Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โลก-Earth

โลก-Earth

Published by annyy1035, 2019-08-24 23:10:56

Description: โลก-Earth

Search

Read the Text Version

โลก Earth โลก (อังกฤษ: Earth) เปน็ ดาวเคราะห์ลาดับทสี่ ามจากดวงอาทติ ย์ และเป็นวัตถทุ างดาราศาสตรเ์ พียงหนง่ึ เดียวที่ทราบวา่ มสี งิ่ มีชวี ิต จากการวัดอายุด้วยกัมมนั ตรงั สี และแหลง่ หลักฐานอนื่ ได้ความว่าโลกกาเนดิ เม่ือประมาณ 4,500 ล้านปีก่อนโลกมอี ันตรกิรยิ ะเชงิ โนม้ ถ่วงกบั วัตถุอ่นื ในอวกาศโดยเฉพาะดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซ่ึง เปน็ ดาวบริวารถาวรหนึง่ เดียวของโลก โลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์ใชเ้ วลา 365.26 วัน เรียกว่า ปี ซงึ่ ระหว่างนัน้ โลกโคจรรอบแกนตวั เองประมาณ 366.26 รอบ[n 4]แกน หมนุ ของโลกเอียงทาให้เกิดฤดกู าลตา่ ง ๆ บนผิวโลกอันตรกิริยาความโน้มถว่ งระหว่างโลกกับดวงจันทร์ก่อให้เกิดน้าข้นึ ลงมหาสมทุ ร ทาใหก้ ารหมุนบนแกนของโลกมี เสถียรภาพ และค่อย ๆ ชะลอการหมุนของโลกเปน็ ดาวเคราะห์ที่มคี วามหนาแนน่ สูงสดุ ในระบบสรุ ิยะและใหญ่สดุ ในดาวเคราะห์คล้ายโลก 4 ดวงธรณีภาคของโลก แบง่ ออกไดเ้ ป็นหลาย ๆ สว่ น เรียกว่าแผน่ ธรณภี าค ซง่ึ ย้ายทต่ี ัดผ่านพื้นผวิ ตลอดเวลาหลายล้านปี ร้อยละ 71 ของพ้ืนผิวโลกปกคลมุ ด้วยน้า ซง่ึ สว่ นใหญ่เป็น มหาสมุทรอกี ร้อยละ 29 ที่เหลอื เป็นแผน่ ดินประกอบด้วยทวีปและเกาะซงึ่ มที ะเลสาบ แมน่ ้าและแหลง่ นา้ อน่ื จานวนมากกอปรเป็นอทุ กภาค บริเวณขว้ั โลกท้ังสองปก คลมุ ดว้ ยน้าแข็งเป็นส่วนใหญ่ ได้แกแ่ ผน่ น้าแขง็ แอนตาร์กติก และน้าแข็งทะเลของแพน้าแขง็ ข้วั โลก บรเิ วณภายในของโลกยังคงมคี วามเคล่ือนไหวโดยมแี ก่นชัน้ ในซง่ึ เป็นเหล็กในสถานะของแขง็ มแี กน่ เหลวชน้ั นอกซ่ึงกาเนดิ สนามแมเ่ หล็ก และช้นั แมนเทลิ พาความร้อนทขี่ ับเคล่ือนการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคภายในพนั ลา้ นปแี รก ส่ิงมชี วี ิตปรากฏขนึ้ ในมหาสมทุ รและเร่ิมสง่ ผลกระทบต่อช้ันบรรยากาศและผวิ ดาว เก้ือหนุนให้เกดิ การแพร่ขยายของสง่ิ มีชวี ิตทใี่ ช้ออกซเิ จนเช่นเดียวกบั สิง่ มีชวี ิตทีไ่ ม่ ใชอ้ อกซิเจน หลกั ฐานธรณีวิทยาบางสว่ นช้วี ่าชีวิตอาจกาเนดิ ขึ้นเรว็ สุด 4.1 พนั ล้านปีก่อน นบั แตน่ นั้ ตาแหน่งของโลกในระบบสรุ ยิ ะ คณุ สมบัติทางกายภาพของโลก และประวัติศาสตร์ธรณีวทิ ยาของโลกประกอบกันทาให้ส่ิงมีชีวิตววิ ฒั นาการและแพร่พนั ธ์ุ

ศพั ทมลู วิทยา คาวา่ โลก ในภาษาไทยมที ีม่ าจากคาในภาษาบาลี โลก (โล-กะ) คนไทยใช้คานีเ้ รยี กโลกต้งั แตเ่ ม่ือใดน้ันไม่ปรากฏหลกั ฐานแน่ชัด แตค่ าดว่าน่าจะไดร้ บั อิทธิพลสืบทอด ผา่ นมาทางพระพุทธศาสนา เดมิ น้นั คาวา่ โลกไมไ่ ดห้ มายความเฉพาะเพียงแต่โลกท่เี ปน็ วัตถธุ าตุ แต่ใช้ในหลายความหมาย ได้แก่ \"หมู่\" \"เหล่า\" \"ขอบเขต\" \"ทัง้ หมดใน ขอบเขต\" \"ขอบเขตอาศยั \" \"ความเป็นไป\" \"ความเป็นอยู่\"หากกล่าวถึงโลกทั้ง ๓ กจ็ ะหมายถึง สังขารโลก (โลกคือสังขาร) สัตว์โลก (โลกคือหมู่สตั ว์) และโอกาสโลก (โลกคือแผ่นดิน)[41] ปจั จุบันมีการใชค้ าวา่ โลกในความหมายเกย่ี วข้องกบั มนุษย์ หรืออารยธรรมมนุษย์(ซ่ึงตรงกับคาว่า World ในภาษาอังกฤษ) นอกเหนือจาก ความหมายดาวเคราะห์ท่ีนิยมใชท้ ่วั ไปคาว่าโลกในภาษาตา่ งประเทศ องั กฤษร่วมสมยั ใชค้ าว่า Earth พฒั นามาจากรูปแบบภาษาอังกฤษสมัยกลางตา่ ง ๆ กันซึ่งสืบมาจาก คานามในภาษาองั กฤษสมยั เกา่ ทน่ี ยิ มสะกดว่า eorðeมรี ากเดียวกันกบั ทกุ ภาษาในกล่มุ เจอร์แมนิก และโปรโตเจอร์แมนกิ ที่ได้ประกอบเป็น *erþō ตามท่ปี รากฏในสมยั แรก ๆ มีการใชค้ า eorðe เพ่ือแปลความจากคาภาษาลาติน terra และภาษากรกี γῆ (gē) ในความหมาย พน้ื ดินดนิ ผืนดนิ แหง้ โลกมนุษยพ์ นื้ ผวิ ของโลก (รวมท้ังทะเล) ตลอดจนพิภพโลกทั้งมวล[n 10] เชน่ เดียวกนั กบั เทอร์ราและไกอา โลกถือวา่ เปน็ เทพเจ้าตามลทั ธเิ พเกนิ ของชาวเจอร์แมนกิ -ชาวแองเกลิ ตามท่ีแทซทิ ัสไดบ้ นั ทึกไว้ใน บรรดาผู้ศรัทธาในเทพเนอทัสและภายหลงั ตามเทวตานานนอร์ส คือ ยรู ์ด (Jörð) ยักษณิ ซี ง่ึ สมรสกบั โอดินและเปน็ มารดาของทอร์อกี หลายภาษาทม่ี ีความเปน็ มา ใกลเ้ คียงกบั ไทยเชน่ ภาษาลาวกเ็ รียกโลกว่า ໂລກ (โลก) เช่นเดยี วกัน ปจั จุบันเยอรมันใช้คาเรียกโลกคือ Erde (แอร์เดอะ) คลา้ ยกบั ดตั ช์ Aarde (อาร์เดอะ), กลุ่มภาษา โรมานซ์ สเปนใช้คา Tierra (ตีเอร์รา) คล้ายกับอิตาลที ่ใี ช้ Terra (เตร์รา) หรือฝร่งั เศส Terre (แตร์), ภาษาจนี ใช้ 地球 (Dìqiú ต้ีฉวิ ) หรือ 坤輿 (Kūnyú คนุ หยู๋) ญี่ปนุ่ เรยี ก 地球 (Chikyū จิคีว) เกาหลีเรียก 지구 (Jigu ชีก)ู และสนั สกฤตใชค้ า पथृ ्वी (ปฐว)ี ลาดบั เวลา วัตถแุ รกเร่มิ ทส่ี ุดทพ่ี บในระบบสุริยะมีอายยุ ้อนหลังไปถึง 4.5672±0.0006 พันลา้ นปีก่อนโลกยคุ แรกเรม่ิ ถือกาเนิดข้ึนเมื่อ 4.54±0.04 พันล้านปกี ่อนมีการกอ่ กาเนิด และวิวัฒนาการของวัตถุต่าง ๆ ในระบบสุริยะร่วมกับดวงอาทิตย์ ตามทฤษฎแี ล้วเนบิวลาสุริยะแยกส่วนอาณาบรเิ วณหนึ่งออกจากเมฆโมเลกุลโดยการยบุ ตัวจากแรง

โน้มถ่วง ซง่ึ เร่มิ หมุนและแบนลงเป็นจานรอบดาวฤกษ์ จากนัน้ ดาวเคราะหต์ ่าง ๆ เกิดข้ึนจากจานนั้นพรอ้ มกับดวงอาทติ ย์ ในเนบวิ ลาประกอบด้วยกาาซ เม็ดนา้ แขง็ และฝนุ่ (รวมท้ังนวิ ไคลดแ์ รกกาเนดิ ) ตามทฤษฎีเนบวิ ลา พลาเนตติซมิ ลั (planetesimal) หรอื วัตถุแข็งทจ่ี ะก่อกาเนิดดาวเคราะห์ เกิดขึน้ จากการงอกพอกพนู โดยโลก บรรพกาลใช้เวลากอ่ กาเนิด 10–20 ล้านปี ดวงจันทร์กาเนิดข้ึนเม่อื ประมาณ 4.53 พันลา้ นปีก่อนการกาเนดิ ของดวงจนั ทรย์ ังเป็นหวั ข้อการวจิ ยั ในปัจจุบนั สมมติฐานนากลา่ วว่าดวงจันทร์ถือกาเนดิ ขึ้นโดยการ พอกพูนจากวัตถุท่ีหลุดออกจากโลกหลงั จากโลกถกู วัตถุขนาดใหญเ่ ท่าดาวองั คารชื่อวา่ เธยี (Theia) พุง่ เขา้ ชนแบบจาลองน้ีกะว่ามวลของเธียคดิ เปน็ ประมาณรอ้ ยละ 10 ของมวลโลกพุ่งเขา้ ชนโลกในลักษณะแฉลบและมวลบางส่วนรวมเข้ากบั โลกในระหว่างเวลาประมาณ 4.และ 3.8 พันลา้ นปีก่อน ดาวเคราะหน์ ้อยจานวนมากพุ่ง ชนระหว่างการระดมชนหนักครัง้ สุดท้าย ก่อให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงอย่างใหญ่หลวงกับบรเิ วณพน้ื ที่ผิวส่วนใหญ่ของดวงจันทร์รวมทง้ั โลก ประวตั ทิ างธรณีวิทยา บรรยากาศโลกและมหาสมทุ รประกอบข้ึนจากกมั มนั ตภาพภูเขาไฟและกระบวนการปล่อยกา๊ ซ (outgassing) ไอน้าจากสองแหลง่ ดังกลา่ วควบแนน่ เป็นมหาสมทุ ร รวม กบั น้าและน้าแขง็ ที่มากบั ดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะหก์ ่อนเกิด และดาวหางตามแบบจาลองน้ี \"กา๊ ซเรือนกระจก\" ในบรรยากาศช่วยรักษามหาสมทุ รไม่ให้เยอื กแขง็ เม่อื ดวงอาทิตย์ทเ่ี พง่ิ กอ่ กาเนิดยงั มคี วามสวา่ งเพียงร้อยละ 70 เทียบกับปัจจบุ ัน[63] ราว 3.5 พันลา้ นปกี อ่ น เกิดสนามแม่เหล็กโลกซึ่งช่วยปกปอ้ งบรรยากาศไม่ให้ถกู ลม สุริยะพดั พาไปเปลอื กโลกก่อรูปขึ้นเมื่อชนั้ นอกทหี่ ลอมเหลวของโลกเย็นตัวลงจนอยใู่ นสถานะแข็ง มีแบบจาลองสองแบบจาลอง ทีอ่ ธิบายการเกิดขึ้นของแผ่นดินโดย

แบบจาลองหนึ่งเสนอวา่ แผ่นดนิ ค่อย ๆ เกิดขนึ้ จนมรี ูปร่างดงั ในปจั จบุ นั อกี แบบจาลองหน่งึ ซง่ึ อาจเปน็ ไปได้มากกว่า เสนอว่าแผน่ ดินเตบิ โตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ชว่ งแรก ๆ ในประวตั ศิ าสตรโ์ ลกอนั เน่ืองมาจากการดารงอย่มู าต่อเนอื่ งยาวนานของพื้นทส่ี ว่ นทวปี ทวีปต่าง ๆ เกิดขนึ้ โดยการแปรสณั ฐานแผ่นธรณภี าคซึ่งเป็นกระบวนการทีม่ ี สาเหตุจากการสูญเสียความร้อนของบริเวณภายในของโลกอย่างตอ่ เนอื่ ง ตามมาตรเวลากว่าหลายร้อยลา้ นปี มีการรวมมหาทวีปแลว้ แยกออกจากกนั ประมาณ 750 ลา้ น ปีก่อน มหาทวีปแรก ๆ ที่ทราบชือ่ โรดเิ นียเร่ิมแตกออกจากกนั ต่อมาทวปี ท้งั หลายกลบั มารวมกันเป็นมหาทวีปแพนโนเชียเมื่อราว 600–540 ล้านปีกอ่ น และสุดท้ายคอื มหาทวีปแพนเจียซ่งึ กแ็ ยกออกจากกันเม่ือราว 180 ลา้ นปีก่อน รปู แบบปจั จุบันของยคุ น้าแข็งเร่ิมขน้ึ เมอื่ ประมาณ 40 ล้านปีกอ่ นแลว้ ทวคี วามรนุ แรงขึ้นระหว่างสมัยไพลสโตซีนเมื่อราว 3 ลา้ นปกี ่อน ตั้งแต่นน้ั เปน็ ตน้ มาบริเวณ ละติจดู สูง ๆ เผชิญกบั วัฏจกั รการเกิดของธารนา้ แข็งสลับกับการละลายแบบเวยี นซา้ โดยอุบตั ซิ า้ ในทกุ ๆ 40,000–100,000 ปี การเปลยี่ นสภาพโดยธารน้าแข็งของทวีป ครงั้ สดุ ท้ายสิ้นสุดลงเมอื่ ประมาณ 10,000 ปีกอ่ น วิวฒั นาการของสิง่ มีชีวิต ว่าปฏิกิรยิ าเคมพี ลงั งานสงู ทาให้เกดิ โมเลกุลทสี่ ามารถถ่ายแบบตนเองได้เมื่อราวส่ีพันล้านปกี ่อน อีกครง่ึ พนั ล้านปีต่อมา เกดิ บรรพบุรุษรว่ มสุดทา้ ยของสรรพชวี ิต วิวัฒนาการของการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงทาใหบ้ รรดาส่งิ มชี วี ติ สามารถเก็บเกี่ยวพลงั งานจากดวงอาทิตย์ได้โดยตรง ออกซเิ จนในรูปโมเลกุล (O2) ทเี่ กดิ จากการ สงั เคราะห์ด้วยแสงมกี ารสะสมในบรรยากาศ และดว้ ยผลกระทบจากรงั สอี ัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตยจ์ ึงได้กอ่ ชัน้ เกราะโอโซน (O3) ขน้ึ ในบรรยากาศเบ้ืองบน[75] การรวมเซลลข์ นาดเล็กในเซลล์ที่ใหญ่กว่าทาให้เกิดพัฒนาการของเซลลซ์ บั ซอ้ นเรียกว่า ยูแคริโอตสิ่งมชี วี ิตหลายเซลล์ท่แี ทจ้ รงิ เกดิ ขึ้นเม่ือเซลล์ตา่ ง ๆ ภายในโคโลนีมี การแบง่ หน้าทเี่ ฉพาะมากขน้ึ เน่อื งจากชัน้ โอโซนชว่ ยดูดซับรงั สอี ัลตราไวโอเลตอันเป็นอันตรายออกไป สงิ่ มชี วี ติ จึงอยอู่ าศัยไดบ้ นพื้นผวิ โลกหลักฐานทางบรรพชีวิน แรก ๆ ของสงิ่ มชี ีวติ บนโลกคือ ซากดึกดาบรรพผ์ นื จุลชพี ที่พบในหนิ ทรายอายุ 3.48 พันล้านปีในออสเตรเลียตะวันตกแกรไฟตช์ ีวภาพในชน้ั หินตะกอนแปรอายุเก่าแก่

ประมาณ 3.7 พันล้านปคี ้นพบในกรนี แลนด์ตะวนั ตกหลักฐานโดยตรงของส่งิ มีชีวิตบนโลกอย่างแรกอย่ใู นหนิ ออสเตรเลยี อายุ 3.45 พนั ลา้ นปที ่ีแสดงซากดกึ ดาบรรพ์ ของจุลนิ ทรยี ์ระหวา่ งมหายุคนีโอโปรเทอโรโซอิก (750 และ 580 ล้านปีกอ่ น) บริเวณส่วนใหญข่ องโลกถูกนา้ แขง็ ปกคลมุ สมมติฐานนีช้ ่ือ \"โลกก้อนหิมะ\" และมคี วาม นา่ สนใจเปน็ พิเศษเนื่องจากเปน็ เหตุการณท์ เ่ี กดิ ข้ึนก่อนการระเบิดแคมเบรยี น เม่ือส่ิงมีชวี ติ มคี วามซับซ้อนเพิม่ ข้ึนอยา่ งสาคญั นับจากการระเบิดแคมเบรียนราว 535 ล้านปกี ่อน เกดิ การสูญพันธุ์ของสง่ิ มีชวี ติ ครง้ั ใหญ่หา้ ครง้ั เหตกุ ารณ์สญู พนั ธ์ุครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 66 ล้านปีกอ่ นเมื่อการพุ่งชนของดาวเคราะห์นอ้ ยเป็นเหตุใหเ้ กิดการ สูญพันธ์ุของไดโนเสาร์(ท่ีไมใ่ ช่นก)และสัตวเ์ ลื้อยคลานขนาดใหญ่อน่ื แตส่ ัตว์ขนาดเล็กบางส่วนเหลือรอดมาไดเ้ ชน่ สัตวเ์ ลีย้ งลูกดว้ ยนมซึ่งมีลกั ษณะคลา้ ยหนู ตลอด 66 ล้านปีต่อมา สัตว์เลยี้ งลกู ดว้ ยนมได้แตกแขนงออกไปมากมาย และเม่ือหลายล้านปที แ่ี ลว้ สัตว์คลา้ ยลงิ ใหญไ่ ม่มหี างแอฟริกา เช่น Orrorin tugenensis มี ความสามารถยืนด้วยลาตัวตัง้ ตรงทาให้สามารถใช้เครื่องมอื และเก้อื หนุนการส่ือสารระหว่างกนั นามาซึ่งโภชนาการและการกระตุน้ ทจี่ าเปน็ สาหรบั สมองขนาดใหญ่ ข้นึ นาไปสู่วิวฒั นาการของเผ่าพันธมุ์ นุษย์ การพัฒนาเกษตรกรรมและอารยธรรมในเวลาต่อมา ชว่ ยให้มนษุ ยม์ ีอิทธพิ ลต่อโลกและธรรมชาติ และมีจานวนของ ส่งิ มชี วี ติ อื่นซึง่ ยังมีผลมาจนทุกวนั น้ี

อนาคต

อนาคตระยะยาวท่ีคาดหมายของโลกนน้ั เกีย่ วข้องกับอนาคตของดวงอาทิตย์ ความสวา่ งของดวงอาทิตย์จะเพ่มิ ข้ึนอีกร้อยละ 10 ในอกี 1.1 พันล้านปี และรอ้ ยละ 40 เมื่อตลอดเวลา 3.5 พันลา้ นปถี ดั จากนน้ั การเพมิ่ ข้นึ ของอุณหภูมิพ้ืนผิวโลกจะเร่งวฏั จักรคาร์บอนอนินทรยี ์ ลดความเข้มขน้ ของคาร์บอนไดออกไซด์จนพชื ไม่สามารถ ดารงชีวิตอยูไ่ ด้ (10 สว่ นในล้านสว่ นในพืชท่สี ังเคราะหด์ ้วยแสงแบบซี4) ในระยะเวลาประมาณ 500–900 ลา้ นปขี ้างหนา้ การขาดแตลนพืชจะส่งผลกระทบให้ ออกซเิ จนหายไปจากบรรยากาศ ทาให้สัตว์อยู่ไมไ่ ด้คล้อยหลังไปอีกพนั ล้านปีปรมิ าณนา้ ทั้งหมดบนผิวโลกจะสูญสิน้ และอุณหภมู เิ ฉลย่ี ของโลกจะพุง่ ขึ้นไปถงึ 70 องศาเซลเซียสคาดหมายวา่ โลกจะพออยู่อาศัยได้อีกประมาณ 500 ลา้ นปีนับจากจุดนน้ั หรืออาจยืดออกไปถงึ 2.3 พันล้านปีถ้าไนโตรเจนหมดไปจากบรรยากาศแม้วา่ ดวงอาทิตย์จะมอี ายุนริ นั ดร์และมีความเสถยี ร กว่าร้อยละ 27 ของน้าในมหาสมุทรปจั จุบนั กจ็ ะไหลส่เู นอ้ื โลกในเวลาหนึ่งพันลา้ นปี เนื่องจากไอน้าทีป่ ะทุออกมาจาก สนั กลางมหาสมุทรลดลง ดวงอาทิตยจ์ ะววิ ัฒนาการเป็นดาวยกั ษแ์ ดงในราว 5 พนั ลา้ นปขี ้างหน้า แบบจาลองทานายวา่ ดวงอาทิตย์จะขยายตัวออกประมาณ 1 หน่วยดาราศาสตร์ 150,000,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 250 เท่าของรัศมปี ัจจุบันชะตาของโลกนั้นยงั ไม่ชัดเจนนกั เมื่อเป็นดาวยักษ์แดงแล้วดวงอาทิตยจ์ ะสูญเสียมวลไปประมาณร้อย ละ 30 ดังน้นั หากปราศจากผลจากฤทธ์ิไทด์ โลกจะเคล่อื นไปโคจรห่างจากดวงอาทติ ย์ 1.7 หนว่ ยดาราศาสตร์ (250,000,000 กโิ ลเมตร) เม่อื ดาวมรี ัศมมี ากท่ีสุด ส่งิ มีชีวติ ทีย่ ังเหลอื อยเู่ กือบทั้งหมดหรอื ทง้ั หมดกจ็ ะถูกทาลายจากความสว่างท่เี พม่ิ ขึน้ ของดวงอาทิตย์ (เพมิ่ ข้ึนสูงสุดที่ประมาณ 5,000 เทา่ จากระดับปัจจุบนั ) การ จาลองในปี ค.ศ. 2008 ชี้ว่า สุดทา้ ยวงโคจรของโลกจะเส่อื มสลายอันเนื่องมาจากผลจากแรงไทด์ และลากเอาโลกให้ตกเข้าสู่บรรยากาศของดวงอาทิตย์ที่เปน็ ยักษ์ แดงนนั้ แล้วกร็ ะเหยไปจนหมดสนิ้ ลกั ษณะทางกายภาพ รูปร่าง

โลกมีรปู ร่างประมาณทรงคล้ายทรงกลมแบนข้ัว โลกแบนลงบรเิ วณแกนทางภูมศิ สตร์และโปง่ บรเิ วณแถบศูนยส์ ูตรการโปง่ น้เี ป็นผลมาจากการหมนุ รอบตวั เองของโลก เส้นผ่านศนู ย์กลางในแนวศูนย์สตู รยาวกว่าเสน้ ผ่านศูนย์กลางในแนวข้ัวเหนือ-ใต้ราว 43 กิโลเมตรจุดบนพ้นื ผิวโลกท่ีหา่ งจากจดุ ศนู ยก์ ลางมวลของโลกมากท่ีสุดคือ ยอดภเู ขาไฟชิมโบราโซแถบศูนยส์ ูตรในประเทศเอกวาดอร์ภูมปิ ระเทศในแตล่ ะท้องที่มกี ารเบ่ียงเบนไปจากทรงกลมอดุ มคติ แตเ่ มื่อมองในระดับโลกทัง้ ใบการ เบ่ยี งเบนเหล่านกี้ ็ถือว่าเล็กน้อย จุดทถี่ ือวา่ มีความเบ่ยี งเบนท้องถ่ินมากท่ีสุดบนพนื้ ผิวหนิ ของโลกก็คือ ยอดเขาเอเวอรเ์ รสต์ดว้ ยระดับความสงู 8,848 เมตรจาก ระดบั น้าทะเลกลาง คิดเป็นค่าความเบ่ียงเบนร้อยละ 0.14 และรอ่ งลกึ ก้นสมุทรมาเรียนาทรี่ ะดับความลกึ 10,911 เมตรจากระดับนา้ ทะเลกลาง คิดเปน็ คา่ ความ เบ่ยี งเบนร้อยละ 0.17ในวชิ าภูมิมาตรศาสตร์ รูปทรงแทจ้ ริงของมหาสมุทรโลกหากปราศจากแผ่นดินและอทิ ธพิ ลรบกวนอย่างกระแสนา้ และลม เรียก จีออยด์ กลา่ วคือ จีออยด์เป็นผิวสมศักย์ความโนม้ ถ่วง (surface of gravitational equipotential) ทรี่ ะดับทะเลปานกลาง องค์ประกอบทางเคมี โลกมมี วลโดยประมาณ 5.97×1024 กโิ ลกรมั สว่ นมากประกอบข้ึนจากเหล็ก (ร้อยละ 32.1) ออกซิเจน (รอ้ ยละ 30.1) ซลิ กิ อน (ร้อยละ 15.1) แมกนเี ซียม (ร้อยละ 13.9) กามะถัน (รอ้ ยละ 2.9) นกิ เกิล (รอ้ ยละ 1.8) แคลเซียม (ร้อยละ 1.5) และอะลมู ิเนียม (ร้อยละ 1.4) ส่วนทเี่ หลืออกี ร้อยละ 1.2 ประกอบดว้ ยธาตุอ่นื ๆ ใน ปริมาณเลก็ น้อย จากกระบวนการการแยกลาดับชัน้ โดยมวลทาให้เช่ือวา่ บริเวณแกนโลกประกอบขึ้นในข้ันต้นด้วยเหล็กรอ้ ยละ 88.8 มนี กิ เกลิ ในปรมิ าณเล็กน้อยราว

รอ้ ยละ 5.8 กามะถันร้อยละ 4.5 และน้อยกว่ารอ้ ยละ 1 เป็นธาตพุ บน้อยชนดิ อื่นหินที่พบไดท้ ่วั ไปที่เปน็ สว่ นประกอบของเปลือกโลกนน้ั เป็นสารประกอบออกไซด์แทบ ท้งั หมด ส่วนคลอรีน กามะถัน และฟลอู อรีน ถือเปน็ ขอ้ ยกเว้นสาคัญในบรรดาหนิ ทั้งหลายซ่งึ เม่ือรวมปรมิ าณทั้งหมดแล้วมกั จะตา่ กวา่ รอ้ ยละ 1 หินออกไซด์หลักไดแ้ ก่ ซลิ ิกา อลมู นิ าโลกมมี วลโดยประมาณ 5.97×1024 กโิ ลกรัม สว่ นมากประกอบข้ึนจากเหลก็ (ร้อยละ 32.1) ออกซเิ จน (ร้อยละ 30.1) ซิลกิ อน (ร้อยละ 15.1) แมกนีเซยี ม (ร้อยละ 13.9) กามะถนั (ร้อยละ 2.9) นิกเกลิ (รอ้ ยละ 1.8) แคลเซยี ม (ร้อยละ 1.5) และอะลมู ิเนยี ม (ร้อยละ 1.4) สว่ นทเ่ี หลืออกี ร้อยละ 1.2 ประกอบด้วยธาตอุ ืน่ ๆ ในปริมาณเลก็ น้อย จากกระบวนการการแยกลาดับชน้ั โดยมวลทาให้เช่อื ว่าบริเวณแกนโลกประกอบข้ึนในข้นั ต้นดว้ ยเหลก็ ร้อยละ 88.8 มี นกิ เกิลในปริมาณเล็กน้อยราวรอ้ ยละ 5.8 กามะถนั ร้อยละ 4.5 และนอ้ ยกว่าร้อยละ 1 เปน็ ธาตพุ บน้อยชนิดอ่นื หนิ ท่ีพบไดท้ ่วั ไปทเ่ี ป็นส่วนประกอบของเปลือกโลกนน้ั เปน็ สารประกอบออกไซด์แทบทั้งหมด ส่วนคลอรีน กามะถัน และฟลูออรนี ถอื เป็นข้อยกเวน้ สาคัญในบรรดาหนิ ทั้งหลายซงึ่ เมือ่ รวมปริมาณทง้ั หมดแลว้ มกั จะตา่ กวา่ รอ้ ยละ 1 หินออกไซดห์ ลักได้แก่ ซิลกิ า อลูมนิ า โครงสร้างภายใน

โครงสร้างภายในของโลกแบ่งออกไดเ้ ปน็ ช้นั ๆ ตามคุณสมบัติกายภาพ (วทิ ยากระแส) หรอื เคมเี ชน่ เดียวกับดาวเคราะหห์ นิ ดวงอืน่ ช้ันนอกของโลกเปน็ เปลือกซิลเิ กต แขง็ ซึ่งแยกออกชดั เจนด้วยคุณสมบัตทิ างเคมโี ดยมีช้ันเน้ือโลก (mantle) แข็งความหนดื สูงอยเู่ บือ้ งล่าง มีความไม่ตอ่ เน่ืองของโมโฮโลวิคซิค (Mohorovičić discontinuity) คนั่ ระหวา่ งเปลอื กโลกจากเนื้อโลก เปลือกโลกมีความหนาตัง้ แต่ประมาณ 6 กโิ ลเมตรใต้มหาสมุทรไปจนถงึ 30–50 กิโลเมตรใต้ทวปี เปลือกโลกและ สภาพแขง็ เย็นของยอดเนื้อโลกชนั้ บนสุดรวมเรียกธรณภี าค (lithosphere) ซง่ึ แผ่นธรณภี าคนน้ั ประกอบขนึ้ จากธรณภี าคนี้เอง ใต้ธรณีภาคเปน็ ฐานธรณภี าค (asthenosphere) ซง่ึ เป็นชัน้ ความหนืดคอ่ นข้างตา่ ทธ่ี รณีภาคลอยอยู่ การเปลยี่ นแปลงโครงสร้างผลึกในเนื้อโลกเกิดทีร่ ะดับความลกึ 410 ถึง 660 กโิ ลเมตรใต้พ้ืนผิว เปน็ เขตเปลี่ยนผ่านซ่ึงแยกระหวา่ งเนอ้ื โลกชน้ั บนและล่าง ใตเ้ น้ือโลกเป็นแก่นช้ันนอกที่เปน็ ของเหลวความหนืดต่ามากเหนือแก่นชัน้ ในที่เปน็ ของแข็งแก่นช้นั ในของ โลกอาจหมนุ ด้วยอัตราเร็วเชิงมมุ สงู กว่าสว่ นอ่นื ของดาวเคราะหเ์ ลก็ น้อย โดยหมนุ 0.1–0.5° ต่อปีรัศมีของแก่นชนั้ ในคิดเป็นประมาณหนง่ึ ในห้าของรัศมีโลก

ความร้อน ความร้อนภายในโลกเป็นผลรวมของความรอ้ นทย่ี ังหลงเหลืออยจู่ ากการงอกพอกพูนของดาวเคราะห์ราวร้อยละ 20 อกี ร้อยละ 80 เป็นความร้อนท่ีผลติ จากการ สลายตวั กมั มนั ตรังสไี อโซโทปหลกั ที่สร้างความร้อนภายในโลกคิอ โพแทสเซยี ม-40 ยเู รเนียม-238 ยเู รเนยี ม-235 และทอเรียม-232ที่ใจกลางโลกคาดว่านา่ จะมี อณุ หภมู ิสูงถงึ 6,000 องศาเซลเซยี สและมคี วามดนั สูงถึง 360 จิกะปาสกาลด้วยการที่ความร้อนสว่ นใหญม่ าจากการสลายตัวกมั มนั ตรังสี นกั วิทยาศาสตรจ์ งึ เชื่อวา่

ในช่วงตน้ ของประวัติศาสตร์โลกก่อนหนา้ ท่ีไอโซปคร่ึงชวี ิตสัน้ ทง้ั หลายจะหมดไป การสร้างความร้อนของโลกจะต้องสงู กวา่ ในปจั จุบันมาก คาดว่าประมาณ 3 พนั ลา้ น ปีก่อน น่าจะมกี ารผลติ ความรอ้ นมากกวา่ ปจั จุบนั สองเทา่ ซง่ึ มผี ลเพิม่ การพาความร้อนของเนือ้ โลกค่าเฉลีย่ ของการสญู เสียความร้อนจากโลกอยู่ท่ี 87 มิลลวิ ัตต์ต่อ ตารางเมตร คิดรวมทง้ั โลกจะสูญเสยี ความร้อนท่ี 4.42 × 1013 วตั ตพ์ ลงั งานความร้อนบางส่วนจากแกน่ ถกู แมนเทิลพลมู สง่ ผ่านข้นึ มายังเปลือกโลก ซงึ่ เป็นการพา ความร้อนแบบหน่ึงที่เกิดจากการไหลขึ้นของหนิ อุณหภูมิสูง พลมู นีส้ ามารถทาให้เกดิ จดุ ร้อนและทงุ่ บะซอลท์ความรอ้ นจากภายในโลกส่วนใหญ่สญู เสียไปกบั การแปร สณั ฐานแผ่นธรณีภาค โดยการไหลข้นึ ของเนื้อโลกทสี่ มั พันธก์ ับสันกลางมหาสมทุ ร หนทางการสูญเสียความร้อนสาคญั สุดท้ายคือการนาความรอ้ นผ่านธรณีภาคซงึ่ ปรากฏใต้มหาสมุทรเปน็ สว่ นใหญ่เพราะเปลือกโลกบริเวณน้นั บางมากกวา่ แผ่นเปลือกทวีปมาก แผ่นธรณภี าค ธรณภี าคอนั เปน็ ชัน้ นอกแข็งทอ่ื เชิงกลของโลกน้ันแบ่งออกไดห้ ลายช้ิน เรียกวา่ แผ่นธรณีภาค แผน่ เหล่านี้เป็นสว่ นแขง็ ทเ่ี คลื่อนทไ่ี ปโดยสมั พันธ์กับแผน่ ใกล้เคยี งอื่น โดยมีขอบเขตระหว่างกันอย่างใดอยา่ งหนึ่งในสามแบบนี้ได้แก่ ขอบเขตแบบเขา้ หากนั ซง่ึ แผ่นทง้ั สองเลอื่ นมาชนกัน ขอบเขตแบบแยกจากกัน ซึ่งแผ่นท้ังสองเล่ือน ออกหา่ งกันไป และขอบเขตแปลง (รอยเลื่อนแปรสภาพ) ซ่ึงแผน่ ท้งั สองไถลผ่านกันทางดา้ นข้าง การเกิดแผน่ ดินไหว กมั มันตภาพภเู ขาไฟ การก่อเทอื กเขา และการ เกดิ ร่องลกึ ก้นสมทุ ร สามารถเกิดได้ตลอดแนวขอบเขตของแผน่ เหลา่ น้แี ผน่ ธรณีภาคลอยอยู่บนฐานธรณีภาค ซงึ่ เป็นเนอื้ โลกชนั้ บนส่วนทีม่ ีความแข็งแตห่ นืดนอ้ ยกว่า สามารถไหลและเคลื่อนทไี่ ปพร้อมกับแผน่ ธรณีภาคได้เมื่อแผน่ ธรณีภาคมีการเคลอ่ื นตัว เปลอื กโลกสว่ นมหาสมุทรจะมดุ ตวั ลงใตข้ อบปะทะของแผ่นเปลอื กตามแนว ขอบเขตแบบเขา้ หากัน ในเวลาเดียวกัน การไหลเลือ่ นขึน้ ของเนอื้ ชน้ั เน้ือโลกทีข่ อบเขตแบบแยกจากกนั จะก่อใหเ้ กิดสันกลางมหาสมทุ ร กระบวนการต่าง ๆ เหลา่ น้ี รวมกันทาให้เกิดการรไี ซเคิลแผ่นเปลือกมหาสมุทรกลับสู่เนอ้ื โลก ด้วยการรไี ซเคิลนีเ้ องพ้นื มหาสมุทรสว่ นใหญจ่ ึงมีอายุไม่เกิน 100 ลา้ นปี เปลือกโลกส่วนมหาสมทุ รท่ี เกา่ แก่ท่ีสุดอยู่ในบริเวณแปซิฟกิ ตะวันตกโดยมีอายุประมาณกวา่ 200 ล้านปเี ม่ือเทียบกันแลว้ เปลอื กโลกส่วนทวีปทีเ่ ก่าแก่ทสี่ ุดมีอายถุ ึง 4,030 ล้านปี

แผ่นธรณภี าคขนาดใหญเ่ จ็ดแผน่ ได้แก่ แผ่นแปซฟิ ิก อเมริกาเหนือ ยูเรเชยี แอฟริกา แอนตาร์กตกิ อนิ โด-ออสเตรเลีย และอเมริกาใต้ สว่ นแผน่ ท่ีสาคญั อื่น ประกอบด้วย แผ่นอาระเบยี แผน่ แคริบเบียน แผ่นนาซกานอกชายฝง่ั ตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ และแผน่ สโกเทียในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ แผน่ ออสเตรเลีย รวมเขา้ กบั แผ่นอนิ เดยี ระหว่าง 50 ถึง 55 ลา้ นปีก่อน แผ่นเคลอ่ื นทเี่ รว็ ทส่ี ุดคือแผ่นมหาสมุทร โดยแผ่นโคคอสเคลอ่ื นท่ีด้วยอตั ราเร็ว 75 มลิ ลิเมตร/ปีและแผน่ แปซฟิ กิ เคลอ่ื นที่ด้วยอัตราเร็ว 52–69 มิลลเิ มตร/ปี ในอีกทางหนึ่ง แผน่ เคล่อื นที่ชา้ ท่สี ุดคือแผ่นยเู รเชียซง่ึ ดาเนินไปด้วยอัตราเรว็ ปกติประมาณ 21 มลิ ลเิ มตร/ปี

การก่อเทอื กเขาเกิดเม่ือแผ่นธรณภี าคเคลื่อนเข้าหากันแล้วบบี หินให้สงู ขึ้น ภเู ขาสูงสุดในโลกคือ ยอดเขาเอเวอรเ์ รส การก่อเทือกเขาเกิดเมือ่ แผ่นธรณภี าคเคล่ือนเขา้ หากันแล้วบบี หินใหส้ ูงขนึ้ ภูเขาสงู สุดในโลกคือ ยอดเขาเอเวอร์เรส พืน้ ผวิ พ้นื ทผี่ ิวทั้งหมดของโลกมีประมาณ 510 ล้านตารางกิโลเมตร พื้นทก่ี วา่ ร้อยละ 70.8หรือ 361.13 ลา้ นตารางกิโลเมตร อยใู่ ตร้ ะดับนา้ ทะเลและปกคลมุ ด้วยนา้ มหาสมทุ รพ้ืนทใ่ี ต้นา้ เหล่านี้มที งั้ ทีเ่ ปน็ ไหล่ทวปี ภูเขา ภูเขาไฟรอ่ งลกึ กน้ สมุทร หุบเหวใต้ทะเล ที่ราบสงู พน้ื สมุทร ที่ราบก้นสมุทร และระบบสันกลางมหาสมุทรท่ี ทอดตัวท่ัวโลก พ้ืนทีท่ ีเ่ หลืออีกราวร้อยละ 29.2 หรอื 148.94 ลา้ นตารางกิโลเมตร ไม่ถูกนา้ ปกคลมุ มีภมู ปิ ระกาศหลากหลายตามสถานที่ ไดแ้ ก่ ภูเขา พืน้ ทีแ่ หง้ แล ท่ี ราบ ท่ีราบสงู และภมู ิประเทศรปู แบบอนื่ ธรณีแปรสัณฐานและการกร่อน การปะทขุ องภเู ขาไฟ การเกิดอุทกภยั การผุพังอยกู่ บั ท่ี การเปลย่ี นสภาพโดยธารนา้ แข็ง การ เตบิ โตของพืดหินปะการัง และการพุ่งชนของอุกกาบาตเป็นกระบวนการทีเ่ ปลี่ยนโฉมผิวโลกอยเู่ รอ่ื ย ๆ ตามคาบเวลาทางธรณีวทิ ยาเปลือกโลกส่วนทวีปประกอบดว้ ย วตั ถุความหนาแน่นตา่ อยา่ งเชน่ หินอัคนีแกรนิตและแอนดีไซต์ ทพี่ บน้อยกว่าคือบะซอลต์ซง่ึ เป็นหินภเู ขาไฟความหนาแนน่ สงู และเป็นองค์ประกอบหลักของพื้น มหาสมุทรหินตะกอนซง่ึ ก่อตัวขึน้ จากการสะสมตวั ของตะกอนทท่ี ับถมบีบอัดตวั เขา้ ด้วยกัน เกือบร้อยละ 75 ของพน้ื ผิวทวปี ถกู ปกคลมุ ด้วยหินตะกอนโดยคิดเป็น ประมาณรอ้ ยละ 5 ของเปลือกโลก[126] วตั ถุหนิ ทพี่ บบนโลกรปู แบบทส่ี ามคือหนิ แปร กอ่ กาเนดิ โดยการแปรเปลี่ยนมาจากหนิ ด้ังเดมิ ทมี่ ีอยู่ก่อนผ่านความดนั สูง หรอื อุณหภูมสิ ูง หรอื ท้งั สองอย่าง แร่ซิลิเกตทพ่ี บมากทส่ี ุดบนผิวโลกประกอบด้วย ควอตซ์ เฟลดส์ ปาร์ แอมฟิโบล ไมกา ไพรอกซีน และโอลวิ ีนแร่คาร์บอเนตทพ่ี บทั่วไป

ประกอบด้วย แคลไซต์ (พบในหินปูน) และโดโลไมตร์ ะดับความสงู ของพน้ื ผิวดินแตกต่างกนั ตง้ั แต่จุดตา่ สุดท่ี −418 เมตร ณ ทะเลเดดซี ไปจนถึงจดุ สงู สดุ ท่ี 8,848 เมตร ณ ยอดเขาเอเวอเรสต์ คา่ เฉลีย่ ความสูงของพ้นื ดินเหนอื ระดบั นา้ ทะเลอยู่ที่ 797 เมตร ระดบั ความสูงต่าและระดับความลกึ ของโลกในปัจจบุ ัน ข้อมูลจากแบบจาลองภมู ปิ ระเทศดจิ ิตอลเทอเรนเบสของศูนย์ขอ้ มูลธรณฟี สิ ิกส์แห่งชาติ ระดับความสูงต่าและระดับความลกึ ของโลกในปัจจุบัน ข้อมลู จากแบบจาลองภมู ิประเทศดจิ ิตอลเทอเรนเบสของศูนย์ข้อมลู ธรณฟี ิสกิ สแ์ หง่ ชาติ

อทุ กภาค ความอุดมของน้าบนผิวโลกเปน็ ลกั ษณะเอกลักษณ์ซึง่ แยก \"ดาวเคราะห์สีน้าเงิน\" ออกจากดาวเคราะห์อืน่ ๆ ในระบบสุรยิ ะ อุทกภาคของโลกประกอบด้วยมหาสมทุ ร เป็นสว่ นใหญ่ ท่เี หลือประกอบดว้ ยผิวนา้ ท้ังหมดในโลกได้แก่ ทะเลในแผน่ ดิน ทะเลสาบ แม่นา้ นา้ ใต้ดนิ ลึกลงไป 2,000 เมตร ตาแหนง่ ใต้นา้ ท่ลี ึกทส่ี ดุ คือ แชลเลน เจอร์ดีปบริเวณรอ่ งลกึ กน้ สมุทรมาเรยี นาในมหาสมุทรแปซฟิ กิ โดยมีความลกึ ที่ 10,911.4 เมตรมหาสมุทรรวมมีมวลคิดเปน็ ประมาณ 1.35×1018 เมตริกตัน หรอื ราว 1 ใน 4,400 ของมวลท้งั หมดของโลก มหาสมทุ รปกคลมุ เป็นพนื้ ท่ี 3.618×108 ตารางกิโลเมตร โดยมคี วามลึกเฉลี่ย 3,682 เมตร เปน็ ผลให้มีปรมิ าตรโดยประมาณ เทา่ กบั 1.332×109 ลกู บาศกก์ ิโลเมตรหากพน้ื ผิวเปลือกโลกทั้งหมดมีความสูงเท่ากนั คอื กลมเสมอกนั ทง้ั ใบ โลกก็จะกลายเป็นมหาสมทุ รทั้งหมดด้วยความลึกราว 2.7 ถึง 2.8 กิโลเมตรนา้ ประมาณรอ้ ยละ 97.5 เปน็ น้าเค็ม อีกร้อยละ 2.5 ท่เี หลือเปน็ น้าจดื สว่ นใหญข่ องน้าจืดหรอื ราวรอ้ ยละ 68.7 อยใู่ นรูปของน้าแข็งในนา้ แข็งขวั้ โลก และธารน้าแขง็ ต่างๆค่าเฉล่ียความเคม็ ของมหาสมทุ รโลกอย่ทู ี่ประมาณ 35 กรมั เกลือต่อกิโลกรัมน้าทะเล (มีเกลือรอ้ ยละ 3.5) เกลือสว่ นมากถูกขบั ออกจากกมั มันต ภาพภเู ขาไฟหรอื ชะออกมาจากหนิ อัคนีเยน็ มหาสมุทรยงั เปน็ แหลง่ สะสมของกาาซในบรรยากาศที่ละลายได้ซ่ึงมีความจาเปน็ ต่อการอยู่รอดของส่ิงมีชีวิตทีอ่ าศยั ในน้า จานวนมากนา้ ทะเลถือวา่ มีอิทธิพลสาคัญต่อภมู อิ ากาศโลกโดยมหาสมุทรเปน็ แหล่งสะสมความร้อนขนาดใหญ่การเปล่ียนแปลงการกระจายของอุณหภมู มิ หาสมทุ ร สามารถทาใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงของลมฟา้ อากาศอย่างสาคัญได้ เช่น เอลนีโญ–ความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ บรรยากาศ

ความกดอากาศบนพ้ืนผวิ โลกมคี ่าเฉลย่ี ท่ี 101.325 กิโลปาสกาล คดิ เปน็ อัตราความสูงประมาณ 8.5 กโิ ลเมตรมอี งค์ประกอบเป็นธาตุไนโตรเจนร้อยละ 78 ธาตุ ออกซเิ จนรอ้ ยละ 21 รวมถงึ ไอน้า คาร์บอนไดออกไซด์ และกาาซในรปู โมเลกลุ ชนิดอนื่ ปรมิ าณเลก็ นอ้ ย ความสูงของชัน้ โทรโพสเฟียรผ์ นั แปรตามละติจูด มีพิสยั ตง้ั แต่ 8 กิโลเมตรที่บริเวณขั้วโลกไปจนถงึ 17 กิโลเมตรที่เสน้ ศูนย์สูตร โดยมีความเบี่ยนเบนเล็กน้อยจากผลของสภาพอากาศและปจั จัยหลายประการตามฤดกู าลชีวมณฑล ของโลกสง่ ผลเปล่ียนแปลงอย่างมีนัยสาคญั ต่อบรรยากาศ การสังเคราะห์ดว้ ยแสงแบบสร้างออกซเิ จนวิวัฒนข์ นึ้ เม่ือราว 2.7 พันลา้ นปกี ่อน ไดส้ ร้างบรรยากาศท่ีมี ไนโตรเจนและออกซิเจนเปน็ หลกั ดังเช่นในปัจจุบนั การเปล่ียนแปลงน้ีทาใหส้ ิง่ มชี วี ติ ท่ีใช้ออกซเิ จนสามารถแพร่กระจายได้ และมผี ลโดยอ้อมเกิดการกอ่ รูปของช้นั โอโซนเนอ่ื งากการเปล่ียน O2 ในบรรยากาศเป็น O3 ชน้ั โอโซนกั้นการแผ่รังสีอลั ตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ทาให้ส่งิ มีชีวติ สามารถเกิดขึ้นบนโลกได้ บรรยากาศยงั ทาหนา้ ที่อ่นื ที่สาคญั ต่อส่ิงมีชีวติ ไดแ้ ก่ การเคล่ือนยา้ ยไอนา้ อานวยกาาซทเี่ ป็นประโยชน์ ทาให้สะเก็ดดาวขนาดเล็กเผาไหมไ้ ปหมดก่อนทจ่ี ะกระทบพื้น และการปรับ อุณหภูมิไมใ่ ห้ร้อนหรือเย็นเกินปรากฏการณ์สดุ ทา้ ยนเ้ี รียก ปรากฏการณเ์ รือนกระจก โมเลกุลของกาาซสดั ส่วนเลก็ น้อยภายในบรรยากาศทาหนา้ ท่กี ักเก็บพลงั งาน ความร้อนทแ่ี ผ่ออกจากพน้ื ดินเปน็ ผลให้อุณหภมู ิเฉลี่ยเพิ่มสูงขึน้ ไอนา้ คาร์บอนไดออกไซด์ มเี ทน และโอโซน เป็นกาาซเรือนกระจกหลักในบรรยากาศ หากปราศจาก ปรากฏการณ์กกั เกบ็ ความร้อนน้ี อุณหภมู ิเฉลย่ี ทพี่ ้ืนผิวจะเปน็ −18 องศาเซลเซียส เมอ่ื เทียบกบั อุณหภูมิปจั จบุ ันที่ +15 องศาเซลเซยี สและอาจไมม่ ีสิ่งมชี ีวติ บนโลก ในรปู ลกั ษณ์ปจั จุบัน / ลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศ บรรยากาศของโลกไมม่ ีขอบเขตชดั เจนโดยจะค่อย ๆ บางลงและเลอื นหายไปสอู่ วกาศ สามในสขี่ องมวลบรรยากาศอยใู่ นระยะ 11 กโิ ลเมตรแรกเหนอื พ้ืนผิว มีชั้น ลา่ งสุดเรียกโทรโพสเฟยี ร์ พลังงานจากดวงอาทิตย์จะทาให้ชน้ั นี้รวมถงึ พืน้ ผิวเบ้ืองล่างร้อนขึน้ สง่ ผลให้อากาศเกิดการขยายตัว อากาศความหนาแน่นตา่ จะลอยขนึ้

อากาศความหนาแนน่ สูงกว่าและเยน็ กว่าจะเข้ามาแทนที่ เกดิ เป็นการหมุนเวยี นของบรรยากาศซึง่ ขบั เคลอื่ นสภาพอากาศและภูมอิ ากาศผ่านการกระจายพลงั งานความ รอ้ นแถบการหมุนเวียนของบรรยากาศหลกั ประกอบด้วยลมค้าในบรเิ วณศนู ย์สูตรทลี่ ะตจิ ดู ตา่ กว่า 30° และลมตะวนั ตก (westerlie) ในแถบละติจูดกลางระหวา่ ง 30° และ 60°กระแสนา้ มหาสมุทรกเ็ ปน็ ปัจจัยสาคัญที่กาหนดภมู อิ ากาศ โดยเฉพาะการหมนุ เวยี นเทอร์โมเฮไลน์ (thermohaline) ซึง่ กระจายพลงั งานความ ร้อนจากมหาสมทุ รแถบศนู ย์สตู รไปยังบริเวณข้ัวโลกไอน้าทีร่ ะเหยจากพ้นื ผวิ ถกู รปู แบบไหลเวยี นในบรรยากาศเคลอ่ื นย้ายไป เมอ่ื ภาวะของบรรยากาศทาใหอ้ ากาศ ร้อนช้ืนยกตัวสงู ขึ้น น้านจ้ี ะควบแนน่ และตกลงสูพ่ น้ื ผิวในรปู หยาดน้าฟ้าน้าสว่ นใหญ่จะเคลอื่ นย้ายไปยังทีท่ ีต่ า่ กว่าผ่านระบบแมน่ า้ และปกตกิ ลบั คืนส่มู หาสมุทร หรอื ไม่กส็ ะสมอยู่ในทะเลสาบ วัฏจักรของน้านเ้ี ป็นกลไกสาคญั ทีค่ า้ จนุ สรรพชวี ติ บนผืนแผน่ ดิน และเปน็ ปัจจัยหลักในการกดั เซาะโครงสร้างภูมปิ ระเทศตามสสมัย ธรณีวทิ ยา รูปแบบของหยาดน้าฟ้ามีความหลากหลายตง้ั แต่ปริมาณน้าหลายเมตรไปจนถงึ เพยี งไม่ก่ีมลิ ลเิ มตรต่อปี ท้ังการหมนุ เวียนของบรรยากาศ ภูมลิ ักษณ์ และ ความแตกตา่ งของอุณหภมู ิล้วนกาหนดหยาดน้าฟา้ เฉลีย่ ที่ตกในแตล่ ะบริเวณปรมิ าณพลงั งานจากดวงอาทิตย์ท่ีมาถึงพ้ืนผวิ โลกลดลงตามละติจูดที่สงู ข้ึน ทลี่ ะติจดู สงู ๆ แสงจากดวงอาทิตยม์ าถึงพน้ื ผวิ ด้วยมมุ ทต่ี า่ ลง และต้องส่องผา่ นแนวหนาแนน่ ของบรรยากาศ เป็นผลให้อุณหภมู ิของอากาศเฉล่ยี ตลอดทง้ั ปีท่รี ะดบั นา้ ทะเลลดลงราว 0.4 องศาเซลเซยี สทกุ ๆ หนึ่งองศาของละติจดู ที่ออกห่างจากเสน้ ศนู ยส์ ูตรพื้นผวิ โลกสามารถแบง่ ยอ่ ยได้เปน็ แถบละติจูดจาเพาะทีม่ ีภูมิอากาศเชน่ เดียวกนั โดยประมาณ อาณาเขตตั้งแต่เสน้ ศนู ย์สูตรไปจนถงึ บรเิ วณขั้วโลกจาแนกออกเป็นภมู ิอากาศเขตร้อนหรือเขตศนู ยส์ ตู ร เขตใกลเ้ ขตร้อน เขตอบอุ่น และเขตขว้ั โลกกฎ ละตจิ ูดน้ีมีความผิดปกตหิ ลายอยา่ งการอยใู่ กล้มหาสมุทรจะทาให้ภมู อิ ากาศไม่รนุ แรง ตวั อยา่ งเช่น คาบสมทุ รสแกนดิเนเวียมีภมู ิอากาศไม่รุนแรงเม่อื เทยี บกับทางเหนอื ของประเทศแคนาดาที่ละติจูดเหนือคลา้ ยกันลมยังชว่ ยบรรเทาผลนี้ แผ่นดินฝ่ังปะทะลมมีภมู ิอากาศไมร่ นุ แรงเมอ่ื เทียบกับฝัง่ อับลม ในซกี โลกเหนือ ลมแน่ทศิ มีทิศทาง ตะวันตกไปตะวันออก และชายฝัง่ ตะวันตกมักมภี ูมอิ ากาศไมร่ นุ แรงเมื่อเทยี บกบั ชายฝัง่ ตะวันออก ซง่ึ สงั เกตไดใ้ นทวปี อเมริกาเหนือฝัง่ ตะวันออกและยโุ รปตะวนั ตก ซง่ึ ภมู ิอากาศแบบทวีปที่รุนแรงปรากฏในชายฝ่งั ตะวนั ออกเทียบกบั ภูมิอากาศไมร่ ุนแรงท่อี กี ฟากหนึง่ ของมหาสมทุ ร[153] ในซีกโลกใต้ ลมแน่ทศิ พัดจากทิศ ตะวันออกไปตะวันตก และชายฝ่งั ตะวันออกมภี ูมอิ ากาศไม่รุนแรงระยะทางจากโลกถงึ ดวงอาทิตยม์ ีความแปรผัน โลกอยูใ่ กลด้ วงอาทติ ยท์ ส่ี ุดในเดอื นมกราคมซง่ึ ตรง กับฤดูรอ้ นในซกี โลกใต้ อยหู่ ่างจากดวงอาทิตยม์ ากทส่ี ดุ ในเดือนกรกฎาคมซง่ึ ตรงกบั ฤดรู อ้ นในซกี โลกเหนือ และรังสีจากดวงอาทติ ยต์ กสู่พื้นท่ีหนึ่ง ๆ ประมาณร้อยละ 93.55 เมอ่ื เทยี บกับจุดใกล้ดวงอาทิตย์ทสี่ ดุ

/ / บรรยากาศเบ้ืองบน เหนือช้ันโทรโพสเฟียร์ขนึ้ ไป บรรยากาศแบ่งโดยทวั่ ไปไดเ้ ปน็ ชัน้ สตราโทสเฟียร์ มีโซสเฟียร์ และเทอร์โมสเฟยี ร์แตล่ ะชนั้ มีอัตราการเหลื่อมซ้อนไม่เท่ากนั ซ่งึ กาหนด จากอตั ราการเปลย่ี นแปลงอุณหภมู ติ ามระดับความสูง พ้นจากชัน้ เหล่านี้ขนึ้ ไปเรยี กวา่ เอกโซสเฟยี ร์ ซงึ่ บางลงเรือ่ ย ๆ ไปจนถงึ แมก็ นีโตสเฟยี ร์ซงึ่ เป็นบริเวณท่ีสนาม ธรณแี มเ่ หล็กกระทบกนั กับลมสุรยิ ะภายในช้ันสตราโทสเฟยี รม์ ชี ้ันโอโซนซ่ึงเป็นองค์ประกอบท่ีมสี ว่ นชว่ ยป้องกันพ้นื ผิวโลกจากรงั สีอลั ตราไวโอเลต็ อันมีความสาคัญ ยงิ่ ต่อสรรพชีวิตบนโลก มีการกาหนดเส้นคาร์มานทีร่ ะดบั 100 กิโลเมตรเหนือผวิ โลกเปน็ บทนยิ ามในทางปฏบิ ตั ิท่แี บง่ ขอบเขตระหวา่ งบรรยากาศและอวกาศ พลงั งานความร้อนทาใหโ้ มเลกุลบางสว่ นท่ขี อบนอกของบรรยากาศมีความเรว็ เพม่ิ สูงขึ้นจนถงึ จดุ หนึง่ ทส่ี ามารถหลดุ พน้ ออกจากแรงโนม้ ถ่วงของโลกได้ ด้วยเหตุนี้จึง ทาใหเ้ กดิ การเสยี บรรยากาศออกส่อู วกาศอย่างชา้ ๆ แตส่ ม่าเสมอ เพราะไฮโดรเจนท่ีไม่ได้ถกู ยดึ เหนย่ี วมีมวลโมเลกุลตา่ จงึ สามารถขึน้ ถึงความเร็วหลุดพ้นไดง้ ่ายกว่า และรัว่ ไหลออกสู่อวกาศภายนอกในอัตราทส่ี งู กว่ากา๊ ซอนื่ การรวั่ ของไฮโดรเจนสู่อวกาศได้ชว่ ยสนบั สนนุ ใหบ้ รรยากาศโลกตลอดจนพ้นื ผวิ เกดิ การเปลี่ยนผนั จากภาวะ รีดวิ ซใ์ นช่วงตน้ มาเป็นภาวะออกซิไดซอ์ ยา่ งเช่นในปัจจุบัน การสังเคราะห์ดว้ ยแสงเป็นแหล่งช่วยปอ้ นออกซเิ จนอิสระ แตด่ ้วยการเสียไปซ่ึงสารรีดวิ ซ์ดงั เชน่ ไฮโดรเจน นเ้ี องจงึ เช่ือกันว่าเป็นภาวะเร่ิมตน้ ทีจ่ าเปน็ ต่อการเพม่ิ พูนขึ้นของออกซเิ จนอย่างกวา้ งขวางในบรรยากาศการทีไ่ ฮโดรเจนสามารถหนีออกไปจากบรรยากาศได้จงึ อาจสง่ อิทธพิ ลต่อธรรมชาตขิ องชึวิตท่ีพฒั นาขึ้นบนโลกในบรรยากาศทีม่ อี อกซิเจนเป็นจานวนมากในปัจจุบนั น้ัน ไฮโดรเจนส่วนใหญถ่ ูกเปลย่ี นเป็นนา้ ก่อนมีโอกาสหนี ออกไป แต่การเสียไฮโดรเจนสว่ นใหญ่นัน้ มาจากการสลายของมเี ทนในบรรยากาศช้ันบน / สนามความโน้มถ่วง

ความโน้มถว่ งของโลกเป็นความเรง่ ทถี่ า่ ยทอดแก่วตั ถเุ นื่องจากการกระจายของมวลในโลก ความเรง่ ความโนม้ ถ่วงใกลผ้ ิวโลกมีค่าประมาณ 9.8 เมตรต่อวินาที2 ความแตกต่างท้องถนิ่ ของภูมิลักษณ์ ธรณีวิทยาและโครงสร้างแปรสณั ฐานที่อย่ลู กึ ลงไปทาให้เกิดความแตกตา่ งท้องถนิ่ และภมู ภิ าคเปน็ วงกวา้ งในสนามความโนม้ ถ่วง ของโลก เรยี ก ค่าผดิ ปกติของความโน้มถ่วง / ความโน้มถ่วงของโลกที่วัดได้จากภารกิจ HYPERLINK \"https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=Gravity_Recovery_and_Climate_Experiment&action=edit&red link=1\" \\o \"Gravity Recovery and Climate Experiment (ไม่มหี นา้ )\" GRACE ของนาซา แสดงความเบย่ี งเบนจากความโนม้ ถ่วงตาม ทฤษฎี สีแดงแสดงว่าความโนม้ ถ่วงเข้มกว่าคา่ มาตรฐาน และสีน้าเงินแสดงทที่ ี่อ่อนกว่า สนามแม่เหล็ก สว่ นหลักของสนามแม่เหล็กโลกสร้างขึ้นในแกน่ ซึ่งเป็นทต่ี ้งั ของกระบวนการไดนาโมอนั เปล่ยี นพลงั จลน์ของการเคลื่อนพาของไหลไปเป็นพลังงานไฟฟ้าและ พลงั งานสนามแมเ่ หลก็ ตวั สนามแผอ่ อกจากบริเวณแก่นผ่านชั้นเนื้อโลกและขนึ้ ส่ผู วิ โลกอันเปน็ ตาแหนง่ ท่ปี ระมาณไดอ้ ยา่ งหยาบ ๆ เปน็ แม่เหล็กข้ัวคู่ ข้ัวของแม่เหล็ก ขัว้ คมู่ ตี าแหน่งใกล้เคียงกบั ขวั้ โลกภูมิศาสตร์ ที่เสน้ ศูนยส์ ตู รของสนามแมเ่ หล็กมีความเข้มสนามแม่เหล็กทีพ่ นื้ ผิวเท่ากับ 3.05 × 10−5 เทสลา และมโี มเมนตข์ ัว้ คู่ แม่เหล็กโลกที่ 7.91 × 1015 เทสลา.เมตร3การเคล่ือนทพี่ าในแกน่ นัน้ มีความย่งุ เหยิงทาให้ขั้วแมเ่ หล็กมกี ารเขย้ือนและเปลีย่ นแปลงแนวการวางตัวเป็นระยะ ๆ เปน็ สาเหตุของการกลับข้วั สนามแม่เหล็กตามช่วงเวลาอย่างไม่สมา่ เสมอเฉล่ยี ไมก่ คี่ รั้งในทุก ๆ ลา้ นปี โดยการกลบั ขั้วคร้ังลา่ สุดเกิดขึ้นเมือ่ ราว 700,000 ปีก่อน แมก็ นีโตสเฟยี ร์

ขอบเขตของสนามแม่เหลก็ โลกในอวกาศกาหนดขอบเขตของแมก็ นีโตสเฟยี ร์ (magnetosphere) ไอออนและอิเล็กตรอนจากลมสุรยิ ะถกู แมก็ นโี ตสเฟยี ร์ เบ่ียงเบน ความดันจากลมสรุ ิยะบีบฝัง่ กลางวนั ของแม็กนโี ตสเฟยี รไ์ ปประมาณ 10 รัศมโี ลก และทาใหด้ า้ นกลางคนื ของแม็กนีโตสเฟียรย์ ดื ขยายออกเปน็ หางยาวดว้ ย เหตทุ ค่ี วามเร็วของลมสุรยิ ะสูงกว่าความเรว็ ของคลนื่ ทแ่ี ผอ่ อกจากลมสุริยะมาก จงึ เกดิ โบวช์ ็อค (bowshock) เหนอื เสยี งในส่วนหน้าดา้ นกลางวันของแม็กนีโตส เฟียร์ภายในลมสุริยะอนภุ าคมีประจุถกู กักเก็บอยูใ่ นแม็กนโี ตสเฟยี ร์ พลาสมาสเฟียร์ (plasmasphere) กาหนดเปน็ อนุภาคหลังงานต่าท่ีตามเสน้ สนามแม่เหลก็ เม่อื โลกหมุนกระแสวง (ring current) กาหนดโดยอนุภาคพลังงานปานกลางซึ่งเคลอ่ื นไปสมั พัทธ์กบั สนามธรณแี ม่เหลก็ แตย่ งั มีเสน้ ทางที่ยังอยูภ่ ายใต้อทิ ธพิ ล ของสนามแม่เหลก็ เป็นหลกั และแถบเขม็ ขัดรงั สแี วนอัลเลนซึง่ เกดิ จากอนุภาคพลังงานสูงทเ่ี คล่ือนที่อย่างสมุ่ เสยี มากแตย่ งั อย่ภู ายในแมก็ นีโตสเฟียรร์ ะหว่างการเกิดพายุ แม่เหล็ก อนุภาคมปี ระจุสามารถเบีย่ งทิศทางจากแม็กนีโตสเฟยี รส์ ่วนนอกเข้ามาในชนั้ ไอโอโนสเฟียร์ของโลกไดโ้ ดยตรงตามแนวเส้นสนาม ซง่ึ ในบรเิ วณนี้อะตอมที่ อยใู่ นบรรยากาศสามารถถกู กระตนุ้ และกลายเปน็ ประจุอันเปน็ สาเหตขุ องการเกดิ ออโรรา / แผนภาพแสดงแม็กนีโตสเฟยี ร์ของโลก HYPERLINK \"https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8% B4%E0%B8%A2%E0%B8%B0\" \\o \"ลมสรุ ยิ ะ\" ลมสุริยะพัดจากซา้ ยไปขวา วงโคจรและการหมุนรอบตวั เอง การหมุน คาบการหมนุ รอบตวั เองของโลกสัมพัทธก์ ับดวงอาทิตยห์ รือวันสุรยิ ะนัน้ เท่ากบั 86,400 วินาทขี องเวลาสรุ ยิ ะกลาง (86,400.0025 วนิ าทีเอสไอเพราะวนั สุริยะ ของโลกในปัจจบุ ันยาวกว่าวันในชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19 เล็กนอ้ ยอันเน่ืองมาจากผลการเรง่ จากแรงไทด์ ในแตะ่ ละวนั จึงยาวขึ้นผนั แปรไประหวา่ ง 0 ถึง 2

มิลลวิ ินาที เอสไอคาบการหมนุ รอบตัวเองของโลกสัมพทั ธก์ บั ดาวฤกษ์ไม่เคลอื่ นทเี่ รียกวา่ วันดาราคติ โดยหนว่ ยงานการหมนุ ของโลกและระบบอ้างอิงสากล (IERS: International Earth Rotation and Reference Systems Service) คอื 86,164.098903691 วินาที จากเวลาสรุ ิยะกลาง (ยทู ี (เวลา สากล) 1) หรือ 23ช 56น 4.098903691วคาบการหมนุ รอบตัวเองของโลกสมั พทั ธก์ ับการหมุนควงหรือการเคลอ่ื นทีเ่ ฉลยี่ ของวสนั ตวิษุวัตมักเรยี กวา่ วันดาว ฤกษ์ คอื 86,164.09053083288 วนิ าที จากเวลาสุริยะกลาง (ยูท1ี ) หรือ (23ช 56น 4.09053083288ว) ณ ปี ค.ศ. 1982ดงั นั้นเองวนั ดาวฤกษ์จึง สน้ั กวา่ วันดาราคติประมาณ 8.4 มิลลวิ ินาทคี วามยาวของเวลาสุรยิ ะกลางในหน่วยวนิ าทเี อสไอสามารถนามาใช้อา้ งอิงได้จากหน่วยงานไอออี าร์เอสสาหรับชว่ งเวลา จากปี ค.ศ. 1623–2005[176] และปี ค.ศ. 1962–2005ตา่ งจากดาวตกในบรรยากาศและดาวเทียมวงโคจรตา่ ต่าง ๆ เทหฟ้าโดยมากมกี ารเคล่ือนทปี่ รากฏ ไปทางดา้ นตะวันตกของท้องฟ้าของโลกในอัตรา 15 องศาต่อชวั่ โมง หรอื 15 ลปิ ดาต่อนาที สาหรบั วัตถทุ อี่ ย่ใู กล้กับเสน้ ศูนย์สตู รฟา้ จะเคลื่อนไปเทยี บเท่ากับเส้น ผ่านศนู ยก์ ลางปรากฏของดวงอาทิตย์หรอื ดวงจันทรใ์ นทุก ๆ สองนาที เมื่อมองจากพ้ืนโลกขนาดปรากฏโดยประมาณของดวงอาทติ ยแ์ ละดวงจนั ทร์น้ันถือวา่ เท่ากัน / การหมนุ ของโลก ถ่ายจาก DSCOVR EPIC เมอ่ื วนั ท่ี 29 พฤษภาคม 2016 ไม่กสี่ ัปดาห์กอ่ น HYPERLINK \"https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99\" \\o \"อายัน\" อายัน วงโคจร โลกโคจรรอบดวงอาทิตยด์ ้วยระยะห่างเฉลีย่ ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตรในทุก ๆ 365.2564 วนั สุรยิ ะกลาง หรอื หนง่ึ ปีดาวฤกษ์ ส่งผลให้การเคลือ่ นท่ีปรากฏ ของดวงอาทติ ย์คล้อยไปทางตะวนั ออกเทียบกับดาวฤกษ์ฉากหลงั ในอัตราราวหนงึ่ องศาตอ่ วัน หรือเทยี บเท่าขนาดปรากฏของดวงอาทติ ยห์ รอื ดวงจนั ทรใ์ นทุก ๆ 12 ชั่วโมง การเคลื่อนไปเชน่ นีใ้ ชเ้ วลาเฉลยี่ ราว 24 ช่ัวโมงหรือหนงึ่ วนั สุริยะสาหรับการหมนุ รอบตวั เองตามแกนครบหน่ึงรอบของโลกซ่งึ ดวงอาทิตย์กลบั สเู่ มอริเดียนอีก

คร้ัง ความเร็วของโลกในวงโคจรโดยเฉลย่ี ประมาณ 29.8 กิโลเมตรตอ่ วินาที (107,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซง่ึ เรว็ มากพอท่ีจะเคล่อื นผ่านระยะทางเท่ากนั กบั เส้นผ่านศนู ยก์ ลางของโลกที่ประมาณ 12,742 กโิ ลเมตรในเจ็ดนาที และผ่านระยะทางถึงดวงจันทร์ท่ีประมาณ 384,000 กิโลเมตร ในเวลาราว 3.5 ชว่ั โมงโลก และดวงจันทร์โคจรรอบจุดศูนยก์ ลางมวลรว่ มในทุก ๆ 27.32 วัน สมั พัทธ์กบั ดาวฤกษพ์ ้นื หลงั เม่ือประกอบกันเขา้ กับวงโคจรรว่ มโลก–ดวงจนั ทร์รอบดวงอาทิตย์ แล้ว เกดิ เป็นคาบของเดือนจันทรคตินับจากอมาวสีหนึ่งไปอีกอมาวสีหนึง่ ราว 29.53 วัน เม่ือมองจากขว้ั ฟา้ เหนือ การเคลื่อนที่ของโลก ดวงจนั ทร์ และการหมุนรอบ แกนดาวของทงั้ ค่ลู ว้ นเป็นไปในทิศทวนเข็มนาฬิกา เม่ือมองจากจดุ สูงเหนือขั้วเหนอื ของทง้ั ดวงอาทติ ย์และโลก วงโคจรของโลกจะมีทิศทางทวนเข็มนาฬิการอบดวง อาทิตย์ วงโคจรและระนาบแกนไมไ่ ด้วางตัวอยู่ในแนวเดียวกนั โดยแกนหมุนของโลกมีการเอียงประมาณ 23.4 องศาจากแนวตง้ั ฉากกับระนาบโคจรของโลกรอบ ดวงอาทิตย์ (หรือสรุ ิยวิถี) และระนาบโคจรของดวงจนั ทรร์ อบโลกเอียง ±5.1 องศาเทยี บกับระนาบโลก–ดวงอาทติ ย์ หากปราศจากการเอียงเชน่ นี้ จะเกิดอปุ ราคาทุก สองสปั ดาหส์ ลบั กนั ระหว่างจนั ทรปุ ราคาและสุริยปุ ราคา / ภาพถ่าย HYPERLINK \"https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B 9%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%95\" \\o \"เพลบลูดอต\" เพลบลดู อต ถา่ ยจากยานอวกาศ HYPERLINK \"https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9% 80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C_1\" \\o \"วอยเอเจอร์ 1\" วอยเอเจอร์ 1ในปี 1990 แสดงภาพโลก (กลาง ขวา) จากระยะห่างเกอื บ 6,400 ลา้ นกิโลเมตร

การเอยี งของแกนโลกและฤดกู าล แกนโลกเอยี งประมาณ 23.439281° เทียบกับแกนของระนาบโคจรโดยจะชีไ้ ปข้วั ฟ้าเสมอ เน่ืองจากความเอยี งของแกนโลก ปริมาณแสงอาทิตย์ทต่ี กกระทบจุดใด ๆ บนพ้ืนผิวจึงผันแปรไปตามแตล่ ะช่วงของปี กอ่ ให้เกิดการเปลี่ยนฤดูกาลในแต่ละภูมิอากาศโดยฤดูร้อนในซกี โลกเหนือจะเกิดขึ้นเม่ือทรอปิกออฟแคนเซอร์หันเขา้ หาดวงอาทิตย์ สว่ นฤดหู นาวเกดิ เมื่อทรอปิกออฟแคปริคอนในซกี โลกใตห้ ันเขา้ หาดวงอาทติ ย์ ในระหว่างฤดูร้อน กลางวนั จะยาวกวา่ และดวงอาทิตยจ์ ะมตี าแหน่ง สงู ขน้ึ บนทอ้ งฟ้า ส่วนในฤดูหนาว ภูมิอากาศจะเยน็ ลงและกลางวันจะสนั้ ลง ในละติจูดเขตอบอุ่นทางเหนือดวงอาทติ ย์จะขึ้นเหนอื กวา่ ทศิ ตะวันออกจรงิ ระหว่าง ครษี มายันและลับฟา้ เหนือกว่าทิศตะวันตกจริง (กลับกนั ในฤดหู นาว) ในช่วงฤดูรอ้ นของเขตอบอุ่นในซกี โลกใต้ดวงอาทิตย์จะข้นึ ใตก้ ว่าทศิ ตะวันออกจรงิ และลบั ฟา้ ไปใตก้ ว่าทศิ ตะวนั ตกจรงิ เหนอื อารก์ ติกเซอร์เคิลขึน้ ไปจะมีกรณสี ดุ ข้ัวหนง่ึ โดยที่ตลอดช่วงหน่งึ ของปจี ะไมม่ แี สงอาทติ ยส์ ่องถงึ เลย ซ่ึงนานสุดหกเดอื นเตม็ ณ ขั้วโลก เหนือพอดี เรยี กวา่ กลางคนื ขั้วโลก ส่วนในซีกโลกใตส้ ถานการณจ์ ะกลบั ตรงกันขา้ มโดยการท่ีขั้วโลกใตว้ างตวั ในแนวตรงข้ามกับขวั้ โลกเหนือ อกี หกเดือนใหห้ ลงั ขั้ว โลกเหนือจะเกดิ อาทติ ยเ์ ทย่ี งคืน คอื เป็นกลางวนั ตลอด 24 ชว่ั โมง กลบั กบั ขัว้ โลกใต้โดยขอ้ ตกลงทางดาราศาสตร์ ฤดกู าลทง้ั สี่นนั้ กาหนดโดยอายนั ซ่งึ เป็นจุดในวง โคจรทแ่ี กนโลกเอียงเขา้ หาหรือออกจากดวงอาทิตยม์ ากทสี่ ดุ และวิษุวัตซ่ึงเปน็ จดุ ทที่ ิศทางการเอียงของแกนกบั ทิศทางสู่ดวงอาทิตยต์ งั้ ฉากกัน สาหรบั ซีกโลกเหนือ เหมายนั จะเกดิ ข้ึนประมาณวันท่ี 21 ธนั วาคม ครีษมายนั เกิดขน้ึ ใกลก้ บั วันท่ี 21 มิถนุ ายน วสันตวิษุวัตเกดิ ขึน้ ราววันท่ี 20 มนี าคม และศารทวิษุวตั จะประมาณวันท่ี 23 กนั ยายน สาหรับซกี โลกใต้สถานการณจ์ ะกลับกนั โดยวันทเ่ี กิดครษี มายนั กับเหมายนั และวสันตวษิ วุ ตั กับศารทวิษวุ ตั จะสลบั กัน ถ่นิ ทอี่ ยอู่ าศัยได้ ดาวเคราะหท์ ่ีสามารถคา้ จนุ ต่อส่งิ มีชวี ติ ได้ เรียกว่า ดาวเคราะห์อยู่อาศัยได้ โดยไม่จาเป็นว่าส่ิงมชี ีวติ จะต้องกาเนิดจากดาวเคราะห์นน้ั โลกมีนา้ ในรูปของเหลว ซึง่ เป็น สิ่งแวดลอ้ มท่โี มเลกลุ สารอนิ ทรยี ซ์ บั ซอ้ นสามารถรวมตัวกนั หรือมอี นั ตรกิรยิ าต่อกันได้ และมพี ลงั งานเพยี งพอคา้ จุนเมแทบอลิซึมระยะทางจากโลกถึงดวงอาทติ ย์

ตลอดจนความเยื้องศูนย์กลางของวงโคจร อตั ราการหมนุ รอบตวั เอง ความเอยี งของแกนดาว ประวัตศิ าสตรธ์ รณีวทิ ยา การมชี ้นั บรรยากาศคอยค้าจุน และมี สนามแม่เหลก็ ทั้งหมดลว้ นเก้ือหนนุ ให้เกิดสภาพภูมอิ ากาศที่พืน้ ผิวดงั เช่นในปจั จบุ ัน ชีวมณฑล บ้างมกี ารกล่าวถงึ รูปแบบสิ่งชวี ติ ตา่ ง ๆ บนดาวเคราะหว์ า่ ประกอบขึน้ เป็น \"ชวี มณฑล\" เชือ่ กันท่วั ไปว่าชวี มณฑลของโลกเริ่มวิวัฒน์ขน้ึ เม่ือประมาณ 3.5 พนั ลา้ นปี ก่อนจาแนกได้เปน็ ชีวนเิ วศต่าง ๆ กนั ท่ีมพี ชื และสัตวต์ า่ ง ๆ ที่คลา้ ยคลงึ กันกว้าง ๆ อยอู่ าศยั ชีวนเิ วศบนดนิ แบ่งตามหลักใหญไ่ ดต้ ามละติจูด ความสงู จากระดบั น้าทะเล และระดบั ความชืน้ ต่าง ๆ สว่ นชีวนิเวศบกที่อย่ใู นบริเวณอาร์กติกหรอื แอนตาร์กติกเซอร์เคลิ , ทท่ี ่ีมรี ะดับความสูงมาก หรือในพื้นท่แี ลง้ สดุ ข้วั มพี ืชและสัตวเ์ พยี ง เลก็ นอ้ ย ความหลากหลายของสปชี สี ์จะสงู สุดในพ้ืนทล่ี มุ่ ชื้นบรเิ วณละติจดู ศูนย์สูตรโลกมีทรพั ยากรหลากหลายซงึ่ มนุษย์แสวงหาประโยชน์ ทรัพยากรทเ่ี รยี ก ทรัพยากรไมห่ มนุ เวียน เช่น เชอ้ื เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ จะมีทดแทนตามเวลาทางธรณวี ิทยาเทา่ น้ันเช้ือเพลิงซากดกึ ดาบรรพป์ ริมาณมากทีถ่ ูกกักเกบ็ สามารถขุดเจาะได้ จากเปลอื กโลก ประกอบด้วยถา่ นหนิ ปโิ ตรเลยี ม และกา๊ ซธรรมชาติ มนษุ ย์ใช้เชอื้ เพลิงเหลา่ นท้ี งั้ เพื่อการผลิดพลังงานและเป็นวัตถดุ ิบตงั้ ต้นในอุตสาหกรรมเคมี เนอ้ื สนิ แรจ่ านวนมากยังกอ่ ตัวขึ้นภายในเปลือกโลกผา่ นกระบวนการกาเนิดแร่ อันเปน็ ผลจากการปะทขุ องหินหลอมเหลว การกดั เซาะ และการแปรสัณฐานแผน่ ธรณภี าค วตั ถเุ หลา่ นีเ้ ป็นแหลง่ เนือ้ แร่ของโลหะหลายชนดิ ตลอดจนธาตมุ ีประโยชน์อน่ื ชีวภาคของโลกก่อกาเนดิ ผลิตภัณฑ์ชีวภาพหลายชนิดท่เี ป็นประโยชนต์ ่อมนุษย์ ประกอบดว้ ยอาหาร ไม้ ยารักษาโรค ออกซิเจน และช่วยรไี ซเคลิ ของเสียอินทรียจ์ านวนมาก ระบบนเิ วศบนบกต้องอาศัยหน้าดินและน้าจืด ในขณะท่ีระบบนิเวศ มหาสมทุ รต้องอาศัยสารอาหารทลี่ ะลายในน้าซึง่ ถกู ชะมาจากแผน่ ดินในปี 1980 พนื้ ดนิ ของโลก 5,053 ลา้ นเฮกตาร์ (50.53 ลา้ นตารางกิโลเมตร) เป็นพื้นที่ปา่ และต้นไม้ 6,788 ลา้ นเฮกตาร์ (67.88 ลา้ นตารางกโิ ลเมตร) เป็นทุ่งหญ้าและทุ่งหญ้าเลยี้ งสัตว์ และ 1,501 ลา้ นเฮกตาร์ (15.01 ลา้ นตารางกิโลเมตร) เป็น พนื้ ทีเ่ กษตรกรรมเพาะปลกู จานวนพ้ืนทชี่ ลประทานโดยประมาณในปี 1993 อยู่ที่ 2,481,250 ตารางกิโลเมตร (958,020 ตารางไมล์) มนษุ ยย์ งั ดารงชวี ติ บน พื้นดินโดยใชว้ ัสดกุ ่อสรา้ งขนดิ ต่าง ๆ ก่อสร้างที่พกั อย่อู าศยั

การใชพ้ ้ืนที่ ประมาณการใช้พืน้ ท่ขี องมนุษย์ปี 2000 ลา้ นเฮกตาร์ เพาะปลกู ทงุ่ หญา้ 1,510–1,611 ป่าธรรมชาติ 2,500–3,410 ป่าปลูก 3,143–3,871 พน้ื ทีเ่ มอื ง 126–215 ทด่ี นิ กอ่ ประโยชนไ์ ด้แต่ไม่ใช้ 66–351 356–445 อนั ตรายทางธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม พื้นที่บรเิ วณกว้างบนพื้นผิวโลกเผชญิ สภาพอากาศร้ายแรง เช่น พายุหมุนเขตร้อน เฮอริเคน หรือไต้ฝุ่นซึ่งครอบงาส่งิ มีชวี ิตในพ้ืนที่เหลา่ น้นั ระหว่างปี 1980 ถึง 2000 ภัยธรรมชาติดงั กลา่ วเปน็ สาเหตทุ าให้มผี ูเ้ สียชวี ิตโดยเฉลี่ย 11,800 รายต่อปใี นหลายที่ยงั ตอ้ งประสบกบั แผน่ ดินไหว แผ่นดินถลม่ สนึ ามิ ภเู ขาไฟระเบิด

ทอร์นาโด หลุมยบุ พายุหิมะ น้าท่วม ภยั แลง้ ไฟปา่ และหายนะภัยหรอื พบิ ัตภิ ยั อ่ืน ๆพ้ืนท่ที ้องถิน่ หลายแห่งยงั ได้รับผลกระทบจากมลพิษทง้ั ทางนา้ และอากาศอันมี สาเหตุจากมนษุ ย์ ฝนกรดและสารพษิ นานาชนดิ การเสียพ้ืนทส่ี เี ขยี ว (การทาปศุสัตวม์ ากเกนิ ไป การทาลายป่า การเกิดทะเลทราย) การสญู เสยี สัตว์ป่า การสญู พนั ธุ์ ของสปชี ีส์ ดินเส่ือมคณุ ภาพ ดินถูกทาลายและการกดั เซาะมีความเห็นพ้องทางวิทยาศาสตรท์ ีเ่ ช่ือมโยงกิจกรรมของมนุษย์กับปรากฏการณโ์ ลกร้อนอันเน่ืองมาจากการ ปล่อยคารบ์ อนไดออกไซด์จากภาคอุตสาหกรรม นาไปสู่การคาดคะเนความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การละลายของธารน้าแข็งและพืดน้าแข็ง พสิ ัยอณุ หภูมิท่ีรนุ แรง มากขน้ึ การเปลยี่ นแปลงอยา่ งสาคัญของลมฟ้าอากาศและการเพิ่มของระดับนา้ ทะเลปานกลางทว่ั โลก ภูมศิ าสตร์มนุษย์ วิชาการเขยี นแผนทซ่ี ่งึ ทาการศกึ ษาและสรา้ งแผนท่ีในเชงิ ปฏบิ ัติ วิชาภูมิศาสตรซ์ ่งึ ทาการศกึ ษาพืน้ ท่ี ภูมิประเทศ ผู้อย่อู าศัย และปรากฏการณต์ ่าง ๆ บนโลก ลว้ นมี ประวตั ศิ าสตร์อันแขง็ ขันท่ีอุทศิ แกก่ ารพรรณนาโลก วศิ วกรรมสารวจซึ่งทาการกาหนดทต่ี ้ังและระยะทาง ตลอดจนขอบเขตอกี บางส่วนจากการเดินเรอื อันตอ้ งกาหนด ตาแหน่งและทศิ ทาง กไ็ ดม้ ีการพัฒนาข้ึนรว่ มไปกบั วชิ าการเขียนแผนท่แี ละภูมิศาสตร์ ท้ังหมดน้ันได้อานวยและให้ปรมิ าณขอ้ สนเทศทจี่ าเป็นได้อยา่ งเหมาะสมจานวน ประชากรมนุษย์บนโลกได้เพิ่มขน้ึ ถงึ เจ็ดพนั ล้านคนโดยประมาณในวนั ท่ี 31 ตลุ าคม 2011ผลการคาดคะเนช้ีวา่ ประชากรมนษุ ย์บนโลกจะเพ่มิ ขึน้ ถงึ 9.2 พนั ลา้ น คนในปี 2050จานวนทีเ่ พ่ิมข้นึ ส่วนใหญ่นัน้ คาดอย่ใู นประเทศกาลงั พัฒนา ความหนาแนน่ ของประชากรมนษุ ย์ผนั แปรมากท่วั โลก โดยสว่ นใหญอ่ ยูอ่ าศยั ในทวปี เอเชีย เมื่อถงึ ปี 2020 คาดว่าราวร้อยละ 60 ของประชากรโลกจะอยอู่ าศัยในเมืองมากกวา่ ในพืน้ ที่แถบชนบทประมาณกนั วา่ พนื้ ทห่ี นงึ่ ในแปดของผิวโลกเหมาะสม ตอ่ การอยอู่ าศัยของมนุษย์ โดยทีพ่ ้นื ทร่ี าวสามในสีข่ องผิวโลกถปกคลมุ ดว้ ยมหาสมทุ ร มีเพียงหน่ึงในส่ีเทา่ นั้นท่ีเปน็ แผน่ ดินกว่าคร่ึงของแผน่ ดนิ เป็นพน้ื ท่ีแหง้ แล้ง (ร้อยละ 14) ภเู ขาสูง (ร้อยละ 27) หรือพ้นื ทท่ี ีไ่ มเ่ หมาะสมอนื่ ๆ นคิ มถาวรเหนอื สุดของโลก คือ เมืองอเลิรท์ บนเกาะเอลสเมียร์ ในนูนาวุต ประเทศแคนาดา (82°28′เหนือ) สว่ นตาแหน่งใต้สดุ คือ สถานีข้วั โลกใตอ้ มนุ ดเ์ ซน–สกอ็ ตในทวีปแอนตารก์ ตกิ า โดยมีทต่ี ง้ั เกือบตาแหน่งเดยี วกันกบั ขวั้ โลกใต้ (90°ใต)้ รฐั เอกราช อ้างสทิ ธ์ิเหนือพื้นผิวดินทงั้ หมดของโลกยกเว้นเพยี งบางสว่ นของทวปี แอนตารก์ ตกิ า แปลงทด่ี นิ เลก็ ๆ ตามฝั่งตะวนั ตกของแมน่ า้ ดานบู และพนื้ ทไี่ ม่มกี ารอ้างสทิ ธ์ิ บรเิ วณบที าวลิ ซ่ึงอยูร่ ะหว่างประเทศอยี ิปต์และซดู าน ในปี 2015 โลกมรี ัฐสมาชิกสหประชาชาติ 193 รฐั บวกรัฐผู้สังเกตการณ์ 2 รฐั และดนิ แดนในภาวะพงึ่ พงิ

และรฐั ท่ีได้รบั การรับรองจากดั 72 ดนิ แดนและรัฐในประวัติศาสตรโ์ ลกยงั ไม่เคยมีรัฐบาลเอกราชใดมีอานาจเหนือโลกทงั้ ใบ บางรัฐชาตจิ านวนหนึ่งที่เคยพยายาม ครองโลกแต่ลม้ เหลวสหประชาชาติเป็นองค์การระหว่างรัฐบาลท่ัวโลก ก่อตั้งขึน้ โดยมีเป้าหมายเพ่ือเข้าแทรกแซงกรณีพพิ าทระหวา่ งชาติรฐั ต่าง ๆ จึงหลกี เล่ียงการ ขัดกนั ดว้ ยอาวุธสหประชาชาติใชเ้ ปน็ ทส่ี าหรับการทูตระหว่างประเทศตลอดจนกฎหมายระหว่างประเทศเป็นหลัก ต่อเม่อื มฉี นั ทามตจิ ากชาติสมาชิกอนุญาตแล้วจึงมี กลไกเขา้ แทรกแซงด้วยกาลงั ได้มนุษย์คนแรกทไี่ ดโ้ คจรรอบโลกคอื ยูริ กาการิน เม่ือวันที่ 12 เมษายน 1961หากนบั รวมทัง้ หมดจนถึง 30 กรกฎาคม 2010 มี มนษุ ยท์ ้ังส้นิ ราว 487 คนเคยเยือนอวกาศและในจานวนนี้ สบิ สองคนเคยเดินบนดวงจนั ทรป์ กตมิ นุษย์ในอวกาศมเี ฉพาะท่อี ยบู่ นสถานีอวกาศนานาชาตเิ ท่านั้น ลูกเรอื ของสถานีมีจานวนทงั้ สิ้นหกคนซึง่ จะมีการผลดั เปลยี่ นการปฏิบัตภิ ารกิจทุกหกเดอื นระยะทางท่ไี กลท่สี ุดท่มี นุษย์เคยเดินทางออกไปจากโลกคือ 400,171 กโิ ลเมตร โดยเกิดข้นึ ในระหว่างภารกิจ อะพอลโล 13 ในปี 1970 ภาพประกอบรวมไดจ้ ากขอ้ มลู การเรืองแสงภาคพน้ื ดินของ ดีเอ็มเอสพี/โอแอลเอส ปี 2000 แสดงภาพจาลองยามคา่ คืนของโลก

ดวงจันทร์ ดวงจนั ทร์เป็นดาวบริวารขนาดค่อนข้างใหญ่ มพี ้ืนผิวแขง็ คลา้ ยดาวเคราะห์โดยมเี ส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งในสข่ี องโลก เป็นดาวบริวารขนาดใหญ่สุดในระบบ สรุ ยิ ะเมอ่ื เทยี บสดั สว่ นกบั ดาวเคราะห์ แมว้ ่าแครอนมีขนาดใหญก่ ว่าเม่ือเทยี บสดั ส่วนกับดาวเคราะหแ์ คระพลูโต ดาวบริวารที่โคจรรอบดาวเคราะหอ์ นื่ ๆ กเ็ รยี ก \"ดวง จันทร\"์ ตามดวงจันทร์ของโลกการดึงเชงิ โน้มถ่วงระหวา่ งโลกและดวงจนั ทร์กอ่ ใหเ้ กดิ ปรากฏการณน์ ้าขนึ้ น้าลงบนโลก ผลเช่นเดียวกนั ท่ีเกดิ กับดวงจนั ทรน์ าไปสู่ ภาวะการตรึงด้วยแรงไทด์ (tidal locking) ทาใหร้ ะยะเวลาในการหมนุ รอบตัวเองของดวงจันทร์เท่ากันกบั เวลาที่ใช้โคจรรอบโลก ผลคือดวงจันทรจ์ ะหันดา้ นเดียวเข้า หาโลกเสมอ ในขณะท่ีดวงจันทร์โคจรรอบโลกแต่ละรอบ พน้ื ผิวส่วนตา่ ง ๆ ของหน้าท่หี ันสู่โลกจะไดร้ ับแสงจากดวงอาทิตย์ นาไปสู่ปรากฏการณ์ข้างขึ้นขา้ งแรม ส่วน หน้ามืดแยกออกจากส่วนสว่างโดยเขตสนธยาสรุ ยิ ะ (solar terminator) รายละเอียดของระบบโลก–ดวงจนั ทร์ แสดงรศั มถี งึ ศูนย์กลางมวลรว่ มของโลก–ดวงจันทร์ ตาแหน่งแกนของดวงจันทรห์ าได้จากกฎข้อที่สามของแคสซนี ี

จากอันตรกิรยิ านา้ ขึ้นนา้ ลง ดวงจันทร์จึงถอยหา่ งออกไปจากโลกในอตั ราประมาณ 38 มลิ ลเิ มตรต่อปี อกี หลายลา้ นปขี า้ งหน้าการเคลือ่ นเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ นี้ รวมถงึ วันของ โลกทย่ี าวขึ้นประมาณ 23 ไมโครวินาทที ุกปี จะทวีขึ้นจนกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงท่มี ีนัยสาคญั [212] ตัวอย่างเช่น ในระหวา่ งยุคดีโวเนยี นเม่ือประมาณ 410 ล้านปกี ่อน หนึ่งปโี ลกมี 400 วัน โดยวนั หนงึ่ มีเวลา 21.8 ชวั่ โมงดวงจันทร์อาจมีผลกระทบอยา่ งใหญ่หลวงต่อพฒั นาการของส่ิงมีชวี ิตโดยการชว่ ยบรรเทาภูมิอากาศของโลกไมใ่ ห้ รุนแรงเกนิ ไป หลักฐานบรรพชีวินวิทยาและแบบจาลองคอมพวิ เตอร์แสดงใหเ้ ห็นว่าความเอียงของแกนโลกมีเสถียรภาพอยไู่ ดโ้ ดยอนั ตรกิริยาข้ึนลงกบั ดวงจันทร์นกั ทฤษฎีบางส่วนเชื่อวา่ หากปราศจากเสถียรภาพนี้เม่ือต้องเผชญิ กบั แรงบิดท่ีส่งมาจากจากดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์อื่น ๆ ท่กี ระทาต่อสว่ นโป่งบริเวณศูนย์สตู รของโลก แลว้ แกนหมุนของโลกอาจไรเ้ สถียรภาพถงึ ขัน้ โกลาหล โดยจะแสดงการเปลีย่ นแปลงอย่างสับสนอลหมา่ นในทกุ ๆ หลายล้านปดี งั ในกรณีของดาวองั คารเม่ือมองจาก โลก ดวงจันทร์อยูห่ า่ งออกไปพอใหข้ นาดปรากฏของดวงจันทร์เกือบเทา่ กบั ขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์ ขนาดเชิงมมุ (หรือมมุ ตัน) ของวตั ถทุ ั้งสองเสมอกนั เพราะเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางของดวงอาทิตย์แมจ้ ะมากกว่าของดวงจันทรร์ ว่ ม 400 เท่า แตร่ ะยะทางมาถึงโลกกไ็ กลกวา่ 400 เท่าด้วยเชน่ กนั สภาพดังกลา่ วเป็นสาเหตใุ ห้สรุ ิยุปราคาท้งั แบบเตม็ ดวงและแบบวงแหวนปรากฏบนโลกไดท้ ฤษฎกี ารกาเนดิ ดวงจันทร์ทไ่ี ด้รับการยอมรบั มากทีส่ ดุ คือสมมตฐิ านการชนใหญ่ โดยกล่าวว่าดวงจันทร์เกดิ ข้ึนจากท่ี ดาวเคราะห์ยุคแรกขนาดเทา่ ดาวองั คารชอื่ เธียพุง่ ชนโลกระยะแรกสมมติฐานนี้อธบิ ายเกย่ี วกับปรมิ าณเหล็กและธาตุระเหยงา่ ยทีไ่ มค่ อ่ ยพบบนดวงจันทร์ ตลอดจน ขอ้ เทจ็ จรงิ ที่องคป์ ระกอบของดวงจนั ทรแ์ ทบเหมอื นกบั องค์ประกอบของเปลอื กโลก เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ลักษณะเฉพาะ มวล กึ่งแกนเอก 3,474.8 กม. คาบการโคจร 7.349×1022 กก. 384,400 กม. 27 ว 7 ช 43.7 น

ดาวเคราะหน์ อ้ ยและดาวเทยี ม โลกมีดาวเคราะหน์ ้อยรว่ มวงโคจรอยา่ งน้อยห้าดวงด้วยกัน อาทิเช่น 3753 ครอู ิทเนและ 2002 AA29ดาวเคราะห์น้อยโทรจันร่วมทางได้แก่ 2010 TK7 ซึง่ เคลื่อนไปตาม เส้นทางลา้ หน้าโลก ณ ตาแหนง่ จดุ สามเหลย่ี มลากรอ็ งจ์ (Lagrange triangular point) หรือแอล4 ในวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตยด์ าวเคราะหน์ ้อยใกล้โลกขนาด เลก็ 2006 RH120 เขา้ เฉียดระบบโลก–ดวงจันทร์ประมาณทกุ 20 ปี ระหวา่ งการเฉยี ดแต่ละครั้ง สามารถโคจรรอบโลกได้ช่วงสั้น ๆจนถึงเดอื นมิถนุ ายน 2016 มี ดาวเทยี มในระหว่างปฏิบตั ิการ 1,419 ดวงโคจรรอบโลกยงั มดี าวเทียมทย่ี ตุ กิ ารใชง้ านแล้วและขยะอวกาศท่ีมกี ารตดิ ตามอีก 17,729 ชน้ิ ดาวเทยี มใหญส่ ุดของโลกคอื สถานอี วกาศนานาชาติ สถานีอวกาศนานาชาติ ดาวเทียมของโลก มุมมองด้านประวตั ิศาสตร์และวัฒนธรรม สญั ลักษณ์ทางดาราศาสตร์มาตรฐานของโลกประกอบด้วยกากบาทท่ีมีวงกลมลอ้ มรอบอยู่ Earth symbol.svgเปน็ ตัวแทนของสมี่ มุ โลก

วัฒนธรรมมนษุ ยพ์ ฒั นามุมมองตา่ ง ๆ ของโลก บางทีโลกก็มีบุคลาธษิ ฐานเป็นเทพเจา้ ในหลายวัฒนธรรม เทพมารดา (mother goddess) เป็นเทพเจ้าความอุดมสมบรู ณ์ หลกั ด้วยและเมอื่ กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 20 หลกั ไกอาเปรียบเทยี บสงิ่ แวดล้อมของโลกกับสิ่งมีชีวิตเป็นส่ิงมีชวี ิตกากับตัวเองเด่ยี ว ๆ ทนี่ าไปสู่การสร้างเสถยี รภาพอย่าง กวา้ งขวางซ่งึ ภาวะการอย่อู าศยั ได้ปรมั ปราการสรรค์สร้างในหลายศาสนามวี ่า เทพเจา้ เหนือธรรมชาติพระองค์เดียวหรือหลายพระองค์ทรงสรา้ งโลกการสอบสวนทาง วทิ ยาศาสตรส์ ง่ ผลใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทางวัฒนธรรมในมุมมองของมนุษย์ตอ่ โลก ในโลกตะวนั ตก ความเชื่อเรื่องโลกแบนถกู แทนดว้ ยโลกทรงกลมอันเน่ืองจากพี ทาโกรัสในศตวรรษที่ 6 กอ่ นครสิ ตกาลตอ่ มาเชือ่ ว่าโลกเป็นศูนยก์ ลางของเอกภพจนคริสตศ์ ตวรรษท่ี 16 เมอื่ นักวิทยาศาสตร์ตง้ั ทฤษฎวี ่าโลกเป็นวัตถุเคลือ่ ที่โดยเทยี บ กับดาวเคราะห์อ่นื ในระบบสุริยะคร้งั แรก เนื่องจากความพยายามของนกั วิชาการคริสต์ศาสนิกชนผูท้ รงอิทธิพลและนกั บวชอยา่ งเจมส์ อชั เชอร์ ผู้มุ่งหาอายขุ องโลกผา่ น การวเิ คราะหพ์ งศาวลวี ิทยาในคัมภีร์ไบเบิล ชาวตะวนั ตกก่อนคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 โดยทั่วไปจึงเช่ือว่าโลกมีอายุเกา่ สดุ ไม่กี่พนั ปจี นระหวา่ งครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19 ทนี่ กั ธรณวี ทิ ยาทราบวา่ โลกมอี ายุหลายลา้ นปแี ลว้ \"เอริ ธ์ ไรซ์\" ถา่ ยโดยนกั บนิ อวกาศบนยาน อะพอลโล 8



HYPERLINK \"https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&ved=2ahUKEwi_38Hs4ZvkAhUFK48KHQBzDwwQjRx6BAgBEAQ&url=http%3A% 2F%2Fallaboutastronomy501.blogspot.com%2F2017%2F11%2Fstructure-of-earth.html&psig=AOvVaw1mY3S0dcMYjwlKJpCLHTCi&ust=1566744400020188\" \\t \"_blank\"


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook