Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3ใบงานวิทย์ม.3หลักสูตร60

3ใบงานวิทย์ม.3หลักสูตร60

Published by kootor_2010, 2021-10-16 08:13:48

Description: 3ใบงานวิทย์ม.3หลักสูตร60

Search

Read the Text Version

หนว่ ยท่ี ปฏิกริ ิยาเคมี ใบงานเรื่อง พอลเิ มอร์ คะแนน 5 และวัสดใุ นชวี ิตประจาวนั มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท.ี่ .......... คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเติมคาหรือข้อความลงในช่องวา่ งให้ถูกตอ้ ง 1.พอลิเมอร์(polymer) คอื สารประกอบที่มีโมเลกลุ ขนาดใหญ่ เกิดจาก มอนอเมอร์(monomer) ซึ่งเปน็ โมเลกลุ เดี่ยว จานวนหลายพนั หลายหม่นื โมเลกุลมายึดต่อกนั ดว้ ยพันธะโคเวเลนต์โดยมอนอเมอรท์ ีม่ าตอ่ กนั อาจเป็นชนิดเดียวกนั หรอื ตา่ ง ชนิดกันกไ็ ด้ 2.พอลเิ มอร์มี 2 ประเภท คอื พอลเิ มอรธ์ รรมชาติและพอลเิ มอรส์ งั เคราะห์ 3.โครงสร้างพอลเิ มอรม์ ี 3 แบบ คอื พอลเิ มอรแ์ บบเส้น(linear polymer), พอลเิ มอร์แบบกงิ่ (branched polymer) และพอลิเมอรแ์ บบรา่ งแห(network polymer) 4.พจิ ารณาขอ้ ความต่อไปนี้แลว้ เติมเครอื่ งหมายหน้าขอ้ ที่เห็นดว้ ยและเติมเคร่ืองหมายหนา้ ขอ้ ที่ไมเ่ ห็นด้วย 4.1เทอรม์ อพลาสตกิ สามารถหลอมซา้ แล้วทาเป็นรูปร่างเดมิ หรอื รูปร่างใหม่ โดยทค่ี ุณสมบัติของพลาสติก ไม่เปลย่ี นแปลง เช่น พอลเิ อทิลีน พอลีสไตรีน 4.2โฟมบรรจุอาหาร ผลติ จากพอลิสไตรนี จัดเปน็ เทอร์มอพลาสตกิ 4.3พลาสติกเทอรม์ อเซต ทนต่อความรอ้ นและแรงดันไดด้ ี เม่อื ขนึ้ รูปดว้ ยความรอ้ นหรือแรงดันแลว้ สามารถนากลับมาขึ้นรูปใหม่ไดอ้ กี เชน่ ขวดนา้ ดื่ม จานเมลามนี 4.4การปรับปรงุ คณุ ภาพของยางธรรมชาตดิ ว้ ยกระบวนการวัลคาไนเซชัน ช่วยให้ยางที่ไดย้ ดื หยุน่ ได้ดี มคี วามคงตัวสูง และละลายในตัวทาละลายอินทรีย์ เหมาะกบั การนาไปทาผลติ ภัณฑ์ต่างๆ เช่น ยางรัดของ สายยาง ท่นี อนยาง ถุงมือยาง 4.5เส้นใยธรรมชาติสามารถดูดซบั น้าได้ดี ระบายอากาศได้ดี ทนตอ่ เช้ือราและจุลนิ ทรยี ์ 5.นาข้อความที่กาหนดให้เตมิ ลงในชอ่ งวา่ งให้ถูกตอ้ ง เส้นใยสังเคราะห์ เสน้ ใยกึง่ สงั เคราะห์ เส้นใยธรรมชาติ ยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์หรอื ยางเทยี ม เทอร์มอพลาสติก พลาสติกเทอรม์ อเซต 5.1 เส้นใยก่งึ สังเคราะห์ ใช้ประโยชน์ในการทาแผงสวิตซแ์ ละหมุ้ สายไฟฟา้ 5.2 พลาสติเทอรม์ อเซต ทนต่อความร้อนและแรงดันได้ดี เมื่อขึน้ รูปแลว้ จะไม่สามารถนากลบั มาข้ึนรูปไดใ้ หม่ 5.3 ยางธรรมชาติ มสี มบตั ิต้านทานตอ่ แรงดึงดดู สงู ยดื หยุ่นได้ดี ไม่ละลายนา้ แข็งแตเ่ ปราะ ท่ี อณุ หภมู ติ า่ เหนียว ออ่ นตวั เม่ือไดร้ บั ความรอ้ น ไมท่ นตอ่ น้ามันเบนซนิ 5.4 ยางสังเคราะหห์ รอื ยางเทยี ม ใชป้ ระโยชน์ เชน่ นาไปทายางรถยนต์ พนื้ รองเทา้ และสายพาน 5.5 เสน้ ใยสังเคราะห์ ใช้ในการทาเชือก ด้าย แห อวน เสอ้ื ผา้ ถงุ เทา้ ถุงนอ่ ง 5.6 เทอรม์ อพลาสติก โครงสร้างแบบเส้นและแบบกง่ิ ออ่ นตัวเมอื่ ได้รบั ความร้อน เปล่ียนรปู ร่างได้ 5.7 เส้นใยธรรมชาติ ประกอบด้วยเซลลโู ลส ซึ่งได้จากส่วนต่าง ๆ ของพืช บางชนดิ ได้จากโปรตีนขน สัตว์ ซึ่งเปน็ โปรตีนเชน่ เดียวกบั โปนตีนในเสน้ ผม

หนว่ ยท่ี ปฏิกริ ิยาเคมี ใบงานเร่อื ง เซรามกิ และวสั ดุผสม คะแนน 5 และวสั ดใุ นชวี ติ ประจาวนั มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชอ่ื -นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขท.ี่ .......... คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างใหถ้ ูกตอ้ ง 1.เซรามิก(Ceramic) หมายถงึ ผลิตภณั ฑท์ ท่ี าจากวตั ถดุ ิบในธรรมชาติ เชน่ ดิน หนิ ทราย แร่ธาตุต่าง ๆ นามาผสม กนั แล้วนาไปเผาเพอ่ื เปล่ียนเนื้อวัตถุใหแ้ ข็งแรง สามารถคงรูปอยไู่ ด้ 2.เซรามิกจาแนกออกเป็น 2 ประเภท คอื เซรามกิ ดงั้ เดิม และเซรามิกสมัยใหม่ 3.เซรามิกท่ผี า่ นกระบวนการท่ที าให้มีความบริสุทธิ์สงู และมกี ารควบคมุ องค์ประกอบทางเคมี จัดเปน็ เซรามกิ สมยั ใหม่ 4.การข้นึ รปู ผลิตภัณฑ์มอี หลายวธิ ี โดยทวั่ ไปนิยมขึ้นรปู ผลิตภัณฑด์ ้วยวิธี เทแบบและการใชแ้ ป้นหมุน 5.ผลติ ภณั ฑ์เซรามิกทพี่ บในชวี ติ ประจาวนั มีหลายชนิด เชน่ ถ้วย ชาม แจกนั แก้ว เครื่องปั้นดนิ เผา 6.ปนู ซีเมนตแ์ บง่ ตามประเภทการใชง้ านได้ 3 ประเภท คือ ปนู ซีเมนต์ปอรต์ แลนด์ ปูนซีเมนตผ์ สม และ ปูนซเี มนตข์ าว 7.ปนู ซีเมนตป์ อรต์ แลนด์ประเภทใดเหมาะสาหรับการนามาใช้งานตอ่ ไปนี้ 7.1นาไปทาผิวถนน สะพาน ทอ่ ระบายน้า ปูนซเี มนต์ปอร์ตแลนดธ์ รรมดา 7.2นาไปทาเขื่อนก้นั น้า ปนู ซเี มนต์ปอรต์ แลนด์ประเภทเกดิ ความรอ้ นต่า 7.3นาไปทาตอม่อขนาดใหญ่ ท่าเทียบเรอื ปนู ซีเมนตป์ อรต์ แลนดเ์ สริม 7.4นาไปทาเสาเขม็ พน้ื สาเรจ็ รูป ปนู ซเี มนตป์ อรต์ แลนด์ประเภทเกิดแรงเร็วสูง 7.5ใช้ในงานกอ่ สรา้ งบรเิ วณที่มีดินเค็มปนอยู่ ปูนซเี มนตป์ อรต์ แลนดป์ ระเภททนซัลเฟตได้สงู 8.พิจารณาขอ้ ความตอ่ ไปนว้ี ่าถกู ต้องใชห่ รอื ไม่ ข้อความ ใช่หรอื ไมใ่ ช่ 1.วัสดุผสมคอื การนาวสั ดตุ ง้ั แตส่ องชนดิ ขึ้นไปมาผสมรวมกัน ทาให้วสั ดุท่ไี ดม้ ีสมบัตทิ ด่ี ีขึ้น ใช่/ไม่ใช่ โดยวสั ดทุ นี่ ามาผสมกนั ตอ้ งรวมเปน็ เน้ือเดียวกนั 2.วัสดพุ ืน้ หรือเมทริกซท์ าหน้าท่ีรกั ษาความเสถียรในรูปรา่ งและขนาดวัสดผุ สม รักษาการ ใช่/ไม่ใช่ กระจายตวั ของสว่ นเสริมแรง 3.วัสดุเสรมิ หรอื ตวั เสริมแรงทาใหว้ สั ดุผสมมีความแขง็ แรง มกั เป็นส่วนท่ไี มต่ อ่ เนือ่ งกนั มี ใช่/ไม่ใช่ ลกั ษณะรูปร่างได้หลายรปู แบบ 4.เน้อื เยอื่ ของมนุษย์ ท้งั กระดกู เอน็ ยดึ รวมทั้งผวิ หนงั จดั เปน็ วสั ดุผสมประเภทหนง่ึ ใช่/ไมใ่ ช่ 5.วัสดุผสมจากการสงั เคราะห์ เช่น คอนกรีต ไฟเบอรก์ ลาส ใช่/ไม่ใช่

หนว่ ยท่ี ปฏิกริ ยิ าเคมี ใบงานเรอื่ ง ผลกระทบจากการใช้พอลิเมอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม คะแนน 5 และวสั ดุในชวี ิตประจาวนั มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 1.จงยกตัวอย่างผลกระทบจากการกาจดั ขยะท่ีเกดิ จากการใชว้ สั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ และวสั ดุผสม (3ข้อ) 1.หากนาไปเผา จะเกดิ ผลกระทบโดยตรงตอ่ ชัน้ บรรยากาศและทางเดนิ หายใจของสงิ่ มชี ีวิต 2.หากนาไปฝัง จะทาให้ดนิ บรเิ วณน้นั เสื่อมสภาพไม่สามารถเพาะปลกู ได้ 3.เกดิ ปญั หาขยะในแม่นา้ ลาคลอง ส่งผลให้น้าเนา่ เสยี เป็นท่สี ะสมของเชอ้ื โรค และแบคทเี รยี ตา่ ง ๆ 2.นาคาต่อไปนเ้ี ติมลงในชอ่ งว่างให้ถกู ตอ้ ง RECYCLE REUSE REDUCE 2.1 REUSE คือ การนาผลิตภณั ฑจ์ ากวสั ดุสงั เคราะห์ที่ผ่านการใช้งานแลว้ แตย่ ังมีคุณภาพดอี ยู่กลับมาใช้งานอกี คร้ัง 2.2 REDUCE คือ การลดหรอื หลกี เล่ยี งการใช้ผลติ ภัณฑจ์ ากวัสดุสงั เคราะห์ใหน้ อ้ ยลงและหันมาใช้วสั ดธุ รรมชาติ ให้มากข้นึ เน่ืองจากเป็นวัสดทุ ยี่ อ่ ยสลายง่ายและเปน็ มติ รกับส่ิงแวดลอ้ ม 2.3 RECYCLE คอื การนาผลติ ภัณฑว์ สั ดุสังเคราะห์ตา่ ง ๆ ที่ผ่านการใช้งานแล้วมาผา่ นการแปรรปู เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เพอื่ นากลับมาใชง้ านอกี เชน่ การนาขวดพลาสติกทใ่ี ช้แลว้ ไปหลอมและขน้ึ รปู ใหม่ 3.พจิ ารณาสญั ลกั ษณแ์ สดงประเภทของพลาสตกิ แลว้ เตมิ คาหรือข้อความลงในช่องว่างใหถ้ ูกต้อง สัญลักษณ์ ประเภทพลาสติก การใชป้ ระโยชน์ ผลิตภณั ฑ์รไี ซเคิล 1. พอลิเอทิลนี เทเรฟทาเลต ภาชนะสาหรับใสเ่ คร่อื งด่มื ใส่ ทาเป็นเสน้ ใยสาหรับทาเสอื้ กันหนาว อาหารรอ้ น พรม ใยสังเคราะหใ์ นหมอน 2. พอลิเอทลิ นี ความหนาแน่นสูง ขวดใสน่ ม ขวนแชมพู ขวดน้ายา เฟอร์นเิ จอร์เชน่ ศาลา ม้านง่ั ลัง ซักผ้า พลาสติก ไม้เทยี ม 3. พอลิไวนิลคลอไรด์ ฉนวนหมุ้ สายไฟ สายยางใส กรวยจราจร ม้านั่งพลาสตกิ ท่อนา้ ปะปา ตลับเทป 4. พอลิเอทลิ นี ความหนาแนน่ ต่า ฟิลม์ ห่ออาหาร แผน่ ฟิล์ม ถงุ ดาใส่ขยะ ถังขยะ ตู้จดหมาย ถงุ เยน็ สาหรับบรรจอุ าหาร กระเบอื้ งปูพื้น 5. พอลิโพรพลิ ีน ภาชนะบรรจุอาหาร เช่น กลอ่ ง กล่องแบตเตอรร่ี ถยนต์ กนั ชน จาน ชาม รถยนต์ ไมก้ วาดพลาสตกิ 6. พอลสิ ไตรีน ชอ้ น โฟมกนั กระแทก ไม้แขวนเส้ือ ไมบ้ รรทัด สวิตซ์ ถว้ ยไอศกรีม 7. พอลเิ มอร์ชนิดอนื่ ๆ ภาชนะบรรจุอาหาร เชน่ ขวด ท่อนไมพ้ ลาสติก นา้ สม้ ขวดน้ามะนาว

แบบฝกึ หดั ท้ายหน่วย เร่อื งปฏกิ ริ ยิ าเคมีและวัสดุในชวี ิตประจาวัน คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนเลอื กขอ้ ท่ีถกู ตอ้ งทสี่ ดุ 6.โครงสร้างพลาสติกแบบใดมคี วามแข็งแรงมากที่สดุ 1.ปฏกิ ริ ยิ าในข้อใดทาให้เกิดแก๊สที่ใชเ้ ป็นวัตถุดบิ ในการ ก.แบบโซ่ตรง ข.แบบโซ่กง่ิ สงั เคราะห์ด้วยแสง ก.ใส่แผน่ อะลมู เิ นียมลงในนา้ ขี้เถ้า ค.แบบรา่ งแห ง.แบบโซต่ รงผสมกบั โซก่ งิ่ ข.หยดน้าสม้ สายชูลงบนแผ่นสังกะสี ค.บีบนา้ มะนาวลงบนแป้งดนิ สอพอง 7.ข้อใดเป็นถุงพลาสตกิ ใสอ่ าหารรอ้ น ง.ใส่เกลือแอมโมเนยี มไนเตรตลงในนา้ ปนู ใส 2.สารในขอ้ ใดทาปฏกิ ริ ยิ ากับหินปูนแลว้ เกดิ ฟองแก๊ส ก.พอลิสไตรนี ก.น้าสบู่ ข.สารละลายผงซกั ฟอก ข.พอลิเตตระฟลอู อโรเอทิลีน ค.น้าส้มสายชู ง.นา้ ยาล้างจาน ค.พอลิยูเรียมฟอร์มลั ดิไฮด์ 3.นากเป็นสารละลายโลหะทเี่ กดิ จากการผสมโลหะคู่ใด ก.ทองแดงกับดีบุก ง.พอลิโพรพลิ ีน ข.ทองคากบั ทองแดง ค.ทองแดงกบั เงิน 8.กระบวนการใดไมช่ ว่ ยลดอณุ หภูมิในการเผา ง.ทองแดงกับสังกะสี 4.ข้อใดเรยี งลาดับความหนาแน่นของอนภุ าคได้ถกู ต้อง ก.เติมโพแทสเฟลสปาร์ในการทาใหแ้ กว้ ใส ก.แก๊ส > ของเหลว > ของแข็ง ข.ของเหลว > ของแข็ง > แก๊ส ข.เตมิ แคลเซียมคาร์บอเนตในการถลุงดบี กุ ค.ของแขง็ > ของเหลว > แกส๊ ง.ของแข็ง > แก๊ส > ของเหลว ค.เติมโซเดียมออกไซด์ในการเคลอื บเซรามกิ 5.ในการต้มนา้ ให้ร้อนขึ้น ผิวหน้าของน้าจะกลายเปน็ ไอ ขอ้ ใดอธบิ ายเหตุผลของการเปลย่ี นสถานะได้ถกู ต้อง ง.เตมิ ยิปซัมในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ก.โมเลกลุ ของนา้ ถกู ทาให้สลายตัวเป็นแกส๊ ไฮโดรเจนและ แกส๊ ออกซเิ จน 9.ข้อใดกลา่ วผิด ข.โมเลกลุ ของน้าทก่ี น้ ภาชนะซงึ่ รอ้ นกวา่ จะดันให้นา้ ท่ี ผิวหนา้ หลดุ ออกไป ก.แก้วครสิ ตลั มีดชั นหี กั เหสงู มากทาใหม้ ปี ระกายแวววาว ค.โมเลกลุ ของน้าไดร้ บั ความรอ้ นจนมพี ลังงานสงู พอทีจ่ ะ หลุดจากผวิ หนา้ สวยงาม ง.โมเลกลุ ของนา้ มีการถา่ ยเทพลงั งานจากดา้ นล่างสู่ ดา้ นบนผิวหนา้ ของของเหลว ข.แกว้ โซดาไลมไ์ มท่ นตอ่ สภาพความเป็นกรดเบส เมอื่ ได้รับความร้อนแตกงา่ ย ค.แกว้ โอปอมสี ่วนผสมของโซเดียมฟลอู อไรด์หรอื แคลเชียม ฟลูออไรด์อยู่ด้วย ง.แกว้ ท่ีพบท่วั ไป เชน่ แกว้ นา้ ขวดน้า ภาชนะแกว้ กระจกแผ่น เป็นแกว้ โบโรซิลิเกต 10.พอลิเมอร์ในขอ้ ใดจดั เป็นเส้นใยธรรมชาติ ก.เซลลูโลส โปรตนี ข.โปรตีน พอลแิ ซ็กคาไรด์ ค.พอลแิ ซ็กคาไรด์ ใยหนิ ง.ใยหิน เรยอง

6หน่วยท่ี ไฟฟา้

6หน่วยที่ ไฟฟา้ ใบงานเร่ือง ปรมิ าณทางไฟฟ้า คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/3 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ช่อื -นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขท.่ี .......... คาชี้แจง ให้นกั เรยี นเตมิ คาหรอื ข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 1.สงิ่ ท่ีนาพลังงานไฟฟา้ จากแหลง่ กาเนดิ ไฟฟา้ มายงั เคร่อื งใช้ไฟฟ้า คือ กระแสไฟฟ้า ซง่ึ เกิดจาก การเคลื่อนท่ขี อง ประจไุ ฟฟ้า 2.ปรมิ าณตา่ งๆ ทางไฟฟ้าทีร่ ะบไุ วใ้ นเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าแตล่ ะชนดิ มดี งั นี้ 2.1กาลงั ไฟฟา้ มหี นว่ ยเปน็ วตั ต์ (W) 2.2กระแสไฟฟ้า มีหนว่ ยเปน็ แอมแปร์ (A) 2.3ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ มหี น่วยเป็น โวลต์ (V) 2.4ความถ่ขี องไฟฟา้ มหี นว่ ยเป็น เฮริ ตซ์ (Hz) 2.5ความต้านทาน มหี นว่ ยเป็น โอหม์ (Ω) 3.กระแสไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ คอื 1. ไฟฟ้ากระแสตรง 2. ไฟฟา้ กระแสสลับ 4.เคร่อื งมอื วัดกระแสไฟฟา้ คอื แอมมเิ ตอร์ (Ammeter) 5.เคร่อื งมือทใี่ ช้วัดความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟ้าหรอื พลงั งานไฟฟา้ ท่ตี ่างกันระหวา่ งจุด 2 จดุ ในวงจร คือ โวลต์มิเตอร์ (Voltmeter) 6.การตอ่ แอมมเิ ตอร์กับวงจรไฟฟา้ ตอ้ งต่อแบบขนานหรืออนุกรม อนุกรม 7.การต่อโวลต์มเิ ตอร์กบั วงจรไฟฟา้ ต้องต่อแบบขนานหรืออนุกรม ขนาน 8.ในการต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย ถา้ เพิ่มจานวนถ่านไฟฉายให้มากขนึ้ หลอดไฟจะสวา่ งเพมิ่ ขน้ึ หรอื ไม่ หลอดไฟสวา่ ง เพ่มิ ข้ึน 9.ถา้ ความต่างศกั ย์มีคา่ มากขึน้ ระดบั พลังงานไฟฟ้าจะเปน็ อยา่ งไร ถา้ ความตา่ งศักย์มีค่ามากขน้ึ ระดับพลังงานไฟฟา้ ก็จะมากขึน้ ดว้ ย 10.ไฟฟา้ กระแสตรงและไฟฟา้ กระแสสลบั ต่างกันอยา่ งไร จงอธบิ าย ไฟฟา้ กระแสตรง(DC) เป็นไฟฟา้ ที่มาจากขวั้ ลบเพยี งอย่างเดยี ว มีทศิ ทางการไหลไปในทางเดยี ว ซ่ึงจะเรมิ่ ออกจาก แหล่งกาเนดิ ไฟฟ้าจากขั้วลบผา่ นเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าแลว้ เขา้ สู่ขั้วบวกของแหล่งกาเนิดไฟฟ้า มีคณุ สมบตั ิพิเศษคอื กระแสไฟฟ้า นั้นมแี รงดันเปน็ บวกอยู่เสมอและสามารถเกบ็ ประจุเอาไว้ใช้งานกับแบตเตอรไ่ี ด้ ไฟฟ้ากระแสสลบั (AC) เปน็ ไฟฟา้ ทม่ี ีการไหลไปในทิศทางท่ีสลบั ไปสลบั มา หรือพูดง่ายๆ ว่าเปน็ กระแสไฟฟา้ ทไี่ ม่มขี ว้ั นน้ั เอง มีคณุ สมบัติพเิ ศษประจาตวั คือสามารถส่งกระแสไฟฟ้าไปในที่ไกลๆ โดยท่ีแรงไม่ตก และสามารถปรบั ระดบั แรงดนั ดว้ ยตนเองได้

6หนว่ ยที่ ไฟฟ้า ใบงานเรอื่ ง กฎของโอมห์ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/1-2 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท.ี่ .......... คาชแ้ี จง จงแสดงวธิ ีทา 1.หลอดไฟฟา้ หลอดหน่งึ ตอ่ กับความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า 220 โวลต์ มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน 2 แอมแปร์ ไส้หลอดไฟฟา้ จะมี ความต้านทานไฟฟ้าเทา่ ใด สิง่ ที่โจทย์กาหนดให้ ได้แก่ V = 220 โวลต์, I = 2 แอมแปร์ สง่ิ ทโี่ จทย์ถามหา คือ R = ? วิธีทา จากสูตร V = IR แทนคา่ 220 = 2R 220 R= 2 = 10 โอหม์ ดงั น้ัน หลอดไฟฟ้ามคี วามต้านทานไฟฟ้า 110 โอหม์ 2.ลวด 3 เส้น มคี วามต้านทาน 5, 10 และ 20 โอหม์ นามาต่อกนั แบบอนุกรม ดงั รปู เมื่อนาท้งั หมดไปต่อกับ ความตา่ งศกั ย์ 70 โวลต์ จงหา 2.2กระแสที่ไหลในวงจร R1 = 5 R2 = 10 R3 = 20 จากสูตร V = IR 70 = I x 35 I I I = =2 กระแสทไี่ หลในวงจร = 2 แอมแปร์ 2.1ความตา้ นทานรวมทงั้ วงจร 2.3ความต่างศกั ย์ท่ีวดั ได้บนความตา้ นทานแต่ละตวั

6หน่วยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเร่อื ง การต่อความตา้ นทานไฟฟ้าแบบตา่ งๆ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/1 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ช่ือ-นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาช้แี จง ให้นักเรียนเติมคาหรอื ข้อความลงในชอ่ งวา่ งให้ถูกต้อง 1 ปริมาณทางไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ความต่าง ความต้านทานไฟฟา้ ศักยไ์ ฟฟา้ 1. สัญลักษณท์ ีใ่ ช้แทนปริมาณทางไฟฟ้า I R 2. เครื่องมอื วดั ปริมาณทางไฟฟา้ แอมมเิ ตอร์ V โอหม์ มเิ ตอร์ 3. หนว่ ยของปริมาณทางไฟฟ้า แอมแปร์ 4. สัญลกั ษณข์ องหน่วยของปรมิ าณทางไฟฟา้ โวลตม์ เิ ตอร์ โอห์ม 5. สญั ลกั ษณท์ ใ่ี ช้ในวงจรไฟฟา้ A Ω โวลต์ V 2 การตอ่ ความต้านทานในวงจรไฟฟา้ 1. กระแสไฟฟ้า (I) แบบอนกุ รม แบบขนาน 2. ความตา้ นทานไฟฟ้า (R) 3. ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า (V) I = I1 = I2 = I3 I = I1 + I2 + I3 Rรวม = R1 + R2 + R3 = + + Vรวม = V1 + V2 + V3 Vรวม = V1 = V2 = V3

6หน่วยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเร่อื ง กาลังไฟฟ้า คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขท.ี่ .......... คาช้ีแจง ให้นักเรียนเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 1.กาลังไฟฟ้า (Electric Power) คือ พลังงานไฟฟา้ ทใี่ ชไ้ ปในเวลา 1 วนิ าที 2.กาลงั ไฟฟ้า 1 วัตต์ หมายความว่า ใน 1 วนิ าที ใช้พลังงานไฟฟ้าไป 1 จลู 3.หลอดไฟดวงหน่ึงใช้พลังงานไฟฟ้า 60 จลู ในเวลา 1 นาที แสดงว่าหลอดไฟดวง น้ีมกี าลังไฟฟ้าเท่ากบั 60 วตั ต์ 4.พัดลมดูดอากาศขนาด 220 V 54 W หมายความวา่ พดั ลมดดู อากาศเคร่ืองน้ี ตอ้ ง ใช้กบั ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า 220 โวลต์ เท่านัน้ และพัดลมดดู อากาศเครือ่ งน้ีมี กาลังไฟฟ้า 54 วัตต์ 5.หมอ้ หงุ ขา้ วไฟฟ้าใบหน่ึงมกี าลังไฟฟา้ 1 กโิ ลวัตต์ หมายความว่า ในเวลา 1 ชั่วโมง หมอ้ หุงข้าวใบนีใ้ ชก้ าลงั ไฟฟา้ 1 กิโลวตั ต์ 6.เม่ือเปดิ หลอดเรืองแสงหลอดหนง่ึ นาน 20 วินาที จะใช้พลังงานไฟฟ้า 800 จลู หลอดเรืองแสงหลอดนีม้ กี าลงั ไฟฟ้าเทา่ กบั = 40 จลู ตอ่ วนิ าที หรอื 40 วตั ต์ 7.ตูเ้ ย็นขนาด 220 V 150 W หมายความว่า ตูเ้ ย็นหลังน้ี ต้องใช้กบั ความตา่ ง ศกั ยไ์ ฟฟา้ 220 โวลต์ เทา่ นน้ั และต้เู ยน็ หลงั นม้ี กี าลังไฟฟา้ 150 วัตต์ 8.พดั ลมตัง้ พื้น A และ B มีขนาด 30 W 220 V กบั 70 W 220 V ตามลาดบั พัดลมทส่ี ้ินเปลืองพลงั งานมากกวา่ คอื พัดลม B ส้ินเปลืองพลงั งานไฟฟา้ มากกวา่ เทา่ ใด สิน้ เปลอื งพลงั งานไฟฟา้ มากกวา่ A 40 W A B 9.กาตม้ นา้ ใบหนง่ึ กากบั ตัวเลขวา่ 110 W 220 V กาต้มน้าไฟฟ้าใบนี้มกี ระแสไฟฟา้ ไหล ผา่ นเท่ากับ I = = = 0.5 แอมแปร์ 10.เตารดี ไฟฟ้าอันหนง่ึ ใช้พลังงานไฟฟา้ 6,000 จลู ในเวลา 5 วนิ าที และขณะใช้ งานมกี ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 6 แอมแปร์ เตารีดไฟฟ้าอนั น้ตี ้องใชก้ บั ไฟฟ้าความต่างศกั ย์ เทา่ กบั V = = = 200 โวลต์

6หนว่ ยที่ ไฟฟา้ ใบงานเรื่อง พลังงานไฟฟ้า คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท.่ี .......... คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งให้ถูกตอ้ ง 1.พลงั งานไฟฟ้า (Electrical Energy) คือ พลงั งานท่ีใชไ้ ปหรอื สร้างขน้ึ มาใหม่จากกาลังไฟฟ้าท่สี ่งเข้ามาหรือส่งออกไป โดยมีความสมั พันธก์ บั เวลา 2.หนว่ ยวัดคา่ พลงั งานไฟฟา้ คือ จลู (J) และพลงั งานไฟฟา้ มีสญั ลักษณ์ คอื W 3.สตู รที่ใชใ้ นการคานวณหาคา่ พลงั งานไฟฟา้ คือ W = Pt 4.จงหาพลงั งานไฟฟ้าที่ใช้ในเตารีดที่มีกาลังไฟฟา้ 1,250 วัตต์ และรีดผา้ นาน 20 นาที วิธีทา พลงั งานไฟฟา้ (จูล) = กาลังไฟฟ้า (วตั ต)์ x เวลา (นาที) = 1,250 วตั ต์ x (20 x 60) วนิ าที = 1,500,000 จลู ดังน้ัน พลงั งานไฟฟ้าท่ีใชใ้ นเตารดี อนั นี้เทา่ กบั 1,500,000 จลู 5. ถ้าเปิดเครอื่ งปรับอากาศทีม่ ีกาลงั ไฟฟา้ 2,500 วัตต์ นาน 3 ช่วั โมง จะสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ากห่ี น่วย วธิ ที า เคร่ืองปรับอากาศมีกาลังไฟฟ้า 2,500 วตั ต์ = = 2.5 กิโลวัตต์ พลงั งานไฟฟ้า (หน่วย) = กาลงั ไฟฟ้า (กิโลวัตต)์ x เวลา (ช่วั โมง) = 2.5 กิโลวตั ต์ x 3 ชั่วโมง = 7.5 หน่วย ดงั น้นั เครอื่ งปรับอากาศเคร่ืองน้ีจะสนิ้ เปลอื งพลังงานไฟฟ้า 7.5 หน่วย 6. หลอดไฟ 60 วตั ต์ 5 ดวง ถา้ เปดิ พร้อมกันนาน 6 ช่ัวโมง จะส้นิ เปลอื งพลังงานไฟฟา้ ก่หี นว่ ย วธิ ีทา พลังงานไฟฟ้า = 60 (วตั ต)์ x 5 (ดวง) = 300 วตั ต์ พลังงานไฟฟา้ (หนว่ ย) = กาลังไฟฟ้า (กโิ ลวตั ต)์ x เวลา (ช่ัวโมง) = x 6 ชั่วโมง = 1.8 หน่วย ดังนั้น เปดิ ไฟพรอ้ มกัน 5 ดวง จะสิน้ เปลอื งพลังงานไฟฟ้า 1.8 หนว่ ย

6หน่วยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรือ่ ง การคดิ เงนิ คา่ พลงั งานไฟฟา้ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ช่อื -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท.ี่ .......... คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนเติมคาหรือข้อความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 1.เคร่ืองมือท่ีใชว้ ัดพลงั งานไฟฟา้ ที่แต่ละบ้านใช้ เรยี กวา่ มเิ ตอร์ไฟฟ้า หรือมาตรไฟฟา้ หรือ มาตรกโิ ลวัตต์ชว่ั โมง มหี นว่ ยเป็น กโิ ลวัตต์ชว่ั โมง หรอื หน่วย หรอื ยนู ิต 2.บ้านอยอู่ าศัยท่วั ไปจะใชม้ าตรไฟฟา้ ขนาด 5 แอมแปร์ 3.จานวนไฟฟา้ 79 หนว่ ย คดิ เปน็ ก่ีกิโลวตั ต์ชั่วโมง 79 กิโลวัตต์ชั่วโมง 4.ค่า Ft หมายถงึ ค่าไฟฟ้าผนั แปรหรอื คา่ อตั ราไฟฟา้ โดยอตั โนมัติ จะมคี า่ ไม่แนน่ อน ซ่งึ ทางการไฟฟ้าจะแจง้ ใหท้ ราบใน ใบเสรจ็ แตล่ ะเดอื น 5.คา่ ไฟฟ้าทผ่ี ใู้ ช้จะต้องชาระในแต่ละเดอื น เป็นดังนี้ คา่ ไฟท่ตี อ้ งชาระ = คา่ พลังงานไฟฟา้ + ค่าบรกิ าร + คา่ Ft + คา่ ภาษีมูลค่าเพ่มิ 6.หมอ้ หุงข้าว ขนาด 600 วตั ต์ จานวน 1 ใบ เปิดใช้วนั ละ 30 นาที จะใช้ไฟฟา้ วันละกีห่ นว่ ย x 0.5 = 3 หน่วย 7.ตเู้ ยน็ ขนาด 125 วัตต์ จานวน 1 ตู้ เปดิ ตลอด 24 ชว่ั โมง หากคอมเพรสเซอรท์ างาน 8 ช่วั โมง จะใช้ไฟฟ้าวนั ละ กี่หน่วย x 8 = 1 หนว่ ย 8.ต้เู ยน็ 250 วัตต์ เปิดใช้ตลอด 24 ชว่ั โมงทกุ วนั ในเดือนกนั ยายน จะตอ้ งเสียคา่ ไฟฟ้าในการใชต้ ูเ้ ย็นหลังน้ีเท่าไร ถ้าค่าไฟหน่วยละ 2 บาท (แสดงวธิ ที า) วธิ ีทา ตู้เย็น 250 วัตต์ = = 0.25 กโิ ลวตั ต์ ใน 1 วัน ตูเ้ ยน็ ใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ = 0.25 กโิ ลวตั ต์ x 24 ชวั่ โมง = 6 หนว่ ย และในเดือนกันยายนตู้เย็นหลงั น้ีใช้พลังงานทัง้ สิ้น = 6 x 30 = 180 หน่วย เงนิ ค่าพลังงานไฟฟ้า = จานวนหน่วย x อัตราค่าไฟฟ้าตอ่ หนว่ ย = 180 x 2 = 360 บาท ดงั น้ันในเดือนกันยายนจะต้องเสียคา่ ไฟฟ้าในการใช้ตู้เย็นหลงั นี้ท้ังสิ้น 360 บาท

6หนว่ ยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรื่อง วงจรไฟฟา้ แบบต่าง ๆ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/5 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรือข้อความลงในช่องว่างให้ถูกต้อง 1.วงจรไฟฟ้า คอื เส้นทางท่กี ระแสไฟฟา้ ผา่ นอุปกรณ์ต่างๆได้ครบวงจร 2.วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย ประกอบด้วย เซลลไ์ ฟฟ้าหรอื แบตเตอร่ี หลอดไฟ และสายไฟ 3.วงจรไฟฟา้ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ วงจรปิด และ วงจรเปดิ 4.นาอักษรหน้าข้อความดา้ นขวามือ เตมิ ลงหน้าประโยคหรือขอ้ ความด้านซา้ ยมอื ทมี่ ีความสมั พันธ์กนั B 4.1วงจรไฟฟา้ ท่ีมกี ระแสไฟฟ้าไหลไดค้ รบวงจร A วงจรเปดิ A 4.2วงจรไฟฟ้าทไ่ี มม่ กี ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน B วงจรปดิ D 4.3กระแสไฟฟ้าจากเซลลไ์ ฟฟา้ หรอื แบตเตอร่ไี หลไปทางเดียวกัน C ไดโอด C 4.4อปุ กรณท์ ใี่ ชใ้ นการแปลงไฟฟา้ กระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง D กระแสตรง (D.C.) E 4.5เป็นโลหะผสมระหว่างตะก่ัวกบั ดีบุกมีความตา้ นทาน E ฟวิ ส์ ไฟฟา้ มาก แตจ่ ุดหลอมเหลวตา่ 5.จากภาพ หลอดไฟท่ตี ่อแบบขนาน ไดแ้ ก่หลอดไฟหมายเลข 1 และ 2 หลอดไฟที่ต่อแบบอนกุ รม ได้แก่หลอดไฟหมายเลข 3 และ 4 6.จากภาพ ถ้าต้องการใหห้ ลอดไฟฟ้า L1 สว่าง ตอ้ งกดสวติ ช์ S1 7.หากต้องการใหห้ ลอดไฟฟา้ ท่ีอยูใ่ กลแ้ ผงไฟรวมสว่าง เราจะตอ้ งต่อสวิตช์ใด S1

6หน่วยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรื่อง วงจรไฟฟ้าในบา้ น คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/5 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ชื่อ-นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาช้ีแจง ให้นกั เรียนเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกต้อง ผังแสดงวงจรไฟฟา้ ในบา้ นนาย ก 1.ผงั วงจรไฟฟา้ ในบา้ นนาย ก ประกอบดว้ ยอุปกรณไ์ ฟฟ้าตา่ ง ๆ ดังน้ี สายไฟ สะพานไฟ ฟวิ ส์ เตา้ รบั เต้าเสยี บ และสวติ ซ์ไฟฟ้า 2.เคร่อื งใช้ไฟฟ้าตา่ ง ๆ ในผังวงจรนี้ ได้แก่ หลอดไฟ เคร่อื งซกั ผ้า และวิทยุ 3.เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าตา่ ง ๆ ต่ออยูใ่ นวงจรแบบใด ตอ่ แบบขนาน 4.ก่อนท่ีกระแสไฟฟา้ จะไหลเขา้ มาในบ้าน จะตอ้ งผ่านมาตรไฟฟ้าซงึ่ ทาหน้าท่ี วดั พลังงานไฟฟ้าท่ีถกู ใช้ไป 5.สายไฟเสน้ ใดที่ศักย์ไฟฟา้ ไม่เป็นศูนย์เม่อื เทยี บกบั พ้ืนดิน สาย L 6.การเลือกสายไฟฟ้าควรเลือกสายไฟฟา้ ท่ีมีจดุ หลอมเหลวสูงหรอื ต่า ตา่ และสายไฟฟา้ ควรมคี วามยาวมากหรอื น้อย มาก 7.อุปกรณต์ ่าง ๆ บนแผงไฟรวมไดแ้ ก่ สะพานไฟ และฟวิ ส์ อปุ กรณ์เหลา่ นี้ทาหน้าท่ี ควบคมุ การจ่ายพลงั งาน ไฟฟ้าทั้งหมดภายในบ้าน 8.ไฟตก คือ ปรากฏการณ์ทีโ่ รงไฟฟ้าไมส่ ามารถจ่ายพลังงานไดเ้ พยี งพอกับความตอ้ งการใช้เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าหลายชิ้น พรอ้ มๆ กนั มผี ลทาให้กระแสไฟฟา้ ไหลผ่านเข้าอปุ กรณแ์ ละเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ลดลงไม่เพียงพอกับการใช้งาน 9.การลดั วงจรหรอื ไฟชอ็ ต เกดิ จาก การใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้าหลายชนิดพรอ้ มกัน ทาใหค้ ่าความต้านทาน ลดลงมาก (เพราะต่อแบบขนาน) กระแสไฟฟ้าทีไ่ หลในวงจรจะเพม่ิ ขึ้นจนฉนวนหมุ้ ละลาย ถา้ วงจรไมถ่ กู ตัดขาดอาจเกดิ การลุกไหมห้ รือเกดิ ประกายไฟฟ้า จากตวั นาของสายไฟแตะกนั วธิ ปี อ้ งกันสามารถทาได้โดย ผใู้ ช้ตอ้ งตรวจดแู ลรักษาอปุ กรณต์ ่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพดี และไมใ่ ช้เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าพร้อมกนั หลายอย่างท่ีเต้าเสียบเดียวกัน 10.สายดนิ คือ สายตวั นาไฟฟ้าท่ีต่อกับจดุ ใด ๆ ในวงจรไฟฟา้ ให้เชอ่ื มกบั พนื้ ดิน เพอื่ ใหจ้ ุดนน้ั ๆ มศี ักยไ์ ฟฟ้าเท่ากับ ศักยไ์ ฟฟา้ ของพื้นดนิ ประโยชนข์ องสายดิน คือ ช่วยปอ้ งกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด

6หน่วยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรื่อง อุปกรณ์ในวงจรไฟฟ้า คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชือ่ -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท.่ี .......... คาช้แี จง ใหน้ กั เรียนเติมคาหรือข้อความลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกตอ้ ง 1.สายไฟแรงสูงทาดว้ ยอะลูมเิ นียม ทั้ง ๆ ทอี่ ะลมู ิเนยี มมคี วามตา้ นทานไฟฟา้ สูงกว่าทองแดง เพราะ มีราคาถูกและ น้าหนกั เบากว่าทองแดง 2.ขณะท่ีนกเกาะสายไฟแรงสูงท่ีไม่มฉี นวนหุ้มแล้วไม่เป็นอนั ตราย เพราะ นกเกาะสายไฟเพียงเสน้ เดียว และเท้านกมี ลกั ษณะเปน็ เซลล์ทแี่ ห้ง มีความตา้ นทานสูง 3.ปจั จัยท่ีมีผลต่อความต้านทานไฟฟา้ ของลวดตัวนาได้แก่ ชนดิ ของลวดตวั นา อณุ หภูมิของลวดตวั นา ความยาวของลวดตัวนา และพน้ื ท่หี น้าตัดของลวดตวั นา 4.อุปกรณท์ ี่ทาหน้าทป่ี อ้ งกนั ไม่ให้กระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นเขา้ มามากเกินไป ถ้ามกี ระแสผ่านมามากจะตัดวงจรไฟฟ้าในบา้ น โดยอัตโนมัติ อุปกรณช์ นิดนค้ี ือ ฟิวส์ เปน็ โลหะผสมระหว่าง ตะกว่ั กบั ดบี ุก และบสิ มทั 5.ฟิวส์ขนาด 15 แอมแปร์ คือ ฟวิ ส์ที่ยอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นไดไ้ ม่เกิน 15 แอมแปร์ ถา้ เกนิ กวา่ น้ฟี ิวสจ์ ะขาด 6.สะพานไฟมคี วามสาคัญต่อวงจรไฟฟ้าในบา้ นคือ เปน็ อปุ กรณ์สาหรบั ตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้าทั้งหมดภายในบ้าน 7.สวติ ซท์ ี่ใชก้ ับหลอดไฟ 1 ดวง ซึง่ สามารถเปิดปดิ ไดจ้ าก 2 ตาแหนง่ คือ สวิตซส์ องทาง 8.เต้ารับและเตา้ เสียบแบบ 3 ขา ดกี ว่าเตา้ รบั และเตา้ เสียบแบบ 2 ขา เนอ่ื งจาก เต้ารบั และเตา้ เสยี บ 3 ขา จะมีขา กลางจะเช่ือมต่อกับสายดิน ช่วยป้องกนั อนั ตรายกรณีกระแสไฟฟา้ รั่ว 9.สวติ ซท์ ใี่ ชต้ ามบา้ นเรอื นมี 3 แบบ คอื สวติ ซ์ธรรมดา สวิตซ์ 2 ทาง และสวติ ซ์อตั โนมตั ิ 10. บา้ นของน้อยมีเครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีใช้กบั แรงเคล่อื นทไ่ี ฟฟา้ 220 โวลต์ ดงั น้ี 1. เตาไฟฟา้ ขนาด 750 วตั ต์ 1 เตา 2. หม้อหงุ ข้าว ขนาด 1,000 วตั ต์ 1 ใบ 3. ตูเ้ ยน็ ขนาด 200 วตั ต์ 1 เคร่ือง จะต้องใชฟ้ วิ สข์ นาดก่ีแอมแปร์ สาหรับวงจรไฟฟา้ ในบ้านหลงั น้ี วธิ ที า จากสูตร I= P E 1. หาปริมาณการใชก้ ระแสไฟฟ้าผา่ นเตาไฟฟา้ = 750 = 3.40 220 2. หาปริมาณการใช้กระแสไฟฟา้ ผา่ นหม้อหงุ ข้าว = 1000 = 4.54 220 3. หาปรมิ าณการใช้กระแสไฟฟา้ ผา่ นตเู้ ย็น = 200 = 0.90 220 รวมกระแสไฟฟ้าท้ังหมด 3.40+4.54+0.90 = 8.84 ดงั นนั้ บา้ นหลงั น้คี วรใชฟ้ ิวสข์ นาด 10 A

6หน่วยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรอื่ ง เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าทใี่ ห้แสงสว่าง คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชอื่ -นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท.ี่ .......... ตอนที่ 1 นาอักษรหนา้ ขอ้ ความทางทก่ี าหนดให้ เตมิ ลงในช่องว่างหนา้ ขอ้ ความดา้ นลา่ งท่ีมีความสัมพนั ธ์กัน A ไนโตรเจน, B คาร์บอน, C สารฟอสฟอร์, D ไอปรอท, E ทังสเตน F นีออน, G สตารต์ เตอร,์ H หลอดตะเกียบ, I ออกซเิ จน J หลอดไฟฟา้ แบบมีไส้, K หลอดไฟโฆษณา, L แบลลสั ต์ 1.แกส๊ ทชี่ ว่ ยป้องกันไส้หลอดไฟฟา้ ไม่ใหร้ ะเหิดกลายเป็นไอ 2.โลหะ หางา่ ย ราคาถกู เมือ่ ร้อนจัดจะเปลง่ แสงสวา่ งออกมาได้ 3.ส่ิงประดิษฐ์ของเอดิสนั นักฟิสกิ ส์ชาวอเมริกนั 4.บรรจอุ ย่ใู นหลอดเรอื งแสง ทาหนา้ ท่ีผลิตรังสอี ลั ตราไวโอเลต 5.แกส๊ ชนดิ หนึ่งทีส่ ามารถใหแ้ สงสแี ดงหรือสสี ม้ เม่ือมีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ น 6.เป็นสวติ ซอ์ ตั โนมตั ใิ นขณะทีห่ ลอดไฟยงั ไมส่ ว่าง และหยดุ ทางานเมอื่ หลอดไฟสว่างแลว้ 7.เพิ่มความต่างศกั ย์เพ่ือให้หลอดไฟฟา้ สว่าง 8.เปน็ สารพิษห้ามจบั ต้อง แตส่ ามารถเปลง่ แสงสวา่ งไดเ้ มื่อมรี งั สอี ลั ตราไวโอเลตมากระทบ 9.ต้องใชก้ บั กระแสไฟฟ้าที่มีความตา่ งศกั ย์สูงถงึ 10,000 โวลต์ 10.หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ ตอนที่ 2 ให้นักเรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ตอ้ ง 1.เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าท่ีให้แสงสวา่ ง คอื หลอดไฟฟ้า ปจั จบุ ันมีหลายชนิด ไดแ้ ก่ หลอดไฟฟ้าธรรมดา หลอดเรืองแสง หลอดตะเกียบ และหลอดนีออนหรอื หลอดไฟโฆษณา 2.หลอดแกว้ ของหลอดไฟธรรมดาบรรจแุ กส๊ ไนโตรเจน (N2) และแกส๊ อาร์กอน (Ar) เพือ่ ป้องกนั ไมใ่ ห้ไส้หลอดท่ี ได้รบั ความรอ้ นระเหิดไปจบั ท่ผี ิวในของหลอดแกว้ ซ่งึ จะทาให้หลอดดา 3.ข้อดีของหลอดเรืองแสง คอื 1.อณุ หภูมิไมส่ ูงเท่าหลอดไฟธรรมดา 2.เสยี ค่าไฟนอ้ ยกวา่ หลอดไฟธรรมดาท่ีใหแ้ สงสว่าง เท่ากนั เพราะใชว้ ัตต์ตา่ กว่า 3.เม่ือใช้พลังงานไฟฟา้ เท่ากัน จะให้แสงสว่างมากกว่าหลอดไฟฟา้ ธรรมดา 4 เท่า และมี อายุการใชง้ านทนกว่าหลอดไฟธรรมดาประมาณ 8 เท่า 4.ข้อดีของหลอดตะเกียบ คือ ช่วยประหยดั พลงั งานไฟฟา้ และมอี ายุการใช้งานทีย่ าวนานกวา่ หลอดเรอื งแสงแบบธรรมดา 5.แก๊สทบ่ี รรจุอยภู่ ายในหลอดนอี อนหรือหลอดไฟโฆษณาจะเกดิ การแตกตัวเป็นไอออนและนาไฟฟา้ ได้ ซ่ึงจะติดไฟใหแ้ สง สีตา่ ง ๆ ได้ เน่อื งจาก เมอ่ื มกี ระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอดนีออนหรอื หลอดไฟโฆษณาจะมคี วามตา่ งศักยส์ งู มาก ประมาณ 10,000 โวลต์

6หน่วยที่ ไฟฟ้า ใบงานเรือ่ ง เครื่องใช้ไฟฟ้าท่ใี ห้ความร้อน คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในช่องว่างให้ถูกตอ้ ง 1.เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าทใี่ หค้ วามรอ้ นมกี ารเปล่ียนรปู พลงั งาน คอื เปล่ียนพลงั งานไฟฟ้าเป็นพลังงานความรอ้ น 2.ตัวอยา่ งเคร่อื งใช้ไฟฟา้ ท่ีใหค้ วามร้อน ได้แก่ เตารดี ไฟฟ้า กระทะไฟฟา้ เตาไฟฟ้า หม้อหุงขา้ วไฟฟา้ หมอ้ ตม้ นา้ ไฟฟา้ เคร่ืองเป่าผมไฟฟา้ เตาปิง้ ขนมปงั เครือ่ งทานา้ อนุ่ เปน็ ต้น 3.ส่วนประกอบสาคัญของเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ท่ใี หค้ วามร้อนคอื ขดลวดความร้อน หรือ แผ่นความรอ้ น(Heater) 4.ขดลวดนิโครม (Nichrom) เปน็ โลหะผสมระหว่าง นิเกลิ (Nickel) กบั โครเมยี ม (Chromium) 5.ขดลวดนิโครมให้ความร้อนได้สูงมาก เน่อื งจาก มคี วามต้านทานไฟฟ้าสูง ขดลวดประเภทน้ีจะไม่ขาดง่ายเพราะ มีจุดหลอมเหลวสูง 6.เพื่อปอ้ งกนั ไมใ่ ห้ขดลวดนโิ ครมหลอมละลายและป้องกันไฟรั่ว ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งใชฉ้ นวนไฟฟา้ คอื ใยหิน หรอื แผน่ ไมกา รองรบั ขดลวดอย่ภู ายในเครื่องใช้ไฟฟา้ ทใ่ี ห้ความรอ้ นเช่น เตารีดหรอื หมอ้ หงุ ขา้ ไฟฟา้ 7.เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ เชน่ เตารดี กาตม้ น้าไฟฟ้า จะมี เทอรม์ อสแตท (Thermostst) หรือสวติ ซอ์ ัตโนมตั ิ ทาหนา้ หนา้ ท่ี ควบคุมอุณหภมู ิใหค้ งท่ี โดยมแี ผ่นโลหะต่างชนิดกัน 2 แผน่ ประกบกนั เม่อื อณุ หภูมิสงู ข้ึนจะ ขยายตัวไม่เท่ากนั แผ่น โลหะเกดิ การโค้งงอ ทาให้จดุ สัมผสั แยกออกจากกัน เป็นวงจร เปดิ กระไสไฟฟา้ ไหลผ่านไม่ได้ 8.ข้อควรระวงั ในการใช้เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ท่ีใหค้ วามร้อน คือ 1. ต้องหม่ันตรวจสอบสภาพสายไฟ เต้าเสยี บและเตา้ รับให้อยู่ในสภาพทดี่ ีอยู่เสมอ 2. ต้องปลดเต้าเสียบออกทกุ ครงั้ ทเี่ ลิกใชง้ าน 9.เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าท่เี ปล่ยี นแปลงพลงั งานไฟฟา้ เป็นพลงั งานกลและพลังงานความร้อนได้พรอ้ ม ๆ กัน เช่น เคร่อื งเป่าผมไฟฟา้ เครือ่ งปงิ้ ขนมปงั 10.เมอ่ื มกี ระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดนิโครมจะเกดิ ความรอ้ นขึ้น ความร้อนที่เกดิ ขึน้ น้ีจะมากหรอื นอ้ ยขึ้นอยกู่ ับส่งิ ใดบา้ ง ความต้านทานไฟฟา้ และความยาวของขดลวด แผ่นโลหะคู่ ก. ขณะอุณหภูมิปกติ ข. ขณะอุณหภูมิสงู ข้ึน การทางานของเทอร์มอสแตท

6หน่วยที่ ไฟฟา้ ใบงานเร่อื ง เครือ่ งใช้ไฟฟา้ ที่ใหพ้ ลงั งานกล คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ช่อื -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท.ี่ .......... คาช้ีแจง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในช่องวา่ งให้ถกู ต้อง 1.เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ท่ีใหพ้ ลงั งานกลจะมี มอเตอร์ (Motor) ซึง่ เป็นอปุ กรณ์ท่ที าหนา้ ท่ีเปล่ียนพลงั งานไฟฟ้าเป็น พลังงานกล 2.การควบคมุ ให้มอเตอรห์ มุนชา้ หรอื เร็ว ทาได้โดย เพมิ่ หรือลดความต้านทานไฟฟา้ ถ้าความต้านทานไฟฟ้ามาก มอเตอรจ์ ะหมุนช้า ถ้าลดความต้านทานไฟฟา้ ลง มอเตอรจ์ ะหมนุ เร็วข้ึน 3.เพราะเหตใุ ดในการใช้งานมอเตอร์ จงึ ตอ้ งถอดเต้าเสียบออกจากเต้ารบั ทุกคร้ังทไี่ ฟตก และเมอ่ื เลิกใช้งาน เพราะถา้ ไฟตก มอเตอร์จะไม่หมนุ แตย่ ังมกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่านขดลวดตวั นาอยู่ ซึ่งอาจทาใหข้ ดลวดร้อนและไหมไ้ ด้ 4.อุปกรณ์ที่เปลยี่ นพลังงานกลเป็นพลงั งานไฟฟ้า คอื ไดนาโม ซงึ่ ทาหน้าทตี่ รงข้ามกับมอเตอร์ 5.จงอธบิ ายหลักการทางานของมอเตอร์ เม่อื ใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นขดลวดตวั นาที่วางอยู่ระหวา่ งสนามแม่เหลก็ ของขว้ั แม่เหลก็ เหนอื ใตจ้ ะทาใหเ้ กดิ สนามแมเ่ หล็ก รอบ ๆ ขดลวด ส่งผลให้เสน้ แรงแม่เหลก็ ระหว่างข้วั แม่เหลก็ ท้ังสองเบ่ียงเบนไป เสน้ แรงแม่เหล็กที่เบย่ี งเบนไปน้ี จะ พยายามยืดเส้นแรงออกใหต้ รง โดยออกแรงผลักลวดตวั นา ทาให้เกดิ การหมนุ ของขดลวดขึน้ ซงึ่ ทิศทางการหมนุ น้ี ข้ึนอยกู่ ับทิศทางของกระแสไฟฟ้าที่ไหลผา่ นขดลวดตัวนา 6.ยกตวั อยา่ งเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าทีใ่ หพ้ ลังงานกล พรอ้ มวาดภาพประกอบ (วาดภาพหรอื นาภาพมาตดิ ) เครือ่ งใช้ไฟฟา้ ทใ่ี หพ้ ลังงานกล เครื่องใช้ไฟฟา้ ทใี่ ห้พลงั งานกล

6หนว่ ยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรื่อง เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าที่ใหพ้ ลังงานเสยี ง คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ช่อื -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท.ี่ .......... คาช้ีแจง ให้นักเรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งว่างให้ถกู ต้อง เสาอากาศสง่ เสาอากาศรับ คลืน่ วทิ ยุ คลื่นวิทยุ สถานีวทิ ยุ รบั คล่นื วทิ ยุและ อุปกรณ์ กระจายเสียง เลือกความถขี่ อง อิเลก็ ทรอนิกส์ คลื่นหรือสถานี ขยายสญั ญาณไฟฟา้ ให้แรงข้นึ แผนภาพแสดงการเปลย่ี นพลังงานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานเสียงของเครือ่ งรับวทิ ยุ ลาโพงเสยี ง 1.จากภาพจงอธบิ ายหลักการของเคร่อื งรบั วิทยุ เครอ่ื งรบั วทิ ยุจะรบั และเลือกสถานหี รือเลอื กความถี่ของคล่ืนวิทยุซึง่ เปน็ คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จากสถานีสง่ วิทยุ แล้ว เปลีย่ นคลืน่ วิทยุเป็นสญั ญาณไฟฟา้ แลว้ ใชอ้ ุปกรณอ์ ิเลก็ ทรอนกิ สข์ ยายสญั ญาณเสียงทีอ่ ยู่ในรูปของสญั ญาณไฟฟ้าให้ แรงขนึ้ จนเพยี งพอทท่ี าให้ลาโพงส่นั สะเทือนเปน็ เสียงให้ได้ยิน 2.สัญญาณไฟฟา้ คือ แรงดนั หรือกระแสซ่ึงเป็นพาหะของข้อมลู ขา่ วสาร 3.คลื่นวทิ ยุ คือ คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าท่ีส่งผ่านบรรยากาศด้วยความถ่ีวิทยุ ไมต่ อ้ งอาศยั ตวั กลางในการเคลื่อนที่ 4. ไมโครโฟน ทาหนา้ ทเี่ ปลยี่ นพลังงานเสยี งเป็นสญั ญาณไฟฟา้ ซึ่งจะถกู บนั ทกึ เสียงลงในแถบบนั ทึกทึกเสียง ซึ่งฉาบไวด้ ้วยสารแม่เหล็ก ในรูปของ สัญญาณแมเ่ หลก็ 5. ลาโพง ทาหน้าทเี่ ปล่ียนสญั ญาณไฟฟา้ เปน็ พลงั งานเสียง

6หนว่ ยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรื่อง เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ท่ีใหพ้ ลงั งานเสียง คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขท.่ี .......... คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนบอกวธิ ีการใช้เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าอย่างถูกตอ้ ง ประหยดั และค้มุ ค่า ของเครื่องใช้ไฟฟา้ ต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี ชนิดของเคร่ืองใช้ไฟฟ้า วธิ ีการใชอ้ ยา่ งถกู ต้อง ประหยัด และคมุ้ คา่ หลอดไฟฟ้า โทรทัศน์ - ออกแบบบ้านโดยใชแ้ สงสวา่ งจากธรรมชาติมากทสี่ ดุ เตารดี - ควรทาสผี นงั บา้ นด้วยสีอ่อน ๆ เพื่อทาให้หอ้ งดสู ว่าง ลดการใชห้ ลอดไฟ - เลือกใชห้ ลอดตะเกียบ หมอ้ หุงขา้ วไฟฟา้ - บรเิ วณท่ตี ้องเปดิ ไฟท้ิงไว้นาน ๆ ควรใชห้ ลอดไฟฟ้าทีม่ วี ตั ตต์ ่า ตเู้ ยน็ - เลือกซอื้ ขนาดโทรทศั นใ์ ห้เหมาะกบั ความจาเป็น - ไม่เปดิ โทรทัศนท์ งิ้ ไว้โดยไม่มีคนดู - ไม่ปรับจอภาพใหส้ ว่างเกนิ ความจาเปน็ - ไม่เปดิ โทรทัศน์ล่วงหนา้ เพอื่ ดูรายการทช่ี อบ - เก็บผา้ ไวร้ ีดคร้งั ละมาก ๆ และควรรดี ติดตอ่ กันจนเสร็จ - ไม่รดี ผ้าที่ยังเปยี กอยู่ - ไม่พรมนา้ ผา้ ทจ่ี ะรดี จนชมุ่ เกินไป - ถอดปลัก๊ กอ่ นเสร็จส้ินการรีดประมาณ 2 – 3 นาที เพราะยงั มคี วามรอ้ น เหลือเพียงพอ - ควรซักและตากผ้าโดยไม่ต้องบิด จะทาให้รดี ไดง้ า่ ยข้นึ - เลอื กขนาดหม้อหุงขา้ วใหเ้ หมาะสมกับขนาดครอบครัว - หงุ ขา้ วใหพ้ อดีกบั จานวนคน - อย่าเปิดฝาหมอ้ ขณะทขี่ ้าวยังไม่สกุ - หากเสียบปลก๊ั อยูอ่ ยา่ กดสวติ ซ์ปิด – เปิด ขณะทีไ่ มม่ ตี วั หม้อชั้นใน - ควรดึงปล๊กั ออกเม่อื ขา้ วสกุ แลว้ - เลอื กใช้ตู้เยน็ ทม่ี ขี นาดเหมาะสมกบั ครอบครวั - ควรวางตูเ้ ย็นให้หา่ งจากผนงั ทงั้ ด้านหลังและดา้ นข้าง อยา่ งนอ้ ย 15 cm. - ควรต้งั อุณหภมู ภิ ายในต้เู ยน็ ประมาณ 3 – 6 ๐C และในช่องแชแ่ ข็ง -15 ๐C ถงึ -18 ๐C - ต้องละลายน้าแข็งอยา่ งสมา่ เสมอ - ไมน่ าอาหารทร่ี อ้ นหรอื ยังอ่นุ อยู่ แช่ในตู้เย็น - ไม่ใสข่ องแช่จนแนน่ ตู้เยน็

6หน่วยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรอ่ื ง ตวั ตา้ นทาน คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/4 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ช่อื -นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนเตมิ คาหรือข้อความลงในชอ่ งว่างให้ถกู ต้อง 1.ชนิ้ สว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์ทามาจาก สารก่ึงตวั นา (Semiconductor) ซึง่ เป็นสารท่นี าไฟฟา้ ไดด้ ีกว่า ฉนวนไฟฟ้า แต่ไม่ดีเท่า ตัวนาไฟฟ้า 2.อุปกรณท์ ่ใี ช้ควบคุมปรมิ าณการไหลของกระแสไฟฟา้ ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ คือ ตัวตา้ นทาน (Resistors) 3.หน่วยวัดความต้านทานคอื โอหม์ (Ω) 4.ตวั ต้านทานแบง่ เปน็ 2 ชนิด ได้แก่ ตวั ต้านทานคงที่ และตวั ต้านทานแปรคา่ ได้ 5.สญั ลกั ษณ์ตอ่ ไปนี้ หมายถงึ ตวั ต้านทานแบบใด สญั ลักษณ์ ชนดิ ตัวต้านทาน ตัวตา้ นทานคา่ คงที่ ตัวต้านทานปรับค่าได้ ตวั ตา้ นทานปรับค่าได้ ตัวตา้ นทานปรบั คา่ ตามแสง 6.ตัวตา้ นทานตอ่ ไปนมี้ คี า่ ความตา้ นทานเทา่ ใด (แสดงวธิ คี ิดค่าความต้านทาน) แถบสที ี่ 1 สนี า้ ตาล คา่ ทอี่ า่ นได้ คือ 1 แถบสีท่ี 2 สีเขยี ว ค่าที่อา่ นได้ คือ 5 น้าตาล เขียว แดง แถบสที ี่ 3 สีแดง คา่ ทอ่ี ่านได้ คือ 102 แถบสที ่ี 4 ไมม่ ีสี คา่ ความคลาดเคล่อื น คอื ± 20% ดังนั้นตัวตา้ นทานนี้มคี า่ = 15 x 102 Ω ± 20% 1500 Ω ± ( x 1500 Ω) = 1.5 kΩ ± 0.3 kΩ ตวั ตา้ นทานน้มี คี า่ ความตา้ นทานอยูร่ ะหวา่ ง 1,200 – 1,800 Ω หรอื 1.2 – 1.8 kΩ 7.พจิ ารณาภาพแล้วตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 7.1ถา้ ตอ้ งการต่อตัวตา้ นทานแปรคา่ ไดเ้ พือ่ ให้ไดค้ า่ ความต้านทานสูงสุด ควรตอ่ หมายเลข 1 - 3 เขา้ กับวงจร 1 7.2ถา้ ตอ้ งการตอ่ ตวั ตา้ นทานแปรคา่ ไดเ้ พือ่ ให้คา่ ของความตา้ นทานเปลี่ยนแปลงไปตาม 2 3 การหมนุ ของแกนหมนุ ควรต่อหมายเลข 1- 2 เขา้ กบั วงจร 8.ความเข้มของแสงท่ตี กกระทบบน LDR มผี ลต่อความตา้ นทานอยา่ งไร ถ้าไม่มีแสงหรือมแี สงปริมาณนอ้ ย ความตา้ นทานของ LDR จะมาก ทาให้กระแสไฟฟ้าในวงจรมคี ่าน้อย แตเ่ มื่อถกู แสงทีม่ คี วามเขม้ มาก ความตา้ นทานของ LDR จะน้อย ทาให้กระแสไฟฟา้ ในวงจรมีค่ามาก

6หนว่ ยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรื่อง ตัวเก็บประจุ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขท.่ี .......... ตอนที่ 1 นาอกั ษรหนา้ ข้อความทางขวามือ เติมลงในช่องวา่ งหน้าข้อความทางซา้ ยมอื ที่มคี วามสมั พันธก์ นั 1.ใช้แรงเคลอื่ นไฟฟา้ ประมาณ 50 – 2,000 โวลต์ ก. ตวั เกบ็ ปะจุชนดิ ไมลาร์ 2.เปน็ ตัวเกบ็ ประจุชนิดมขี ั้ว (Polarized) ข. ตัวเก็บประจุชนดิ เซรามกิ 3.มีความทนทานสูง ทนต่อความช้ืนและน้า ค. ตัวเกบ็ ประจชุ นิดนา้ ยา 4.ช้ินสว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์ท่สี ามารถเก็บพลังงานไฟฟ้าทไ่ี ด้รบั เอาไว้ ง. ตวั เก็บประจุ แล้วปลดปล่อยออกมาใช้งานได้ จ. ตวั เก็บอิเล็กตรอน 5.หน่วยวัดของคา่ ความจุของตวั เก็บประจุ ฉ. ฟารัด 6.ตัวเก็บประจุทใ่ี ชส้ ารละลายอิเล็กโทรไลต์ก้ัน มฉี นวนบาง ๆของ ช. ส่วนประกอบของตัวเก็บประจุ สารประกอบออกไซดเ์ กาะอยบู่ นแผน่ อะลมู ิเนียมบาง ๆ 7.ใชเ้ ซรามกิ กนั้ ระหว่างแผ่นตวั นาไฟฟ้า ไม่มขี ้ัวบวกหรือขัว้ ลบ 8.ตวั นาไฟฟา้ สองแผน่ มาประกบกนั แลว้ กน้ั ด้วยฉนวนไฟฟ้า 9.ชอ่ื เรยี กอกี อยา่ งของตัวเก็บประจุ 10.คา่ ความจไุ มเ่ ปลี่ยนตามสภาพความชืน้ ตอนที่ 2 นาข้อความท่ีกาหนดให้เตมิ ลงในชอ่ งว่างให้ถูกตอ้ ง ตัวเก็บประจุชนดิ ไมลาร์ ตวั เกบ็ ประจุชนิดนา้ ยา ตวั เก็บประจุชนดิ เซรามกิ ตวั เก็บประจแุ บบไม่มีขัว้ ตวั เกบ็ ประจุชนิดปรับคา่ ได้ ตัวเกบ็ ประจุแบบมขี ัว้ + - ตวั เกบ็ ประจุแบบมีขั้ว ตวั เกบ็ ประจุชนดิ นา้ ยา ตวั เกบ็ ประจแุ บบไม่มขี ัว้ ตวั เก็บประจุชนิดไมลาร์ ตวั เกบ็ ประจชุ นิดปรบั ค่าได้ ตวั เกบ็ ประจชุ นดิ เซรามกิ

6หนว่ ยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรอื่ ง ไดโอด คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาช้แี จง ให้นักเรียนเติมคาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งว่างให้ถูกตอ้ ง 1.ไดโอด (Diode) ประกอบด้วยข้ัว 2 ข้วั คอื แคโทด (Cathode) และ แอโนด (Anode) 2.ไดโอดจะยอมใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นได้ เมื่อ แอโนดมศี ักย์ไฟฟา้ สูงกวา่ แคโทด 3.พิจารณาภาพตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถามให้ถูกต้อง กข ภาพนี้คอื สญั ลักษณ์ของไดโอด ก หมายถึง ขว้ั แอโนด ข หมายถึง ขว้ั แคโทด 4.พิจารณาวงจรตอ่ ไปนแ้ี ล้วตอบคาถามให้ถูกต้อง +- +- +- +- วงจร ก วงจร ข 4.1วงจร ก ไดโอดจะนากระแสไฟฟ้าหรือยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นได้ เนอ่ื งจาก ศักย์ไฟฟา้ ท่แี อโนดสูงกวา่ ศกั ย์ไฟฟา้ ที่แคโทด 4.2วงจร ข ไดโอดจะไมน่ ากระแสไฟฟ้าหรอื ไมย่ อมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เน่ืองจาก ศกั ย์ไฟฟา้ ทีแ่ อโนดตา่ กว่า ศกั ย์ไฟฟ้าที่แคโทด 5.จงบอกสภาวะของไดโอด ดงั แสดงในรปู ว่าอย่ใู นสภาวะ ON หรือ OFF 5.1 5.2 +5 V 0 V +5 V +7 V สถานะ ON สถานะ OFF 5.3 5.4 -2 V +3 V -3 V -6 V สถานะ OFF สถานะ ON

6หน่วยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรือ่ ง ทรานซิสเตอรแ์ ละไอซี คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท.่ี .......... คาช้ีแจง ให้นักเรียนเติมเคร่ืองหมาย  หนา้ ขอ้ ความทีเ่ หน็ ด้วย และเตมิ เครือ่ งหมาย  หนา้ ข้อความท่ไี มเ่ ห็นดว้ ย 1.ทรานซสิ เตอรท์ าจากสารกึ่งตัวนา 2 ชนิด และนาสารทัง้ สองมาประกบกัน 2.เมอ่ื แบง่ ทรานซิสเตอร์ตามลกั ษณะของการประกบของสารก่ึงตัวนาแบง่ ได้เป็น 2 ชนิด คือ N และ B 3.ในการพิจารณาชนดิ ของทรานซิสเตอร์จากสัญลกั ษณ์ท่กี าหนดอยู่ ให้สังเกตท่หี วั ลูกศรทีข่ า E 4.ทรานซสิ เตอรจ์ ะทางานได้ก็ตอ่ เมอื่ ต่อใหข้ า C มีศกั ยไ์ ฟฟา้ สงู กวา่ ขา B และ ใหศ้ กั ย์ไฟฟา้ ทขี่ า B สงู กวา่ ขา E 5.ถา้ รหัสหรือเบอรข์ องทรานซสิ เตอร์มีตัวอกั ษร A และ B ปรากฏอยู่ เชน่ 2 SA…. 2 SB… จะเปน็ ทรานซสิ เตอร์ชนดิ PNP 6.ถ้ารหัสหรือเบอร์ของทรานซิสเตอร์มีตวั อกั ษร C และ D ปรากฏอยู่ เช่น 2 SC 373 หรือ เขยี นเปน็ C 373 จะเปน็ ชนดิ NPN 7.ทรานซิสเตอรจ์ ะทาหนา้ ที่เหมือนสวิตซ์ปดิ – เปิดวงจรไฟฟา้ 8.การนากระแสไฟฟา้ ของทรานซิสเตอร์ข้ึนอยู่กับชนิดของสารกึ่งตัวนา 9.การต่อออดไฟฟ้าใหเ้ กิดเสียงดงั และทางานไดเ้ มอ่ื ปดิ วงจรไฟฟา้ ตอ้ งต่อขัว้ บวกของออดไฟฟา้ เข้ากบั ขั้วลบของแบตเตอรี่ในวงจรไฟฟ้า 10.ไอซี เป็นการยอ่ ส่วนวงจรอิเลก็ ทรอนิกสใ์ ห้มีขนาดเลก็ ลง ทรานซสิ เตอร์ชนดิ ตา่ งๆ ไอซี (Integrated Circuit)

6หน่วยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรื่อง สญั ลกั ษณ์พื้นฐานในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาชี้แจง นาข้อความท่กี าหนดใหเ้ ติมลงหน้าสญั ลักษณ์หรือแผนภาพวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ให้ถกู ตอ้ ง ไมโครโฟน // มอเตอร์ // ลาโพง // ฟิวส์ // หมอ้ แปลงอากาศ // ลวดตัวนา ตวั เก็บประจชุ นิดคงท่ี // ตัวเก็บประจแุ ปรค่าได้ // แบตเตอรีห่ รอื แรงดันไฟฟ้า ตัวตา้ นทานคงท่ี // ตัวต้านทานแปรคา่ ได้ // ไดโอด // ไดโอดเปลง่ แสง ลวดตวั นาเชื่อมตอ่ กัน // ทรานซสิ เตอร์ NPN // ทรานซสิ เตอร์ PNP // หมอ้ แปลงแกนเหลก็ อุปกรณ์ / ชนิด สญั ลักษณ์ แบตเตอรี่หรือแรงดันไฟฟา้ + หรือ - ตวั เกบ็ ประจุชนดิ คงที่ ตวั เกบ็ ประจุแปรคา่ ได้ M ลวดตัวนา หรือ ลวดตวั นาเชือ่ มต่อกัน หมอ้ แปลงอากาศ หมอ้ แปลงแกนเหล็ก ฟวิ ส์ ลาโพง ไมโครโฟน มอเตอร์ ตัวต้านทานค่าคงท่ี ตัวตา้ นทานแปรค่าได้ ทรานซิสเตอร์ NPN ทรานซิสเตอร์ PNP ไดโอด ไดโอดเปลง่ แสง

แบบฝึกหดั ทา้ ยหนว่ ย เรือ่ ง ไฟฟา้ คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเลอื กข้อที่ถูกตอ้ งท่สี ุด 1.การต่อวงจรไฟฟ้าภายในบา้ น เครื่องใชไ้ ฟฟา้ ควรต่อแบบ 7.เคร่อื งใช้ไฟฟ้าชนิดหนง่ึ มีตวั เลขกากับวา่ 1,100 W 110 ใด V AC ขอ้ ความใดถูกตอ้ ง ก.แบบอนุกรม ข.แบบขนาน ก.เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ชนดิ น้ีจะมกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ น 100 ค.แบบผสม ง.แบบใดก็ได้ แอมแปร์ 2.เพราะเหตุใดสายสง่ ไฟฟา้ แรงสูงจงึ ต้องเป็นสายเปลอื ย ข.หากใช้เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ชนิดน้ีต้องใช้หม้อแปลงชนิดแปลง ก.ระบายความรอ้ นไดด้ ี ขนึ้ ข.เพ่อื ใหม้ ีนา้ หนกั เบา ค.นาไปใช้กบั ไฟฟา้ กระแสสลบั 110 โวลต์ หรือ 220 ค.ลดคา่ ใชจ้ ่ายท่ีไม่จาเป็น โวลต์ ก็เกดิ ความรอ้ นเทา่ กัน ง. เปลอื กหุม้ จะทาใหค้ วามตา้ นทานไฟฟ้าสูงข้นึ ง.เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ชนิดนีใ้ ช้กบั ไฟฟา้ กระแสสลับ ความตา่ ง 3.บา้ นหลังหน่งึ ใช้ฟวิ สข์ นาด 15 แอมแปร์ ถ้านาหลอด ศกั ย์ 110 โวลต์ โดยใช้พลงั งานไฟฟ้าวินาทีละ 1,100 ไฟฟา้ ซึ่งเขียนขา้ งหลอดวา่ 220 V 110 W มาต่อแบบ จลู ขนาน จะตอ่ ไดป้ ระมาณกี่หลอดโดยทฟ่ี วิ ส์ไม่ขาด 8.โลหะในข้อใดมคี วามต้านทานไฟฟา้ น้อยทีส่ ดุ ก.30 หลอด ข.40 หลอด ก.อะลมู เิ นยี ม ข.ทองแดง ค.60 หลอด ง.80 หลอด ค.เงนิ ง.นโิ ครม 4.ขอ้ ใดเปน็ สมบัตขิ องฟิวส์ 9.พจิ ารณาลวดที่ทาดว้ ยโลหะชนิดเดียวกันทง้ั สามเสน้ ดัง ก.มีความนาไฟฟ้าสูง ภาพ ข้อใดกล่าวถูกต้อง ข.มจี ดุ หลอมเหลวสงู เส้นท่ี 1 ค.มจี ุดหลอมเหลวตา่ เสน้ ที่ 2 ง.มีความตา้ นทานไฟฟ้ามาก เส้นท่ี 3 5.ข้อใดเป็นหน้าท่ขี องทรานซิสเตอร์ ก.เกบ็ ประจไุ ฟฟา้ ไว้ใช้ ก.เส้นที่ 1 มคี วามต้านทานมากกว่าเสน้ ท่ี 3 ข.เปน็ สวติ ซป์ ิดและเปดิ วงจร ข.เสน้ ที่ 1 มีความต้านทานนอ้ ยกว่าเส้นท่ี 2 ค.เปน็ ตวั ตา้ นทานท่มี คี ่าเปลี่ยนแปลงตามแสงท่ตี กกระทบ ค.เส้นที่ 2 มคี วามตา้ นทานมากกว่าเส้นท่ี 3 ง.เปน็ ตัวตา้ นทานท่ีเปลยี่ นค่าไดโ้ ดยการหมนุ หรือเลอื่ นปุ่ม ง.เสน้ ที่ 2 มีความต้านทานนอ้ ยกวา่ เส้นที่ 3 ปรบั ค่า 10.ถ้าเครือ่ งใช้ไฟฟ้าในบ้านใช้กาลังไฟเฉลี่ย 300 วตั ต์ท่ี 6.กอ่ นท่ีจะเสยี บเตา้ เสียบของอปุ กรณ์ไฟฟ้าภายในบา้ นกับ 220 โวลท์ใน 1 วนั จะเสียค่าไฟฟา้ สาหรับเดอื นมีนาคม เตา้ รบั ควรพจิ ารณาสงิ่ ใดเป็นอนั ดบั แรก เทา่ ไหร่ ถา้ ค่าไฟฟ้ายนู ติ ละ 1 บาท ก.วตั ต์ ข.โอห์ม ก.216 บาท ข.223.20 บาท ค.โวลต์ ง.แอมแปร์ ค.2,160 บาท ง.2,232 บาท

7หนว่ ยท่ี ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชวี ภาพ

หน่วยที่ ระบบนิเวศ ใบงานเรอ่ื ง ประชากรในระบบนิเวศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1 สาระ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ ช่อื -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปนใี้ ห้ถกู ต้อง และนาข้อความท่กี าหนดให้เติมลงในแผนภาพใหส้ มบูรณ์ 1.ประชากร หมายถึง สิง่ มชี วี ิตชนิดเดียวกันท่ีอาศยั อยใู่ นบริเวณเดียวกันในชว่ งเวลาใดเวลาหนง่ึ 2.ความหนาแน่นของประชากร หมายถึง สดั ส่วนของจานวนประชากรท้งั หมดท่ีอาศยั อยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งตอ่ พนื้ ท่ีหรือปรมิ าตรที่ประชากรอาศัยอยู่ 3.ขนาดของประชากร หมายถึง จานวนของประชากรทอี่ าศยั อย่ใู นพื้นทที่ ่ีกาหนด หรือแหลง่ ทอี่ ยู่เดียวกัน 4.ปัจจยั พนื้ ฐานท่สี ่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร คอื อาหาร น้า และอากาศ 5.สวนหย่อมมพี ้ืนที่ 25 ตารางเมตร มผี เี สือ้ 75 ตวั ความหนาแนน่ ของประชากรผเี สอ้ื เท่ากับ 3 ตวั ตอ่ ตารางเมตร การเกดิ / การตาย / การอพยพเขา้ / การอพยพออก / ประชากรลดลง / ประชากรเพ่ิมขนึ้ อาหาร / นา้ / แกส๊ ออกซเิ จน / แหลง่ ทอ่ี ยู่ / โรคระบาด / สารพิษ / ความเป็นกรด-เบส สภาพดนิ ฟ้าอากาศ / แสงสวา่ ง อณุ หภมู ิ ความชน้ื / พฤติกรรมระหว่างประชากรด้วยกันเอง ประชากร การตาย สาเหตกุ าร การเกิด ประชากร ลดลง เปลี่ยนแปลงขนาด เพม่ิ ข้นึ การ การ อพยพ ของประชากร อพยพเขา้ ออก ปัจจยั ที่มผี ลตอ่ การเปล่ียนแปลงขนาดของประชากร ปัจจยั จากดั ขน้ั พน้ื ฐานทีส่ ง่ ผลโดยตรงตอ่ ประชากร ปจั จัยอ่นื ๆท่สี ่งผลตอ่ ประชากร นา้ สภาพดินฟา้ อากศ แสงสว่าง อณุ หภูมิ ความช้นื อาหาร ความเปน็ กรด - เบส แหลง่ ทอ่ี ยู่ แกส๊ ออกซิเจน โรคระบาด สารพิษ พฤตกิ รรมระหว่างประชากรด้วยกันเอง

หนว่ ยที่ ระบบนิเวศ ใบงานเรอื่ ง ระบบนเิ วศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1 สาระ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ชือ่ -นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท.ี่ .......... คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ใี ห้ถกู ต้อง และนาขอ้ ความท่ีกาหนดให้เตมิ ลงในแผนภาพใหส้ มบูรณ์ 1.ระบบนิเวศ หมายถึง ระบบทก่ี ล่มุ สงิ่ มชี วี ิตในแหลง่ ทีอ่ ยเู่ ดียวกันมคี วามสมั พันธซ์ ่ึงกนั และกนั มคี วามสัมพนั ธก์ บั ส่ิงไมม่ ีชีวติ ในแหล่งทอ่ี ยู่นน้ั และมีการถา่ ยทอดพลังงานและการหมุนเวียนของสารเกิดขึ้นในระบบดว้ ย 2.ระบบนิเวศประกอบด้วย กลุ่มส่งิ มีชีวติ และ แหล่งทอ่ี ยู่ 3.ระบบนเิ วศขนาดใหญ่ท่ีรวมระบบนิเวศทงั้ หมดในโลก เรยี กวา่ โลกของสิ่งมีชวี ติ หรือ ชวี ภาค (Biosphere) 4.ระบบนเิ วศขนาดใหญแ่ บง่ เป็น 4 ชนิด ไดแ้ ก่ ระบบนิเวศแหล่งนา้ จืด ระบบนเิ วศทะเล ระบบนเิ วศป่าชายเลน และระบบนิเวศป่าไม้ 5.องค์ประกอบสาคญั ในระบบนิเวศมี 2 สว่ น คอื 1. องคป์ ระกอบท่ีไม่มชี ีวิตหรอื องคป์ ระกอบทางกายภาพ ไดแ้ ก่ นา้ ดิน แสงสวา่ ง อณุ หภมู ิ อากาศ ความเปน็ กรด-เบส 2. องค์ประกอบที่มชี ีวติ หรอื ชวี ภาพ ได้แก่ คน สัตวพ์ ืช จุลินทรีย์ 6.สิ่งมชี วี ติ ในระบบนเิ วศแบ่งเป็น 3 ชนดิ ได้แก่ ผผู้ ลติ (Producer) ผู้บรโิ ภค(Consumer) และผู้ย่อยสลาย (Decomposer) 7.จงอธิบายความหมายของคาต่อไปน้ี 7.1 ผูผ้ ลติ (Producer) สง่ิ มีชวี ติ ทส่ี ามารถสร้างอาหารได้เองตามธรรมชาตโิ ดยกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง 7.2 ผู้บริโภค(Consumer) สิ่งมชี ีวิตท่ีสรา้ งอาหารเองไมไ่ ดจ้ าเปน็ ตอ้ งกนิ ผู้ผลติ หรือผบู้ รโิ ภคด้วยกันเองได้แกค่ นและ สตั วต์ ่างๆ 7.3 และผู้ยอ่ ยสลาย(Decomposer) สิง่ มชี วี ิตที่ทาหนา้ ทีย่ ่อยสลายซากพืชซากสัตวใ์ หเ้ น่าเป่อื ยผพุ ังกลายเป็นแรธ่ าตตุ า่ งๆ ลงสดู่ นิ และน้า 8.นาข้อความท่ีกาหนดให้เติมลงในแผนภาพให้สมบรู ณ์ H2O / C6H12O6 / O2 / CO2 CO2 H2O แสงสว่าง C6H12O6 O2 H2O คลอโรฟิลล์ 9.แผนภาพดา้ นบน คือ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง 9.1 CO2 คอื แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 9.2 H2O คือ น้า 9.3 C6H12O6 คอื นา้ ตาลกลโู คส 9.4 O2 คือ แกส๊ ออกซิเจน 10.ต้นหมอ้ ขา้ วหม้อแกงลงิ กาบหอยแครง และสาหร่ายข้าวเหนยี ว มบี ทบาทใดในระบบนิเวศ จดั เปน็ ผผู้ ลิต (Producer)

หน่วยที่ ระบบนเิ วศ ใบงานเรอ่ื ง การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/2-4 สาระ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท.ี่ .......... คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นใช้ภาพตอ่ ไปนีป้ ระกอบการตอบคาถามข้อ 1-5 1.ความสมั พนั ธใ์ นภาพเรียกวา่ สายใยอาหาร (Food We) 2.จงเขยี นโซ่อาหารแสดงการถ่ายทอดพลังงานทุกโซ่อาหาร หญา้ หนู งู หมาป่า เหยย่ี ว หญา้ กระต่าย งู หมา เหย่ียว หญา้ กระตา่ ย หมาป่า เหยี่ยว หญ้า หนอน นก เหย่ียว หญา้ ตัก๊ แตน แมงมุม นก เหย่ยี ว หญ้า ตกั๊ แตน แมงมุม กบ เหยีย่ ว 3.ผู้บริโภคลาดบั ท่ี 2 ได้แก่ งู หมาปา่ นก แมงมุม 4.ถา้ พืชและสัตวต์ ายลงพลังงานจะถ่ายทอดใหก้ บั ผยู้ อ่ ยสลายอินทรยี สาร (Decomposer) ซ่งึ ไดแ้ ก่ แบคทีเรีย เห็ด รา 5. ให้นกั เรียนเลอื กโซอ่ าหารจากขอ้ 2 มา 1 โซ่อาหาร แลว้ นามาเขยี นแผนภาพพีระมดิ พลงั งาน แผนภาพพีระมดิ พลงั งาน โซอ่ าหาร หญ้า ตกั๊ แตน แมงมุม นก เหย่ียว

หน่วยที่ ระบบนเิ วศ ใบงานเรอื่ ง การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนิเวศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชีวภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/2-4 สาระ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ ชื่อ-นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท.่ี .......... ตอนท่ี 1 ให้นักเรียนนาคาหรอื ข้อความที่กาหนดให้ เติมลงหน้าข้อความท่มี ีความสัมพนั ธ์กัน ภาวะการไดป้ ระโยชน์ร่วมกัน / ภาวะพึ่งพากนั / ภาวะองิ อาศัย ภาวะมกี ารแขง่ ขัน / ภาวะปรสิต / การลา่ เหยื่อ 1.นกทารงั บนต้นไม้ 2.ไลเคน (Lichen) (รากบั สาหรา่ ย) 3.มดดากับเพลี้ย 4.โพรโทซวั ในลาไส้ปลวก 5.ตน้ ไม้ชนดิ ต่างๆขน้ึ บรเิ วณเดียวกัน 6.กาฝากกบั ต้นไม้ 7.ปลาฉลามกบั เหาฉลาม 8.สิงโตกนิ ม้าลาย 9.แบคทเี รียไรโซเบียมในปมรากพชื ตระกลู ถ่ัว 10.ปูเสฉวนกบั ดอกไม้ทะเล 11.ปลาใหญ่กนิ ปลาเลก็ 12.นกเอยี้ งกับควาย ตอนที่ 2 จงเตมิ เคร่อื งหมายแสดงความสมั พันธข์ องสิ่งมชี ีวติ และยกตัวอย่างส่ิงมีชวี ติ ท่ีมคี วามสมั พนั ธต์ ามท่กี าหนดให้ (กาหนดให้ + แทนการไดป้ ระโยชน์ , - แทนการเสียประโยชน์ , 0 แทนการไม่ไดไ้ ม่เสียประโยชน์) ลกั ษณะการอยูร่ ่วมกัน เมื่ออยู่ร่วมกัน ตัวอยา่ งสิ่งมีชวี ติ การล่าเหยอื่ สิ่งมชี วี ติ ชนิดที่ 1 ส่งิ มชี ีวติ ชนิดท่ี 2 สิงโตกบั ม้าลาย ภาวะปรสิต + - เหบ็ กบั สุนขั ภาวะอิงอาศยั + - กลว้ ยไม้กับตน้ ไมใ้ หญ่ ภาวะพ่งึ พากัน + 0 ไลเคน (รากับสาหร่าย) ภาวะมกี ารแข่งขนั + + หอยเชอร่ีและหอยโขง่ พนั ธุ์ พนื้ เมอื งของไทย ภาวะการได้ประโยชน์ร่วมกนั -- + + นกเอย้ี งกับควาย

หนว่ ยที่ ระบบนเิ วศ ใบงานเร่อื ง การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/5-6 สาระ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท.ี่ .......... คาช้ีแจง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ต้อง 1.แนวปฏบิ ตั ิการจัดการกบั ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมท่นี ิยมนามาใช้เพอ่ื สรา้ งจติ สานกึ แกป่ ระชาชนโดยสากล คือใชห้ ลกั 7 R ซ่ึงได้แก่ 1.1 REUSE คอื การรูจ้ ักหมุนเวยี นนาสง่ิ ของทีใ่ ช้แล้วกลบั มาใช้ใหมใ่ หเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ 1.2 REDUCE คอื การรูจ้ ักทะนุถนอมบารุงรกั ษาสิ่งท่ีใช้อยู่ให้อายุคงทนท่ีสุด 1.3 REVENAL คือ การรจู้ ักตอ่ เตมิ ตกแต่งส่ิงที่มีอยู่ให้ใช้ประโยชนไ์ ดม้ ากข้ึน 1.4 RECOVERY คอื การรจู้ ักรกั ษาทรพั ยากรและสิ่งแวดลอ้ มให้พักฟน้ื ก่อนจะสูญหายและใช้ประโยชน์ต่อ 1.5 RECYCLE คือ การรจู้ กั หมุนเวยี นนาส่ิงของทีท่ ิ้งกลับมาผา่ นกระบวนการใหม่และนาไปใชป้ ระโยชน์ 1.6 REPAIR คอื การรูจ้ ักซอ่ มแซมฟน้ื ฟสู ง่ิ ของทส่ี กึ หรอใหส้ ามารถใชป้ ระโยชน์ไดอ้ กี 1.7 REJECT คือ การรู้จักปฏเิ สธหรืองดการใชส้ ิง่ ของที่ทาลายและสร้างมลพษิ ใหก้ ับสงิ่ แวดลอ้ ม 2.นักเรยี นมีความคดิ เห็นอย่างไรกับการนาสตั ว์ปา่ บางชนดิ มาเปน็ อาหารหรือนามาเลี้ยง การนาสตั วป์ า่ มาเป็นอาหารมีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ซ่งึ สัตว์ป่าหลายชนิดกไ็ ดพ้ ัฒนาจนกระทัง่ กลายเป็นเลี้ยงไป สัตว์ ปา่ หลายชนิดตามธรรมชาติคนกย็ งั นยิ มใช้เนอ้ื เป็นอาหารอยู่ เชน่ หมปู า่ เกง้ กวาง กระจง กระทิง นกเขาเปล้า นกเปด็ น้า ตะกวด แย้ เปน็ ตน้ อวัยวะของสตั ว์ป่าบางอยา่ ง เชน่ นอแรด กระโหลก เลียงผา เขากวางออ่ น เลอื ด และกระเพาะคา่ ง ดขี องหมี ดงี เู ห่า กย็ ังมีผู้นยิ มดดั แปลงเปน็ อาหาร หรือใชเ้ ปน็ เครอื่ งยาสมุนไพรอีกด้วย (คาตอบ ตามความคดิ เหน็ ของนักเรยี น) 3.กจิ กรรมใดบ้างทมี่ ีวตั ถุประสงค์เพอื่ การอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ 3.1กิจกรรมในโรงเรียน การเขา้ คา่ ยอนุรกั ษ์สง่ิ แวดล้อม การปลูกปา่ ชายเลน 3.2กจิ กรรมในทอ้ งถ่ินหรือระดบั ประเทศ การรณรงคใ์ ห้ใชถ้ งุ ผา้ แทนถุงพลาสตกิ 4.จงอธบิ ายการเกดิ การเนา่ เสียของแหลง่ น้า ในหวั ขอ้ ต่อไปนี้ 4.1สาเหตุ เนอื่ งจากมกี ารทิ้งขยะลงในแหล่งน้า ปล่อยนา้ เสียจากบา้ นเรือนลงสแู่ หลง่ น้า 4.2ผลกระทบตอ่ คนในชุมชน นา้ ส่งกล่นิ เหม็น คนในชุมชนขาดแคลนนา้ สาหรบั อปุ โภค บริโภค 4.3วธิ ีการป้องกนั /วธิ กี ารแก้ปญั หา ทุกคนทอี่ าศยั อยู่ในชุมชนต้องมคี วามตระหนกั ในการดแู ลรกั ษาแหลง่ นา้ สรา้ ง จิตสานึกใหค้ นในชมุ ชนช่วยกนั ดแู ลรักษาแหลง่ นา้ ไมท่ ้ิงขยะหรอื ปล่อยน้าเสียลงสูแ่ หลง่ น้าในชุมชน 5.นักเรียนมีแนวทางในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมที่ย่งั ยืนอย่างไรบา้ ง จงอธบิ าย ทาให้ทรพั ยากรธรรมชาตมิ ปี ริมาณเพิ่มขึน้ และเพิม่ คณุ ภาพรวมท้ังใชท้ รัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สงู สุด การรกั ษา ทรพั ยากรธรรมชาติใหอ้ ย่ใู นสภาพเดิม เช่น ทาใหเ้ ป็นพน้ื ท่ีพกั ผ่อนหยอ่ นใจ เป็นประโยชน์และมีคุณคา่ ทางนเิ วศวิทยา การเลอื กใช้ส่ิงแวดลอ้ มไดอ้ ยา่ งคุม้ คา่ ควบค่ไู ปกบั การพัฒนาทาใหเ้ กิดความสมดลุ ของทรัพยากรธรรมชาติและเป็นการ จัดการกับทรัพยากรธรรมชาติให้มีพอใชใ้ นอนาคตให้ยง่ั ยืนตอ่ ไป ไดแ้ ก่ การอนุรักษป์ ่าไม้ การอนรุ กั ษน์ า้ การ อนรุ ักษด์ นิ และการอนุรักษส์ ตั ว์ปา่

แบบฝกึ หดั ทา้ ยหน่วย เรอ่ื ง ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชวี ภาพ คาช้แี จง ใหน้ กั เรียนเลอื กขอ้ ท่ีถกู ต้องทีส่ ุด 1.ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมชี ีวิตในระบบนิเวศ ภาวะใดมี 6.ขอ้ ใดเปน็ ผลของปัจจยั ชวี ภาพท่ีมตี อ่ จานวนประชากรของ บทบาทในการควบคมุ สมดุลของจานวนประชากรสิ่งมีชวี ิต สงิ่ มชี ีวติ ตามธรรมชาติมากท่ีสดุ ก.ดินถล่ม ข.น้าทว่ ม ก.ภาวะการลา่ เหยื่อ ค.การอพยพเข้า ง.ไฟไหม้ปา่ ข.ภาวะการไดป้ ระโยชน์ร่วมกัน 7.การหมักขยะอนิ ทรีย์ในที่ทมี่ ีปรมิ าณออกซิเจนต่าหรือไมม่ ี ค.ภาวะองิ อาศยั เลย จะได้แกส๊ ชนดิ ใดมากทส่ี ดุ ง.ภาวะพง่ึ พากนั ก.แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ 2.ความสมั พนั ธ์ในข้อใดถูกต้อง ข.แกส๊ มีเทน ก.มดดากับเพลยี้ -ภาวะปรสติ ค.แกส๊ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ข.เหาฉลามกบั ปลาฉลาม-ภาวะพง่ึ พากนั ง.แกส๊ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ค.แบคทีเรียในลาไสใ้ หญ่-ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน 8.ปัจจยั ทางกายภาพทม่ี ีอิทธิพลตอ่ การอพยพยา้ ยถิ่นของ ง.ผีเสื้อกับดอกไม-้ ภาวะเก้ือกลู กัน สัตว์มากที่สดุ คอื ขอ้ ใด 3.ปรมิ าณพลงั งานท่ถี ่ายทอดไปตามโซ่อาหารลดลงเรอ่ื ย ๆ ก.แสง ข.อุณหภมู ิ เนอื่ งจากสาเหตใุ ด ค.ความช้นื ง.ชนิดของอาหาร ก.ผู้บรโิ ภคไม่สามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากอาหารทก่ี นิ เขา้ ไปได้ 9.วฏั จักรของสารในข้อใดไมม่ ีการหมนุ เวียนสบู่ รรยากาศ ทัง้ หมด ก.วัฏจักรคารบ์ อน ข.อาหารท่ผี บู้ ริโภคกนิ เข้าไปถูกเปลี่ยนเป็นพลงั งานความ ข.วฏั จกั รฟอสฟอรสั รอ้ นจนหมด ค.วฏั จักรน้า ค.ผบู้ รโิ ภคพชื และผู้บริโภคสตั ว์เปล่ียนเป็นพลังงานไม่ ง.วัฏจกั รไนโตรเจน เท่ากัน 10.แบคทเี รยี ในปมรากถั่ว มหี นา้ ทีอ่ ย่างไรในวฏั จักร ง.ขณะทถ่ี ่ายทอดพลังงานจากผบู้ ริโภคสู่ผ้บู ริโภคอกี อันดับ ไนโตรเจน หน่งึ มกี ารสญู เสยี พลังงาน ก.เปลี่ยนเกลือแอมโมเนียมเป็นไนไตรต์ 4.บริเวณใดพบจานวนชนดิ ของส่งิ มีชวี ติ ต่อพ้นื ท่มี ากท่สี ดุ ข.เปลีย่ นไนไตร์เป็นไนเตรตสะสมในดิน ก.หุบเขา ข.ปา่ ดบิ ชื้น ค.ตรงึ ไนโตรเจนในดินให้เปล่ียนเปน็ สารประกอบ ค.ทุง่ หญ้า ง.ปา่ ชายเลน ไนเตรต 5.การเพ่ิมจานวนของสัตวใ์ นข้อใดมผี ลตอ่ การลดแกส๊ ง.ตรงึ ไนโตรเจนในอากาศมาเปน็ สารประกอบไนเตรตใน คารบ์ อนไดออกไซด์ในบรรยากาศมากทส่ี ดุ รากถว่ั ก.ปะการงั ข.ดาวทะเล ค.ปลิงทะเล ง.เมน่ ทะเล

มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชีว้ ัด กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พันธ์ระหวา่ งสง่ิ ไมม่ ชี วี ิตกับสิ่งมชี ีวิต และ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี วี ิตกับส่ิงมีชีวิตต่างๆ ในระบบนเิ วศการถา่ ยทอดพลงั งาน การเปล่ียนแปลงแทนทีใ่ นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบทมี่ ีต่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมแนวทางในการอนรุ ักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาสงิ่ แวดล้อมรวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตวั ช้ีวัด ว 1.1 ม.3/1 อธิบายปฏิสัมพันธข์ ององคป์ ระกอบของระบบนเิ วศท่ีได้จากการสารวจ ว 1.1 ม.3/2 อธบิ ายรปู แบบความสัมพันธร์ ะหว่างส่ิงมชี วี ติ กับส่งิ มชี ีวิตรปู แบบต่างๆ ในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ทไี่ ด้จากการสารวจ ว 1.1 ม.3/3 สร้างแบบจาลองในการอธิบายการถ่ายทอดพลงั งานในสายใยอาหาร ว 1.1 ม.3/4 อธบิ ายความสมั พนั ธ์ของผผู้ ลติ ผูบ้ ริโภค และผยู้ อ่ ยสลายสารอนิ ทรยี ใ์ นระบบนเิ วศ ว 1.1 ม.3/5 อธิบายการสะสมสารพิษในสง่ิ มชี วี ติ ในโซอ่ าหาร ว 1.1 ม.3/6 ตระหนกั ถงึ ความสัมพันธข์ องส่ิงมีชีวติ และสง่ิ แวดล้อมในระบบนเิ วศ โดยไมท่ าลายสมดุลของระบบนิเวศ มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสาคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมสารพนั ธุกรรม การ เปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมท่มี ีผลต่อสิง่ มชี ีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ัฒนาการของสิง่ มีชวี ติ รวมทัง้ นาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ตัวชว้ี ัด ว 1.3 ม.3/1 อธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหว่าง ยนี ดีเอน็ เอ และโครโมโซม โดยใช้แบบจาลอง ว 1.3 ม.3/2 อธิบายการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณาลกั ษณะเดียวที่แอลลีลเด่น ขม่ แอลลีลดอ้ ยอย่างสมบรู ณ์ ว 1.3 ม.3/3 อธบิ ายการเกดิ จโี นไทปแ์ ละฟโี นไทป์ของลกู และคานวณอัตราสว่ นการเกดิ จีโนไทป์ และฟีโนไทปข์ องรุ่นลูก ว 1.3 ม.3/4 อธิบายความแตกต่างของการแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ และไมโอซสิ ว 1.3 ม.3/5 บอกไดว้ ่าการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซมอาจทาใหเ้ กิดโรคทางพันธุกรรม พรอ้ มทง้ั ยกตัวอยา่ ง โรคทางพันธกุ รรม ว 1.3 ม.3/6 ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องความรูเ้ รื่องโรคทางพันธุกรรม โดยร้วู ่ากอ่ นแตง่ งานควรปรกึ ษาแพทย์เพือ่ ตรวจ และวินิจฉัยภาวะเสีย่ งของลูกท่อี าจเกดิ โรคทางพันธุกรรม ว 1.3 ม.3/7 อธิบายการใชป้ ระโยชน์จากสิ่งมีชีวติ ดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบที่อาจมีตอ่ มนษุ ย์และสิ่งแวดล้อม โดยใช้ข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ ว 1.3 ม.3/8 ตระหนกั ถึงประโยชนแ์ ละผลกระทบของสิง่ มีชวี ิตดดั แปรพนั ธุกรรมท่ีอาจมีต่อมนุษยแ์ ละส่งิ แวดล้อมโดยการ เผยแพร่ความรู้ทไ่ี ด้จากการโต้แย้งทางวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งมขี ้อมูลสนบั สนนุ ว 1.3 ม.3/9 เปรียบเทยี บความหลากหลายทางชวี ภาพในระดบั ชนดิ สงิ่ มีชวี ิตในระบบนิเวศตา่ งๆ ว 1.3 ม.3/10 อธิบายความสาคญั ของความหลากหลายทางชีวภาพทีม่ ีตอ่ การรกั ษาสมดลุ ของระบบนิเวศและต่อมนษุ ย์ ว 1.3 ม.3/11 แสดงความตระหนักในคุณคา่ และความสาคัญของความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยมีส่วนร่วมในการดูแล รกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพ

มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสสารกบั โครงสร้างและ แรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการ เกิดปฏกิ ิริยาเคมี ตัวช้ีวดั ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบตั ิทางกายภาพและการใชป้ ระโยชนว์ ัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวัสดุผสมโดย ใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ และสารสนเทศ ว 2.1 ม.3/2 ตระหนกั ถึงคุณค่าของการใชว้ สั ดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวสั ดุผสม โดยเสนอแนะแนว ทางการใช้วัสดอุ ย่างประหยัดและคุ้มคา่ ว 2.1 ม.3/3 อธบิ ายการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัวใหมข่ องอะตอมเม่ือเกดิ ปฏิกิริยาเคมโี ดยใช้ แบบจาลองและสมการขอ้ ความ ว 2.1 ม.3/4 อธบิ ายกฎทรงมวล โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ว 2.1 ม.3/5 วเิ คราะหป์ ฏิกิรยิ าดดู ความร้อน และปฏิกิริยาคายความรอ้ น จากการเปลีย่ นแปลงพลงั งาน ความรอ้ นของปฏกิ ิรยิ า ว 2.1 ม.3/6 อธบิ ายปฏกิ ิริยาการเกดิ สนิมของเหล็ก ปฏิกริ ยิ าของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส และปฏิกิริยาของเบสกบั โลหะ โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ และอธิบายปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ การเกดิ ฝนกรด การสังเคราะหด์ ้วยแสง โดยใชส้ ารสนเทศ รวมทง้ั เขียนสมการขอ้ ความแสดง ปฏกิ ริ ยิ าดังกลา่ ว ว 2.1 ม.3/7 ระบปุ ระโยชน์และโทษของปฏกิ ิรยิ าเคมที ่มี ตี อ่ ส่ิงมีชีวติ และสิ่งแวดล้อม และยกตัวอย่างวิธีการ ปอ้ งกันและแก้ปญั หาทีเ่ กิดจากปฏกิ ริ ยิ าเคมีทีพ่ บในชวี ิตประจาวนั จากการสบื คน้ ข้อมูล ว 2.1 ม.3/8 ออกแบบวธิ แี ก้ปญั หาในชวี ิตประจาวนั โดยใชค้ วามรู้เกี่ยวกบั ปฏิกิริยาเคมีโดยบูรณาการ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตรเ์ ทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงและการถา่ ยโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งสสารและ พลังงานพลงั งานในชีวิตประจาวนั ธรรมชาติของคลืน่ ปรากฏการณ์ ทีเ่ ก่ียวข้องกบั เสียง แสง และคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมท้ังนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วดั ว 2.3 ม.3/1 วเิ คราะหค์ วามสมั พันธร์ ะหว่างความต่างศักยก์ ระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และคานวณปรมิ าณที่ เกย่ี วขอ้ งโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ว 2.3 ม.3/2 เขียนกราฟความสมั พันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟา้ และความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ว 2.3 ม.3/3 ใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์ แอมมิเตอรใ์ นการวดั ปรมิ าณทางไฟฟ้า ว 2.3 ม.3/4 วิเคราะหค์ วามตา่ งศกั ยไ์ ฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้าเม่ือต่อตวั ตา้ นทานหลายตัวแบบอนุกรมและ แบบขนานจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ว 2.3 ม.3/5 เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการตอ่ ตัวต้านทานแบบอนุกรมและขนาน ว 2.3 ม.3/6 บรรยายการทางานของชน้ิ สว่ นอิเล็กทรอนกิ ส์อยา่ งง่ายในวงจรจากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ ว 2.3 ม.3/7 เขยี นแผนภาพและตอ่ ชนิ้ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกส์อยา่ งงา่ ยในวงจรไฟฟ้า

มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชีว้ ัด กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ว 2.3 ม.3/8 อธิบายและคานวณพลงั งานไฟฟ้าโดยใชส้ มการ W = Pt รวมทัง้ คานวณค่าไฟฟา้ ของเคร่อื งใช้ไฟฟา้ ในบา้ น ว 2.3 ม.3/9 ตระหนกั ในคณุ ค่าของการเลอื กใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟา้ โดยนาเสนอวธิ กี ารใช้เคร่อื งใช้ไฟฟ้า อยา่ งประหยดั และปลอดภัย ว 2.3 ม.3/10 สรา้ งแบบจาลองท่อี ธบิ ายการเกิดคลน่ื และบรรยายสว่ นประกอบของคลนื่ ว 2.3 ม.3/11 อธิบายคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ และสเปกตรมั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ ว 2.3 ม.3/12 ตระหนกั ถงึ ประโยชน์และอันตรายจากคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ โดยนาเสนอการใช้ประโยชนใ์ นด้านตา่ งๆ และ อันตรายจากคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในชีวติ ประจาวนั ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการทดลองและดาเนินการทดลองดว้ ยวิธที ่ีเหมาะสมในการอธิบายกฎการสะท้อนของแสง ว 2.3 ม.3/14 เขียนแผนภาพการเคลอ่ื นทข่ี องแสง แสดงการเกดิ ภาพจากกระจกเงา ว 2.3 ม.3/15 อธบิ ายการหกั เหของแสงเมอ่ื ผ่านตัวกลางโปร่งใสที่แตกต่างกัน และอธิบายการกระจายแสงของแสงขาว เม่ือผ่านปรซิ ึมจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ว 2.3 ม.3/16 เขียนแผนภาพการเคลอ่ื นท่ขี องแสงแสดงการเกิดภาพจากเลนส์บาง ว 2.3 ม.3/17 อธบิ ายปรากฏการณ์ท่เี กี่ยวกบั แสง และการทางานของทศั นอุปกรณ์จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ว 2.3 ม.3/18 เขยี นแผนภาพการเคลือ่ นท่ีของแสง แสดงการเกดิ ภาพของทศั นอปุ กรณแ์ ละเลนส์ตา ว 2.3 ม.3/19 อธบิ ายผลของความสว่างที่มตี อ่ ดวงตาจากขอ้ มูลที่ได้จากการสบื ค้น ว 2.3 ม.3/20 วดั ความสวา่ งของแสงโดยใชอ้ ปุ กรณ์วดั ความสว่างของแสง ว 2.3 ม.3/21 ตระหนักในคณุ คา่ ของความรเู้ รอ่ื ง ความสวา่ งของแสงท่ีมีตอ่ ดวงตา โดยวิเคราะห์สถานการณป์ ัญหาและ เสนอแนะการจดั ความสว่างใหเ้ หมาะสมในการทากจิ กรรมตา่ งๆ สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสรุ ยิ ะ รวมทัง้ ปฏิสมั พันธภ์ ายในระบบสรุ ิยะที่สง่ ผลตอ่ สิ่งมีชีวิต และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ ตัวช้วี ัด ว 3.1 ม.3/1 อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ดว้ ยแรงโน้มถว่ งจากสมการ F = (Gm1m2)/r2 ว 3.1 ม.3/2 สรา้ งแบบจาลองทอี่ ธิบายการเกดิ ฤดู และการเคลอ่ื นทปี่ รากฏของดวงอาทิตย์ ว 3.1 ม.3/3 สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิดขา้ งข้ึนขา้ งแรม การเปลี่ยนแปลงเวลาการขึ้นและตกของดวงจันทร์ และ การเกดิ นา้ ข้ึนน้าลง ว 3.1 ม.3/4 อธบิ ายการใชป้ ระโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศและยกตัวอยา่ งความกา้ วหน้าของโครงการสารวจอวกาศ จาก ข้อมูลท่ีรวบรวมได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook