Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กีฬากระบี่กระบอง

กีฬากระบี่กระบอง

Published by Teacher Ya Channel, 2021-01-26 09:21:13

Description: กีฬากระบี่กระบอง

Search

Read the Text Version

กีฬากระบกี่ ระบอง กระบก่ี ระบอง เปน็ ศิลปะการตอ่ สูข้ องไทยท่สี าคัญชนดิ หนง่ึ ซ่งึ ควรค่าแกก่ ารอนรุ ักษไ์ ว้ บาง คนอาจจะเคยเรยี นมาแล้วในวชิ าพลศกึ ษา แตห่ ลายคนอาจจะไมร่ จู้ ักกีฬาชนิดน้ี วันน้ีเรามีประวตั ิ ความเปน็ มา การแข่งขนั รวมถึงกตกิ าและวิธกี ารเล่นกระบ่กี ระบองมาฝาก ประวตั ิความเปน็ มากฬี ากระบก่ี ระบอง กระบกี่ ระบอง เปน็ กฬี าทเ่ี ราไม่ค่อยจะคนุ้ หกู ันสักเท่าไหร่นัก อาจเพราะไมม่ กี ารแขง่ ขนั ใน ระดับสากล แต่คุณรู้หรือไมว่ า่ กระบี่กระบองนี้เปน็ กฬี าท่มี มี าแตค่ รั้งบรรพบรุ ษุ เป็นการนาเอาศิลปะ การตอ่ สปู้ อ้ งกนั ตวั ด้วยอาวุธท่ใี ชส้ ู้รบกันในสมยั โบราณทช่ี ่วยปกบ้านปอ้ งเมอื งเราเอาไว้ แตป่ จั จบุ นั วิชากระบกี่ ระบองไดม้ ีการพฒั นาบรรจุเป็นหลักสูตรในวชิ พลศึกษาท่ีหลายคนคงได้เรียนมาบา้ ง และ ในวนั นีก้ ระปกุ ดอทคอมก็ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกบั กฬี ากระบี่กระบองมาฝากกนั จะมีอะไรบา้ งนน้ั มาดู กนั เลยคะ่

การเล่นกระบก่ี ระบองเป็นพื้นฐานเบ้ืองต้นส่วนหนึ่งของศิลปะการตอ่ สู้ของไทย ทเี่ รียกวา่ กระบก่ี ระบอง เพราะเป็นกีฬาที่บรรพบุรษุ ไทยนาเอาศิลปะการต่อสู้ปอ้ งกันตวั ด้วยอาวุธท่ีใช้สรู้ บกนั ในสมัยโบราณมาฝึกซอ้ มและเลน่ ในยามสงบ โดยนาหวายมาทาเปน็ กระบี่ ดาบ งา้ ว ฯลฯ เอาหนังมา ทาโล่ เขน ดั้ง ฯลฯ แล้วจัดมาตตี อ่ ส้กู นั เล่นหรอื แขง่ ขนั กันเปน็ คู่ ๆ ดุจส้กู ันในสนามรบ เปน็ การฝกึ หัด รกุ และรับไปในตัว อย่างไรกต็ าม ประวัติเร่ิมต้นของการเลน่ กระบี่กระบองท่ีแท้จรงิ นน้ั ไมท่ ราบได้แนช่ ัดวา่ เรม่ิ กัน มาตั้งแต่ครั้งไหน และใครเปน็ ผู้คิดค้นขนึ้ เพราะไม่สามารถค้นคว้าจากแหลง่ ใดได้ แต่เนื่องดว้ ยไทยเรา เปน็ ชาตินกั รบมาแต่โบราณ กระบ่กี ระบองซง่ึ เปน็ กฬี าของนักรบจงึ น่าจะไดม้ ีการเลน่ กันมาเป็นเวลา ชา้ นานควบคกู่ ับชนชาตไิ ทย ในสมยั รัตนโกสินทรม์ หี ลกั ฐานทีพ่ ออ้างองิ ไดค้ อื วรรณคดี ซงึ่ ในสมัย รชั กาลท่ี 2 ในพระราชนพิ นธ์เรื่องอเิ หนา กลา่ วถึงอเิ หนาชานาญในการกระบี่ ในรชั กาลที่ 3 สนุ ทรภู่ แตง่ เรื่องพระอภยั มณี กลา่ วถึงศรสี วุ รรณเล่าเร่ืองกระบก่ี ระบองกับอาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ ต่อมาในรัชกาลท่ี 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงโปรดปรานกระบีก่ ระบองเปน็ พิเศษ ถึงกับโปรดใหส้ มเดจ็ พระเจ้าลกู ยาเธอหลายพระองคท์ รงหัดกระบก่ี ระบองจนครบวง และโปรด ให้เลน่ กระบก่ี ระบองเปน็ การสมโภชท่หี นา้ พระอุโบสถวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม เนื่องในการผนวช เปน็ สามเณรของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว เมอื่ ปี พ.ศ. 2409 ตอ่ มา รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้มกี ารเลน่ กระบี่กระบอง และชกมวยไทยหนา้ พระที่น่ังในงาน สมโภชอยเู่ นือง ๆ พระองคเ์ สดจ็ ทอดพระเนตรและพระราชทานรางวัลแกผ่ ูแ้ สดงและแข่งขันบ่อย ๆ ฉะน้ันกระบี่กระบองจงึ เป็นท่ีรู้จักมักค้นุ กันมากในสมัยนนั้ และในแตล่ ะปีอาจจะดไู ดห้ ลายครัง้ อย่างไรก็ตาม ในชว่ งนนั้ กฬี ากระบก่ี ระบองเปน็ ที่นิยมมาก จึงทาใหก้ ระบ่ีกระบองมีอยู่ดาษดื่น และมี มากคณะดว้ ยกัน ครน้ั ถึงในสมัยรัชกาลที่ 6 ความครึกคร้ืนในการเล่นกระบกี่ ระบองลดนอ้ ยลง เพราะไมท่ รง โปรดเทา่ รชั กาลท่ี 5 และตอ่ มา ในรัชกาลท่ี 7 กฬี ากระบก่ี ระบองคอ่ ย ๆ หมดไปจนเกอื บหาดไู ม่ได้ เนื่องจากการเปลย่ี นแปลงประเทศใหท้ นั กบั ความเจรญิ ก้าวหน้าของโลกอุตสาหกรรม ทาให้ประชาชน ทั่วไปมงุ่ ในเร่อื งเศรษฐกิจ สังคมมากข้ึน ทั้งน้ี ทา่ นอาจารยน์ าค เทพหัสดิน ณ อยธุ ยา เป็นผหู้ นง่ึ ทไี่ ด้เลา่ เรยี นวิชานม้ี าตั้งแตย่ งั เปน็ เด็ก และเป็นผูท้ ี่รกั ใครใ่ นศลิ ปะวิชานีอ้ ยู่เสมอ จึงพยายามสงวนและเผยแพรว่ ิชากระบกี่ ระบองของไทย

มากขึ้น ต่อมาเมอ่ื ทา่ นมโี อกาสเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรยี นพลศกึ ษากลาง ทา่ นไดเ้ ริม่ ลองสอน นักเรียนพลศึกษากลางเก่ยี วกับการเลน่ กระบก่ี ระบองขึ้นเปน็ ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2478 หลงั จาก ทดลองสอนอยู่ 1 ปี พบว่าไดผ้ ลดเี ป็นท่ีนา่ พอใจของทา่ นผใู้ หญ่ จึงได้กาหนดวิชากระบี่กระบองไวใ้ น หลกั สูตรของประโยคครูผู้สอนพลศกึ ษา เม่ือปี พ.ศ.2479 นบั แต่นั้นมาได้มผี ้เู ลา่ เรยี นและสาเร็จ การศึกษามากข้ึนเปน็ ลาดบั กตกิ าการเลน่ กระบี่กระบอง และรปู แบบการเลน่ กระบ่กี ระบอง การเลน่ กระบกี่ ระบองแต่ละครั้งนั้นมีแบบแผนการเลน่ ท่กี าหนดไว้ ดงั น้ี 1. การถวายบงั คม ในสมัยโบราณการแสดงการต่อสูม้ ักกระทาตอ่ หน้าท่ปี ระทับ ผแู้ สดงจึงตอ้ งมกี ารถวายบงั คม ซงึ่ เปน็ การแสดงความเคารพต่อพระเจ้าแผน่ ดินดว้ ย และต่อมาได้เปน็ การปฏิบัติเพ่อื แสดงความ จงรักภักดตี อ่ พระมหากษตั รยิ แ์ ละผ้มู ีพระคุณ การถวายบงั คมนี้จะกระทา 3 ครง้ั แต่ละครั้งมี ความหมาย ดังนี้ คร้ังที่ 1 หมายถงึ การแสดงความเคารพตอ่ หลกั ธรรมคาสั่งสอนขององคพ์ ระศาสดา คร้ังที่ 2 หมายถงึ การแสดงความเคารพต่อองค์พระประมขุ ของชาติ ครั้งที่ 3 หมายถงึ การแสดงความเคารพตอ่ บิดา มารดา ผปู้ ระสิทธิ์ประสาทวชิ าการและผู้มี พระคุณ

2. การข้นึ พรหม ประกอบดว้ ย การข้นึ พรหมน่งั และการขึ้นพรหมยืน 2.1 การขึ้นพรหมนง่ั ไดแ้ ก่ การนั่งร่ายราแต่ละทศิ จนครบ 4 ทิศ แลว้ จึงกลบั หลังหนั ลุกข้นึ ยนื 2.2 การข้นึ พรหมยืน เปน็ การยนื ราแต่ละทิศจนครบท้งั 4 ทศิ และจบลงด้วยการเตรียมพรอ้ ม จะปฏิบตั ิในข้ันตอนตอ่ ไป การขึ้นพรหมนี้ ถา้ ฝ่ายหนง่ึ ขนึ้ พรหมน่งั อกี ฝ่ายจะขึน้ พรหมยืน นอกจากเปน็ การสรา้ งกาลังใจ และคมุ้ ครองในการตอ่ สแู้ ลว้ การขน้ึ พรหมนี้ อาจารย์นาค เทพหัสดิน ณ อยธุ ยา ไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ่า เปน็ การสอนใหผ้ ้เู รยี นระลึกถงึ ธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม ได้แก่ พรหมวิหารส่ี 3. การราเพลงอาวธุ ผูแ้ สดงทเ่ี ลน่ อาวธุ ใดจะเลอื กราเพลงตามอาวธุ ทตี่ นใช้ โดยเลอื กท่าราจากท่าราท้ังหมดในอาวุธ นนั้ ตามความเหมาะสมหรอื ความชานาญของผูเ้ ล่นประมาณ 1 ท่า การราเพลงอาวธุ น้มี ีมานานแต่สมยั โบราณ และมีประโยชน์ต่อผเู้ ล่น

4. การเดินแปลง เปน็ ลักษณะของการเดนิ ที่พร้อมจะเขา้ สทู่ า่ ต่อสู้ การเดนิ จะเดนิ ไปจนสดุ สนามแลว้ กลบั มาที่ เดมิ ขณะทอ่ี ยใู่ นระยะใกลท้ จี่ ะสวนกนั ใหต้ ่างหลีกไปทางซ้ายเพยี งเล็กนอ้ ย โดยอาวุธอาจจะถูกหรือระ กนั เล็กน้อยได้ การเดนิ แปลงเปน็ การทีท่ ั้งสองฝ่ายต่างจอ้ งดูเล่ห์เหลีย่ มของกันและกัน เป็นการอา่ นใจ กันและคุมเชิงกนั ในทีกอ่ นจะเข้าต่อสู้ 5. การต่อสู้ จะเป็นการใช้ทา่ ทางการต่อสูท้ ่ไี ดฝ้ กึ มาทง้ั หมดในสถานการณ์จรงิ การต่อสู้นีจ้ ะใชอ้ าวุธของ การตอ่ สทู้ เ่ี รียกว่า \"เครือ่ งไม้ตี\" มลี กั ษณะเช่นเดยี วกับเครื่องไม้รา แต่ไมไ่ ด้ตกแตง่ ให้สวยงาม 6. การขอขมา เป็นการไหว้กันและกนั ระหว่างผู้เลน่ ทงั้ สองฝ่ายหลงั จบการแสดงแต่ละอาวธุ เปน็ การขอโทษ ตอ่ การแสดงที่ผิดพลั้งตอ่ กัน เป็นระเบยี บทีก่ าหนดข้ึนในภายหลังจากสมยั ทา่ นอาจารยน์ าค เทพ หสั ดนิ ณ อยุธยา การแสดงกระบ่ีกระบองมีธรรมเนยี มทดี่ อี ีกอย่างหนง่ึ คอื จะต้องมีดนตรีประกอบ ซึ่งจะมปี ี่ชวา กลองแขกตัวผู้ (เสยี งสูง) ตัวเมยี (เสยี งต่า) และฉิง่ จบั จังหวะ เพราะไทยเป็นชาตริ กั ดนตรี การเลน่ หรอื แสดงเฉย ๆ จะร้สู กึ เงยี บเหงา ขาดรสชาติหาความสนุกสนานไดย้ าก นอกจากดนตรจี ะช่วยใหเ้ กดิ ความสนุกสนานครึกคร้นื แล้วยังชว่ ยให้ผเู้ ล่นเกิดความฮึกเหมิ มีกาลังใจในการต่อสู้ โดยเฉพาะเสยี ง กลองจะเปน็ เหมือนเสยี งหนุนหรอื ยใุ ห้ผู้เลน่ คิดจะสเู้ รื่อย ๆ ไปโดยไมค่ ิดจะถอย มแี ตจ่ ะบกุ ตดิ ตามเขา้ ไปด้วยความทรหดอดทน อีกประการหนงึ่ ในการแขง่ ขันต้องมีการราอาวุธก่อนตอ่ สู้ ซึง่ ถอื วา่ เปน็ การ ดเู ชิงและเปน็ การทาใหก้ ล้ามเนือ้ ตื่นตวั ลดความตื่นเต้น ถ้าไม่มเี สยี งดนตรแี ล้วจะราได้อยา่ งไร

เครอื่ งกระบี่กระบอง เครื่องกระบ่กี ระบอง มีอยู่ 2 ชนิด คือ เครอื่ งไม้รา กับเคร่อื งไมต้ ี โดยทั้ง 2 ชนดิ นเี้ ป็นอาวุธ จาลอง สว่ นมากทามาจากหวาย มคี วามเหนยี วและเบามือ เครอื่ งไมร้ าน้ันลงรกั ปดิ ทองประดบั กระจก อย่างสวยงาม ส่วนเครอ่ื งไมต้ ีไม่ได้ตกแตง่ อะไร - กระบ่ี เครื่องไมร้ าทาดว้ ยหวายหรือเอน็ สัตวถ์ กั เป็นปลอก สวมแกนโลหะท่ยี าวตลอดลงไปถึง ด้ามด้วย ตอนปลายเป็นหวายหรือเอน็ ถึกคล้ายหางกระเบน มกั จะลงรกั ให้แขง็ บางทีทาสีแดงตลอด ด้ามมโี กร่งกนั มือ สว่ นเครอื่ งไมต้ นี นั้ ทาอย่างเดียวกันแต่ไม่ตกแตง่ อะไร - กระบองหรือพลอง เคร่ืองไมร้ าทาดว้ ยหวายหรือไมจ้ ริงลงรักปดิ ทอง เขียนลายรดนา้ หรอื ทาสแี ดงตลอด ไม่มโี ลหะประกอบอยูด่ ว้ ยเลย บางทกี ็ประดับกระจกอย่างกระบองของเจ้าเงาะใน ละครรา ส่วนเคร่อื งไม้ตีทาดว้ ยไมร้ ากไทรหรือหวายขนาดใหญ่ ลงรกั ดาหรอื ทาสีแดงตลอด ตอนปลาย ท้งั สองข้างใช้เชอื กขนาดเลก็ พนั ไว้ - ดาบ เชน่ เดียวกบั กระบี่ แตไ่ มม่ ีโกร่งกนั มอื เครอ่ื งไมร้ าทาสวยงามมากดูคล้ายมีฝักอยู่ดว้ ย ส่วนเครือ่ งไม้ตที าดว้ ยหวายเพอ่ื ให้สามารถตีไดไ้ มห่ กั การใช้ดาบน้นั มีทง้ั ดาบเดยี่ ว ดาบคู่ ดาบกบั ดง้ั ดาบกบั เขน ดาบกบั โล่ แล้วแตจ่ ะกาหนด - ง้าว เคร่อื งไม้ราประดิษฐต์ กแต่งสวยงามมาก ทาดว้ ยไม้จริง มีลกั ษณะใกลเ้ คียงกับง้าวของ จรงิ มาก ส่วนเครือ่ งไมต้ ที าด้วยหวาย ไม่มกี ารตกแต่งอยา่ งใด - ดงั้ เปน็ เครอื่ งป้องกนั อาวธุ ชนดิ หน่ึง นยิ มเลน่ คกู่ ับดาบ ซงึ่ ใชส้ าหรับป้องกันอาวธุ ของศัตรู เปน็ รปู ส่ีเหลีย่ มยาว ๆ โคง้ ๆ คล้ายกาบกลว้ ย กว้างประมาณ 15 เซนตเิ มตร ยาวประมาณ 100 เซนตเิ มตร ทาดว้ ยหนังหรอื หวายหรอื ไม้ปะปนกัน - โล่ เปน็ เคร่อื งปอ้ งกนั อาวธุ เช่นเดยี วกับดง้ั หรือเขน นยิ มนามาเลน่ คู่กับดาบ แตกต่างกนั ท่ี รปู ร่างเทา่ น้ัน คอื เป็นรปู วงกลม นนู ตรงกลาง ทาด้วยหนงั ดิบ หวายสาน หรอื โลหะ

- ไม้ศอกหรือไมส่ ั้น นบั วา่ เป็นเครือ่ งกระบก่ี ระบองชนิดหนึ่ง มีรูปร่างลกั ษณะคล้ายกระดูก ท่อนแขน เปน็ ทอ่ นไม้รปู สีเ่ หลย่ี ม ยาวประมาณ 45 เซนตเิ มตร กว้างและสูงประมาณ 7 เซนตเิ มตร การแตง่ กายกฬี ากระบ่กี ระบอง เครือ่ งแตง่ กายนั้นขึ้นอย่กู บั ความนยิ ม สมัยโบราณแตง่ กายอยา่ งทหาร หรือน่งุ โจงกระเบน แบบหยักร้ัง คาดผา้ ประเจียด ตะกรดุ หรอื นุ่งกางเกงขาส้ัน แต่ที่สาคญั คือ นักกระบ่ีกระบองจะตอ้ ง สวมมงคลท่ีทาด้วยด้ายดบิ พนั เปน็ เกลยี ว มีขนาดใหญ่เทา่ เชือกมะนลิ า ใช้ผ้าเยบ็ หุม้ อกี ช้นั หน่งึ ปลอ่ ย ปลายทงั้ สองย่นื ออก การคิดคะแนน แบ่งเปน็ 4 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทเครอื่ งแต่งกาย (4 คะแนน) - แตง่ แบบนกั รบไทยโบราณสมยั ตา่ ง ๆ - แต่งแบบชาวบ้าน ท้ังโบราณและปัจจุบนั เช่น น่งุ กางเกง สว่ นนุ่งผ้าโจงกระเบนดว้ ยผ้าพื้น หรือผา้ ลาย ใส่เสอื้ คอกลม แขนสนั้ หรอื แขนทรงกระบอก คาดผ้าตะเบงมาน ใส่ชุดม่อฮ่อม หรอื กางเกงขายาว เสอื้ คอกลมแขนสน้ั ผา้ ขาวม้าคาดเอว - แตง่ แบบกีฬานยิ ม เช่น นุ่งกางเกงขาส้นั หรอื ขายาว ใสเ่ สือ้ ทีมหรอื เสอ้ื ธรรมดาแขนส้นั หรือ ยาว มีผ้าคาดเอวหรือไมม่ กี ็ได้ รองเทา้ ผ้าใบ และใส่ถุงเทา้ การแต่งกายทงั้ 3 ขอ้ ข้างต้นตอ้ งแต่งให้เหมือนกันทั้งคู่ นอกจากเรื่องสีแล้ว ตอ้ งดูเรอื่ งความ สะอาด เรียบร้อย รวมทง้ั ตอ้ งสวมมงคลทุกครง้ั ท่อี อกแสดง 2. ประเภทรา (10 คะแนน) - การถวายบังคม - การราพรหมนั่ง หรือพรหมยนื

- ลลี าการรา กาหนดให้ผู้เข้าแขง่ ขนั ราเพียงเท่ียวเดยี ว ไม่ตา่ กวา่ 2 ท่า และมลี ลี าการราท่เี ข้า กับจงั หวะดนตรแี ละสวมบทบาทของการรา เชน่ ท่านาง ท่าลิง ซ่ึงมีทา่ ราอ่ืน ๆ อกี 12 ท่า คอื ทา่ ลอยชาย ท่าทดั หูหรือควงทดั หู ท่าเหน็บข้าง ทา่ ตัง้ ศอก ทา่ จ้วงหน้าจ้างหลัง ทา่ ควงปอ้ งหนา้ ทา่ ยกั ษ์ ท่าสอยดาว ท่าควงแตะ ทา่ แหวกมา่ น ทา่ ลดลอ่ และทา่ เชิงเทียน 3. ประเภทการเดินแปลง (6 คะแนน) เม่อื ราจบแลว้ นงั่ ลง กอ่ นออกเดินแปลง ผู้เขา้ แข่งขนั ไมต่ อ้ งถวายบังคม เพยี งแต่ไหว้นอ้ มราลกึ ถึงครู อาจารยค์ รั้งเดียว แลว้ เร่ิมราพรหม หรอื จะไมร่ ากไ็ ด้ แลว้ ออกเดนิ แปลงเพยี งเท่ียวเดยี ว 4. ประเภทการต่อสู้ (20 คะแนน) การต่อสขู้ องแตล่ ะคูจ่ ะต้องมีเหตผุ ลสมจรงิ และถูกตอ้ งตามหลกั วิชาการตอ่ สูป้ ้องกันตัว และ ไมเ่ ปน็ การอนาจาร กาหนดเวลาการแข่งขนั กีฬากระบก่ี ระบอง การแข่งขันต้งั แตป่ ระเภท 2, 3 และ 4 กาหนดใหใ้ ชเ้ วลาในการแข่งขันคู่ละ 7 นาที เม่อื นักกฬี าแสดงครบเวลา 6 นาที กรรมการจะกดกริ่งเตือน 1 คร้ัง เมอ่ื นักกฬี าแสดงต่อไปจนครบเวลา 7 นาที กรรมการจะประกาศให้ทราบว่าหมดเวลาแลว้ แต่ถา้ นักกีฬาแสดงเกนิ กาหนดเวลา 7 นาที กรรมการจะตัดคะแนนคนู่ ั้น 2 คะแนน จากคะแนนรวมในการตดั สิน กรรมการผ้ตู ดั สินกีฬากระบกี่ ระบอง ให้ใช้กรรมการผ้ตู ัดสินโดยผทู้ รงคุณวุฒคิ ราวละ 5 ท่าน จากสมาคมกฬี าไทย ในพระบรม ราชปู ถมั ภ์ โดยมคี ะแนนตัดสนิ ท่านละ 40 คะแนน การใหค้ ะแนน แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท คอื - การแต่งกาย 4 คะแนน - การรา 10 คะแนน

- การเดนิ แปลง 6 คะแนน - การตอ่ สู้ 20 คะแนน รวม 40 คะแนน ให้นาคะแนนจากกรรมการผ้ตู ดั สินทั้ง 5 ท่าน มาตดั สนิ คะแนนทใ่ี หส้ ูงท่ีสดุ และตัดคะแนนตา่ ทสี่ ดุ ออก รวมคะแนนท่เี หลอื แลว้ หารด้วย 3 ผลลัพธท์ ่ไี ดเ้ ป็นคะแนนของนักกฬี าคู่น้ัน เม่ือเรียงลาดบั แลว้ คู่ใดมีคะแนนมากทส่ี ดุ เป็นผ้ชู นะ และรองลงมาตามลาดบั คะแนน ในกรณที ่ีมีคะแนนเท่ากนั ให้ พจิ ารณาดังน้ี 1. ใหด้ เู ฉพาะคะแนนการต่อสู้ ถา้ ฝ่ายใดมีคะแนนสงู กวา่ ใหเ้ ปน็ ผ้ชู นะ 2. ถา้ คะแนนการต่อสู้ยงั เท่ากันอยู่ ใหด้ คู ะแนนการรา ถ้าฝ่ายใดมีคะแนนสงู กว่าใหเ้ ป็นผูช้ นะ 3. ถ้าคะแนนการรายังเทา่ กันอยู่ใหด้ ูเฉพาะคะแนนการเดนิ แปลง ถ้าฝา่ ยใดมีคะแนนสูงกวา่ ให้ เปน็ ผู้ชนะ 4. ถา้ คะแนนยังเทา่ กนั อกี ให้ครองตาแหน่งร่วมกนั และใหเ้ ลอ่ื นคะแนนรองขึ้นมาเรยี งลาดับ 1 หรอื 2 หรอื 3 ตอ่ ไป คะแนนรวมของทีม ใหน้ าผลการแข่งขันของนกั กฬี าภายในทีมทช่ี นะที่ 1-2-3 ในแตล่ ะชนดิ อาวธุ มารวมกนั โดยคิด คะแนน ดังน้ี - ชนะเลศิ ได้ 5 คะแนน - รองชนะเลศิ อันดับ 1 ได้ 3 คะแนน - รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้ 1 คะแนน ทีมใดมคี ะแนนรวมมากท่ีสุด เป็นทีมทช่ี นะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook