๔๗ กสิณุคฆาฏมิ ากาส คอื บญั ญัติทีเ่ กดิ จากกสิณท้ัง ๙ เปน็ อารมณ์ ( กสณิ คุ ฆาฏิมากาส คือ อากาศท่ีวา่ งเปลา่ ) อากาสา. วญิ ญา. อากิญ. เนวา. กุศล ภพน้ีและภพกอ่ นเปน็ อารมณ์ ภพน้ีและภพกอ่ นเป็นอารมณ์ วปิ าก ภพก่อนเปน็ อารมณ์ ภพก่อนเป็นอารมณ์ กริ ยิ า น้ี ภพนีแ้ ละภพกอ่ นเปน็ อารมณ์ น้ี ภพนแ้ี ละภพกอ่ นเปน็ อารมณ์ นกี้ อ่ น นก้ี อ่ น พระอเสขบุคคล พระอเสขบุคคล บญั ญัติทีเ่ กดิ จากกสณิ ท้ัง ๙ แยกเปน็ ๓ คอื นัตถิภาวบญั ญตั ิ คอื ความไม่มอี ะไรๆ ของ ๑. ภูตกสิณ ๔ ได้แก่ ดนิ น้า ไฟ ลม อากาสานญั จายตนกุศล หรือกริ ยิ าเป็นอารมณ์ ๒. วณั ณกสณิ ๔ ไดแ้ ก่ สเี ขยี ว สีขาว สีแดง สเี หลือง ๓. อาโลกกสณิ ๑ ได้แก่ แสงสว่าง ( เว้น อากาศกสณิ ) พระอรหนั ตม์ ีอยู่ด้วยกันหลายประเภทแตเ่ มอ่ื ว่าโดยประเภทใหญ่ ๆ แลว้ มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ๑. พระอรหนั ต์ ที่สาเรจ็ เปน็ พระอรหนั ตด์ ว้ ย ปญั ญาวิมตุ ต์ หมายถึง พระอรหันต์ทีบ่ รรลมุ รรคผล ดว้ ยการ ปฏิบตั ิวิปัสสนาภาวนาลว้ น ๆ โดยไมไ่ ด้ปฏิบัติสมถภาวนา คือไมไ่ ด้ทาฌานมาก่อนเลยและเม่อื วปิ สั สนาญาณ ดาเนินไปจนมรรคผลเกดิ ขึ้นจงึ ไมม่ อี ารมั มณปนชิ ฌาน คือ การเข้าเพง่ องค์ฌานเกดิ ขึน้ ด้วย และพระอรหนั ต์ผู้ ไม่ได้ฌานนี้ เรียกอกี อยา่ งหนง่ึ ว่า สุกขวิปัสสกพระอรหนั ต์ (พระอรหันตผ์ เู้ ห่ียวแห้งด้วยฌาน) ๒. พระอรหนั ต์ ทีส่ าเรจ็ เปน็ พระอรหนั ตด์ ้วย เจโตวมิ ุตต์ หมายถงึ พระอรหนั ต์ทบี่ รรลุมรรคผลโดยมเี รื่อง สมถภาวนา คือ การได้ฌานเขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง และฌานที่เข้ามาเกีย่ วข้องนน้ั มีอยดู่ ว้ ยกนั ๒ อย่างคือ ๑. ปฏิปทาสทิ ธิฌาน คือ การได้ฌานจากการปฏิบตั สิ มถภาวนาก่อน ตอ่ จากนั้นจงึ มาเจรญิ วปิ ัสสนามรรคผลเกดิ ข้ึน แลว้ ไดบ้ รรลุเป็นพระอรหนั ต์ ๒. มัคคสทิ ธิฌาน คือการได้ฌานดว้ ยอานาจแหง่ มรรค กล่าวคอื ท่านไม่ได้ปฏบิ ตั สิ มถภาวนาจนได้ กอ่ น แต่เมื่อทา่ นได้เจรญิ วิปัสสนาไปตามลาดับ จนบรรลเุ ป็นพระอรหันตด์ ว้ ยอานาจแหง่ บญุ ญาธกิ ารทีเ่ คยสั่งสมไว้ในปางกอ่ น หลังจากบรรลุมรรคผลแล้ว ท่านก็ไดบ้ รรลฌุ านด้วย เพราะฉะนน้ั ฌานทีไ่ ด้มานัน้ มาด้วยอานาจแหง่ มรรค และฌานทไ่ี ด้มาดว้ ยอานาจแหง่ มรรคนนั้ อาจจะได้อภิญญาด้วยกไ็ ด้ เชน่ พระอานนท์ เมอ่ื บรรลเุ ป็นพระอรหนั ต์แล้วกไ็ ด้อภิญญาด้วย การละอกุศลธรรมมีความแตกตา่ ง ๓ ประการ คือ ๑. ราคะมีโทษน้อยคลายช้า ละดว้ ยอสภุ นิมติ ๒. โทสะมีโทษมากคลายเรว็ ละดว้ ยเมตตา ๓. โมหะมโี ทษมากคลายชา้ ละดว้ ยโยนิโสมนสิการ อง. ติก. ๒๐/๒๕๗-๒๖๐
๔๘ อารมั มณสงั คหะ จาแนกจิต ๖๐/๙๒ ท่ีรับอารมณ์แนน่ อน โดยอารมณ์ ๖ และกาล ๓ จาแนกจิต ๑๒๑ โดย อารมณ์ ๖ ๑ ปญจฺ วสี ปริตตฺ มฺหิ กามะ มหัคคตะ ๕๕๕๕ บัญญัติ ๕๕๕๕ จติ ๒๕ ดวงทีเ่ กดิ ได้ใน อารมณ์ ๖ ๕๕ ทเ่ี ป็น กามธรรม อย่างเดียว (เว้น โลกุตตร ๙) ๕๕ ๒ ฉ จิตฺตานิ มหคคฺ เต กามธรรม ๑๑๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑๑๑๑ จติ ๖ ดวงทเ่ี กดิ ไดใ้ น ธรรมารมณ์ ๑๗๑ ที่เปน็ มหัคคต อยา่ งเดยี ว กามะ มหคั คตะ ๖ ๖๕๕ ๓ เอกวสี ติ โวหาเร โลกตุ ตระ บัญญัติ ๖ ๖๕๕ (เวน้ อ.มรรค อ.ผล) จติ ๒๑ ดวงท่ีเกดิ ไดใ้ น ธรรมารมณ์ ๑๑๑๑ ทีเ่ ป็น บัญญตั ิ อยา่ งเดียว กามะ มหคั คตะ ๑๑๑๑ โลกุตตระ บญั ญัติ ๔ อฏฺ นพิ พฺ านโคจเร ๗๗๕๕ บัญญัติ ๗๗๕๕ จิต ๘ ดวงที่เกดิ ไดใ้ น ธรรมารมณ์ ๓๓๓๓๓๖ ทเ่ี ปน็ นพิ พาน อยา่ งเดียว นิพพาน ๓๓๓๓๓ ๓๓๓๓๓๗ จาแนกจิต ๓๑ ที่รับอารมณไ์ ม่แนน่ อน โดยอารมณ์ ๖ และกาล ๓ ๓๒๓๒ ๓๒๓๒ ๕ วีสานุตฺตรมตุ ตฺ มฺหิ ๓๒๓๒ จติ ๒๐ ดวงที่เกิดไดใ้ น อารมณ์ ๖ ๔ มหัคคตะ ท่ีเปน็ กามะ มหัคคตะ บญั ญัติ ๔ ( เว้น โลกตุ ตร ๙ ) ๔ ๖ อคฺคมคคฺ ผลุชฌฺ ิเต ปญจฺ ๔ จิต ๕ ดวงทเ่ี กดิ ได้ใน อารมณท์ ้ัง ๖ ทเ่ี ป็น กามะ มหัคคตะ โลกตุ ตระ บญั ญัติ ๔ ( เว้น อรหตั ตมรรค อรหัตตผล ) ๔ ๗ สพพฺ ตฺถ ฉ จ ๔ จติ ๖ ดวงท่เี กิดได้ใน อารมณท์ ้ัง ๖ ๔ ที่เป็น กามะ มหัคคตะ โลกตุ ตระ บัญญัติ โดยไม่มีเหลือ
๔๙ แสดงอารมณโ์ ดยพิสดาร และการจาแนกจติ เจตสกิ ที่รับอารมณโ์ ดยแน่นอน และไมแ่ น่นอน อารมณโ์ ดยพสิ ดาร ๒๑ จิตที่รบั อารมณ์ เจตสกิ ท่รี ับอารมณ์ อ. ธ. อา. ๒๑ แน่นอน ไม่แน่นอน รวม แน่นอน ไมแ่ น่นอน ๑. กาม. อา.-๕๔, ๕๒, ๒๘ ๕๖ ไมม่ ี ๕๐(อัป.๒) ๒. มหัคคตอา. ๒๗, ๓๕ ๒๕ - ๑๓, ๑๒ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๓๗ ไมม่ ี ๔๗(วิ.๓-อปั .๒) ๓. นพิ พานอา. นิพพาน ๖ - ๓, ๓ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๑๙ ไมม่ ี ๓๖(อก.ุ ๑๔-อัป.๒) ๔. นามอา. ๘๙, ๕๒, นพิ . ๕๗ ๕. รปู อา. รปู ๒๘ ๘ - ๘ ๑๑ - ๕,๖ ๕๖ ไม่มี ๕๐(อปั .๒) ๖. ปัจจุบนั อา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๕๖ ไมม่ ี ๕๐(อัป.๒) ๗. อดตี อา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๑๔ - ๖, ๘ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๔๙ ๘. อนาคตอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๔๓ ไม่มี ๕๐(อัป.๒) ๙. กาลวมิ ุตอา. นิพ. บัญญตั ิ ๑๓ -๑๐, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๕๘/๖๐ ไม่มี ๔๗(วิ.๓-อปั .๒) ๑๐. บัญญตั ิอา. อัตถ, สทั ท ๕๐/๕๒ ไมม่ ี ๕๐(อัป.๒) ๑๑. ปรมตั ถอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ . ๑๓ -๑๐, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๗๐ อปั .๒ ๕๐(อปั .๒) ๑๒. อชั ฌัตตอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๖๒ ๑๓. พหิทธอา. ๘๙,๕๒,๒๘ ๖ - ๓, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๘๐/๘๒ อปั .๒ ๔๗(วิ.๓-อัป.๒) วิ.๓ ๔๗(วิ.๓-อัป.๒) นิพ. บญั . ไมม่ ี ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๕๖ ๑๔. อัช. พหิท. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๔๖ ไม่มี ๔๙(อสิ .๑-อัป.๒) ๑๕. ปัญจารมณ.์ วสิ ยรปู ๗ ๒๙ - ๒๑, ๘ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๔๘ อสิ .๑, ๔๙(อิส.๑-อัป.๒) ๑๖. รปู ารมณ์-สีตา่ ง ๆ ๔๘ อัป.๒ ๑๗. สทั ทารมณ-์ เสียงตา่ ง ๆ ๒๑ - ๑๕, ๖ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๔๘ ไม่มี ๔๙(อิส.๑-อัป.๒) ๑๘. คันธารมณ-์ กลนิ่ ต่าง ๆ ๔๘ ๑๙. รสารมณ์-รสตา่ ง ๆ ๓๙ - ๒๕,๖, ๘ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๔๘ ไม่มี ๕๐(อัป.๒) ๒๐. โผฏฐพั พารมณ์ – มี เยน็ รอ้ นฯ ไม่มี ๕๐(อัป.๒) ๒๑. ธมั มารมณ-์ ๘๙, ๕๒, ๕, ๑๖ ๖ - ๓, ๓ ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ๗๖/๗๘ ไมม่ ี ๕๐(อปั .๒) ไมม่ ี ๕๐(อปั .๒) นพิ . บัญ. ๒๖ - ๑๕, อากา. ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ไม่มี ๕๐(อปั .๒) ไม่มี ๕๐(อปั .๒) ๓,๘ อัป.๒ ๕๐(อปั .๒) ไม่มี ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ๓ - มโนธาตุ ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๒ - จกั ขวุ ญิ .๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๒ - โสตวิญ.๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๒ - ฆานวญิ .๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๒ - ชวิ หาวิญ.๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๒ - กายวิญ.๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๓๕ - ๒๑,๖,๘ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ จบ อารัมมณสังคหะ
๕ดมวี ก๔๕งาม๐จิต๒ อารมณโ์ ดยพสิ ดาร ๒๑ จาแนกเจตสกิ ๕๒ จาแนกจิต ๑๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๑๗ ๒๐ ๒๐ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๕๖ ๒๐ ๒๐ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๕๖ ๖ ๒๐ ๕ หก ๖ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ หา้ ห้า ๒๐ ๒๐ จติ ๑๘ ๑๘ ๑๘ ๒๑ ๒๑ หา้ ห้า ๒๐ ๒๐ ๑ จิตทร่ี บั อารมณไ์ ด้ อย่างเดียว ๖๖๖๖ ๒ จติ ท่ีรบั อารมณไ์ ด้ สองอยา่ ง ๔ ๔ ๒๑ ๒๑ ๖๖๖๖ ๕ จิตที่รับอารมณไ์ ด้ ห้าอยา่ ง หก หก ๒๐ ๒๐ ๑๒ จิตทร่ี ับอารมณ์ได้ สบิ สองอยา่ ง ๒๑ ๒๑ ๒๑ หก หก ๒๐ ๒๐ ๑๔ จิตทร่ี บั อารมณ์ได้ สิบสี่อยา่ ง ๒๑ ๒๑ ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ หา้ ๒๕ จิตทีร่ บั อารมณ์ได้ ยส่ี บิ ห้าอยา่ ง ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ หก เจตสิก ๑๑๑๑ ๒๐ คอื อารมณ์ ๒๑ เวน้ นพิ พาน ๑๑๑๑ ๑๘ คอื อารมณ์ ๒๑ เว้น มหคั คตอารมณ์ อดตี อารมณ์ ๑๒๑๒ บญั ญตั ิอารมณ์ ๑๑๑๑๑ หก จติ ทร่ี บั อารมณ์ หก คอื ๑๗ คอื อารมณ์ ๒๑ เวน้ นิพพาน อัชฌตั ตอารมณ์ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๘๙ ๕๒ ๒๘ นพิ . บัญ พหทิ ธอารมณ์ อชั ฌัตตพหทิ ธอารมณ์ ๑๑๑๑๑ หา้ จิตท่ีรบั อารมณ์ หก คอื ๔ คอื กาลวมิ ุตต์ บญั ญตั อิ ารมณ์ พหิทธอารมณ์ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๘๗ ๕๒ ๒๘ นิพ. บญั ธรรมารมณ์ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๒๐ จิตทร่ี บั อารมณ์ หก คือ ๘๑ ๕๒ ๒๘ บัญ ๖ จิตทร่ี ับอารมณ์ หก คอื ๕๔ ๕๒ ๒๘
๕๑ มาติกาที่ ๖ วตั ถุสังคหะ วตั ถุสงั คหะ หมายถงึ การสงเคราะหจ์ ิต เจตสิก โดยประเภทแหง่ วตั ถุ ชอื่ วา่ วตั ถสุ ังคหะ มี ๖ คือ ๑.) จักขวุ ัตถุ ได้แก่ จักขปุ สาท ๒.) โสตวตั ถุ ได้แก่ โสตปสาท ๓.) ฆานวตั ถุ ไดแ้ ก่ ฆานปสาท ๔.) ชวิ หาวตั ถุ ได้แก่ ชวิ หาปสาท ๕.) กายวตั ถุ ไดแ้ ก่ กายปสาท ๖.) หทัยวัตถุ ไดแ้ ก่ หทัยรูป คาว่า วัตถุ แปลว่า เปน็ ท่อี าศยั เกิดของจิต และเจตสกิ หรอื ธรรมทเ่ี ป็นทอี่ าศัยเกดิ ของจติ และเจตสิก สังคหะ แปลวา่ การสงเคราะห์ หรอื รวบรวม เมอื่ รวม 2 ศพั ทน์ ้แี ล้ว เรียกว่า วัตถสุ ังคหะ แสดงวจนัตถะของคาว่า วัตถุ มดี ังนี้ คอื วสนฺติ ปตฏิ ฺ หนฺติ จติ ตฺ เจตสิกา เอตฺถาติ = วตฺถุ แปลเป็นใจความวา่ จิตเจตสิกทงั้ หลาย ยอ่ มอาศยั อยู่ในธรรมใด ฉะนัน้ ธรรมทเี่ ป็นที่อาศัยของจติ และ เจตสิกเหลา่ นั้น ฉะน้ัน ธรรมเหลา่ นัน้ จงึ ชอื่ วา่ วัตถุ อธิบายวัตถุ ธรรมท่เี ปน็ ที่อาศยั มอี ยู่ ๒ ประการ คือ ๑. อวิญญาณกวตั ถุ คือ ธรรมที่เปน็ ท่อี าศัยเกดิ ของสิง่ ทไ่ี มม่ ีชวี ิตทง้ั หลาย เชน่ ต้นไม้ ภเู ขา แม่นา้ เหลา่ นี้ เป็นตน้ ๒. สวิญญาณกวตั ถุ คือ ธรรมท่ีเป็นที่อาศยั เกิดของสิ่งที่มีชีวติ ทง้ั หลาย เช่น มนษุ ย์ สัตว์ดริ จั ฉาน เปน็ ตน้ สรปุ ธรรมทเ่ี ปน็ ทอี่ าศยั แสดงเป็น ๒ นัย คือ นัยท่ี ๑.) วตั ถรุ ปู ๖ อปุ มาเหมอื นกบั พ้นื แผน่ ดนิ ซ่งึ เปน็ ทอี่ าศัยเกิดของสิง่ มีชวี ติ และไม่มีชีวติ นัยท่ี ๒.) จิต และ เจตสิก อปุ มาเหมือนกับ อวญิ ญาณกวตั ถุ คือ วัตถทุ ไี่ มม่ ีชีวติ และ สวญิ ญาณกวัตถุ คือ ส่งิ ท่ีมีชีวติ ทัง้ หลาย สรุปความแลว้ จงึ กล่าวได้วา่ จิต เจตสิก ทัง้ หลายอย่ใู นวัตถุรูปทั้ง ๖ แต่ขอ้ หาน้ี หาใชเ่ ปน็ ไปตามปรมตั ถ นัยไม่ ( คอื นัยตามสภาวธรรมทเี่ ปน็ จรงิ ) กล่าวโดยโวหารเทา่ นั้น เหมือนกับทกี่ ล่าววา่ ต้นไม้ตา่ งๆ อยู่ในพชื หรือ เสียงระฆงั อยูใ่ นระฆงั ซึง่ ความเ ป็นจรงิ นนั้ ตน้ ไมก้ ็ไมไ่ ด้อย่ใู นพืช เสียงระฆงั ก็ไม่ไดอ้ ยใู่ นระฆัง แล้วแต่ เหตปุ ัจจยั ถ้าเหตุปจั จัยเกดิ ข้ึนครบแล้ว ต้นไมก้ ็เกิดจากพชื ได้ เสียงระฆงั กเ็ กิดจากระฆงั ได้ จติ เจตสิก ที่เกิดข้ึน โดยอาศยั วัตถุรปู ๖ ก็เชน่ เดียวกนั ถา้ มเี หตปุ ัจจัยครบแลว้ จิต เจตสิกก็เกดิ จ ากวตั ถรุ ปู ได้ ถา้ เหตปุ ัจจัยไมค่ รบ จิต และเจตสิกกเ็ กดิ จากวัตถรุ ูป ๖ ไม่ได้
๕๒ ธรรมท่ีเปน็ เหตเุ ปน็ ปัจจยั ให้จิตเจตสิกเกิดข้นึ จากวตั ถุรปู ๖ ได้นน้ั มเี หตุที่เป็นหลักสาคัญอยู่ ๓ อย่างคือ ๑. อดตี กรรม คอื กรรมทีท่ ามาแลว้ ในชาติปางก่อน หรือ ในชาตนิ ท้ี ่สี าคัญ ๒. วตั ถุ คอื วตั ถุรปู ๖ มจี กั ขุวตั ถุ เปน็ ต้น ท่ีเกดิ จากกรรม ๓. อารมณ์ คือ อารมณ์ ๖ มีรูปารมณ์ สัททารมณ์ ธรรมารมณ์ ฯลฯ เมอื่ ครบเหตปุ จั จัยทง้ั ๓ อยา่ งน้แี ลว้ จติ และเจตสกิ กเ็ กดิ จากวตั ถุรปู ๖ ได้ การแสดงเหตุปจั จยั แหง่ การ เกดิ ข้ึนของจติ เจตสิกท่ีเก่ียวด้วยวัตถรุ ปู ๖ กม็ งุ่ หมายเอาเฉพาะแตใ่ นปัญจโวการภูมเิ ท่านน้ั (คือ ภมู ทิ ม่ี ขี ันธ์ ๕ คือ ภมู ิทีม่ ที ง้ั รปู และนาม) สาหรบั ในจตุโวการภมู ินนั้ เหตุปจั จัยทท่ี าให้จติ เจตสกิ เกดิ ขน้ึ นัน้ ยอ่ มมีเพยี ง 2 อย่าง คอื ๑. อดตี กรรม ๒. อารมณ์ เพราะวา่ จตุโวการภูมิ (คือภมู ิท่ีมีขนั ธ์ ๔ หรอื ภูมทิ ี่มนี ามขนั ธ์อย่างเดยี วไมม่ รี ปู ) เปน็ ภูมิทปี่ ฏิเสธรปู ฉะนั้น วตั ถรุ ูป จึงไม่มใี น จตโุ วการภมู ิ คาถาแสดงการจาแนกภูมิ ๓๐ โดยวัตถุรูป ๖ และวิญญาณธาตุ ๗ ๑. ฉวตถฺ ุ นิสสฺ ติ า กาเม สตตฺ รูเป จตพุ พฺ ธิ า ติวตถฺ ุ นิสฺสติ ารูเป ธาเตฺวกานิสสฺ ิตา มตา ฯ นักศึกษาท้ังหลายพงึ ทราบ วญิ ญาณธาตุ ๗ ทอ่ี าศัยวัตถุรปู ๖ เกิดในกามภมู ิ ๑๑ พงึ ทราบ วญิ ญาณธาตุ ๔ คือ จักขวุ ิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ ทอ่ี าศยั วตั ถรุ ปู ๓ คือ จักขุวตั ถุ โสตวตั ถุ หทยั วตั ถุ เกิดในรูปภมู ิ ๑๕ (เวน้ อสัญญสัตตภูม)ิ พงึ ทราบ มโนวิญญาณธาตุ ทไ่ี ม่ไดอ้ าศยั วตั ถุรูป เกดิ ในอรูปภูมิ ๔ จาแนกวิญญาณธาตุ ๗ โดยจติ ๘๙ หรอื ๑๒๑ ๑. จกั ขุวญิ ญาณธาตุ องคธ์ รรมได้แก่ จกั ขวุ ิญญาณจิต ๒ ๒. โสตวิญญาณธาตุ องคธ์ รรมไดแ้ ก่ โสตวิญญาณจติ ๒ ๓. ฆานวญิ ญาณธาตุ องคธ์ รรมได้แก่ ฆานวิญญาณจิต ๒ ๔. ชวิ หาวิญญาณธาตุ องคธ์ รรมได้แก่ ชิวหาวญิ ญาณจติ ๒ ๕. กายวิญญาณธาตุ องคธ์ รรมไดแ้ ก่ กายวิญญาณจิต ๒ ๖. มโนธาตุ องค์ธรรมได้แก่ สัมปฏิจฉนจติ ๒ ปัญจทวาราวชั ชนจติ ๑ ๗. มโนวญิ ญาณธาตุ องคธ์ รรมไดแ้ ก่ จติ ๗๖ หรือ ๑๐๘ (เว้นทวิ.๑๐ มโนธาตุ ๓)
๕๓ คาถาแสดงการจาแนกจติ ท่ีอาศยั และไม่อาศัยวตั ถุเกิด โดยแน่นอน และไมแ่ นน่ อน ๒. เตจตฺตาลีส นิสสฺ าย เทฺวจตตฺ าลีส ชายเร นิสสฺ าย จ อนสิ สฺ าย ปาการุปปฺ า อนิสสฺ ติ า ฯ จิต ๔๓ ดวง คือ ปญั จวิญญาณธาตุ ๑๐ มโนธาตุ ๓ มโนวิญญาณธาตุ ๓๐ ได้แก่ โทสมูลจติ ๒ สนั ตรี ณจติ ๓ หสิตุปปาทจติ ๑ มหาวิปากจติ ๘ รูปาวจรจิต ๑๕ โสดาปัตติมรรคจติ ๑ เหลา่ น้ี เกดิ ขึ้นโดยอาศัยวตั ถรุ ูปแน่นอน จติ ๔๒ ดวง คอื โลภมูลจิต ๘ โมหมูลจติ ๒ มโนทวาราวชั ชนจิต ๑ มหากศุ ลจิต ๘ มหากริยาจิต ๘ อรูปาวจรกุศลจติ ๔ อรปู าวจรกรยิ าจิต ๔ โลกุตตรจิต ๗ (เวน้ โสดาปัตตมิ รรค) เหล่านี้ เกิดขน้ึ โดยอาศัยวตั ถรุ ูปไม่แนน่ อน อรูปวิบาก ๔ ย่อมเกดิ ขนึ้ โดยไมไ่ ดอ้ าศัยวัตถุรูปเลย แสดงการจาแนกจติ ที่อาศัยวัตถุรูปเกดิ โดยแนน่ อนและไม่แน่นอนโดยวตั ถรุ ูป ๖ จิตที่อาศัยวัตถรุ ปู เกดิ เต จตตฺ าลสี นิสสฺ าย ชายเร เทวฺ จตฺตาลีส นิสฺสาย จ อนิสฺสาย ชายเร (แนน่ อน ๔๓) (ไมแ่ นน่ อน ๔๒) ๑. จติ ทอ่ี าศัยจักขวุ ัตถุเกดิ ๒-จกั ขุวญิ ญาณจติ 2 ไมม่ .ี ............ ๒. จติ ท่ีอาศัยโสตวัตถเุ กิด ๒-โสตวิญญาณจิต 2 ไมม่ .ี ............ ๓. จิตทอ่ี าศัยฆานวัตถุเกดิ ๒-ฆานวญิ ญาณจติ 2 ไม่ม.ี ............ ๔. จิตที่อาศัยชวิ หาวตั ถุเกดิ ๒-ชิวหาวิญญาณ 2 ไม่ม.ี ............ ๕. จิตท่ีอาศัยกายวัตถเุ กิด ๒-กายวิญญาณจติ ไมม่ .ี ............ ๖. จิตทีอ่ าศยั หทยวัตถเุ กดิ ๓๓-โท.๒ มโนธาตุ ๓ ตทา.๑๑ ๔๒-โลภ.๘ โมห.๒ มโน.๑ มหากุ.๘ มหากิ.๘ อรปู กุ.๔ อรปู ก.ิ ๔ โลกตุ .๗(๑) หสิ.๑ รูปา. ๑๕, โสดาม. ๑ อรปู วิปากจติ ๔ ไม่ได้อาศัยวตั ถรุ ปู เกดิ โดยแน่นอน “ ปาการปุ ปฺ า อนสิ ฺสิตา ชายเร ” จิตท่ีไมไ่ ด้อาศยั วตั ถุรูปโดยแนน่ อนมี ๔ คอื อรูปวิปาก ๔ เพราะอรูปวิปาก ๔ ดวงนี้ เกิดเฉพาะ แตใ่ นอรูปภมู ิ ซ่ึงเป็นภมู ทิ ไ่ี มม่ ีรปู ฉะนนั้ จติ ๔ ดวงน้ี จึงไมไ่ ดอ้ าศยั วตั ถรุ ูปเกดิ แนน่ อน แสดงการจาแนก เจตสิก ๕๒ โดยวัตถรุ ูป ๖ จิตท่ีอาศยั วตั ถุรูปเกดิ แนน่ อน ไมแ่ นน่ อน ๑. เจตสิกทอี่ าศัยจักขวุ ตั ถุเกดิ ไม่มี............. ๗-สัพพจติ ตสาธารณเจ. ๗ ๒. เจตสกิ ท่ีอาศยั โสตวัตถเุ กิด ไมม่ ี............. ๗-สพั พจิตตสาธารณเจ. ๗ ๓. เจตสิกทอี่ าศยั ฆานวตั ถุเกดิ ไม่มี............. ๗-สพั พจิตตสาธารณเจ. ๗ ๔. เจตสกิ ทอี่ าศยั ชวิ หาวตั ถุเกิด ไมม่ ี............. ๗-สัพพจติ ตสาธารณเจ. ๗ ๕. เจตสกิ ท่อี าศยั กายวัตถุเกดิ ไม่มี............. ๗-สพั พจติ ตสาธารณเจ. ๗ ๖. เจตสกิ ทอ่ี าศยั หทยวัตถุเกดิ ๖-โทจตุกเจ.๔, อัป.เจ. ๒ ๔๖-เจ. ๔๖ (เว้นโท.๔ อปั .๒) จบ ปรจิ เฉท ๓
๕๔ วตั ถสุ งั คหะ จาแนกเจตสกิ ๕๒ โดยวตั ถุ ๖ จาแนกจิต ๑๒๑ โดย วตั ถุ ๖ ๒๒ ๒ ๒ ๒๒๒๒๒๒๒ ๒๒ ๒ ๒ ๒๒๒๒๒๒ ๑๑ ๒๒๒๒ ๒๒๒ ๒๒ ๑๑๑๑ ๑๑ ๑ ๑ ๑ ๑๑ ๑๑๑๑๑๑๑๑ ๒๒ ๑ ๒๑ ๒ ๒๒๒๒ จติ ๒๒๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒ ๑ จิต ๔๓ ดวง อาศยั วตั ถุเกิดแนน่ อน ๒๒๒ ๒๒ ๒๒ ๑๑๑๑ - เกดิ ในปัญจโวการภมู เิ ทา่ นั้น ๑๑ ๑๑๑๑ ๒ จติ ๔๒ ดวง อาศัยวตั ถุเกดิ ไมแ่ นน่ อน ๒ ๒๒ ๒๒๒๒ - ถา้ เกิดในปัญจโวการภูมิ ๒๒ ๒๒๒๒ ก็อาศยั หทยวตั ถเุ กิด ๒๒ - ถา้ เกดิ ในจตโุ วการภมู ิ ๑๑๑๑๑ ก็ไมไ่ ดอ้ าศยั หทยวตั ถเุ กิด ๒๒ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ เจตสิก ๒๒๒๒ ๑ เจตสกิ ๖ ดวง อาศัยวัตถุรปู ( หทยวตั ถุ ) เกดิ โดยแนน่ อน - โทจตกุ ๔ เกดิ ในกามภมู ิ เท่าน้นั ๒๒๒๒ - อัปปมญั ญา ๒ เกิดในปญั จโวการภมู ิ เทา่ นั้น ๑๑๑๑๑ จติ ๔ ดวง ไม่อาศัยวัตถเุ กิด ๒ เจตสกิ ๔๖ ดวง ( เวน้ โทจตุก ๔, อปั ปมัญญา ๒ ) ๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒๒ จิตที่นอแกนจ่นาอกนทวปิ ญั จวิญญาณจติ ๑๐ อาศัยวัตถรุ ปู เกิดโดยไม่แน่นอน ๒๒๒๒๒ และอรูปาวจรวปิ ากจิต ๔ - ถา้ เกิดในปญั จโวการภูมิ กอ็ าศัยวตั ถรุ ูปเกิด ๒๒๒๒๒ อาศยั หทยวตั ถเุ กดิ ๒๒๒๒๒ - ถ้าเกิดในจตุโวการภมู ิ ก็ไม่ได้อาศยั วตั ถรุ ปู เกิด ๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒๒
๕๕ จาแนกวิญญาณธาตุ ๗ ท่ีเกดิ ในกามภมู ิ ๑๑ จาแนกวิญญาณธาตุ ๔ ทเ่ี กิดในรูปภูมิ ๑๕ จาแนกวญิ ญาณธาตุ ๑ ที่เกิดในอรปู ภูมิ ๔ โดย อาศยั วัตถุรูป ๖ โดย อาศยั วตั ถรุ ปู ๓ โดย ไม่ได้อาศัยวัตถรุ ปู เกิดใน รปู ภมู ิ ไมไ่ ด้ ๒๐ เกิดใน อรปู ภมู ิ ไมไ่ ด้ ๔๓ เกิดใน กามภูมิ ไม่ได้ ๙ “ ฉวตฺถุ นิสสฺ ติ า กาเม สตฺต ” “ รูเป จตพุ พฺ ธิ า ติวตฺถุ นิสสฺ ิตา ” “ อรูเป ธาเตวฺ กานสิ สฺ ิตา ” จติ ทเ่ี กดิ ในกามภูมไิ ด้ มี ๘๐ ดวง ( เว้น มหัค.ว.ิ ๙ ) จิตท่เี กดิ ในรูปภมู ิได้ มี ๖๙ ดวง จิตทีเ่ กดิ ในอรูปภูมไิ ด้ มี ๔๖ ดวง ๑. จักขวุ ญิ ญาณธาตุ ๒ อาศัยจกั ขุวัตถเุ กดิ - โลภมูลจติ ๘, โมหมูลจิต ๒, มโนทวาราวัชชนจติ ๑ ๑. จักขวุ ิญญาณธาตุ ๒ อาศัยจกั ขุวัตถเุ กดิ - มหากศุ ลจติ ๘, มหากิรยิ าจติ ๘ - อรูปาวจรจติ ๑๒, โลกตุ ตรจติ ๗ ( เวน้ โสดา. ๑ ) ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศัยโสตวตั ถุเกดิ ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศัยโสตวัตถเุ กิด จติ ที่เกิดในอรูปภูมไิ ม่ได้ มี ๔๓ ดวง ๓. ฆานวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั ฆานวตั ถเุ กดิ ๓. มโนธาตุ ๓ อาศยั หทยวตั ถเุ กิด - ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐, มโนธาตุ ๓ ๔. ชิวหาวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั ชวิ หาวตั ถุเกดิ ๔. มโนวญิ ญาณธาตุ ๖๒ - มโนวญิ ญาณธาตุ ๓๐ ๕. กายวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั กายวตั ถเุ กดิ - กามจติ ๓๑ ( ทว.ิ ๑๐, มโน.๓, โท.๒, มหาวิ.๘ ) ( โทส. ๒, ตทา.๑๑, หส.ิ ๑, รูปาวจรจิต ๑๕, โสดาปัตติมคั คจิต ๑ ) ๖. มโนธาตุ ๓ อาศัยหทยวตั ถเุ กิด - รูปา. ๑๕ อรูปากุศล ๔, อรูปากิริยา ๔ ๗. มโนวิญญาณธาตุ ๖๗ - โลกตุ ตรจติ ๘ - กามจิต ๔๑ ( ทว.ิ ๑๐, มโน. ๓ ) จติ ที่เกดิ ในรปู ภูมิไม่ได้ มี ๒๐ ดวง - มหัค. ก.ุ ๙, มหัค.ก.ิ ๙, โลก.ุ ๘ - โทส.๒, ฆาน ๒, ชวิ หา ๒, กาย ๒ - มหาวิ. ๘, อรูปาวจรวิ. ๔ ภูมเิ ม่อื จาแนกโดยขนั ธม์ ี ๓ คอื มโนวิญญาณธาตุ ๗๖ ( ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ) ภูมทิ ่พี ระอริยบคุ คลไปเกดิ แลว้ จะไมก่ ลบั ไปเกดิ ๑. เอกโวการภมู ิ - ภมู ิท่ีมขี นั ธ์ ๑ ( รูปขันธ์ ) - อาศยั วัตถุเกิด ๗๒ - ไมอ่ าศัยวตั ถเุ กดิ ๔ ในภมู อิ ื่นๆ อกี ตอ่ ไป มีอยู่ ๓ ภูมิ คือ ๒. จตโุ วการภูมิ - ภมู ิทมี่ ีขันธ์ ๔ ( นามขนั ธ์ ) ๑) เวหปั ผลาภูมิ ๒) อกนฏิ ฐาภูมิ ๓. ปัญจโวการภูมิ - ภมู ิท่ีมขี ันธ์ ๕ ( รูป ๑, นาม ๔ ) ๓) เนวสญั ญานาสญั ญายตนภูมิ พระอริยบุคคลได้ไปบังเกดิ ในภูมิทัง้ ๓ น้ีแล้ว เมอื่ ตายไปจะไมไ่ ปเกิดในภูมิอ่ืนอกี เลย จะเกิดซ้า อยูใ่ นภมู นิ ั้น จนกว่าจะสาเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว นพิ พานในภูมนิ ั้นเอง
X แสดงการจาแนกวิญญาณธาตุ ๗ ทเี่ กดิ ในกามภมู ิ ๑๑ โดยอาศัยวตั ถุรปู ๖ “ ฉวตถฺ ุ นิสฺสิตา กาเม สตตฺ ” จิตท่ีเกดิ ในกามภมู ิได้ มี ๘๐ ดวง ( เว้น มหัค.วิปาก ๙ ) ๑. จกั ขุวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศัยจักขวุ ตั ถเุ กดิ ๒. โสตวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวัตถุเกิด ๓. ฆานวิญญาณธาตุ ๒ อาศัยฆานวัตถเุ กดิ ๔. ชวิ หาวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั ชวิ หาวัตถุเกดิ ๕. กายวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศัยกายวตั ถเุ กดิ ๖. มโนธาตุ ๓ อาศัยหทยวตั ถเุ กดิ ๗. มโนวญิ ญาณธาตุ ๖๗ - กามจิต ๔๑ ( ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ) - มหคั คต. กุศล ๙ - มหัคคต. กริ ยิ า ๙ - โลกุตตรจติ ๘ เกิดในกามภูมไิ มไ่ ด้ ภูมเิ ม่ือจาแนกโดยขันธ์มี ๓ คือ ๑. เอกโวการภมู ิ - ภมู ิที่มขี ันธ์ ๑ ( รูปขันธ์ ) ๒. จตุโวการภมู ิ - ภมู ิที่มีขนั ธ์ ๔ ( นามขันธ์ ) ๓. ปัญจโวการภมู ิ - ภูมิที่มีขันธ์ ๕ ( รปู ๑, นาม ๔ )
X แสดงการจาแนกวิญญาณธาตุ ๔ ทีเ่ กดิ ในรูปภูมิ ๑๕ โดยอาศยั วัตถรุ ูป ๓ “ รเู ป จตพุ ฺพิธา ตวิ ตฺถุ นสิ ฺสติ า ” เกดิ ในรปู ภูมิไมไ่ ด้ จิตท่ีเกดิ ในรปู ภูมไิ ด้ มี ๖๙ ดวง ๑. จักขุวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั จักขวุ ตั ถุเกิด ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวัตถเุ กดิ ๓. มโนธาตุ ๓ อาศยั หทยวตั ถุเกดิ ๔. มโนวิญญาณธาตุ ๖๒ - กามจิต ๓๑ ( ทว.ิ ๑๐, มโน.๓, โท.๒, มหา.วิ.๘ ) - รูปาวจรจติ ๑๕ - อรปู าวจรกุศล ๔, อรปู าวจรกริ ิยา ๔ - โลกตุ ตรจติ ๘ เกดิ ในรปู ภมู ไิ มไ่ ด้ จติ ที่เกดิ ในรปู ภมู ิไม่ได้ มี ๒๐ ดวง . - โทส.๒, ฆาน ๒, ชิวหา ๒, กาย ๒ - มหาวปิ ากจติ ๘, อรปู าวจรวปิ ากจิต ๔ มโนวิญญาณธาตุ ๗๖ ( ทวิ.๑๐, มโนธาตุ ๓ ) - อาศัยวัตถุเกิด ๗๒ - ไม่อาศยั วตั ถเุ กิด ๔
๕ก๔Xาม๒จติ แสดงการจาแนกวิญญาณธาตุ ๑ ที่เกดิ ในอรูปภมู ิ ๔ โดยไม่ไดอ้ าศยั วัตถุรูป เ ิกดในอ ูรปภู ิมไ ่มได้ “ อรเู ป ธาเตฺวกานสิ สฺ ติ า ” จิตทเี่ กิดในอรปู ภูมไิ ด้ มี ๔๖ ดวง - โลภมูลจิต ๘, โมหมลู จิต ๒, มโนทวาราวชั ชนจติ ๑ - มหากศุ ลจิต ๘, มหากริ ยิ าจิต ๘ - อรปู าวจรจติ ๑๒, โลกุตตรจิต ๗ ( เวน้ โสดา. ๑ ) จิตท่ีเกดิ ในอรปู ภมู ไิ มไ่ ด้ มี ๔๓ ดวง - ทวปิ ญั จวญิ ญาณจติ ๑๐, มโนธาตุ ๓ - มโนวิญญาณธาตุ ๓๐ ( โทส. ๒, ตทา.๑๑, หสิ. ๑, รูปาวจรจติ ๑๕, โสดาปัตติมัคคจติ ๑ ) ภูมทิ พี่ ระอริยบคุ คลไปเกดิ แล้ว จะไม่กลับไปเกดิ ในภูมอิ ่นื ๆ อีกต่อไป มีอยู่ ๓ ภมู ิ คือ ๑) เวหัปผลาภมู ิ ๒) อกนฏิ ฐาภมู ิ ๓) เนวสัญญานาสญั ญายตนภมู ิ พระอริยบุคคลไดไ้ ปบังเกิดในภูมิทั้ง ๓ น้แี ลว้ เม่ือตายไปจะไมไ่ ปเกิดในภูมิอ่ืนอกี เลย จะเกิดซา้ อย่ใู นภูมินน้ั จนกว่าจะสาเรจ็ เปน็ พระอรหันตแ์ ลว้ นพิ พานในภูมินนั้ เอง
๕๖ คาถาสาคญั ในจูฬอาภิธรรมกิ ะโท ปรจิ เฉทที่ ๗ สมจุ จยสงั คหะ อนุสนธิ และ คาปฏิญญา ทฺวาสตตฺ ตวิ ิธา วตุ ฺตา วตถฺ ธุ มมฺ า สลกขฺ ณา เตสํ ทานิ ยถาโยคํ ปวกฺขามิ สมจุ จฺ ยํ ฯ วัตถธุ รรม คอื ธรรมที่มีสภาพของตนโดยแท้ ๗๒ ประการนน้ั ข้าพเจ้าได้แสดงไปแลว้ บดั นี้ จะแสดงสมุจจยสังคหะ คือ สังคหะทีร่ วบรวมธรรมตา่ งๆ ของวัตถธุ รรม ๗๒ ประการนนั้ ตามทจี่ ะเขา้ กนั ได้ คาถาแสดงองค์ธรรม ในอกุศลสงั คหะทง้ั ๙ หมวด ๑. อาสโวฆา จ โยคา จ ตโย คนถฺ า จ วตฺถโุ ต อปุ าทานา ทเุ ว วตุ ฺตา อฏฺ นีวรณา สิยุ ฯ ๒. ฉเฬวานุสยา โหนตฺ ิ นว สํโยชนา มตา กเิ ลสา ทส วุตฺโตยํ นวธา ปาปสงฺคโห ฯ ๑. อาสวะ โอฆะ โยคะ และคันถะ เหลา่ น้ี เมอื่ วา่ โดยองคธ์ รรมปรมตั ถแ์ ลว้ มอี ย่างละ ๓, อุปาทาน มีองคธ์ รรมปรมตั ถ์ ๒, นีวรณะ มอี งคธ์ รรมปรมตั ถ์ ๘ ๒. อนุสัย มีองค์ธรรมปรมตั ถ์ ๖, สังโยชน์ มีองคธ์ รรมปรมัตถ์ ๙, กเิ ลส มอี งค์ธรรมปรมัตถ์ ๑๐ นักศกึ ษาท้งั หลายพึงทราบ การแสดงอกศุ ลสังคหะ โดยมี ๙ หมวดดังน้ี {{{{{{{{{{{{{{{{{{
คาถาแสดงองค์ธรรมในมสิ สกะสงั คหะ ท้งั ๗ หมวด ๕๗ ๑. ฉ เหตู ปญฺจ ฌานงฺคา มคฺคงฺคา นว วตฺถุโต โสฬสนิ ทฺ ฺรยิ ธมมฺ า จ พลธมมฺ า นเวรติ า ฯ ตถาหาราติ สตตฺ ธา ๒. จตตฺ าโรธิปตี วตุ ตฺ า วตุ ฺโต มสิ ฺสกสงฺคโห ฯ กสุ ลาทสิ มากิณโฺ ณ ๑. เหตุ เมอื่ ว่าโดยองค์ธรรมปรมัตถแ์ ลว้ มี ๖ ฌานงั คะ เมื่อว่าโดยองค์ธรรมปรมัตถแ์ ลว้ มี ๕ มัคคังคะ เมอ่ื วา่ โดยองคธ์ รรมปรมัตถแ์ ลว้ มี ๙ อินทรีย์ เม่ือวา่ โดยองคธ์ รรมปรมตั ถแ์ ลว้ มี ๑๖ พละ เมอ่ื ว่าโดยองคธ์ รรมปรมตั ถแ์ ลว้ มี ๙ ๒. อธบิ ดี เมื่อว่าโดยองคธ์ รรมปรมัตถแ์ ลว้ มี ๔ อาหาร เมื่อวา่ โดยองค์ธรรมปรมตั ถแ์ ลว้ มี ๔ เหมอื นกนั นักศกึ ษาท้งั หลายพงึ ทราบ {ก{า{ร{แ{ส{ด{ง{ม{สิ {ส{ก{{ส{งั {ค{ห{ะ{ทม่ี ี กศุ ล เป็นต้น ปะปนกนั โดยมี ๗ หมวด ดงั นี้ คาถา อาหาร ๔ โอชฏฺ มกรปู ํ เย เวทนํ ปฏสิ นฺธกิ ํ นามรปู ํ อาหรนตฺ ิ ตสฺมาหาราติ วจุ จฺ เร ฯ ธรรมเหลา่ ใดยอ่ มนาอาหารชสุทธฏั ฐกกลาป เวทนา ปฏสิ นธิวญิ ญาณ เจตสิก และกมั มชรูป โดยเฉพาะของตนๆ ฉะนน้ั ธรรมเหลา่ นน้ั จึงได้ชอ่ื ว่า อาหาร {{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{
๕๘ คาถาแสดงองค์ธรรมในโพธิปักขยิ สงั คหะทั้ง ๗ หมวด ๑. ฉนฺโท จิตตฺ มเุ ปกขฺ า จ สทธฺ าปสสฺ ทฺธปิ ีตโิ ย สมมฺ าทฏิ ฺ ิ จ สงฺกปฺโป วายาโม วริ ติตฺตย จุททฺ เสเต สภาวโต ๒. สมมฺ าสติ สมาธีติ สตฺตธา ตฺตถ สงฺคโห ฯ สตฺตติสปฺปเภเทน โพธิปักขยิ ธรรมเหลา่ น้ี เมื่อวา่ โดยองคธ์ รรมปรมัตถ์ มี ๑๔ ดงั นี้ คือ ฉนั ทะ จิต ตตั ตรมัชฌตั ตตา สทั ธา ปสั สัทธิ ( กายปัสสทั ธิและจติ ตปสั สทั ธิ ท้งั ๒ นน้ั รวม ๑ ) ปีติ ปญั ญา วิตก วรี ิยะ วริ ตีเจตสิก ๓ สติ เอกคั คตา เมื่อว่าโดยประเภทมี ๓๗ การสงเคราะหเ์ ปน็ หมวดๆ ในโพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ เหลา่ นมี้ ี ๗ หมวด ดังน้ี คาถาแสดงการจาแนกองค์ธรรม ๑๔ โดย ฐานของโพธิปักขยิ ธรรม สงฺกปฺปปสสฺ ทธฺ ิ จ ปีตุเปกฺขา ฉนฺโท จ จิตฺตํ วริ ติตตฺ ยญจฺ นเวก านา วริ ยิ ํ นวฏฺ สตี สมาธี จตุ ปญฺจ ปญฺ า สทฺธา ทุ านุตตฺ มสตตฺ ตสิ - ธมมฺ านเมโส ปวโร วิภาโค ฯ o วติ ก ปัสสทั ธิ ปีติ ตัตตรมชั ฌตั ตตา ฉนั ทะ จิตและวริ ตเี จตสิก ๓ องคธ์ รรมท้งั ๙ นี้ มีฐานอย่างละ ๑ คอื ๑. วิตกเจตสกิ เปน็ สัมมาสังกปั ปมรรค ๒. ปัสสัทธเิ จตสกิ เป็น ปัสสทั ธิสัมโพชฌงค์ ๓. ปีตเิ จตสิก เปน็ ปตี สิ ัมโพชฌงค์ ๔. ตัตตรมัชฌตั ตตาเจตสิก เป็น อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ ๕. ฉนั ทเจตสกิ เปน็ ฉนั ททิ ธิบาท ๖. จิต เปน็ จิตติทธบิ าท ๗. สัมมาวาจาเจตสกิ เป็น สัมมาวาจามรรค ๘. สมั มากมั มันตเจตสิก เปน็ สัมมากมั มนั ตมรรค ๙. สัมมาอาชีวเจตสิก เป็น สัมมาอาชีวมรรค
o วรี ยิ เจตสิก ๑ ดวง มี ๙ ฐาน คอื ๕๙ ๑. เป็น สัมมัปปาน ๔ ๒. เป็น วีรยิ ทิ ธบิ าท ๑ ๓. เปน็ วรี ยิ ินทรยี ์ ๑ ๔. เป็น วรี ิยพละ ๑ ๕. เป็น วรี ยิ สมั โพชฌงค์ ๑ ๖. เปน็ สมั มาวายามรรค ๑ o สติเจตสิก ๑ ดวง มี ๘ ฐาน คือ ๑. เปน็ สติปัฏฐาน ๔ ๒. เป็น สตนิ ทรยี ์ ๑ ๓. เป็น สติพละ ๑ ๔. เป็น สตสิ มั โพชฌงค์ ๑ ๕. เป็น สัมมาสตมิ รรค ๑ o เอกคั คตาเจตสกิ ๑ ดวง มี ๔ ฐาน คือ ๑. เปน็ สมาธนิ ทรยี ์ ๑ ๒. เป็น สมาธิพละ ๑ ๓. เป็น สมาธสิ มั โพชฌงค์ ๑ ๔. เปน็ สัมมาสมาธมิ รรค ๑ o ปัญญาเจตสกิ ๑ ดวง มี ๕ ฐาน คือ ๑. เป็น วิมังสทิ ธบิ าท ๑ ๒. เปน็ ปัญญนิ ทรยี ์ ๑ ๓. เป็น ปัญญาพละ ๑ ๔. เปน็ ธัมมวจิ ยสัมโพชฌงค์ ๑ ๕. เป็น สมั มาทิฏฐิมรรค ๑ o สทั ธาเจตสกิ ๑ ดวง มี ๒ ฐาน คือ ๑. เป็น สัทธนิ ทรยี ์ ๑ ๒. เป็น สัทธาพละ ๑ การจาแนกโพธปิ กั ขิยธรรม ๓๗ ประการ อนั ประเสรฐิ โดยถกู ต้องมีนัยดงั น้ี คาถาแสดงทเ่ี กิดของโพธิปักขยิ ธรรม ๓๗ สพฺเพ โลกุตตฺ เร โหนฺติ น วา สงฺกปฺปปีติโย โลกิเยปิ ยถาโยคํ ฉพฺพิสทุ ธฺ ิปวตตฺ ยิ ํ ฯ โพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ ท้งั หมด ย่อมเกดิ ขน้ึ ไดใ้ นโลกตุ ตรจิต สัมมาสังกปั ปมรรคและปีติสมั โพชฌงค์ทั้ง ๒ นี้ ย่อมไม่เกดิ ขนึ้ ในโลกตุ ตรจติ บางดวง คือ สัมมาสงั กปั ปะ ย่อมไม่เกดิ ในโลกตุ ตรทุติยฌานจิตขนึ้ ไป ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อมไมเ่ กดิ ในโลกตุ ตรจตุตถฌาน และปัญจมฌาน โพธปิ ักขิยธรรม ๓๗ เหลา่ นี้ เมื่อเวลาสาเร็จเป็น วิสทุ ธทิ ัง้ ๖ ( เว้น ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ) แลว้ แมใ้ นโลกยี กศุ ลและกรยิ าจติ กย็ ่อมเกดิ ขนึ้ ตามที่จะประกอบได้ ( เพราะการปฏบิ ตั ิใหส้ าเรจ็ เปน็ วิสทุ ธิ ทง้ั ๖ มี ศลี วสิ ุทธิ เปน็ ต้น จนถงึ ปฏปิ ทาญาณทสั สน-วสิ ุทธิ เหลา่ นี้ ใช้ปฏบิ ตั ิด้วยโลกยี กศุ ล และ กรยิ าจิตทัง้ ส้ิน )
๖๐ คาถาแสดงการนับองค์ธรรมในปัญจขนั ธ์และอุปาทานกั ขนั ธ์ พรอ้ มทง้ั แสดงเหตุ ท่ีนิพพานเป็นขันธวมิ ตุ ต์ ๑. รปู ญฺจ เวทนา สญฺ า เสสเจตสกิ า ตถา วิญฺ าณมติ ิ ปญเฺ จเต ปญจฺ กขฺ นฺธาติ ภาสิตา ฯ ตถา เตภมู กา มตา ๒. ปญจฺ ุปาทานกฺขนธฺ าติ ขนธฺ สงฺคหนสิ ฺสฏํ ฯ เภทาภาเวน นพิ ฺพานํ ๑. นักศกึ ษาท้งั หลาย พึงแสดงธรรมทัง้ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญาและเจตสกิ ท่เี หลอื ๕๐ ดวง วิญญาณเหลา่ นวี้ า่ ขันธ์ ๕ ๒. นักศกึ ษาทั้งหลายพงึ ทราบ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ท่เี กดิ ในภูมทิ งั้ ๓ วา่ อปุ าทานักขนั ธ์ ๕ ส่วนนพิ พานพ้นจากขันธท์ ั้ง ๕ เพราะไมม่ ีประเภททีต่ า่ งกนั เช่น ปัจจบุ ัน อดีต อนาคต เปน็ ต้น คาถาแสดงความเป็นไปแหง่ อายตนะและธาตุ ที่มปี ระเภท ๑๒ และ ๑๘ ทฺวาราลมพฺ นเภเทน ภวนตฺ ายตนานิ จ ทฺวาราลมพฺ ตทุปฺปนนฺ - ปรยิ าเยน ธาตุโย ฯ อายตนะ มีจานวน ๑๒ เพราะมีประเภทต่างกนั แหง่ ทวาร ๖ และอารมณ์ ๖ ธาตุ มีจานวน ๑๘ โดยปริยายแหง่ ทวาร ๖ อารมณ์ ๖ และวญิ ญาณ ๖ ทีเ่ กดิ ในทวารอารมณ์นน้ั
คาถาแสดงการนับองค์ธรรมท่ีใน อรยิ สัจจะ ๔ ๖๑ ทกุ ขฺ ํ เตภมู กํ วฏฺฏํ ตณฺหา สมทุ โย ภเว นิโรโธ นาม นิพฺพานํ มคฺโค โลกุตตฺ โร มโต ฯ นกั ศกึ ษาทงั้ หลายพึงทราบ ชอื่ วา่ ทกุ ขสัจจะ ธรรมท่ีวนเวียนอยใู่ นภูมทิ ้ัง ๓ ชอ่ื วา่ สมุทยสัจจะ ตณั หา ชอื่ วา่ นโิ รธสจั จะ นิพพาน ชอื่ ว่า มรรคสจั จะ องค์มรรค ๘ ที่เกดิ ในโลกตุ ตรมรรค คาถาแสดงธรรมทเ่ี ป็นสัจจวมิ ตุ ต์ มคฺคยุตฺตา ผลา เจว จตสุ จฺจวนิ ิสฺสฏา อติ ิ ปญจฺ ปเภเทน ปวตุ ฺโต สพฺพสงฺคโห ฯ มรรคจิตตุปบาท ๒๙ ( เวน้ องคธ์ รรม ๘ ) ทปี่ ระกอบกบั มรรคจติ กด็ ี ผลจิตตปุ ปาท ๓๗ กด็ ี พ้นจากสจั จะทง้ั ๔ ชอื่ วา่ สจั จวิมตุ ต์ พระอนุรุทธาจารย์ แสดงสพั พสงั คหะ โดยแบ่งออกเปน็ ๕ ประเภท มดี ังกลา่ วแลว้ น้ี
๖๒ ปริจเฉทท่ี ๗ สมจุ จยสงั คหะ แสดงถงึ การรวบรวมปรมัตถธรรม ๔ คือ จิต(๑) เจตสิก(๕๒) นปิ ผันนรูป(๑๘) นพิ พาน(๑) ทเ่ี รียกว่า วัตถธุ รรม ๗๒ ประการ ใหเ้ ป็นหมเู่ ป็นพวกกัน ชื่อว่าสมุจจยสงั คหะ มี ๔ หมวดใหญ่ ๆ คือ ๑. อกศุ ลสังคหะ ๙ หมวด ๒. มสิ สกสังคหะ ๗ หมวด ๓. โพธิปักขยิ สังคหะ ๗ หมวด ๔. สัพพสังคหะ ๕ หมวด แผนผงั สมจุ จยสังคหะ อกศุ ลสังคหะ มสิ สกสังคหะ โพธปิ กั ขิยสงั คหะ สพั พสงั คหะ ๙ หมวด ๗ หมวด ๗ หมวด ๕ หมวด ๑. อาสวะ ๔ ๑. เหตุ ๖ ๑. สติปัฏฐาน ๔ ๑. ขนั ธ์ ๕ ๒. โอฆะ ๔ ๒. ฌานังคะ ๗ ๒. สัมมปั ปธาน ๔ ๒. อปุ าทานักขนั ธ์๕ ๓. โยคะ ๔ ๓. มคั คงั คะ ๑๒ ๓. อทิ ธิบาท ๔ ๓. อายตนะ ๑๒ ๔. คนั ถะ ๔ ๔. อินทรีย์ ๒๒ ๔. อนิ ทรยี ์ ๕ ๔. ธาตุ ๑๘ ๕. อุปาทาน ๔ ๕. พละ ๙ ๕. พละ ๕ ๕. อริยสัจจ์ ๔ ๖. นีวรณะ ๖ ๖. อธิบดี ๔ ๖. โพชฌงค์ ๗ ๗. อนุสยั ๗ ๗. อาหาร ๔ ๗. มัคคงั คะ ๘ ๘. สังโยชน์ ๑๒ - ตามนยั พระอภธิ รรม ๑๐ - ตามนัยพระสตู ร ๑๐ ๙. กเิ ลส ๑๐ รวมประเภท ๕๕ รวมประเภท ๖๔ รวมประเภท ๓๗ รวมประเภท ๓๙ ( ไมต่ อ้ งนับอปุ าทานกั ขันธ์ โดยเฉพาะ )
๖๓ สมุจจยสังคหะ ในปรจิ เฉทที่ ๗ น้ี พระอนุรทุ ธาจารย์แสดงการรวบรวม จติ เ จตสิก รปู นพิ พาน ทีเ่ รียกวา่ วตั ถุธรรม ๗๒ ประการ ตามท่จี ดั รวบรวมเขา้ เป็นหมู่เปน็ พวกกันได้ โดยชื่อว่า สมจุ จยสงั คหะ แสดง อนุสนั ธิ และ ปฏิญญา ทวฺ าสตตฺ ตวิ ธิ า วุตตฺ า วตถฺ ุธมมฺ า สลกขฺ ณา เตสํ ทานิ ยถาโยคํ ปวกฺขามิ สมจุ จฺ ยํ วัตถธุ รรม คอื ธรรมทม่ี ีสภาพของตนโดยแท้ ๗๒ ประการน้นั ข้าพเจา้ ไดแ้ สดงไปแล้ว บัดนจ้ี ะแสดง สมจุ จยสังคหะ คือ สงั คหะทรี่ วบรวมธรรมตา่ งๆ ของวตั ถุธรรม ๗๒ ประการนัน้ ตามทจ่ี ะเข้ากันได้ อธบิ าย วตั ถุธรรม ๗๒ ประการ คาว่า วัตถุธรรม หมายความวา่ ธรรมทม่ี อี งค์ธรรมปรมตั ถข์ องตนโดยเฉพาะสามารถปร ากฏแกป่ ญั ญาได้ ฉะน้ัน บรรดาส่ิงท่ีมีชีวติ และไม่มีชวี ิตทงั้ หลาย ถ้านับเอาธรรมท่มี สี ภาวะลกั ษณะของตนแลว้ ย่อมมี ๗๒ กล่าวคอื จิตทง้ั หมดนบั เปน็ ๑ เพราะเม่ือว่าโดยสภาวลักษณะแลว้ ยอ่ มมลี ักษณะอยา่ งเดยี วกนั คอื มกี ารรู้ อารมณ์เป็นลักษณะ ทเ่ี รียกว่า “อารมฺมณวิชานนลกขฺ ณา” ด้วยเหตุน้จี ิตทง้ั หมดจงึ นับเปน็ ๑ เจตสิก ๕๒ ดวง เมอ่ื กลา่ วโดยพิสดารมี ๓,๔๒๖ ดวง แตถ่ ้านบั ตามสภาวลกั ษณะของตน ๆ แลว้ มี ๕๒ ดวง ในจานวนรปู ท้ังหมดนนั้ นบั แต่เฉพาะนิปผนั นรูปซงึ่ มอี ยู่หลายประเภทด้วยกนั คือกมั มชนปิ ผนั นรูป กม็ ี จิตตชนปิ ผันนรปู ก็มี อุตชุ นิปผนั นรูปกม็ ี อาหารชนปิ ผันนรปู กม็ ี แตเ่ มอ่ื กล่าวโดยสภาวลักษณะแลว้ กม็ อี ยู่ เพยี ง ๑๘ ฉะน้นั จงึ นับเอานิปผนั นรปู ๑๘ และ นพิ พาน ๑ สว่ นอนิปผันนรปู ๑๐ น้ัน ไม่มสี ภาวลักษณะของตนโดยเฉพาะ เป็นการกาหนดรูปกลาปตอ่ รูป กลาป และเปน็ อาการของนิปผนั นรปู นน้ั เอง ฉะนั้ นจงึ ไมน่ บั เอาอนิปผันนรปู ทง้ั ๑๐ เขา้ อยู่ในวตั ถุธรรมใหเ้ ป็น พิเศษข้นึ ไปอกี จึงคงมวี ตั ถุธรรมเพียง ๗๒ เทา่ นัน้ อนึ่ง การแสดงโดยพสิ ดารของวตั ถธุ รรม ๗๒ ประการเหลา่ น้นั พระอนรุ ุทธาจารย์ไดแ้ สดงมาแล้ว โดยเฉพาะ ๆ ต้ังแตป่ ริจเฉทที่ ๑ เป็นตน้ จนถึงปรจิ เฉทท่ี ๖ ฉะน้ันในปรจิ เฉทที่ ๗ น้ี ทา่ นจะแสดงรวมจติ เจตสกิ รูป นิพพาน ทีเ่ รยี กว่า วตั ถุธรรม ๗๒ ประการ ตามที่จะจัดรวบรวมเข้าเปน็ หมู่เปน็ พวกกันไดอ้ กี วาระ หนึง่ โดยชอ่ื วา่ สมุจจยสังคหะ
๖๔ คาว่า สมุจจฺ ย เม่ือตดั บทแล้วเป็นดังน้ี สํ + อจุ ฺจย = สมุจจฺ ย สํ แปลว่า เขา้ ด้วยกนั หรือ ธรรมที่มสี ภาพเขา้ กนั ได้ อุจฺจย แปลวา่ รวบรวม เมื่อรวมเข้าท้งั ๒ บทแลว้ แปลวา่ การรวบรวมเข้าด้วยกัน หรือ การรวบรวมธรรมทีม่ ีสภาพเขา้ กันได้ เช่น แสดง ธรรมทีช่ อ่ื วา่ อาสวะ พวกหนง่ึ เป็นตน้ จนถงึ ธรรมท่เี รยี กวา่ สจั จะ พวกหน่งึ เป็นทสี่ ดุ ดงั มีวจนตั ถะแสดงวา่ “สห อุจจฺ ยี นเฺ ต เอตถฺ าติ = สมจุ จฺ โย” (วา) “สมปฺ ิณฺเฑตวฺ า อุจจฺ ยี นฺเต เอเตนาติ = สมุจฺจโย” ปริจเฉททชี่ ื่อว่า สมุจจยะ เพราะเปน็ ปริจเฉทท่ีแสดงการรวบรวมปรมตั ถธรรมทั้ง ๔ ประการพรอ้ มกัน (หรอื ) ปรจิ เฉททช่ี ่อื วา่ สมจุ จยะ เพราะเป็นเหตุแห่งการแสดงการรวบรวมปรมตั ถธรรมที่มสี ภาพเข้ากนั ไดใ้ ห้อยู่เป็น หมวด ๆ ในปรจิ เฉทที่ ๗ นี้ พระอนรุ ุทธาจารย์ แสดงการรวบรวมธรรมที่มีสภาพเขา้ กันไดท้ ี่เรียกว่า สมจุ จยสงั คหะ นน้ั เปน็ ๔ หมวด ดว้ ยกนั คือ (๑) อกศุ ลสงั คหะ การแสดงสงเคราะห์ธรรมท่เี ปน็ ฝา่ ยอกุศล โดยส่วนเดียวหมวดหนึ่ง (๒) มิสสกสังคหะ การแสดงสงเคราะหธ์ รรมท่เี ปน็ กุศล อกุศล อพยากตะ ทั้ง ๓ ปนกัน หมวดหน่ึง (๓) โพธปิ กั ขยิ สงั คหะ การแสดงสงเคราะห์ธรรมทเ่ี ป็นฝ่ายมรรคญาณ หมวดหน่ึง (๔) สพั พสังคหะ การแสดงสงเคราะหจ์ ติ เจตสิก รูป นิพพาน ซง่ึ เปน็ วัตถุธรรมทั้งหมดรวมกัน หมวดหนึง่ ต่อไปน้จี ะแสดงสมจุ จยสังคหะท้ัง ๔ หมวด ไปตามลาดบั ดงั นี้ แสดงธรรมในหมวดของอกุศลสงั คหะท้งั ๙ หมวด คาถาแสดงองค์ธรรมในอกศุ ลสังคหะท้งั ๙ หมวด ๑. อาสโวฆา จ โยคา จ ตโย คนฺถา จ วตฺถุโต อปุ าทานา ทุเว วุตฺตา อฏฐฺ นีวรณา สิยุ ๒. ฉเฬวานสุ ยา โหนฺติ นว สโํ ยชนา มตา กิเลสา ทส วุตโฺ ตยํ นวธา ปาปสงคฺ โห. ๑. อาสวะ โอฆะ โยคะ และคนั ถะ เหล่าน้ี เม่ือว่าโดยองค์ธรรมปรมตั ถแ์ ล้ว มีอย่างละ ๓ อปุ าทาน มอี งคธ์ รรมปรมตั ถ์ ๒ นวี รณะ มีองคธ์ รรมปรมตั ถ์ ๘ ๒. อนสุ ัย มอี งคธ์ รรมปรมัตถ์ ๖ สังโยชน์ มีองค์ธรรมปรมตั ถ์ ๙ กเิ ลส มอี งคธ์ รรมปรมตั ถ์ ๑๐ นักศกึ ษาท้ังหลายพึงทราบ การแสดงอกศุ ลสังคหะ โดยมี ๙ หมวด ดังน้ี ดังมวี จนตั ถะแสดงวา่ : เอกนฺตากุสลชาตกิ านํ โอฆจตกุ ฺกาทีนํ สงฺคโหตตี ิ = อกสุ ลสงคฺ โห หมวดท่สี งเคราะห์สภาวธรรมตา่ ง ๆ มี โอฆะ ๔ เปน็ ตน้ ทเี่ ป็นอกุศลชาตลิ ้วน ๆ ฉะนัน้ จึงชอื่ ว่า อกศุ ลสังคหะ
๖๕ ๑. อาสวะ คาว่า อาสวะ นี้ หมายความว่า สงิ่ ท่ีถูกหมกั ดองไว้นานๆ ได้แก่ สุรา แตใ่ นทีน่ ้ี คาว่า อาสวะได้แก่ โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ซ่ึงมีสภาพเหมือนกบั สรุ า ฉะนน้ั พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงแสดงโลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ทง้ั 3 น้ีวา่ เป็น อาสวะ ดงั มีวจนัตถะแสดงวา่ : อาสวนตฺ ิ จิรํ ปริวสนตฺ ีติ = อาสวา สง่ิ ใดถกู หมักดองอย่นู านๆ สิ่งนน้ั ชื่อว่า อาสวะ (ได้แก่ สรุ า) อาสวา วยิ าติ = อาสวา ธรรมเหล่าใดมีสภาพเหมอื นสรุ า ฉะนนั้ ธรรมเหล่านน้ั ชอ่ื วา่ อาสวะ ( ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ) ๒. โอฆะ คาวา่ โอฆะ ในที่นหี้ มายความวา่ ธรรมทเ่ี หมือนกับหว้ งนา้ ได้แก่ โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ดงั มีวจนตั ถะแสดงวา่ : อวตฺถริตฺวา หนนตฺ ีติ = โอฆา ธรรมชาติใด ย่อมท่วมทบั เบียดเบยี นสัตว์ทั้งหลาย ธรรมชาตนิ ้ัน ช่อื ว่า โอฆะ (ไดแ้ ก่ ห้วงน้า) อวหนนฺติ โอสีทาเปนฺตีติ = โอฆา ธรรมชาตใิ ด ทาใหส้ ัตว์ทง้ั หลายจมลง ธรรมชาตินน้ั ช่ือว่า โอฆะ (ได้แก่ หว้ งนา้ ) โอฆา วยิ าติ = โอฆา ธรรมชาตใิ ด ทว่ มทับเบียดเบยี นสตั ว์ทงั้ หลาย และทาใหส้ ัตวท์ งั้ หลาย จมลง ในวัฏฏสงสารจนถึงอบายภมู เิ หมอื นกบั หว้ งนา้ ฉะนนั้ ธรรมเหล่าน้นั ชอื่ วา่ โอฆะ (ไดแ้ ก่ โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ) ๓. โยคะ คาวา่ โยคะ แปลว่า ประกอบ เหมือนกบั กาวที่ประกอบของ ๒ สงิ่ ให้ตดิ แน่นไมใ่ หห้ ลุดจาก กันฉนั ใด โลภะ ทิฏฐิ และโมหะ ก็ฉันนนั้ หรือ อปุ มาอกี นยั หน่งึ เปรียบเหมอื นวัวทถี่ กู นามาผูกเทียมเกวยี นไว้ เมื่อสตั วน์ น้ั จะเดนิ ไปทางไหนกต็ อ้ งลากเอาเกวยี นติดไปด้วยเสมอฉนั ใด สตั ว์ท้ังหลายทวี่ นเวียนอย่ใู นวัฏฏทุกข์ หลดุ พ้นไปไมไ่ ด้เพราะถกู ประกอบดว้ ย โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ก็ฉนั น้นั เมอ่ื เปรยี บเทียบแล้ว วัวเปรียบไดก้ บั สตั ว์ ทั้งหลาย เกวยี นเปรยี บได้กบั กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ ซึ่งเปน็ วฏั ฏทกุ ข์ เชอื กท่ผี กู ววั ไว้ใหต้ ิดกับเกวยี นเปรยี บได้ กบั โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ดังมีวจนัตถะแสดงวา่ : วฏฺฏสฺมิ สตฺเต โยเชนฺตีติ = โยคา ธรรมเหลา่ ใด ประกอบสตั วใ์ ห้ติดอยูใ่ นวัฏฏทกุ ข์ คือภพต่าง ๆ ฉะนั้น ธรรมเหล่านนั้ ชอื่ วา่ โยคะ (ไดแ้ ก่ โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ) ๔. คนั ถะ คาว่า คันถะ หมายถงึ เครอื่ งผูกสตั ว์ไว้โดยอาการทเ่ี กย่ี วคลอ้ งกัน ประดุ จโซเ่ หล็กฉนั ใด โลภะ ทิฏฐิ โทสะ ทั้ง ๓ น้ี ยอ่ มเก่ยี วคล้องสตั ว์ไว้ในระหวา่ ง จตุ ิกับปฏิสนธิ ฯ
๖๖ ความแตกตา่ งระหว่างอภชิ ฌาและพยาบาทท่เี ป็นมโนทจุ รติ กับ อภชิ ฌาและพยาบาททเ่ี ปน็ คนั ถะ ๑) อภชิ ฌาทีเ่ ป็นมโนทุจรติ นนั้ เป็นโลภะอย่างหยาบ มีสภาพอยากได้ทรัพย์สมบัตขิ องผู้อ่ืน มาเปน็ ของ ๆ ตนโดยไมช่ อบธรรม ๒) ส่วนอภชิ ฌากายคนั ถะนน้ั เปน็ ไดท้ ั้ง โลภะอยา่ งหยาบและอย่างละเอยี ดท้งั หมดทีเ่ ก่ยี วกับ ความอยากได้ ความพอใจในทรพั ย์สมบตั ขิ องผู้อ่ืน หรือของตนเอง โดยชอบธรรมก็ตาม ไม่ชอบธรรมกต็ าม จัดเป็นอภชิ ฌากายคันถะทัง้ สนิ้ ๓) พยาบาทท่ีเปน็ มโนทจุ ริต ไดแ้ ก่ โทสะอยา่ งหยาบ ท่เี กยี่ วกบั ความปองร้ายผอู้ น่ื โดยนึกคิดใหเ้ ขามคี วามลาบากเสยี หายตา่ ง ๆ หรอื นกึ แช่งให้ผูท้ ี่ตนไม่ชอบนัน้ ใหถ้ ึงตาย ๔) ส่วน พยาปาทกายคนั ถะนน้ั ไดแ้ ก่ โทสะอยา่ งหยาบก็ตาม อย่างละเอยี ดกต็ าม คือ ความไม่ชอบ ไม่พอใจ โกรธ กลวั กล้มุ ใจ เสียใจ ไปจนถงึ การทาปาณาตบิ าต ผรุสวาจาเหลา่ น้ี จดั เปน็ พยาปาทกายคันถะทัง้ สนิ้ ๕. อุปาทาน คาวา่ อปุ าทาน หมายถึง การยึดมั่นในอารมณ์ ธรรมท่ยี ดึ มั่นในอารมณ์ ท่เี รียกวา่ อปุ าทาน น้เี ปรียบเสมอื นหน่ึง งทู จี่ บั กบได้ กัดกบน้ันไวไ้ มย่ อมปลอ่ ยฉันใด โลภะ ทิฏฐิ ท้งั ๒ ทมี่ สี ภาพยึดม่นั ในอารมณข์ องตน ๆ ไม่ยอมปล่อย กฉ็ ันน้นั ดงั แสดงวจนัตถะว่า : อุปาทียนฺตีติ = อุปาทานานิ ธรรมเหลา่ ใดย่อมยดึ ม่นั ในอารมณ์ ฉะนน้ั ธรรมเหล่าน้นั ชอ่ื วา่ อปุ าทาน ๖. นีวรณะ คาว่า นีวรณะ น้ี หมายถึง ธรรมทเี่ ป็นเครื่องหา้ ม หรอื กนั้ ความดี คอื กุศลธรรมต่าง ๆ ไมใ่ หเ้ กิด และ กุศลบางอย่าง เชน่ ฌานท่เี กิดอยู่แล้ว ทาใหเ้ ส่ือมส้ินไปได้ ตามธรรมดาบคุ คลทัง้ หลายนั้น ย่อมยินดีในการบาเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เปน็ ส่วนมาก ท่ีเป็นเช่นนี้ กเ็ พราะดว้ ยอานาจแห่งนวี รณธรรม อันไดแ้ ก่ โลภะ โทสะ ถีนะ มทิ ธะ อุทธจั จะ กกุ กจุ จะ วิจกิ ิจฉา โมหะ อย่างใดอยา่ งหน่งึ หรือ ๒, ๓, ๔ นัน้ เอง หรือบางทีขณะทกี่ า ลงั ทากุศลอยู่นนั้ ก็เกดิ ความทอ้ ถอย เบ่ือหนา่ ยไม่ พอใจเกิดข้นึ ได้ ทาใหศ้ รทั ธาสตปิ ญั ญาถอยเสื่อมส้ินไป น้ี ก็เป็นเพราะอานาจแห่งถีนมทิ ธ นวี รณเ์ กดิ ขึน้ กัน้ ความ ดี คือ ศรทั ธา เปน็ ตน้ เสยี และหากว่ากามฉันทนวี รณ์ พยาปาทนีวรณ์ ชนดิ หยาบเกิดข้ึนแกฌ่ านลาภีบคุ คลแล้ว ก็ ทาให้ฌานทไ่ี ด้อยนู่ ั้นเสอื่ มไป ไม่สามารถจะเข้าฌานได้ ดังแสดงวจนตั ถะวา่ : ฌานาทกิ ํ นิวาเรนตฺ ีติ = นวี รณานิ ธรรมเหลา่ ใด ห้ามความดี มี ฌาน เปน็ ตน้ ไม่ใหเ้ กิดขน้ึ ฉะนนั้ ธรรมเหล่าน้ัน ช่อื วา่ นีวรณ์
๖๗ ๗. อนสุ ัย คาวา่ อนสุ ัย น้ีเป็นกิเลสชนิดหนึ่งท่ีนอนเน่อื งอยูใ่ นขนั ธสันดานของสัตวท์ ั้งหลายและเป็น ธรรมทเี่ รน้ ลบั ไม่มใี ครสามารถมองเหน็ ได้ ยกเวน้ แต่พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคเ์ ดยี วเทา่ นัน้ มี ๓ อยา่ งคอื ๗.๑ อนุสยั กเิ ลส เป็นกิเลสท่ี นอนเนื่องอยู่ในขนั ธสนั ดานของสัตว์ท้ังหลาย ๗.๒ ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสท่ี เกิดขึ้นทางใจ ๗.๓ วตี ิกกมกิเลส เปน็ กิเลสที่ เกิดข้ึนทางกายและทางวาจา ดงั วจนัตถะวา่ สนตฺ าเน อนุ อนุ เสนฺตีติ = อนุสยา ธรรมเหล่าใด ย่อมนอนเนอื่ งอยใู่ นความสบื ต่อแห่งรปู นาม ฉะนั้น ธรรมเหลา่ น้ันช่ือว่า อนสุ ัย การประหาณกเิ ลสทงั้ ๓ โดย ศลี สมาธิ ปญั ญา ๑). ศีลกุศล สามารถประหาณ วีตกิ กมกเิ ลส ได้ ๒). สมาธิกุศล สามารถประหาณ ปริยฏุ ฐานกเิ ลส ได้ ๓). ปัญญากุศล สามารถประหาณ อนุสัยกเิ ลส ได้ ( ปัญญาในอรหัตตมรรค ) ๘. สังโยชน์ คาว่า สงั โยชน์ หมายถึ ง ธรรมชาตทิ ีผ่ ูกสัตว์ทง้ั หลายไว้ ไมใ่ ห้ออกไปจากวฏั ฏทกุ ขไ์ ด้ เหมือนหนงึ่ เชือกทีผ่ กู โยงสตั ว์ หรอื วัตถุสงิ่ ของไวไ้ มใ่ ห้หลดุ ไป ดงั แสดงวจนัตถะว่า สโํ ยเชนตฺ ิ พนฺธนฺตตี ิ = สํโยชนานิ ธรรมเหลา่ ใดยอ่ มผูกสตั วท์ ้งั หลายไว้ ฉะน้นั ธรรมเหล่าน้ันชอ่ื ว่า สงั โยชน์ การจําแนกสังโยชน์ ๑๐ ตามสุตตนั ตนัย โดย โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ และ อทุ ธัมภาคิยสังโยชน์ - โอรมั ภาคยิ สังโยชน์ สงั โยชน์ทีเ่ ปน็ ไปในสว่ นเบอื้ งต่า ได้แก่ กามภูมิ ๑๑ มี ๕ คือ ๑). กามราคสงั โยชน์ ๒). ปฏิฆสังโยชน์ ๓). ทิฏฐสิ ังโยชน์ ๔). สีลัพพตปรามาสสงั โยชน์ ๕). วจิ ิกจิ ฉาสงั โยชน์ - อุทธมั ภาคยิ สงั โยชน์ สังโยชนท์ เ่ี ปน็ ไปในสว่ นเบือ้ งสงู ไดแ้ ก่ รปู ภมู ิ ๑๖ อรูปภมู ิ ๔ มี ๕ คือ ๑). รูปราคสังโยชน์ ๒). อรปู ราคสังโยชน์ ๓). มานสังโยชน์ ๔). อทุ ธัจจสังโยชน์ ๕). อวิชชาสงั โยชน์ อนึง่ การแบง่ สงั โยชน์ ๑๐ น้นั ในปรมัตถทีปนีมหาฎีกาแสดงวา่ : - สังโยชนท์ ถี่ กู ประหาณดว้ ยมรรคเบอื้ งตา่ ๓ ช่อื วา่ โอรัมภาคยิ สังโยชน์ - สงั โยชน์ทถี่ กู ประหาณดว้ ยอรหัตตมรรคน้นั ชื่อว่า อทุ ธัมภาคิยสงั โยชน์ การจาํ แนกสังโยชน์ ๑๐ ตามอภิธรรมนัย โดย โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ และ อุทธมั ภาคยิ สงั โยชน์ - โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชนท์ เ่ี ปน็ ไปในสว่ นเบื้องต่า มี ๗ คือ ๑). กามราคสงั โยชน์ ๒). ปฏฆิ สังโยชน์ ๓). ทฏิ ฐสิ งั โยชน์ ๔). สีสัพพตปรามาสสังโยชน์ ๕). วิจกิ จิ ฉาสงั โยชน์ ๖). อิสสาสงั โยชน์ ๗). มจั ฉรยิ สังโยชน์ - อุทธัมภาคยิ สงั โยชน์ สงั โยชน์ทีเ่ ปน็ ไปในสว่ นเบ้ืองสงู มี ๓ คือ ๑). ภวราคสังโยชน์ ๒). มานสงั โยชน์ ๓). อวชิ ชาสงั โยชน์ โอรัมภาคยิ สังโยชน์ ทั้ง ๗ นี้ ถกู ประหาณด้วย มรรคเบ้ืองต่า ๓ อุทธมั ภาคิยสังโยชน์ ทั้ง ๓ น้ี ถูกประหาณด้วย อรหตั ตมรรค
๖๘ ๙. กเิ ลส คาวา่ กเิ ลส หมายถงึ ธรรมชาติทเ่ี ป็นเครือ่ งทาให้เศร้าหมอง หรือ เรา่ รอ้ น ฉะนน้ั จิต เจตสกิ รูป ทีเ่ กิดพร้อมกับกเิ ลสเหล่านั้น จึงมีความเศร้าหมองเร่ารอ้ นไปดว้ ย ดงั มีวจนตั ถะแสดงวา่ : กิเลเสนฺติ อุปตาเปนตฺ ตี ิ = กิเลสา ธรรมชาติ ย่อมใหเ้ ร่าร้อน ฉะน้นั ชอื่ ว่า กิเลส กิลิสฺสติ เอเตหีติ = กเิ ลสา สัมปยตุ ตธรรม คอื จติ เจตสกิ ย่อมเศรา้ หมองดว้ ยธรรมชาตใิ ด ฉะนั้น ธรรมชาติที่เปน็ เหตุแห่งการเศร้าหมองของสัมปยุตตธรรมนน้ั จึงชอื่ ว่า กเิ ลส (ไดแ้ ก่ กเิ ลส ๑๐) แสดงกเิ ลส ๑๐ โดยพสิ ดาร ๑,๕๐๐ - อารมณ์ท่เี ปน็ เหตใุ ห้กเิ ลส ๑๐ เกิดขึ้นได้นั้น มี ๑๕๐ คือ นามเตปัญญาสะ คือ นามธรรม ๕๓ จิต ๑ นปิ ผนั นรูป ๑๘ ลักษณะรูป ๔ รวมเปน็ ๗๕ เจตสกิ ๕๒ ในอชั ฌัตตสันดาน คือ ภายในตวั เรา มี ๗๕ ในพหิทธสนั ดาน คอื สงิ่ มีชวี ติ และ ไมม่ ีชีวติ ท่อี ยู่ภายนอกตวั เรา มี ๗๕ รวมเปน็ ๑๕๐ อารมณ์ ๑๕๐ x กิเลส ๑๐ = กเิ ลส ๑,๕๐๐ สรปุ องค์ธรรมปรมตั ถ์ของอกศุ ลสังคหะ ๙ หมวด ๕๕ ประเภท ดงั นี้ คอื ๑. อาสวะ๔ องค์ธรรม ๓ ๒. โอฆะ ๔ องค์ธรรม ๓ โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ๓. โยคะ ๔ องค์ธรรม ๓ ๔. คนั ถะ ๔ องคธ์ รรม ๓ โลภะ ทิฏฐิ โทสะ ๕. อุปาทาน ๔ องค์ธรรม ๒ โลภะ ทิฏฐิ ๖. นวี รณะ ๖ องค์ธรรม ๘ โลภะ โทสะ ถนี ะ มิทธะ อุทธจั จะ กุกกุจจะ วิจิกิจฉา โมหะ ๗. อนสุ ยั ๗ องคธ์ รรม ๖ โลภะ โทสะ มานะ ทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา โมหะ ๘. สังโยชน์ ๑๐ องคธ์ รรม ๙ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ อิสสา มัจฉรยิ ะ โมหะ ๙. กิเลส ๑๐ องคธ์ รรม ๑๐ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิ วจิ ิกจิ ฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ แสดงองคธ์ รรมอกศุ ลเจตสกิ ท้งั ๑๔ ดวง ตามหลักสัมปโยคนยั ดังน้ี คือ ๑. โลภเจตสกิ ๑ ทใ่ี นโลภมลู จติ ๘ ๘. กกุ กจุ จเจตสิก ๑ ทใ่ี นโทสมลู จติ ๒ ๒. ทิฏฐิเจตสกิ ๑ ท่ีในอกุศลจิต ๑๒ ทัง้ หมด ๙. วิจิกจิ ฉาเจตสิก ๑ ที่ในวจิ กิ ิจฉาสมั ปยตุ ตจิต ๑ ๓. โมหเจตสิก ๑ ท่ใี นทฏิ ฐคิ ตสมั ปยุตตจิต ๔ ๑๐. มานเจตสิก ๑ ท่ใี นทฏิ ฐคิ ตวิปปยตุ ตจติ ๔ ๔.โทสเจตสกิ ๑ ทีใ่ นโทสมูลจติ ๒ ๑๑. อสิ สาเจตสกิ ๑ ที่ในโทสมูลจติ ๒ ๕. ถีนเจตสิก ๑ ทใ่ี นอกศุ ลสสงั ขาริกจิต ๕ ๑๒. มจั ฉรยิ เจตสกิ ๑ ที่ในโทสมูลจติ ๒ ๖. มทิ ธเจตสิก ๑ ทใี่ นอกุศลสสงั ขาริกจติ ๕ ๑๓. อหิรกิ เจตสกิ ๑ ที่ในอกศุ ลจติ ๑๒ ทง้ั หมด ๗. อทุ ธัจจเจตสิก ๑ ท่ใี นอกุศลจิต ๑๒ ทง้ั หมด ๑๔. อโนตตัปปเจตสกิ ๑ ทีใ่ นอกุศลจิต ๑๒ ท้ังหมด จบ อกุศลสังคหะ
๖๙ อกุศลสงั คหะ มีธรรมอยู่ ๙ หมวด อาสวะ โอฆะ โยคะ องคธ์ รรมปรมตั ถ์ มี อยา่ งละ ๓ คือ โลภเจตสกิ ทฏิ ฐเิ จตสิก โมหเจตสิก คันถะ องคธ์ รรมปรมัตถ์ มี...................คือ อุปาทาน องค์ธรรมปรมัตถ์ มี...................คือ นวี รณะ องค์ธรรมปรมัตถ์ มี...................คือ อนสุ ยั องคธ์ รรมปรมตั ถ์ มี...................คือ
๗๐ สงั โยชน์ มี ๒ นยั คือ สงั โยชน์ ตามสตุ ตันตนัย องค์ธรรมปรมตั ถ์ มี...................คือ สงั โยชน์ ตามอภธิ รรมนัย องค์ธรรมปรมตั ถ์ มี...................คือ กิเลส องคธ์ รรมปรมัตถ์ มี...................คือ
๗๑ อธิบายในมสิ สกสงั คหะ ๒. มิสสกสังคหะ หมายความว่า การแสดงสงเคราะห์ธรรมท่ีเปน็ กุศล อกุศล อพยากตทั้ง ๓ ปนกนั หมวดหน่ึง มีอยู่ ๗ หมวด ๖๔ ประเภท มี ดงั น้ี :- หมวดที่ ประเภท องค์ธรรม ๑. เหตุ ๖ ๖ - โลภเจ. โทสเจ. โมหเจ. อโลภเจ. อโทสเจ. อโมหเจ. (ปัญญนิ ทรีย์) ๒. ฌานังคะ ๗ ๕ - วติ ก. วจิ าร. ปตี ิ. เอกัคคตา. เวทนาเจ. ๓. มคั คังคะ ๑๒ ๙ - ปัญญา, วิตก, สมั มาวาจา, กมั มนั ตะ, อาชีวะ, วีรยิ ะ, สต,ิ เอกคั คตา, ทิฏฐิ ๔. อินทรีย์ ๒๒ ๑๖ - ปสาทรปู ๕, ภาวรปู ๒, ชีวิตรปู ๑, จิต, ชีวติ ินทรีย์, เวทนา, สัทธา, วีรยิ ะ, สต,ิ เอกคั คตา, ปัญญาเจตสิก ๕. พละ ๙ ๙ - สทั ธา, วีรยิ ะ, สต,ิ เอกคั คตา, ปัญญา, หริ ิ, โอตตัปปะ, อหริ กิ ะ, อโนตตัปปะ ๖. อธบิ ดี ๔ ๔ - ฉนั ทะ, วีริยะ, ทวฺ เิ หตกุ ชวนะ และ ติเหตุกชวนะ ๕๒/๘๔ ( สาธิปติชวนะ ๕๒/๘๔) ปัญญา :- ตเิ หตกุ ชวนะ ๓๔/๖๖ ๗. อาหาร ๔ ๔ - โอชา, ผสั สะ, เจตนาเจตสกิ , จิต รวม ๗ หมวด รวม๖๔ประเภท สรปุ แล้วในมิสสกสังคหะมธี รรมอยู่ ๗ หมวด ๖๔ ประเภท องคธ์ รรมก็แล้วแตห่ มวดนน้ั ๆ ๑. เหตุ ๖ คาวา่ เหตุ คือ ธรรมท่ีทาใหผ้ ลเกดิ ขน้ึ กค็ ือ เหตุ ๖ มี โลภเหตุ เปน็ ตน้ ผลยอ่ มเกดิ เพราะธรรมเหล่าน้ี ฉะนัน้ ธรรมเหลา่ นีจ้ งึ ชอ่ื วา่ เหตุ หมายความว่า ธรรมทั้งหลายที่ได้รบั อปุ การะจากเหตุ ยอ่ มมีสภาพมน่ั คงในอารมณ์ ประดจุ ต้นไม้ทม่ี ีรากงอกงามแผ่ไป ฉะนนั้ ๒. ฌานังคะ คาว่า ฌาน มคี วามหมาย ๒ อยา่ ง คือ ๒.๑ ฌาน แปลวา่ เพ่ง คอื เป็นธรรมชาตทิ ม่ี ีสภาพเข้าไปเพง่ อารมณ์อยา่ งม่ันคง และอารมณ์ ท่ถี กู เพง่ น้ันไมจ่ ากัด จะเป็นอารมณ์กรรมฐานหรอื ไมใ่ ช่ก็ตาม เปน็ โลกียะหรือ โลกตุ ตระกต็ าม เป็นปรมัตถห์ รือบัญญัตกิ ็ตามล้วนเปน็ อารมณข์ องฌาณไดท้ ัง้ ส้ิน ๒.๒ ฌาน แปลวา่ เผา คือ เผาธรรมทีเ่ ปน็ ปฏิปกั ษ์กับตนให้มกี าลังลดนอ้ ยลงไป หรือไม่ให้ เกิดขึ้น ไดแ้ ก่ องค์ฌาน ๖ (เว้นโทมนัสเวทนา) ทอ่ี ยใู่ นมหคั คตจติ ( สาหรบั องคฌ์ านในกามจิตนัน้ มสี ภาพท่ีเข้าไปเพง่ อารมณ์อยา่ งมัน่ คง ปรากฏชัดกวา่ การ เผาธรรมทเ่ี ป็นปฏิปกั ษก์ ับตน )
๗๒ แสดงธรรมทเี่ ปน็ ปฏปิ ักษ์กับองค์ฌานนัน้ คอื ถีนมิทธะ เป็นปฏปิ ักษ์กบั วิตก วจิ กิ จิ ฉา เป็นปฏปิ กั ษก์ บั วจิ าร พยาบาท เปน็ ปฏปิ กั ษ์กับ ปีติ กามฉันทะ เปน็ ปฏิปักษก์ บั เอกคั คตา อุทธัจจกกุ กุจจะและโทมนัสเวทนา เปน็ ปฏิปกั ษ์กับ โสมนัสเวทนาและอเุ บกขาเวทนา ปตี แิ ละโสมนัสเวทนา เป็นปฏิปกั ษ์กบั โทมนัสเวทนา ๓. มคั คงั คะ ธรรมที่เรยี กว่าเป็น องค์มรรค เพราะเปน็ เหตแุ ละเป็นหนทางใหเ้ ข้าถึงสุคตภิ มู ิ ทคุ ตภิ มู ิ และ พระนิพพาน เป็นสว่ นหน่ึง ๆ ของมรรค ในจานวนองค์มรรค ๑๒ นี้ - องคม์ รรคทเี่ ปน็ เหตุและเปน็ หนทางให้ไปถึงสุคติภูมแิ ละพระนพิ พานน้ัน มีอยู่ ๘ คือ สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั ปะ สมั มาวาจา สัมมากัมมนั ตะ สมั มาอาชีวะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ - องค์มรรคที่เป็นเหตแุ ละเป็นหนทางใหไ้ ปถงึ ทุคติภูมิ มี ๔ คือ มจิ ฉาทฏิ ฐิ มจิ ฉาสังกปั ปะ มจิ ฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ ๔. อินทรยี ์ คาวา่ อินทรยี ์ แปลว่า เป็นผ้ปู กครอง อินทรีย์ หมายความว่า สามารถทาให้สภาวธรรมท่ีเกดิ ข้นึ พรอ้ มกนั กับตนนัน้ ต้องเป็นไปตามอานาจ ของตนหรอื เป็นธรรมท่ยี ่อมกระทาให้ตนเปน็ อสิ ระย่งิ ดังมวี จนัตถะแสดงว่า : อนิ ฺทนตฺ ิ ปรมอสิ ฺสริย กโรนฺตีติ = อนิ ฺทฺริยานิ ธรรมเหลา่ ใด เป็นผปู้ กครอง คอื ย่อมกระทาใหต้ นเปน็ อิสระยง่ิ ฉะน้ันธรรมเหลา่ นน้ั จงึ ช่ือวา่ อินทรีย์
๗๓ จาแนกอนิ ทรยี ์ ๒๒ โดยภูมิ ๔ คอื กามภมู ิ – รูปภูมิ – อรปู ภูมิ – โลกุตตรภูมิ กามธรรมเรยี กว่า กาม-รปู -อรปู -โลกตุ . กาม-รปู -โลกุต. โลกุตตรธรรมเรยี ก องค์ธรรม มี ๑๖ กามอนิ ทรีย์ ๑๐ อนิ ทรยี ์ มี ๘ อิน. อนิ ทรีย์มี ๑ อิน. อนิ ทรีย์ มี ๓ อิน. ๑. จกั ขุนทรยี ์ ๑. ชีวติ ินทรยี ์ โสมนสั สินทรยี ์ ๑. อนญั ญาตัญญัส- จกั ขปุ สาท รูป-นาม สามิตินทรยี ์ โสตปสาท ๒. โสตินทรีย์ ๒. มนินทรีย์ ๒. อัญญินทรีย์ ฆานปสาท ๓. ฆานนิ ทรีย์ ๓. อเุ ปกขนิ ทรีย์ ๓. อัญญาตาวินทรยี ์ ชวิ หาปสาท ๔. ชิวหินทรีย์ ๔. สทั ธินทรยี ์ กายปสาท, ชีวิตรปู ๕. กายนิ ทรยี ์ ๕. วรี ิยินทรยี ์ ชีวติ ินทรยี เ์ จตสกิ ๖. อติ ถินทรยี ์ ๖. สตินทรีย์ จิตท้งั หมด ๗. ปรุ สิ นิ ทรีย์ ๗. สมาธินทรีย์ เวทนาเจ.,สัทธาเจ. ๘. สุขนิ ทรยี ์ ๘. ปัญญนิ ทรยี ์ วรี ยิ เจ., สติเจ. ๙. ทกุ ขินทรีย์ เอกัคคตาเจ. ๑๐.โทมนสั สนิ ทรีย์ ปัญญาเจ.,ภาวรูป ๒ รวม ๑๐ อินทรีย์ รวม ๘ อินทรยี ์ รวม ๓ อนิ ทรยี ์ รวมองค์ธรรม มี ๑๖ สรปุ แลว้ อินทรีย์ ๒๒ นี้ เปน็ รปู ๗ เปน็ นาม ๑๔ และเปน็ ทง้ั รูปและนาม มี ๑ คือ ชวี ติ นิ ทรยี ์ ๕. พละ คาว่า พละ หมายความว่า ไม่หวนั่ ไหวหรือธรรมที่มกี าลังกดซ่ึงปฏิปกั ขธรรมท่เี กดิ ขน้ึ แลว้ - พละธรรมที่เปน็ ฝา่ ยกุศล - ไม่หว่นั ไหวในหน้าทีข่ องตน - ไมห่ วั่นไหวในอกุศลธรรมทเ่ี ปน็ ปฏปิ ักษ์กบั ตน และสามารถ ทาลายอกุศลธรรมนน้ั ใหเ้ สอื่ มส้ินไปได้ - พละธรรมทีเ่ ปน็ ฝ่ายอกุศล - ไมห่ วัน่ ไหวในหน้าทข่ี องตน คือ ต้งั มน่ั อยูใ่ นกจิ การงานและธรรม ทเ่ี กิดขนึ้ พรอ้ มกนั กบั ตนเทา่ นั้น แตไ่ ม่สามารถทาลายกศุ ลธรรมท่ี เป็นปฏิปักษ์กับตนได้ ดังมบี าลีแสดงวา่ : อกมฺปนฏฺเฐน พลํ ช่อื ว่า พละ ดว้ ยอรรถว่า ไม่หว่นั ไหว ๖. อธิบดี คาว่า อธิบดี หมายถึง ธรรมทีเ่ ป็นใหญ่ หรือ ธรรมทม่ี อี านาจยิง่ กว่าธรรมทีเ่ ก่ยี วเนื่องกนั กบั ตน ดงั มีวจนตั ถะแสดงว่า : อธนิ านํ ปติ = อธปิ ติ ธรรมท่ีเปน็ เจา้ แหง่ ธรรมทเี่ กย่ี วเน่อื งกันกับตน หรอื ธรรมที่เป็นใหญ่กว่าธรรมท่ี เก่ยี วเนอ่ื งกนั กับตน ฉะน้ัน ธรรมนนั้ ช่ือวา่ อธิปติ หรืออกี นยั หน่ึงแสดงวา่ : อธิโก ปติ = อธิปติ ธรรมท่เี ปน็ เจา้ ท่มี ีอานาจยง่ิ หรอื ธรรมทีเ่ ปน็ ใหญ่ ที่มีอานาจย่ิง ชื่อว่า อธปิ ติ
๗๔ ความเป็นใหญ่ เปน็ ผปู้ กครองนี้ มีอยู่ ๒ อย่าง คอื ๑. ความเปน็ ใหญ่ เปน็ ผปู้ กครอง โดยความเปน็ อนิ ทรีย์ อย่างหนึง่ ๒. ความเปน็ ใหญ่ เป็นผปู้ กครอง โดยความเป็นอธบิ ดี อย่างหนงึ่ ธรรมทีเ่ ปน็ ใหญ่เปน็ ผปู้ กครอง โดยความเป็นอินทรียน์ ้ี เมือ่ ขณะทเ่ี กิดขนึ้ นัน้ ยอ่ มเกดิ ข้นึ พร้อม ๆ กนั ในคราวเดียวกนั หลาย ๆ อนิ ทรียไ์ ดโ้ ดยไมข่ ดั กนั เพราะธรรมทเี่ ปน็ อินทรยี เ์ หลา่ น้เี ป็นใหญ่ปกครองเฉพาะ ในหน้าท่ขี องตนๆ เทา่ น้นั คอื จกั ขนุ ทรียก์ ็เป็นใหญ่เฉพาะในการเห็น มนนิ ทรยี ์กเ็ ป็ นใหญเ่ ฉพาะในการรบั อารมณ์ เหลา่ นเ้ี ปน็ ตน้ ฯ สว่ นธรรมที่เป็นใหญ่เปน็ ผู้ปกครองโดยความเปน็ อธบิ ดีน้นั เม่ือขณะเกิดข้ึนในคราวหน่งึ ๆ ยอ่ ม เกดิ เปน็ อธิบดีได้แต่เพียงอย่างเดยี ว เชน่ ในขณะท่ฉี ันทะเปน็ อธบิ ดี คือ มคี วามพอใจอยา่ งแรงกล้าเกดิ ข้นึ แลว้ วรี ิยะ จิต ปญั ญา ก็ตอ้ งคล้อยตามฉนั ทะไปในอารมณน์ ้ัน ๆ เป็นตน้ ฯ สรุปความว่า ความเป็นใหญโ่ ดยความเป็นอนิ ทรยี ใ์ นคราวเดยี วกนั เป็นได้หลายๆ อินทรีย์ไมข่ ดั กนั สว่ นความเปน็ ใหญโ่ ดยความเปน็ อธบิ ดีนนั้ ในคราวหนึง่ ๆ เป็นไดอ้ ย่างเดียวเท่านัน้ เกดิ รว่ มกัน หลาย ๆ อธิบดไี ม่ได้ หมายเหตุ ธรรมทเี่ ป็นอธิบดีไดน้ ้นั ตอ้ งอยใู่ นทวิเหตกุ ชวนะ หรือติเหตุกชวนะ เท่านั้น ฉะนัน้ พระอนุรทุ ธาจารย์ จึงแสดงไวใ้ น อภธิ ัมมตั ถสังคหะวา่ ทฺวเิ หตกุ ตเิ หตุกชวเนเสฺวว ยถาสมภฺ วํ อธิปติเอโกว ลพฺภติ แปลความวา่ ในทวิเหตกุ ชวนะ และ ติเหตุกชวนะ เท่านน้ั ทจ่ี ะมอี ธบิ ดไี ด้อย่างเดียวในจานวนอธิบดี ๔ นัน้ ตามท่ีจะเปน็ ได้ ๗. อาหาร คาว่า อาหาร แปลว่า นามา หมายความว่า ทาใหผ้ ลเกิดขนึ้ และชว่ ยอุดหนุนให้ต้ังอยไู่ ด้ เจริญขึ้นได้ ดังแสดงวจนัตถะวา่ : อาหรนฺตตี ิ = อาหารา ธรรมเหล่าใด ยอ่ มนามาซ่ึงธรรมท่ีเป็นผลของตน ๆ ฉะน้ัน ธรรมเหลา่ นนั้ ชือ่ วา่ อาหาร สรปุ ความวา่ ๑. กพฬีการาหาร นามาซงึ่ อาหารชสุทธัฏฐกกลาปใหเ้ กิดขึ้นในสันดานของสตั ว์ท้ังหลาย ๒. ผสั สาหาร นามาซึง่ เวทนา คือ การเสวยอารมณ์เป็นสุขบา้ ง ทุกขบ์ า้ ง เฉย ๆ บา้ ง ๓. มโนสญั เจตนาหาร นามาซง่ึ ปฏสิ นธิวญิ ญาณ คือ การเกดิ มนษุ ย์ เทวดา พรหม อบายสตั ว์ และ ปวัตตวิ ิญญาณ คือ การเห็น การได้ยิน เป็นตน้ ๔. วิญญาณาหาร นามาซึ่งเจตสิก และ กัมมชรูป
๗๕ แสดงจติ ที่ไมไ่ ดอ้ งคฌ์ าณ องค์มรรค อนิ ทรีย์ และ พละ ดงั น้ี ในทวิปญั จวญิ ญาณจติ ๑๐ ย่อมไมไ่ ดอ้ งค์ฌาน ในอเหตุกจิต ๘ ยอ่ มไม่ไดอ้ งคฌ์ าน เอกัคคตาเจตสกิ ในอวรี ิยจติ ๑๖ ยอ่ มไมถ่ งึ สมาธินทรีย์ และ สมาธพิ ละ เอกคั คตาเจตสกิ ในวิจกิ ิจฉาสัมปยุตตจิต ๑ ยอ่ มไม่ถงึ มิจฉาสมาธิ สมาธนิ ทรีย์ และสมาธพิ ละ คาถาท่แี สดงองคธ์ รรมในมิสสกสังคหะทัง้ ๗ หมวด ๑. ฉเหตู ปญฺจฌานงคา มคฺคงฺคา นว วตถฺ ุโต โสฬสินทรยี ธมฺมา จ พลธมมฺ า นเวริตา ฯ ๒. จตตฺ าโรธิปตี วุตฺตา ตถาหาราติ สตตฺ ธา กุสลาทิสมากิณฺโณ วตุ ฺโต มสิ สฺ กสงฺคโห ฯ ๑. เหตุ เมือ่ วา่ โดยองคธ์ รรมปรมตั ถแ์ ลว้ มี ๖ ฌานงั คะ เมอ่ื วา่ โดยองคธ์ รรมปรมตั ถแ์ ลว้ มี ๕ มคั คงั คะ เมอื่ วา่ โดยองค์ธรรมปรมัตถแ์ ลว้ มี ๙ อินทรีย์ เม่อื ว่าโดยองคธ์ รรมปรมัตถแ์ ลว้ มี ๑๖ พละ เมื่อวา่ โดยองค์ธรรมปรมตั ถ์แลว้ มี ๙ ๒. อธิบดี เมื่อว่าโดยองคธ์ รรมปรมตั ถ์แล้ว มี ๔ อาหาร เมอ่ื วา่ โดยองคธ์ รรมปรมัตถแ์ ล้ว มี ๔ เหมอื นกัน นักศึกษาทง้ั หลายพงึ ทราบการแสดง มสิ สกสังคหะ ทมี่ กี ศุ ลเป็นต้น ปะปนกัน โดยมี ๗ หมวดดังนี้ จบมิสสกสังคหะ
๗๖ อธบิ ายในโพธิปกั ขิยสงั คหะ ๓. โพธิปักขยิ สังคหะ หมายความว่า การแสดงสงเคราะห์ธรรมทีเ่ ปน็ ฝ่ายมรรคญาณ หมวดหนึง่ มีอยู่ ๗ หมวด ๓๗ ประเภท มดี งั น้ี คือ หมวดที่ ประเภท องค์ธรรม :- ๑. สติปัฏฐาน ๔ ๑ สตเิ จตสกิ :- มหากุ.๘ มหากิ.๘ อัปปนาชวนะ ๒๖ ๒ สัมมปั ปธาน ๔ ๑ วิริยเจตสิก : - กุศลจติ ๒๑ ๓. อิทธบิ าท ๔ ๔ ฉนั ทะ, วีรยิ ะ, สต,ิ กศุ ลจิต 21, ปญั ญา ๔. อนิ ทรยี ์ ๕ ๕ สทั ธา, วิรยิ ะ, สต,ิ เอกัคคตา, ปัญญา ๕. พละ ๕ ๕ สัทธา, วรี ยะ, สต,ิ เอกัคคตา, ปญั ญา ๖. โพชฌงค์ ๗ ๘ สต,ิ ปญั ญา, วีริยะ, ปตี ,ิ กายปสั ., จติ ตปสั ., เอกัคคตา, ตตั ร., ๗. มคั คงั คะ ๘ ๘ ปญั ญา, วิตก, สมั มาวาจา-กมั มันตะ-อาชีวะ, วรี ยิ ะ, สติ เอกัคคตาเจตสิก รวม ๗ หมวด ๓๗ ประเภท โพธิปกั ขยิ สงั คหะ คือ การแสดงการสงเคราะหธ์ รรมทเ่ี ป็นฝ่ายมรรคญาณ ๔ ธรรมชาติใดรอู้ ริยสัจจ์ทั้ง ๔ ฉะนัน้ ธรรมชาตนิ ัน้ ช่ือว่า โพธิ ไดแ้ ก่ ปญั ญาท่ีอยใู่ นมรรคจติ ๔ ธรรมทเี่ กิดในฝ่ายแหง่ มรรคญาณ ๔ ชอ่ื วา่ โพธิปกั ขิยะ ไดแ้ ก่ โพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ ๑. สติปัฏฐาน หมายความวา่ ท่ตี ้งั ท่ัวไปแห่งสติ (อารมณ์ กาย เวทนา จติ ธรรม) ดังแสดงวจนตั ถะว่า : สติ เอว ปฏฺ านนฺติ = สตปิ ฏฺ านํ สตนิ ่ันแหละเป็นประธานในสัมปยตุ ตธรรม แล้วตั้งมัน่ ในอารมณ์ มีกาย เป็นต้นฉะนัน้ จงึ ชือ่ ว่า สตปิ ัฏฐาน แสดงสตดิ วงเดียวเปน็ สติปัฏฐานทัง้ ๔ ไดเ้ พราะ อารมณอ์ นั เป็นท่ตี ง้ั แห่งการกาหนดของสติมี ๔ ลักขณะอันเปน็ นมิ ติ การประหาณ ทปี่ รากฏขน้ึ มี ๔ คือ วิปลาสธรรม มี ๔ คอื ๑. รปู ขันธ์ เปน็ อารมณ์ของสติ เรยี กวา่ กายานปุ ัสสนาฯ ๑. อสุภลกั ขณะ สภุ วิปลาส ถกู ประหาณ ๒. เวทนาขันธ์ เป็นอารมณ์ของสติ เรยี กวา่ เวทนานปุ สั สนาฯ ๒. ทกุ ขลักขณะ สขุ วปิ ลาส ถกู ประหาณ ๓. วิญญาณขันธ์ เปน็ อารมณ์ของสติ เรยี กวา่ จติ ตานุปัสสนาฯ ๓. อนิจจลกั ขณะ นิจจวปิ ลาส ถูกประหาณ ๔. สัญญาขนั ธ์ เปน็ อารมณข์ องสติ เรยี กว่า ธัมมานปุ สั สนาฯ ๔. อนตั ตลกั ขณะ อัตตวิปลาส ถกู ประหาณ ๕. สงั ขารขนั ธ์ เปน็ อารมณ์ของสติ เรยี กวา่ ธัมมานุปัสสนาฯ
๗๗ ๒. สัมมัปปธาน คาว่า สัมมปั ปธาน หมายความว่า ธรรมท่ีมีความพยายามโดยชอบธรรม สมั ปยุตตธรรมทง้ั หลาย มีความพยายามโดยชอบธรรม ดว้ ยการอาศยั ธรรมชาตนิ ัน้ ฉะนน้ั ธรรมชาติทีเ่ ป็นเหตุ แห่งความพยายามนั้น จึงชอ่ื ว่า สมั มปั ปธาน ไดแ้ ก่ วีริยเจตสกิ ซึ่งตอ้ งเป็นวีริยะอย่างแรงกลา้ (ไมใ่ ชอ่ ยา่ งสามญั ) ทีอ่ ยใู่ นกุศลชวนะ เท่านัน้ - วรี ยิ ะทอ่ี ย่ใู นกริยาชวนะ ไมเ่ ปน็ สมั มปั ปธาน เพราะพระอรหนั ต์ทง้ั หลายย่อมพ้นจากหน้าท่กี าร งานทเี่ ก่ยี วกับการประหาณอกศุ ล และ การทาให้กุศลเกดิ เสยี แล้ว - วีรยิ ะทอ่ี ยใู่ นผลจติ ไมเ่ ปน็ สัมมปั ปธาน เพราะไมเ่ ก่ียวข้องกับหน้าที่ทัง้ ๔ ของวรี ิยะท่ีเป็น สมั มปั ปธาน และตัวเองเป็นวิบากอยูแ่ ล้ว แสดงเหตผุ ลที่วรี ยิ ะดวงเดยี วเปน็ สมั มัปปธานทง้ั ๔ ได้ วีรยิ ะดวงเดยี วเป็นสมั มปั ปธานทั้ง ๔ ได้ เพราะกจิ ของวีรยิ ะในทนี่ ม้ี อี ยู่ ๔ อยา่ ง คอื ๑. พยายามเพ่ือละอกศุ ลทเ่ี กดิ ข้ึนแลว้ ๒. พยายามเพ่ือไมใ่ ห้อกศุ ลใหมเ่ กดิ ๓. พยายามเพอื่ ใหก้ ุศลใหมเ่ กิด ๔. พยายามเพื่อให้กศุ ลทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ เจริญรุ่งเรอื งข้นึ ๓. อิทธิบาท คาวา่ อทิ ธบิ าท หมายความว่า ธรรมทเี่ ปน็ เหตุให้ถงึ ความสาเรจ็ ฌาน อภิญญา มรรคผล ความสาเรจ็ โดยบริบรู ณ์ ชอ่ื วา่ อิทธบิ าท ไดแ้ ก่ ฌาน อภญิ ญา มรรค ผล ผู้ใดผ้หู นง่ึ ยอ่ มถงึ ด้วยอาศัย ธรรมนัน้ ฉะน้ัน ธรรมทเ่ี ป็นเหตใุ ห้ถึงของผู้นน้ั ช่อื วา่ ปาท ไดแ้ ก่ องค์ธรรมของ อิทธบิ าท ๔ ธรรมท่ีเปน็ เหตใุ ห้ถงึ ความสาเร็จ คอื ฌาน อภญิ ญา มรรค ผล ชื่ อว่า อทิ ธิบาท ได้แก่ กศุ ลจิต ๒๑ และฉันทะ วีรยิ ะ ปัญญา ท่อี ยู่ในกศุ ลจิตทม่ี กี าลงั อย่างแรงกลา้ (ไมใ่ ชอ่ ยา่ งสามัญ) ฉนั ทะ วี ริยะ กริ ยิ าจิต และปัญญาของพระอรหันต์ ไม่ใชอ่ ิทธบิ าท เพราะธรรมดา พระอรหันต์ ทั้งหลายนัน้ เป็นผถู้ ึงความสาเรจ็ โดยบรบิ รู ณอ์ ยูแ่ ล้ว ผลจติ ฉนั ทะ วีริยะ ปญั ญาท่ีอยู่ในผลจิต ไม่ช่ื อวา่ อิทธิบาท เพราะผลจิตกเ็ ปน็ ผลของมรรคจติ อยู่ แลว้ องค์ธรรมของอิทธบิ าท ๔ กค็ อื อธิบดี ๔ น่นั เอง ต่างกันแต่เพยี งว่า ธรรมที่เปน็ อทิ ธิบาท เป็นไดเ้ ฉพาะ กศุ ล เท่าน้นั แตธ่ รรมทเี่ ปน็ อธิบดี เป็นไดท้ ้ัง กุศล อกุศล และ อพยากตะ ๔. และ ๕. อนิ ทรีย์ คอื ความเ ป็นใหญ่ และ พละ ๕ คอื ความไมห่ วนั่ ไหว ในโพธิปักขยิ สงั คหะ ไม่ ต้องอธิบายซา้ อกี เพราะแสดงเหมอื นกนั ในมิสสกสงั คหะ
๗๘ ๖. โพชฌงค์ คาวา่ โพชฌงค์ หมายความวา่ องคแ์ หง่ การร้อู รยิ สจั จ์ ๔ ธรรมอนั เป็นเครื่องประกอบของธรรมหมวดทเี่ ปน็ เหตใุ ห้รูอ้ ริยสจั จ์ ๔ ชื่อว่า โพชฌงค์ ไดแ้ ก่ องค์ธรรม ของโพชฌงคโ์ ดยเฉพาะ ๆ ดังแสดงวจนัตถะว่า : พุชฌฺ นตฺ ิ เอตายาติ = โพธิ พระโยคีทัง้ หลาย ย่อมร้อู รยิ สัจจ์ ๔ ดว้ ยธรรมหมวดน้ี ฉะนนั้ ธรรมหมวดนี้ เปน็ เหตุให้รอู้ ริยสัจจ์ ๔ น้ีชอื่ ว่า โพธิ ไดแ้ ก่ องค์ธรรมของโพชฌงค์ ๗ รวมกัน มี สติ ปัญญา เปน็ ตน้ โพธิยา องฺโค = โพชฌฺ งฺโค ธรรมอันเป็นเครอ่ื งประกอบของหมวดทีเ่ ป็นเหตุใหร้ อู้ ริยสจั จ์ ๔ ชือ่ ว่า โพชฌงค์ ได้แก่ องคธ์ รรมของโพธฌงคโ์ ดยเฉพาะ ๆ ๗. มัคคงั คะ คาวา่ มัคคงั คะ หมายความว่า ธรรมอันเปน็ เครื่องประกอบของธรรมซงึ่ เปน็ เหตแุ หง่ การฆา่ กิเลส และเขา้ ถึงพระนิพพาน ชอื่ วา่ มัคคังคะ ได้แก่ องคม์ รรค ๘ โดยเฉพาะ ดงั แสดงวจนตั ถะว่า : กิเลเส มาเรนฺตา นิพพฺ านํ คจฉฺ นติ เอตานาติ = มคฺโค พระโยคบี ุคคลท้งั หลายฆา่ กเิ ลส และ ย่อมเข้าถงึ พระนพิ พานดว้ ยธรรมน้นั ฉะนั้น ธรรมทเ่ี ปน็ เหตแุ หง่ การ ฆ่ากิเลส และเขา้ ถึงพระนพิ พานของพระโยคีบุคคลเหล่าน้ัน ชอ่ื วา่ มคั คะ ไดแ้ ก่ องค์มรรค ๘ รวมกนั มี สัมมาทิฏฐิ เปน็ ต้น องค์มรรค ๘ อธบิ าย จาแนกโดยศีล ขันธ์เปน็ ตน้ ๑. สัมมาทิฏฐิ การเห็นแจง้ ในอริยสัจจท์ ้ัง ๔ โดยกิจท้งั ๔ คือ เหน็ แจ้งใน ทกุ ขสจั จะ โดยปรญิ ญากจิ (กจิ คือการกาหนดรู้) สงเคราะห์เข้า เหน็ แจ้งใน สมุทยสจั จะ โดยปหาณกิจ(กิจคอื การละหรอื การประหาณ) ในปญั ญาขนั ธ์ เหน็ แจ้งใน นโิ รธสจั จะ โดยสัจฉิกรณกิจ (กจิ คอื การกระทาใหแ้ จ้ง) เห็นแจง้ ใน มรรคสัจจะ โดยภาวนากจิ (กจิ คือการกระทาให้เกิดขึ้น) สงเคราะห์เขา้ ในปัญญาขนั ธ์ ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ความดาริชอบทเ่ี กย่ี วกับ นิกฺขมสงกฺ ปฺป ความดารทิ อี่ อกจากกามคุณอารมณ์ สงเคราะหเ์ ขา้ อพฺยาปาทสงกฺ ปปฺ ความดาริทปี่ ระกอบดว้ ยเมตตา ในศีลขนั ธ์ อวิหงึ สฺ าสงฺกปปฺ ความดาริประกอบดว้ ยกรณุ า สงเคราะห์เข้า ๓. สมั มาวาจา การเว้นจาก วจีทจุ รติ ท้ัง ๔ ที่ไมเ่ กี่ยวกบั อาชพี ในสมาธขิ ันธ์ ๔. สมั มากัมมนั ตะ การเวน้ จาก กายทุจริตทง้ั ๓ ทีไ่ มเ่ ก่ยี วกบั อาชีพ ๕. สมั มาอาชีวะ การเว้นจาก วจที จุ ริต ๔ และ กายทจุ ริต ๓ ทเ่ี ก่ียวกบั อาชีพ ๖. สมั มาวายามะ ความเพียรท่ีดาเนนิ ไปตามสมั มปั ปธานท้งั ๔ ๗. สัมมาสติ ความระลกึ ทีด่ าเนินไปตามสติปัฏฐานท้งั ๔ ๘ สมั มาสมาธิ ความต้ังม่นั ในอารมณ์วิปสั สนากรรมฐาน
๗๙ จาแนกองคธ์ รรม ๑๔ โดยฐานของโพธปิ กั ขยิ ธรรม ๓๗ สงกฺ ปฺปปสสฺ ทฺธิ จ ปีตุเปกฺขา ฉนโฺ ท จ จติ ตฺ วริ ตติ ฺตยญฺจ นเวก านา วิริย นวฏฺ สตี สมาธี จตุ ปญฺจ ปญฺ า สทฺธา ทุ านุตตฺ มสตตฺ ตสิ - ธมฺมานเมโส ปวโร วภิ าโค ฯ วติ ก ปสั สัทธิ ปีติ ตัตตรมชั ฌตั ตตา ฉันทะ จิต และ วริ ตีเจตสิก ๓ องคธ์ รรมท้ัง ๙ น้ี มีฐานอย่างละ ๑ คือ วิตกเจตสิก เป็น สมั มาสงั กัปปมรรค ปัสสทั ธเิ จตสกิ เปน็ ปัสสัทธสิ มั โพชฌงค์ ปีติเจตสิก เป็น ปีติสัมโพชฌงค์ ตัตตรมชั ฌัตตตาเจตสิก เป็น อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ ฉนั ทเจตสิก เปน็ ฉันทิทธิบาท จิต เป็น จิตติทธิบาท สมั มาวาจาเจตสกิ เป็น สมั มาวาจามรรค สมั มากัมมนั ตเจตสกิ เป็น สัมมากัมมันตมรรค สัมมาอาชีวเจตสกิ เป็น สมั มาอาชีวมรรค วรี ิยเจตสิก ๑ ดวง มี ๙ ฐาน คอื ๑. เป็นสมั มปั ปธาน ๔ ๒. เปน็ วรี ิยทิ ธิบาท ๑ ๓. เปน็ วรี ิยินทรยี ์ ๑ ๔. เป็นวรี ยิ ะพละ ๑ ๕. เป็นวีรยิ สัมโพชฌงค์ ๑ ๖. เป็นสัมมาวายามรรค ๑ สตเิ จตสกิ ๑ ดวง มี ๘ ฐาน คอื ๓. เปน็ สตพิ ละ ๑ ๔. เป็นสตสิ ัมโพชฌงค์ ๑ ๑. เปน็ สตปิ ัฏฐาน ๔ ๒. เป็นสตนิ ทรีย์ ๑ ๕. เปน็ สมั มาสตมิ รรค ๑ เอกคั คตาเจตสิก ๑ ดวง มี ๔ ฐาน คือ ๑. เปน็ สมาธนิ ทรีย์ ๑ ๒. เปน็ สมาธิพละ ๑ ๓. เปน็ สมาธสิ มั โพชฌงค์ ๑ ๔. เปน็ สมั มาสมาธิมรรค ๑ ปญั ญาเจตสิก ๑ ดวง มี ๕ ฐาน คือ ๑. เป็นวมี ังสทิ ธิบาท ๑ ๒. เปน็ ปัญญนิ ทรีย์ ๑ ๓. เปน็ ปญั ญาพละ ๑ ๔. เปน็ ธมั มวิจยสมั โพชฌงค์ ๑ ๕. เป็นสมั มาทิฏฐมิ รรค ๑ สทั ธาเจตสกิ ๑ ดวง มี ๒ ฐาน คอื ๑. เป็นสทั ธนิ ทรีย์ ๑ ๒. เป็นสทั ธาพละ ๑
๘๐ สรุปแล้วองคธ์ รรมในโพธปิ ักขยิ ธรรม ๓๗ มี องค์ธรรม ๑๔ ดวง คอื ๑. วติ กเจตสกิ ๘. สัมมากมั มันตเจตสกิ ๒. ปสั สัทธเิ จตสกิ ๙. สมั มาอาชีวเจตสกิ ๓. ปตี ิเจตสกิ ๑๐. วรี ยิ เจตสิก ๔. ตัตตรมชั ฌัตตตาเจตสิก ๑๑. สติเจตสิก ๕. ฉนั ทเจตสิก ๑๒. เอกัคคตาเจตสิก ๖. จติ ๑๓. ปัญญาเจตสิก ๗. สัมมาวาจาเจตสิก ๑๔. สทั ธาเจตสิก หมายเหตุ มัคคงั คะทใี่ นมิสสกสังคหะ กบั มคั คงั คะทีใ่ นโพธิปกั ขิยสงั คหะนน้ั ต่างกนั หรอื เหมอื นกนั ถา้ เห็นวา่ ตา่ งกนั ต่างกนั ทต่ี รงไหน และธรรมส่วนนั้นเปน็ กศุ ลหรอื อกศุ ลใหอ้ ธิบาย มัคคงั คะในมิสสกสังคหะ กบั ในโพธิปักขิยสังคหะ นัน้ ต่างกัน กล่าวคอื มคั คังคะทใ่ี นมสิ สกสงั คหะน้ัน เปน็ เหตุใหถ้ ึง สุคตภิ ูมิ ทคุ ตภิ ูมิ และพระนิพพาน เปน็ ท้งั กุศล และอกุศล คอื สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั ปะ สัมมาวาจา เปน็ เหตใุ หถ้ งึ สมั มากมั มนั ตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สคุ ตภิ ูมิ และนพิ พาน สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นกศุ ล สว่ น มจิ ฉาทฏิ ฐิ มิจฉาสงั กปั ปะ เปน็ เหตุให้ถงึ มจิ ฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ ทคุ ตภิ ูมิ เป็นอกุศล มัคคังคะที่ในโพธปิ ักขยิ สังคหะน้ัน เปน็ องค์ตรัสรู้ ม่งุ ตรงตอ่ มรรค ผล นิพพาน โดยตรง เป็นกศุ ลโดยสว่ นเดยี ว ๑. สลี วสิ ุทธิ วสิ ทุ ธิ ๗ ๒. จติ ตวิสุทธิ ๓. ทิฏฐิวสิ ุทธิ จตุปารสิ ุทธิศลี ๔. กังขาวติ รณวิสุทธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ๕. มคั คามัคคญาณทสั สนวสิ ุทธิ นามรปู ปริเฉทญาณ ปัจจยปรคิ คหญาณ ๖. ปฏปิ ทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ สมั มสนญาณ ๗. ญาณทัสสนวิสุทธิ ตรณุ อุทยัพพยญาณ พลวอุทยัพพยญาณ จนถึง อนุโลมญาณ โคตรภญู าณ มคั คญาณ ผลญาณ ปจั จเวกขณญาณ จบ โพธิปักขิยสงั คหะ
จบ ปริจเฉท ๗ ๘๑ อธิบายในสัพพสังคหะ ๔. สพั พสังคหะ หมายความวา่ การแสดงสงเคราะห์ ปรมัตถธรรม คอื จิต เจตสิก รปู นิพพาน ซง่ึ เปน็ วัตถุธรรมทง้ั หมดรวมกัน หมวดหนง่ึ มอี ยู่ ๖ หมวด ๓๙ ประเภท มีดังน้ี คือ หมวดท่ี ประเภท องคธ์ รรม ๑. ขนั ธ์ ๕ ๗๑ รปู ๒๘, เวทนา, สญั ญา, เจตสิก ๕๐, จติ ๘๙/๑๒๑ ๒. อปุ าทานกั ขันธ์ ๕ * ๗๑ รูป ๒๘, เวทนา, สัญญา, เจตสิก ๕๐, โลกยี จิต ๘๑ ๓. อายตนะ ๑๒ ๗๒ ปสาทรูป ๕, จติ , วิสยรปู ๗, เจ.๕๒, สุขุม.๑๖, นิพ. ๔. ธาตุ ๑๘ ๗๒ อารมณ์ ๖, ทวาร ๖, วิญญาณ ๖ ๕. อริยสัจจะ ๔ ๗๒ โลกียจติ ๘๑, เจ.๕๑ (เวน้ โลภ.),รปู ๒๘, โลภเจ., นพิ ., มัคเจ. ๘ รวม ๕ หมวด ๓๙ ประเภท * ไม่ต้องนับอุปาทานกั ขนั ธโ์ ดยเฉพาะ ๑. ขนั ธ์ คาว่า ขนั ธ์ หมายความวา่ เปน็ กลุ่มเปน็ กอง สรปุ แลว้ คาวา่ ขนั ธ์ มีความหมาย ๓ อย่าง คอื ๑.๑ ขนั ธ์ หมายความวา่ เป็นกลมุ่ เปน็ กอง ซึง่ มิไดม้ งุ่ หมายเอาจานวนมากมารวมกนั แตม่ ่งุ หมาย เอาประเภทต่างกนั ๕ กอง ( ๑๑ ประเภทยอ่ ย ) คือ - ธรรมท่เี ปน็ ปจั จุบัน อดีต อนาคต รวมกนั เป็นกอง ๑ มี ๓ ประเภท - ธรรมทเ่ี ปน็ อชั ฌัตตะ และ พหิทธะ รวมกันเปน็ กอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมทเี่ ป็น โอฬารกิ ะ และ สุขมุ ะ รวมกันเป็นกอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมท่ีเป็น หีนะ และ ปณีตะ รวมกนั เปน็ กอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมทีเ่ ปน็ ทรู ะ และ สนั ติกะ รวมกนั เป็นกอง ๑ มี ๒ ประเภท รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ - เป็นขนั ธไ์ ด้ นิพพาน - เปน็ ขนั ธไ์ มไ่ ด้ คอื เปน็ ขันธวิมตุ ต์ เพราะ ไมม่ ปี ระเภทตา่ งกันดังกลา่ ว ๑.๒ ขันธ์ หมายความวา่ เปน็ อาการของทกุ ข์ตา่ ง ๆ อนั ไดแ้ ก่ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ( ขันธเ์ ป็นธรรมท่ถี กู ทุกข์ตา่ ง ๆ เคีย้ วกนิ หมายถงึ ขันธ์ ๕ เป็นทเี่ กดิ แหง่ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เปน็ ตน้ ) ๑.๓ ขันธ์ หมายความวา่ ธรรมที่แสดงอาการวา่ งเปลา่ จากอตั ตะ - นิพพาน ไม่มปี ระเภทแห่ง ปจั จุบัน อดีต อนาคต มแี ต่กาลวิมุตตอ์ ย่างเดียว ฉะน้นั จึงเป็นขนั ธวิมุตตห์ รือเป็นขนั ธ์ไม่ได้ - นพิ พาน ท่เี ป็นอชั ฌตั ตะไมม่ ี เปน็ พหิทธะอยา่ งเดียว ฉะน้ัน จึงเป็นขนั ธ์ไม่ได้ - นพิ พาน ทีเ่ ปน็ โอฬารกิ ะไมม่ ี เป็นสขุ มุ ะอย่างเดยี ว ฉะน้ัน จึงเปน็ ขันธไ์ ม่ได้ - นิพพาน ทเ่ี ปน็ หีนะไม่มี เป็นปณีตะอยา่ งเดียว ฉะนน้ั จึงเป็นขันธ์ไมไ่ ด้ - นิพพาน ทีเ่ ป็นสนั ติกะไม่มี เปน็ ทูระอยา่ งเดียว ฉะนน้ั จงึ เปน็ ขนั ธ์ไมไ่ ด้ ทกี่ ล่าววา่ นพิ พาน เป็นกาลวิมตุ ต์ พหิทธะ สขุ มุ ะ ปณตี ะ ทูระ เหล่าน้ี กไ็ มเ่ รียกวา่ นพิ พาน
๘๒ มี ๕ ประเภท เพราะนพิ พาน ที่เปน็ กาลวมิ ุตต์นัน้ เอง เป็นพหิทธะ สขุ มุ ะ ปณีตะ ทรู ะ ดว้ ย สรุปแลว้ ความเป็นไปของขนั ธ์ ๕ ทเ่ี ปน็ กลุม่ เปน็ กองมีดังตอ่ ไปนนั้ คอื ๑.) การเปลย่ี นแปลงของร่างกาย มกี ารเติบโต เจรญิ ขึน้ ผมหงอกเหลา่ น้ีเปน็ ตน้ เป็นรูปขนั ธ์ ๒.) ความรสู้ กึ สบาย ไมส่ บาย เฉย ๆ เป็นตน้ เป็นเวทนาขันธ์ ๓.) ความจาส่งิ ต่าง ๆ ได้ เปน็ สัญญาขนั ธ์ ๔.) ความอยากได้ ความโกรธ ความเสอ่ื ม เปน็ ตน้ เป็นสงั ขารขันธ์ ๕.) ความรูใ้ นอารมณต์ ่างๆ เป็นวิญญาณขนั ธ์ ดว้ ยเหตุนี้ ผู้ทีป่ ระกอบดว้ ยสุตมยปญั ญา จินตามยปญั ญา และภาวนามยปัญญาท้ังหลาย จึงรู้วา่ บรรดาสิง่ ตา่ ง ๆ ที่มอี ยใู่ นโลกน้ี นอกจากขันธ์ ๕ แล้ว ก็ไม่มีอะไรอน่ื อกี เปน็ สภาพอนัตตาทงั้ สนิ้ สว่ นทร่ี ถู้ ึง สภาพของอนตั ตาของรูปนามเหล่าน้ี จะต้องรชู้ ัดเพยี งใดน้นั กต็ อ้ งแลว้ แตก่ าลงั ของปญั ญานัน้ ๆ ตามลาดับ ๒. อปุ าทานักขันธ์ คาว่า อปุ าทานักขันธ์ หมายความวา่ ขันธ์ทเี่ ป็นอารมณข์ องอุปาทาน ดังแสดงวจนตั ถะวา่ : อุปาทานานํ โคจรา ขนธฺ า = อุปาทานกฺขนธฺ า ขันธ์ ทเี่ ปน็ อารมณ์ของอุปาทาน ช่ือว่า อุปาทานกั ขันธ์ ในการที่พระพทุ ธองค์ทรงแสดงอุปาทานักขันธ์ แยกออกมาจากขนั ธ์ ๕ นน้ั กเ็ พือ่ ใหเ้ ป็นประโยชน์ ในการเจรญิ วิปสั สนา เพราะผู้ที่เจรญิ วิปัสสนาน้ัน จะต้องกาหนดขนั ธ์ ๕ ท่เี ป็น โลกียะ ซึ่งเป็นอารมณ์ของ อปุ าทานได้ กลา่ วคอื กามปุ าทาน ทฏิ ฐุปาทาน สสี ัพพตปุ าทาน อัตตวาทปุ าทาน เหล่านี้ เกดิ ขึ้นดว้ ยอาศยั รปู เวทนา สญั ญา สังขาร และ วิญญาณ ทเ่ี ปน็ โลกยี ะเป็นเหตุเทา่ นนั้ สาหรับเวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ที่เป็น โลกตุ ตระน้นั ยอ่ มไมม่ ี ดว้ ยเหตุน้ี จึงทรงแสดงอปุ าทานักขนั ธ์โดยเฉพาะอกี อธบิ ายอุปาทานกั ขนั ธ์ ๕ อยา่ ง มีดังน้ี คือ อุปาทาน คือ การยดึ มัน่ หรือ การสืบต่อของรปู นามอยู่เนือง ๆ ในรปู ขันธ์ ๕ เหลา่ นี้ เพราะเปน็ ไป ตามอานาจของอุปาทาน คือ การยึดมั่น เวลาร้ตู ามความเปน็ จริงของรปู นามขนั ธ์ ๕ เวลานั้น อุปาทานก็ไมม่ ี และ ถ้าไมร่ ตู้ ามความเป็นจรงิ อุปาทาน กม็ อี ยู่ (๑) ยนิ ดพี อใจในรปู ท้ังหมดเปน็ อารมณข์ องอุปาทานได้ คอื เอารูป ๒๘ เปน็ อารมณ์ ก็เรียกวา่ เปน็ อารมณ์ของอปุ าทาน คือ ยึดวา่ เปน็ เรา เปน็ เขา เชน่ ยดึ วา่ เป็นของเรา เปน็ ของญาตเิ ราเหล่านี้เปน็ ตน้ ก็ถอื วา่ เปน็ อารมณ์ของอปุ าทาน คือ การยินดวี ่าเป็นเรายนื เราเดิน เหล่านี้ กเ็ ปน็ รปู ทงั้ น้นั (๒) เวทนปุ าทานักขันธ์ กองเวทนาเป็นอารมณข์ องอปุ าทาน คอื สขุ ทุกข์ เฉย ๆ เหลา่ น้ี เป็นเวทนา เชน่ เราทกุ ข์กาย เราสขุ ใจ เราเฉย ๆ คอื สุข ทุกข์ เฉย ๆ เป็นเวทนา ทเ่ี รายดึ ว่า สุข ทุกข์ เฉยๆ เหลา่ นี้ เป็นอปุ าทาน คือ การยดึ มนั่ ในเวทนา (๓) สัญญุปาทานกั ขนั ธ์ กองสญั ญาเปน็ อารมณข์ องอปุ าทาน สญั ญา เปน็ ธรรมชาตทิ จี่ าในอารมณ์ แตเ่ รากลับไปจาวา่ เปน็ เรา เปน็ เขา แตไ่ มจ่ าว่าเปน็ รูป เปน็ นาม หรอื เป็นรปู เวทนา เหล่าน้ี คือ สญั ญาในการจาอยา่ งนั้นอยา่ งนี้ – อุปาทาน เขา้ ไปยึดว่าเป็นเราเปน็ เขา
๘๓ (๔) สงั ขารปุ าทานักขันธ์ กองสังขารทีเ่ ป็นอารมณ์ของอปุ าทาน คือ เจตสิก ๕๐ ( เวน้ เวทนาและสญั ญา) คอื เจตสิกดวงหนงึ่ ๆ ทีเ่ กดิ ในเจตสกิ ๕๐ ดวง เช่น โลภเจตสิก คอื ความยินดี พอใจในอารมณ์ ก็คิดว่าเราพอใจ ถ้าโทสเจตสกิ เกดิ ขน้ึ กว็ า่ เราไมพ่ อใจ และถา้ สัทธาเจตสกิ เกิดขนึ้ ก็คิดวา่ เราเชอื่ ว่า คณุ พระพุทธเจ้ามจี ริง เหล่านีเ้ ปน็ ตน้ ทเี่ รียกว่าเป็นกิเลสอยา่ งละเอียด แตไ่ มห่ ้ามสวรรค์ แต่เราไปยดึ ว่าเปน็ เรา เป็นเขา (๕) วญิ ญาณุปาทานักขันธ์ กองจิตทีเ่ ปน็ อารมณข์ องอปุ าทาน คอื จิต เป็นธรรมชาติท่นี ้อมไปรู้ในอารมณ์ คอื เปน็ การรับอารมณ์เป็นลักษณะอย่างเดียว แต่กลับไปคิดวา่ เราคิด เรารูใ้ นอารมณต์ า่ งๆ ทั้งทเี่ ป็น อดีต อนาคต เหลา่ นี้ เปน็ ตน้ บุคคลท่ไี ม่ยดึ ม่ันในอารมณ์ คือ อุปทาน คอื บคุ คลทเ่ี จริญวิปัสสนา กมั มฏั ฐานและพระอริยบคุ คล บคุ คลท่ียึดมั่นในอารมณ์คอื อุปาทาน คอื บคุ คลที่ไม่รูต้ ามความเปน็ จรงิ คอื ผู้ทไ่ี ม่ไดเ้ จรญิ วิปัสสนา เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ทอี่ ยใู่ นโลกุตตระไมเ่ รยี กว่า เป็นอารมณข์ องอุปาทาน ๓. อายตนะ คาว่า อายตนะ มีความหมาย ๒ อยา่ งคือ (๑) อายตนะ หมายความว่า ธรรมทม่ี สี ภาพคล้ายกับวา่ มีความพยายามเพื่อยังผลของตน ใหเ้ กิดขึน้ เชน่ จกั ขายตนะ กับ รูปายตนะ เป็นเหตุให้การเห็นเกดิ ข้ึน (เป็นผล) เป็นต้น (๒) อายตนะ หมายความวา่ ธรรมที่กระทาซึ่งจติ และเจตสกิ ให้กว้างขวางเจริญขน้ึ ดงั แสดง วจนัตถะวา่ : อายตนตฺ ิ อตฺตโน ผลุปฺปตฺติยา อสุ ฺสาหนฺตา วิย โหนตฺ ีติ = อายตนานิ ธรรมเหล่าใด มีสภาพคลา้ ยกบั วา่ มคี วามพยายาม เพ่อื ยังผลของตนให้เกิดขนึ้ ฉะน้นั ธรรมเหล่านน้ั ชื่อวา่ อายตนะ ( หมายความวา่ ) (๑) จกั ขายตนะ กับ รูปายตนะ ทง้ั ๒ เปน็ เหตุใหก้ ารเหน็ เกดิ ขนึ้ ฉะนั้น การเห็นนจี้ งึ เป็น ผลของอายตนะ ท้ัง ๒ นนั้ ในทางอายตนะอนื่ ๆ ก็เป็นไปเชน่ เดียวกัน คือ (๒) โสตายตนะ กับ สทั ทายตนะ เป็นเหตุ การได้ยนิ เปน็ ผล (๓) ฆานายตนะ กบั คันธาตนะ เปน็ เหตุ การรกู้ ลนิ่ เปน็ ผล (๔) ชิวหายตนะ กบั รสายตนะ เป็นเหตุ การรู้รส เปน็ ผล (๕) กายายตนะ กบั โผฏฐพั พายตนะ เปน็ เหตุ การรสู้ มั ผัส เป็นผล (๖) มนายตนะ กบั ธัมมายตนะ เปน็ เหตุ การรู้เร่อื งราวตา่ ง ๆ เปน็ ผล เหตุกับผลทก่ี ล่าวมาน้ี ย่อมเป็นไปตามสภาวะอนตั ตาท้งั ส้ิน อายตนะตา่ ง ๆ เหลา่ น้ัน หาได้มี ความพยายามขนึ้ อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดไม่ แตส่ ภาพความเปน็ ไปของอายตนะตา่ ง ๆ เหล่านั้นดูคล้าย ๆ กับว่ามีการ ขวนขวายพยายามเพื่อให้ผลของตน ๆ เกดิ ขึน้ ฉะนนั้
๘๔ เนือ้ ความ ๕ อยา่ ง ของศพั ท์ว่า อายตนะ น้ี มเี นอ้ื ความแสดงอยู่ ๕ อย่าง คอื (๑) สญชฺ าติเทสฏฺ หมายความว่า เพราะเป็นที่เกิดแห่งวิถีจิตบ่อย ๆ (๒) นิวาสฏฺ หมายความวา่ เพราะเปน็ ทอ่ี ยขู่ องวถิ ีจิต (๓) อากรฏฺ หมายความว่า เพราะเกิดอยู่ในสตั วท์ ว่ั ไปไมเ่ ลือกช้ัน (๔) สโมสรณฏฺ หมายความว่า เพราะเป็นทป่ี ระชุมแหง่ วถิ จี ิตท้ังหลาย (๕) การณฏฺ หมายความวา่ เพราะเปน็ เหตใุ หว้ ีถีจติ เกดิ ขน้ึ ๔. ธาตุ ๑๘ คาวา่ ธาตุ หมายความว่า ธรรมชาตทิ ี่ทรงไว้ซง่ึ สภาพของตน เป็นสภาวะแท้ ๆ ไม่ใชส่ ตั ว์ ไม่ใช่ชีวะ เป็นแต่เพยี งสภาวะ จึงชอ่ื วา่ ธาตุ ธาตุ มี ๑๘ คอื ตงั้ แต่ จกั ขธุ าตุ จนถงึ โผฏฐพั พธาตุ เปน็ ทส่ี ดุ องคธ์ รรมเปน็ รปู อย่างเดียว ต้งั แต่ จกั ขุวญิ ญาณธาตุ จนถึง มโนวญิ ญาณธาตุ องค์ธรรมเปน็ นาม คือ จติ อย่างเดยี ว ส่วนธมั มธาตุ เป็นไดท้ งั้ รปู และนาม คือ เจตสกิ ๕๒ สุขุมรปู ๑๖ นิพพาน ๑ สรุปแลว้ ธาตุ ๑๘ ท่เี ปน็ ท้งั รูปและนาม เรยี กช่ืออกี อย่างหน่งึ ว่า - โอฬารกิ รูป ๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ วิสยรูป ๗ เรยี กวา่ โอฬารกิ ธาตุ ๑๐ - ทวปิ ญั จวญิ ญาณจติ ๑๐ เรยี กวา่ ปญั จวิญญาณธาตุ ๕ ( มจี กั ขุวญิ ญาณธาตุ ๑ เป็นตน้ ) - สมั ปฏิจฉนจิต ๒ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ เรยี กว่า มโนธาตุ - จิต ๗๖ (เว้น ทวิ. ๑๐ มโนธาตุ ๓) เรียกว่า มโนวญิ ญาณธาตุ - เจตสกิ ๕๒ สุขมุ รูป ๑๖ นพิ พาน ๑ เรียกวา่ ธัมมธาตุ ธรรมทร่ี วมเปน็ ธาตุ ๑๘ คอื ทวาร ๖ อารมณ์ ๖ วิญญาณ ๖ รวมแลว้ เปน็ ธาตุ ๑๘ ๕. อรยิ สจั จะ ๔ คาวา่ อรยิ สจั จะ หมายความวา่ ธรรมท่ีเป็นความจรงิ ของพระอรยิ เจา้ ดังแสดงวจนตั ถะว่า อริยานํ สจฺจานิ = อริยสจฺจานิ ธรรมท่เี ป็นความจรงิ ของพระอริยเจ้าทงั้ หลาย ช่ือว่า อริยสจั จะ หมายความวา่ ความจริง ๔ อยา่ ง ทพี่ ระพุทธองคท์ รงแสดงไวน้ ้ัน บรรดาปถุ ุชนทง้ั หลาย แมว้ า่ จะ ไดย้ นิ ได้ฟงั กต็ าม แต่สภาพที่เปน็ จริงดงั ทีพ่ ระพทุ ธองคท์ รงแสดงวา่ ธรรมน้เี ปน็ ทกุ ข์ ธรรมนเี้ ป็นเหตใุ ห้เกิด ทกุ ข์ ธรรมน้เี ป็นเครื่องดบั ทกุ ข์ ธรรมนเี้ ป็นหนทางให้ถงึ ความดับทกุ ข์ เหล่านี้ ปถุ ชุ นเหลา่ น้นั ยอ่ มเห็นไม่ลกึ ซ้งึ มั่นคงเหมอื นพระอริยเจ้า ดังนน้ั ธรรมท่ีเปน็ ความจริงตามที่พระพทุ ธองค์ทรงแสดงไวน้ ้นั จงึ ชื่อว่า อรยิ สัจจะ
๘๕ แสดงการจาแนกอริยสจั จ์ ๔ โดยเหตุ – ผล – โลกียะ – โลกุตตระ – โดยวฏั สงสาร ดังนี้ ทกุ ขสัจจะ ๑ สมทุ ยสจั จะ ๒ นโิ รธสัจจะ ๓ มรรคสัจจะ ๔ เปน็ ผล เปน็ เหตุ เป็น ผล เป็น เหตุ เปน็ โลกียธรรม เป็นโลกียธรรม เป็นโลกตุ ตรธรรม เป็นโลกุตตรธรรม เปน็ โลกยี สจั จะ เปน็ โลกยี สจั จะ เป็นโลกตุ ตรสจั จะ เป็นโลกตุ ตรสจั จะ ช่ือว่า ปวตั ติสจั จะ ชื่อวา่ ปวตั ติเหตุสัจจะ ชือ่ วา่ นิวตั ติสจั จะ ชื่อว่า นิวัตตเิ หตสุ ัจจะ เป็น สัจจะท่มี คี วาม เป็น สัจจะทีเ่ ป็นเหตใุ ห้ เป็น สัจจะทีถ่ อยออก เป็น สจั จะท่เี ปน็ เหตใุ ห้ถึงความ เป็น อยใู่ นวฏั ฏสงสาร ทุกขสจั จะเกดิ ขึน้ จากวัฏฏทุกข์ ถอยออกจากวฏั ฏทุกข์ เป็น ไปอยู่ในวฏั ฏสงสาร สรปุ ปรจิ เฉทที่ ๗ ที่เรยี กว่า สมจุ จยสงั คหะ ที่พระอนรุ ทุ ธาจารยแ์ สดงการรวบรวมจติ เจตสิก รูป นิพพาน ท่เี รยี กวา่ วตั ถธุ รรม ๗๒ ประการ วัตถธุ รรม หมายความวา่ ธรรมท่ีมสี ภาวลักษณะ มีองคธ์ รรมปรมตั ถ์ของตนโดยเฉพาะ สามารถ ปรากฏแก่ปญั ญาได้ มี ๗๒ ประเภท คอื จติ ทั้งหมด นบั เปน็ หนึง่ เจตสกิ ๕๒ ( แตล่ ะประเภทที่มีลกั ษณะ ของตน ๆ โดยเฉพาะ) นิปผนั นรูป ๑๘ นพิ พาน ๑ รวมเปน็ ๗๒ ในปริจเฉทที่ ๗ น้ัน มีธรรม ๔ หมวดใหญๆ่ คือ ๑) อกุศลสงั คหะ ๒) มิสสกสังคหะ ๓) โพธปิ กั ขิยสังคหะ ๔) สพั พสงั คหะ ในธรรม ๔ หมวดใหญๆ่ นั้นก็มธี รรมหมวดเลก็ ของแตล่ ะหมวดเปน็ ของตนโดยเฉพาะๆ ดังน้ี คือ ๑) อกศุ ลสังคหะ มธี รรมอยู่ ๙ หมวด ๕๕ ประเภท ๒) มิสสกสังคหะ มีธรรมอยู่ ๗ หมวด ๖๔ ประเภท ๓) โพธปิ กั ขยิ สังคหะ มธี รรมอยู่ ๗ หมวด ๓๗ ประเภท ๔) สพั พสงั คหะ มีธรรมอยู่ ๕ หมวด ๓๙ ประเภท คนเหล่าใด ทงั้ เด็กผใู้ หญ่ ทัง้ พาลทงั้ บัณฑิต ทั้งม่งั มีทงั้ ขัดสน ลว้ นมีความตายเปน็ เบ้ืองหนา้ ภาชนะดนิ ช่างหม้อทาท้ังเล็กทัง้ ใหญ่ ท้งั สุกท้งั ดิบ ทุกชนดิ มีความแตกเปน็ ทีส่ ุด ฉนั ใด ชวี ติ ของสัตวท์ ้ังหลาย ก็ ฉนั นั้น......................................( ฑี. มหา 108/290 ) พระศาสดาได้ตรัสคาถาประพนั ธ์ตอ่ ไปอีกว่า วยั ของเราแก่หง่อมแลว้ ชวี ติ ของเราเป็นของนอ้ ย เราจักละพวกเธอไป เราทาที่พง่ึ แกต่ นแล้ว.......................พระอาจารย์ ทวี เกตุธมโฺ ม .......วดั ราชสทิ ธาราม คณะ 5
๘๖ คากรวดนา้ แบบย่อ อิท โน ญาตีน โหตุ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย. ขา้ พเจ้าขอตั้งจติ อทุ ศิ ผล บญุ กศุ ลนแ้ี ผไ่ ปใหไ้ พศาล ถึงบิดามารดาครอู าจารย์ ทัง้ ลกู หลานญาตมิ ติ รสนทิ กนั คนเคยรว่ มกจิ การงานท้งั หลาย ขอใหไ้ ดใ้ นกุศลผลของฉนั ทง้ั เจา้ กรรมนายเวรและเทวญั ขอใหท้ ่านโมทนาท่ัวหน้า เทอญ สพฺเพ สตตฺ า คาแผเ่ มตตา อเวรา สัตว์ทง้ั หลายทีเ่ ปน็ เพอ่ื นทุกข์ อพฺยาปชฌฺ า เกดิ แก่เจ็บตาย ด้วยกนั ทัง้ หมดท้งั สิ้น อนฆี า จงเป็นสขุ ๆ เถิด อยา่ ได้มีเวรแกก่ ันและกนั เลย สุขี อตตฺ าน ปริหรนตฺ ุ จงเปน็ สขุ ๆ เถิด อยา่ ได้เบียดเบียนซึ่งกนั และกันเลย จงเป็นสขุ ๆ เถดิ อย่าได้มคี วามทุกขก์ าย ทกุ ขใ์ จเลย จงมีความสขุ กาย สุขใจ รกั ษาตนให้พ้นจากทุกข์ภยั ทง้ั ส้ินเถดิ คาอธษิ ฐาน ขา้ พเจา้ ขอตงั้ สจั จะอธษิ ฐาน ขออานภุ าพ แหง่ บุญกุศล ที่ได้ศกึ ษาเลา่ เรยี นแล้วในวันน้ี จงเปน็ พลวปจั จยั เป็นนสิ ัยตามส่งใหเ้ กดิ ปญั ญาญาณ ทัง้ ชาตินีแ้ ละชาตหิ น้าตลอดชาตอิ ยา่ งยิง่ จนถึงความพ้นทุกข์ คือ พระนิพพาน เทอญ. กราบลาครูอาจารย์ พร้อมกัน ครอู ปุ ัชฌา อาจริยะคณุ ัง อะหงั วันทามิ ข้าพเจ้ากราบวนั ทา ครูอุปัชฌา อาจารย์ ผมู้ ีพระคณุ โดยความเคารพ กราบ ๓ ครง้ั
Search