Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน

ดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน

Published by ปวเรศ พึ่งรอด, 2021-01-23 08:24:30

Description: ดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน

Search

Read the Text Version

ดนตรีพ้นื บ้านภาคอสี าน ดนตรีเปน็ สว่ นหน่งึ ของสงั คมและวัฒนธรรมของมนุษย์มาต้งั แต่เกิด และยงั ดำเนินความ สัมพนั ธ์กับชวี ติ มาตลอด ดนตรจี ึงเปน็ สว่ นหน่งึ ของชวี ติ จนยากจะแยกออกจากกันได้ เพราะอาจจะถือไดว้ ่า ศิลปะดนตรีน้นั เป็นปจั จยั ทีห่ ้าของมนุษย์ ที่สร้างดนตรีข้นึ เพือ่ ท่ีจะระบายความคดิ ความรูส้ ึก หรอื สรา้ งมโน ภาพและประสบการณ์จรงิ ซ่งิ อาจเปน็ ความสุขหรือความทุกขด์ ้วยเหตนุ ้จี ึงสรา้ งศลิ ปขน้ึ มาเพื่อชีวิต ดนตรจี งึ เป็นศิลปทส่ี รา้ งขึ้นมาเพอ่ื ตอบสนองความต้องการของมนษุ ย์ ดนตรีนนั้ ยงั เก่ียวข้องกบั สงั คมในแตล่ ะท้องถน่ิ ท่ี เรียกว่า ดนตรพี ้นื บ้าน ซึง่ เปน็ การถ่ายทอดสบื เนื่องกันมาของชาวบา้ นท่ีประกอบพิธตี ่าง ๆ ดนตรีพน้ื บ้านจงึ มี ความสัมพนั ธ์ต่อวถิ ชี ีวติ ของชาวบ้าน ท้งั ในดา้ นบันเทงิ ใจของคนในสังคม ให้ผ่อนคลายความเหนด็ เหนือ่ ยจาก การทำงาน และในด้านการประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา และพิธกี รรมท่ีเกิดขน้ึ ในแต่ชว่ งชีวิตของชาวบ้าน ซง่ึ จะสะทอ้ นความคิดสรา้ งสรรคข์ องบคุ คลหรอื กลุม่ ชนในระยะเวลาตา่ ง ๆ ซง่ึ แต่ละกลุม่ ชนยังคงรกั ษาไว้และ นิยมเล่นกันในปัจจุบันอยา่ งเชน่ ดนตรพี ืน้ บา้ นอสี าน ความเปน็ มาของดนตรีพนื้ บา้ นภาคอีสาน ดนตรพี นื้ บ้านภาคอีสาน เป็นดนตรปี ระจำภมู ิภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื มปี ระวัตคิ วามเป็นมานับพนั ปี และสบื ต่อกันมาจนถงึ ปจั จุบนั โดยยังดำรงเอกลกั ษณ์ของวฒั นธรรมพืน้ บ้านไวอ้ ยา่ งมน่ั คง ในการศึกษาอาจสบื ค้นจาก การใชค้ ำวา่ “ดนตรี” ในวรรณกรรมพื้นบา้ นไดบ้ ันทกึ ไว้เป็นหลักฐาน 1. ประวตั กิ ารปรากฏคำว่า“ดนตรี” ศพั ท์ที่ใช้อยู่ในภาษาไทยกลางและไทยอสี านในปจั จุบันนี้ เดิมเปน็ คำภาษา สันสกฤต “ตนั ตริ” หรอื จากภาษาบาลีวา่ “ตุรยิ ะ” หรอื “มโหรี”คำวา่ “ตนั ตริ” ทป่ี รากฏในวรรณกรรม พื้นบา้ นอสี านเขียนว่า“นนตร”ี ซ่ึงก็คอื “ดนตรี” นั่นเอง นอกจากน้ยี งั มีคำทม่ี คี วามหมายคล้ายคลงึ กนั ดงั นี้ 1.1 คำวา่ “นนตรี” พบในวรรณกรรมพน้ื บา้ นอสี า่ นหลายเร่ือง ไดแ้ ก่ สินไช แตงอ่อน การะเกด ดังตัวอยา่ ง ดังน้ี - บัดน้จี ักกล่าวเถิงภูชัยทา้ ว เสวยราชเบง็ จาล กอ่ นแหลว้ ฟังยนิ นนตรปี ระดบั กล่อมซอซงุ 1.2 คำว่า “ตรุ ยิ ะ” อาจเขียนในรูป“ตรุ ยิ ะ” “ตุรยิ า” “ตุรเิ ยศ” หรือ “ตุรยิ างค์”เช่น - เม่อื น้ันภบู าลฮู้ มนุ ตรขี านชอบ ฟังยนิ ตรุ ิเยศยา้ ย กลองฆอ้ งเสพเสียง 1.3 คำว่า “มโหรี” อาจมาจาก“มโหรี” ทเ่ี ปน็ ชือ่ ป่ี หรือมาจากคำว่า“โหรี” ซึง่ หมายถงึ เพลงพ้ืน เมืองชนิดหน่งึ ของอนิ เดีย คำว่า “มโหรี”พบในวรรณคดีของอีสานดงั น้ี - มีทั้งมโหรีเหล้น ทังละเมง็ ฟอ้ นมา่ ยสิงแกว่งเหล้อื ม โขนเตน้ ใส่สาว(สิง = นางฟอ้ น นางรำ้ ) จะเห็นได้ว่า คำว่า “นนตรี” “ตุริยะ” และ “มโหรี” เป็นคำทน่ี ิยมใช้ในวรรณคดแี ละหมายถงึ ดนตรี ประเภท บรเลงโดยทวั่ ไป แต่ในปัจจุบนั คำว่า ดนตรี หมายถึง ดนตรีของราชสำนักภาคกลางหรือดนครีไทยสากล สน่

ดนตรพี ื้นบา้ นของชาวอีสานจะมีช่ือเรียกเปน็ คำศัพท์เฉพาะเปน็ อย่าง ๆ ไป เช่น ลำ (ขบั ร้อง) กล่อม สวดมนต์ สู่ขวญั เซ้งิ เวา้ ผญา หรอื จา่ ยผญา สวดสรภญั ญะและอ่านหนังสอื ผูก เป็นตน้ การท่จี ะสบื คน้ ประวตั คิ วามเป็นมาของดนตรีอีสานใหไ้ ด้ขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ข้อเทจ็ จรงิ น้ันทำ ไดย้ าก เพราะไมม่ ี เอกสารใดทีบ่ นั ทกึ เรอ่ื งราวทางดนตรโี ดยเฉพาะ จะมกี ล่าวถึงในวรรณคดกี ็เปน็ สว่ นประกอบของทอ้ งเรื่อง เท่านั้นเอง และทกี่ ล่าวถึงส่นมากกเ็ ป็นดนตรีในราชสำนกั โดยกล่าวถงึ ช่ือดนตรตี ่าง ๆ เชน่ แคน พิณ ซอ ไค้ (แคนของชาวเขา) ขลุย่ กลอง ตะโพน พาทย์ (กลอง ระนาด ฆ้อง สไนง์ (ปี่ เขาควาย) สวนไล (ชะไล-ปใี่ น)ป่ีออ้ หรอื ปห่ี อ้ เป็นต้น ส่วนการประสมวงนัน้ ท่ีเอยกม็ วี งมโหรี สว่ นการประสมอยา่ งอ่ืนไม่กำหนดตายตัวแนน่ อน เขาั ใจว่าจะประสมตามใจชอบ แม้ในปจั จุบันการประสมวงของดนตรอี สี านก็ยังไม่มมี าตรฐานท่แี น่ยอนแตอ่ ย่าง ใด อย่างไรก็ตามดนตรีอสี านในปจั จุบนั ที่ยังคงปฏิบัตอิ ยมู่ ที ัง่ ดนตรปี ระเภท บรรเลงและดนตรปี ระเภทขบั ร้อง ววิ ฒั นาการของดนตรีพืน้ บ้านอสี าน ดนตรีพ้ืนบ้านอีสาน เป็นศิลปวัฒนธรรมแขนงหนง่ึ กำเนดิ จากกลุ่มชนต่าง ๆ ในอดีตไดส้ รา้ งสมสืบทอด ติดตอ่ กนั มา เปน็ เวลานานจนกลายเปน็ เอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มชนซ่งึ มีอยใู่ นแถบภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื หรอื ภาคอสี านของประเทศไทย ในสมัยโบราณอาจกล่าวไดว้ ่าภาคอีสานเป็นที่อยูอ่ าศัยของกลมุ่ ชนชาวพ้ืนเมือง หลายกลมุ่ ชน ที่ได้อพยพปนเปกนั กับชาวพื้นเมอื งเดิม โดยการนำเอาศิลปวฒั นธรรมรวมทงั้ การขบั รอ้ ง ดนตรี และการละเล่นตา่ ง ๆ ผสมผสานกันมาต้ังแตส่ มยั ล้านนาและล้านช้าง โดยยดึ เอาแนวลำแม่น้ำโขงเปน็ เสน้ ทาง คมนาคมทางน้ำ อนั สำคัญจากทางเหนอื ลงส่ทู างใต้ ดงั้ นั้นบริเวณทรี่ าบลุม่ สองฝ่งั แมน่ ้ำโขง จงึ เป็นแหลง่ อารย ธรรมดง้ั เดมิ ของชาวพน้ื เมอื งในสมยั น้นั แต่มเี ทอื กเขาสูง เปน็ แนวขอบกนั ระหวา่ งอาณาจักรล้านนา ลา้ นชา้ ง กบั อาณาจักรสยาม(ประเทศไทย) จึงทำใหไ้ ม่สามารถติดตอ่ กนั ได้สะดวก ศิลปวฒั นธรรม ประพณี ดนตรี และ การละเล่นตา่ ง ๆ ของอาณาจกั รสยามในภาคกลางกบั ภาคอสี านท่ีอยูใ่ นอาณาจักรล้านนา ลา้ นช้าง จึงมคี วาม แตกต่างกันจากสาเหตุพน้ื ทีภ่ ูมิประเทศทีม่ ีเทอื กเขาขวางก้นั เป็นแนวระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน ส่วนภาค อีสานซง่ึ มหี ลายกลุ่มชน ศิลปวฒั มนธรรม มีความแตกตา่ งกัน กลุ่มชนทีม่ อี ิทธิพลเหนือกวา่ ยอ่ มนำเอา วฒั นธรรมทม่ี ีอยู่แล้ว มาผสมผสานกับวัฒนธรรมของตนเอง เชน่ ภาษาพนื้ เมอื งของภาคอีสานมีความแตกต่าง กบั ของขอม หรือเขมร ได้ถา่ ยทอดหลงเหลอื ไวใ้ นดนิ แดนแถบอีสานตอนล่าง ทมี่ ีพรมแดนติดตอ่ กบั ประเทศ กัมพชู า ในดา้ นของดนตรี การขับรอ้ งทแี่ ตกต่างไปจากภาคกลางจึงอาจกล่าวได้ว่า วฒั นธรรมดนตรแี ละ การละเลน่ ในภาคอีสานมี2 ลกั ษณะคอื การละเล่นดนตรพี ้นื บา้ นแบบไทยลาว และการละเลน่ ดนตรพี ืน้ บา้ น แบบไทยเขมรดังตอ่ ไปนี้ 1. วัฒนธรรม ดนตรกี ลุ่มอีสานเหนือ เปน็ วฒั นธรรมดนตรีที่อยูบ่ รเิ วณทร่ี าบสูงมภี เขาทางดา้ นใต้และทางด้าน ตะวันตก ไปจรดกับลำน้ำโขงตอนเหนอื และทางตะวันออกทางเทอื กเขาภูพานกน้ั แบง่ บริเวณนอี้ อกเป็นทรี่ าบ ตอนบนท่ี เรียกว่า แอง่ สกลนคร ไดแ้ กบ่ ริเวณ จังหวดั กาฬสนิ ธุ์ ขอนแกน่ ชัยภมู ิ นครพนมหนองคาย อดุ รธานี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เลย มกุ ดาหาร ยโสธร และอบุ ลราชธานี ส่วนภาษาท่ใี ช้สว่ นใหญใ่ ช้ภาษาไทยอสี านหรือ ภาษาลาว เพราะคนกล่มนสี้ ืบทอดวฒั นธรรมมาจากลุ่มแมน่ ำ้ โขง โดยบรรพบุรุษไดอ้ พยพมาจากดินแดนลา้ น ช้าง ซงึ่ อย่ทู างฝ่ังซ้ายของแมน่ ้ำโขงข้ามมาต้ังถนิ่ ถานในภาคอีสานต้ังแต่สมยั รตั นโกสินทรก์ ลมุ่ ชนส่วนใหญใ่ น

ภาคอสี านนี้โดยท่วั ไปเรยี กว่ากลุ่มชนไทยลาว และยงั มีกลุม่ ชนบ้างสว่ นอาศัยอยู่โดยทวั่ ไปไดแ้ ก่ ผไู้ ท แสด ย้อ โล้ โย้ย ขา่ เปน็ ต้น 2. วฒั นธรรมดนตรีกล่มุ อสี านใต้ เป็นทร่ี าบดอนใตเ้ รียกว่า แอง่ โคราช ไดแ้ ก่จงั หวัดสรุ นิ ทร์ บรุ ีรมั ย์ และศรีสะ เกษ วฒั นธรรมกลู่มอีสานใตม้ กี ารสืบทอดวฒั นธรรม แบ่งออกเป็นกลุ่มได้ 2 กลุ่มใหญ่คือ 2.1 กลุ่ม ที่สืบทอดมาจากเขมร-สว่ ยได้แก่ กลุ่มชนส่วนใหญ่ท่ีอย่ใู นจังหวัดสุรินทร์ บรุ ีรมั ย์ และศรีสะเกษ เปน็ กลมุ่ ชนท่ไี ด้รับการสบื ทอดมาจากเขมร-สว่ ยนี้จะพดู ภาษาเขมรและภาษาสว่ ย 2.2 กลุ่ม วฒั นธรรมโคราช ได้แกก่ ลุ่มชนสว่ นใหญท่ ่อี าศัยอย่ใู นจงั หวดั นครราชสมี าและบางส่วนใน บรุ ีรมั ย์ ซ่งึ จะพดู ภาษาโคราช กลา่ วโดยสรปุ การศึกษาความเปน็ มาของดนตรีพนื้ บา้ นจะต้องศึกษาถึงลักษณะพื้นท่ี และ ภมู ปิ ระเทศเพอ่ื เปน็ แนวทางในการศึกษาวฒั นธรรมดนตรกี ลมุ่ ชนต่าง ๆ ตลอดจนการผสมผสานกันทาง วฒั นธรรมความคงอยู่ การเปลยี่ นแปลง รวมท้งั การรกั ษาวัฒนธรรมดง้ั เดิมไว้ อาจเป็นการสืบทอดหรือ ถา่ ยทอดจากร่นุ หนึ่งไปสู่อีกร่นุ หนงึ่ แล้วแตก่ ลมุ่ ชนใดทม่ี คี วามเจริญรุ่งเรอื งกว่ายอ่ มรกั ษาเอกลักษณ์แบบฉบับ เฉพาะตวั ของกลุ่มชนตัวเองไวไ้ ด้ กลมุ่ ใดทมี่ คี วามลา้ หลงั กว่าก็ตอ้ งรับเอาวฒั นธรรมของกลมุ่ ที่มอี ิทธิพลมาดดั แปลงใหเ้ ข้ากับวฒั นธรรมของตนเอง ดังนนั้ จึงขอกล่าวโดยแบ่งออกเปน็ อีสานเหนือและอีสานใต้เพื่อสะดวกแก่ การทำ ความเขา้ ใจดังน้ี ดนตรพี ้ืนเมอื งอสี านเหนือ ลกั ษณะดนตรีอสี านเหนือ ดนตรีท่ีนำมาใชเ้ ป็นไปในรูปแบบต่าง ๆ ดังตอ่ ไปนี้ 1. บรรเลงประกอบหมอลำ คำวา่ “ลำ” หมายถงึ ขบั ลำนำ หรอื ขับเป็นลีลาการร้องหรือการเลา่ เรื่องทรี่ ้อง กรองเปน็ กาพยห์ รอื กลอนพนื้ เมอื งบรรเลงลว้ น บางโอกาสดนตรีบรรเลงทำนองเพลงล้วน ๆ เพอื่ เป็น นนั ทนาการแก่ผูฟ้ งั เพลงทใ่ี ช้บรรเลงกเ็ ปน็ ทางประกอบหมอลำหรอื ทางอนื่ ๆ ท่ใี ชเ้ ปน็ เพลงบรรเลงโดยเฉพาะ 2. บรรเลงประกอบการฟ้อนรำ นาฎศลิ ป์พนื้ เมืองอีสานทเ่ี นน้ การเคล่อื นไหวเท้าตามจงั หวะ สว่ นอ่ืน ๆ ของ รา่ งกายก็เคล่ือนไหวแต่ไม่ค่อยพิถพี ถิ นั ดนตรพี ้นื เมืองอสี านมีลักษณะเฉพาะตัวเอง มีความแตกต่างไปจาก ดนตรพี ้ืนเมอื งอนื่ ๆ องคป์ ระกอบทสี่ ำคญั ของอสี านมี 3 ประการ คอื 1. จงั หวะ จงั หวะเป็นองคป์ ระกอบท่ีสำคญั มาก มตี ั้งแตป่ ระเภทชา้ ปานกลางและเร็ว จังหวะข้าใชใ้ นเพลง ประเภทชวนฝนั เศร้า หรอื ตอนอารมั ภบทของเพลงแทบทกุ เพลง 2. ทำนอง ซง่ึ ชาวบา้ นเรียกทำนองวา่ “ลาย” และบ่อยครัง้ ใชล้ ายแทนคำวา่ เพลงทำนองเพลงพน้ื เมืองของ อสี านเหนือมีวิวัฒนาการมาจากสำเนยี งพูดของชาวอีสานเหนอื โดยท่วั ไป ทำนองของเพลงแตล่ ะเพลงแบ่ง ออกเป็น 3 ลกั ษณะ ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 ทำนองเกร่นิ เป็นทำนองที่บรรเลงขึน้ ต้นเหมือนกับอารมั ภบทในการพดู หรือเขยี น

2.2 ทำนองหลัก คอื ทำนองที่เปน็ หวั ใจของเพลง ผฟู้ งั ที่คุ้นเคยกบั เพลงพ้นื เมืองสามารถบอกชอื่ เพลง หรอื ทาง หรอื ลายไดจ้ ากทำนองหลกั น้ีเอง 2.3 ทำนองยอ่ ย คือทำนองท่ีใช้สอดแทรกสลับกันกับทำนองหลัก เน่อื งจากทำนองหลกั ส้ัน การบรรเลงซำ้ กลับไปกลับมาตดิ ต่อกันนาน ๆ ทำให้เพลงหมดความไพเราะ การสอดแทรกทำนองยอ่ ยใหก้ ลมกลืนกับทำนอง หลักจึงมีความสำคัญมาก 3. การประสานเสียง การประสานเสียงในวงดนตรเี ป็นสง่ิ ท่เี กดิ ขนึ้ ภายหลงั กอ่ นน้ันเปน็ บรรเลงหรือรอ้ งเปน็ ไป ลักษณะทำนองเดย่ี ว เครือ่ งดนตรีพนื้ เมืองอีสานเหนือ เคร่ืองดนตรพี ื้นเมอื งอีสานเหนือท่ใี ชบ้ รรเลงกันมาต้งั แตอ่ ดตี มหี ลายประเภทหลายชนดิ ท้ังท่กี ำลังอยู่ในความ นิยมและท่ีกำลงั จะสญู หายไป เนอ่ื งจากเครอื่ งดนตรที ม่ี รี ะดับเสียงไม่พอแก่การดำเนินทำนอง จงึ ขาดความ นิยมลงไปทลี ะน้อย ๆ และคงจะสูญไปในท่สี ดุ ในทางตรงกนั ขา้ ม เคร่ืองดนตรีที่มรี ะดับเสียงมากพอและมี ระดับเสียง(Tone Color) คนละชนดิ ก็ได้รับการปรบั ปรุงใหม้ ขี นาดกระทดั รัดสวยงามและมคี วามทนทานมาก ขึ้น มิหนำซ้ำยังได้ปรับปรุงระดบั เสยี งที่ยงั ขาดเพ่อื ใช้บรรเลงเพลงตา่ ง ๆ ได้กว้างขวางข้นึ ไปอกี เพื่อความ เขา้ ใจในดนตรอี ีสานเหนือ จึงแบ่งเคร่อื งดนตรีออกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ เครอ่ื งดนตรีประเภทดีด พิณพนื้ เมือง พิณพน้ื เมอื งมีชื่อเรยี กตามทอ้ งถ่นิ หลายช่อื เช่น พิณ ซงุ หมากจับป่ี หมากตับเต่ง หมากตดโต่ง ใช้เล่นกนั อยู่ โดยท่ัวไปในภาคอสี าน ปัจจุบันพิณยังใช้เลน่ กนั ในทอ้ งถนิ่ ท่มี วี ฒั นธรรมด้งั เดิม เชน่ หม่บู ้านทมี่ กี ารเปล่ยี นแปลง ทางวฒั นธรรมน้อยรูปรา่ งลักษณะ พณิ พนื้ เมืองอสี านมีลักษณะคลา้ ยกบั พิณท่ัวไป จัดเปน็ เครอื่ งดนตรีประเภทมสี ายใชด้ ดี เทียบไดก้ บั แมนโดลิน กีตาร์ ของชาวตะวันตกเสยี งพณิ เกดิ จากการดีดสายท่ีขึงตงึ เพอ่ื ให้เกดิ การสัน้ สะเทือนอยู่เหนือส่วนทีก่ ลวงเปน็ โพรง พิณพื้นเมืองทำด้วยไมเ้ น้ืออ่อนหรอื แข็งปานกลาง ไมเ้ นอื้ แข็งทำให้มีน้ำหนกั มาก ส่วนทก่ี ลวงแตกงา่ ย และเสียงไมค่ ่อยดัง วัตถทุ ่ีใชด้ ดี ทำด้วยเขาสัตว์ เหลาให้แบนบาง วธิ ีบรรเลง พณิ เป็นเครอื่ งดนตรีประเภทเครอ่ื งสายใช้ดดี ใช้บรรเลงได้ทัง้ ขณะน่ัง ยืน หรอื เดนิ หากประสงคจ์ ะยนื หรอื เดนิ บรรเลง ก็ตอ้ งใช้สายผา้ หรอื หนงั ผูกปสายลำตวั และปลายคนั ทวนแล้วเอาสายคลอ้ งคอไวัให้ ตำแหนง่ ของพิณ อยใู่ นระดับราบ มือขวาถอื ทีด่ ีดไวด้ ว้ ยนวิ้ ชแ้ี ละหวั แมม่ อื การดีดพิณไม่นิยมดดี รัวเหมือนดีดแมนโดลินสว่ นมาก ดีดหนักเบาสลบั กนั ไปเปน็ จังหวะ ถ้าบรรเลงจงั หวะช้าหรือปานกลางมักนยิ มดดี ลงทางเดียวจงั หวะเรว็ มกั ดีด ทงั้ ขึ้นและลง สายพณิ ทใี่ ชเ้ ปน็ หลกั ในการดำเนนิ ทำนองมีสองสาย คอื สายเอกและสายทุ้ม

โอกาสทใ่ี ช้บรรเลง พิณใช้บรรเลงในโอกาสตอ่ ไปนี้ 1. ใช้เป็นเพอ่ื นแกเ้ หงา ชาวบ้านทีม่ ีความชำนาญมักหยิบพิณมาดีดในยามว่าง 2. ใชเ้ ปน็ นันทนาการระหว่างเพ่ือนฝูง ตามชนบททห่ี า่ งไกล นนั ทนาการของชาวบา้ นมักอาศัยดนตรีพื้นเมอื ง เป็นพน้ื เพราะเปน็ ของทมี่ ีราคาถูกหรอื ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อยา่ งไร 3. ใชค้ บงันหรอื ฉลองงาน ไมว่ า่ ชาวบ้านรวมกลกู่ นั ทใ่ี ด ดนตรมี กั เขา้ ไปมีบทบาทเสมอ เสียงดนตรีพื้นเมืองมี เสียงไมค่ อ่ ยดงั นกั จะใช้มมุ ใดมุมหน่งึ ฟงั ดนตรใี ห้สนุกสนานกย็ อ่ มทำได้ หนุ หรือหึน เป็นเครือ่ งดนตรที ำดว้ ยไมไ้ ผ่ทางภาคกลางเรยี กว่า จ้องหน่องกลมุ่ วฒั นธรรมกนั ตรมึ เรียกวา่ อังกุย เวลาดีด ต้องใชป้ ากคาบไว้ทกี่ ระพงุ้ แก้ม ซงึ่ จะทำหนา้ ท่เี ป็นเคร่อื งขยายเสียง นยิ มเลน่ เดยี่ วมากกว่าบรรเลงกับดนตรี ชนิดอน่ื ชาวผู้ไทจะเรียกหนุ หรือหึนว่า โกย นิยมเล่นในกลมุ่ ผู้หญงิ ชาวผู้ไทสมยั พิณไห หรอื ไหซอง เปน็ พิณทท่ี ำมาจากไหที่ใสป่ ลารา้ ของชาวอีสาน นิยมทำเปน็ ชดุ ๆ ละ3ใบ มขี นาดลดหลั่นกันไป ตรงปากไหขงึ ด้วยยางหนังสต๊กิ หรอื ยางในรถจักรยานแล้งผูกขึงใหเ้ สยี งประสานกัน โดยทำหน้าทค่ี ล้ายกบั กีตารเ์ บส ผู้เลน่ จะรา่ ยรำประกอบไปด้วย เคร่ืองดนตรปี ระเภทสี ซอพืน้ เมอื ง เครื่องดนตรีพ้นื เมอื งอสี านประเภทเครื่องสี คอื ซอ ชาวบ้านใช้เล่นตั้งแตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จุบนั ทง้ั ๆ ทีซอมเี สียง ไพเราะกว่า หรือพอ ๆ กบั เครื่องดนตรชี นิดอื่น แต่ก็มผี เู้ ลน่ ไม่มากนัก รปู ร่างลกั ษณะ วงการดนตรีเชอื่ วา่ เครอ่ื งดนตรปี ระเภทสมี วี วิ ฒั นาการมาจากประเภทดดี สมยั ทม่ี ีเคร่ืองสาย แรก ๆ นน้ั คงใช้น้ิวมือ หรอื วัตถุบางๆ ดีดให้เกดิ เสียง เสียงทีเ่ กิดมักเปน็ ช่วงสั้น ๆ เม่ือตอ้ งการทอดเสียงให้ยาว ออกไปจำเป็นตอ้ งดดี รัว ซงึ ก็เปน็ ช่วงสั้น ๆ ตดิ ต่อกันอยา่ งรวดเร็วอยนู่ ้นั เอง ภายหลังจงึ คน้ พบวา่ ถา้ สสี ายดว้ ย คนั ชกั จะทำใหม้ เี สยี งยาวไมข่ าดตอนและมลี กั ษณะเสียง (Tone Color) คนละแบบกบั การดีด ตอ่ มาจงึ แยก เคร่อื งดนตรีประเภทดดี กับประเภทสอี อกเป็นคนละประเภท โอกาสทีบ่ รรเลง โอกาสใช้ซอบรรเลงกเ็ หมือนเครอ่ื งดนตรชี นิดอนื่ ที่กลา่ วมาแล้ว เช่น การคบงนั การฉลอง งานเทศกาลต่าง ๆ ซอใช้ทงั้ เดยี่ วและผสมวง

ซอไมไ้ ผ่ หรือซอบงั้ เปน็ ซอทีท่ ำจากไมไ้ ผ่ 1 ปลอ้ งมีเสน้ ผ่าศูนยก์ ลางประมาณ2-3 น้วิ ถากผิวออกจนเหลือกระบอกบาง ๆ เจาะรู ให้เกิดโพรงเสยี งข้ึนสายสองสายไปตามความยาวของกระบอกไมไ้ ผ่ แลว้ สดี ้วยคันชกั มีข้อเสยี คือเสียงเบา เกินไป ซอป๊บี เปน็ ซอที่ทำจากปีบ๊ น้ำมันก๊าดหรอื ปี๊บลูกอมมสี ายลวดสองสายขึน้ เสียงคู่สหี่ รือคู่หา้ คนั ชกั อาจอยรู่ ะหว่างกลาง ของสายทง้ั สอง หรอื อาจจะอย่ขู ้างนอก ทั้งนขี้ ึ้นอยกู่ ับครแู ตล่ ะคน แต่สว่ นมากแลว้ ถ้าสปี ระกอบหมอลำ นิยม ให้คนั ชกั อยู่ขา้ งนอก เพลงที่สีซอป๊ีบเป็นเพลงแคน อาจสีเดย่ี วหรือสปี ระสานเสยี งหมอลำก็ได้ ซอกระปอ๋ ง เป็นซอสองสายเชน่ เดยี วกบั ซอปบ๊ี แตก่ ระโหลกซอทำด้วยกระปอ๋ ง และนยิ มวางคนั ชักไว้ข้างในคืออยู่ระหว่าง กลางของสาย ทัง้ ขน้ึ เสยี งเปน็ คู่ห้า นยิ มสเี พลงลกู ทุง่ ประกอบการขับรอ้ งหรอื สีเพลงลายพ้นื บา้ นของแคน เครอื่ งดนตรปี ระเภทตี โปงลาง ดนตรพี นื้ เมืองอีสานถือว่าจงั หวะสำคญั มาก เครื่องดนตรปี ระเภทตีใช้ดำเนินทำนองอยา่ งเดียวคือ โปงลาง โปงลางมวี วิ ฒั นาการมาจากระฆงั แขวนคอสตั ว์เพ่ือใหเ้ กดิ เสยี งโปงลางท่ีใช้บรรเลงอยู่ในภาคอสี านมี2 ชนิด คือ โปงลางไมแ้ ละโปงลางเหลก็ ภาพท่แี สดงคือ โปงลางไม้ซึ่งประกอบด้วยลกู โปงลางประมาณสบิ สองลูกเรียง ตามลำดบั เสยี งสูง ตำ่ ใชเ้ ชือกร้อยเปน็ แผงระนาด แตโ่ ปงลางไมใ่ ช้รางเพราะเห็นวา่ เสียงดังอยูแ่ ล้ว แตน่ ำมา แขวนกับที่แขวน ซึ่งยดึ ส่วนปลายกับส่วนโคนให้แผงโปงลางทำมุมกับพื้น 45 องศา ไม้ตโี ปงลางทำด้วยแกน่ ไม้ มีหวั งอนคล้ายคอ้ นสำหรับผบู้ รรเลงใช้ตีดำเนนิ ทำนอง1 คู่ และอีก 1 คู่สำหรับผู้ชว่ ยใช้เคาะทำใหเ้ กิดเสยี ง ประสานและจังหวะตามลกั ษณะของดนตรพี น้ื เมืองอีสานทม่ี ีเสียงประสาน โอกาสทบ่ี รรเลง เน่ืองจากโปงลางประกอบด้วยลูกโปงลางขนาดใหญห่ ลายลกู จึงมนี ำ้ หนกั มาก ไมส่ ะดวกแก่การเคลื่อนย้ายได้ เหมือนเครอื่ งดนตรีพน้ื บ้านชนดิ อนื่ ๆ คราวใดมกี ารบรรเลงอยู่กับท่ีและต้องการใหง้ านเปน็ ที่เอิกเกริก ครน้ื เครงโปงลางมกั มสี ว่ นด้วยเสมอ กลองเส็ง หรอื กลองกงิ่ หรอื กลองแต้ เปน็ กลองคู่ประเภทกลองหนา้ เดยี ว นิยมใช้สำหรับการประลองความดงั หรืออาจใช้ กับงานบญุ ประเพณตี ่าง ๆ เช่นงานบุญบัง้ ไฟ หรืองานบญุ เผวด เป็นตน้ การตกี ลองเสง็ จะใช้ไมต้ ีซง่ึ จะทำจาก ไม้เคง็ หรือไมห้ ยี เพราะเหนียวและทนกว่าไมช้ นดิ อ่ืน ๆ กลองสองหน้า หนุ่ กลองทำดว้ ยไมข้ ้นึ หน้าดว้ ยหนัง ดึง ใหต้ งึ ด้วยเชือกหนังมีขนาดตา่ ง ๆ กนั ต้ังแต่ขนาดยาวประมาณ 50 เซนติเมตร จนถงึ 150 เซนติเมตร

โดยท่ัวไปขนาดประมาณ ด้านหนา้ ขนาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 18 เซนติเมตร ด้านหลงั ขนาด 15 เซนติเมตร ความ ยาวของกลอง36 เซนติเมตร ชดุ หน่ึงมี 2 ลกู ใช้ตีด้วยไม้มะขามหรอื ไมเ้ ลง็ หมุ้ ตะก่วั ทีห่ วั เสยี งดังมากการเทียบ เสยี ง ไม่มกี ารเทยี บระดับเสยี งแต่พยายามปรับให้มีเสียงดังกังวาลมากทีส่ ุดเท่าทจ่ี ะเป็นได้ กลองยาว เปน็ กลองดว้ ยหนังหน้าเดียวตวั กลองทำดว้ ยไม้มะม่วง ตอนหน้าของกลองจะมขี นาดใหญ่ ตอนท้ายมีลักษณะ เรยี วหลายขนาด ตรงกลางของหน้ากลองจะตดิ ข้าวสกุ บดผสมกบั ขเ้ี ถ้าถว้ งเสยี งตวั กลองยาวให้เกิด เสียงกอ้ ง ดังนา่ ฟังยง่ิ ข้นึ นิยมใช้ตีสำหรับขบวนแห่ เช่น แห่เทยี น แห่กนั หลอน หรือแห่พระเวส เปน็ ต้น กลองต้มุ เปน็ กลองสองหน้าคล้ายกลองตะโพนในทางดนตรไี ทยแตต่ ่างจากตะโพนตรงทีห่ น้าของกลองตุ้มทั้งสองขา้ งนนั้ มีขนาดเท่ากัน ส่วนใหญ่ใชต้ กี บั กลองยาว สำหรับขบวนแห่ หรือขบวนฟอ้ นในงานเทศกาลตา่ ง ๆ กลองตง้ึ เป็นกลองรำมะนาขนาดใหญใ่ ช้บรรเลงในวงกลองยาวเวลาตีตอ้ งใชค้ น 2คนหามและให้คนทอี่ ยูข่ ้างหลงั เป็นคน ตไี ปดว้ ย กลองกาบบั้ง หรือกลองกาบเบอื้ ง มีลกั ษณะแบบเดยี วกบั กลองตง้ึ แต่มีขนาดเลก็ กว่าเปน็ กลองหน้าเดยี วหรอื เบอ้ื งเดียว นยิ ม ใชต้ ีผสมวงกบั กลองตมุ้ และกลองยาวเพอื่ ประกอบในขบวนแห่ และขบวนฟอ้ นในงานเทศกาลต่าง ๆ กลองหาง เปน็ กลองยาวชนิดหนงึ่ แต่มีรูปรา่ งเพรียวกว่าของภาคกลาง ทเี่ รยี กกลองหางเพราะมีลำตัวยาวเหมือนหาง ใช้ ตีผสมกบั กลองต้มุ และกลองกาบบ้งั ประกอบการฟ้อนหรอื ขบวนแหง่ านบญุ ต่าง ๆ เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเปา่ แคน เป็นเคร่ืองเปา่ ทรี่ ูจ้ ักกนั แพรห่ ลายและถือวา่ เปน็ เครอื่ งดนตรที ่เี ปน็ สัญลกั ษณ์ของชาวอสี าน แคนทำด้วยไม้ไผ่ กู่ แคนหรือไมซ้ าง เรยี กวา่ ไมเ้ ฮีย้ หรอื ไม้เฮ้ือ เป็นพชื ตระกลู ไม้ไผใ่ ช้เป็นคู่ ๆ ประกอบกันเข้าโดยอาศัยเตา้ แคนเป็น แกน แคนมีหลายชนิด เรียกช่อื ตามจำนวนคขู่ องไม้ไผ่ที่นำมาประกอบกัน ได้แก่ แคนสาม แคนส่ี แคนหา้ แคน หก แคนเจ็ด แคนแปด แคนเกา้ แคนจะเจาะรูนับทกุ ลำ ลูกแคนตดั ให้ต่อลดหลนั่ ลงมาเพ่อื หาเสยี งให้ได้ ระดบั สูงต่ำ การเป่าแคนจะเป่าเปน็ ทำนองเรยี กวา่ ลายแคน นยิ มใช้เล่นกบั หมอลำ หมอลำกลอน เป็นต้น การเทยี บเสยี ง แคนเปน็ เครื่องดนตรที ี่มี 7 เสยี ง(ระบบไดอะโตนคิ ) แต่นยิ มเลน่ เพยี ง 5 เสยี ง (เพนอะโตนคิ )

โหวด เป็นเคร่ืองเปา่ ที่ทำดว้ ยลกู แคนแตไ่ ม่มีลิน้ โดยเอากแู่ คนประมาณ 7-12ชิน้ มาตดั ให้ไดข้ นาดลดหล่นั กันให้ ปลายทั้งสองเปิดปลายด้านล่างใชข้ ี้สูตรปดิ ใหส้ นทิ ส่วนปลายบนปิดไวส้ ำหรบั รูเป่า โดยนำก่แู คนมารวมกนั เขา้ กบั แกนไมไ้ ผ่ทอ่ี ยตู่ รงกลาง จดั ลกู แคนลอ้ มแกนไมไ้ ผใ่ นลักษณะทรงกลม ตรงหัวโหวดใชข้ ้ีสูตรกอ่ ให้เป็นรูป กรวยแหลมเพ่ือใชเ้ ป็นฐานสำหรบั จรดฝีปากดา้ นล่างและใหโ้ หวดหมุนได้รอบทศิ เวลาเป่า โหวดเปน็ เครอ่ื งเป่าชนดิ หนง่ึ ท่ไี ม่มลี ้ิน เกิดจากกระแสลมทเ่ี ป่าผ่านไม้รวกหรอื ไม้เฮยี้ (ไมก้ ู่แคน) หรอื ไมไ้ ผ่ ดา้ น รเู ปดิ ของตัวโหมดทำดว้ ยไมร้ วกขนาดเล็ก ส้ัน ยาว เรยี งลำดบั ตามความสงู ต่ำของเสียง ตดิ รอบกระบอกไม้ไผ่ที่ ใชเ้ ปน็ แกนกลางติดไวด้ ว้ ยขส้ี ูตรมจี ำนวน 6-9 เลา ความยาวประมาณ 25 เซนตเิ มตร เวลาเป่าจะหมนุ ไปรอบ ๆ ตามเสียงท่ีตอ้ งการแตเ่ ดิมโหวดใช้ผูกเชือก ผู้เล่นถือปลายเชือกแลว้ เหวีย่ งข้ึนไปบนทอ้ งฟา้ ทำให้เกดิ เสียง โหยหวน ภายหลงั จงึ พัฒนาไปเป็นเครื่องดนตรกี ารเทยี บเสียง ระบบ 5 เสียง ปีผ่ ู้ไท เป็นปที่ ที่ ำจากไม้กแู่ คนโดยเอาไม้กูแ่ คนมาค่แู คนมาปลอ้ งหน่ึงตัดโดยเปดิ ปลายขา้ งหนงึ่ และไปยงั ปลายข้ออกี ขา้ งหนึง่ ตรงปลาย ด้านทบ่ี ้ังขอ้ เจาะช่องสำหรับใส่ลิน้ ทท่ี ำดว้ ยทองเหลือง เจาะรเู ย่อื 1 รู และนับรู 5 รู ปรบั เสยี งใหเ้ ท่ากับเสยี งแคน ดนตรพี น้ื เมอื งอีสานใต้ ศลิ ปะการละเลน่ และดนตรขี องอสี านใต้ พอจำแนกออกตามลักษณะของความเป็นมาได้ 2 ประการ ดงั น้คี ือ ประการแรก เป็นศลิ ปะการดนตรแี ละการละเล่นที่ไดร้ บั อิทธพิ ลสบื มรดกตดทอดมาแตเ่ ดมิ อาจจะเปน็ ตั้งแต่ ขอมยงั เรอื งอำนาจ และไดร้ บั ถ่ายทอดสืบมาในช่วงหลงั ทีค่ นไทยในเขตสามจงั หวัดและชาวเขมรตำ่ ไปมาหาสู่ กัน โดยมากมักจะเป็นการค้าขายแลกเปลี่ยนซง่ึ กนั และกัน และเม่อื เปน็ เชน่ น้ี ศลิ ปะการดนตรแี ละการละเล่น ต่างๆ ย่อมจะถา่ ยทอดกันได้ ดนตรีและการละเล่นทีจ่ ัดอย่ใู นประเภทนกี้ ็คอื ลิเกเขมร กนั ตรมึ อาไย เปน็ ต้น ประการที่สอง เป็นศลิ ปะการดนตรแี ละการละเล่นท่ีเกิดขน้ึ ในท้องถ่นิ ในแถบอีสานโดยเฉพาะ เป็นการละเลน่ ที่ ชาวบ้านเล่นกันมาเป็นพื้น และในลักษณะน้ีดนตรีจะด้อยความสำคญั ลงไปเปน็ เพียงส่วนประกอบของ การละเล่น การละเล่นพวกน้ีไดแ้ ก่ เรือมอันเร (รำสาก) กะโนบ๊ ติงต็อง(ระบำตก๊ั แตน)เรอื มตรด(รำตรษุ ) เปน็ ต้น

เครอื่ งดนตรอี ีสานใต้ เครื่องดนตรีประเภทตี กลองกนั ตรึม กลองกันตรมึ เป็นกลองขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายโทนทางภาคกลาง แต่มีความยาวมากกว่า ตวั กลองทำจาก แก่นไมข้ นุนหรอื ลำตน้ ของตน้ มะพร้าวก็ใชท้ ำได้ แต่แก่ไมข้ นนุ เป็นทนี่ ยิ มมากกวา่ เพราะทำใหเ้ สียงดังกังวาน การทำใช้วธิ ีกลึงภายนอกให้เป็นรปู กลอง และขดุ ภายในให้กลวง โดยให้มีความหนาของตัวกลองประมาณ 1 นวิ้ พร้อมทัง้ ตบแต่งผิวภายนอกใหเ้ รยี บและขัดเงา การขึงหนงั กลอง หนงั ทีน่ ยิ มใช้คือหนงั ของลูกวัว หนังงูเหลอื ม หนงั ตะกวด แต่ทนี่ ยิ มกนั มาก คอื หนังลกู วัว ท่ี นำมาฟอกโดยการแช่ในน้ำเกลอื แลว้ ตำใหห้ นังบาง เมอื หนังบางจนไดท้ ี่ดแี ล้ว กน็ ำไปขึงตงึ บนหนา้ กลองใน ขณะทีห่ นังยงั เปยี กอย่กู ารขงึ หนงั กลองใชว้ ธิ ีเจาะรูโดยรอบ รอ้ ยเชอื กสลับยดึ ที่เอวกลอง (สว่ นท่ีคอดขึงตวั กลอง) โดยใช้ลวดแข็งขนาดใหญเ่ ปน็ ท่ีสาวเชือกเพอ่ื ใหห้ นงั กลองตึง เปน็ ท่ีนา่ สงั เกตอย่างหนงึ่ คอื กลอง กนั ตรมึ นี้ เป็นกลองทไี่ มม่ ีไสล้ ะมาน ขนาดของกลอง กลองกันตรมึ ทใี่ ช้โดยท่วั ไป จะมี 2 ลกู เรียกว่าตวั ผู้และตัวเมยี ซง่ึ ทั้งคู่มีขนาดเท่ากัน เรยี กชือ่ แตกตา่ งกนั ทร่ี ะดับเสยี งทมุ้ แหลมทเี่ กิดจากการขึงหนงั กลองให้ตึงมากน้อยแตกต่างกนั เท่านน้ั กลองตุ้ม,ตี กลองสองหนา้ ขนาดใหญ่ เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางขนาด 60 เซนตเิ มตร ยาว 70-75 เซนตเิ มตร ขึงหน้าสองหนา้ ดว้ ย หนงั วัว ตรงึ ด้วยหมดุ ตัวกลองทำด้วยไมเ้ นอื้ แขง็ ใชแ้ ขวนตดี ว้ ยไมเ้ ช่นเดยี วกบั กลองทดั และกลองเพล(ภาค กลาง) กลองตุม้ เป็นกลองทต่ี ีให้สญั ญาณตามวดั มาช้านานแล้ว ชาวอีสานใต้นำมาประสมวงตมุ้ โมงไม่ทราบวา่ แต่ครั้งใดการเทียบเสียง แลว้ แตข่ นาดของกลอง แตต่ ามปกติจะมเี สยี งดงั สะทา้ นกงั วาลไปไกลมาก สากไม้ โดยปกตใิ ช้ตำขา้ ว แตน่ ำมาใช้เป็นเครื่องประกอบจงั หวะและประกอบการเล่น“เรือมอนั เร” (ลาวกระทบไม้ และมา้ จกคอกของพายพั )สากคู่หนึง่ ยาวประมาณ 2 เมตร วางไว้บนอีกค่หู นึ่งประมาณ 1เมตร สากท้ังสองค่นู ้ี นยิ มทำดว้ ยไม้แทน เวลาเล่นใช้คน 2 คน จับสากคบู่ น (คนละขา้ ง) กระทบกันและกระทบลงบนสากทีร่ อง ข้างล่างเป็นจงั หวะการเทยี บเสียง ใช้กระทบเปน็ จังหวะเท่านัน้ ฆ้องราว ตวั ฆ้องทำด้วยโลหะหลอ่ ขนาดต่าง ๆ กนั จำนวน 9 ลูก ผูกด้วยเชอื กหนงั แขวนไว้กบั ราวทที่ ำดว้ ยหวายเป็นรูป สีเ่ หลย่ี มยาว ๆ คล้ายราง ตีด้วยไม้ การเทยี บเสียง ไมม่ ีการเทียบเสยี ง แล้วแตข่ นาดของลกู ฆ้องเรียงจากลกู ใหญ่อยู่ดา้ นซ้ายมือไปหาลูกเลก็ ทางขวามือ เวลาตีตเี รยี งกันไปทลี ะลูก จากซา้ ยไปขวาไมม่ ที ำนอง

เคร่อื งดนตรีประเภทสี ซอกนั ตรมึ ซอกนั ตรมึ เป็นซอที่มลี กั ษณะคล้ายกนั กับซออู้ แตกต่างกันเพียงตรงท่ี กะโหลกซอกนั ตรึมจะใหญก่ วา่ ซอ กนั ตรมึ ทม่ี เี สยี งสงู และมีลักษณะคลา้ ยซอดว้ งจะเรยี กกันว่า “ซอตรัวเอก” (ตรวั แปลวา่ ซอ) แตถ่ ้าซอกันตรมึ ท่ี มีระดับเสียงทมุ้ ตำ่ คลา้ ยซออู้ และกะโหลกทำดว้ ยกระลามะพรา้ ว เรยี กวา่ ซออเู้ หมอื นกนั ซอกนั ตรมึ ทงั้ สองนี้ มรี ะดบั เสียงสงู กว่าระดบั เสยี งของซออู้และซอดว้ งธรรมดา สายละ 1 เสียงเต็ม กล่าวคอื ทัง้ คขู่ ึน้ เสียงตามปี่ใน กะโหลกของซอตรัวเอก ทำจากไมเ้ นอื้ แขง็ กวา้ นให้กลวงโดยเหลอื ความหนาเฉลีย่ โดยประมาณ0.5 นวิ้ ขึงหนงั ดา้ นหนง่ึ ดว้ ยหนังตะกวด หรอื หนังลกู วัวบางๆ และมรี ูสำหรบั สอดใสค่ ัดทวน ปลายคนั คันทวนมีลูกบดิ สองลูก สำหรับขึงสาย ส่วนสายนนั้ ทำดว้ ยลวดเหนยี ว โดยมากท่ีพบเห็นมักใช้ลวดจากสายเบรครถจักรยาน ขนาดของ ซอกนั ตรึม มักจะไมเ่ ป็นมาตรฐานท่ีแน่นอน เพราะขึน้ อยกู่ ับฝมี ือและความพอใจของผู้ประดษิ ฐ์ ตรัวอู้ เคร่อื งสายใช้สี กล่องเสียงทำดว้ ยกระโหลกมะพร้าว ฝานออกด้านหน่ึงหุม้ ดว้ ยหนัง ด้านตรงข้ามเปน็ กลอ่ งเสยี ง คนั ซอทำด้วยไม้ สายทำด้วยลวด คันชกั อยรู่ ะหวา่ งสาย มีเลน่ กันในท้องถน่ิ มาชา้ นานแล้วการเทียบเสียง ขึ้นคู่ 5 โด-ซอล ซอกระดองเตา่ และซอเขาควาย เครอ่ื งสายชนดิ หนึ่งใช้คันชักสี คนั ชักอยรู่ ะหวา่ งสายลวด ตัวกล่องเสยี งดว้ ยกระดองเตา่ ตัดส่วนหน้าออกขึงดว้ ย หนังงู คันซอทำดว้ ยไมย้ าวประมาณ 40เซนตเิ มตร มีลูกบิดขึงสาย 2 อนั อยู่ตอนบนของคนั ซอ ขนาดที่ทำ แตกตา่ งกนั ไปแลว้ แต่ความตอ้ งการอีกชนิหน่งึ ใช้เขาควายตัดตามขนาดท่ีต้องการขงึ หน้าดา้ นหน่ึงการเทียบ เสียง ข้ึนคู่ 4 ระหว่างสายทง้ั สองเส้น เทยี บเสียงเขา้ กบั เครื่องดนตรีอน่ื ๆ เวลาเลน่ ประสมวง เครอื่ งดนตรปี ระเภทเปา่ ปีอ่ อ้ (แปย็ ออ) ปอ่ี อ้ เป็นปี่ที่มีลักษณะแปลกไปจากปี่โดยท่วั ๆไปท่ใี ชอ้ ยูใ่ นวงดนตรีตา่ งๆ ของไทยคอื ลำตัวและลน้ิ แบ่งส่วน ออกจากกนั และทำด้วยไม้อ้อ ส่วนทเ่ี ป็นลิน้ จะถกู เหลาให้บางและบบี ให้แบนประกบกันในลักษณะของลน้ิ แฝด แต่อีกดา้ นหนึ่งยังมีลกั ษณะกลมอย่เู พอ่ื สอดเขา้ กับตวั ปี่ ทีป่ ลายล้ินมไี ม้ไผเ่ หลาแบนเลก็ ๆ 2 อนั บีบ ประกบลนิ้ เพือ่ ใหล้ น้ิ แบนและเป็นท่ีจรดเมม้ ปากอกี ด้วย สว่ นลำตัวของป่ี เจาะรู 7 รู สำเนยี งของป่อี อ้ จะทมุ่ มีกงั กวาน แหบต่ำ ฟงั ดลู กึ ลบั ไมเ่ บกิ บาน แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ ชาวจงั หวดั สุรนิ ทรพ์ น้ื เมอื งเดมิ รู้จักปอี่ อ้ มานาน หาผเู้ ป่า ไดย้ ากมาก

ปเี่ ตรียง หรือ ปเ่ี ญ็น ปีช่ นิดน้ี มลี กั ษณะทแ่ี ปลกไมเ่ คยพบเหน็ ในทอ้ งที่อ่ืนนอกจากแถบจังหวดั สรุ นิ ทร์ ตัวปแี่ ละล้นิ อยรู่ วมกันโดยไม้ ไผข่ นาดเท่าขลุ่ยเพียงออ แต่ไม่กลวงตลอด ปลายท่อดา้ นลน้ิ จะปดิ จดั เป็นเคร่ืองลมไม้ชนิดทอ่ ปลายปดิ ส่วน ปลายปิดนจ้ี ะเป็นสว่ นของล้ินโดยใชม้ ีดปาดเฉลยี งแบบล้นเดยี ว ปีช่ นดิ นีห้ าดูยากมากส่วนทีเ่ ป็นล้นิ เกิดจาก การถูกบบี ปลายท่อ และปาดใหเ้ ปน็ มมุ โดยมีความบางพอที่จะเกดิ ความส่ันสะเทือนได้ เม่อื เป่าล้มผ่านลงไป ปเี่ ขาควาย เปน็ ป่ีที่ทำมาจากเขาสัตว์ กลลุ่มวฒั นธรรมกนั ตรมึ เรยี กวา่ ป่ีสไนงห์ รอื สแนง เป็นป่ชี นดิ ที่ทำมาจากเขาควาย โดยเจาช่องเป็นดา้ นยอดของเขาควายใส่ลิน้ อย่างเดียวกบั แคน ผนกึ ดว้ ยขส้ี ูดให้สนิทใช้เชอื กผกู ปลายเขาท้ัง สองข้าง แขวนคอแลว้ เป่าโดยใช้อุม้ มอื ขวาเปิดปดิ เพื่อควบคุมระดับเสยี ง ได้ประมาณ 3 เสยี งนิยมเปา่ ประกอบ เซิ้งบั้งไฟหรือขบวนแห่ต่าง ๆ สำหรบั พวกส่วยหรือกยุ มอี าชพี คล้องขา้ วในแถบจงั หวดั สุรนิ ทร์นิยมใช้สไนง์ ปี่ไฉน,ปส่ี ไน,ป่ีเน ปีไ่ ฉนเปน็ ปล่ี ้นิ คู่ ลน้ิ ปีท่ ำดว้ ยใบตาลสวมตอ่ กบั เลาปี่ทท่ี ำด้วยไม้ ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร มีรบู ังคับเสยี ง 6 รู และรหู ัวแม่มืออีก 1รู ตรงปลายเลาปี่ทำเปน็ ปากลำโพง ขนาดประมาณ 5-7 เซนตเิ มตร คลา้ ยป่ไี ฉนภาค กลาง และปีไ่ ฉนภาคใต้ มหี ลักฐานวา่ ปี่ไฉนมีใชม้ าแตค่ ร้ังกรุงสโุ ขทยั เปน็ ราชธานี ในภาคอีสานมีมาช้านาน เครอ่ื งดนตรีประเภทดีด พณิ กระแสเดียวหรือกระแสมยุ แปลวา่ พณิ เสียงเดยี วหรอื พิณสายเดยี ว กระโหลกพิณทำดว้ ยลกู น้ำเต้าแกจ่ ดั ตากให้แหง้ ตัดคร่ึงดา้ นยาวของผลและแกะเมล็ดในออกและเยื่อออกให้ หมดใชห้ มายขนั ชะเนาะกระโหลกน้ำเต้า ให้ติดกับโคนของพณิ ลูกบิดอยู่ในสุดของคนั พิณ ขึงโยงดว้ ยสายโลหะ จากลกู บิดสอดหวายท่ีขันชะเนาะอยูไ่ ปผกู กบั ปลายคนั พิณตอนปลายสดุ มีลักษณะงอนเปน็ รูปพญานาคชหู ัว ชาวไทยภาคกลางเรยี กว่า พิณน้ำเตา้ พิณน้ำเตา้ พิณสายเดยี วทำด้วยไมเ้ นอ้ื แข็ง ยาวประมาณ 75 เซนตเิ มตร ปลายขา้ งหน่ึงทำด้วยโลหะหลอ่ เปน็ ลวดลาย สำหรับขงึ สายสวมติดไว้ ด้านตรงขา้ มมีลกู บดิ ทำด้วยไม้เนอ้ื แข็งสอดไว้ กล่องเสยี งทำด้วยผลน้ำเตา้ มเี ชอื กรัด สายพิณ ซ่ึงทำด้วยโลหะใหค้ อดตรงบรเิ วณใกลก้ ล่องเสียง ใช้บรรเลงด้วยการดีดดวั ยนวิ้ มือ เวลาบรรเลงจะใช้ กลอ่ งเสียงประกบกบั อวัยวะรา่ งกาย เช่นหนา้ อก หรือท้อง มเี สยี งเบามากสามารถทำหางเสียง ( Harmonic ) ไดด้ ว้ ย พิณนำ้ เตา้ เป็นเคร่อื งดีดทเ่ี กา่ แกม่ ากชิ้นหนง่ึ มเี ล่นกนั มาหลายร้อยปแี ล้ว ไมอ่ าจระบรุ ะยะเวลาได้ การเทียบเสยี ง ไม่มกี ฏเกณฑต์ ายตัว แลว้ แต่ผู้บรรเลงจะพอใจเพราะใชบ้ รรเลงโดยเอกเทศ

จาเปยหรอื กระจับปี่ มลี ักษณะคล้าย ซงึ มีสายคูซ่ งึ่ สายแต่ละค่ตู ง้ั เสียงให้เท่ากัน คนั พณิ ทำดว้ ยไมเ้ นื้อแข็งส่วนกล่องเสียงมกั ทำดว้ ย ไม้ขนนุ หรอื ไมส้ กั ทสี่ ว่ นปลายสดุ ของคัณพิณมี 4 รู เพ่ือใส่ลกู บิดและร้อยสายที่คนั พิณจะมีท่วี างนว้ิ ซ่งึ มรี ะดบั เสยี งตา่ ง ๆ กนั มสี าย 2-4สาย องั กยุ๊ จ์ เป็นเครอ่ื งดนตรีประเภทดดี ชาวไทยภาคกลางเรยี กวา่ จ้องหนอ่ ง ชาวอีสานเรียก หุนหนึ ทำด้วยไม้ไผ่เวลาเป่า จะสอดไว้ในปาก กลุ่มวฒั นธรรมโคราช เดมิ ที่น้ันเพลงพ้นื บ้านของโคราชมีมากมายหลายชนิด เช่น เพลงกลอ่ มลกู เพลงกลองยาว เพลงเซิ้งบ้งั ไฟ เพลง แห่นางแมว เพลงป่แี ก้ว (ป่ซี อ)เพลงลากไม้ และเพลงเชิดตา่ ง ๆ ในยามสงกรานต์ ทา่ นขุนสุบงกชศึกษากร สันนิษฐานว่า เพลงโคราชเลียนแบบมาจากเพลงฉ่อยของภาคกลาง แต่ใช้คำโคราชบา้ ง คำไทยภาคกลางบ้าง ประกอบเปน็ เพลงและใช้สำเนียงโคราชจงึ เรียกว่า เพลงโคราช เพลงโคราชดงั้ เดิมเรียกว่า เพลงก้อม จากเพลงกอ้ มกพ็ ฒั นาเปน็ เพลงเอย่ ( เพลงรำหรอื เพลงโรงก็เรยี ก ) เพลง คู่ส่ี เพลงคูห่ ก เพลงคู่แปด เพลงคสู่ ิบ และเพลงคู๋สบิ สองตามลำดับ แต่เพลงโคราชท่นี ยิ มขับร้องกันในปจั จุบัน ส่วนมากเป็นเพลงคู่แปด แต่ท่านขุนสบุ งกชศึกษากรเขยี นเอาไวว้ า่ เพลงโคราชแบ่งเปน็ 5 ปรเภท คือ เพลงขดั อนั เพลงกอ้ ม เพลงหลัก เพลงจงั หวะรำ เพลงสมัยปัจจบุ นั โอกาสในการแสดง เพลงโคราชใชแ้ สดงในงานบญุ ต่าง ๆ แทบทกุ ชนิด เช่น งานตัดผมไฟ งานโกนจุก งานบวชนาค งานข้นึ บ้าน ใหม่ งานทอดกฐนิ งานทอดผ้าป่า งานศพ และงานบญุ แจกขา้ ว ยกเว้นงานแต่งงาน เพราะมีความเช่ือว่าแพค้ ู่ บ่าวสาว ไมต่ ายจากนั โดยเร็วก็อาจเลกิ ร้างจากกัน ในปจั จุบันงานที่แสดงเปน็ ประจำมไิ ดข้ าดคอื งานแก้บนที่ อนุสาวรยี ท์ า่ นท้าวสรุ นารี หรอื ที่ชาวบ้านเรีกกันทวั่ ไปว่า งานแกบ้ นทา่ นยา่ โม ปัจจบุ ันเพลงโคราชได้รับ อิทธพิ ลเพลงลูกทุ่งและหมอลำเข้าไปด้วยแต่ยังแยกส่วนกนั อยู่ สรุป จากการทไ่ี ด้ศกึ ษาดนตรีพน้ื บา้ นอีสาน เป็นศิลปวัฒนธรรมของชนกลมุ่ ต่าง ๆ โดยแบง่ ออกเปน็ กลมุ่ วัฒนธรรม ใหญ่ ๆ ได้ 2กลมุ่ และอีกกลมุ่ ทมี่ ีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั คอื กลุม่ วฒั นธรรมดนตรีอีสานเหนือ กลุม่ วัฒนธรรม อสี านใต้ และกลมุ่ วัฒนธรรมดนตรโี คราช แตล่ ะกลุ่มต่างก็มีเอกลกั ษณ์ของกลมุ่ ชนในดา้ นเครอ่ื งดนตรี การ ประสมวงดนตรพี ้ืนบ้านที่แตกตา่ งกันในท้องถ่นิ นนั้ ๆ แม้จะมีการผสมผสานเข้าดว้ ยกนั กด็ ว้ ยอทิ ธิพลของกลุ่ม วฒั นธรรมดนตรที ่ีมคี วามเจรญิ และมีการพฒั นามากกวา่ แต่กถ็ ือว่าเปน็ วัฒนธรรมดนตรีของภาคอีสานท่ียังคง รักษาไว้และยังคงลักษณะ เดน่ ของดนตรพี น้ื บา้ นอสี านไวด้ ังนี้

ลักษณะเด่นของดนตรีพ้นื บา้ นอีสาน 1. มีลักษณะเด่นเป็นของตนเองอยา่ งเดน่ ชัดประกอบดว้ ยดนตรี 2 กลุ่มวฒั นธรรม คอื กลุ่มอสี านเหนือ กลุ่ม อีสานใต้ 2. มกี ารสืบทอดมาจนถึงปจั จุบนั 3. มเี ครือ่ งดนตรที ที่ นั สมยั ออกแบบเหมาะสมกับประโยชนใ์ ชส้ อย 4. มีการใชเ้ สียงประสาน เชน่ เสยี งแคน พณิ ซอบ้ังไมไ้ ผ่ 5. การใช้ปฏิภาณครามรู้ตามความสามารถของผู้บรรเลง 6. การใช้เสยี งประสานประเภทวลียืนพน้ื ประสานกับทำนองหลัก 7. มีความผกู พันธก์ ับวิถีชีวติ รกั ษาอาการเจ็บป่วย 8. มีความผสมกลมกลืนระหว่างคำสอนทางพทุ ธศาสนา ภาษาวรรณคดีดนตรี 9. สามารถยนื หยัดตา้ นทานคล่ืนวัฒนธรรมตะวนั ตก 10. ทำนองของหมอลำสามารถเกิดจากเสยี งต่ำในบทกลอนได้ 11. การบรรเลงดนตรีจะมีการย้ายเปล่ียนบนั ไดเสียงได้ 12. ทกุ คนมสี ่วนร่วมในกิจกรรมดนตรี 13. เสยี งเคร่ืองดนตรเี กีย่ วกบั มาตราเสียง เช่น แคนมี 7 เสยี งอยา่ งเดียวกบั มาตราเสียงไดอาโทนคิ ของสากล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook