เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี 4.4 redox (สมการรวม) = ____________________________________ 4.5 ศักยไฟฟาต่ํา = ____________________________________ 4.6 ศกั ยไฟฟาสงู = ____________________________________ 4.7 อเิ ลก็ ตรอนเคลอ่ื นทจ่ี าก = __________________ไปยงั __________________ 4.8 กระแสไฟฟาเคลอ่ื นทจี่ าก = _________________ไปยัง___________________ 5. เซลลก ลั วานิกทปี่ ระกอบดวยคร่งึ เซลล Pt (s) / Fe2+ (aq) , Fe3+ (aq) และครึง่ เซลล Zn (s) / Zn2+ (aq) ตอ กนั ดังรูป จงตอบคําถามตอไปนี้ 5.1 ระบุข้วั ลบและข้วั บวกของเซลล 5.2 เขยี นสมการแสดงปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั และรดี ักชนั 5.3 เขียนสมการแสดงปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ 5.4 เขียนแผนภาพของเซลลไ ฟฟา เคมี 50
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี 6. ปฏกิ ริ ยิ าทเี่ กดิ ขนึ้ ในเซลลก ลั วานกิ เปน ดงั น้ี X2 (g) + Y2 (g) → 2X - (aq) + 2Y+ (g) จงตอบคาํ ถามตอไปนี้ 6.1 จงระบุขว้ั แอโนดและแคโทด 6.2 สารใดเปน ตวั ออกซไิ ดส และตวั รดี วิ ซ 6.3 จงเขียนปฏิกริ ยิ าออกซเิ ดชนั และรดี กั ชนั 6.4 เขยี นแผนภาพของเซลลกลั วานกิ นี้ 7. แผนภาพเซลลก ลั วานกิ 2 เซลล เปน ดงั น้ี X (s) / X+ (aq) // Y3+ (aq) / Y (s) W (s) / W2+ (aq) // X+ (aq) / X (s) เม่อื นาํ ครงึ่ เซลล Y (s) / Y3+ (aq) มาตอ กบั ครงึ่ เซลล W (s) / W2+ (aq) เปน เซลลก ลั วานกิ ท่มี ีแผนภาพเซลลเปน อยา งไร ? และเขียนสมการท่เี กดิ ข้นึ ดวย 51
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี 8. เซลลก ลั วานกิ ท่เี กิดจากครึง่ เซลล Pt(s)/A2(g)/A -(aq) กับคร่งึ เซลล Pt(s)/M+(aq)/M3+(aq)ดงั รปู จงตอบคําถามตอ ไปนี้ 8.1 บอกขวั้ Anode และขวั้ Cathode 8.2 เขียนสมการของปฏกิ ริ ยิ า oxidation และ reduction 8.3 เขียนสมการของปฏิกริ ยิ า redox 8.4 เขยี นแผนภาพของเซลลก ัลวานกิ 52
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี 9. จงส่ิงที่กําหนดใหตอไปนี้ จงเขียนแผนภาพแทนเซลลหรือรูปภาพ แสดงเซลลไฟฟาหรือ ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ (ปฏกิ ริ ยิ ารวม) 9.1 รูปภาพแสดงเซลลไฟฟา แผนภาพแทนเซลล ปฏกิ ิริยารดี อกซ 9.2 รปู ภาพแสดงเซลลไฟฟา แผนภาพแทนเซลล ปฏกิ ิรยิ ารดี อกซ 53
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี 9.3 รปู ภาพแสดงเซลลไ ฟฟา แผนภาพแทนเซลล ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ 9.4 รปู ภาพแสดงเซลลไ ฟฟา แผนภาพแทนเซลล ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ 54
เคมี (ครแู นน) Cd + Ni2+ ไฟฟาเคมี 9.5 ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ Cd2+ + Ni แผนภาพแทนเซลล รปู ภาพแสดงเซลลไ ฟฟา 9.6 ปฏกิ ริ ิยารดี อกซ Sn2+ + 2Fe3+ Sn4+ + 2Fe2+ แผนภาพแทนเซลล รปู ภาพแสดงเซลลไ ฟฟา 9.7 แผนภาพแทนเซลล Zn(s) / Zn2+ Z(aq) // Br2 (l), Br- (aq) / Pt(s) ปฏกิ ิริยารดี อกซ รูปภาพแสดงเซลลไฟฟา 55
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี 10. เซลล I เซลล I เซลล II จงเตมิ ขอ ความลงในตารางใหส มบรู ณ เซลล II ขว้ั บวก (……………………………….) ขวั้ ลบ (…………………………………) ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั ปฏกิ ริ ยิ ารดี กั ชนั ปฏกิ ริ ยิ า Redox (สมการรวม) ตวั Oxidize ตวั Reduce แผนภาพแทนเซลล ศกั ยไ ฟฟา ตาํ่ ศกั ยไ ฟฟา สงู อเิ ลก็ ตรอนเคลอ่ื นทจี่ าก กระแสไฟฟา ไหลจาก EoCell 56
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี แรงเคลอ่ื นไฟฟา ของเซลล แรงเคลอื่ นไฟฟา ทอี่ า นได = 1.10 V แรงเคลอ่ื นไฟฟา ของเซลล ความตา งศกั ยระหวา งขว้ั ไฟฟาทั้งสองของเซลลก ลั วานิกทาํ ใหเกดิ แรงขบั เคลอ่ื นอเิ ลก็ ตรอนไป ยังวงจรภายนอก เรยี กความตา งศักยนวี้ า แรงเคลอื่ นไฟฟา (Electromotive forces / emf) = E cell ความแตกตางของพลังงานศักยต อ ประจุไฟฟา (ความตางศกั ย) ระหวา งขว้ั ไฟฟาทงั้ สอง วดั หนวยเปน โวลต โดยทห่ี นง่ึ โวลต (1 V) คอื ความตา งศกั ยท ตี่ อ งใชพ ลงั งาน 1 จลู (J) ตอ ประจุ 1 คลู อมบ (C) 1 V = 1 J/C E cell อาจเรยี กวา ศกั ยไ ฟฟา ของเซลล (cell potential) ภาวะมาตรฐาน : ท่ี 25๐C ความเขม ขน ของสารละลาย 1 M และความดันของแกสเปน 1 atm เรียกวา ศกั ยฟ า ของเซลลม าตรฐาน ใชส ัญลักษณเ ปน E๐cell Zn(s) + Cu2+(aq, 1M) Zn2+(aq, 1 M) + Cu(s) E๐cell = 1.1 v 57
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี ศกั ยไ ฟฟา มาตรฐานครง่ึ เซลล วัดโดยตรงไมไ ด วดั ไดแ ตศ กั ยไ ฟฟา ของเซลล เพราะฉะนน้ั ตอ งนาํ ไปตอ กบั ครงึ่ เซลลไ ฮโดรเจน มาตรฐาน ศกั ยไ ฟฟา มาตรฐานของครงึ่ เซลล (Eo) เปน ศกั ยไ ฟฟา ข องคร่ึงเซลลท ี่อยูในภาวะมาตรฐาน คอื ความเขม ขน สาร 1 M อุณหภูมิ 25๐C ถา เปน แกส กําหนดใหค วามดนั เปน 1 atm คร่ึงเซลลไฮโดรเจนมาตรฐาน (Standard Hydrogen Electrode , SHE) ประกอบดวย แผน แพลทินัม ฉาบดวยแพลทินัมแบลค จุมลงในสารละลายกรด HCl ท่ีมีความเขมขน 1 mol/dm3 มีแกส H2 ท่ีมีความดัน 1 atm ที่อุณหภูมิ 25 o C ผานไปบนผิวของแพลทินัมแบลคตลอดเวลา เรียกครึ่งเซลล นี้วา ครงึ่ เซลลไ ฮโดรเจนมาตรฐาน เขียนแผนภาพเซลลไ ฟฟา ไดด ังนี้ Pt (s) / H2 (1 atm) / H+ ( 1mol/dm3) กาํ หนดใหศกั ยไ ฟฟาของครงึ่ เซลล H มาตรฐานมีคาเทากับ 0.00 Volt เน่ืองจาก H2 (g) ไมนําไฟฟา จึงตองใช Pt เปน ขัว้ ไฟฟา แทน Pt เปน ขว้ั เฉอื่ ย จะไมทาํ ปฏกิ ริ ิยา กบั สารละลายในคร่ึงเซลล แตจ ะทําหนาท่ีเพียง ให – รับ e- เทานน้ั ปฏกิ ริ ิยาท่เี กดิ ขน้ึ ในครึ่งเซลลไ ฮโดรเจนมาตรฐาน Oxidation H2 H+ + 2e- Reduction 2H+ + 2e- H2 ปฏกิ ริ ยิ าเหลานี้จะเกิดท่ี Pt เนอ่ื งจากเปน ปฏิกิริยาเน้ือผสม ในทางปฏิบัติใชวิธีเพิ่มพื้นที่ผิวของ Pt ดวยการทําเปน Pt – black (นําแผน Pt มาทําอิเล็กโทรไลซิสในสารละลาย Chloroplatinic acid จน แผน Pt เปน สีดาํ ) หนา ทขี่ อง Pt – black 1. เพิม่ พ้ืนทีผ่ ิว 2. รกั ษาสมดลุ ระหวา งแกส H2 และ H+ ในสารละลาย 58
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี การใชค รง่ึ เซลลไฮโดรเจนจะสามารถควบคุมสภาวะตา งๆ ดงั น้ี 1. ความคุมความบริสุทธิ์ของขว้ั ไฟฟา ได เพราะ Pt เปนข้วั ไฟฟาเฉือ่ ย ไมท ําปฏิกริ ิยากับสารละลาย ทําใหไมมีการผุกรอ น 2. ควบคุมความเขมขนของ H+ ใหเปน 1 mol/dm3 ไดโดยอาศัย Pt – black ซ่ึงจะทําหนาที่ รักษาภาวะสมดลุ ระหวางแกส H2 กบั H+ ทาํ ใหค วามเขม ขน คอนขางคงที่ 3. ความคมุ ความดนั ของ H2 ใหเปน atm ได 4. ควบคมุ อณุ หภูมใิ หเ ปน 25 o C การหาคาศักยไ ฟฟามาตรฐานของครึ่งเซลล (Eo) ศักยไฟฟามาตรฐาน เขียนแทนดวย Eo หมายถึง คาความตางศักยที่วัดไดจากการนําครึ่งเซลล มาตรฐานไฮโดรเจนมาตอกับคร่ึงเซลลใดๆ ท่ีอยูในสภาวะมาตรฐาน คือ คร่ึงเซลลตองมีอุณหภูมิ 25 o C ข้นั ไฟฟา ตองจมุ ในสารละลายทมี่ คี วามเขมขน 1 mol/dm3 คา Eo ที่อานไดเ ปน Eo cell จะหา Eo ของ ครึง่ เซลลไดจาก Eocell = Eo red, cathode – Eo red, anode *** ศักยไฟฟาของคร่ึงเซลลใดๆ ไมไดขึ้นอยูกับปริมาณของสารละลายที่ใช (จะใชสารละลาย ปริมาณมากหรือนอ ยกม็ ีคา ศักยไฟฟาเทา กนั ) แตขน้ึ อยกู บั 1. ความเขม ขนของสารละลาย 2. ความดัน 3. อุณหภมู ิ 4. ชนิดของขัว้ ไฟฟาทใี่ ช 59
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี คา ศกั ยไ ฟฟา มาตรฐานของครง่ึ เซลล Reduction ท่ี 298 K (273 + 25 oC) 60
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี การคํานวณคา Eo ของเซลล 1. การคาํ นวณหาคา Eo cell = Eored, Cathode – Eored, Anode คร่งึ เซลลที่มคี า Eo สงู กวา เปน Cathode ครง่ึ เซลลท ม่ี คี า Eo ตาํ่ กวา เปน Anode *** Eo Cathode และ Eo Anode จะตองเปน Eo แบบ Reduction เทานั้น 2. ใชแยกสมการออกเปน Oxidation และ Reduction แลวเอาคา Eo ของ Oxidation และ Eo ของ Reduction มารวมกันกจ็ ะได Eo cell คา Eo สามารถรวมกนั ได ดงั นี้ - เมื่อนําสมการบวกกัน Eo ตอ งนาํ มาบวกกนั - เมอื่ นาํ สมการมาลบกัน Eo ตอ งนํามาลบกนั - เมือ่ คูณหรอื หารสมการ ดว ยตัวเลขใดๆ คา Eo จะเทา เดิม - เมอ่ื กลบั สมการ Eo จะเทา เดิม แตเครือ่ งหมายเปน เปนตรงกันขาม การคาํ นวณหาคา Eo ของครง่ึ เซลล ** ตอ งนําครงึ่ เซลลนั้นมาตอ กบั ครง่ึ เซลลไ ฮโดรเจนมาตรฐาน Ex 1. ถานําคร่ึงเซลล Pt (s) / H2 (1 atm) / H+ (1 mol/dm3) มาตอกับคร่ึงเซลล Zn (s)/Zn 2+ (aq) เปนเซลลไฟฟาท่ภี าวะมาตรฐาน จงหา Eo ของ cell และเขียนแผนภาพเซลลไฟฟา Ex 2. กาํ หนดให Sn2+ + 2e- Sn Eo = -0.14 V Sn4+ + 2e- Sn2+ Eo = 0.14 V 2Hg2+ + 2e- Hg22+ Eo = 0.92 V Hg22+ + 2e- 2Hg Eo = 0.79 V คาศกั ยไฟฟา ของปฏิกริ ยิ า Redox Hg 2+ + Sn2+ Hg + Sn4+ 61
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี Ex 3. กาํ หนด Eocell ใหต อ ไปน้ี Cu / Cu2+ // Fe3+, Fe2+ / Pt E0cell = 0.43 v Fe / Fe2+ // Cu2+ / Cu E0cell = 0.78 v จงคํานวณหา Eo ของเซลล Fe / Fe3+ // Cu2+ / Cu Ex 4. จากแผนภาพตอ ไปนี้ Eo (v) A/A2+ // B2+ / B =2 C/C2+ // B2+ / B =3 C/C2+ // D2+ / D = -4 B/B2+ // E2+ / E = -5 D/D5+ // H+ / H2 / Pt = -3 จงคํานวณคา E0cell ตอ ไปนี้ D/D2+ // B2+/ B , A/A2+ // E2+ / E และ E0 ของครึง่ เซลล C / C2+ (aq) มีคาก่โี วลต 62
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี Ex 5. สมการ 1. 2Al + 3X2 2Al3+ + 3X Eocell = 0.95 V สมการ 2. X + Y2 X2 + Y2+ Eocell = 0.64 V จงหาคา ความตางศักยข อง Al / Al3+ // Y2+ / Y และ Y / Y2+ // Al / Al3+ Ex 6. เม่ือนําครงึ่ เซลล Ag/Ag3+ ตอกบั คร่งึ เซลลของ Pt/H2/H+ พบวา เขม็ ของโวลตม ิเตอรเ บนเขา หาขว้ั Ag และอานคาได 0.80 V ใหห าคา Eo ของ Ag + + e- Ag Ex 7. เม่อื นาํ ครง่ึ เซลลของ Fe/Fe2+ ตอเขา กับ Ni/Ni2+ ใหห าคา Eo cell กําหนด Fe2+ + 2e- Fe Eo = -0.41 V Ni2+ + 2e- Ni Eo = -0.23 V 63
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี Ex 8. 2Cr (s) + 3Cd2+ (1 M) 3Cd (s) + 2Cr3+ (1 M) Ex 9. A B C และ D เปน โลหะ 4 ชนิด จุมอยูในสารละลาย A2+ B2+ C2+ D2+ ตามลาดับ สารละลายแตล ะชนดิ มคี วามเขมขน 1 mol/dm3 ตอ เซลลด งั รปู อา นคา ศักยไ ฟฟาจากโวลตม เิ ตอรไดด ังตาราง โวลตม เิ ตอร ก ข ค ง 0.15 V 0.70 V ศกั ยไ ฟฟาของเซลล 1.10 V 0.55 V ถา ตอเซลลดังแผนภาพ B(s) / B2+ (aq) // D+(aq) / D(s)จะมีคา ศักยไ ฟฟา ของเซลลเ ทาใด 64
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี Ex10. กําหนดให Eo ของครงึ่ เซลลใ นสารละลายท่ี 298 K ดงั นี้ Zn 2+ + 2e- Zn Eo = -0.76 V Au3+ + 3e- Au Eo = +1.42 V ถานาํ แผนทองคําจมุ ลงไปในสารละลาย Zn2+ คา Eo ของเซลลจ ะมีคา เทาใด (Ent,28) Ex 11. กําหนดให ศกั ยไฟฟา มาตรฐานของครงึ่ เซลล Al3+ + 3e- Al ; E0 = –1.66 V Ag+ + e- Ag ; E0 = 0.80 V Li+ + e- Li ; E0 = –3.04 V Fe2+ + 2e- Fe ; E0 = –0.44 V จงคํานวณคา Eo ของเซลลเ ปน โวลตข องเซลลตอ ไปน้ตี ามลําดบั Al / Al3+ // Ag+ / Ag และ Li / Li+ // Fe2+ / Fe (Ent’ 42/2) Ex 12. กําหนดคา Eo ของครึง่ เซลตอ ไปน้ี (Ent’ 37) A(s) / A+(aq) ; Eo = – 0.14 V B(s) / A+(aq) ; Eo = – 0.40 V C(s) / C+(aq) ; Eo = – 0.74 V D(s) / D+(aq) ; Eo = – 1.18 V เซลลในขอ ใดมคี วามตางศกั ยสงู ท่สี ดุ 1. D(s) / D+(aq) // C+(aq) / C(s) 2. B(s) / B+(aq) // A+(aq) / A(s) 3. C(s) / C+(aq) // B+(aq) / B(s) 4. D(s) / D+(aq) // A+(aq) / A(s) 65
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี Ex 13. เม่อื นาํ ครงึ่ เซล Cu / Cu2+ ตอกบั ครึง่ เซล Ag /Ag+ จะไดเ ซลลก ัลวานกิ ที่มคี า Eo เซลลเทา ใด กาํ หนด Cu2+ + 2e _ Cu ; Eo = +0.34 V Ag+ + e _ Ag ; Eo = +0.80 V Ex 14. กําหนดให Pt2+(1 M) + 2e- Pt(s) , E0 = +1.02 V Au+(1 M) + e- Au(s) , E0 = +1.69 V ถานาํ ครึง่ เซลล Pt(s) / Pt2+ (1 M) กับคร่ึงเซลล Au(s) / Au+(1 M) มาตอ กนั เปนเซลลไฟฟา เคมีจะไดเซลลท ี่มศี ักยไ ฟฟา เทา ใด (มช 31) Ex 15. (Ent’ 38) กําหนด Mg(s)/Mg2+(aq) // Zn2+(aq)/Zn(s) Eocell = +1.62 V Zn(s) / Zn2+(aq) // H+(1 mol/dm3), H2(1atm) / Pt(s) Eocell = +0.76 V ศกั ยไฟฟาครงึ่ เซลลของ Mg(s) / Mg2+(aq) มีคาเทา ใด Ex 16. 63(มช 38) กําหนดศกั ยไ ฟฟามาตรฐานของเซลลส มมติ ดงั นี้ 1. 2A(s) + 3X2+(aq) 2A3+(aq) + 3X(s) E0cell = 1.25 V 2. X(s) + Y2+(aq) X2+(aq) + Y(s) E0cell = 0.75 V จงหาศกั ยไฟฟามาตรฐานของเซลลตามแผนภาพ A / A3+ // Y2+ / Y 66
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี การผกุ รอ นของโลหะ และ การปอ งกนั วิธีการตรวจสอบการผกุ รอนของโลหะ เมอื่ นําไปจมุ ลงในสารละลาย ใหด ูคา Eo ดังนี้ 1) หากไอออนของโลหะ มีคา Eo นอ ยกวาไอออนบวกในสารละลาย โลหะจะผกุ รอ น 2) หากไอออนของโลหะ มคี า Eo มากกวาไอออนบวกในสารละลาย โลหะจะไมผ กุ รอ น Ex 1 กาํ หนดคาศกั ยไฟฟา มาตรฐานของคร่ึงเซลล ดงั นี้ A2+ + 2e _ A Eo = –0.3 V B2+ + 2e _ B Eo = +0.2 V C2+ + 2e _ C Eo = +0.5 V D2+ + 2e _ D Eo = –0.4 V หากจุมโลหะ A , B , C และ D ลงในสารละลายตอ ไปน้ี โลหะจะเกดิ การผกุ รอ นหรือไม 1. จุมโลหะ D ในสารละลาย A+ 2. จมุ โลหะ C ในสารละลาย D2+ 3. จุมโลหะ B ในสารละลาย C2+ 4. จมุ โลหะ A ในสารละลาย B2+ Ex 2 ทดลองจุม โลหะตา ง ๆ ลงในสารละลายหลายชนดิ ที่ภาวะมาตรฐานดงั นี้ ก. จุม Cu ลงในสารละลาย Ag+ ข. จุม Ag ลงในสารละลาย Fe3+ ค. จมุ Fe ลงในสารละลาย Zn2+ ง. จุม Zn ลงในสารละลาย Na+ การทดสอบในขอ ใดทโ่ี ลหะสกึ กรอ น ( ใหใ ชค า Eo จากตารางคา Eo มาตรฐาน ) 1. ก 2. ก ข 3. ก ค ง 4. ข ค ง การปอ งกนั โลหะผกุ รอ น ในธรรมชาตินั้น การผุกรอนของโลหะอาจมีสาเหตุหลายประการ ตัวอยางเชนเกิดจากการสัมผัส กับน้ําและอากาศ เชนการเกิดการผุกรอนเปนสนิมของเหล็กนั้น เหล็กจะเปนตัวจายอิเล็กตรอนใหแกนํ้า และแกสออกซเิ จน แลวกลายเปน Fe2+ ดังสมการ 2Fe(s) + O2(g) + 2H2O(l) 2 Fe2+ (aq) + 4 OH–(aq) ตอ จากน้นั 2Fe2+(aq) + 4OH–(aq) 2 Fe(OH)2(s) ตอจากนนั้ 4Fe(OH)2 (s) + O2(g) + 2 H2O(l) 4 Fe(OH)3(s) ไอออน (III) ไฮดรอกไซดท่ีเกิดข้ึนน้ี โดยท่ัวไปจะเขียนอยูในรูป ไอออน(III) ออกไซดที่มีนํ้าผลึก เกาะอยู ซ่ึงก็คือสนิมเหลก็ นัน้ เอง สูตรท้วั ไปจะเปน Fe2O3 . nH2O โดยทั่วไปแลวการปองกันการผุกรอนของโลหะ จะทําโดยปองกันมิใหโลหะนั้นจายอิเล็กตรอน ออกไป ซึ่งสามารถทาํ ไดห ลายวธิ ี ไดแก 1. ทาผิวหนา ของโลหะดวยสีหรอื น้าํ มนั หรอื เคลือบดวยพลาสตกิ หรือ ทาดว ยสารปอ งกนั การสกึ กรอนชนิดตา งๆ ท่มี จี าํ หนา ยอยูในทองตลาดขณะน้ี 67
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี 2. เคลอื บ หรอื เชอื่ มหรอื พนั ดว ยโลหะทเี่ สยี อเิ ลก็ ตรอนไดง า ยกวา (Eo นอ ยกวา ) เชน แมกนเี ซียมเสยี อิเลก็ ตรอนไดง ายกวาเหลก็ ดงั นน้ั การปองกนั การผกุ รอ นของเหลก็ สามารถใชแ มกนีเซยี ม เคลอื บ หรือ เชอ่ื มหรือพนั รอบๆ แทง เหล็ก การปอ งกนั โดยวธิ นี ี้แมกนเี ซียมจะทาํ หนา ที่เสียอิเลก็ ตรอน แทนเหลก็ โดยที่เหลก็ เปน แตเพยี งตวั กลางในการรบั สง อิเล็กตรอนจากแมกนีเซยี มไปยังสารทร่ี ับ อเิ ลก็ ตรอน (นาํ้ และออกซเิ จน) ทาํ ใหแมกนเี ซียมผุกรอ น แตเ หลก็ ไมผุกรอ นหรือผกุ รอ นนอ ยมาก 3. ชุบหรือเคลือบผิวหนาของโลหะท่ีตองการปองกันการผุกรอนดวยโลหะอ่ืน โลหะที่นิยมใช เคลือบ คือ โลหะที่เกิดสารประกอบออกไซดแลวสารประกอบออกไซดนี้สามารถเคลือบผิวหนาของโลหะ ไวไมใหผุกรอนลุกลามตอไป (สารประกอบออกไซดท่ีความชื้นและ แกสออกซิเจนซึมผานไมได) โลหะ เหลาน้ี ไดแ ก ดีบุก โครเมยี ม สังกะสี เปน ตน ตัวอยาง การปองกันการผุกรอนของเหล็ก อาจใชวิธีชุบโลหะดีบุกทั้งๆ ที่โลหะดีบุกเสีย อเิ ล็กตรอนไดย ากกวาเหลก็ แตท ่ีนิยมใชเ พราะดบี ุกบริเวณผิวหนา จะทาํ ปฏกิ ิรยิ ากบั ออกซเิ จน กลายเปน สารประกอบออกไซด (SnO2) ทไ่ี มล ะลายน้ําเคลือบอยทู ี่ผวิ หนา ของดบี ุก จึงทําหนา ท่ีปองกันไมใหนํ้าและ ออกซิเจนผานเขาไปทําปฏิกิริยากับเหล็กได เหล็กจึงไมผุกรอนหรือถาชุบโลหะดวยโครเมียมจะเกิด สารประกอบออกไซด (Cr2O3) ทมี่ ีสมบัตเิ หมอื น SnO 4. ทําเปน โลหะผสมโดยการนาํ โลหะต้งั แต 2 ชนิดข้นึ ไปมาหลอมรวมกัน ตวั อยางเชน เหลก็ กลา ไรสนิม เปนเหล็กกลาท่ีประกอบดวยเหล็ก 73% Cr 18% Ni 8% และ C 0.4% เปนเหล็กกลาที่ทนตอ การผุกรอ น เปนตน 5. วิธีอะโนไดซ คือ การใชกระแสไฟฟาทําใหผิวหนาของโลหะกลายเปนโลหะออกไซด ซึ่งใชกับ โลหะทม่ี สี มบตั ิพเิ ศษ กลาวคือ เม่ือทําปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเปนออกไซดของโลหะ แลวออกไซดของ โลหะน้ันจะเคลือบผิวของโลหะไมเกิดการผุกรอนตอไป โลหะท่ีมีสมบัติดังกลาวไดแก อะลูมิเนียม ดีบุก (ถา ใหโลหะดงั กลาวเกดิ ออกไซดต ามธรรมชาตจิ ะเปน ไปอยา งไมส ม่าํ เสมอ) ปจ จบุ นั นิยมทําใหอ ะโนไดซก ับ โลหะอะลูมิเนียมซ่ึงทําไดโดยผานไฟฟากระแสตรงไปบนแผนอะลูมิเนียม ซ่ึงจุมอยูในสารละลาย อิเล็กโทรไลตท่ีเปนกรดที่แอโนดจะเกิดแกส O2 ซ่ึงจะไปออกซิไดซอะลูมิเนียมใหเปนอะลูมิเนียมออกไซด สวนโลหะอะลูมิเนียมท่ีแคโทดจะมีแกส H2 เกิดข้ึน และข้ัวโลหะอะลูมิเนียมไมเปล่ียนแปลงแผน อะลูมิเนียมที่อะโนไดซแลวเม่ือผานกระบวนการตางๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพใหเปนไปตามตองการก็ สามารถนาํ ไปใชง านได เชน นาํ ไปเคลือบสีเพ่ือใหส วยงามและทนทาน 6. วิธีแคโทดิก เชน ถาตองการไมใหตะปูเหล็กผุกรอนก็ใหตอตะปูเหล็กเขากับข้ัวลบของ ถา นไฟฉาย หรอื ตอกบั โลหะทเ่ี สียอิเล็กตรอนไดงา ยกวา เชน สงั กะสี แมกนเี ซยี ม 7. วิธีการรมดํา การรมดําเปนการปองกันการผุกรอนและเพิ่มความสวยงามใหแกชิ้นงานโลหะ วิธีนี้ใชกันมากกับเครื่องมือเครื่องใชที่ทําดวยเหล็ก เชน ตัวปน กลอนประตู กลอนหนาตาง เปนตน วิธีการรมดํานอกจากจะใชกับเหล็กแลวยังใชกับอะลูมิเนียม เงิน ทองแดงและ ทองเหลือง เปนตน การรมดําเปนการทําใหผิวของโลหะเปลี่ยนเปนออกไซดของโลหะนั้น ซ่ึงมีลักษณะเปนฟลมสีดําเกาะติด 68
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี แนนบนผิวของชิ้นงานโลหะ วิธีทําใหเกิดออกไซดใชสารเคมีที่เปนตัวออกซิไดซ เชน โซเดียมไดโครเมต (Na2Cr2O7) โพแทสเซียมไนเตรต (KNO3) และโซเดียมไทโอซัลเฟต (Na2S2O3) เปนตน สวนวิธีทําก็ แตกตางกันไป ซ่งึ แลวแตชนิดของโลหะและชนดิ ของสารเคมที ีใ่ ช ตัวอยางเชน การรมดําเหล็กหน่ึงในหลายวิธีคือ ตมช้ินงานท่ีเปนเหล็กในสารละลายท่ี ประกอบดวยโซเดียมไฮดรอกไซด(NaOH)และโซเดียมไนเตรต (NaNO3) ที่อุณหภูมิ 135–145oC จะ สังเกตเห็นผิวของโลหะเปนสีดําจากนั้นลางน้ําใหสะอาด เช็ดใหแหง แลวชะโลมดวยน้ํามันเพื่อเพ่ิมความ สวยงามและทนทานตอการผกุ รอน แบบฝกหัด 1. การทาผวิ หนาโลหะดวยสนี ้ํามนั สามารถปอ งกนั โลหะมิใหผกุ รอ นไดเพราะ……………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. เหตุใดการพนั ลวดแมกนเี ซยี มรอบแทง เหลก็ จึงสามารถปอ งกันมิใหเ หลก็ ผุกรอนได… …………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. (มช 34) การปอ งกนั การผุกรอ นทอ เหล็กที่ใชใ ตพ้ืนดนิ เชน ทอนํ้าทอนํ้ามนั เปน ตน นิยมวิธใี ด ก. ชบุ ทอเหลก็ ดว ยโครเมยี ม ข. ตอ ทอ เหลก็ เขา กบั ทอ ดบี กุ ค. ชุบทอเหลก็ ดว ยโครเมยี ม ง. ตอทอเหลก็ เขา กับแทง แมกนีเซยี ม 4. เหลก็ จา ยอเิ ลคตรอนไดงายกวาดีบุก แตก ารเคลอื บหล็กดว ยดีบกุ สามารถปอ งกนั เหลก็ ผกุ รอ นได เพราะ .................................................................................................................................................................... 5. การทาํ อะโนไดซน ิยมทาํ กับโลหะใด ก. ดีบกุ , ตะก่วั , โครเมียม ข. อะลูมเิ นียม , ดีบุก ค. โครเมยี ม , สงั กะสี ง. โลหะทุกชนดิ 6. การทําอะโนไดซอ ลมู ิเนียม จะทาํ โดยปลอ ยไฟฟา กระแสตรงเขาไปยังอลมู ิเนยี มทีจ่ ุมอยูใ นสารละลายที่ มสี มบัติเปน ....................................... แลว จะเกดิ แกส ............................... ข้ึนทผี่ วิ อลมู เิ นยี ม แลว ทําใหเ กดิ ..................................... เคลอื บผวิ อลมู เิ นียมไว 7. ขอ ใดเปน การปอ งกนั การผุกรอ นดวยวธิ ีอะโนไดซ ก. ผานกระแสไฟฟา เขา ไปในแผน อะลมู เิ นยี มในสารละลายเบส ข. ผา นกระแสไฟฟาเขา ไปในแผน อะลูมเิ นยี มในสารละลายกรด ค. ผานกระแสไฟฟาเขาไปในแผน อะลูมิเนยี มในสารละลายเกลอื ง. ผา นกระแสไฟฟา เขาไปในแผนอะลูมเิ นียมในน้ํา 69
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี ตวั อยา งเซลลก ลั วานกิ 1. เซลลด าเนยี ลล เปน เซลลก ลั วานกิ ชนิดหน่ึงท่ีประกอบดว ยครึง่ เซลลส งั กะสี Zn(s)/Zn2+(aq) ตอ กับคร่งึ เซลลท องแดง Cu (s) / Cu2+ (aq) ใหครบวงจรดงั รปู รูป แสดงเซลลก ลั วานกิ ชนิดหน่งึ ท่ีโลหะ Zn ถกู ออกซไิ ดสเ ปน Zn2+ ท่ีขั้วแอโนด และ Cu2+ ถกู รดี ิวซเ ปน โลหะ Cu ท่ีแคโทด ปฏกิ ิริยารดี อกซ Cu2+(aq) + Zn (s) → Cu(s) + Zn2+ (aq) เม่อื ตอ คร่งึ เซลลทองแดงและครง่ึ เซลลส งั กะสเี ขา ดว ยกนั โดยเชอื่ มตอ ดวยสะพานไอออนใน สารละลายแตล ะครง่ึ เซลลใหค รบวงจรแลว ตอ โวลตม เิ ตอรก บั วงจรภายนอก จะพบวาเขม็ โวลตม ิเตอร จะเบนจากขัว้ Zn ไปยงั Cu อา นศกั ยไ ฟฟา ของเซลลไ ดเ ทา กบั 1.10 โวลต และสักครหู น่ึงพบวา ขว้ั โลหะ Zn สกึ กรอนไปสวนขวั้ โลหะ Cu มคี ราบสีน้าํ ตาลแดงมาเกาะ สารละลายสนี าํ้ เงินจางลง การเปลี่ยนแปลงทีเ่ กดิ ขึ้นนีอ้ ธิบายไดวา 1. การทเ่ี ข็มโวลตมเิ ตอรเ บนจากขวั้ Zn ไปยังขวั้ Cu แสดงวา เกดิ การถา ยโอนอเิ ลก็ ตรอน จากขัว้ Zn ไปยงั ขวั้ Cu โดยมี Zn ใหอเิ ลก็ ตรอนสว น Cu2+ รบั อิเลก็ ตรอน 2. Zn ใหอิเล็กตรอนเกดิ ปฏกิ ิริยาออกซิเดชันท่ีข้ัวแอโนด (ขั้ว Zn) ดงั สมการ Zn (s) → Zn2+ (aq) + 2e- Zn สกึ กรอนเกิด Zn2+ ลงในสารละลายปรมิ าณมากขนึ้ ทําใหเกดิ การสะสมประจบุ วก สะพานไอออนจะเคลอื่ นไอออนลบ (NO3- ) ลงในสารละลายเพอ่ื ดุลประจุ 3. อิเลก็ ตรอนทเ่ี คลอ่ื นทจี่ ากชว้ั Zn มายงั ขัว้ Cu Cu2+ ในครง่ึ เซลลท องแดงจะไปรับ อิเล็กตรอนเปน โลหะ Cu ทําใหมีมวลเพิม่ ขนึ้ เกดิ ปฏกิ ริ ยิ ารดี ักชนั ทแี่ คโทด (ขวั้ Cu )ดังสมการ Cu2+ (aq) + 2e- → Cu (s) 70
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี เนอ่ื งจาก Cu2+ รบั อิเล็กตรอนเปน โลหะ Cu , Cu2+ ในสารละลายมปี รมิ าณลดลง ซ่งึ เดมิ มไี อออนลบ (SO42-) และไอออนบวก (Cu2+) สมดุลกันอยู เปน ผลใหเ กดิ การสะสมประจลุ บ (SO42-) สะพานไอออนจะเคล่ือนไอออนบวก (K+) ลงในสารละลาย เพือ่ รกั ษาสมดลุ ของประจุ จงึ ทําใหอ ิเลก็ ตรอนไหลในวงจรไดตลอด 4. เมื่อรวมปฏิกริ ยิ าในแตล ะครึ่งเซลลที่เกดิ ขนึ้ เขา ดว ยกัน จะไดป ฏกิ ิรยิ ารีดอกซด ังสมการสุทธิดงั นี้ Cu2+ (aq) + Zn (s) → Cu (s) + Zn2+ (aq) 5. ขั้ว Zn เปนข้ัวทอ่ี ิเลก็ ตรอนไหลออก ซงึ่ เปน ข้วั ทีเ่ กดิ ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั และเรยี กวา ขัว้ น้วี า ขวั้ แอโนด หรอื ทําหนา ทเ่ี ปน ขวั้ ลบ → ใหอเิ ลก็ ตรอน 6. ขว้ั Cu เปนขวั้ ทอ่ี ิเลก็ ตรอนไหลเขา ซงึ่ เปน ขั้วทเ่ี กิดปฏกิ ริ ยิ ารดี ักชนั และเรยี กวา ขว้ั นีว้ า ขว้ั แคโทด หรอื ทาํ หนาทเ่ี ปน ขว้ั บวก → รับอเิ ลก็ ตรอน เซลลก ัลวานกิ นี้ประกอบดวยคร่งึ เซลลท องแดงและครึ่งเซลลส ังกะสี มชี ื่อเรียกเฉพาะวา เซลลด าเนียลส (Daniel cell) ซึงอาจจะใชภาชนะพรนุ หรอื แผนพรนุ ขน้ั สารละลายในแตละครงึ่ เซลลท้ัง สองแทนสะพานไอออน 2. เซลลท องแดง - เงนิ เปน เซลลกลั วานิกชนดิ หนึง่ ทป่ี ระกอบดวยครึ่งเซลลท องแดง Cu(s) / Cu2+ (aq) ตอกบั คร่งึ เซลลเงนิ Ag (s) / Ag+ (aq) ดังรูป รปู เซลลทองแดง-เงิน 71
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี เมือ่ ตอ คร่ึงเซลลท ง้ั สองเขาดวยกนั โดยเชือ่ มดวยสะพานไอออนในสารละลายแตล ะคร่ึงเซลล จะพบวาเข็มของโวลตมิเตอรเบนจากข้ัวทองแดงไปข้ัวเงิน อานศักยไฟฟาของเซลล เทากับ 0.46 โวลต และสักครูพบวาโลหะทองแดงสกึ กรอน สวนข้วั โลหะเงินมสี ารสเี ทาดาํ มาเกาะ สารละลายสีนํ้าเงินเขมข้ึน การเปล่ียนแปลงทเี่ กดิ ขนึ้ อธิบายไดว า 1. การทเี่ ขม็ โวลตม ิเตอรเบนจากขวั้ ทองแดงไปยงั ขัว้ เงินแสดงวา เกิดการถายโอนอิเลก็ ตรอนจาก ข้ัวทองแดงไปยังขั้วเงิน โดยมี Cu ใหอิเลก็ ตรอนสว น Ag+ รับอเิ ลก็ ตรอน 2. ปฏกิ ริ ยิ าที่เกดิ ขนึ้ ขว้ั ทองแดงเปน แอโนด (ขั้วลบ) เกดิ ปฏกิ ริ ิยาออกซเิ ดชนั Cu(s) → Cu2+ (aq) + 2e- ขั้วเงนิ เปน ขว้ั แคโทด (ข้ัวบวก) เกดิ ปฏกิ ิริยารดี กั ชนั 2Ag+ (aq) + e- → Ag (s) ปฏกิ ริ ิยาสุทธิ Cu (s) + 2Ag+ (aq) → Cu2+ (aq) + 2Ag (s) ลกั ษณะสาํ คญั ของเซลลก ลั วานกิ 1. กระแสไฟฟา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน กระแสตรง คือ กระแสอเิ ล็กตรอน 2. อเิ ลก็ ตรอนจะไหลจากครงึ่ เซลลท่ีศกั ยไ ฟฟาตํา่ ไปสูค ร่งึ เซลลท ีม่ ศี กั ยไฟฟา สงู 3. เซลลก ลั วานกิ ตา งชนดิ กนั จะมคี าศกั ยไฟฟาของเซลลต า งกนั และจะมีคามากหรือนอยขน้ึ อยู กบั ครง่ึ เซลลทน่ี าํ มาตอกนั 4. เซลลกลั วานิกทม่ี ี ขั้ววอ งไวในแอโนด (ข้ัวลบ) – โลหะน้นั จะสึกกรอ น- มวลลดลง เพราะเกดิ ปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชนั สว น ขว้ั วองไวแคโทด (ขวั้ บวก) – โลหะจะมมี วลมากขน้ึ - เพราะเกดิ ปฏิกริ ิยารดี กั ชนั 5. ปฏิกริ ิยาเคมีทีเ่ กดิ ข้นึ ในเซลลก ัลวานกิ มีการถายโอนอเิ ล็กตรอน เปน ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ 6. เมื่อเกดิ อเิ ลก็ ตรอนไหลนาน ๆ ในวงจรของเซลลก ัลวานิก จะเกิดการสะสมประจใุ น ครงึ่ เซลล กลาวคือ คร่ึงเซลลแอโนดที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจะเกิดการสะสมประจุบวก และ ครึ่งเซลลแคโทด เกดิ ปฏกิ ริ ิยารีดักชัน จะเกิดการสะสมประจุลบ ท้ังน้ีเนื่องจากสะพานไอออนไมสามารถรักษาภาวะสมดุล ของประจไุ วไดท นั ทาํ ใหอเิ ล็กตรอนไหลในวงจรลดลง เปน ผลใหศ กั ยไฟฟา ของเซลลลดลงดวย และเมื่อ แตละคร่ึงเซลลสะสมประจุจนถึงขดี หน่งึ จะไมมอี เิ ลก็ ตรอนไหลออกนอกวงจร ขณะนั้นเข็มโวลตม เิ ตอรจะ ชท้ี เี่ ลขศนู ย ทง้ั นเ้ี พราะขณะนน้ั เกิดภาวะสมดุลเคมขี น้ึ ในแตละครึ่งเซลลน ้ัน 72
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี เซลลค วามเขม ขน เซลลความเขม ขน เปน เซลลก ลั วานกิ ชนดิ หนึ่งทีป่ ระกอบดวย ครึง่ เซลลชนดิ เดยี วกนั ตอ เขา ดวยกนั ดวยสะพานไอออน โดยสารละลายในแตละคร่งึ เซลลมคี วามเขมขนตางกนั หมายเหตุ ศักยไฟฟา ของครึ่งเซลลข น้ึ อยกู ับ ชนดิ ของคร่งึ เซลล อณุ หภูมิ และความเขม ขนของสารละลายใน คร่ึงเซลล กลาวคือ ครึ่งเซลลชนิดเดียวกัน ความเขมขนในสารละลายตางกันจะมีศักยไฟฟาของคร่ึง เซลลตางกัน และศักยไฟฟาในคร่ึงเซลลจะเปล่ียนแปลงตามความเขมขน เชน ในครึ่งเซลลใด สารละลายมคี วามเขมขน มากจะมศี ักยไฟฟา มาก และสารละลายมีความเขมขนนอ ย จะมศี ักยไฟฟา นอ ย เซลลค วามเขม ขน ทองแดง เมอ่ื นาํ ครึง่ เซลล Cu (s)/Cu2+(aq,1mol/dm3) ตอ กับคร่งึ เซลล Cu(s)/Cu2+(aq,0.1 mol/dm3) ใหค รบวงจร ดังรปู เซลลความเขม ขนทองแดง เม่ือนําคร่ึงเซลลท้ังสอง มาตอใหครบวงจร เข็มโวลตมิเตอรเบนจากครึ่งเซลล Cu (s) / Cu2+ (aq, 0.1 mol/dm3) ซึ่งมีศักยไฟฟาคร่ึงเซลลตํ่ากวาไปยังคร่ึงเซลล Cu (s) / Cu2+ (aq, 1 mol/dm3) ซง่ึ มศี ักยไฟฟา ครงึ่ เซลลสูงกวา แสดงวา อเิ ล็กตรอนไหลจากขัว้ ในครึง่ เซลลท่มี คี วามเขม ขน นอยไปสงู ขว้ั ในครงึ่ เซลลท ่ีมีความเขมขน มาก ซึง่ สามารถอธบิ ายได ดังน้ี 73
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี Cu (s) ในคร่ึงเซลล Cu (s) / Cu2+(aq, 0.1 mol/dm3) ใหอิเล็กตรอนเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เปนขั้วแอโนด สวน Cu (s) 1 ในครึ่งเซลล Cu (s) / Cu2+ (aq, 1 mol/dm3) รับอิเล็กตรอน เกดิ ปฏกิ ริ ิยารีดักชนั เปน ขว้ั แคโทด สมการของปฏิกริ ยิ าเกิดขึน้ ดังนี้ แคโทด (รดี ักชนั ) ; Cu2+ (aq, 1 mol/dm3) + 2e- → Cu (s) E = +0.33 V แอโนด (ออกซิเดชัน) ; Cu (s) → Cu2+ (aq, 0.1 mol/dm3) + 2e- E = -0.307 V รีดอกซ ; Cu2+ (aq, 1 mol/dm3) → Cu2+ (aq, 0.1 mol/dm3) Ecell = 0.030 V เมื่อกระแสอิเล็กตรอนไหลในเซลลความเขมขนสักครูหน่ึงจะพบวาครึ่งเซลล Cu (s)/Cu2+ (aq, 0.1 mol/dm3) ความเขมขนของ Cu2+ เพิ่มขน สวนคร่ึงเซลล Cu (s) /Cu2+(aq, 1 mol/dm3) จะมีความเขมขนของ Cu2+ ลดลงจนกระทั่งเทากัน อิเล็กตรอนจะหยุดไหลขณะท่ีศักยไฟฟาของเซลล เปนศนู ย จากเซลลความเขม ขน ขา งตนนเ้ี ขยี นแผนภาพของเซลล ดังนี้ Cu (s) / Cu2+ (aq, 0.1 mol/dm3) / / Cu2+ (aq, 1 mol/dm3) / Cu (s) ลกั ษณะสาํ คญั ของเซลลค วามเขม ขน 1. อเิ ล็กตรอนจะไหลจากครงึ่ เซลลท่ีมีความเขม ขน นอ ยไปสูครึ่งเซลลท ่มี คี วามเขมขน มาก 2. ข้วั ในครงึ่ เซลลท ่ีมคี วามเขม ขน นอย เกิดปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั เปนขัว้ แอโนด สวนข้ัวในอกี ครึ่งเซลลท ี่มีความเขมขนมากเกดิ ปฏกิ ิริยารีดกั ชนั (เปน ข้วั แคโทด) 3. เซลลค วามเขมขน ที่สารละลายในครงึ่ เซลลมคี วามเขม ขนตา งกนั ย่ิงมาก ศักยไ ฟฟา ของ เซลลก ็ยง่ิ มีคา มาก สมการของ Nernst ดังที่ไดกลาวแลววาศักยไฟฟาของครึ่งเซลล หรือศักยไฟฟาของเซลล ขึ้นอยูกับความเขมขนของ สารละลาย ซงึ่ สามารถคาํ นวณ และแสดงใหเ หน็ ไดตามสมการของ Nernst ดงั น้ี E = E0 - 0.0592 n log Q เมื่อ E0 = ศักยไฟฟา มาตรฐาน ท่ี 25o C 1 atm E = ศักยไ ฟฟา ที่สภาวะใด ๆ n = จํานวนโมลอเิ ลก็ ตรอนที่ใหแ ละรับในปฏกิ ริ ยิ า Q = คาทีห่ าไดจากความเขม ขน ของสารตาง ๆ ในระบบขณะใดขณะหนง่ึ ซึ่งหาไดดงั นี้ 74
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี จากสมการทัว่ ไปดงั นี้ aA + bB → cC + dD [ C]c [D]d Q = [A]a [B]b จะไดว า = E0 - 0.0592 [ C]c [D]d E n log [A]a [B]b ตวั อยา ง จงคาํ นวณหาคา E ของขัว้ Fe2+ /Fe3+ เม่อื ความเขม ขน Fe3+ เปน 5 เทา ของความ เขม ขนของ Fe2+ กําหนด Fe3+ + e- → Fe2+ , E0 = +0.771 V วธิ ที าํ E = E0 - 0.0592 [ Fe2+ ] จากสูตร [Fe3+] = 5[Fe2+] เนอื่ งจาก n log [Fe3+ ] แทนคา ; 0.0592 [ Fe2+ ] E = +0.771 - 1 log 5[Fe2+ ] 0.0592 1 E = +0.771 - 1 log 5 E = +0.771 - 0.0592 (-0.699) = +0.811 V ตวั อยา ง จงคาํ นวณหาศกั ยไฟฟาของเซลลที่ 25 0C ทีม่ แี ผนภาพของเซลลด งั นี้ Cd / Cd2+ (2.00 mol/dm3) // Pb2+ (0.001 mol/dm3 ) / Pb (s) สมการของปฏกิ ริ ยิ าของเซลลและคาศักยไ ฟฟา มาตรฐานของเซลลเ ปน ดงั นี้ Cd (s) + Pb2+ (aq) → Cd2+ (aq) + Pb (s) E0 = 0.277 V cell วธิ ที าํ จากสูตร E = E0 - 0.0592 [ Cd2+ ] เนอ่ื งจาก [Fe3+] = 5[Fe2+] n log [Pb3+ ] แทนคา ; 0.0592 2.00 E = +0.277 - 1 log 0.001 0.0592 E = +0.771 - 1 x 3.301 E = +0.179 V 75
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี 7. เซลลอเิ ลก็ โตรไลต (Electrolytic cell) เซลลอ เิ ลก็ โตรไลต คอื เซลลไ ฟฟาเคมชี นดิ หนง่ึ ทใี่ ชพ ลังงานไฟฟา ทําใหเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี กลา วคือ เมอื่ ผา นกะแสไฟฟา เขาไปในเซลล จะทาํ ใหเกดิ ปฏกิ ริ ิยารดี อกซขน้ึ ในเซลลน ้ัน เซลลป ระเภท นจี้ ะมคี า E0 < 0 (เครอ่ื งหมายติดลบ) และภายในเซลลอ ิเลก็ โทรไลตจะมีสารอเิ ลก็ โทรไลต ซ่ึง cell สารนสี้ ามารถจะแตกตัวเปน ไอออนบวก และไอออนลบ และทาํ ใหเ กดิ นาํ ไฟฟา ได สว นประกอบของเซลลอ เิ ลก็ โทรไลต 1. ขว้ั ไฟฟา (Electrode) เปนโลหะหรอื แกรไ ฟตทน่ี ําไฟฟา ได โดยท่ัวไปมกั จะใชข ้ัวเฉื่อยใน เซลลหนงึ่ ๆ จําแนกขั้วตามเกณฑต าง ๆ ดงั นี้ การจาํ ข้วั ตามสมการการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี ก. ขว้ั แอโนด (Anode) เปน ข้วั ท่เี กดิ ปฏิกริ ยิ าออกซิเดชนั ข. ขัว้ แคโทด (Cathode) เปน ขั้วทเี่ กดิ ปฏกิ ริ ยิ ารดี กั ชัน การจาํ แนกขว้ั ตามการตอ เขา กบั แหลง กาํ เนดิ ไฟฟา ก. ขัว้ บวก เปน ขวั้ ทีต่ อ เขา กบั ขั้วบวกของแหลง กาํ เนดิ ไฟฟา [ ซ่ึงขวั้ นจ้ี ะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ออกซเิ ดชนั กลาวคอื ไอออนลบในสารละลายจะให / จา ยอิเลก็ ตรอนแกข วั้ ไฟฟาบวก) ] ข. ขว้ั ลบ เปน ข้ัวท่ตี อ เขากบั ขั้วลบของแหลงกําเนดิ ไฟฟา [ ซงึ่ ขั้วน้จี ะเกิดปฏิกริ ยิ า รีดกั ชนั เกดิ ขน้ึ กลาวคือ ไอออนบวกในสารละลายจะมารบั อเิ ลก็ ตรอนทขี่ ้ัวน้ี ] 2. สารอเิ ลก็ โตรไลต คอื สารทม่ี สี ถานะเปน ของเหลวประกอบดว ยไอออนท่ีเคล่ือนที่ และ นาํ ไฟฟาได เชน ก. สารประกอบไอออนกิ ทห่ี ลอมเหลว เชน NaCl (s) ⎯⎯Δ→Na+ (l) + Cl- (l) ข. สารละลายอิเลก็ โตรไลต เชน สารละลายกรด เบส เกลอื HNO3 (aq) → H+ (aq) + NO3- (aq) 76
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี รปู เกลอื ทหี่ ลอมเหลวประกอบดว ยไอออนบวกและไอออนลบเคลอื่ นทนี่ ําไฟฟา ขณะท่ีผานกระแสไฟฟา ชนดิ DC (กระแสตรง) ลงไป ไอออนบวกจะเคลอื่ นท่ีเขาหาขั้วลบ (แคโทด) เพอื่ รับอิเลก็ ตรอน ถกู รดี ิวซ สวนไอออนลบ จะเคล่อื นทเ่ี ขา หาข้วั บวก เพอื่ ใหอ ิเลก็ ตรอน ถูกออกซิไดซ กระบวนการอเิ ลก็ โทรลซิ สิ (Electrolysis) อิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คือ กระบวนการแยกสารอิเล็กโตรไลตโดยการผานไฟฟา กระแสตรงลงไปในสารละลายอิเล็กโตรไลต แลวทําใหเ กดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมเี กดิ ขึ้นท่ีข้ัวบวก และข้ัวลบของ เซลลอ เิ ล็กโทรไลตน ั้น ลกั ษณะสาํ คญั ของอเิ ลก็ โทรลซิ สิ 1. กระแสไฟฟาที่ใชผา นลงไปในเซลล ตอ งเปน ไฟฟากระแสตรง (D.C.) คอื กระแส อเิ ล็กตรอน 2. ปฏกิ ริ ิยาเคมีทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน ปฏกิ ริ ิยารดี อกซ 3. ขว้ั ไฟฟาท่ใี ชในเซลลน น้ี ิยมใชข ้ัวเฉอื่ ย เพราะถาใชข วั้ วอ งไว ข้วั อาจจะมสี ว นรว มในการ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีกไ็ ด ประโยชนข องกระบวนการอเิ ลก็ โทรลซิ สิ ก. สาํ หรบั การแยกสารประกออบไอออนกิ หลอมเหลวดวยไฟฟา สารประกอบไอออนกิ เชน เกลอื NaCl เมอ่ื เกลอื น้ีถกู ทําใหหลอมเหลว จะเกดิ เปน ไอออนบวก และไอออนลบเกิดขน้ึ ซงึ่ เมอื่ ผา นกระแสไฟฟา ลงไปในสารประกอบไอออนกิ ทห่ี ลอมเหลวนี้ จะทําให ไอออนบวกเคล่ือนที่เขาหาขว้ั ลบ เพ่อื เขาไปรบั อิเลก็ ตรอนหรอื เกดิ ปฏิกริ ิยารดี กั ชนั สว น ไอออนลบ จะเคล่อื นทเ่ี ขาหาขวั้ บวก เพ่อื จา ยอเิ ล็กตรอน หรอื เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าออกซิเดชนั ข. การแยกสารละลายอเิ ลก็ โตรไลตด ว ยไฟฟา 77
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี ในสารละลายอเิ ล็กโตรไลตจ ะประกอบดวยตัวถูกละลายชนิดตาง ๆ ที่เปนสารอิเล็กโทรไลต และนํ้า ซึ่งทําหนาที่เปนตัวทําละลาย เชน สารละลายของ NaCl (aq) จะมีไอออนบวกคือ Na+(aq) และไอออนลบ คอื Cl-(aq) ซึง่ ไอออนทงั้ สองถกู น้ําลอมรอบอยู (aq = aqueous มีน้ําลอมรอบ) ดังนัน้ ในสารละลายนีจ้ ึงมีองคประกอบ 3 ชนดิ ไดแ ก นา้ํ (ตัวทาํ ละลาย) , Na+(aq) และ Cl-(aq) (ตัวถูกละลาย) กระบวนการแยกสารละลายอเิ ลก็ โตรไลตด ว ยไฟฟา (อเิ ล็กโทรลซิ ิส) ท่ีเกดิ ขน้ึ คือ นา้ํ และ ไอออนลบของตวั ถกู ละลายจะเคลอ่ื นทเี่ ขา หาขวั้ บวก (Anode) เพอ่ื ไปใหอ เิ ล็กตรอน เกดิ ปฏิกริ ยิ า ออกซเิ ดชนั ซ่ึงสารใดจะเปน ตวั ใหอเิ ลก็ ตรอนหรอื เกดิ ปฏกิ ริ ิยาออกซเิ ดชนั กใ็ หพจิ ารณาจากคา E0 โดยถามีคา E0 ตา่ํ สารนนั้ จะเปน ตวั เกดิ ปฏกิ ริ ิยาออกซเิ ดชนั คอื เกิดการใหอ เิ ล็กตรอนทข่ี วั้ บวกนน้ั ไดดกี วา ที่เหลือก็ไมเ กดิ ปฏกิ ิรยิ าใด ๆ สว นน้าํ และไอออนบวกของตวั ถูกละลาย จะเคลอ่ื นทีเ่ ขา หาข้ัวลบ (Cathode) เพอื่ ไปรับ อเิ ล็กตรอน เกดิ ปฏกิ ริ ยิ ารดี กั ชนั ในทาํ นองเดียวกนั สารใดจะสามารถรบั อเิ ลก็ ตรอนไดก ็ใหพจิ ารณา จากคา E0 โดยถา มคี า E0 สงู กวา สารนนั้ ก็จะสามารถรับอเิ ลก็ ตรอนไดด กี วา สารทเ่ี หลือก็จะไม เกดิ ปฏกิ ริ ิยา ตวั อยา งอเิ ลก็ โทรลซิ สิ 1. การแยกเกลอื NaCl หลอมเหลวดว ยไฟฟา อเิ ล็กโทรลซิ สิ โซเดยี มคลอไรดท่ีหลอมเหลว E0 = -1.36 V E0 = -2.71 V ปฏกิ ิรยิ าท่เี กดิ ขนึ้ เปน ดงั น้ี ขวั้ ไฟฟา บวก (แอโนด) ; 2Cl- (l) → Cl2(g) + 2e- ขว้ั ลบ (แคโทด) ; 2Na+ (l) + 2e- → 2Na (s) 78
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ ; 2Na+ + 2Cl- (l) → 2Na (s) + Cl2 (g) E0 = -4.07 V ดังน้ันผลิตภณั ฑทเี่ กดิ ขน้ึ คอื cell ทขี่ ว้ั แอโนด เกิด Cl2 ที่ขว้ั แคโทด เกดิ Na (s) ในอุตสาหกรรมเตรียมโซเดียม ก็ใชวิธีการอิเล็กโทรลิซิสโซเดียมคลอไรดหลอมเหลว โดยใช เซลลอเิ ล็กโตรไลตท่ีสรา งขึ้นเฉพาะ เรยี กวา Downs cell ดังรปู รูป Downs Cell ใชสําหรับอเิ ลก็ โทรลซิ สิ NaCl หลอมเหลวเพอื่ ผลิตโลหะโซเดียม และแกส็ คลอรนี ในอตุ สาหกรรม 2. การแยกสารละลายโซเดยี มซลั เฟตดว ยไฟฟา รปู อิเลก็ โทรลซิ ิสสารละลายโซเดียมซัลเฟต 79
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี ปฏกิ ริ ยิ าท่เี กดิ ข้ึนอธบิ ายไดด ังน้ี ทข่ี ั้วแอโนด (ขว้ั บวก) โมเลกุลของนํ้าและ S2O82- เคลอ่ื นทเ่ี ขา ไปใหอ เิ ล็กตรอน สารใดจะ สามารถใหไ ดพ ิจารณาจากคา E0 ดงั นี้ S2O82- (aq) + 2e- → 2SO42- (aq) E0 = +2.01 V …………… (1) O2 (g) + 4H+ (aq) + 4e- → 2H2O (l) E0 = +1.23 V …………… (2) จากการพจิ ารณาคา E0 พบวา E0 ของปฏกิ ริ ิยาในสมการ (2) ต่าํ กวา ปฏกิ ริ ยิ าในสมการ (1) แสดงวา เกดิ สารตามสมการที่ (2) ไดง า ยกวาเกิดสารในสมการท่ี (1) ดงั น้ันปฏกิ ิริยาทเ่ี กิดขนึ้ ที่ ขัว้ บวก หรอื ขวั้ แอโนดคอื 2H2O (l) → O2 (g) + 4H+ (aq) + 4e- E0 = -1.23 V …………… (3) ทข่ี ว้ั แคโทด (ขว้ั ลบ) โมเลกลุ ของนาํ้ และ Na+ เคลอ่ื นทีเ่ ขา ไปรับอิเลก็ ตรอน สารใดจะสามารถรบั อเิ ล็กตรอน ไดพิจารณาจากคา E0 ดังนี้ Na+ (aq) + e- → Na (s) E0 = -2.71 V …………… (4) 2H2O (l) + 2e- → H2 (g) + 2OH- (aq) E0 = -0.83 V …………… (5) จากการพจิ ารณาคา E0 พบวา E0 ของปฏกิ ิริยาในสมการ (5) สูงกวา ปฏิกริ ยิ าในสมการ (4) แสดงวา เกดิ สารตามสมการท่ี (5) ไดงายกวาเกดิ สารในสมการท่ี (4) ดังน้นั ปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี กดิ ขน้ึ ท่ี ข้วั บวก หรอื ขว้ั แอโนดคอื 2H2O (l) + 2e- → H2 (g) + 2OH- (aq) E0 = -0.83 V …………… (6) (5) x 2 ; 4H2O (l) + 4e- → 2H2 (g) + 4OH- (aq) E0 = -0.83 V …………… (6) นําสมการที่ (3) + (6) จะได 4H2O (l) + 2H2O (l) → 2H2 (g) + O2 (g) + 4OH- (aq) + 4H+ (aq) 6H2O (l) → 2H2 (g) + O2 (g) + 4H2O (l) =E 0 (-0.83)+(-1.23) =- รวม 2.06 V 2H2O (l) → 2H2 (g) + O2 (g) =E 0 -2.06 V เพราะฉะนัน้ ผลิตภณั ฑท ีเ่ กิดข้นึ เปน ดงั นี้ รวม ทีข่ ั้วแคโทด เกดิ แกส็ ไฮโดรเจน ทข่ี ว้ั แอโนด เกดิ แก็สออกซเิ จน 80
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี 3. การแยกสารละลายโซเดยี มคลอไรดด ว ยไฟฟา รูป อิเลก็ โทรลซิ ิสสารละลายโซเดยี มคลอไรด ทข่ี ว้ั แคโทด (ขวั้ ลบ) โมเลกุลของน้ําและ Na+(aq) เคล่ือนที่เขาไปรับอิเล็กตรอน สารใดจะสามารถรับ อเิ ล็กตรอนไดพิจารณาจากคา E0 ดงั นี้ Na+ (aq) + e- → Na (s) E0 = -2.71 V …………… (1) 2H2O (l) + 2e- → H2 (g) + 2OH- (aq) E0 = -0.83 V …………… (2) จากการพจิ ารณาคา E0 พบวา E0 ของปฏกิ ริ ิยาในสมการ (2) สูงกวา ปฏกิ ริ ยิ าในสมการ (1) แสดงวา เกดิ สารตามสมการที่ (2) ไดง ายกวาเกิดสารในสมการท่ี (1) ดังน้นั ปฏกิ ิรยิ าทเี่ กดิ ขนึ้ ท่ี ขว้ั บวก หรอื ขว้ั แอโนดคอื 2H2O (l) + 2e- → H2 (g) + 2OH- (aq) E0 = -0.83 V …………… (3) ทข่ี ้ัวแอโนด (ขวั้ บวก) โมเลกลุ ของนา้ํ และ Cl- (aq) เคลอ่ื นทเ่ี ขาไปใหอ ิเลก็ ตรอน สารใดจะ สามารถใหไดพ ิจารณาจากคา E0 ดงั นี้ Cl2 (g) + 2e- → 2Cl- E0 = +1.36 V …………… (4) O2 (g) + 4H+ (aq) + 4e- → 2H2O (l) E0 = +2.07 V …………… (5) 81
เคมี (ครแู นน) ไฟฟา เคมี จากการพิจารณาคา E0 พบวา E0 ของปฏิกิริยาในสมการท้ังสองใกลเคียงกัน แสดงวา Cl- และ H2O ถกู ออกซไิ ดสไดเ กือบเทา กัน ดังนั้นความเขมขนของ Cl- จึงเปนปจจัยสําคัญท่ีมีผลตอการ เกิดสารผลิตภัณฑ กลาวคือ ถาความเขมขนของ Cl- มากจะพบวาเกิดแก็ส Cl2 และถาความ เขมขนของ Cl- นอยมากก็จะพบวาเกิด O2 จากนํ้า ในปฏิกิริยาท่ี 5 แตถาความเขมขนของ Cl- ปานกลางจะพบวา Cl- ถูกออกซไิ ดสเ กิด Cl2 เพราะ Cl- มคี วามวอ งไวในการถกู ออกซไิ ดสไดดีกวา H2O ดงั นนั้ ปฏกิ ิริยาที่เกดิ ไดคือ 2Cl- (aq) → 2Cl2 (g) + 2e- E0 = -1.36 V …………… (6) รวมสมการที่ (3) + (6) จะได 2H2O (l) + 2Cl- (aq) → 2H2(g) + 2OH- (aq) + Cl2 (g) E0 = (-0.83)+(-1.36) = -2.19 V รวม ตาราง การเปรียบเทยี บเซลลกัลวานกิ และเซลลอ ิเลก็ โทรไลต เซลลก ลั วานกิ เซลลอ เิ ลก็ โทรไลต 1. เปน เซลลไ ฟฟา เคมีที่เปลยี นพลงั 1. เปน เซลลไ ฟฟา เคมที ี่เปลยี่ นพลงั งานไฟฟา ให งานเคมใี หเปน พลงั งานไฟฟา เปน พลงั งานเคมี 2. ขวั้ แอโนด เกดิ ปฏิกริ ยิ า 2. ข้ัวแอโนด เกดิ ปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชนั ออกซเิ ดชนั 3. ขว้ั แคโทด เกดิ ปฏกิ ิรยิ ารดี กั ชนั 3. ข้วั แคโทด เกิดปฏกิ ิรยิ ารดี กั ชนั 4. ข้วั ลบ เปน ขว้ั ทต่ี อ เขา กบั ขว้ั ลบของ 4. ขั้วลบ เปน ขวั้ ท่อี เิ ล็กตรอนไหล แหลงกาํ เนดิ ไฟฟา ออก 5. ข้ัวบวกเปน ขั้วท่ีตอ กับขวั้ บวกของแหลง กําเนดิ 5. ขว้ั บวก เปน ข้วั ท่ีอเิ ลก็ ตรอนไหล ไฟฟา เขา 6. ศักยไ ฟฟา ของเซลลเปน ลบ 6. ศักยไฟฟาของเซลลเปน บวก 7. ปฏกิ ริ ิยาเคมเี กิดขนึ้ ไดต อ งใชกระแสไฟฟา 7. ปฏกิ ริ ิยาเกดิ ขนึ้ ไดเ อง (ไฟฟากระแสตรง) 82
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี กฏฟาราเดยข องการอเิ ลก็ โทรลซิ สิ ในป ค.ศ. 1832 - 1833 ไมเคิล ฟาราเดย ไดศกี ษาการอเิ ล็กโทรลซิ สิ สรุปไดด งั นี้ “ปริมาณสารที่ใชไปหรือเกิดข้ึนท่ีขั้วไฟฟาหน่ึง ๆ ในเซลลอิเล็กโทรไลตจะแปรผันตรงกับปริมาณ ไฟฟา ทผี่ านลงไปในเซลลนน้ั ” จากการทดลองสรปุ ไดว า 1 อเิ ลก็ ตรอนรีดิวซ ซวิ เวอร 1 ซิวเวอรไอออน และ 2 อิเล็กตรอน รีดิวซ 1 คอปเปอร (II) ไอออน ดงั น้ี Ag+ + e → Ag Cu2+ + 2e- → Cu ดงั นนั้ ถา อเิ ลก็ ตรอน 1 โมล หรือ 6.02 x 1023 อเิ ล็กตรอนรดี วิ ซ Ag+ ไดจ าํ นวน 6.02 x 1023 ไอออน หรอื หนกั เทา กบั 107.868 กรมั หรอื คดิ เปน 1 โมล และถาอิเลก็ ตรอน 1 โมล หรือ 6.02 x 1023 อเิ ลก็ ตรอนรีดิวซ Cu2+ ไดจํานวน 1/2 x 6.02 x 1023 ไอออน หรอื หนกั เทากบั 1/2x 63.5 กรมั หรอื คดิ เปน 1/2โมล รูป ปรมิ าณของธาตตุ าง ๆ ทถ่ี กู แยกออกมาจากสารละลายที่ขัว้ แคโทด โดยใชไฟฟา 1 ฟาราเดย ( 19,485 คลู อมบ ( C ) หรือ 1 โมลอิเลก็ ตรอน) 1 ฟาราเดย = 6.02 x 1023 อเิ ลก็ ตรอน = 1 โมลอิเล็กตรอน = 19,485 คูลอมบ ( C ) 1 คูลอมบ = ปรมิ าณไฟฟา 1 แอมแปร (A) ไหลผานในเวลา 1 วินาที (s) 1 แอมแปร (A) = 1 คูลอมบ ตอ 1 วนิ าที สตู รทใ่ี ชค ํานวณ ปรมิ าณไฟฟา (Q) = กระไฟฟา (I) x เวลา (t) 83
เคมี (ครแู นน) ไฟฟาเคมี ตัวอยาง จงคํานวณมวลของทองแดง (Cu) ท่ีเกิดข้ึนจากปฏิกิริยารีดักชันของ Cu2+ ท่ีข้ัวแคโทด ดวยการผานกระแสไฟฟา 1.6 แอมแปร ในการอิเล็กโทรลิซิสสารละลาย CuSO4 เปนเวลา 1 ช่วั โมง มวลอะตอมของ Cu เทา กับ 63.5 วธิ ที าํ 1. หาปริมาณไฟฟา สตู ร Q = It แทนคา Q = 1.6 x (1x 60 x 60) เพราะฉะนน้ั Q = 5760 คลู อมบ 2. หาปรมิ าณฟาราเดย ปรมิ าณไฟฟา 96485 คูลอมบ = 1 ฟาราเดย ปรมิ าณไฟฟา 5760 คลู อมบ 1 x 5760 = 96485 = 0.0597 ฟาราเดย แตไฟฟา 1 ฟาราเดย มจี ํานวน = 1 โมลอเิ ลก็ ตรอน 1 x 0.0597 ไฟฟา 0.0597 ฟาราเดย มีจาํ นวน = 1 โมลอเิ ล็กตรอน = 0.0597 โมลอิเลก็ ตรอน 3. หาจาํ นวนโมลของ Cu ทีข่ ว้ั แคโทด ทีข่ ั้วแคโทด Cu2+ + 2e- → Cu จากสมการอเิ ลก็ ตรอน 2 โมลอเิ ล็กตรอน เกดิ Cu = 1 โมล 1 x 0.0597 อิเล็กตรอน 0.0597 โมลอเิ ล็กตรอนเกิด Cu = 2 = 0.02985 โมล 4. หามวลของ Cu = 63.5 g Cu 1 โมล หนัก 63.5 x 0.02985 Cu 0.0285 โมล หนกั = 1 = 1.8954 g 84
Search