เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวัติศาสตร์ (สากล) ส32104 การปฏวิ ัตวิ ทิ ยาศาสตร์ ส32104 การปฏิวตั ิวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) *********************************************************** การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ หมายถึง การเปล่ยี นแปลงในเรื่องของกระบวนการในการแสวงหา ความรู้ หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของชาวยุโยปที่เน้นการสังเกต ค้นคว้า คานวณ และ การทดลอง จนนาไปสขู่ ้อสรุปของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติน้ันๆ เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 อันเน่ืองมาจากการเปลี่ยนแปลงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทาให้ชาวยุโรปนิยมในความมีเหตุผลใน การอธิบายปรากฏการณ์ตา่ งๆ ในสังคม การปฏิวตั ิวิทยาศาสตร์เปน็ เหตกุ ารณ์สาคญั อกี เหตุการณ์หน่ึง ที่นาไปสู่การปฏิวตั อิ ุตสาหกรรม และการกาเนดิ แนวคิดเสรีนิยมทางการเมือง อันเป็นรากฐานความคิด ไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยสมยั ใหมใ่ นเวลาต่อมา 1. ปัจจยั ทีน่ าไปสกู่ ารปฏิวตั ิวิทยาศาสตร์ 1.1. ความคิดที่เปลี่ยนแปลงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการแบบมนุษย์นิยม นาไปสู่ความสนใจ ในธรรมชาติ และอธิบายไปตามกฎเกณฑ์ที่มีเหตุและผล ซึ่งทาให้เกิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยมี กระบวนการในการหาความรู้ที่แตกต่างไปจากยุคกลางที่เน้นแบบ วิธีการนิรนัย (Deduction) ตลอดมา ไม่สามารถบรรลุถึงความจริงได้ เม่ือเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ จึงเกิดกระบวนการหาความรู้แบบ ใหม่ ที่เรียกว่า อุปนัย (Induction) วิธีคิดแบบดังกล่าวนาไปสู่การค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเป็นที่มาของวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นยอดแห่งความรู้ วิชาการทีจ่ ะถอื ได้ว่ามศี กั ดศ์ิ รี ตอ้ งเป็นความรู้ที่ดาเนินการตามแบบของวิทยาศาสตร์1 1.2. อิทธิพลจากแนวคิดธรรมชาตินิยม (Naturalism) เป็นหลักคิดที่สอนให้เช่ือว่า สิ่งต่างๆ ล้วนดาเนินไปตามกฏเกณฑ์ธรรมชาติ สามารถค้นหาคาตอบหรือให้คาอธิบายได้ เป็นแนวคิดที่ทาให้ เกิดการศึกษา ค้นคว้า และทดลองจนเกิดองคค์ วามรู้ใหมๆ่ มากยิง่ ขึ้น2 2. ความเปน็ มาของการปฏิวตั ิวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์กินเวลาประมาณ 200 ปี ระหว่าง ค.ศ.1500-1700 โดยมีการ สืบค้นความจริงตา่ งๆเกีย่ วกับกลไกของปรากฏการณท์ างธรรมชาติ โดยการจดั ระเบียบของความรู้ และวิธีการในการค้นคว้าหาความจรงิ โดยมี สาขาดาราศาสตร์เป็นสาขาแรกที่เป็นแรงจูงใจให้เกิด การค้นควา้ หาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ3 แนวทางการศึกษาทางวิทยาศาสตร์นั้น แบ่งออกเป็น 3 แนว ในช่วงแรกๆนั้น เป็นการต้ัง ข้อสังเกตเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของป่รากฏการณ์ทางธรรมชาติ จากน้ันจึงมีการคิดค้นหลักทาง 1 จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั คณะอักษรศาสตร์. อารยธรรมสมยั ใหม-่ ปจั จบุ ัน. หน้า 67. หน้า 1 2 วิทยา ปานะบตุ ร. Mini คมั ภีร์ สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ม.4-5-6 Entrance O-net. หน้า 167. 3 อธั ยา โกมลกาญจน. อารยธรรมตะวนั ตก. หน้า 434. ต้องรู้ใหแ้ ม่น ตอ้ งแน่นหลกั ฐาน ตอ้ งผ่านการวเิ คราะห์ ต้องเจาะสามมิติ อาทิการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวัติศาสตร์ (สากล) ส32104 การปฏวิ ัตวิ ทิ ยาศาสตร์ ส32104 คณิตศาสตร์เข้ามาช่วยในการทาความเข้าใจกลไกของธรรมชาติ และท้ายสุดจึงเกิดการศึกษา ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตแิ นวการทดลอง 2.1. การปฏิวัติวิทยาศาสตรใ์ นยุคแรกเริ่ม มงุ่ เน้นไปที่การสงั เกตเกี่ยวกับท้องฟ้า ดวงดาว ซึ่งความเช่ือเกี่ยวกับจักรวาลก่อนหน้า การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ในช่วงสมัยกลาง ชาวยุโรปต่างมีความเช่ือเกี่ยวกับจักรวาลตามคาสอนของ ศาสนาคริสต์ที่ว่า โลกเป็นศนู ย์กลางของจกั รวาล ความคิดน้ีถูกพิสูจน์อีกครั้งว่า แท้จริงดวงอาทิตย์คือ ศูนย์กลางของจักรวาล ดังน้ันวงการดาราศาสตร์จึงเป็นสาขาแรกของวิทยาศาสตร์ที่เกิดการปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงในเรื่องขององค์ความรู้ โดยนักดาราศาสตร์ชาวโปลที่ช่ือ นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicholaus Copernicus: 1473-1453) 1) นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicholaus Copernicus: 1473-1453) เป็นพระชาว โปแลนด์ ซึง่ เปน็ ผู้เสนอว่า ดวงอาทิตยเ์ ปน็ ศนู ย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล4 อย่างไรก็ตามในช่วง สมัยกลางซึ่งเป็นเวลาที่ยุโรปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคริสต์ศาสนา โดยมีความเช่ือตามทฤษฏีของป โตเลมีที่ว่า โลกต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล โดยเขาได้ศึกษาข้อเขียนของ อริสตาร์คัสมาศึกษา ทดลอง และได้สรุปไว้ในหนังสือ On the Revolution of the Heavenly spheres แต่อย่างไรก็ตามมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก จนกระท่ังโคเปอร์นิคัสได้ถึงแก่กรรมและต่อมาในปี ค.ศ.1615 ศาลศาสนาจึงได้มีคาตัดสินตาหนิทฤษฏีของเขา และส่ังห้ามจาหน่ายหนังสือของเขาเป็นอัน ขาด แต่อย่างน้อยทฤษฎีของเขาก็เป็นการจุดประกายความเช่ือเกี่ยวกับจักรวาลในยุคดังกล่าว และ ทฤษฎขี องเขายงั เปน็ ทฤษฎีทีไ่ ดร้ บั การยอมรบั แล้วในปจั จบุ ัน นิโคลสั โคเปอรน์ ิคสั (Nicholaus Copernicus: 1473-1453) กบั บางสว่ นของงานเขียน “On the Revolution of the Heavenly spheres” 4 ก่อนที่โคเปอร์นิคัสจะเสนอว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยะจักรวาลนั้น มีชาวกรีกที่ชื่อ อริสตาร์คัสแห่งซามอส เสนอไว้แล้วว่า พระอาทิตย์เป็นศนู ย์กลางของระบบสรุ ิยจกั รวาล โลกเปน็ เพียงดาวดวงหนึ่งทีห่ มนุ รอบดวงอาทิตย์ ซึ่งแนวคดิ นไี้ ม่เปน็ ที่ยอมรบั ในตอนนั้น และตลอดยคุ กลาง ต้องรู้ใหแ้ ม่น ตอ้ งแน่นหลักฐาน ตอ้ งผ่านการวเิ คราะห์ ต้องเจาะสามมิติ อาทิการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม หน้า 2
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวตั ิศาสตร์ (สากล) ส32104 การปฏวิ ัตวิ ทิ ยาศาสตร์ ส32104 2) โจฮันน์ เคปเลอร์ (Johann Kepler: 1571-1630) นับเป็นนักดาราศาสตร์คนแรก ที่ยอมรับทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสที่ว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยอาศัยวิธีการสังเกต และการคานวณ นอกจากน้ีเคปเลอร์ยังได้เสนอกฎว่าดว้ ยการเคลื่อนที่ของดวงดาว โดยต้ังข้อสังเกตว่า ดาวเคราะหท์ ั้งหลายโคจรรอบดวงอาทิตยเ์ ป็นวงรี โจฮนั น์ เคปเลอร์ (Johann Kepler: 1571-1630) 3) กาลิเลโอ (Galileo : 1564-1642) เป็นชาวอิตาลี เช่ียวชาญด้านฟิสิกส์ ดารา ศาสตร์ และคณิตศาสตร์5 สนใจการสังเกตธรรมชาติมาต้ังแต่เด็ก หาความรู้เชิงประจักษ์ด้วยวิธีการ สังเกต คานวณ และการทดลอง ตัวอย่างผลงานที่สาคัญของกาลิเอโอ คือการค้นพบกฎการเคลื่อนที่ ของเทหวัตถุบนพ้ืนโลก โดยอาศัยการสังเกต การคานวณ และทดลอง เช่น เม่ือเขาเข้าไปยังโบถส์ที่ ปิซาได้สังเกตเห็นว่าโคมบชู าแกว่งไกว เขาจึงจับชีพจรนับเวลาในการแกว่ง และพบว่าโคมใช้เวลาแกว่ง เท่ากัน ไมว่ ่าจะแกว่งช้าหรอื เรว็ ซึง่ หลักการนี้นาไปสู่การสร้างนาฬกิ าแบบลูกตุ้ม และเขายังนาหลกั การ น้ีไปใช้กับการจับชีพจรคนไข้อีกด้วย6 นอกจากน้ีกาลิเลโอยังได้ทาการทดลองเรื่อง การตกของเทห วัตถุ โดยการขึ้นไปยังหอเมืองปิซาแล้วทิ้งวัตถุหนัก 10 ปอนด์ และ 1 ปอนด์ลงมา ปรากฏว่าตกถึงพ้ืน ในเวลาไล่เลี่ยกัน7 นอกจากน้ีกาลิเลโอยังสนใจศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้า โดยในปี ค.ศ.1604 เกิด ดาวดวงใหม่ขึ้นมา ทาให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างขนานใหญ่ เพราะมีความเช่ือว่า สวรรค์ไม่เปลี่ยนแปลง ตามคาสอนของอริสโตเติล ด้วยเหตุน้ีกาลิเลโอจึงพยายามพิสูจน์เรื่องน้ี โดย การประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ขึ้นมา เพ่ือศึกษาเทหวัตถุบนท้องฟ้า และได้พบดวงดาวจานวนมาก บริเวณทางช้างเผือก พบหุบเหวและภูเขาบนดวงจันทร์ ซึ่งการพิสูจน์สิ่งเหล่าน้ีล้วนเป็นปฏิปักษ์ ทางความคิดต่อวงการศาสนา เพราะไม่สามารถพิสจู นไ์ ด้ดว้ ยตาเปล่า อย่างไรก็ตามการทดลองของกา ลิเลโอ ได้มีคุณูปการต่อวงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแนวทางการศึกษาปรากฏการณ์ 5 อัธยา โกมลกาญจน. อารยธรรมตะวนั ตก. หน้า 437. หน้า 3 6 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะอกั ษรศาสตร์. อารยธรรมสมัยใหม่-ปจั จบุ ัน. หน้า 75. 7 เรอื่ งเดียวกัน. หน้า 76. ต้องรู้ใหแ้ ม่น ตอ้ งแน่นหลักฐาน ตอ้ งผ่านการวเิ คราะห์ ต้องเจาะสามมิติ อาทิการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวัติศาสตร์ (สากล) ส32104 การปฏวิ ัตวิ ทิ ยาศาสตร์ ส32104 ทางธรรมชาตโิ ดยการสังเกต การคานวณ และการทดลอง เพ่ืออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็น เหตุเป็นผล กาลิเอโอ (Galileo : 1564-1642) พร้อมกบั กลอ้ งโทรทศั น์อนั แรกของโลกทีใ่ ชส้ อ่ งดเู ทหวตั ถุบน ฟากฟา้ จนเกิดการคน้ พบทีส่ าคญั หลายประการ 2.2. การสร้างข้นั ตอนและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ในช่วงน้ี ได้ยกระดับจากการสังเกตมาเน้นที่การ ทดลอง สร้างข้ันตอนและวิธีการในการศึกษาศึกษาอย่างเป็นระบบ ทาให้เกิดการข้ันตอนที่เรียกว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ อีกท้ังยังมีการคิดค้นหลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยการศึกษาศึกษาทาง วิทยาศาสตร์ โดยมีนักวิทยาศาสตร์ท่สี าคัญ ได้แก่ 1) เรอเนส์ เดส์การ์ตส์ (Rene Descartes: 1596-1650) ชาวฝรั่งเศส เสนอว่าวิชา เรขาคณติ เปน็ หลกั ความจริงสามารถนาไปใช้สืบคน้ ข้อเทจ็ จริงทางวิทยาศาสตร์ได้ ซึง่ ได้รับความเชอ่ื ถือ จากนักวิทยาศาสตร์ในสมัยต่อมาเปน็ อย่างมาก 2) เซอร์ ฟรานซิส เบคอน (Sir Francis Bacon: 1561-1626) ชาวอังกฤษ เสนอ แนวทางการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ “วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method)” เปน็ เครื่องมอื ศึกษา ทาให้วิทยาศาสตร์ไดร้ ับความสนใจอย่างกว้างขวาง และมีความเปน็ ระบบมากขึ้น Rene Descartes Sir Francis Bacon ต้องรู้ใหแ้ ม่น ตอ้ งแน่นหลักฐาน ตอ้ งผ่านการวเิ คราะห์ ต้องเจาะสามมิติ อาทิการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม หน้า 4
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวัติศาสตร์ (สากล) ส32104 การปฏวิ ตั วิ ทิ ยาศาสตร์ ส32104 ขน้ั ตอนและวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific method) 2.3. การจัดตง้ั สถาบนั วิทยาศาสตรแ์ หง่ ชาติในอังกฤษ การเสนอทฤษฏีการศึกษาค้นคว้าด้วย “วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ” ทาให้เกิดความ ต่ืนตัวในหมู่ปัญญาชนของยุโรป มีการจัดต้ังสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นในประเทศต่าง ๆ หลาย แห่ง ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพ่ือสนับสนุนงานวิจัย การประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ ต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ทาให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าโดยลาดับ ความร่วมมือ ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักประดิษฐ์นาไปสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์จงึ เป็นรากฐานของความเจริญ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ จึงมีผู้กล่าวว่ากรปฏิวัติ วิทยาศาสตร์ในคริสต์ ศตวรรษที่ 17 เป็น ยุคแห่งอัจฉริยะ (The Age of Genius) เพราะมีการค้นพบ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เกิดขึน้ มากมาย8 สถาบนั วิทยาศาสตร์แห่งชาติในอังกฤษ หน้า 5 8 https://sites.google.com/site/benchanmum/kar-ptiwati-withyasastr ต้องรู้ใหแ้ ม่น ตอ้ งแน่นหลกั ฐาน ตอ้ งผ่านการวเิ คราะห์ ต้องเจาะสามมิติ อาทิการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวัติศาสตร์ (สากล) ส32104 การปฏวิ ตั วิ ทิ ยาศาสตร์ ส32104 2.4. การศกึ ษาวิทยาศาสตร์แนวการทดลอง การศึกษาวิทยาศาสตร์แนวการทดลองนั้น ริเริ่มโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ช่ือ วิลเลียม กิลเบิร์ต (William Gilbert) และวิลเลียม ฮารว์ ีย์ (William Harvey) วิลเลียม กิลเบิร์ต (William Gilbert: 1540-1603) เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกการศึกษา วิทยาศาสตร์แนวทางทดลอง9 โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับ แม่เหล็ก ทาให้ค้นพบผลการทดลองหลาว่า แม่เหล็กขั้วเดียวกันเม่ือชนกันจะเกิดการผลักออก ส่วนข้ัวตรงข้ามจะดึงดูดกัน นอกจากน้ียังทดลอง เรื่องของไฟฟ้าสถิต นอกจากน้ียังมีนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนที่ศึกษาค้นคว้าแนวการทดลอง เช่น วิลเลียม ฮาร์วีย์ (William Harvey: 1578-1657) ทดลองเรื่องระบบการไหลเวียนของโลหิต ทอริเชลลี่ (Evangelista Torricelli: 1698-1647) ทดลองเรือ่ งแรงดนั ของอากาศ ทาให้เปน็ จุดเริม่ ต้น ของการประดิษฐ์บารอมเิ ตอร์ ปาสคาล (Blaise Pascal: 1623-1662) ทดลองเรื่องแรงดันอากาศต่อ จากทอริเชลลี่ ทาให้เขาค้นพบว่า แรงดันของอากาศจะลดลงตามระดับความสูง และเกอริค (Otto von Guericke: 1602-1686) ทดลองเรื่องสูญญากาศ10 วลิ เลยี ม กิลเบิรต์ (William Gilbert: 1540-1603) เปน็ ผรู้ เิ ริม่ บุกเบิกการศึกษาวทิ ยาศาสตร์แนวทางทดลอง William Harvey Evangelista Torricelli Blaise Pascal Guericke ตัวอย่างการทดลองทั้งหมดน้ี เป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุคการทดลอง ซึ่งเป็นความพยายามอธิบาย เฉพาะสิ่งที่ทดลองได้จริงๆ โดยจะไม่อ้างอะไรที่ไปไกลเกินกว่าที่ได้เห็นจากกการทดลอง11 ทาให้ฐานะ ของวิทยาศาสตร์มีความนา่ เช่อื ถือมากยิง่ ขึ้น จนการทดลองได้กลายเปน็ ส่วนหน่งึ ของวิทยาศาสตร์ไป 9 จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะอักษรศาสตร์. อารยธรรมสมัยใหม่-ปจั จุบนั . หน้า 77. หน้า 6 10 เรือ่ งเดียวกนั . หน้า 77-79. 11 เรื่องเดียวกนั . หน้า 77. ต้องรู้ใหแ้ ม่น ตอ้ งแน่นหลักฐาน ตอ้ งผ่านการวเิ คราะห์ ต้องเจาะสามมิติ อาทิการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวตั ิศาสตร์ (สากล) ส32104 การปฏวิ ตั วิ ทิ ยาศาสตร์ ส32104 2.5. การศกึ ษาวิทยาศาสตรแ์ นวผสมผสานการสงั เกต คานวน และการทดลอง การศกึ ษาทางวิทยาศาสตร์โดยอาศัยหลักทางคณิตศาสตร์ควบคู่กับการทดลองได้ถูก นามาใชอ้ ย่างเปน็ เรือ่ งเป็นราว มีการประสานสอดคลอ้ งกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งได้รับการคิดค้นหลักการ โดย เซอรไ์ อแซค นิวตัน (Sir Issac Newton 1) เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Issac Newton: 1642-1727) นักวิทยาศาสตร์ชาว อังกฤษ ได้คิดค้นวิธีการนาหลักทางคณิตศาสตร์มาคานวณเพ่ืออธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โดยได้สร้างผลงานอันสาคญั คือ หลักคณิตศาสตร์เกีย่ วกับปรัชญาธรรมชาติ (The Mathematical Principles of the Natural Philosophy) เป็นงานเขียนที่นาเสนอแนวคิดของนิวตัน มีอิทธิพลต่อ วงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง ข้อค้นพบที่สาคัญของนิวตันได้แก่ แรงดึงดูด กฎวิทยาศาสตร์ ความเช่ือเรื่องระบบกลไกที่มีกฎควบคุมตายตัว และได้รับการยอบรับว่าเป็นผู้นาที่ยิ่งใหญ่ในหมู่ นกั วิทยาศาสตร์สมยั นั้น เพราะสามารถรวบรวมสตู รกบั ทฤษฎเี ข้าดว้ ยกันเพอ่ื อธิบายการที่โลกและดาว เคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โดยหนังสือของเขาที่ช่ือ Principia ได้รับการยก ย่องว่าเปน็ หลกั การพ้นื ฐานสาคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่ฟ้นื ฟูแนวคิดของ นิโคลัส โคเปอร์นิคัสให้ กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้คนอีกครั้ง โดยหลกั ของวิทยาศาสตร์ที่นิวตันสรุปไว้คือ การสังเกต การ คานวณ และการทดลอง12 ไอแซค นิวตัน (Issac Newton: 1642-1727) กบั งานเขียนกอ้ งโลกที่ชือ่ หลกั คณติ ศาสตรเ์ กย่ี วกบั ปรัชญา ธรรมชาติ (The Mathematical Principles of the Natural Philosophy) แนวคิดที่น่าสนใจของนิวตันที่เกี่ยวกับ ระบบกลไกที่มีกฎควบคุมตายตัว เป็นแนวคิดที่ เปรียบเสมือนสารตั้งต้นที่นาไปสู่ความคิดเกี่ยวกับ สมัยแห่งความรู้แจ้ง หรือสมัยประเทืองปัญญา ของชาวยุโรป ทีน่ าไปสกู่ ารต้ังคาถามตอ่ ระบอบการปกครองที่ว่า ควรจะปกครองกันอย่างไร ซึ่งทาให้ เกิดนกั คิดในทางปรัชญาการเมอื ง เช่น โทมสั ฮอบส์ จอห์น ลอ็ ก เปน็ ต้น 12 อัธยา โกมลกาญจน. อารยธรรมตะวนั ตก. หน้า 439. หน้า 7 ต้องรู้ใหแ้ ม่น ตอ้ งแน่นหลักฐาน ตอ้ งผ่านการวเิ คราะห์ ต้องเจาะสามมิติ อาทิการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวตั ิศาสตร์ (สากล) ส32104 การปฏวิ ตั วิ ทิ ยาศาสตร์ ส32104 3. ผลการปฏิวตั ิวิทยาศาสตร์ทีม่ ตี ่อการเปลย่ี นแปลงของสังคมโลก 3.1. การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เป็นสาเหตุผลักดันให้เกิด “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทาให้ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านการผลิตจน กลายเปน็ ประเทศอตุ สาหกรรมช้ันนาของโลก จนพฒั นามาเป็นสังคมเทคโนโลยีจวบจนปจั จบุ นั 3.2. การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทาให้เกิด “ยุคภูมิธรรม” หรือ “ยุคแห่งการรู้แจ้ง” ทาให้ ชาวตะวันตกเช่ือม่ันในเหตุผล ความสามารถ และภูมิปัญญาของตนเช่ือม่ันว่าโลกจะก้าวหน้าพัฒนา ต่อไปอย่างไม่หยุดย้ัง มีความมั่นในว่าจะสามารถแสวงหาความรู้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด โดยอาศัยเหตุผล และสตปิ ัญญาของตน ความคิดนีจ้ ะนาไปสกู่ ารเปลีย่ นแปลงทางการเมืองในเวลาต่อมา 3.3. ทาใหค้ วามรู้แตกออกเปน็ สาขาตา่ งๆมากมาย เชน่ คณติ ศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชวี วิทยา ฯลฯ ภาพวาดการจัดระเบยี บจกั รวาลจากขอ้ คน้ พบของนิโคลัส โคเปอร์นิคสั (Nicholaus Copernicus: 1473-1453) ซึง่ ปรากฏในงานเขียนทช่ี ื่อ “On the Revolution of the Heavenly spheres” ซึง่ นบั วา่ เป็นจุดเริ่มตน้ ของการ ปฏิวัติทางภูมปิ ญั ญาของมวลมนษุ ยชาติ จนนาไปสู่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสืบมาจวบจนปจั จบุ นั (ที่มาภาพ : https://www.blendspace.com/lessons/dO4gCES7wcCb4A/nicolaus-copernicus) ต้องรู้ใหแ้ ม่น ตอ้ งแน่นหลักฐาน ตอ้ งผ่านการวเิ คราะห์ ต้องเจาะสามมิติ อาทิการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม หน้า 8
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: