน 2.3 แบ่งนกั เรยี นเปน็ พวกๆ อยา่ งไร และหมนุ เวียนพวกนกั เรยี นอยา่ งไร 2.4 จำนวนครู และ ผช.ครู ทีจ่ ะตอ้ งทำการคัดเลือกและฝึก และตารางฝึกสอนซึ่งครอบคลุมการฝกึ สอนของ ครูและผ้ชู ่วยครู 2.5 กำหนดหน้าทร่ี บั ผิดชอบใหแ้ ก่ครู และผูช้ ว่ ยครู
ห น้ า | 3 2.6 รายการยุทโธปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกท่ีได้รับ และวิธีใช้เพื่อทำให้สิ่งเหล่าน้ันพร้อมที่จะ ดำเนนิ การฝกึ 3. การคัดเลอื ก และการฝกึ พลขบั 3.1 การคัดเลือกพลขับเพ่ือให้ได้บุคคลท่ีมีสภาพร่างกาย และจิตใจเหมาะสมเข้ามาเป็นพลขับเป็นการ ดำเนินงานร่วมระหว่างสายการแพทย์ และเจา้ หน้าท่ีทดสอบของหน่วยที่ทำการคัดเลือกการตรวจโรค และการ ตรวจสายตา ควรกระทำโดยแพทย์ ส่วนการตรวจหรือทำการทดสอบในลักษณะอ่ืน ๆ กระทำโดยเจ้าหน้าท่ี ทดสอบ ผู้ท่ีได้ผ่านการคัดเลือกเป็นอย่างดีแล้วเท่านั้น จึงสมควรจะได้รับโอกาสเข้ารับการฝึกให้เป็นพลขับ ต่อไป 3.2 ความมุ่งหมายในการฝึกพลขับก็คือ คัดเลือกบุคคลผู้ท่ีไม่มีความรู้มาก่อนเลย และดำเนินการฝึกไป ตามลำดับขน้ั ตอนท่กี ำหนดไว้ ผรู้ ับการฝึกจะตอ้ งศกึ ษาภาควิชาการในห้องเรียน และฝึกภาคปฏิบัติควบคู่กันไป หลกั ใหญ่ของการฝกึ คือ การขับรถ และการปรนนิบตั ิบำรุงในหน้าทีข่ องพลขบั การวดั ผลการศึกษาของนกั เรยี น จะกระทำโดยการสอบทั้งข้อเขียนและการปฏิบัติเป็นระยะๆ ไป ด้วยหลักการนี้ย่อมถือว่า ผู้ที่สอบไดเ้ ท่านั้นจึง จะไดร้ ับการบรรจใุ ห้ทำหน้าทพ่ี ลขบั ได้ 3.3 จำนวนครูฝึก ผชู้ ว่ ยครู และผูร้ บั การฝึก ด้วยหลักการทางปฏิบัติซ่ึงเกิดจากประสบการณ์ของการฝึกพลขับที่ผ่านมาการดำเนินการฝึกขับยาน ยนต์น้ัน จะต้องมีผู้รับผิดชอบในการฝึก คือครูผู้ฝึกซ่ึงเป็นผู้อำนวยการฝึกเป็นส่วนรวม 1 คน มีผู้ช่วยครู ประจำรถที่ใช้ฝึกเพ่ือให้คำแนะนำตักเตือน และป้องกันอันตรายตามปกติคันละ 1 คน และควรใช้รถ 1 คัน ต่อผูฝ้ กึ ขับ 5 คน ผูร้ ับผิดชอบในการฝึก และผู้ชว่ ยครจู ะตอ้ งเปน็ ผู้มีใบอนุญาตพิเศษสำหรบั ขบั รถยนตท์ หาร มาแลว้ มีความรทู้ างช่างยานยนต์ดี มคี วามชำนาญในการขับรถ และได้ทำหนา้ ทค่ี รูฝึกมาแล้ว โดย เฉพาะผู้รับการฝึกให้เป็นครู จะต้องเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญ และมีประสบการณ์มาแล้วในระยะเวลานาน พอสมควร ท้งั เป็นผู้มีความตอ้ งการเปน็ ครูและเอาใจใส่ในหนา้ ที่เปน็ อย่างดี สำหรบั จำนวนผู้ฝึกขบั ทีไ่ ดก้ ำหนดไว้ 5 คน ต่อรถ 1 คนั นนั้ กด็ ้วยเหตผุ ลทไ่ี ด้รบั มาจาก ประสบการณ์ในการฝึกขับนั่นเอง โดยธรรมดาการกำหนดระยะเวลาในการฝึกพลขับมักจะถูกจำกัดไว้ ประมาณ 2 เดือนรวมท้ังภาควิชาการในห้องเรียนและการปฏิบัติในสนามด้วย ระยะเวลาน้ี การฝึกเพียง 5 คน ต่อรถ 1 คัน จะได้ผลดี แต่ถ้าให้เวลาในการฝึกโดยไม่จำกัด จำนวนผู้รับการฝึกก็ไม่จำเป็นที่ จะต้องถูกจำกัดไปด้วย 3.4 การเตรยี มการโดยทวั่ ไป 3.4.1 สถานภาพความเป็นอยู่ของหน่วยทำให้จำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขในเร่ืองตา่ ง ๆ อยู่เสมอ เช่น เรอ่ื งเก่ยี วกบั จำนวนผรู้ บั การฝึกจำนวนและลกั ษณะความสามารถของครเู ครื่องมือเครื่องใช้และเวลาทีม่ อี ยู่ 3.4.2 การฝึกน้ันควรจะได้กำหนดวิธีการ และมาตรฐานไว้ให้แน่นอนที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยมี จุดมุ่งหมายที่ต้องการคือ เพ่ือผลิตพลขับให้มีคุณลักษณะดีพอท่ีจะปฏิบัติหน้าท่ีๆ ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ ลุล่วงไปได้ด้วยดี เพื่อให้บรรลุผลดังท่ีกล่าวมาแล้วจึงมีความจำเป็นท่ีจะต้องทำการฝึกให้ดำเนินไปในทาง เดียวกัน ท้ังน้ี เพ่ือให้สามารถทำงานเขา้ ชุดกันได้ 3.5 การกำหนดตารางการฝึก การกำหนดตารางการฝึกเป็นความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา โดยจะต้องกำหนดตารางการฝึกข้ึนไว้ อยา่ งแนน่ อน การปรบั ปรุงแกไ้ ขตา่ ง ๆ ถา้ จำเป็นต้องรีบศึกษาพิจารณาแก้ไขให้เรยี บรอ้ ยเสยี ก่อน ต้องพยายาม ทุกทางที่จะให้การดำเนินการฝึก ที่ได้กำหนดขึ้นมาแล้วได้รับการแก้ไขน้อยท่ีสุด และถ้าจำเป็นที่จะดำเนินการ ฝึกไปโดยไม่สมบูรณ์ เพราะความขัดข้องต่าง ๆ ของหน่วย ผู้บังคับบัญชาจะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหน่ึง เกี่ยวกับตารางการฝึกเพือ่ ให้เป็นหลักประกันวา่ การฝกึ สามารถจะดำเนินการไปได้อย่างตอ่ เนื่อง ทดแทนเวลาท่ี
ห น้ า | 4 เสียไปเสมอ อยา่ งไรก็ดตี ้องพึงเข้าใจว่าผลที่ได้รบั จากการฝึกย่อมเป็นปฏิภาคกันระหวา่ งจำนวนครู กับนักเรียน และจำนวนเวลา กบั เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชท้ ีม่ ีอยู่ 3.6 การเตรยี มการกอ่ นการฝึก การคัดเลอื กครฝู ึก ผู้ชว่ ยครู และผรู้ บั การฝึก เรายอ่ มทราบแล้วว่าผลของการฝกึ นัน้ ยอ่ มข้นึ อยู่กบั บุคคล ที่เป็นครู และผู้รับการฝึก ฉะน้ันการคัดเลือกครูฝึก ผู้ชว่ ยครู และผู้รับการฝึกจึงเป็นส่ิงจำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้อง กระทำเพือ่ ให้เกดิ ผลดตี ามความมงุ่ หมาย 3.6.1 การคัดเลือกครูฝึก เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณาคัดเลือกบุคคลท่ีมีความ เหมาะสม โดยมแี นวทางท่วั ไป ดงั น้ี - มีความรูเ้ กี่ยวกบั รถยนตเ์ ปน็ อย่างดี - เคยทำงานหรือมีความชำนาญงานเก่ียวกบั การใชแ้ ละการ ปบ.ยานยนตม์ าแลว้ (ไม่น้อยกว่า 2 ปี) - มีบคุ ลิกลักษณะเหมาะสม - มีใบอนญุ าตพเิ ศษสำหรบั ขบั ขรี่ ถยนตท์ หาร - ถ้าทำไดค้ วรเปน็ ผ้มู คี วามรูส้ ามัญชน้ั สูง - มคี วามสามารถ และตอ้ งการทีจ่ ะเปน็ ครู 3.7 การคัดเลือกผู้ชว่ ยครูการคดั เลอื กผชู้ ่วยครูควรคดั เลือกจากบคุ คลท่ีมลี กั ษณะความสามารถใกล้เคียงกบั ครูผฝู้ กึ ท่ีสดุ ซ่งึ เรามักจะหาบคุ คลชนิดน้ีได้ไม่ยากนกั ปกตแิ ล้วเราอาจหาผชู้ ่วยครไู ด้จาก พลขบั ทีอ่ ยู่ในหน่วยนั้นเอง โดยพยายามคัดเลือกจากบุคคลที่มฝี ีมอื ดจี ริง ผา่ นการขับรถมานาน และมี ความสามารถพอจะถ่ายเทความรู้ให้ผู้อ่ืนได้ เม่ือรวบรวมจนได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้วจึงจัดการฝึกฝนเป็น พเิ ศษในเร่ืองหน้าท่ีครูการขับรถ และเรื่องอน่ื ๆ ท่ีเห็นวา่ จำเปน็ 3.8 จำนวนผรู้ ับการฝกึ ขับ จำนวนพลขับทีต่ อ้ งการของหนว่ ยน้นั เราย่อมทราบไดจ้ ากอตั รากำลงั ของหน่วยอยู่แล้ว อย่างไรก็ดีจำนวนผู้เข้ารับการฝึกเป็นพลขับนั้น ควรจะคัดเลือกไว้ให้มากกว่าจำนวนพลขับท่ี ตอ้ งการ ประมาณ 50% หรือหากไม่ได้ถึง ก็ควรจะให้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะทำได้ และควรพิจารณาจากพลขับที่มี อยู่เดิมแล้วว่ามีจำนวนเท่าใด เพราะพลขับพวกนี้อาจจะมีความสามารถต่ำและจะต้องนำมาทำการทดสอบ หรอื ทำการฝึกใหมอ่ กี 3.9 เวลา จะต้องได้พิจารณาถึงระยะเวลาที่มี สำหรับทำการฝึกด้วยว่ามีมากน้อยเพียงใดเพื่อจะได้จัดเวลา สำหรบั ฝึกอบรมแตล่ ะขัน้ ตอนใหเ้ หมาะสม 3.10 การเตรียมการเก่ยี วกับเครื่องมือเครื่องใช้ และสง่ิ อำนวยความสะดวก 3.10.1 เครอื่ งมือเครอ่ื งใช้ทีจ่ ำเป็นสำหรับการฝึกพลขบั นัน้ ได้แก่ รถยนต์ เครื่องชว่ ยฝึก เครอื่ งทดสอบ ความเหมาะสมทางกาย และอื่น ๆ ส่ิงต่าง ๆ เหล่าน้ีควรจะจัดเตรียมไว้ให้พร้อม และมีจำนวนเพียงพอก่อน เร่ิมทำการฝึก กำหนดตัว และซักซ้อมการปฏิบัติของเจ้าหน้าท่ีประจำเครื่องมือเคร่ืองใช้เหล่านี้ไว้ เพ่ือความ สะดวกในขณะทำการฝึกอบรม จำนวนรถยนต์ท่ีสำหรับใช้ในการฝึกควรจะมีให้เพียงพอกับครู และจำนวน นกั เรยี นทเ่ี ขา้ รบั การฝกึ ดว้ ย โดยถอื เกณฑเ์ ฉลย่ี ปานกลางวา่ รถยนตค์ นั หนึง่ ไมค่ วรมนี กั เรียนเกนิ 5 คน 3.10.2 ส่ิงอำนวยความสะดวก เช่น ห้องเรียน โรงฝึกซ่อมเครื่องยนต์ สนามฝึก เส้นทางท่ีจะใช้ฝึก และ ภมู ิประเทศที่จะใช้ทำการฝึกเป็นต้นสิ่งเหล่าน้ีควรจะเตรียมการไว้ก่อนเร่ิมทำการฝึก โดยกำหนดสถานที่ ๆ จะ ไม่มีส่ิงใดมารบกวนในระหว่างทำการฝึก เส้นทางท่ีจะใช้ฝึกต้องเป็นเส้นทางที่ไม่มียวดยานพลุกพล่าน ซึ่งมี แนวโน้มท่ีจะเกดิ อนั ตรายขนึ้ ได้งา่ ย 3.10.3 สนามฝึก ควรจะเป็นพื้นท่ี ๆ ไม่ใช้ร่วมกับกิจการอ่ืน ๆ หากหน่วยไม่มีสนามฝึกในการนี้ โดยเฉพาะ ก็ควรจะเลอื กพ้นื ที่ซง่ึ หาได้ไม่ไกลจากหน่วย โดยเป็นพ้ืนท่ีดินแข็งเท่าทจี่ ะหาได้ สำหรับขนาดของสนามฝึกขับรถน้ัน จากประสบการณ์ที่ได้รับมาในการฝึกพลขับ สนามยาว 300 ฟุต กว้าง 160 ฟุต จะเพียงพอสำหรับการฝึกขับรถจำนวน 10 คัน ขนาดสนามฝึกขับอาจจะเปล่ียนแปลงได้
ห น้ า | 5 แลว้ แต่จำนวนรถทใ่ี ช้ทำการฝกึ ในครงั้ น้ัน อย่างไรกด็ ีไมค่ วรขยายบรเิ วณสนามฝึกออกไปมากนกั เพราะเปน็ การยากท่คี รูฝึกคนเดียวจะสามารถกำกบั ดูแลการฝกึ ไดท้ ว่ั ถงึ การคดั เลือกบคุ คลเขา้ รับการฝกึ 1. กลไกในกิจการของสมัยปจั จุบันได้ทวีเปน็ เครือ่ งจักรกลมากข้ึนทุกวนั และประสิทธภิ าพกับความพร้อมท่ีจะ รับใช้งานของยานยนต์น้ัน พลขับเป็นปัจจัยตัวสำคัญที่จะกระทำให้บังเกิดผลข้ึนมากท่ีสุดแต่ถึงแม้ว่าจะมียาน ยนต์ท่ไี ด้รับการออกแบบดีที่สุด มกี ารสร้างอย่างดเี ลศิ และมีช่างท่ี ชำนาญที่สุดไวใ้ นกองทัพมากเพยี งใดก็ตาม ก็ไม่สามารถซ่อมยานยนต์ท่ีชำรุดเสียหายซง่ึ เกิดจากการขับด้วยฝีมือเลว ๆได้ทัน พลขบั ผู้มีความสามารถในการ ขับรถไม่ถึงขนาดมาตรฐาน นั้นย่อมจะบ่ันทอนงานอันเป็นภารกิจของหน่วยลง ความคล่องตัวของหน่วยเสีย ไป ( รถชำรุดเน่ืองจากเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถในทางที่ผิด และการขาดการซ่อมบำรุง ) มักเนื่องมาจาก ข้อบกพร่องของยานพาหนะเอง ใช้ช่างที่ไม่มีความชำนาญ และมีปริมาณการใช้งานยานพาหนะสูงเกินไป นอกจากน้ันยังมีผลโดยตรงอันเนื่องมาจากขาดการกำกับดูแลท่ีดี และความบกพร่องในการปฏิบตั ิงานของพล ขับ การปรนนิบัติบำรุงยานพาหนะที่เลว และการขับรถที่เลวน้ัน อาจจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายข้ึนใน ทันทีทันใด แต่มันจะค่อยเป็นค่อยไป สะสมข้อบกพร่องข้ึนทีละเล็กละน้อย เม่ือนายทหาร น ายสิบ และ เจ้าหน้าท่ีกำกับดูแลไม่เอาใจใส่แก้ไข ผลของการกระทำเช่นน้ี เป็นการทำลายยานพาหนะ ทำลายยุทโธปกรณ์ เสียเวลา และแรงงานไปโดยเปล่าประโยชน์ เป็นความจริงที่ว่า พลขับท่ีดีคือ พลขับท่ีมีประสิทธิภาพ และมี ความสามารถนั้นสามารถสร้างข้ึนได้จากการฝึกมิใช่เป็นมาโดยกำเนิด พลขับที่ดีย่อมได้มาจากการคัดเลือก อย่างระมัดระวัง กำกับดูแลอย่างเหมาะสม และสม่ำเสมอ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาปรากฏว่า ผลการ ปฏบิ ตั งิ านของรถเปน็ รายคันหรือท้งั หนว่ ยกด็ ี ขนึ้ อยูก่ บั มาตรฐานในการกำกบั ดแู ล การฝึก และวินยั เปน็ หลัก สำคัญ ความเป็นไปด้วยดีของพลขับ และยานพาหนะของหน่วยย่อมจะสะท้อนให้เห็นถึงระดับการกำกับดูแล และการบงั คับบญั ชาของหน่วย 2. บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสามารถทั้งรา่ งกาย และจิตใจแตกตา่ งกัน บคุ คลผู้ขาดคุณลกั ษณะความ สามารถในการเป็นพลขับที่ดีควรตัดออกไป สำหรับบุคคลที่พิจารณาแล้วว่าจะเป็นพลขับท่ีดีได้ต้องนำมา ทดสอบเสียก่อน จึงจะให้ไปทำการฝึกขับได้ การทดสอบกระทำได้ไม่ยากลำบากนัก และใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ อย่างไรก็ดีการปฏิบัติจะต้องยึดถือมาตรฐานที่กำหนดไว้สำหรับเคร่ืองมือทดสอบน้ัน ๆ อยา่ งเคร่งครัด ความเหมาะสมทางกาย และนสิ ัยใจคอ 1. ขนาดของร่างกาย ควรจะเลอื กบคุ คลทมี่ ขี นาดไมส่ ูงใหญ่ หรอื เล็กเตีย้ จนผิดปกติ เพราะบุคคลท่ีมี ขนาดดังกล่าว ย่อมไม่เหมาะสมจะเป็นพลขับที่ดี แม้วา่ ยานยนต์สมัยใหม่จะสามารถจัดปรับท่ีนั่งให้ชดิ หรือห่าง จากพวงมาลัยได้ก็ตาม ถ้าหากขนาดของพลขับใหญ่หรือเล็กผิดปกตแิ ล้ว ย่อมไม่มีความสะดวกสบายในการขับ รถเป็นระยะเวลานาน ๆ และอาจจะเป็นช่องทางนำไปสู่อุบัติเหตุได้เช่นกัน จึงควรพิจารณาแต่บุคคลที่มีขนาด ร่างกายเหมาะสม 2. ความคล่องแคล่วว่องไว นับวา่ เป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาด้วยเสมอ นอกจากนี้ ความใจเย็นอดทน และ โอบอ้อมอารี ควรมีอยู่ประจำใจของพลขับทุกคนด้วย พลขับที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีความริเริ่ม ย่อม สามารถปฏิบัติงานท่ีได้รับมอบได้ดีกว่า พ้ืนความรู้เดิมนั้น ควรจะเลือกบุคคลท่ีอ่านออกเขียนได้ หรือมีความรู้ จบชั้นมัธยม ยิ่งได้บุคคลที่เคยทำงานเก่ียวกับเคร่ืองยนต์กลไก หรือเคยขับรถมาก่อนแล้วก็ยิ่งดี สิ่งที่จะช่วยใน การคัดเลือกไดม้ ากก็คือ ประวตั ิประจำตวั ของแตล่ ะบคุ คล
ห น้ า | 6 การสัมภาษณ์ เราอาจจะทราบเร่ืองราวต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลได้ด้วยการสัมภาษณ์ ผู้ท่ีเข้ามารับการสัมภาษณ์ จะต้องเข้าใจว่า ความมุ่งหมายในการสัมภาษณ์ก็เพื่อบรรจุตนเข้าทำงานในหน้าท่ีพลขับ ฉะน้ันในระหว่างการ สัมภาษณ์ ผู้ถูกทดสอบควรจะให้คำตอบโดยความสัตย์จริง และผู้ทำการดสอบต้องบันทึกไว้ด้วย หากปรากฏ ว่าผู้รบั การทดสอบ เป็นโรคประสาท หูตึง หรอื มีความผิดปกตใิ ด ๆ 1. คำแนะนำสำหรับผู้ทำการทดสอบ การสัมภาษณ์ควรจะเริ่มด้วยการกล่าวนำให้ผู้เข้ารับการทดสอบรู้ตัว เสียก่อน เช่นกล่าวให้ทราบว่า เขาจะต้องตอบคำถามในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวของเขาเอง และประสบการณ์จาก การขับรถที่ผ่านมา โดยเน้นให้ตอบตามความจริงโดยเฉพาะเร่ืองเกี่ยวกับอุบัติเหตุ และความผิด คำตอบของผู้ ถูกทดสอบจะใช้ในการพิจารณาบรรจเุ ข้าทำงานในหนา้ ท่ซี ง่ึ เขาตอ้ งการ เร่ืองท่คี วรสัมภาษณ์มดี งั ต่อไปน้ี (1) ทา่ นเคยขับรถยนตน์ ง่ั มาแลว้ ก่ีปี (2) ในระยะ 12 เดือนทผ่ี ่านมาน้ี ทา่ นขบั รถแลว้ มาเป็นระยะทางประมาณกี่กโิ ลเมตร (3) เคยขบั รถโดยสารขนาดใหญ่มาประมาณก่ีปี (4) เคยขับรถบรรทกุ ขนาด 2 1/2 ตัน หรือใหญ่กว่ามาก่ปี ี (5) เคยขับรถชนดิ ขบั เพลาหนา้ มาบ้างหรือเปลา่ (6) เคยขบั รถลากพรอ้ มรถพ่วงมาบา้ งหรอื เปล่า (7) เคยขบั รถเกิดอบุ ตั เิ หตุ จนมผี ู้บาดเจบ็ หรอื เสยี หายเกนิ กว่า 500 บาท กีค่ ร้ัง (8) เคยทำผิดกฎจราจรขณะขับรถมากค่ี ร้ัง (9) เคยทำงานเปน็ ชา่ งยานยนต์ หรือทำสง่ิ ที่เกยี่ วขอ้ งกบั การซอ่ มยานยนต์มากป่ี ี (10) เรียนหนงั สือสำเรจ็ ชั้นใด (11) ทา่ นสงู ก่ีเซ็นตเิ มตร (12) นำ้ หนกั ตัวเทา่ ใด (13) ทา่ นคิดวา่ สขุ ภาพของร่างกายของทา่ น เฉลย่ี แลว้ อยู่ในเกณฑป์ านกลาง หรอื ดเี ลวอยา่ งไร (14) เคยรูส้ กึ ว่าสายตาของทา่ นมองอะไรไดไ้ ม่ชัดเจนบ้างหรอื ไม่ (15) ทา่ นต้องใสแ่ ว่นตาขณะขับรถบา้ งหรือไม่ (16) เคยร้สู ึกว่าหฟู ังอะไรไม่ได้ยนิ บา้ งหรือเปล่า (17) ทา่ นเคยรู้สึกว่าร่างกายของทา่ นบกพร่องตรงไหนบ้างหรอื ไม่ (18) เคยถูกยบั ย้ังในการบรรจเุ ป็นพลขับรถยนตท์ หารบา้ งหรอื ไม่ (ถ้าเคยด้วยเรอื่ งอะไร) (19) ทา่ นมีอายุเทา่ ไร หมายเหตุ หวั ข้อการสมั ภาษณ์ดังกลา่ วมาแลว้ เปน็ เพียงแนวทางเท่าน้ัน การพิจารณาคัดเลอื ก 1. ควรคดั เลือกบคุ คลไว้สมั ภาษณเ์ ผ่อื ไวอ้ ยา่ งน้อย 50 %ของจำนวนทต่ี อ้ งการ ความมุ่งหมายของ การสัมภาษณ์ก็คือ คัดเอาบุคคลที่มีสภาพร่างกายบกพร่องอย่างมากออกไปเท่านั้น หากสงสัยว่า บุคคลใด สายตาไม่ค่อยดี ก็ควรทำการทดสอบความชัดเจนในการเห็น และการมองเห็นทางข้าง ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ใน กรณีทเ่ี ป็นโรคประสาทอยา่ งแรง ต่ืนเตน้ ตกใจงา่ ย เมอื่ สงสยั ในสุขภาพทว่ั ๆ ไป ให้ผ่านเร่ืองนี้ไปให้นายแพทย์ ตรวจสอบอยา่ งละเอียดอีกครั้ง 2. ในกรณีที่บุคคลผู้เข้ารับการสัมภาษณ์มีมากกว่าจำนวนท่ีต้องการ กรรมวิธีอันดับแรกในการคัดเลือกก็คือ คัดบคุ คลท่ีเขา้ หลกั เกณฑ์ตอ่ ไปนี้ไว้
ห น้ า | 7 - อายุมากกว่า 25 ปี (ถ้าเป็นไปได)้ - มีประสบการณข์ ับรถมาแล้วไมน่ อ้ ยกว่า 1 ปี - ในรอบ 12 เดือนท่ีผา่ นมา ได้ขบั รถพลเรือนมาแลว้ 6,500 กม.(4,000 ไมล์) - ไม่เคยมีอุบัติเหตุตลอด 3 ปีท่แี ล้วมา - มคี วามรู้ ความสามารถในการตัดสินใจดี 2.1 บุคคลทอ่ี ย่ใู นเกณฑ์ดงั กลา่ ว ใหเ้ ลอื กไวท้ ำการสมั ภาษณ์ บุคคลผ้ไู ม่อยู่ในเกณฑ์ทกี่ ลา่ วมานี้ ต้องตดั ออก 2.2 ถา้ หากผเู้ ข้ารบั การสมั ภาษณ์ เกินจำนวนทีต่ อ้ งการ ควรเลอื กผ้มู ีประวัติการขบั รถท่ดี ที ่สี ดุ ไว้ 2.3 บุคคลที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ เช่น เคยขับรถพ่วงมาแล้ว อาจจะพิจารณารับไว้เป็นกรณี พิเศษ หรอื คัดเอาไว้เปน็ ผู้ชว่ ยครกู ็ได้ ความเหมาะสมทางกาย โดยทั่วไป ผู้รับการฝึกทุกคนควรจะได้ผ่านการทดสอบความเหมาะสมทางกาย และได้คะแนนอยู่ใน เกณฑ์สอบได้ครบทุกรายการ แต่ถ้าหากมีความต้องการพลขับมากในยามฉุกเฉิน ก็อาจพิจารณายอมทำการ ฝึกให้แก่บุคคลที่ตาบอดสีได้ สำหรับการทดสอบการเห็นในเวลากลางคืนน้ันให้เป็นหน้าท่ีของผู้บังคับหน่วยใน การพจิ ารณาทดสอบตามความจำเป็น อุปกรณ์สำหรับทดสอบความเหมาะสมทางกาย (รูปที่ 1 ) เป็นอุปกรณ์สาย ขส. ชุดอุปกรณ์น้ีจะ ประกอบด้วยคำแนะนำ และวสั ดุท่ีจำเป็นสำหรับการทดสอบ ถ้าขอเบิกชดุ อุปกรณ์น้ีไม่ไดจ้ ากสายการส่งกำลัง หน่วยอาจดำเนินการสร้างข้ึนใช้เองจากวัสดุท่ีคล้ายคลึงโดยกำหนดลักษณะการสร้างให้ทำการวัดได้ละเอียด ตามคณุ ลกั ษณะของเครื่องทดสอบ การทดสอบความชดั เจนในการเห็น กระทำเพื่อให้แน่ใจว่า ผู้ท่ีผ่านเข้ารับการฝึกเป็นพลขับนั้น สามารถมองเห็นส่ิงต่าง ๆ ชัดเจนเพียง พอท่ีจะขับรถได้อย่างปลอดภัย และปฏิบัติงานเกี่ยวกับการใช้รถได้ผลดี ในการทดสอบน้ีอนุญาตให้ผู้รับการ ทดสอบสวมแว่นตาได้ และการทดสอบความชัดเจนการเห็นนี้ ปกติควรดำเนินการทดสอบด้วยนายแพทย์ของ หนว่ ยนนั้ ๆ 3. การให้คะแนน คะแนนของตาแต่ละข้างนั้น ให้โดยนับจำนวนตัวอักษรที่อ่านได้ ตั้งแต่บรรทัดแรกลงมายัง บรรทัดสุดท้าย โดยผิดไม่เกิน 1 ตัว เกณฑ์ต่ำสุดสำหรับตาแต่ละข้างก็คือ ต้องสามารถ อ่านได้ท้ังหมดทุก บรรทัดครบ 30 ตัว คะแนนท่ีได้คือ 20/30 บุคคลท่ีได้คะแนน 20/40 หรือเลวกว่าน้ีต้องให้แพทย์พิจารณา ตัดสนิ ว่าผูน้ น้ั มีสายตาดพี อท่ีจะขบั รถไดอ้ ยา่ งปลอดภัยหรือไม่ 4. การทดสอบการมองเหน็ ทางกวา้ ง เป็นการทดสอบเพ่ือพจิ ารณาวา่ ผ้รู บั การทดสอบสามารถมอง เหน็ ภาพทางดา้ นขา้ งได้ดีเพยี งใดในขณะมองไปข้างหน้า โดยมียา่ นการมองเห็นแตล่ ะข้าง 75 องศา จากเส้นกลาง(เมอ่ื มองตรงไปข้างหน้า)เปน็ มาตรฐานอยา่ งตำ่ ท่ีกำหนดไว้ ถ้าย่านการมองเห็นตำ่ กว่าท่ี กำหนดไว้ ต้องใหแ้ พทยเ์ ป็นผูพ้ ิจารณาความเหมาะสมตอ่ ไป (การทดสอบใหก้ ระทำขา้ งละ 2 ครั้ง) 5. การทดสอบการมองเหน็ ในทางลึก การทดสอบนเ้ี พอ่ื พิจารณาว่าผู้รับการทดสอบ สามารถกะระยะทางไดด้ ี เพียงใด (โดยใช้เครื่องทดสอบตามภาพ) การทดสอบกระทำติดต่อกันรวม 6 ครั้ง แล้วหาผลเฉลี่ยมาตรฐานไม่ เกนิ 1 นวิ้ 6. การทดสอบการบอดสี กระทำเพื่อพจิ ารณาว่าผู้รับการทดสอบตาบอดสีหรอื ไม่ แต่ผูร้ ับการทดสอบจะไม่ ถูกตัดสิทธิเ์ กี่ยวกับการรับใบอนุญาตขับข่ีรถยนตท์ หารเนื่องจากตาบอดสี แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการเก่ียวกับ ตาบอดสีแล้ว จะเป็นอุปสรรคเก่ียวกับการขับยานยนตเ์ ป็นอย่างมาก สำหรับผู้ที่มีอาการบอดสีในสีแดง สีเขียว
ห น้ า | 8 และสีเหลือง เพราะสีที่กล่าวมานี้เป็นสีที่ใช้บังคับสัญญาณการจราจร บุคคลใดที่เห็นสีที่กล่าวมาแล้วไม่ชัดเจน จะทำใหป้ ฏิบตั ิตามกฎจราจรไม่ถูกต้อง และไมป่ ลอดภัยตอ่ การขบั รถ อปุ กรณ์สำหรับทดสอบ อปุ กรณ์สำหรับทดสอบ ควำมชัดเจนในกำรเห็น กำรมองเห็นทำงกว้ำง อปุ กรณ์สำหรับทดสอบกำรเห็นสี อปุ กรณ์สำหรับทดสอบปฏกิ ริ ิยำ อุปกรณ์สำหรับทดสอบกำร รูปที่ 1 อุปกรณส์ ำหรับทดสอบความเหมาะสมทางกาย มองเห็นทำงลกึ 7. การทดสอบปฏกิ ิริยา กระทำเพ่ือพิจารณาวา่ ผรู้ ับการทดสอบมีคุณลักษณะของพลขับ ในเรื่องความรวดเร็ว ในการตัดสินตกลงใจ และการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง สามารถเคล่ือนไหวเท้าเร็วพอท่ีเหยียบแป้นห้ามล้อ เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดข้ึนเฉพาะหน้า เครื่องทดสอบจะทำเป็นเครื่องจำลองสัญญาณไฟจราจร และแป้นห้ามล้อ วิธีปฏิบัติในการทดสอบคือผู้ทดสอบจะเป็นผู้กดสัญญาณไฟ สีเขียว สีเหลือง(สีส้ม) และสีแดง ซึ่งเป็นสีท่ีมี
ห น้ า | 9 ความหมายบังคับการจราจรโดย สีเขียว หมายความว่า ปลอดภยั ขับผ่านไปได้ สีเหลือง (สีส้ม) หมายความ วา่ เตรยี มตวั และระวัง สแี ดง หมายความวา่ อันตราย ใหห้ ยุด ผรู้ บั การทดสอบตอ้ งคอยมองสัญญาณอยู่ ตลอดเวลาว่าผู้ทดสอบจะให้สัญญาณอะไร และผู้รับการทดสอบตอ้ งปฏิบัตติ ามสัญญาณนั้นให้ได้ตามเวลาตาม มาตรฐานท่ีกำหนดไว้การทดสอบจะกระทำติดต่อกัน 6 คร้ัง และหาค่าเฉล่ีย ถ้าผู้ทดสอบให้สัญญาณไฟแดง ผรู้ บั การทดสอบต้องเหยียบแป้นห้ามลอ้ ใหไ้ ด้ตามเวลามาตรฐานดังนี้ 7.1 เร่มิ ขนึ้ จนกระทง่ั จบลงในเวลา 0.60 วินาที (ถอื เป็นมาตรฐาน) 7.2 เริ่มขึ้นจนกระทั่งจบลงในเวลา 0.40 - 0.49 วนิ าที หรือเร็วกว่า (เป็นการปฏิบัติเร็วกว่าปกติของบุคคล ท่ัวไป) และผู้รับการทดสอบจะถูกแจ้งเตือนเร่ืองการเหยียบห้ามล้ออย่างกระทันหัน โดยไม่ตรวจการจราจร ทางด้านหลงั เสยี ก่อน 7.3 เร่ิมขึ้นจนกระท่ังจบลงในเวลา 0.50 - 0.60 วินาที ผู้รับการทดสอบจะถูกแจ้งเตือนให้ใช้ความ ระมดั ระวงั อยา่ งมาก ในขณะขับรถเพราะมีปฏกิ ริ ยิ าช้ากว่าบคุ คลทัว่ ไป 7.4 เริ่มข้ึนจนกระทั่งจบลงช้ากวา่ 0.60 วินาที (เป็นการปฏิบตั ิชา้ กวา่ บุคคลท่ัวไป) ต้องนำไปพบแพทย์เพ่ือ พิจารณาตดั สนิ ว่าจะเปน็ พลขบั ได้โดยปลอดภัยหรอื ไม่ 8. การทดสอบการได้ยิน กระทำเพื่อพจิ ารณาว่าผูร้ ับการทดสอบสามารถไดย้ ินเสยี งดพี อสำหรบั การ ขบั รถโดยปลอดภัยหรือไม่ มาตรฐานอยา่ งตำ่ สุดคือจะต้องไดย้ ินเสียงแผ่ว ๆ (เสยี งกระซบิ ) ในระยะ 15 ฟุต สำหรับหูแต่ละขา้ ง การทดสอบอาจใช้โลหะสองสง่ิ กระทบกนั เบา ๆ ในระยะ 15 ฟุต ถา้ ผูร้ บั การทดสอบสามารถได้ยินเสียง แสดงว่ามีระบบการฟังเสียงได้ดี ถ้าไม่ได้ยินเสียงต้องให้แพทย์พิจารณา ตรวจสอบตอ่ ไป การแบ่งประเภทผูซ้ ง่ึ จะเป็นพลขับในอนาคต ข้อมูลท่ีได้รับจากการสัมภาษณ์ และผลจากการทดสอบประเมินค่าสภาพร่างกายน้ันสามารถนำมา พจิ ารณาแบ่งประเภทของพลขบั ในอนาคตได้ดงั นี้ 1. ประเภท มีความเช่ียวชาญในการขับรถมาก่อน และสภาพรา่ งกายดี บคุ คลพวกน้อี าจทำการฝึกใหส้ ำเร็จได้ ในเวลาอันสั้น (แต่อย่างไรก็ดี บุคคลเหล่านี้อาจมีนิสัยไม่ดีในการขับรถติดตัวมา ซึ่งอาจทำความยุ่งยาก หรือ สร้างปัญหาท่ตี อ้ งแก้ไขติดตามมาภายหลังกไ็ ด้) 2. ประเภท ที่เคยขับรถมาก่อน แต่ไม่ถึงขนาดเชี่ยวชาญ บุคคลพวกน้ีต้องใช้เวลาในการฝึกมากขึ้น และ อาจจะมีนสิ ัยไมด่ ีตดิ ตัวมาดว้ ย เช่นเดยี วกัน และตอ้ งหาวธิ แี กไ้ ข เชน่ เดียวกบั ข้อ 1. 3. ประเภท ขับรถไม่เป็นมาก่อนเลย บุคคลพวกน้ีจะฝึกสอนให้เป็นพลขับในอนาคตได้ดีเสมอถ้าได้ผ่านการ คัดเลือกอยา่ งละเอยี ด และอทุ ศิ เวลาในการฝกึ อบรมแกเ่ ขาใหม้ ากทส่ี ดุ เท่าทจี่ ะทำได้ การจดั หนว่ ยทำการฝกึ การจดั หน่วยไปทำการฝกึ พลขบั นน้ั กระทำได้ 2 แบบ คอื - แบบรวมการ - แบบแยกการ 1. การฝึกแบบรวมการ เป็นการฝึกท่ีนำทุก ๆ หน่วยมาฝึกในสถานที่บริเวณเดียวกัน ความรับผิดชอบในการ ปฏิบัติต่าง ๆ ข้ึนอยู่ในอำนาจของผู้ควบคุมการฝึกเพียงคนเดียว การฝึกแบบรวมการ ปกติจะจัดให้ปฏิบัติใน ระดบั กองพัน กรม กองพล การฝึกแบบรวมการมกั มีปญั หาเกิดข้ึน ดังน้ี 1.1 การจัดหายุทโธปกรณส์ ำหรับฝกึ (ยานพาหนะ) 1.2 การจดั หาสงิ่ อำนวยความสะดวก (เครือ่ งมอื เครือ่ งใช้ในการฝกึ ) 1.3 สถานที่ฝกึ ที่เหมาะสมกบั ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ (จำกัดการฝกึ ขบั และอยไู่ กลมาก)
ห น้ า | 10 1.4 จำนวนเจ้าหนา้ ที่ ไม่สมดุลกับผูร้ ับการฝกึ (ครู 1 คน ตอ่ นักเรยี น 2 นาย) 2. การฝึกแบบแยกการ เป็นการฝกึ แยกหนว่ ยฝึก และอาจมีผ้คู วบคมุ หลายคน แต่ยดึ หลกั การฝึก เหมอื นกบั แบบรวมการท้ังสิ้น การฝกึ น้ีเหมาะท่จี ะเปน็ การฝกึ เพิ่มเตมิ เพอ่ื หาความชำนาญมากกว่า ปญั หาเร่อื งการฝึกมีน้อย แตค่ วรมกี ารกำกบั ดแู ลอย่างใกลช้ ดิ หมายเหตุ จากเหตพุ ลดงั กลา่ ว การฝกึ แบบรวมการนั้นแม้จะมีปัญหายุ่งยากมาก แต่ถ้าผ้รู ับผดิ ชอบการฝกึ ไดม้ ีการประมาณสถานการณ์ในการฝึกอย่างดีเลศิ แลว้ ก็จะสามารถกำจัดปญั หายงุ่ ยากทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหห้ มดไปได้ การฝกึ พลขับ การฝึกขับ แบ่งการปฏิบตั ิออกเป็น 2 ขน้ั ตอน คือ - ข้นั การฝกึ เบ้ืองต้น - ข้นั การฝึกเบ้อื งสูง 1. ขนั้ การฝึกเบือ้ งต้น แบ่งการฝกึ ออกเปน็ 2 ภาค คือ 1.1 ภาคทฤษฏี (สอนในหอ้ งเรียน) 1.2 ภาคการฝกึ ปฏิบตั ิ (ในสนาม) การสอนภาคทฤษฏี จะสอนเกี่ยวกับวชิ าซงึ่ มีความสำคัญตอ่ การฝกึ ภาคปฏิบตั ิ ดงั น้ี - ระบบซอ่ มบำรงุ ของกองทพั บก - เอกสารแบบพิมพต์ า่ ง ๆ ท่ีพลขับใชใ้ นการปรนนิบัตบิ ำรงุ ข้นั ท่ี 1 - ทัศนสัญญาณ และกฎจราจรตา่ ง ๆ - การระมัดระวงั ความปลอดภยั - เครื่องดับเพลิง และการปอ้ งกันเพลิง - การขบั รถโดยถูกวธิ ี และการขบั รถในเวลากลางคืน - การขับรถในสภาพดนิ ฟ้าอากาศผดิ ปกติ - การประเมินคา่ ภูมปิ ระเทศ - รายละเอียดเกย่ี วกบั ยานยนต์ล้อ หรือยานยนตส์ ายพานท่จี ะทำการฝกึ ขับ (ขนั้ พลขับ) (1) คุณลกั ษณะ ขีดความสามารถ (2) แผงหน้าปัด และคนั บังคับ (3) เคร่อื งยนต์ เครอ่ื งเปลยี่ นความเร็ว และเคร่อื งบงั คับเล้ยี ว (4) ระบบไฟฟา้ ระบบน้ำมนั เชอื้ เพลิง ระบบระบายความรอ้ น ระบบห้ามล้อ และระบบหล่อลนื่ (5) ระบบเครือ่ งพยงุ ตวั รถ (6) วธิ ีใช้ การเก็บรกั ษาอุปกรณ์ และเคร่อื งมือประจำรถ (7) การปรนนิบตั บิ ำรงุ ก่อนใชง้ าน ขณะใชง้ าน (หรือหยุดพกั ) และหลังใชง้ าน (8) การติด-ดบั เคร่ืองยนต์ และอุ่นเคร่ืองยนต์ - การแกไ้ ขข้อขัดขอ้ งในสนาม การสอน และฝกึ ภาคปฏบิ ตั ิ การฝึกปฏิบตั ขิ บั รถนัน้ ปกตคิ รู 1 คน สามารถกำกบั ดแู ลไดอ้ ยา่ งท่ัวถงึ คร้ังหน่ึงต่อ จำนวนยานพาหนะไม่เกิน 5 คัน โดยมี ผช.ครู ควบคุมอย่างใกล้ชิดทุกคัน และคันหน่ึง ๆ ไม่ควรมี นกั เรยี นอยบู่ นรถเกนิ กวา่ 2 คน ( สว่ นที่เหลอื ใหร้ ออยู่ใกล้สถานที ฝี่ กึ ขับได้ ) วิธดี ำเนินการฝึกขับข้ันต้น (1) ฝกึ การปรนนิบตั บิ ำรุงรถกอ่ นใชง้ าน (2) ฝกึ การติดเครื่องยนต์ อุ่นเครอื่ งยนตใ์ หไ้ ด้อุณหภูมใิ ชง้ าน
ห น้ า | 11 (3) ฝึกการเคลื่อนท่ีรถ โดยขับเดินหน้า และถอยหลังเป็นเส้นตรง บริเวณที่ปราศจากส่ิงกีดขวาง รวมทง้ั การฝกึ เข้า และปลดเพลาขับล้อหน้า (4) ฝึกการขับเล้ียวในเส้นทางเป็นรูปเลขแปดอารบกิ นอน ( ) การกำหนดการฝึกแบบนี้ก็เพื่อให้มี การเลยี้ วอย่างกวา้ งได้ ท้งั เล้ียวซ้าย และขวา (5) การฝึกขับผา่ นชอ่ งแคบ (6) การฝึกขับขา้ มเนินเตยี้ ๆ (7) การฝึกขับผ่านลำธาร (8) การข้ามคูลึก ซ่ึงมคี วามกวา้ งพอประมาณ (9) การขับข้ามสะพาน (10) การเคลื่อนทเ่ี ปน็ รูปขบวน (11) การปรนนิบตั บิ ำรงุ ขณะหยดุ พัก และหลงั ใช้งาน - การทดสอบการขับข้ันต้น เป็นการทดสอบการขับรถของพลขับในอนาคต หลังทำการฝึกขับขั้นต้น เพ่ือทราบว่ามีพลขับในอนาคตคนใดมีความสามารถสูง และต่ำเพ่ือจะได้ทำการแก้ไขต่อไป โดยนำไปรวมกับ คะแนนภาคทฤษฏี คะแนนปฏิบัติการทดสอบการขับข้ันต้น 100 คะแนน คะแนนต่ำสุดท่ีรับรองคุณวุฒิ 75 คะแนน โดยใช้รายการตรวจสอบของครูเป็นรายการทดสอบ รายการตรวจสอบของครู สำหรบั การฝกึ ขับรถขนั้ ต้น ----------------------------- 1. การตรวจกอ่ น และหลังการใช้งาน (จาก คท. ประจำรถ) ………………………….. 15 คะแนน 2. วิธีตดิ และดับเครื่องยนต์ …………………………………………………………….. 10 คะแนน หลักการใหค้ ะแนน ( ข้อ 3-7 ) ดีเลิศ 2 คะแนน พอใช้ 1 คะแนน ไมพ่ อใช้ 0 คะแนน การปฏบิ ัติ การใช้ การใช้ การใช้ การใช้ การบังคบั รวม ความเร็ว เกียร์ คนั เรง่ หา้ มลอ้ เลี้ยว คะแนน 3. การขา้ มคกู วา้ ง 2 22 2 2 10 10 4. การข้ามเนนิ 2 22 2 2 10 10 5. การขา้ มลำธาร 2 22 2 2 10 6. การเลย้ี ว 2 22 2 2 7. การผา่ นชอ่ งแคบ และสะพาน 2 22 2 2 8. การเดนิ ทางเปน็ รปู ขบวนบนถนน - การระมดั ระวงั ความปลอดภัย ………………………………………………. 5 คะแนน - การใหส้ ัญญาณ …………………………………………………………………… 10 คะแนน - การรกั ษาระยะตอ่ ท่ีถูกต้อง …………………………………………………… 10 คะแนน คะแนนเต็ม …………………………….. 100 คะแนน คะแนนต่ำสุดท่รี ับรองคณุ วฒุ …ิ ………………..……… 75 คะแนน
ห น้ า | 12 การฝกึ ขับขัน้ สูง (1) ความมุ่งหมายของการฝึกขับขั้นน้ี เพ่ือให้นักเรียนทราบว่า จะทำการบังคับรถโดยถูกวิธีในรูป ขบวนคุ้มกันอย่างไร ในทุกสภาพลมฟ้าอากาศ ตลอดจนการขับผ่านในพ้ืนท่ียากลำบากในภูมิประเทศต่าง ๆ กัน ท่ีได้เตรียมไว้สำหรับทำการฝึกพลขับ โดยการฝึกควรรวมทั้งการลากจูงรถพ่วง หรืออาวุธ ถ้าการปฏิบัติ ดังกลา่ วนี้ เป็นการลกั ษณะของการใชง้ านปกตขิ องยานพาหนะ (ถ้าลมฟ้าอากาศไม่อำนวยใหท้ ำการฝกึ ได้ อาจ ทำการสอนทางทฤษฏีในห้องเรียน) รวมท้ังการข้ามลำธารน้ำ พื้นท่ีเป็นภูเขาเตี้ยๆ พ้ืนท่ีเป็นป่า พ้ืนท่ีเป็น หล่ม เป็นทรายซุย พ้ืนท่ีเป็นหิน พ้ืนที่เป็นทุ่งนา หรือพืชไร่ และถ้าไม่สามารถหาพ้ืนท่ีซึ่งมีลักษณะครบถ้วน ตามท่ีกล่าวมาแล้ว ควรจะวางแนวการฝึกใหม่ โดยสรรหาภูมิประเทศที่คล้ายคลึงหรือเสริมสร้างขึ้นให้ดีที่สุด เทา่ ท่ีจะทำไดก้ ารฝกึ ในขนั้ น้จี ึงจะไดผ้ ล (2) วธิ ดี ำเนนิ ขั้นตอนในการปฏิบัติการฝกึ ขั้นสงู - ตรวจกอ่ นการใชง้ าน และวธิ กี ารติดเคร่ืองยนต์ - การเคล่อื นท่ผี ่านพ้ืนท่จี ำกดั (ออกจากโรงรถของหน่วย) - การขบั บนถนนไปยังพื้นทก่ี ารฝึกขบั ช้นั สงู - การขับรถผา่ นพืน้ ที่เป็นป่า - การขบั ขา้ มเคร่ืองกีดขวางทางด่งิ หรือเกือบทางดิง่ - การขับมาถึงท่าลยุ ข้าม การลุยข้าม การขน้ึ ฝ่ังลำธาร - การขน้ึ และการลงเขาชนั - การข้ามคลู ึก หรือห้วย (ทางนำ้ ไหล) - การข้ามพื้นที่ดินออ่ น แฉะ (หนองน้ำ) - การขบั รถครอ่ มข้ามภมู ิประเทศโดยใช้กลอ้ งตรวจการณร์ ะหวา่ งเวลากลางวนั - การขบั รถครอ่ มขา้ มภมู ปิ ระเทศโดยใช้กลอ้ งตรวจการณเ์ วลากลางคืน - การฝึกขับเป็นรปู ขบวน (เปดิ ป้อม) - การฝึกขบั เปน็ รูปขบวนโดยใช้กลอ้ งตรวจการณ์ระหว่างเวลากลางวนั (ปิดป้อม) - การฝกึ ขบั เป็นรปู ขบวนในตอนกลางคืน โดยใชก้ ล้องตรวจการณเ์ วลา กลางคนื (ปิดป้อม) - การขบั รถบนถนนเป็นระยะทางไกลหลายๆ ไมล์ - การลอยขา้ มนำ้ (สำหรับรถทล่ี อยนำ้ ) - วิธดี ับเครอื่ งยนต์ และบริการหลงั ใช้งาน (3) การดำเนินการฝึกขับขั้นสูงต่อไปนั้น หน่วยอาจจะกระทำได้ในโอกาสที่ทำการฝึกประลองยุทธ และการฝึกทางยทุ ธวธิ ี ซงึ่ จะอำนวยใหพ้ ลขับมีความชำนาญในการปฏิบัติงานในหนา้ ทีม่ ากขนึ้ เพราะการฝึกย่อมอยู่ภายใต้สภาพการณ์ต่างๆ กัน ทำให้พลขับได้มีโอกาสปรับปรุงวิธีการขับรถของตนให้เข้า กบั สถานการณ์ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งเหมาะสมทสี่ ดุ (4) การทดสอบการขับขนั้ สูง มีความแตกตา่ งกบั การทดสอบการขบั เบอื้ งต้นเลก็ น้อยเพยี งแต่เสริมการ สอนทางภาคทฤษฏีเข้าไปด้วย โดยมีคะแนน 100 คะแนน และคะแนนปฏิบัติ 100 คะแนน เกณฑ์ต่ำสุดท่ี รับรองคุณวุฒิ 80 คะแนนสำหรับการทดสอบแต่ละภาค โดยใช้รายการตรวจสอบของครูเป็นหลักฐานในการ ตรวจสอบ
ห น้ า | 13 รายการตรวจสอบของครู สำหรบั การฝึกขบั รถข้นั สูง ----------------------------- 1. การตรวจก่อน และหลังการใชง้ าน (จาก คท. ประจำรถ) …………………………..15 คะแนน 2. วธิ ตี ดิ และดบั เครือ่ งยนต์………………………………….……………………..............…....10 คะแนน หลักการใหค้ ะแนน ( ข้อ 3-9 ) ดเี ลิศ 2 คะแนน พอใช้ 1 คะแนน ไม่พอใช้ 0 คะแนน การปฏิบตั ิ การควบคมุ ความเชื่อมัน่ การปฏิบตั ิ รวม ทีถ่ ูกตอ้ ง คะแนน 3. การผา่ นพน้ื ทจ่ี ำกดั 22 26 26 4. การขา้ มเครอ่ื งกดี ขวางทางดง่ิ 22 26 26 5. การผ่านบรเิ วณป่า 22 26 26 6. การขา้ มลำนำ้ หรอื ลยุ นำ้ 22 26 7. การไตเ่ นนิ 22 5 คะแนน 5 คะแนน 8. การผา่ นภมู ปิ ระเทศดนิ ออ่ น 22 5 คะแนน 18 คะแนน 9. การลงจากเนิน 22 100 คะแนน 10. การเดนิ ทางเปน็ รปู ขบวนบนถนน 80 คะแนน - การระมัดระวงั ความปลอดภัย ………………………………………………. - การให้สัญญาณ …………………………………………………………………… - การรักษาระยะตอ่ ทีถ่ กู ต้อง …………………………………………………… 11. การบริการประจำวัน ……………………………………………………..…….. คะแนนเตม็ ………….. คะแนนตำ่ สุดท่ีรับรองคุณวุฒ…ิ …………………… การกำกับดแู ลพลขับ 1. การกำกับดูแลพลขับ การฝึก และการตรวจสอบพลขับ จำเป็นต้องกระทำตอ่ เน่ืองกันโดยไม่หยุดยั้ง การฝึก และการตรวจสอบใด ๆ จะบังเกิดผลสำเร็จโดยสมบูรณ์ได้ จะต้องประกอบดว้ ยการกำกับดูแลท่ีดี งานใด ๆ ก็ ตามหากไม่ได้รับการกำกับดูแลโดยต่อเนื่องผลงานนั้นจะค่อย ๆ ลดระดับลงต่ำกว่ามาตรฐาน ทำนองเดียวกัน เมื่อพลขับไม่ได้รับการกำกับดูแล การขับรถของพลขับก็จะเสื่อมลงในไม่ช้า เพราะพลขับจะเกิดนิสัยไม่ดีใน การขับรถอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ผลก็คือไม่สามารถจะรักษายานยนต์ให้พ้นจากการชำรุด การซ่อมบำรุงท่ี มากกว่าปกติน้นั มสี าเหตโุ ดยตรงจากการขาดการกำกบั ดแู ลทีด่ อี ยา่ งเพยี งพอ 2. การกำกับดูแลพลขับเป็นปัจจัยสำคัญ ต่อการดำรงประสิทธิภาพของพลขับการกำกับดูแลที่ดีต้องสามารถ สังเกตตรวจสอบ และแก้ไขการขับรถที่ผิด ซ่ึงเป็นหน้าท่ีของนายทหารสัญญาบัตร และนายทหารชั้นประทวน ทุกนายในกองทัพ ถ้าพลขับได้ถูกคัดเลือกอย่างถูกต้อง ได้รับการฝึกอบรมอย่างดี ผ่านการตรวจสอบอย่าง เข้มงวด และมีกำกับดูแลอย่างพอเพียง ยานพาหนะของหน่วยก็จะใช้ราชการได้ยาวนาน มีความต้องการใน การแกไ้ ข และซอ่ มบำรุงเพียงเลก็ น้อยเทา่ นน้ั
ห น้ า | 14 ผู้ใดก็ตามมีหนา้ ทกี่ ำกบั ดูแลการใชร้ ถ ผ้นู ้ันตอ้ งทราบว่าการขับรถทถี่ กู วธิ ี และขบั อย่างผดิ วิธหี รอื อยา่ งหัก โหมน้ันกระทำอย่างไร ต้องมีหัวข้อรายการสำหรับทำการตรวจโดยเฉพาะ และต้องทราบว่าจะแก้ไข ข้อบกพรอ่ งที่ค้นพบได้อย่างไร **************
ห น้ า | 15 แผนกวิชายานยนต์ กองการศึกษา โรงเรียนทหารม้า ศนู ยก์ ารทหารม้า คา่ ยอดิศร สระบรุ ี ---------- เอกสารนำ วชิ า หลักการขับรถโดยท่ัวไป วธิ สี อน สอนเชงิ ประชุม แสดง และปฏบิ ตั ิ เวลา - ช่ัวโมง หลักสูตร ทัว่ ไป เจ้าหนา้ ทีผ่ ู้สอน อาจารย์ ครู แผนกวิชายานยนตฯ์ เครื่องช่วยฝกึ ยานยนตล์ ้อ และยานยนตส์ ายพาน งานมอบ ใหน้ ักเรยี นอา่ นเอกสารเพม่ิ เตมิ หลักฐานอ้างองิ คท.21-300 คท.21-306 และคู่มือทางเทคนคิ ประจำรถ ************
ห น้ า | 16 แผนกวิชายานยนต์ กองการศกึ ษา โรงเรยี นทหารมา้ ศนู ยก์ ารทหารม้า คา่ ยอดศิ ร สระบรุ ี ---------- เอกสารเพ่ิมเตมิ หลกั การขบั รถโดยทว่ั ไป 1. กล่าวนำ 1.1. เหตผุ ล เหล่าทหารม้ามียานพาหนะใช้งานอยู่หลายแบบ ทั้งรถล้อ และรถสายพาน จึงจำเป็นอยา่ งย่ิงที่กำลังพล ของหน่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บงั คับบัญชาในระดับต่าง ๆ จะต้องมีความรอบรู้เกี่ยวกับหลักการขับรถโดยถูก วธิ เี ปน็ อย่างดจี งึ จะสามารถใหค้ ำแนะนำ และว่ากลา่ วตักเตือนพลขับเมอ่ื พลขับ ปฏบิ ตั ไิ มถ่ กู ตอ้ ง โดยยึดถอื หลกั วิชา และเหตผุ ลเป็นบรรทดั ฐาน 1.2 ความมุ่งหมาย และมาตรฐาน เพอ่ื ให้นกั เรยี นทราบถงึ ความสำคัญของหลกั การขบั รถโดยถกู วธิ ี และส่ิงท่ีพลขบั จะต้องทราบ 2. อธบิ าย 2.1. กฎของถนน และการรกั ษาความปลอดภยั (1) การหยุดรถ หรือการปิดระยะ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งเป็นอย่างอื่นจากผู้ควบคุม พลขับควรจะหยุดรถหรือ ทำการปิดระยะ โดยมีระยะต่อจากรถคันหน้าอย่างน้อยเท่ากับความยาวของรถ และมีระยะเคียงอย่างน้อย เทา่ กับความกว้างของรถ (2) ถา้ รถเกดิ ขัดขอ้ งใหน้ ำรถออกจากพน้ื ผวิ จราจรของถนนถ้าสามารถทำได้ และให้พลประจำรถ 1 นาย ลงจากรถเพอื่ อำนวยการใหร้ ถคนั อนื่ แซงผ่านไป ( 3) เมื่อขับรถตามเจ้าหน้าท่ีนำทาง จะต้องขับรถห่างจากเจ้าหน้าที่นำทางอย่างน้อย 10 หลาหรือให้มี ระยะห่างพอที่จะหยุดรถได้ทันเม่ือเจ้าหน้าที่นำทางสะดุดล้มลง และในพ้ืนที่เป็นป่าให้ขับรถอย่างระมัดระวัง เพ่อื หลีกเลี่ยงการขบั รถชนต้นไมจ้ นลม้ ทบั เจา้ หนา้ ทนี่ ำทาง (4) เม่ือขับรถตามเจ้าหน้าที่นำทางในเวลากลางวันให้หยุดรถทันที ถ้าพลขับมองไม่เห็นเจ้าหน้าที่นำทาง และเมื่อขับรถตามเจ้าหน้าท่ีนำทางในเวลากลางคืนให้หยุดรถทันที ถ้าพลขับมองไม่เห็นไฟสัญญาณจาก เจา้ หนา้ ท่นี ำทาง (5) อย่าถอยหลังรถ (ยกเว้นเมื่อได้รับคำสั่งจาก ผบ.รถ) เว้นแต่จะมีผู้ให้สัญญาณ และผู้ให้สัญญาณ จะตอ้ งยนื อยูใ่ นตำบลทส่ี ามารถมองเห็นไดท้ ั้งดา้ นหนา้ และด้านหลงั รถ (6) เม่ือมีผู้ให้สัญญาณแก่รถหลายคน ให้พลขับหยุดรถ และพลขับควรปฏิบัติตามผู้ให้สัญญาณเพียงคน เดยี ว (7) เม่ือได้รับคำส่ังให้บรรทุกทหารไปกับรถถังหรือรถเกราะ ให้ทหารเกาะอยู่ภายนอกรถได้ แต่โดยปกติ แล้วจะไม่อนญุ าตให้บุคคลเกาะ หรือโดยสารอยนู่ อกรถเป็นอันขาด (8) ให้ข้นึ รถถงั หรอื รถสายพานทุกประเภททางดา้ นหน้ารถเสมอ เพอื่ ใหพ้ ลขับสามารถมองเหน็ ได้ (9) อย่าสูบบหุ รี่บนรถ หรอื ใกล้รถ (10) ให้สวมหมวกเหล็ก รองในหมวกเหล็ก หมวกกันสะเทือน หรือเครื่องป้องกันศีรษะ และรัดเข็มขัด นิรภยั เม่อื น่ังอยบู่ นรถ (11) ให้เชือ่ ฟงั และปฏิบตั ติ ามคำสั่งของ ผบ.รถ อยา่ งเครง่ ครดั 2.2.ข้อควรระมัดระวงั ความปลอดภยั
ห น้ า | 17 ส่ิงทีจ่ ะต้องยำ้ ใหพ้ ลประจำรถทราบ และนำเอาไปปฏิบัตจิ นเปน็ นสิ ัย มีดงั น้ีคือ (1) การเติมน้ำมันเช้ือเพลิงยานยนต์ทุกครั้ง จะต้องจัดเจ้าหน้าทีถ่ ือเคร่ืองดับเพลิงในลักษณะพรอ้ มใช้งาน หรืออย่างน้อยจะต้องมเี ครอ่ื งดบั เพลิงซงึ่ พร้อมใช้งานอยใู่ กล้ ๆ กับท่ีเตมิ น้ำมนั เชอื้ เพลงิ (2) ไม่ติดเคร่ืองยนต์ และใช้งานยานยนต์สายพานท่ีเครื่องดับเพลิงประจำรถ ถูกถอดออกหรือใช้งาน หมดแลว้ (3) พลประจำรถจะต้องตื่นตัวอยู่เสมอ และระมัดระวังเป็นพิเศษ เม่ือดาดฟ้ารถเปียก เพราะจะทำให้ล่ืน ล้มถกู ของแหลมคม หรือพลดั ตกจากรถจนไดร้ บั บาดเจ็บ (4) การบาดเจ็บ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยคร้ังมักมีสาเหตุจากฝาปิดชอ่ งทางเข้า-ออก ฉะนั้นจะต้องตรวจกลอนยึดฝา ช่องทางเข้าออกตา่ ง ๆ ว่าใชง้ านได้ และยึดเขา้ ที่ อยา่ งมัน่ คง (5) จะต้องแนะนำให้พลประจำรถ รู้จัดใช้เคร่ืองมือให้ถูกต้อง และเหมาะสม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจาก การใชเ้ ครอ่ื งมอื และยทุ โธปกรณ์ (6) นิ้วมือ จะบาดเจ็บเม่ือกระทบหรือครูดกับโลหะ ดังน้ันพลประจำรถ และเจ้าหน้าท่ีซ่อมบำรุงควรจะ ถอดแหวน นาฬิกาข้อมือ และกำไลมือออกเสยี ก่อนทีจ่ ะข้ึนปฏบิ ตั งิ านบนยานยนต์ (7) การน่ังยานยนต์สายพาน และรถเกราะ มีอันตรายน้อยกว่ายานยนต์ล้อ ถ้าพลประจำรถน่ังอย่าง ถูกต้อง และระมดั ระวงั โดยต้องนัง่ ในรถ ห้ามนง่ั นอกรถเปน็ อนั ขาด 8) เมื่อรถสายพาน และรถเกราะเร่ิมจะคว่ำ พลประจำรถควรจะอยูใ่ นรถดีกว่าท่ีจะพยายามกระโดดออก จากรถ เพราะเมื่ออยู่ในรถอาจได้รับบาดเจ็บจากการกระทบกระแทกเท่านั้น แต่ถ้าออกมาภายนอกรถอาจถูก ทบั ถงึ เสียชีวิต 2.3. การป้องกนั การใชร้ ถอยา่ งผดิ วิธี หรอื ใช้อยา่ งหักโหม (VEHICLE ABUSE) พลประจำรถจะตอ้ งเข้าใจคุณลกั ษณะ ขดี ความสามารถ และขอ้ จำกัดของรถอย่างถ่องแท้ เพ่อื ป้องกันมใิ ห้ เกิดการใช้รถอย่างผิดวิธี รถที่ใช้อยู่ในราชการเป็นกลไกท่ีประณีต สามารถทำงานไดอ้ ยา่ งมหัศจรรย์ถา้ ผู้ใช้ขับ รถอย่างถูกต้อง และให้การปรนนิบัติบำรุงเป็นอย่างดี แต่ถ้าผู้ใช้ ใช้งานอย่างผิดวิธีไม่ปรานีปราสัยหรือไม่ทำ การปรนนิบัติบำรุงแล้ว แม้วา่ จะว่าจะมีช่างประจำหน่วยที่เชี่ยวชาญเพียงใด ก็ไม่สามารถซ่อมบำรงุ และรกั ษา รถให้อยู่ในสภาพท่ีดีได้ การปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งทำให้อายุใช้งานของรถสั้นเข้า และเป็นการบั่นทอน สมรรถภาพของรถทีจ่ ะพบได้เสมอ ๆ ไดแ้ ก่ (1) การขับรถอยา่ งบา้ ระห่ำ ซ่ึงไม่เพียงแตจ่ ะทำให้รถทีม่ รี าคาแพงพังยบั เยนิ ไปเท่านน้ั ยังจะ ทำให้ เกดิ ฝนุ่ ตลบ และมีเสียงดงั กึกก้อง เป็นการบอกท่อี ยขู่ องตวั เองอกี ด้วย (2) ขบั รถออกไป หรือเรง่ เคร่อื งยนต์แรง ๆ โดยไมไ่ ด้อุน่ เครื่องยนตอ์ ยูก่ บั ท่ีอย่างถกู ต้องเสยี กอ่ น เพราะ จะทำให้เกิดการสึกหรือโดยไม่จำเปน็ เนื่องจากน้ำมันเคร่ืองยนต์ยังไม่ทันเข้าไปหล่อล่ืนให้แก่ส่วนประกอบต่าง ๆ ท่ีเป็นโลหะสัมผัสกัน เป็นเหตุให้เกิดการสึกหรอ หรือเป็นรอยขึ้นท่ีช้ินส่วนต่าง ๆ เช่น กระบอกสูบ และรอง เพลา เป็นต้น (3) ไม่เดินเบาเครื่องยนต์เพื่อลดความร้อนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ สำหรับรถแต่ละชนิดก่อนดับ เครื่องยนต์ ซ่ึงจะทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์เย็นลงไม่สม่ำเสมอกัน หลังจากใช้รถมาแล้ว ก่อนดับ เครอื่ งยนตจ์ ะตอ้ งเดนิ เบาอยู่ 2 - 3 นาที เพอ่ื ใหล้ นิ้ และชนิ้ ส่วนอ่ืน ๆ ค่อย ๆ เย็นลงพร้อมกัน (4) เร่งเคร่ืองยนต์น้อยเกินไป เม่ือรถมีน้ำหนักมากหรือพ่วงรถคันอื่น ถ้าจำนวนรอบ/นาที ต่ำกว่าท่ี กำหนดให้ใช้จะทำให้ส่วนต่าง ๆ ของเคร่ืองยนต์ และระบบส่งกำลังขับ เกิดความตึงเครียดสูง เป็นผลให้ เครอ่ื งยนตม์ อี ายุส้ันลงอยา่ งมาก (5) เปลี่ยนเกียร์ไม่เหมาะสม การเปล่ียนเกียร์จากเกียร์สูงลงมาเกียร์ต่ำ ให้กระทำเมื่อพลขับแน่ใจว่า ความเร็วของรถในขณะนน้ั ตำ่ กว่าความเร็วสูงสุด ท่ีอนมุ ัตใิ ห้ใช้กับตำแหน่งเกียร์ท่ีเปลี่ยนลงมา มิฉะนั้นจะทำให้ เครอื่ งยนต์ คลัตช์ และเครอ่ื งส่งกำลงั ขบั ตา่ ง ๆ ได้รบั ความตงึ เครยี ดมากเกนิ ควร
ห น้ า | 18 (6) การใช้เท้าเหยียบแป้นคลัตช์ตลอดเวลา จะทำให้ตลับลูกปืนกดคลัตช์ และแผ่นคลัตช์สึกหรอเร็ว ผิดปกติ (7) การทำให้รถกระตุก เน่ืองจากการเข้าเกียร์ผิดตำแหน่ง จะเป็นผลให้เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ขับ เกิดความตงึ เครยี ดมากเกนิ ควร (8) การชนต้นไม้หรือสิ่งอ่ืน ๆ ด้วยเฟืองขับสายพาน หรือล้อปรับสายพาน จะทำให้เกิดความชำรุด เสียหายอย่างรา้ ยแรงแก่สายพาน และเครอ่ื งพยงุ ตวั รถ (9)ไม่ตรวจสอบอาการของเหลวค่ังในกระบอกสูบ (ไฮโดรสแตติคล็อค \"HYDROSTATICLOCK\" ) ก่อนทำการติดเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ซ่ึงมีระบบป๊ัมสูบล่อ และระบบอุ่นไอดี แบบเผาอุ่นอากาศด้วยน้ำมัน เชื้อเพลิง ด้วยการหมุนเครื่องยนต์โดยปิดน้ำมันเชื้อเพลิงไว้อย่างน้อย 5 รอบ ถ้าหากเกิดเสียงดังผิดปกติหรือ เครือ่ งยนตไ์ มห่ มุน ตอ้ งรายงานใหเ้ จ้าหน้าที่ซอ่ มบำรงุ ประจำหนว่ ยทราบเพ่อื ดำเนนิ การแก้ไขต่อไป (10) ไม่ใส่ใจต่อเคร่ืองวัด หรือไฟเตือนในขณะขับรถ เมื่อปรากฏว่าความดันน้ำมันเครื่องต่ำ หรือ อณุ หภูมิของเคร่อื งยนตส์ งู ให้จอดรถ และตรวจหาส่ิงบกพร่อง ถา้ แกไ้ ขไม่ได้ ใหด้ บั เครอ่ื งยนต์ 2.4. การขับรถบนพ้นื ราบ ( การเร่งเคร่ืองยนต์ การเปลยี่ นเกยี ร์ และการเล้ยี วรถ ) (1) จงรักษาความเร็วของรถให้เหมาะสมกับตำแหน่งเกียร์ท่ีใช้ อย่างเร่งเคร่ืองยนต์มาก หรือน้อยเกินไป ใหใ้ ชร้ อบเคร่อื งยนตท์ ใ่ี หแ้ รงบิดสูงสดุ ของรถชนดิ นนั้ ๆ (2) เมื่อจะเปล่ียนจากเกียร์สูงมายังเกียร์ต่ำ ให้ปฏิบัติดังน้ี ผ่อนคันเร่ง และใช้ห้ามล้อ จนรถมีความเร็ว ต่ำกว่าความเร็วสูงสุดท่ีอนุมัติให้ใช้สำหรับเกียร์ที่จะเปลี่ยนลงมาเล็กน้อย แล้วทำการเปลี่ยนเกียร์อาจใช้วิธยี ้ำ คลัตช์สองคร้ัง เพื่อช่วยไม่ให้ เกิดเสียงดัง (ควรฝึกสังเกตเสียงของเครื่องยนต์ และความเร็วของรถให้ชำนาญ จนไม่ตอ้ งใชต้ ามองเข็มวัดความเรว็ ) (3) เม่อื จะทำการเล้ียวรถสายพาน ให้เรง่ เครือ่ งยนต์เพิม่ ขน้ึ เลก็ น้อย ในขณะดึงคนั บงั คบั เลยี้ วเพือ่ ทำให้รถ สามารถเลีย้ วไปไดส้ มำ่ เสมอกัน และเคร่ืองยนต์ไม่สูญเสียกำลงั จนรถหยุดชะงกั ลง 2.5. การขับรถในภมู ปิ ระเทศขรขุ ระ และขึ้นลาดชนั (1) ก่อนท่ีจะเร่ิมข้ึนลาดชัน ให้เลือกเข้าตำแหน่งเกยี ร์ต่ำ ท่ีสามารถทำให้รถสามารถปีนข้ามลาดไปได้โดย ไม่ตอ้ งเปลีย่ นเกยี รก์ ลางทาง (2) เมื่อต้องการใช้เครื่องยนต์ช่วยห้ามล้อในขณะลงลาดชัน จะต้องเปล่ียนเกียร์เป็นเกียร์ต่ำเสียก่อนท่ี ท่านจะลงจากลาดชัน และควบคุมความเร็วของรถด้วยการใช้ห้ามล้อช่วย อย่าพยายามเปล่ียนเกียร์ใน ระหวา่ งกำลังขับรถลงลาดชันอยา่ งเดด็ ขาด (3) เมื่อขับรถขึ้นลาดชัน จงใช้คันบังคับเล้ียวให้น้อยท่ีสุด เพราะการใช้คันบังคับเล้ียวจะทำให้รถต้องใช้ กำลงั มากกวา่ การแลน่ ตรงไปข้างหนา้ 2.6. การขบั รถตามไหลเ่ ขา (1) จงพยายามหลกี เลย่ี งการขบั รถไปตามความลาดเอียงของไหลเ่ ขา ถ้าสามารถกระทำได้ (2) ถ้าจำเป็นต้องขับรถไปตามลาดไหล่เขา จงพยายามใช้กำลังเครื่องยนต์ขับเคล่ือนสายพานอยู่ ตลอดเวลา วธิ นี จ้ี ะชว่ ยป้องกันไม่ใหส้ ายพานหลดุ ได้ (3) จงหลีกเล่ยี งก้อนหนิ ใหญ่ ๆ ตอไม้ ร่องนำ้ คนั ดิน และพ้ืนทไี่ มส่ ม่ำเสมอ 2.7. การขบั รถในโคลน หรือทราย (1) ถ้าสามารถทำให้รถล้อ หรือรถสายพาน เคล่ือนที่ไปได้เรื่อย ๆ โดยพยายามอย่าให้รถหยุดลงจะทำให้ สามารถขับรถผา่ นโคลน หรอื ทราย และพื้นทีด่ ินออ่ นไปไดเ้ สมอ (2) ถ้ารู้สึกว่าสายพานข้างหน่ึงลื่น ให้ดึงคันบังคับเลี้ยว หรือหมุนพวงมาลัยทางด้านที่สายพานล่ืนเพื่อให้ เครือ่ งยนต์สง่ กำลงั ทัง้ หมดไปขับสายพานอีกขา้ งหนึ่ง (รถสายพานสามารถเคล่อื นท่ไี ด้ด้วยสายพานข้างเดียว)
ห น้ า | 19 (3) ก่อนที่จะขับรถผ่านโคลนหรือทราย ให้เปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำเสียก่อน นอกจากพื้นที่ ๆ จะผ่านไปน้ันมี ระยะทางส้นั ๆ พอทจี่ ะเร่งความเร็วผา่ นไปได้ โดยอาศยั แรงเฉือ่ ยของรถ สง่ ขา้ มไป (4) ถ้าหยุดรถหรือทำการเปล่ียนเกียร์ในขณะที่รถอยู่ในโคลนหรือทราย จะทำให้รถติดหล่ม ฉะนั้นจง พยายามเคลื่อนท่ีไปเรอ่ื ย ๆ 2.8. การขบั รถผา่ นปา่ และพุ่มไม้ (1) ถ้าไม่สามารถหลีกเล่ียงการชนต้นไม้ ให้ใช้ตอนกลางของรถเข้าชน อย่าชนด้วยล้อขับสายพาน หรือ ล้อปรับสายพาน (2) จงจำไว้ว่า ท้ายของรถสายพานจะเหวี่ยงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเลี้ยว ของหน้ารถดังนั้นอย่า เลี้ยวรถเร็วเกินไป เม่ือขับรถผ่านต้นไม้หรือส่ิงกีดขวางที่ต้ังสูงข้ึน เพราะการกระทำเช่นน้ันท้ายรถอาจเหว่ียง เข้ากับปะทะต้นไม้หรือสิ่งกีดขวาง ทำให้ล้อปรับสายพาน หรือล้อขับสายพานชำรุด และรถชำรุดเสียหาย ร้ายแรงได้ (3) อย่าถอยหลังรถย้อนกลับเข้าไปในป่าท่ีขับรถผ่านมา และได้ชนต้นไม้ล้มไว้แล้ว เพราะว่ากิ่งไม้ และ ลำตน้ ไมจ้ ะชต้ี รงมาขา้ งหน้า เหมือนหอกจำนวนมาก ซ่ึงอาจจะทำอันตรายแก่พลขบั หรอื ทำให้รถติดได้ (4) ในการขับรถผ่านพ้ืนท่ี ๆ มีพุ่มไม้หรือหญ้าสูง จงระวังร่องน้ำ คู ก้อนหินใหญ่ และตอไม้ซึ่งอาจซ่อน อยู่ภายใน ถา้ พลขบั คอยสังเกตอยา่ งระมัดระวงั อย่ตู ลอดเวลา ก็จะสามารถมองเห็นเครื่องกดี ขวางดงั กลา่ วได้ 2.9. การข้ามลำนำ้ จะต้องมีพลประจำรถลงไปสำรวจใหท้ ราบถงึ ความลึกของลำน้ำ และลกั ษณะของพน้ื ดินใต้นำ้ รวมท้ังตำบลท่ี จะลง และขึ้นจากลำน้ำท่ีดีที่สุด โดยตรวจความเร็วของกระแสน้ำด้วยการข้ามลำน้ำ ให้ศึกษา และปฏิบัติ ตามลำดับข้นั ตอนในค่มู ือประจำรถอยา่ งเคร่งครดั 2.10. การขบั รถในเวลากลางคืน การเห็นในเวลากลางคืนของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน บางคนสามารถมองเห็นได้ดีกว่าคนอ่ืน อย่างไรก็ ตามเราสามารถพัฒนาการเห็นในเวลากลางคืนขึน้ ไดด้ ว้ ยการปฏบิ ัตติ ามหลกั การ ดังน้ี (1) ทำให้สายตาชินกับความมืด จงหลบให้พ้นแสงสว่างหรือปิดตาไม่ให้เห็นแสงสว่างใด ๆ อย่างน้อย ท่ีสุด 30 นาที ก่อนท่ีจะออกเดินทางในเวลากลางคืน วิธีนี้นับว่าเป็นข้ันท่ีสำคัญ สำหรับการมองเห็นในเวลา กลางคืน เพราะถ้าพลขับไม่ชินต่อความมืดจริง ๆ แล้วอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง และผู้อื่นได้ ในขณะท่ี ปฏิบัติการโดยใชก้ ารพรางไฟ เมอ่ื สายตาเคยชินกับความมืดแล้วจะต้องรักษาความเคยชินไว้ให้ดี แม้แตแ่ สงของ ไม้ขีดก้านเดียว อาจลดความสามารถในการเห็นลง 30 นาที ดังนั้น เม่ือปรากฏว่าเกิดมีแสงสว่างข้ึนในพื้นท่ี ทันทีทันใด ให้หลับตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง หรือหันไปมองทางอ่ืนอย่าให้เห็นแสงน้ันถ้าต้องการให้แสงสว่างใน การอา่ นแผนท่ีจงใชโ้ คมไฟสแี ดงซึ่งมผี ลรบกวนต่อการเห็นเวลากลางคนื น้อยท่สี ุด (2) ใช้วิธีมองข้าง ๆ เป้าหมาย โดยมองให้ห่างจากเป้าหมายหรือถนนท่ีเราต้องการจะเห็นประมาณ 3 องศา ไปทางขวา หรือทางซ้าย ข้างบน และข้างล่างแล้วเราจะมองเห็นเป้าหมายนั้น ๆ ปรากฏเข้าไปในจดุ บอด ของดวงตา และสามารถเหน็ เป้าหมายได้ชัดเจนยงิ่ ขน้ึ (3) ใช้วธิ กี วาดสายตา ในเวลากลางคนื เราสามารถมองเหน็ สิง่ อืน่ ๆ โดยรสู้ ึกเม่อื ยตานอ้ ยลง ถ้าหากใชว้ ธิ ี มองกวาดสายตาไปมา และหยุดเป็นช่วงสั้น ๆ ในการมองหาเป้าหมาย ซง่ึ วิธกี ารกวาดสายตาดังกลา่ วอาจทำให้ การค้นหาเป้าหมายได้ง่ายย่ิงขึ้น มีข้อสำคัญที่ควรระวังก็คือ อย่างมองเพ่งอยู่ท่ีเดียวในเวลากลางคืนเป็นอัน ขาดโดยเฉพาะจุดเป็นดวงไฟ เพราะถ้าเพ่งมองท่ีดวงไฟน้ีเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอุบัติเหตขุ ึ้นได้ ตัวอย่างเช่น พลขับคนหน่ึงขับรถตามหลังรถบรรทุกข้างหน้า โดยเพ่งมองท่ีไฟท้ายตลอดเวลาทำให้เขาขับรถเล้ียวตามแสง ไฟ ซ่ึงเห็นว่าเล้ียวไปมาได้ แต่ความจริงรถคันหน้ายังคงขับตรงไปข้างหน้าตามเดิม เป็นเหตุให้รถตกข้างทาง
ห น้ า | 20 มีวธิ ีเดยี วเท่าน้ันท่ีจะป้องกันไม่ให้เกิดภาพลวงตาขึ้นมาได้ก็คือการปฏิบัตติ ามกฎท่ีถูกตอ้ ง โดยอย่ามองเพง่ อยู่ท่ี เดียว จงใชว้ ิธีกวาดสายตา 2.11. ขอ้ เตือนใจครง้ั สุดท้าย (1) ส่ิงทต่ี ้องฝึกใหเ้ ป็นนิสัย วัตถุประสงค์ของการฝึกขับรถทุกประเภทน้ันก็เพอื่ ทีจ่ ะใหพ้ ลขับ เปน็ พลขับ ที่ดี สามารถขับรถทำการรบได้ และในขณะทำการรบ พลขับจะต้องใช้ความคิดหลาย ๆ เร่ืองในเวลาเดียวกัน เช่นต้องเลือกภูมิประเทศท่ีให้การกำบังจากการยิง และการตรวจการณ์ของข้าศึก และต้องรักษารูปขบวนใน การเคล่ือนท่ีอีกด้วย ในขณะท่ีกำลังคิดเร่ืองเหล่าน้ี พลขับยังต้องขับรถโดยไม่ให้รถ และเคร่ืองกลไกต่าง ๆ ชำรุดเสียหายอกี ดว้ ย เพอ่ื ที่จะใหก้ ารปฏิบตั หิ น้าทเ่ี ปน็ ไปโดยสมบูรณ์ ดงั น้ันการปฏิบตั ิทกุ อย่างของพลขับต้อง เปน็ ไปโดยอตั โนมตั ิ (2) การขับรถในการรบ ย่อมประกอบด้วย \"สถานการณ์\" ซึ่งพลขับจะต้องประสบเป็นตอน ๆ คร้ังละ อยา่ ง หรอื หลายอย่างผสมกนั สถานการณท์ ี่มกั พบบ่อย ๆ มดี งั น้ี 1) การขนึ้ เนนิ และลงเนิน 2) การเลี้ยวตามโค้ง หรือเล้ยี วหลบเคร่ืองกีดขวาง 3) การขับผา่ นโคลน ทราย 4) การขบั รถบนภูมปิ ระเทศท่ีปกคลุมไปดว้ ยนำ้ แข็ง และหิมะ 5) การขับรถข้ามเคร่ืองกีดขวางที่ชันเกือบต้ังฉากกับพ้ืนดิน เช่น ตล่ิง ปากหลุมระเบิด หรือขอนไม้ คนั นาสูง ฯลฯ 6) การขับรถขา้ มลำน้ำ (3) ข้ันตอนต่าง ๆ ในการขับรถ จากความรู้ต่าง ๆ ท่ีได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น เราทราบได้ว่าควรจะ ปฏบิ ัตติ ่อเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ดว้ ยวิธีใดบา้ ง ข้ันตอนต่าง ๆ ที่จะนำมาใชต้ ่อทุก ๆ สถานการณ์คงเป็นแบบเดยี วกัน คอื การพจิ ารณา การตกลงใจ และการบงั คับรถ 1) การพิจารณา การพิจารณาน้ันย่อมมีความเห็นแตกต่างกันได้หลายอย่าง เช่นพลขับสองคน มองเห็นเคร่ืองกีดขวางอย่างเดียวกัน พลขับคนหน่ึงพิจารณาเห็นว่าไม่สามารถขับรถข้ามไปได้ แต่พลขับอีกคน หน่ึงพิจารณาเห็นว่าข้ามได้ พลขับคนแรกขับรถอ้อมเครื่องกีดขวางนั้น และปฏิบัติการรบต่อไปได้ ส่วนพลขับ คนท่ี 2 พยายามขับรถข้ามเครื่องกีดขวาง แต่รถติดเลยทำให้สูญเสียรถไปหนึ่งคัน ดังนั้นพลขับที่ดีจะต้อง สามารถประเมินค่าภูมปิ ระเทศไดโ้ ดยการมองตรวจการณ์ เพียงอยา่ งเดยี ว 2) การตกลงใจ หมายความว่าจะตัดสินใจบังคับรถด้วยวิธีใดเมื่อประสบกับเคร่ืองกีดขวาง พลขับ จะต้องสามารถตอบคำถามเหลา่ น้ใี หไ้ ด้ คือ - ส่ิงกดี ขวางน้นั สามารถผา่ นไปไดห้ รอื ไม่ หรือจำเปน็ ตอ้ งเลือกเส้นทางอื่นอ้อมไป - จะใช้เกียร์อะไร - จะเปล่ียนเกียร์เม่อื ใด ในการตอบคำถามเหล่านี้ พลขับจะต้องใช้การตกลงใจ การตกลงใจที่ดีนั้นต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับ คุณลักษณะขีดความสามารถ และข้อจำกัดของรถท่ีตนเองขับอยู่ พลขับต้องฝึกการตกลงใจจนกลายเป็นนิสัย ติดตัว เมื่อรถติดเน่ืองจากการตกลงใจท่ีเลว จงกลับไปลำดับเหตุการณ์นั้นใหม่ และค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิด ข้อผิดพลาดให้พบ ต่อไปพลขับก็จะไม่กระทำสิ่งที่ผิดอีก จงให้พลขับฝึกขับทุก ๆ เหตุการณ์ซ้ำอีก เมื่อเห็นว่า การตกลงใจของพลขับผ้นู ั้นยงั ใช้ไม่ได้ 3) การบังคับรถ หมายถึง การใช้เครื่องบังคับ และเคร่ืองควบคุมรถได้อย่างเหมาะสม และ ถูกต้อง ถึงแม้ว่าพลขับจะสามารถพิจารณา และตกลงใจอย่างถูกต้องแล้ว แต่ถ้าพลขับไม่สามารถบังคับรถ หรือไม่มีความชำนาญในการบังคับรถโดยสญั ชาตญิ าณ คอื เมื่อตกลงใจอะไรแล้วปฏบิ ัติได้ทันที เชน่ เม่ือรูส้ ึก ว่ารถมีความเร็วมากไป เท้าของพลขับควรจะผ่อนคันเร่งน้ำมันข้ึนมาเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาคิด
ห น้ า | 21 เสียก่อนวา่ การทำให้รถช้าลงน้ี จะตอ้ งผ่อนคันเร่งน้ำมันขึ้นมาแล้วจึงเหยียบห้ามล้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัตเิ หตุ ขน้ึ ได้ เมอ่ื พบกบั เหตุการณฉ์ กุ เฉินขึ้น 4) ความนิ่มนวล ถ้าพลขับเข้าใจซาบซึ้งในเรื่องของการพิจารณา การตกลงใจ และการบังคับรถ ก็ จะเป็นพลขับที่มีความนิ่มนวลคนหนึ่ง ความนิ่มนวลย่อมเป็นเครื่องหมายของพลขับที่ดี การกระตุก หรือ กระชากเป็นเคร่ืองหมายของพลขับที่เลว เราจะแสดงตัวอย่างให้เห็นถึงผลร้ายของการขับรถอย่างกระตุกได้ โดยใช้เชือกเส้นเล็ก ๆ ผูกเข้ากับของที่มีน้ำหนัก 1 กก. ถ้าเรากระตุกเชือกนั้นขึ้น จะไม่สามารถยกของน้ัน ข้ึนมาได้ เพราะเชือกจะขาดเสียก่อน แต่ถ้าเราดึงเชือกน้ันอย่างน่ิมนวลของน้ันก็จะถูกยกข้ึนให้พ้นพ้ืนได้ การขับรถก็เช่นเดียวกัน การขับรถอย่างน่ิมนวลย่อมไม่ทำให้เคร่ืองกลไกต่าง ๆ ขัดข้อง แต่การขับรถอย่าง กระแทกกระทนั้ ยอ่ มทำให้ชนิ้ ส่วนตา่ ง ๆ ของรถแตกชำรุดลงได้ (5) ความชำนาญ มีหนทางเดียวเท่าน้ันท่ีจะทำให้เกิดความชำนาญขึ้นมาได้ คือการ ฝึกหัด เพื่อให้เกิดการ ปฏิบตั ติ ามเหตกุ ารณไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง เหมาะสม และนิม่ นวล ทกุ คร้ังท่พี ลขับใช้ การพิจารณา การตกลงใจ และการ บงั คบั รถ จะตอ้ งถามตนเองด้วยคำถามตอ่ ไปนเี้ สมอ คอื - พลขบั ไดก้ ระทำเร่ืองนนั้ ถูกต้องหรอื ไม่ - ทำอยา่ งไรพลขบั จงึ จะปฏบิ ัตใิ หด้ ีขึน้ กวา่ น้ี ถ้าพลขบั ทกุ คนกระทำไดด้ งั น้ี กจ็ ะเป็นพลขับรถทำการรบท่ีชำนาญได้อยา่ งรวดเร็ว ************
ห น้ า | 22 แผนกวิชายานยนต์ กองการศึกษา โรงเรยี นทหารมา้ ศนู ย์การทหารมา้ คา่ ยอดศิ ร สระบุรี ---------- ผนวก ก ประกอบการสอน สัญญาณแขน และสญั ญาณมือ 1. สัญญาณแขน และสัญญาณมือที่ใช้ควบคมุ รถถัง หรือ รสพ.ขณะอยู่บนพน้ื ดนิ 1.1 ติดเครอ่ื งยนต์ หรือเตรียมเคลือ่ นท่ี กำมือขวา แลว้ ควงเป็นวงกลม ตามเข็มนาฬกิ า เสมอแนวเข็มขัด 1.2. ดับเครื่องยนต์ ยกมอื ขวาขึ้นมาระดบั คอ หนั ฝา่ มอื ลงข้างล่าง ทำเสมอื น เชอื ดคอ 1.3. หมนุ รถอยู่กับที่ กำมือ และยกข้นึ ประสานกนั อยรู่ ะหว่างหน้าอก หนั ฝา่ มือเข้าหาตัว ใช้นิ้วช้ี ๆไปในทิศทางที่จะให้ รถหมนุ ( มือกำทจี่ ะช้อี ย่ดู ้านนอก ) ใช้ในสภาพ พ้ืนที่จำกดั เท่านั้น 1.4 เดนิ หน้า และถอยหลงั เดินหน้า ใชม้ ือทงั้ สองมอื ย่นื ออกไปเล็กน้อย หัน ฝ่ามือเข้าหาตัว แล้วโบกเข้าหาตัวทำซ้ำกนั หลาย ๆ ครงั้ แสดงวา่ ให้รถเคลื่อนท่ีเข้ามาผ้ใู ห้สญั ญาณ ถอยหลงั หันฝ่ามือออกจากตัว โบกไปขา้ งหน้า แสดง ว่าให้รถถอยหลงั ทำซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง 1.5 เปล่ียนทิศทาง จะเดนิ หนา้ หรือถอยหลงั คงทำเช่นเดยี วกัน เม่อื จะให้ เปล่ียนทิศทาง ใหก้ ำมอื ใดกำมอื หนึง่ ใหเ้ ข้าหาลำตัว แสดงว่าต้องการจะใหห้ ันเลย้ี วไปจนกว่าจะแบมอื ทกี่ ำ 1.6 ข้นึ รถ เหยียดแขนขวาลงข้างตวั หันฝา่ มอื ออกข้างนอกยกขึน้ ขา้ งบน ทำมุม 45 องศา ทำซำ้ ๆ กนั จนกวา่ จะเขา้ ใจ 1.7 ลงจากรถ เหยยี ดแขนขวา ทำมุม 85 องศา กบั ระดับไหล่ โบกลงเข้าหาตัว ทำซำ้ ๆ กันจนกวา่ จะเขา้ ใจ 1.8 ปิดระยะต่อ แลว้ หยุดรถ ยกแขนท้ังสองเสมอเอว หันฝ่ามอื เข้าหากัน และ เคลอื่ นมือเขา้ หากนั หลาย ๆ ครงั้ จนกวา่ จะเขา้ ใจ 1.9 หยุดรถ (ในขณะที่ผ้ใู ห้สญั ญาณอยู่หน้ารถ) เมอ่ื ผู้ใหส้ ัญญาณหัน หน้าเข้าหารถ ยกแขนทอ่ นลา่ งข้นึ มาตรงหนา้ หันฝา่ มือ เข้าหากันแล้วจบั กนั แสดงว่าให้พลขบั หยดุ รถทนั ที 2. แขน และมอื สญั ญาณที่ใช้ควบคุมในขณะรถถังเคล่ือนที่ 2.1 ระวงั หรอื ให้สนใจ ยกมือขวาเหยยี ดเหนือศีรษะ หันฝ่ามือไปขา้ งหน้า โบกไปมาหลาย ๆ ครัง้ ใหพ้ ลประจำรถระวงั หรือ สนใจ 2.2. ข้าพเจา้ พรอ้ มแล้ว ทา่ นพรอ้ มหรอื ยัง ยกมือขวาเหยียดตรงไปข้างหนา้ หนั ฝ่ามอื ไปข้าง หน้า ถา้ ทา่ นตอ้ งการจะให้ผู้รบั สญั ญาณสนใจ วา่ จะ
ห น้ า | 23 ส่ังการอะไรตอ่ ไป ใชม้ อื ที่ยื่นออกไปข้างหนา้ โบก ไปมาทางระดับ 2.3ข้าพเจ้าไมเ่ ขา้ ใจ ยกมือขวาข้ึนปิดหน้า และมือซ้ายอยู่ตอนล่าง หันฝ่ามือ ออก 2.4 ยกเลิกคำส่ังคร้ังแรก ยกมอื ทัง้ สองข้ึนเหนอื ศรี ษะไขวก้ ัน หันฝ่ามือไปข้าง หนา้ มือขวาทับมือซา้ ย 2.5 เรียกรวม ยกมือขวาเหยียดเหนอื ศีรษะ หนั ฝา่ มือไปขา้ งหน้า หมุนเป็นวงกลมตามเขม็ นาฬกิ า 2.6ตามขา้ พเจา้ ยกแขนท่อนบนระดบั ไหล่ งอแขนท่อนล่างหันฝา่ มือ และโบกเข้าหาตวั 2.7 ขบวนออกเดนิ ทาง เหยยี ดแขนขวาเหนือศรี ษะให้สดุ หันฝา่ มือไปข้าง หน้าไปทางทิศทางท่ีเคล่อื นทข่ี บวน โดยหนั ฝา่ มือ ลงล่างทำซ้ำ ๆ กันจนกว่าจะเขา้ ใจ 2.8ใกล้ทางปีกขวา (ซ้าย) เหยียดมือขวาเสมอไหล่ หันฝ่ามือไปขา้ งหนา้ ยกมอื ซ้ายอยู่ใต้มือขวา เหยียดแขนตรง 2.9 หยดุ พกั หรือหยุด เหยียดแขนขวาเหนือศรี ษะใหส้ ดุ หันฝ่ามือไปขา้ งหนา้ 2.10 เพ่มิ ความเร็ว กำมือยกแขนทอ่ นล่างเสมอไหล่แขนท่อนบนงอขนาน กับลำตัว ยกข้นึ ลง หลาย ๆ ครง้ั 2.11 ลดความเรว็ เหยยี ดแขนทั้งสองเหนือศรี ษะ หันฝา่ มอื เข้าหากนั แลว้ วาดมอื ท้ังสองลงเสมอแนวไหล่ หันฝา่ มือคว่ำลง ทำหลาย ๆ คร้ัง จนกว่าจะเขา้ ใจ 2.12 เปิดระยะต่อ (ระยะเคยี ง) เหยยี ดแขนขวาเสมอแนวไหล่ หนั ฝ่ามอื ไปขา้ งหน้า ยกขึ้น หลาย ๆ ครั้ง จนกว่าจะเข้าใจ (อย่ายกข้ึนเกินกว่าระดับ ไหล่) 2.13 เคลื่อนทีผ่ ่านไป งอแขนขวาเสมอแนวอก แล้วกางแขนไปทางข้าง ให้ หรือเล่ือนฉากการยงิ แขนเหยยี ดเสมอไหล่ หันฝา่ มือไปข้างหลัง 2.14 ปดิ ระยะ เหยยี ดแขนท้งั สองเสมอแนวไหล่ หนั ฝา่ มือข้นึ ขา้ งบนยก แขนทั้งสองข้ึนบรรจบกนั เหนือศีรษะ ทำหลาย ๆ ครง้ั จนกวา่ จะเข้าใจ 2.15 เล้ยี วซา้ ย หรอื ขบวนเลยี้ วซ้าย เหยยี ดแขนซา้ ยเสมอแนวระดับไหล่ หนั ฝ่ามอื ไปขา้ งหนา้ 2.16 เลีย้ วขวา หรอื ขบวนเลยี้ วขวา เหยียดแขนขวาเสมอแนวระดบั ไหล่ หนั ฝ่ามอื ไปขา้ งหนา้ 2.17 กระจายกันออกไป ยกมือขวาข้ึนทางหน้า แขนท่อนบนตั้งฉากกับลำตัวงอแขนท่อน ล่างขนานลำตัว กำมือ แล้วพุ่งมือออกไปทางข้าง ท้ังสอง และทาง หลงั 3. ท่าสญั ญาณท่ใี ช้โดยพลขบั ซึ่งขบั รถพวงมาลัยซ้าย 3.1 เปิดระยะ เหยยี ดแขนซา้ ยออกไปเสมอแนวไหล่ หันฝ่ามอื ไป ขา้ งหนา้ ลดแขน ซ้ายลง ทำมมุ 45 องศา แล้วยกข้นึ กระทำหลาย ๆ ครง้ั จนกว่าจะเขา้ ใจ 3.2 ปิดระยะ เหยียดแขนซ้ายออกไปเสมอแนวไหล่ หนั ฝ่ามอื หงายข้นึ เหนอื ศีรษะ หันฝา่ มอื ไปข้างหนา้ ทำข้ึนลงหลาย ๆ คร้งั จนกวา่ จะเขา้ ใจ 3.3 เล้ียวขวา ยกแขนซ้ายทำมุม 45 องศา แนวศีรษะ
ห น้ า | 24 3.4 เลีย้ วซ้าย เหยียดแขนซ้ายออกไปเสมอแนวระดบั ไหล่ กำมือช้นี ิว้ ออกไป 3.5 ใหแ้ ซงข้ึนหนา้ ผ่านไป เหยยี ดแขนซ้ายออกไปเสมอแนวระดับไหล่ หนั ฝ่ามือไปข้างหนา้ เขยี นวงกลมตามเข็มนาฬกิ า 3.6 ชา้ ลง หรือหยดุ เหยียดแขนซ้ายลงล่าง หันฝา่ มือไปข้างหนา้ เป็นสญั ญาณใหล้ ดความ เรว็ ลง ถา้ หยุด ให้หันฝา่ มอื มาขา้ งหลัง **********
ห น้ า | 25 แผนกวิชายานยนต์ กองการศกึ ษา โรงเรียนทหารมา้ ศนู ยก์ ารทหารม้า ค่ายอดศิ ร สระบรุ ี ---------- ผนวก ข ประกอบการสอน ธงสัญญาณ 1. ธงสีแดง เป็นสญั ญาณอันตราย หรอื พบข้าศกึ โดยการถอื ด้ามธงยกขึน้ หรือติดไว้กบั รถตงั้ ตรงทางดิง่ 2. ธงสเี ขียว แสดงใหท้ ราบวา่ เรยี บรอ้ ย พร้อม หรอื เข้าใจ โดยการถือดา้ มธงยกขนึ้ หรือติดไว้กับรถ ตง้ั ตรงทางดงิ่ 3.ธงสสี ้ม แสดงใหท้ ราบว่ายกเลิกคำสั่ง รถเกดิ ขดั ขอ้ ง ปฏิบัตภิ ารกจิ ไม่ได้ โดยถือ ดา้ มธงยกขึน้ หรือตดิ ไว้กบั รถ ต้ังตรงทางดิง่ 4. ปฏบิ ตั งิ านทางขวา (ซา้ ย หน้า หรอื หลัง) ถอื ธงสแี ดง โดยงอแขนทอ่ นบนเสมอแนวไหล่ แขน ท่อนบนซึง่ มือถือธงขนานกับลำตวั ช้ธี งไปยงั ทิศทางท่ีต้องการหลาย ๆ ครั้ง จนกวา่ จะเขา้ ใจ (การช้ธี ง ชี้ให้ขนานกับพืน้ ) 5. การโอบทางขวา ยกธงแดงถือต้งั ตรงด้วยมือขวา ย่นื แขนระดับข้างหน้าของรา่ งกายแลว้ เลอ่ื น (ซ้าย หรือท้งั สองปีก) แขนถอื ธงออกมาทางขวาเปน็ แนวระดบั กระทำหลาย ๆ ครั้ง (ถา้ โอบซ้ายใหใ้ ชแ้ ขนซา้ ยถอื ธงและกระทำเชน่ เดยี วกันกับแขนขวา) 6. รวมพลหรอื ปดิ ระยะ รวมธงสสี ม้ และสเี ขียวไว้ดว้ ยมอื ขวาเหนือศรี ษะ ตง้ั ตรงในทางด่งิ 7. มีไอพิษ รวมธงสีแดง และสสี ม้ ดว้ ยมอื ขวาไว้เหนอื ศรี ษะ และอีกมอื ข้างหน่ึงถอื ธงสีเขยี ว 8. กระจายกำลัง รวมธงสีแดง และสีเขียวด้วยมอื ขวา เหนอื ศีรษะ 9. เปดิ ระยะ รวมธงสีแดง สสี ม้ ดว้ ยมอื ขวาเหนือศรี ษะ ***********************
ห น้ า | 26 แผนกวิชายานยนต์ กองการศกึ ษา โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารมา้ ค่ายอดิศร สระบรุ ี ---------- เอกสารนำ หลักการขับรถเวลากลางคืนและเคร่ืองมือขบั รถในเวลากลางคืน 1. ความมงุ่ หมาย เพอ่ื ให้นักเรยี นมีความรู้ เกี่ยวกบั หลกั การขับรถในเวลากลางคนื และ การใชเ้ คร่อื งมือขบั รถในเวลากลางคืน 2. ขอบเขตการศกึ ษา ใหน้ กั เรยี นมคี วามรคู้ วามเข้าใจ ในเร่อื งตา่ ง ๆ ดังน้ี - หลักการขับรถในเวลากลางคืนโดยทั่วไป - การใชก้ ลอ้ งขับรถในเวลากลางคนื ของพลขบั ระบบอนิ ฟราเรด - การใช้กลอ้ งขับรถในเวลากลางคนื ของพลขบั ระบบทวคี วามเขม้ ของแสง 3. ระยะเวลาการศกึ ษา - ชั่วโมง 4. หลักฐาน - คท.21-301 - คท. ประจำรถ รสพ.เอม็ 113 - คท. ประจำรถ ถ.เบา 21 - คท. ประจำรถ ถ.เบา 32 - คท. ประจำรถ ถ.30 ( ที 69-2 ) - คท. ประจำรถ ถ.เอ็ม 48 เอ 5 - คท. ประจำรถ ถ.เอ็ม 60 เอ 1 / เอ 3 5. งานมอบ ให้นักเรียนอ่านเอกสารนำ และเอกสารเพม่ิ เติม วิชาหลกั การขบั รถใน เวลากลางคนื และการใชเ้ ครือ่ งมือการขับรถในเวลากลางคืน 6. เอกสารจ่ายประกอบเอกสารนำ เอกสารเพ่มิ เติม ***********
ห น้ า | 27 แผนกวชิ ายานยนต์ กองการศกึ ษา โรงเรยี นทหารม้า ศูนยก์ ารทหารม้า คา่ ยอดิศร สระบุรี ---------- เอกสารเพม่ิ เตมิ หลักการขับรถเวลากลางคนื และเคร่อื งมอื ขับรถในเวลากลางคืน 1. กลา่ วนำ เพ่ือดำรงความคล่องแคล่วในการเคลื่อนท่ี หน่วยทหารม้าจะต้องสามารถเคลื่อนย้ายในเวลา กลางคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทหารม้าจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักการขับรถในเวลากลางคืน สามารถใชเ้ คร่ืองมือการขับรถในเวลากลางคืนได้ ดังน้ันการศึกษาวิชาน้ีจะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนในการนำ ความรู้ไปใช้ และถ่ายทอดตอ่ บคุ คลอน่ื ๆ ไดถ้ ูกตอ้ ง 2. การขบั รถในเวลากลางคนื พลขับตอ้ งมคี วามระมัดระวังเป็นอยา่ งมาก เพราะส่ิงต่าง ๆ หลายประการดว้ ยกันเปน็ อุปสรรคตอ่ การ ขับรถในเวลากลางคืน แม้แต่พลขับที่มีความชำนาญเป็นอย่างดีแล้ว ถ้าไม่มีการระมัดระวัง ไม่ทราบเก่ียวกับ การป้องกันก็จะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ในเวลากลางคืน ปัจจัยท่ีเป็นอุปสรรคต่อการขับรถในเวลากลางคืนมี ดงั นี้ 2.1. ยา่ นการเห็นในเวลากลางคนื 2.2. การวิ่งสวนทางกนั ในเวลากลางคนื 2.3. การเลย้ี วโค้งในเวลากลางคืน 2.4. ความเหน็ดเหน่ือย 2.1. ยา่ นการเห็นในเวลากลางคืน เป็นส่ิงจำเป็นมากสำหรับพลขับทางราชการทหาร ท่ีจะต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อยที่ สุด คือ มี ความสามารถในการเห็นในเวลากลางคืนเหมือนกับคนขับรถธรรมดาสามัญทั่วไป เพราะว่ายานยนต์ ของ ราชการทหารทำการเคลอ่ื นทใ่ี นเวลากลางคืนบอ่ ย ๆในสภาพต่าง ๆ กนั เชน่ การใช้ไฟใหญห่ น้ารถ และการ ใช้ไฟพรางขับ แม้ว่าในเวลากลางคืนที่ไม่มีแสงไฟช่วย พลขับที่มีสายตาดีจะสามารถทราบความแตกต่าง ระหว่างแนวถนน แนวต้นไม้ แนวตึก และส่ิงต่าง ๆ ได้ การขับรถในเวลากลางคืนตามธรรมดาก็อาศัยไฟ ใหญ่หนา้ รถส่องสวา่ งบนพ้ืนถนนเป็นหลัก แสงไฟหน้ารถนสี้ ามารถสอ่ งสว่างได้ ชดั เจนเพียง 200-300 ฟุตเทา่ นัน้ ฉะนน้ั พลขับจงึ ไม่ควรขับให้มคี วามเรว็ เกนิ กวา่ อตั ราทกี่ ำหนดให้ 2.2 การวงิ่ สวนทางกันในเวลากลางคืน เราทราบแล้วว่า การขับรถในเวลากลางคืนตามธรรมดาแล้ว เราอาศัยไฟใหญ่หน้ารถเป็นหลัก ในการสอ่ งสว่าง ฉะนนั้ จงึ จำเปน็ อยเู่ องทีใ่ นขณะท่ีรถว่งิ สวนทางกัน แสงไฟใหญห่ นา้ รถจะต้อง เขา้ ตาพลขบั บา้ งมากหรือนอ้ ยก็แล้วแตเ่ หตกุ ารณท์ ่ีเกดิ ขน้ึ พลขบั บางคนอาจมีความชำนาญหรอื มสี ายตา ทนตอ่ แสงจ้าเข้าตาดีกวา่ บางคน การท่ีไฟเข้าตาพลขับจะทำให้พลขับตาพร่ามองไม่ชัดเจน และกว่าสายตาจะ กลับอยู่ในสภาพเดิมตามปกติก็ประมาณ 10 วินาที ในห้วงเวลา 10 วินาทีน้ี ถ้ารถแล่นด้วยความเร็ว 30 ไมล์/ ชม. รถก็แล่นไปไดเ้ ป็นระยะทางถึง 45 ฟุต และในระยะน้อี าจเกิดอุบัติเหตขุ ้นึ ได้มีอยู่หลายวิธดี ้วยกันท่ีพลขับ สามารถท่จี ะหลีกเล่ยี งไฟเขา้ ตา ทำให้ตาพรา่ เม่อื ขับรถในเวลากลางคนื คอื 2.2.1 พยายามขบั รถให้ชดิ ซ้ายทส่ี ดุ ในขณะท่มี ีรถคันอื่นทีเ่ ขา้ ใกล้ในทศิ ทางตรงกันข้าม
ห น้ า | 28 2.2.2 ให้ลดความเร็วของรถลง เมื่อสังเกตเห็นไฟหน้ารถคันอื่นเคล่ือนที่ใกล้เข้ามาในทิศทางตรงกันข้าม และเร่งความเร็วของรถใหอ้ ยู่ในสภาพเดมิ ภายหลงั ทร่ี ถคนั ทสี่ วนทางมาผา่ นพน้ ไปแล้วแตต่ ้องกระทำเมอ่ื สายตา ได้กลบั อย่ใู นสภาพเดิมแล้ว 2.2.3 อย่าพยายามมองตรงไปท่ีไฟหน้ารถของคันที่สวนทางมา แต่ให้มองไปท่ีขอบบนของรถคันท่ีสวน ทางมา การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อจะให้แสงไฟเข้าตาน้อยที่สุดเท่าท่ีน้อยได้และทำให้มีที่หมายสำหรับสังเกต เพอ่ื ทีจ่ ะขับรถของเราใหเ้ คลอ่ื นทไ่ี ปได้ 2.3 การเลี้ยวโคง้ ในเวลากลางคนื การเล้ียวโค้งในเวลากลางคืนก็เป็นส่งิ จำเป็น เพราะการเล้ยี วโค้งในเวลากลางคืนทำให้ย่านการเห็นจำกัด ไม่เหมือนกับทางตรง ในขณะท่ีรถของเราแล่นเข้าสู่ส่วนโค้งของถนน ไฟใหญ่หน้ารถท่ีส่องออกไปข้างหน้าจะ ส่องแสงตัดกับพื้นถนนในทิศทางทแยงกับถนน ผลที่บังเกิดก็คือ แสงไฟจะส่องไปท่ีบนพ้ืนถนนไม่กี่ฟุตเท่า นั้นเอง ฉะนั้นถ้าเราขับรถเร็วเกินควรก็จะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย ข้อพึงระวงั คือในขณะที่รถจะเล้ียวโค้ง ให้ลดความเรว็ ลงให้มาก ๆ เพ่อื ท่จี ะทำการหยุดรถไดท้ ันในเมื่อจำเปน็ 2.4 ความเหน็ดเหน่อื ย สิ่งนี้เป็นส่ิงที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงสำหรับการขับรถติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ และอุบัติเหตุ เกิดข้ึนเพราะประการน้ีมากที่สุด พลขับต้องระลึกอยู่เสมอว่า ความเหน็ดเหน่ือยทำให้เกิดอุบัติเหตุ และพล ขับควรที่จะป้องกันเท่าท่ีจะสามารถจะทำได้ เพ่ือให้ตนเองและรถของทางราชการรอดพ้นจากการเกิดอุบตั ิเหตุ ความเหน็ดเหน่ือยอ่อนเพลียของพลขับจะทำให้บังเกิดผล 2 ประการ คือ อาจจะทำให้บงั เกดิ การเคลิ้มตวั ซึ่ง ถ้าปรากฏการณ์เช่นน้ีบงั เกิดข้ึน จะทำให้เกิดการขาดสติ ถึงแม้ว่าพลขับจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะ ทำให้ตนเองตื่นอยู่เสมอ หรืออกี ประการหนึ่งพลขับอาจจะสำคัญผิดว่าสามารถที่จะบังคับให้ตนเองตื่นอยู่เสมอ และพลขับอาจจะหลงผิดคิดว่าตนเองสามารถที่ขับยานพาหนะไปได้อย่างปลอดภัย จริงอยู่ในบางคร้ังพลขับ สามารถท่ีจะขับรถไปได้ปลอดภัย แตก่ ็เป็นท่ียอมรับกันว่าพลขับจะไม่สามารถคาดคะเนความเร็ว ระยะทาง และอาการตอบสนองของรถได้ถูกต้อง และประการท่ีสำคัญท่ีสุดก็คือ จะมีความเชื่องช้าต่อการกระทำต่าง ๆ และไมอ่ าจเหน็ สิ่งอ่ืน ๆ ได้ถกู ตอ้ งเหมอื นธรรมดา การปอ้ งกนั ในเม่ือพลขับมีความเหน็ดเหน่ือยมาก ๆ ก็ควรเปลี่ยนให้ผู้ช่วยพลขับทำการขับยานพาหนะหรือถ้า กระทำได้ก็ควรจะจอดรถไว้ข้างทางและนอนหลับสักครู่หนึ่ง จนกว่าจะเห็นว่าสามารถขับรถต่อไปได้แล้ว ถ้า หากว่าพลขับมีความจำเป็นท่ีจะต้องทำการขับรถต่อไป ก็ควรจะดื่มกาแฟหรือน้ำชาแก่ ๆ และเปิดกระจกรถ เพื่อให้อากาศผ่านมากท่ีสุดเท่าที่จะมากได้ และสูดหายใจแรง ๆ หลาย ๆ คร้ัง เพ่ือทำให้สดชื่นข้ึน หรืออีก ประการหนึ่งถา้ หากกระทำได้ให้หยุดรถบ่อย ๆ ครงั้ ละประมาณ 3-4 นาที เพือ่ ที่จะได้ลงจากรถและออกกำลัง กาย แต่การที่จะป้องกันการเหน็ดเหน่ือยให้ดีท่ีสุดนั้นก็คือ การพักผ่อนนอนหลับให้มากพอก่อนออกเดินทาง หา้ มไม่ให้ใช้ยาเสพติด เป็นอนั ขาด 3. สิ่งท่ีเป็นส่วนช่วยในการขับรถในเวลากลางคืน เพ่ือเป็นการช่วยเหลือเกี่ยวกับย่านการเห็นในเวลา กลางคืน พลขบั ควรกระทำ ดงั น้ี 3.1 เช็ดกระจกหน้ารถให้สะอาด 3.2 หลกี เลีย่ งการมองตรงไปยังไฟหนา้ รถของคนั ท่สี วนทางมา แต่ใหม้ องไปท่กี ึง่ กลางถนนหรอื ทขี่ อบบนของรถคันทสี่ วนมา 3.3 ให้กดสวิตชไ์ ฟลงต่ำเมอื่ เห็นมีรถสวนทางมา 3.4 ใหใ้ ชไ้ ฟหน้าต่ำของรถ เพอ่ื ลดแสงสะทอ้ นอันเกิดจากละอองน้ำในบรรยากาศ เหนอื พนื้ ถนน เมอ่ื ขบั รถในขณะหมอกลงหรอื ฝนตก 3.5 ขับรถด้วยความเร็วท่ีพลขับสามารถจะหยุดรถไดใ้ นระยะซึง่ พลขับสามารถจะมองเหน็ ได้จาก
ห น้ า | 29 แสงไฟท่ีรถสอ่ งสว่างไปถึง 4. การเดินรถในขบวนโดยการใชไ้ ฟพรางขบั ภายใต้สถานการณ์บางโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือใกล้เขตการรบ อาจจะมีความจำเป็นสำหรับรถท่ี จะต้องทำการเคลื่อนที่คันเดียวหรือเป็นขบวนโดยใช้ไฟพรางขับเท่านั้น ท้ังนี้เพื่อที่จะพรางข้าศึกไม่ให้ทราบถึง การเคลอ่ื นที่ของรถฝ่ายเราได้ และแม้วา่ ข้าศึกทราบว่าฝ่ายเรากำลังเคลื่อนที่อยู่ การขับด้วยไฟพรางกจ็ ะทำให้ ข้าศึกไม่สามารถทราบว่ามีรถท่ีกำลังเคลื่อนที่อยู่เป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด มีอะไรบรรทุกอยู่บ้าง และยังเป็น การปอ้ งกนั อนั ตรายโดยอาศยั ความมดื จากการโจมตีของข้าศกึ 4.1 สงิ่ ท่จี ำเป็นอย่างยิง่ ซ่งึ พลขบั ตอ้ งทราบเมอ่ื ทำการขบั รถโดยใชไ้ ฟพรางขบั 4.1.1 การขับรถด้วยไฟพรางขับ พลขับต้องใช้ความพยายามในการตื่นตัวตอ่ การเกดิ ปัญหาเฉพาะหน้า อยูต่ ลอดเวลา ทำใหเ้ กดิ การออ่ นเพลียได้งา่ ย 4.1.2 ในคนื เดอื นมืด พลขบั จะตอ้ งใชค้ วามระมัดระวงั มากกวา่ ธรรมดา 4.1.3 ในที่ ๆไม่มีไฟตามข้างถนนและพื้นของถนนเป็นสีดำ พลขับจะไม่สามารถมองเห็นได้เกินกว่า ระยะ 20-25 ฟุต จากตัวพลขบั 4.1.4 พลขับจะต้องยึดถือแนวการขับรถจากเส้นขาวท่ีทำไวต้ รงกลางถนน (ถ้ามี) ต้นไม้ขอบถนน เส้น โคง้ ฯลฯ ปา้ ยจราจร และเคร่อื งหมายตา่ ง ๆ อาจจะสังเกตเหน็ ไดบ้ ้างหรอื อาจจะมองไม่เหน็ เลย ทำให้มโี อกาส หลงทางได้ง่าย 4.1.5 อัตราเกยี่ วกบั อบุ ัติเหตุ จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าธรรมดา 4.1.6 การขับรถจะตอ้ งลดความเร็วลงอย่างชา้ มาก 4.2. ไฟพรางขับของรถราชการทหาร รถราชการทหารในปัจจุบัน ไดต้ ิดต้ังโคมไฟสำหรบั ไฟพรางขบั ไวท้ างด้านหน้า และด้านหลังของรถ ซึ่ง ไฟพรางขับน้ีจะไม่ส่องแสงไปยังพื้นถนน และไม่สามารถท่ีจะมองเห็นจากเครื่องบินที่บินสูงกวา่ ระดบั 400 ฟุต แต่ไฟพรางขับจะต้องสามารถบอกตำแหน่งของรถให้แก่พลขับของรถคันทอ่ี ยู่ใกล้ๆ กันได้ เม่ือเปิดไฟพรางขับ ไฟพรางขับจะสว่างขึ้น ไฟพรางขับท้ายรถจะมองเห็นเป็นจุดเดียวในระยะห่าง 180 ฟตุ ขึ้นไปในระยะ 180 ฟุต ถึง 60 ฟุต ห่างจากตัวรถเม่ือมองไปท่ีด้านท้ายของรถจะสังเกตเห็นไฟพรางขับที่ท้ายรถ จะปรากฏข้ึนเป็น 2 จดุ และในระยะต่ำกว่า 60 ฟุต จะปรากฏเปน็ 4 จุด สำหรับทางด้านหน้าของรถ ไฟพรางขับจะปรากฏเป็นจุด เดียวในระยะมากกว่า 60 ฟุต และระยะต่ำกวา่ 60 ฟุต ลงมาจะปรากฏเปน็ จุด 2 จดุ 4.3. การทำไฟพรางขับใช้ชั่วคราว 4.3.1 รถบางคนั ไม่มไี ฟพรางขบั แต่เรากส็ ามารถท่ีจะทำขึ้นได้โดยปฏิบตั ิ ดังนี้ (1) ให้เอากระดาษ ผ้า ผ้าน้ำมันหรือส่ิงอื่น ๆ เท่าท่ีจะหามาได้ ปิดท่ีโคมไฟหน้าและโคมไฟ ท้ายรถ เพื่อไมใ่ หเ้ กดิ แสงสว่างข้ึน (2) ใช้แผน่ สะท้อนแสง ตดิ ไว้ที่ดา้ นหน้าและดา้ นหลงั ของรถ (3) ใชส้ ขี าว กระดาษขาว หรอื ผา้ เชด็ หนา้ สขี าว ตดิ ไวท้ ่ีดา้ นหนา้ หรือด้านหลังของรถ (4) ให้ระมัดระวังการใช้แสงไฟ ถ้าใช้ก็ควรที่จะใช้กระดาษสีปิดที่กระจก เพื่อท่ีจะไม่ให้แสง สว่างพุ่งตรงไปข้างหนา้ ) ในการเตือนหรอื ให้สญั ญาณกับคันอ่ืน 4.3.2 ในการขบั ดว้ ยไฟพรางขบั จะตอ้ งลดความเรว็ ลง และต้องคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เพอื่ เพม่ิ ความปลอดภยั 4.4. การปรบั สายตาใหค้ ุ้นกับความมืด พลขับจะมองเห็นได้ในเวลากลางคืน ถ้าหากว่าสายตาไดอ้ ยู่ในท่ีมืดสนิทประมาณ 15 ถึง 20 นาที ท้ังน้ีก็ เพราะสายตาเคยชินกับความมืด ถ้าหากว่าเกิดมีแสงไฟเข้าตาก็จะทำให้ผลที่บังเกิดข้ึนน้อยลงคือการเห็นไม่
ห น้ า | 30 ค่อยจะดี ฉะน้ันพลขับจึงควรจำเอาไว้ว่าในการขับรถในที่มืดจะต้องไม่จุดบุหรี่สูบ หรือจุดไม้ขีด หรือเปิดไฟ ต่างๆ ภายในรถ 4.5. หนา้ ทขี่ องผ้ชู ว่ ยพลขับ ผู้ช่วยพลขับเอาผ้าขาวหรือผ้าเช็ดหน้าสีขาวติดตัวไปด้วย เพ่ือจะได้เอาไว้ช่วยเหลือพลขับในเม่ือ จำเป็น เพราะในบางโอกาสจะต้องให้ผู้ช่วยพลขับลงจากรถเดินไปข้างหน้าเพื่อสำรวจทาง และนำทางให้แก่ พลขับ ผูช้ ่วยพลขับยงั สามารถที่จะช่วยเป็นหูเป็นตาใหแ้ ก่พลขับเกยี่ วกบั ทิศทางทีจ่ ะไป หรอื การสังเกตเก่ยี วกับ เครอ่ื งหมายต่าง ๆไดด้ ว้ ย เครอื่ งมือชว่ ยการขบั รถในเวลากลางคนื เนื่องจากโคมไฟพรางขับธรรมดาของยานยนต์ทหารจะไม่ส่องแสงไปยังพ้ืนถนน โดยจะส่องสว่าง พอให้สังเกตเห็นขอบทางได้ในระยะ 20 - 25 ฟุตจากตัวพลขับ เท่านั้น เพ่ือมิให้มองเห็นได้จากเคร่ืองบินท่ีบิน สงู กวา่ ระดบั 400 ฟุต จงึ ทำให้ต้องขับรถไปอยา่ งชา้ ๆ และตอ้ งใช้ผ้นู ำทาง เพ่ือลดอันตรายและอุบตั เิ หตุท่อี าจ เกิดขึ้น เพื่อลดอุปสรรคดังกล่าว จึงได้มีการนำเครื่องมือช่วยการขับรถในเวลากลางคืนมาติดต้ังให้กับยานรบ สมยั ใหม่ เคร่อื งมือฯ น้ี โดยทัว่ ไปมีใชอ้ ยู่ 3 ระบบ คือ 1. ระบบท่ีตอ้ งใช้โคมไฟอินฟราเรดสอ่ งสว่าง (ACTIVE INFRARED) เปน็ ระบบทตี่ ิดต้งั อยูใ่ นยานรบรุ่น เก่า เช่น รสพ.เอ็ม 113 , ถ.เอ็ม 41, ถ.เอม็ 48 เอ 5 และ ถ.30 (ที 69-2) เปน็ ตน้ 2. ระบบทวีความเข้มของแสง (IMAGE INTENSIFIER) หรือท่ีรู้จักกันในชือ่ กล้องสตาร์ไลต์เป็นระบบที่ พัฒนาให้ใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้โคมไฟอินฟราเรดส่องสว่าง เป็นกล้องแบบ PASSIVE ท่ีติดต้ังอยู่ในยานรบรุ่น ใหม่ เชน่ รสพ.เอ็ม 113 เอ 3, ถ.เบา 32 และ ถ.เอม็ 60 เอ 1 / เอ 3 เป็นตน้ 3. ระบบสร้างภาพด้วยรังสีความร้อน (THERMAL IMAGE) หรือกล้องเธอร์มอล เป็นระบบใหม่ล่าสุด จัดเป็นกล้องแบบ PASSIVE มีการทำงานเช่นเดียวกับกล้องเล็งของ ถ.เอ็ม 60 เอ 3 กล้องแบบน้ียังไม่มีการ ติดต้ังใชง้ านในยานรบของ ทบ.ไทย 1. กลอ้ งตรวจการณ์ M 19 และ M 24 กล้องตรวจการณ์ M 19 และ M 24 เป็นกล้องที่ใช้แสงอินฟราเรด เพื่อช่วยให้พลขับสามารถ มองเห็นในเวลากลางคืน โดยที่ขา้ ศกึ ไม่สามารถท่จี ะมองเห็นแสงสว่างจากรถท่ีใช้แสงอินฟราเรดได้ดว้ ยตาเปล่า แสงอนิ ฟราเรดส่องแสงออกไปจากรถด้วยโคมไฟพรางขบั อนิ ฟราเรดหนา้ รถ และกล้องตรวจการณ์ M 19 และ M 24 จะทำการเปลี่ยนแสงอนิ ฟราเรดให้เปน็ ภาพท่ีมองเหน็ ได้ กล้องตรวจการณ์ทั้งสองแบบน้ีจะโผลข่ ึ้นมาบน ฝาปิดหอ้ งพลขบั และส่วนลา่ งจะอยภู่ ายในห้องพลขับ 1.1 การควบคมุ 1.1.1 กล้องตรวจการณ์ M 19 และ M 24 สามารถหมุนได้รอบตวั บนฝาปิดห้องพลขับ โดย อาศัยการหมนุ ดว้ ยมือ 1.1.2 กรอบพาดศีรษะ สามารถที่จะทำการปรับได้โดยอาศัยควงผีเสื้อ เพ่ือปรับระยะห่าง ระหว่างสายตากับทมี่ อง 1.1.3 ท่ีควบคุมการปรับสายตาอยู่ท่ีใต้ตัวกล้องสามารถปรับได้ท้ังสองตา และที่ปรับท้ังสอง อนั มฝี าเกลียวปิดอยู่ การปรับสายตานี้ก็เพอ่ื ให้มกี ารเหน็ ไดช้ ัดเจน เพราะตาของแต่ละคนไม่เท่ากนั 1.1.4 เครื่องให้พลงั งานเป็นเครือ่ งกำเนิดไฟฟา้ แรงสูง ทำหน้าท่ีจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับกล้อง ตรวจการณฯ์ โดยใชส้ ายต่อเช่ือมระหวา่ งกัน 1.2 การตรวจ 1.2.1 ตอ้ งแนใ่ จวา่ สวิตชไ์ ฟอนิ ฟราเรด อย่ใู นตำแหน่งปดิ \"OFF\" 1.2.2 ตรวจสายไฟและหัวต่อจากเคร่ืองให้พลังงาน ส่วนน้ีจะต้องไม่มีการไหม้ มีเขม่าหรือสึก หรอ และจะต้องปราศจากไอน้ำหรอื ความช้ืน
ห น้ า | 31 1.2.3 ทำความสะอาดเลนส์ และตรวจดกู ารแตกรา้ วตา่ ง ๆ 1.2.4 ติดตั้งกล้องตรวจการณ์ฯ ท่ีฝาปิดห้องพลขับ และผลักกล้องไปข้างหน้าและข้างหลัง เพอื่ ตรวจความคลอ่ งตวั และการเสียหายของรองเพลาสำหรับหมนุ ข้อควรระวัง อย่าใช้กล้องตรวจการณ์ส่องทวนแสงอาทิตย์ หรือแหล่งที่มีแสงจ้า จะทำให้หลอดภาพ ชำรุดเสยี หายได้ 2. กล้องตรวจการณ์ของพลขับแบบทวีความเข้มของแสง (ถ.เบา 21 DRIVER'S IMAGE INTENSIFIED PERISCOPE) เป็น กล้องตรวจการณ์ท่ีใชใ้ นการขับรถเวลากลางคืน และเป็นกล้องสองตา แบบทวีความเข้มของแสง ซ่ึงเป็นเคร่ืองอุปกรณ์ทางอิเล็กโทรนิกส์ที่ช่วยให้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆในเวลากลางคืนได้ โดยไม่ต้องใช้ แหล่งกำเนิดแสงภายนอก ด้วยการอาศัยแสงสว่างเพียงเล็กน้อยท่ีมีอยู่ในภูมิประเทศนำเข้ามารวมแสง และ ขยายใหเ้ ห็นสง่ิ ตา่ ง ๆไดช้ ดั เจนภายในระยะ 100 เมตร (110 หลา) กล้องแบบนี้สามารถใชง้ านในเวลากลางวนั ท่ีมีสภาพอากาศมืดครึ้ม แต่ยังมีแสงสว่างเหลืออยู่มาก ไดโ้ ดยการปรับขนาดของรูม่านบงั คับแสง \" DIAPHRAGM APERTURE \" เพ่ือบังคบั ปรมิ าณของ แสงสวา่ งทีผ่ ่านเข้ามาในตัวกล้องได้ อุปกรณ์อัตโนมัติภายในกล้องจะทำหน้าท่ีป้องกันเคร่ืองอุปกรณ์อีเลคโทรนิกส์ที่ทำหน้าที่ทวีความ เข้มของแสงในกรณีที่เกิดมีแสงสว่างมากเกินควรเข้าไปภายในตัวกล้อง และกล้องสามารถจะกลับมองเห็น ตามปกติได้อีกภายใน 5 วนิ าที หลังจากผา่ นพ้น หรือนำแหล่งกำเนิดแสงจ้าออกไปแลว้ 2.1 แหล่งจา่ ยกำลงั ไฟฟา้ (POWER SUPPLIES) เครื่องอุปกรณ์ภายในกล้องใช้กับแรงดันไฟฟ้า 24 โวลท์ จากระบบไฟฟ้าประจำรถ โดยมี เต้าเสียบที่ด้านหน้าของตัวกล้อง 1 แห่ง และท่ีด้านหลังท่ีตัวกล้องอีก 1 แห่ง และวงจรไฟฟ้าท่ีจ่าย กระแสไฟฟ้าใหก้ บั กล้องไดร้ บั การป้องกนั ด้วยฟวิ ส์ PER 1 ทแ่ี ผงเครอ่ื งวัดของพลขับ 2.2 การควบคุมรูม่านบังคับแสง และกระแสไฟฟ้า (POWER SUPPLY AND DIAPHRAGM APERTURE CONTROL) 2.2.1 สวติ ชค์ วบคุมแบบหมุน ซ่ึงตดิ ต้ังอยู่ทางด้านซา้ ยของเลนส์ตา จะทำงานสองอย่าง คอื (1) เปิด-ปิด กระแสไฟฟา้ ทจี่ า่ ยใหก้ ับตัวกล้อง (2) ควบคุมการทำงานของม่านบังคับแสง และเป็นเครื่องควบคุมแบบสามารถปรับต้ัง และ นับจำนวนคลกิ๊ ได้ 2.3 สวติ ชเ์ ครื่องกำจดั ฝ้าไอน้ำประจำกลอ้ ง (HEATER SWITCH) 2.3.1 สวิตช์นี้ติดต้ังอยู่ทางด้านหน้าของตัวกล้อง เม่ือเปิดสวิตช์ไปยังตำแหน่งเปิด \"ON\" จะจ่าย กระแสไฟฟ้าให้แก่เครื่องควบคุมอุณหภูมิ และควบคุมการทำงานของลวดความร้อน ซึ่งติดต้ังอยู่ท่ีเลนส์ตาท้ังคู่ เพื่อป้องกนั ฝ้ามัวจากไอนำ้ ทางดา้ นนอกของเลนสต์ า 3. การติดตัง้ กล้องตรวจการณ์ (TO FIT THE PERISCOPE) การปฏิบัติ 3.1 ถอดกล้องตรวจการณใ์ ช้งานกลางวนั ออกจากฐานกลอ้ งบนฝาปิดช่องพลขบั 3.2 ตอ้ งแน่ใจว่าสวิตช์ควบคมุ กล้อง และสวิตชเ์ ครอื่ งจำกดั ฝา้ ไอน้ำอยู่ในตำแหน่งปดิ \"OFF\" 3.3 ติดต้ังกลอ้ งตรวจการณ์ใชง้ านกลางคืนเขา้ กับฐานบนฝาปดิ ชอ่ งพลขบั 3.4 ตอ่ สายไฟระหวา่ งเต้าเสียบสายไฟดา้ นหลงั กลอ้ ง และเตา้ เสียบสายไฟอนั บนสดุ ข้างแผง เครอื่ งวัดดา้ นหน้ารถ 4. การใช้งาน (OPERATION)
ห น้ า | 32 การปฏิบตั ิ 4.1 หมุนสวติ ช์ควบคุมกลอ้ งตามเข็มนาฬิกาไปทต่ี ำแหนง่ เปิด \"ON\" 4.2 เปดิ สวติ ช์เครอื่ งกำจัดฝ้าไอน้ำไปทต่ี ำแหน่งเปิด \"ON\" 4.3 หมนุ สวิตช์ควบคุมกล้องไปตามเขม็ นาฬิกา เพอื่ ปรบั ระดับแสงสว่างทผ่ี า่ นเข้ามาในกลอ้ งจน สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน 5. การถอดกล้องตรวจการณ์ (TO REMOVE THE PERISCOPE) การปฏิบัติ 5.1 ปดิ สวิตชค์ วบคุมกล้องไปตำแหน่งปิด \"OFF\" 5.2 เช็ดหวั กลอ้ งให้สะอาดปราศจากโคลน ทราย และฝนุ่ ผงสกปรก 5.3 ถอดสายไฟออกจากเต้าเสยี บสายไฟบนตัวกล้อง 5.4 ถอดตวั กล้องออกจากฐานกล้องแล้วเกบ็ ไวย้ ังท่เี ก็บบนชานด้านซ้ายมือขา้ งท่นี ั่งพลขบั 6. การบริการ (SERVICE) 6.1 กล้องตรวจการณ์แบบน้ีเป็นเคร่ืองอุปกรณ์ที่มีการปิดผนึกแน่น จงอย่าคลายหรือขันหมุดเกลียวสี แดงบนตวั กล้อง เพราะได้มีการฉีดสารป้องกันความชื้นเข้าไปภายในตัวกล้องผ่านทางหมุดเกลียวเหล่าน้ีในการ ประกอบขั้นสุดท้าย และอย่างพยายามถอดแยกช้ินส่วนต่าง ๆของกล้องเกินกว่าท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะความชื้นหรือฝุ่นผงทเี่ ลด็ ลอดเขา้ ไปภายในตวั กล้องจะทำให้กล้องเสื่อม ประสทิ ธิภาพ และเสียหายอย่างรา้ ยแรง 6.2 ระวังอย่างให้เกิดรอยขูดขีดบนผิวแก้วของหัวกล้อง และเลนส์ตาในขณะทำความสะอาด หรือใน ระหวา่ งการตดิ ต้ังหรือถอดกล้องตรวจการณน์ ี้ 6.3 อย่าใช้สารละลายของเมทธิลแอลกอฮอล์ น้ำมันแก๊สโซลีนหรือน้ำยาทำความสะอาดใด ๆ ชำระ ลา้ งกลอ้ งตรวจการณ์น้ี เพราะสิง่ เหลา่ นจี้ ะทำให้สารทีใ่ ช้ในการผนกึ แนน่ เสอ่ื มคุณภาพ และชำรดุ เสียหายได้ 6.4 กระจกที่หัวกล้องควรล้างด้วยน้ำสะอาดจำนวนมาก และเช็ดด้วยผ้าสะอาด ให้สิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกจนหมด และสามารถใช้สบู่หรือผงซักฟอกเล็กน้อย เพื่อช่วยชำระล้างรอยคราบน้ำมัน หรือรอยน้ิวมือที่ กล้องได้ 6.5 เม่ือกล้องมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ให้ตรวจสอบ และทำความสะอาดกระจกหัวกล้องให้ปราศจากส่ิง สกปรกและฝา้ ละอองน้ำเสียก่อน เพราะฝา้ ละอองน้ำจะทำใหก้ ล้องมวั และมองไม่ชดั 6.6 บริเวณดา้ นนอกของตวั กล้อง และฐานกล้องควรจะไดร้ ับการดูแลรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ และทา ดว้ ยน้ำมนั หล่อล่นื ใส บาง ๆ 7. การถอดเปล่ียนหวั กล้องตรวจการณ์ (TO REPLACE A DAMAGED PERISCOPE PRISM) การปฏบิ ัติ 7.1 ทำความสะอาดกล้องโดยเช็ดสง่ิ สกปรก และฝนุ่ ละอองออกจากตัวกล้องใหห้ มด 7.2 ถอดสลกั เกลยี วยดึ หวั กล้องออกทง้ั 4 ตัว 7.3 ถอดหวั กลอ้ งที่ชำรดุ 7.4 ตรวจสภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าหนา้ แปลนดา้ นบนของหัวกล้องเรียบรอ้ ย และสะอาด 7.5 ประกอบหัวกล้องอนั ใหม่เขา้ กบั หน้าแปลน ใสส่ ลกั เกลียวท้งั 4 ตัว และขันใหแ้ น่น **************
ห น้ า | 33 กล้องตรวจการณ์ในเวลากลางคืนของพลขบั ถ.30 (T 69-2) (DRIVER'S NIGHT VISION DEVICE (DNVD)) กล้องตรวจการณ์ในเวลากลางคืนของพลขับ เป็นกล้องตรวจการณ์แสงอินฟราเรดที่สามารถตรวจจับ มองเห็นวตั ถุท่ีแพร่แสงอินฟราเรดด้วยตัวของมันเอง และวัตถุที่สามารถสะท้อนแสงอินฟราเรด โดยกล้องจะ รับภาพแสงอนิ ฟราเรด ซ่ึงไม่สามารถมองเหน็ ดว้ ยตาเปล่าจากวัตถแุ ล้วแปลง สญั ญาณไฟฟ้าจากแสงอนิ ฟราเรดให้เป็นภาพวัตถทุ ่ีสามารถมองเห็นได้ มาตราทานของกล้อง (DNVD) 1. ระยะไกลสุดท่มี องเหน็ ภาพไดช้ ดั เจน 1.1 บุคคลคนเดยี ว ระยะไมเ่ กิน 50 เมตร 1.2 กลมุ่ บุคคล ระยะไมเ่ กิน 60 เมตร 1.3 ยานยนต์ ระยะไมเ่ กิน 65 เมตร 1.4 รถถัง ระยะไม่เกิน 60 เมตร 1.5 ปา้ ยตา่ ง ๆ ระยะไม่เกิน 35 เมตร 2. กำลงั ขยาย 1 เท่า 3. ตัวกล้องสงู 212 มม. 4. ใชง้ านอยา่ งตอ่ เนอื่ ง 8 ชม. 5. อายกุ ารใชง้ าน 300 ชม. (จะต้องไดร้ ับการตรวจและเปล่ียนชิน้ สว่ น) 6. แหล่งพลงั งาน 6.1 ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ประจำรถ 24 โวลท์ (DC.) 6.2 ไฟจากกล่องเพม่ิ กระแสไฟฟา้ 15,000 - 20,000 โวลท์ 6.3 ความสน้ิ เปลืองพลงั งาน (ไม่รวมหลอดไฟอินฟราเรด) 25 โวลท์ 7. หลอดไฟอนิ ฟราเรดหนา้ รถ 7.1 หลอดไฟขนาด 40 วตั ต์ 7.2 ใชไ้ ฟตรง (DC.) 24-26 โวลท์ การใชง้ านกลอ้ งตรวจการณใ์ นเวลากลางคืนของพลขบั ถ.(T 69-2) 1. การเตรยี มการ และการใช้งาน 1.1 ถอดกล้องตรวจการณ์ในเวลากลางวันของพลขับอันซ้ายออกจากท่ีติดตั้ง และทำความ สะอาดที่ ตดิ ตงั้ 1.2 นำกล้องตรวจการณ์ในเวลากลางคืนของพลขับออกจากกล่องเก็บกล้อง (ด้านหลังขวาพลขับ) ติดตง้ั แทนทก่ี ล้องตรวจการณ์ในเวลากลางวนั (กล้องตรวจการณใ์ นเวลากลางวนั นำเกบ็ เขา้ กลอ่ งแทน) 1.3 ถอดฝาครอบปลายสายไฟแรงสงู และฝาปดิ เต้าเสียบทีก่ ลอ้ งออก นำไปเกบ็ ที่กลอ่ งเก็บ กล้องนำข้ัวเสียบสายไฟแรงสูงจากกล่องเพ่ิมกระแสไฟฟา้ ต่อเขา้ กบั ตวั กล้อง และขนั แน่นด้วยมอื 1.4 เปิดสวติ ชท์ ีแ่ ผงวงจรไฟ (โดยนับจากทางขวาของแผงสวติ ช์) - เปิดมาสเตอรส์ วิตช์ (ตวั ที่ 1) - เปดิ สวติ ชไ์ ฟท้าย (ตัวที่ 1) - เปิดสวิตชค์ วบคุมไฟอินฟราเรด (ตวั ท่ี 12)
ห น้ า | 34 - เปิดสวิตชไ์ ฟอนิ ฟราเรดหนา้ 2 ดวง ในตำแหนง่ เปดิ \"ON\" (แถวบนตัวท่ี 1) 1.5 เปิดสวิตช์ท่ีกล่องเพ่ิมกระแสไฟฟ้า (ด้านหน้าพลขับ) ตรวจการทำงานของกล่องเพิ่มกระแสไฟฟ้า โดยหลอดไฟทีก่ ล่องตอ้ งตดิ สว่างและมีเสียงดังหงึ่ ๆ 1.6 ปดิ สวติ ช์ไฟสอ่ งสว่างแผงหน้าปัดในห้องพลขับทั้งหมด 1.7 ปรับท่นี ัง่ พลขบั ลงตำ่ สดุ เพ่อื สามารถปดิ ฝาปดิ หอ้ งพลขับได้และให้มองกลอ้ งได้ง่าย ถอด ฝาครอบปอ้ งกนั แท่งแก้วปรซิ ึมหวั กล้องออก 1.8 เปดิ แผน่ ป้องกันแสงที่กล้อง โดยผลักคันโยกด้านล่างตัวกล้องไปทางซา้ ย 1.9 ตรวจการทำงานของกล้อง จะมองเห็นวัตถทุ ่ชี ดั เจนในระยะ 50-60 เมตร 2. เม่ือเลิกใช้งาน อันดับแรกจะต้องปิดแผ่นป้องกันแสงในกล้อง โดยผลักคันโยกด้านล่างตัวกล้องมาทางขวา ต่อไป ให้ปิดสวิตช์ไฟท่ีกล่องเพ่ิมกระแสไฟฟ้า สวิตช์ไฟอินฟราเรดหน้า สวิตช์ควบคุมไฟอินฟราเรด และยึดฝา ครอบป้องกันแท่งแกว้ ปริซมึ หัวกลอ้ ง ถ้าไมใ่ ชอ้ กี ใหถ้ อดกล้องเก็บเขา้ กล่อง เก็บต่อไป 3. ข้อควรระวงั ระหว่างใชง้ าน กลอ้ งตรวจการณใ์ นเวลากลางคืนของพลขับ 3.1 ให้ผลักคันปิด-เปิดแผ่นป้องกันแสงในกล้องมาตำแหน่งปิดทันที เม่ือมีแสงสว่างจ้าปรากฏข้ึนหน้า กล้อง (เช่นไฟใหญ่จากรถคนั อ่ืน ๆ) 3.2 นอกจากไฟสอ่ งสว่างหน้าปดั เครื่องควบคุมในห้องหอรบแล้ว ไฟส่องสว่างทุกชนดิ จะต้องปิดหมด 3.3 ในเวลากลางวัน การตรวจสอบกล้องตรวจการณ์ในเวลากลางคืนของพลขับจะต้องกระทำในห้อง มดื ถ้าหาห้องมืดไมไ่ ดใ้ หป้ ดิ ฝาครอบปอ้ งกันแทง่ แก้วปริซึมหวั กลอ้ งไว้ และหมนุ ปดิ รู ทีฝ่ าครอบท้ังสอ่ี ันให้เหลอื รูเล็กเพียง 1 มม. ก่อนท่ีจะต่อสายไฟเข้ากับกล้อง (ห้ามหันหน้ากล้องเข้าหาดวงอาทิตย์เป็นอันขาด) ทำการ มองตรวจสอบการทำงานของกล้อง จะเห็นแสงคอ่ นข้างเขียวเกิดข้นึ หนา้ กล้องและมองเหน็ วตั ถใุ นระยะ 50-60 เมตร ได้ชดั เจนแสดงวา่ การทำงานของกล้องปกติ ในเวลา กลางวนั น้ีการตรวจการทำงานของกลอ้ งจะตอ้ งกระทำให้เสร็จในระยะเวลาท่ีสั้นท่สี ุด และแผ่น ปอ้ งกันแสงในกลอ้ งจะต้องปดิ ไวท้ กุ คร้ัง ก่อนเปดิ ออกตรวจการทำงาน 4. กล้องตรวจการณใ์ นเวลากลางคืนของพลขบั สามารถติดตั้งภายนอกหอ้ งพลขับได้ โดยนำขาตดิ ต้ัง กลอ้ ง ซง่ึ เก็บอยู่บนหลงั คาปอ้ มมาประกอบเขา้ กับฐานข้างกลอ้ งตรวจการณ์ในเวลากลางวันของพลขบั ดา้ นซ้าย ขนั เกลียวยดึ ให้แนน่ จากนัน้ นำกล้องตรวจการณใ์ นเวลากลางคืนมาประกอบเขา้ กบั ขาตดิ ตัง้ แล้วดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 1.3 - 1.9 (ยกเว้นข้อ 1.7 ปรับที่น่ังขึ้นบนสุด) เมื่อติดต้ังกล้องแบบนี้ พลขับ จะต้องเปิดฝาปิดหอ้ งพลขับออก เพ่อื โผล่ศรี ษะออกมาภายนอกห้องพลขบั ในขณะขบั รถถัง ************
ห น้ า | 35 แผนกวิชายานยนต์ กองการศึกษา โรงเรียนทหารมา้ ศูนยก์ ารทหารม้า คา่ ยอดิศร สระบุรี ------------ เอกสารนำ หลักการกู้รถ 1. ขอ้ แนะนำในการศึกษา วิชานี้ ทำการสอนแบบบรรยาย และสาธิตเพื่อให้นักเรียนมีความรู้ในเร่ืองหลักการกู้รถและการ แกป้ ญั หาเกีย่ วกบั การกู้รถในสนาม 2. หัวขอ้ สำคัญในการศกึ ษา 2.1 ความรับผิดชอบในการกูร้ ถและส่งกลบั 2.2 ขดี ความสามารถของรถกู้ 2.3 หลกั การก้รู ถ 2.4 การตอ่ รอก การคำนวณ และการแก้ปัญหา 2.5 ลำดบั การปฏบิ ตั ิในการกู้รถ 2.6 ขดี ความสามารถของเชอื กและโซ่ 2.7 เกณฑค์ วามปลอดภยั ในการใช้งาน 2.9 ข้อควรระวงั ในการกู้รถ 3. งานมอบ ใหน้ กั เรียนศกึ ษาหัวขอ้ สำคญั ในเอกสารเพ่มิ เติม 4. คำแนะนำพเิ ศษ ไม่มี 5. เอกสารจ่ายพรอ้ มเอกสารนำ เอกสารเพมิ่ เติม -----------------------------------------
ห น้ า | 36 แผนกวชิ ายานยนต์ กองการศึกษา โรงเรียนทหารม้า ศนู ยก์ ารทหารม้า ค่ายอดศิ ร สระบรุ ี ---------- เอกสารเพิ่มเตมิ หลักการกรู้ ถ 1. กล่าวท่ัวไป ทหารม้าเป็นหน่วยกำลังรบที่มีความสามารถสูง ในด้านความคล่องแคล่วในการเคล่ือนที่ มี อำนาจการยิงรุนแรงในตัวเอง และมีเกราะกำบัง เพื่อให้ขีดความสามารถดังกล่าวดำรงอยู่ได้ กำลังพลในหน่วย ทหารม้า จะต้องมีความรู้ในการกู้รถ สามารถทำการกู้รถ แก้ปญั หาเกยี่ วกับการกู้รถ ควบคมุ และกำกบั ดูแลการ กรู้ ถ ในขอบเขตและหนา้ ทีร่ บั ผิดชอบของตน หรือของหน่วยได้เปน็ อยา่ งดี 2. ความรบั ผดิ ชอบในการกู้รถ และส่งกลับ ระดบั หนว่ ย เจ้าหน้าที่ วธิ กี าร เครือ่ งมือเครือ่ งใช้ หมวด พลประจำรถ ลากจูง รถชนิดเดียวกัน กว้าน กว้านประจำรถ กองรอ้ ย ช่างประจำหนว่ ย แสวงเคร่ือง สิง่ ต่าง ๆ ทแี่ สวงหามาได้ ส่งกลับ รถชนดิ เดียวกัน กองพัน ชา่ งประจำหน่วย กว้าน รถกู้ ยก รถกู้ ระดับสรรพาวธุ เจา้ หน้าที่ ลากจงู รถกู้ หนว่ ย สพ.สนบั สนุนโดยตรงและ ชา่ งประจำหน่วย ส่งกลับ รถชนิดเดียวกนั และรถกู้ หน่วย สพ.สนับสนนุ ทั่วไป กวา้ น รถกู้ ยก รถกู้ ลากจงู รถกู้ สง่ กลบั รถกู้ วธิ กี าร เครอ่ื งมือเครอื่ งใช้ กว้าน รถกู้ ยก รถกู้ ลากจงู รถกู้ ส่งกลบั รถบรรทกุ ชานตำ่ รถกู้
ห น้ า | 37 3. ขดี ความสามารถของรถกู้ ลำดับ ชนิดรถ ความสามารถสูงสดุ (ตนั ) กวา้ น ยก ลากจูง 1. รถกู้ 5 ตนั M543 และ M816 22.5 10 15 2. รถกู้ M553 22.5 12 23 3. รถสายพานกูซ้ อ่ ม M578 30 15 30 4. รถสายพานก้ซู ่อม M88A1 45 25 56 5. รถสายพานกซู้ ่อม M88A2 70 35 70 6. รถสายพานกู้ซ่อม แบบ 653 35 10 38 7. รถสายพานกซู้ ่อม 21 “แซมซ่ัน” 4 0.5 8 8. รถสายพานกู้ซ่อม M113A3 -- - 9. รถสายพานแบบต่าง ๆ - - เท่ากบั นำ้ หนักของรถชนิดนนั้ ๆ *** โดยเฉล่ียรถสายพานจะสามารถลากจูงน้ำหนักได้เท่ากับน้ำหนักของตนเองบนพ้ืนที่แข็งและ ราบเรียบเมื่อใช้ เกยี รถ์ อยหลงั 4. หลักการกูร้ ถ 4.1 ความต้านทาน ความต้านทานท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การก้รู ถมี 5 แบบ คือ 4.1.1 ความต้านทานของลาดชัน เกิดจากแรงดงึ ดดู ของโลก เม่ือรถเคลอ่ื นท่ีขึ้นลาดชัน 4.1.2 ความต้านทานในการพลิกตั้ง เกิดจากน้ำหนกั ส่วนหนึ่งของรถที่ต้านทานตอ่ แรงพยายามทใี่ ชใ้ น การพลิก หรือตะแคงรถที่คว่ำใหก้ ลบั มาตงั้ อยูบ่ นล้อ หรือสายพานตามเดมิ 4.1.3 ความต้านทานของหล่ม เกิดจากโคลน หิมะ หรือ ทราย ที่เกาะติด หรือ ออกแรงดึงดูดต่อล้อ รถสายพาน เพลา หบี เฟืองต่าง ๆ หรือตวั รถ 4.1.4 ความต้านทานของน้ำ เกิดขนึ้ เม่ือรถจมนำ้ และถกู ฉุดลากจากนำ้ ข้ึนมาบนบก 4.1.5 ความตา้ นทานของรอก เกิดข้นึ เม่ือใชร้ อกเขา้ ประกอบในการกรู้ ถ หมายเหตุ ข้อ 4.1.1 ถงึ ข้อ 4.1.4 เป็นความต้านทานทเ่ี กิดจากสภาพภูมิประเทศ 4.2 การประมาณความตา้ นทานของภารกรรม - ลาดชัน.............................. เทา่ กับนำ้ หนกั ของรถ และนำ้ หนกั ท่บี รรทกุ บนรถ - การพลกิ ตงั้ ........................ เทา่ กับครง่ึ หนึ่งของน้ำหนกั รถ และน้ำหนกั ทบ่ี รรทกุ บนรถ ระดบั ล้อ.............................… เท่ากบั น้ำหนกั ของรถ และนำ้ หนกั ทบี่ รรทกุ บนรถ - หล่ม - ระดับบงั โคลน........................ เท่ากบั สองเท่านำ้ หนักรถ และนำ้ หนักบรรทกุ บนรถ ระดบั ปอ้ มปนื หรอื ตัวรถถงั .... เทา่ กับสามเท่าน้ำหนักรถ และน้ำหนกั บรรทกุ บนรถ เมอื่ ตัวรถจมอยใู่ นนำ้ .......... คิดความต้านทานเชน่ เดียวกับความต้านทานของหลม่ - น้ำ เม่ือตวั รถพน้ น้ำ.................. คดิ ความตา้ นทานเช่นเดยี วกับความตา้ นทานของหล่ม ** นำ้ หนกั ของนำ้ ทีข่ ังอยู่ในรถสายพานลำเลยี งพล ให้ประมาณคา่ เท่ากับนำ้ หนกั ของรถ ** น้ำหนกั ของน้ำท่ีขงั อยู่ในรถถงั ใหป้ ระมาณคา่ เทา่ กับ 1/8 เทา่ ของนำ้ หนกั รถ ** รถลอยน้ำใหค้ ิดความตา้ นทานเทา่ กบั 1/64 เทา่ ของน้ำหนกั รถ ตวั อย่าง 1. รสพ.M113A2 มนี ำ้ หนัก 12 ตนั จมน้ำ และติดหล่มโคลนถงึ ระดบั ลอ้ กดสายพาน
ห น้ า | 38 จะมีความต้านทานโดยประมาณ จะเท่ากับ 12 ตนั 2. เม่อื รสพ.คนั นี้ถูกลากขึ้นฝั่งจนรถพ้นนำ้ ความต้านทานจะเพ่ิมขึ้น เนอ่ื งจากน้ำหนักของ น้ำทขี่ งั อย่ใู นตัวรถ ดงั นน้ั ความต้านทานเมอ่ื ตัวรถพน้ น้ำ จะเทา่ กับน้ำหนกั รถ บวก ดว้ ย นำ้ หนกั ของนำ้ เท่ากับ 24 ตนั - รอก เท่ากับ 10 % ของความตา้ นทานของภารกรรม คูณ ด้วยจำนวนของรอกทใี่ ช้ในการกรู้ ถ 4.3 ปัจจัยทที่ ำให้ความตา้ นทานลดลง 10 % เมือ่ ทำการกู้รถย้อนกลับทิศทางการเคลื่อนที่ของรถติดหล่ม 40 % เมอื่ เครอื่ งยนต์สามารถสง่ กำลงั ไปขบั เคล่ือนสายพานทง้ั สองข้าง 50 % เม่อื ทำการก้รู ถย้อนกลับทศิ ทางการเคลอ่ื นที่ของรถติดหล่ม และสามารถสง่ กำลังจาก เครอื่ งยนต์ไปขบั เคลื่อนสายพานทัง้ สองข้าง หมายเหตุ ปจั จัยที่ทำใหค้ วามตา้ นทานลดลงไมอ่ าจใช้กับรถล้อ รถสายพานท่ตี ดิ จมูก และรถสายพานที่พลิกคว่ำ หรอื ตะแคงอยู่ 4.4 ความต้านทานของภารกรรม จะหาไดจ้ ากการเอาความต้านทานจากการประมาณ ลบ ดว้ ยปจั จัยท่ีทำให้ความตา้ นทานลดลง 4.5 การได้เปรียบเชงิ กล - โดยประมาณ เทา่ กับความต้านทานของภารกรรม หาร ด้วยความสามารถของแหลง่ กำลงั ที่ใชใ้ นการกู้รถ - จากรอก เท่ากบั จำนวนของเส้นเชือกทพ่ี ยุงนำ้ หนัก หรือ ภารกรรม 4.6 ความตา้ นทานของรอก เทา่ กบั 10 % ของความต้านทานของภารกรรม คณู จำนวนรอกท่ใี ช้ในการก้รู ถ 4.7 ความต้านทานรวม เท่ากบั ความต้านทานของภารกรรม บวก ด้วยความต้านทานของรอก 4.8 การจัดเชือกโยง และการต่อรอก แรงต่าง ๆ ทีก่ ระทำตอ่ เสน้ เชือก - เส้นแรงตก หรอื เสน้ ดึง เทา่ กับความตา้ นทานรวม หาร ดว้ ยการได้เปรียบเชงิ กล - เส้นตาย เท่ากับแรงทก่ี ระทำตอ่ เสน้ แรงตก คูณ ด้วยจำนวนเส้นเชอื กท่เี ส้นตายออกแรงพยงุ - เส้นแรงกลับ เท่ากับแรงทก่ี ระทำต่อเสน้ แรงตก หรอื เสน้ ดงึ 4.9 ตวั อยา่ งการต่อรอก และการคำนวณ รถถงั ขนาด 50 ตนั ติดหล่มจมลกึ ถึงระดบั บังโคลน ไม่มีข้อขัดขอ้ งทางกล และสามารถทำการ กรู้ ถยอ้ นกลบั ทศิ ทางการเคลอ่ื นทข่ี องรถถงั ดว้ ยรถกู้ M88A1 รถกู้ M88A1 รถถงั ติดหล่ม เสน้ ดึงหรือเส้นแรงตก เสน้ ทางการเคลื่อนท่ี สมอบก เส้นตาย ของรถถงั ติดหล่ม เสน้ แรงกลบั ความต้านทานของภารกรรมโดยประมาณ = 100 ตัน [นำ้ หนักรถ 2 (จมลกึ ถงึ ระดับบงั โคลน)] = 50 2 = 100 ตนั ความตา้ นทานของภารกรรม = 50 ตนั ความต้านทานโดยประมาณ 100 ตัน จะสามารถลดลงได้ 50 % ดังนี้ ลด 10 % จากการก้รู ถย้อนทศิ ทางการเคลอ่ื นทเ่ี ดิม ลด 40 % จากการทเ่ี คร่อื งยนตส์ ามารถสง่ กำลงั ไปขบั เคลื่อนสายพานท้งั สองข้าง
ห น้ า | 39 ความได้เปรียบเชิงกลที่ต้องการ = ความต้านทานของภารกรรม 50 ตัน หาร ดว้ ยความสามารถในการ ฉดุ ลากของกว้านรถกู้ M88A1 คอื 45 ตัน = 50 45 = 1.11 = 2 (ปัดเศษให้เป็นจำนวนเตม็ ) = 2:1 ความตา้ นทานของรอก = 10 % ของความต้านทานของภารกรรม คณู ดว้ ยจำนวนรอกทีใ่ ช้กรู้ ถ = 50 10 1 = 5 ตัน ความตา้ นทานรวม = ความตา้ นทานของภารกรรม บวก ด้วยความตา้ นทานของรอกทใ่ี ช้กู้รถ = 50 + 5 = 55 ตนั แรงกระทำต่อเสน้ แรงตก = ความต้านทานรวม 55 ตนั หาร ดว้ ยความได้เปรียบเชิงกลทีต่ ้องการ ( 2 : 1 ) = 55 2 = 27.5 ตัน แรงกระทำตอ่ เสน้ ตาย = แรงกระทำต่อเสน้ แรงตก 27.5 ตัน คูณ ดว้ ยจำนวนเสน้ เชอื กทเ่ี สน้ ตายออกแรงพยุง = 27.5 2 = 55 ตนั 5. ลำดบั การปฏบิ ัติในการกรู้ ถ (RECOVERY PROCEDURE) 5.1 ลาดตระเวนพ้นื ท่ี ตรวจภมู ิประเทศ เพ่ือหาเสน้ ทางทจี่ ะเขา้ ไปยงั รถทีต่ อ้ งการกู้ R = RECONNOITER วิธีการนำลวดกว้านไปยังภารกรรม และสมอบกธรรมชาตทิ ม่ี อี ยู่ THE AREA ในบรเิ วณนัน้ 5.2 ประมาณสถานการณ์ พจิ ารณาความตา้ นทานของภารกรรม และขีดความสามารถของ E = ESTIMATE SITUATION เครอ่ื งมือเคร่อื งใช้ในการกูร้ ถทม่ี ีอยู่ 5.3 คำนวณอัตราสว่ น คำนวณหาความไดเ้ ปรยี บเชงิ กล ทจ่ี ะตอ้ งใช้ในการต่อรอกอยา่ งครา่ ว ๆ C = CALCULATE RATIO 5.4 คดิ ความต้านทานทง้ั หมด คำนวณหาความตา้ นทานของรอกทใี่ ชใ้ นการก้รู ถ และหาความ O = OBTAIN RESISTANCE ตา้ นทานรวม 5.5 ขยายความในการแกป้ ัญหา คำนวณหาแรงต่าง ๆ ทีก่ ระทำต่อเส้นเชอื ก เพ่ือเปรียบเทยี บกบั V = VERIFY SOLUTION ความสามารถของกวา้ น หรอื เคร่ืองมอื เครอ่ื งใช้ และขดี ความ สามารถในการรับน้ำหนกั ของเสน้ ตาย 5.6 ทำการต่อรอก ใหค้ ำแนะนำ และอธิบายใหพ้ ลประจำรถเขา้ ใจวธิ ีการต่อรอก E = ERECT RIGGING ทำการตอ่ รอก เม่อื เสร็จแล้วให้พลประจำรถถอยออกไปยงั พน้ื ที่ปลอดภยั 5.7 ตรวจการต่อรอกอีกครง้ั หน่ึง ตรวจให้แนใ่ จอีกครัง้ หนึ่งว่า ไดท้ ำการต่อรอกอยา่ งถูกตอ้ ง R = RECHECK RIGGING เรยี บรอ้ ย และปลอดภยั 5.8 ทา่ นพร้อมทจี่ ะกู้รถแลว้ ให้สัญญาณพลประจำกว้าน ทำการเดนิ กว้าน เพอ่ื ฉดุ ลากภารกรรม Y = YOU ARE READY และควรเรมิ่ เดนิ กวา้ นช้าๆ เพ่อื ให้ลวดกว้านตึงทลี ะนอ้ ยอยา่ ง สมำ่ เสมอ
ห น้ า | 40 แบบกวา้ น จำนวนชัน้ ลวดกวา้ น ความยาวของลวดกว้าน ขดี ความสามารถ (ตัน) 5 ตนั บนลอ้ กวา้ น บนลอ้ กวา้ น (ฟตุ ) 10 ตนั 1 0 - 39 5.00 2 22.5 ตนั 3 40 - 85 4.225 4 30 ตนั 5 86 - 138 3.670 45 ตนั 1 139 - 199 3.230 2 3 200 - 266 2.890 4 5 0 - 41 10.00 1 42 - 91 8.450 2 3 92 - 148 7.250 4 5 149 - 213 6.400 6 214 - 278 5.700 1 2 0 - 42 22.500 3 4 43 - 93 18.850 1 94 - 153 16.250 2 3 154 - 220 14.250 4 221 - 296 12.650 287 - 380 11.400 0 - 55 30.000 56 – 128 26.000 129 – 208 23.000 209 - 300 20.000 0 - 41 45.000 42 - 91 38.000 92 - 149 32.000 150 - 200 28.000 6. ขดี ความสามารถของกวา้ นแบบตา่ ง ๆ หมายเหตุ 1. กวา้ นหลกั ขนาด 35 ตันของรถสายพานกู้ซ่อม แบบ 653 และกว้านหลกั ขนาด 70 ตัน ของรถสายพานกู้ซอ่ ม M88A2 จะมกี ำลงั ฉดุ ลากคงท่ี ไมว่ า่ ลวดกวา้ นจะม้วนอยูท่ ี่ช้ัน ใด ๆ บนล้อกวา้ น 2. เพ่อื ความปลอดภัยจะต้องมลี วดกวา้ นพันอยูบ่ นล้อกวา้ นอย่างน้อยทส่ี ุด 4 รอบ 3. มมุ เบี่ยงเบนของสายลวดกว้านจะต้องไมเ่ กนิ 1.5 องศาจากแนวศูนย์กลางของลอ้ กวา้ น
ห น้ า | 41 7. ขีดความสามารถของเชือก และโซ่ เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง เชือกเส้นใย เชือกลวด และโซ่ ( นิ้ว ) T = 4D2 (ตนั ) T = 40D2 (ตนั ) 3/8 .5625 5.625 7/16 .765625 7.65625 1/2 1.000 10.000 5/8 1.5625 15.625 3/4 2.250 22.500 7/8 3.0625 30.625 1.0 4.000 40.000 1 1/8 5.0625 50.625 1 1/4 6.250 62.500 1 1/2 9.000 90.000 8. เกณฑค์ วามปลอดภัยในการใชง้ าน (SAFE WORKING CAPACITY “ SWC”) 1. เชอื กเสน้ ใย เท่ากับ เสน้ ผา่ ศูนย์กลางของเชือกยกกำลังสอง หรือ SWC = D2 2. เชอื กลวดหรือโซ่ เทา่ กบั 8 คูณด้วยเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางของเชือกลวดหรือโซ่ ยกกำลังสอง หรอื SWC = 8 D2 ตวั อย่างที่ 1 เชอื กมนิลาขนาดเส้นผ่าศนู ยก์ ลาง 1 นว้ิ จะสามารถรับแรงดงึ ได้อยา่ งปลอดภัยเท่าใด จากสูตร SWC = D2 =11 =1 เชอื กเสน้ นีจ้ ะรบั แรงดึงได้อย่างปลอดภัยเทา่ กบั 1 ตนั ตัวอยา่ งท่ี 2 ลวดกวา้ นซงึ่ มีขนาดเสน้ ผ่าศูนย์กลาง 1/2 น้ิว จะสามารถรบั แรงดึงได้อย่าง ปลอดภยั เทา่ ใด จากสูตร SWC = 8D2 = 8 .5 .5 =2 เชอื กลวดเส้นน้จี ะรับแรงดงึ ไดอ้ ย่างปลอดภยั เท่ากบั 2 ตนั 9. แรงทก่ี ระทำตอ่ ขาของห่วงเชอื ก (SLING LEG FORCES) แรงทก่ี ระทำตอ่ ขาแตล่ ะข้างของหว่ งเชือก (ห่วงเชือก 2 ขา) ต่อนำ้ หนกั แต่ละ 1,000 ปอนด์ ของ น้ำหนกั รวมของภารกรรม มมุ ของห่วงเชอื ก แรงทก่ี ระทำตอ่ ขาของ มุมของหว่ งเชอื ก แรงทก่ี ระทำตอ่ ขาของ ( องศา ) หว่ งเชอื ก เปน็ ปอนด์ ( องศา ) ห่วงเชอื ก เปน็ ปอนด์ 0 500 90 707 10 502 100 778 20 509 110 872 30 518 120 1,000 40 532 130 1,183 50 552 140 1,462
ห น้ า | 42 60 577 150 1,932 70 610 160 2,880 80 653 170 5,734 500 ป. 0 577 ป. 577 ป. 500 ป. 60 707 ป. 90 707 ป. 1000 ป. 1201000 ป. 1,000 ปอนด์ 1,000 ปอนด์ 1,000 ปอนด์ 1,000 ปอนด์ 10. ขอ้ ควรระวงั ในการกรู้ ถ 10.1 เคร่อื งยนต์ จะตอ้ งดับเครื่องยนต์ และใส่หา้ มล้อไว้ในขณะทำการต่อ หรอื ปลดลวดลากจูง 10.2 ปนื ใหญ่ จะต้องหมนุ ปนื ใหญไ่ ปไวใ้ นตำแหนง่ ซึ่งจะไมช่ นหรือกระทบกบั ตวั รถ หรือ ป้อมปืนของรถคนั อน่ื ในกรณที ี่เกิดการชนกันข้ึน 10.3 พลขับ จะตอ้ งปดิ ฝาปิดหอ้ งพลขบั และสงั เกตการณ์ผา่ นกลอ้ งตรวจการณ์ในขณะกู้รถ 10.4 เจา้ หนา้ ท่ีตา่ ง ๆ เจ้าหนา้ ทตี่ า่ ง ๆ บนพื้นดินจะต้องอย่ใู ห้พน้ จากย่านอนั ตราย ของสายลวดกวา้ น อย่างนอ้ ยท่สี ุดเท่ากับความยาวของเสน้ ลวด และอย่ใู นดา้ นตรงขา้ มกับมุมดึง หรอื ตวั กวา้ น 10.5 การอำนวยการ การอำนวยการและควบคมุ ดูแลการกู้รถ ควรจะกระทำโดยบุคคลคนเดยี วกัน โดยอยใู่ นตำแหนง่ ท่ีปลอดภัย และพลขับทกุ นายสามารถมองเห็นสญั ญาณได้ ชัดเจน 10.6 การตอ่ รอก จะตอ้ งตรวจวา่ การต่อรอกได้กระทำอยา่ งถกู ต้อง และสลักตา่ ง ๆ จะต้องมีสลกั กันหลดุ ใส่ไวเ้ รยี บร้อย กอ่ นทจ่ี ะให้รอกชดุ น้ันออกแรงรบั ภารกรรม 10.7 การใช้กำลงั จะตอ้ งเริม่ เดินกวา้ นหรือออกแรงฉุดหรือออกแรงดึงอยา่ งชา้ ๆ และสมำ่ เสมอกนั 10.8 เพลิง หา้ มสบู บุหรี่ หรือนำเปลวไฟเขา้ มาใกล้รถทตี่ ิดจมูกหรอื พลกิ คว่ำ เพอ่ื ปอ้ งกันอันตรายจากเพลิง 10.9 ควันไอเสยี รถถงั ทถี่ กู ลากจูงควรไดร้ ับการเบี่ยงเบนใหพ้ ้นจากควันไอเสียของรถถงั คนั ลากจูงเพ่อื ป้องกันอนั ตรายจากแกส๊ คารบ์ อนโมน็อกไซด์ 10.10 นำ้ มันเชอื้ เพลิงทห่ี กไหล รวมทง้ั นำ้ มันหล่อลนื่ ต่าง ๆ จะต้องถกู ดดู ซับ และเชด็ ใหแ้ หง้ จากรถที่ ติดจมกู หรอื พลกิ ควำ่ และเมอ่ื กูร้ ถขึ้นมาแลว้ รถนั้นจะต้องได้รับการ ตรวจสภาพ และปรนนบิ ัตบิ ำรงุ อยา่ งครบถ้วนโดยพลประจำรถ และชา่ งยานยนต์ ก่อนทจ่ี ะตดิ เคร่ืองยนต์อีก เอกสารน้แี ปลจากค่มู ือการกู้รถ และการตอ่ รอกเพือ่ กรู้ ถ ฉบับเดอื นกรกฎาคม 1980 ของ รร.สพ.ทบ.สหรฐั ฯ อาเบอรด์ นี พรูพว่งิ กราวน์ด แมร่แี ลนด,์ รส.20-22 ฉบบั เดือน สงิ หาคม 1990 และ รส. 9-43-2 ฉบบั เดอื น ตลุ าคม 1995
Search
Read the Text Version
- 1 - 45
Pages: