Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานประวัติศาสตร์

งานประวัติศาสตร์

Published by phirawichhhhh9011, 2020-07-05 11:17:41

Description: งานประวัติศาสตร์

Search

Read the Text Version

พฒั นาการทางดา้ นตา่ งๆใน ทวีปยโุ รป จดั ทาโดย พีราวิชญ์ ธีระเดชปิติรชั ต์ ม3/3 เลขท่ี6

พฒั นาการทางดา้ นการเมืองการปกครอง ระบอบกษัตรยิ ภ์ ายใตร้ ฐั ธรรมนญู โดยท่วั ไปกล่าวไดว้ ่าในอดีตดนิ แดนสว่ นใหญ่ของทวีปยโุ รปมีกษัตรยิ เ์ ป็นประมขุ สงู สดุ ในองั กฤษ พระเจา้ จอหน์ (ค.ศ.๑๑๙๙-๑๒๑๖) ทรงยอมรบั แมกนาคารต์ า (Magna แมแ้ ตใ่ นสมยั กรกี เรอื งอานาจเม่ือกวา่ ๕๐๐ ปีก่อนครสิ ตศ์ กั ราช ระบอบการปกครอง Carta ค.ศ.๑๒๑๕) หรอื มหากฎบตั ร (Great Charter) ท่ีขนุ นาง พระ พอ่ คา้ และ แบบกษัตรยิ ก์ ็เป็นท่ีรูจ้ กั กนั แพรห่ ลายแลว้ ในสมยั จกั รวรรดโิ รมนั (๒๗ ปีก่อน ประชาชนรวมตวั กนั บีบบงั คบั ใหพ้ ระองคย์ อมรบั ขอ้ ตกลงท่ีเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรในการจากดั ครสิ ตศ์ กั ราช-ค.ศ.๔๗๖) พระประมขุ สงู สดุ เรยี กว่า ซซี ารห์ รอื จกั รพรรดิซ่งึ ทรงปกครอง พระราชอานาจไมใ่ หใ้ ชพ้ ระราชอานาจเกินขอบเขตในการเก็บภาษีอากร การลงโทษและอ่ืนๆ อาณาบรเิ วณกวา้ งขวางครอบคลมุ พนื้ ท่ีในยโุ รปและบางสว่ นของเอเชียและแอฟรกิ า ตอ่ มาไดเ้ กิดรฐั สภา (parliament) ท่ีประกอบดว้ ย สภาขนุ นาง (House of Lords) และ สภาสามญั (House of Commons) ท่ีมีส่วนสาคญั ในการลดอานาจสทิ ธิ์ของ เม่ือจกั รวรรดิโรมนั ล่มสลายลงใน ค.ศ. ๔๗๖ ยโุ รปไดเ้ ขา้ ส่สู มยั กลาง (Milddle กษัตรยิ ์ Ages ค.ศ. ๔๗๖-๑๔๙๒)ท่ีระยะแรกๆบา้ นเมืองแตกแยกจากการเขา้ รุกรานของ ตอ่ มาเม่ือกษัตรยิ พ์ ยายามจะละเลยอานาจของรฐั สภา สภาและประชาชนไดร้ ว่ มกนั ก่อการ พวกอนารยชนเผ่ากอท (Goth) หรอื ชนเผา่ เยอรมนั ท่ีอพยพลงมาจากตอนเหนือ ปฏวิ ตั อิ นั รุง่ โรจน์ (Glorious Revolution) ขนึ้ ใน ค.ศ.๑๖๘๘ ขบั กษัตรยิ อ์ อกจากบลั ระบอบการปกครองแบบรวมศนู ยอ์ านาจของโรมสลายตวั บา้ นเมืองไรข้ ่ือแป ประมวล ลงั โดยไมม่ ีการนองเลือดและใหก้ ษัตรยิ พ์ ระองคใ์ หม่ยอมรบั ในอานาจของรฐั สภา นบั เป็นการ กฎหมายโรมนั ท่ีใชบ้ งั คบั ท่วั ทงั้ จกั รวรรดิถกู ละทงิ้ เกิดเป็นระบอบการปกครองแบบ สิน้ สดุ ของการพยายามใชอ้ านาจปกครองอย่างเด็ดขาดของกษัตรยิ ์ และเป็นจดุ เร่ิมตน้ ของ ฟิวดลั (feudalism) หรอื การปกครองแบบกระจายอานาจการปกครองตกอย่ใู นมือ การปกครองแบบกษัตรยิ ภ์ ายใตร้ ฐั ธรรมนญู อยา่ งแทจ้ รงิ ทงั้ ยงั ยตุ ิปัญหาความแตกแยกทาง ของขนุ นางเจา้ ของท่ีดนิ และมีการใชก้ ฎหมายจารตี ประเพณี (customary law) ศาสนาภายในประเทศโดยกาหนดใหก้ ษัตรยิ ต์ อ้ งทรงนบั ถือและเป็นองคศ์ าสนปู ถมั ภกของ ของพวกอนารยชนแทนประมวลกฎหมายโรมนั อยา่ งไรก็ดี กษัตรยิ ก์ ็ยงั คงไดร้ บั การยก นิกายแองกลคิ นั (Anglicanism) หรอื นิกายองั กฤษ (Church of England) ย่องว่าเป็นเจา้ ของแผ่นดนิ และไดร้ บั การยกย่องวา่ เป็นพระประมขุ (แต่ไมม่ ีอานาจ) แต่ ในปลายสมยั กลางกษัตรยิ ต์ ่างสามารถสถาปนาอานาจปกครองแบบรวมศนู ยอ์ านาจ และสรา้ งรฐั ชาติ (nation state) ท่ีรวมดนิ แดนต่างๆ เขา้ เป็นชาตเิ ดียวกนั ได้ ซง่ึ พระราชอานาจในการปกครองของกษัตรยิ ใ์ นดนิ แดนตา่ งๆ มีพฒั นาการท่ีแตกต่างกนั ดงั นี้

ระบอบกษัตรยิ แ์ บบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ ๒) ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เป็นระบอบการปกครองท่ีอา้ งอดุ มการณข์ องลทั ธิมากซใ์ น การสรา้ งสงั คมท่ีปราศจากชนชนั้ และมีความเสมอภาคกนั ในดา้ นต่างๆ โดยชนชน้ั แรงงาน ส่วนฝร่งั เศสและประเทศมหาอานาจในอดีตอ่ืนๆ ไดแ้ ก่ ปรสั เซยี (รฐั หน่งึ ในดนิ แดนเยอรมนั เป็นผปู้ กครองประเทศระอบเผด็จการคอมมิวนิสตม์ ีพรรคการเมืองเพยี งพรรคเดียว ผนู้ าพรรค ต่อมามีบทบาทเป็นผนู้ าในการรวมชาตเิ ยอรมนีใน ค.ศ.๑๘๗๑) ออสเตรยี และรฐั เซียนนั้ กลบั คอมมวิ นสิ ตแ์ ละผนู้ ารฐั เป็นคนเดียวกนั สหภาพโซเวียตเป็นประเทศแรกท่ีมีการปกครองใน มีพฒั นาการระบอบการปกครองแบบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย(์ Absolutism) ระบอบเผด็จการคอมมวิ นิสตภ์ ายหลงั การปฏวิ ตั ริ สั เซยี ในเดือนตลุ าคม ค.ศ. ๑๙๑๗ หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ก็มีประเทศอ่ืนปกครองในระบอบเผด็จการคอมมิวนิสตอ์ ีก ๑๖ ประเทศ ฝร่งั เศสใน ค.ศ. ๑๖๑๔ หลงั เกิดเหตคุ วามว่นุ วายและสงครามกบั สเปน สภาฐานนั ดร แตเ่ ม่ือสหภาพโซเวียตล่มสลายลงใน ค.ศ. ๑๙๙๑ ก็เหลือเพียงไม่ก่ีประเทศ เชน่ จีน ควิ บา (Estates General) ซง่ึ เป็นตวั แทนของชนชนั้ ตา่ งๆ ไดป้ ระกาศยบุ ตวั และประกาศให้ เกาหลีเหนือ เป็นตน้ สว่ นบรรดาประเทศบรวิ ารของสหภาพโซเวียตเดิม (รวมทงั้ รสั เซยี ) ก็ตอ้ ง “อานาจอธิปไตรสงู สดุ เป็นของกษัตรยิ เ์ พราะทรงเป็นผไู้ ดร้ บั มงกฎุ จากพระเป็นเจา้ ” จงึ ทาใหไ้ ม่ มีการเรยี กประชมุ สภาฐานนั ดรอีกเลยเป็นเวลา ๑๗๕ ปี จนก่อนเกิดการปฏิวตั ฝิ ร่งั เศส ค.ศ. ปฏริ ูปการปกครองตนเองในแนวทางของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยดว้ ย ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789) ทาใหก้ ษัตรยิ ฝ์ ร่งั เศสไมม่ ีสภาท่ีจะควบคมุ การใชพ้ ระราชอานาจ พระราชอานาจของกษัตรยิ จ์ งึ ไดเ้ พ่มิ พนู ขนึ้ อีก ระบอบการปกครองในทวีปยโุ รปสมยั ปัจจบุ นั หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ระบอบการปกครองของยโุ รปแยกออกเป็น ๒ ระบอบอย่างเด่นชดั ดงั นี้ ๑) ระบอบประชาธิปไตย เป็นระบอบท่ีเนน้ ความเป็นปัจเจกบคุ คลนยิ ม (individualism) เหตผุ ลนิยม (rationalism) และเสรภี าพ (freedom) หลกั การสาคญั ของแนวความคดิ ประชาธิปไตย คือ สทิ ธิ เสรภี าพของประชาชน ประชาชน เป็นท่ีมาของอานาจอธิปไตย ทกุ คนมีสิทธิ เสรภี าพ และความเสมอภาคภายใตก้ ฎหมาย การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีตน้ กาเนดิ มาตงั้ แต่สมยั กรกี โบราณ เม่ือกว่า ๕๐๐ ปี ก่อนครสิ ตศ์ กั ราช โดยนครรฐั เอเธนสเ์ ป็นดนิ แดนแหง่ แรกท่ีใหส้ ทิ ธิแก่พลเมืองเพศชายท่ีเป็น เสรชี นทกุ คนมีสทิ ธิในการเลือกตง้ั และเขา้ น่งั ในสภา ทงั้ ยงั ดารงตาแหน่งผปู้ กครองได้ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองท่ีประชาชนมีอานาจสงู สดุ โดยมีรฐั สภาทาหนา้ ท่ีเป็นตวั แทนของประชาชน

พฒั นาการทางดา้ นเศรษฐีกิจ เศรษฐกิจแบบทนุ นิยม ๒) พฒั นาการดา้ นเศรษฐกิจ ระหวา่ ง ค.ศ. ๔๗๖-๑๐๕๐ หรอื สมยั กลางตอนตน้ ชาวไรช่ าวนาสว่ น ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๘ ไดเ้ กิดแนวคดิ ทางเศรษฐศาสตรแ์ ละการเมืองท่ีสาคญั คือ แนวคดิ ไลส์ เซ-แฟร์ (laissez-faireเป็นคาฝร่งั เศส หมายถึง ปลอ่ ยใหเ้ ป็นเอง) และแนวคดิ การคา้ เสรี ใหญ่ตา่ งสญู เสียอิสรภาพและกลายเป็นทาสติดท่ีดิน (serf) ตอ้ งอย่ใู นสงั กดั ของขนุ นางเจา้ ของ (free trade) ของแอดมั สมทิ (Adam Smith) ชาวสกอต เจา้ ของผลงานเร่อื ง The ท่ีดนิ และดารงชีวติ อย่ใู นเขตแมเนอร์ (manor) ซง่ึ เป็นเขตท่ีดินในปกครองของขนุ นาง และเป็น Wealth of Nations (ค.ศ. ๑๗๗๖) ท่ีกาหนดใหอ้ ปุ สงค์ (demand) และอปุ ทาน ท่ีเพาะปลกู และอย่อู าศยั โดยมีเขตท่ีเป็นท่ีตงั้ ปราสาทของขนุ นางเจา้ ของท่ีดิน และเขตหมบู่ า้ นซง่ึ (supply) เป็นตวั กาหนดกลไกของตลาด เป็นเขตท่ีอย่อู าศยั ของพวกทาสติดท่ีดนิ และชาวไรช่ าวนาบางคนท่ีเป็นเสรชี น เศรษฐกิจในเขตแม ดา้ นเศรษฐกิจนน้ั ไลสเ์ ซ-แฟร์ หมายถึง การดาเนนิ นโยบายภายในท่ีรฐั บาลไม่ควรเขา้ ไปกา้ วก่าย กบั การคา้ เป็นธุรกิจของภาคเอกชนทง้ั ในดา้ นอตุ สาหกรรมและการเงนิ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี เนอรเ์ ป็นเศรษฐกิจพอเลีย้ งตนเอง (self-sufficient economy) ท่ีชาวไรช่ าวนาตา่ ง นิยมสง่ เสรมิ ใหน้ ายทนุ แขง่ ขนั กนั อย่างเสรี ผบู้ รโิ ภคจะทาใหก้ ลไกของตลาดเคล่ือนไหวและนา ประกอบอาชีพพอกินพอใชแ้ ละผลติ สินคา้ เพ่อื ใชเ้ องหรอื แลกเปล่ียนกนั การคา้ ท่ีเคยรุง่ เรอื งในสมยั ความม่งั ค่งั มาสรู่ ฐั ได้ จกั รวรรดโิ รมนั ตอ้ งหยดุ ชะงกั เป็นเวลากวา่ ๕๐๐ ปี ก่อนท่ียโุ รปจะฟื้นตวั จนสามารถสรา้ งความ เป็นปึกแผ่นและปลอดภยั จากการรุกรานของพวกอนารยชน จานวนประชากรไดเ้ พม่ิ มากขึน้ และ เศรษฐกิจแบบสงั คมนิยม สามารถผลิตสนิ คา้ เพ่อื การคา้ ขายทงั้ ภายในประเทศและสง่ ออกได้ เศรษฐกิจแบบสงั คมนิยม (socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีพฒั นามาจากแนวความคิดทาง การเมืองของคารล์ มากซ์ (Karl Marx) นกั สงั คมนิยมท่ีมีช่ือเสียงของยโุ รป เกิดขึน้ กลาง เศรษฐกิจแบบพาณิชยนิยม ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๙ เพ่อื ตอบโตก้ ารขยายตวั ของลทั ธิทนุ นยิ มและการเอารดั เอาเปรยี บชนชนั้ แรงงาน เขาตอ้ งการสรา้ งระบบเศรษฐกิจท่ีเสมอภาค คือ การยกเลกิ กรรมสิทธิ์ทรพั ยส์ นิ สว่ นบคุ คล เศรษฐกิจแบบพาณิชยนิยม (mercantilism) เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีเกิดขนึ้ และพฒั นา และใหม้ ีการจดั การทางการผลติ โดยชนชน้ั แรงงาน ซง่ึ ชนชนั้ แรงงานจะใชอ้ านาจเผดจ็ การในการ พรอ้ มๆ กบั การก่อตวั ของรฐั ชาติ เป็นรูปแบบของเศรษฐกิจครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๖-๑๘ โดยรฐั เขา้ ปกครองเพ่อื ผลกั ดนั นโยบายสงั คมนิยมใหบ้ รรลผุ ลสาเรจ็ ควบคมุ อตุ สาหกรรมและการคา้ ภายในประเทศ สง่ เสรมิ การดาเนนิ ธุรกิจของพอ่ คา้ การส่ง สินคา้ ออก และกีดกนั การนาเขา้ สินคา้ จากตา่ งประเทศลทั ธิพาณิชยนิยมเป็นผลจากความเช่ือว่า การควบคมุ และการดาเนนิ ธุรกิจต่างๆ จะทาใหร้ ฐั ม่นั คง เขม้ แข็ง ดงั นน้ั จงึ ถือเป็นหนา้ ท่ีและความ จาเป็นของรฐั ท่ีจะตอ้ งดาเนนิ การทกุ วิถีทางเพ่อื เป็นเจา้ ของทรพั ยากรและโภคทรพั ยต์ ่างๆ และเขา้ ครอบครองดนิ แดนต่างๆ แลว้ จดั ตงั้ เป็นอาณานคิ ม เผยแผ่ศาสนา ทา้ ยท่ีสดุ ก็ก่อใหเ้ กิดความ ขดั แยง้ กนั เองและเขา้ สสู่ งคราม กลายเป็นสงครามท่ีลกุ ลามในภมู ิภาคอ่ืนๆ ของโลก เช่น สงคราม เจ็ดปี (Seven Year’ War, ค.ศ. ๑๗๕๖-๑๗๖๓) ระหว่างฝร่งั เศสและออสเตรยี กบั องั กฤษ และปรสั เซีย ก่อใหเ้ กิดการรบกนั ทงั้ ในทวีปยโุ รป อเมรกิ า และเอเชีย

พฒั นาการทางดา้ นสงั คมศิลปวฒั นธรรม การสรา้ งสรรคท์ างศลิ ปวฒั นธรรม ในสมยั กลางตอนตน้ สงั คมของตะวนั ตกประกอบดว้ ย ชนชน้ั ๓ ฐานนั ดร แมว้ ่าศลิ ปวฒั นธรรมของกรกี -โรมนั คือ รากเหงา้ ของอารยธรรมตะวนั ตก แตค่ รสิ ตศ์ าสนาซง่ึ ไดแ้ ก่ กษัตรยิ -์ ขนุ นาง นกั บวช และชาวไร-่ ชาวนา (ทาสติดท่ีดิน) แตเ่ ม่อื เป็นท่ียอมรบั ในจกั รวรรดมิ นั ตงั้ แตต่ น้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๔ และมีอิทธิพลอย่างมากในโลก มีการฟื้นตวั ของเศรษฐกิจและเมืองขนึ้ ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๑ สงั คมยโุ รป ตะวนั ตกจนสมยั กลางไดช้ ่ือวา่ ยคุ แห่งศรทั ธา (Age of Faith) ก็คือ พลงั ท่ีแต่งเติมให้ ก็เกิดชนชน้ั ใหม่ คือ ชนชนั้ กลางหรอื ชนชนั้ กระฎมุ พี ท่ีประกอบอาชีพ ศลิ ปวฒั นธรรมของยโุ รปบรรลคุ วามงามและความสมบรู ณแ์ บบ ทง้ั มีการสรา้ งมหาวิหาร ต่างๆ เชน่ ชา่ งฝีมือ ลกู จา้ ง พ่อคา้ อาจารย์ นกั ศกึ ษา โดยอาศยั อย่ใู นเขต (cathedral) ดว้ ยศลิ ปะแบบกอทิกไปท่วั ยโุ รปในระหว่าง ค.ศ. ๑๑๐๐-๑๓๐๐ มีจานวน เมอื ง ถือวา่ เป็น ชนชนั้ ใหม่ ของสงั คมตะวนั ตก ชนชน้ั กลางเหลา่ นีไ้ ด้ มากกวา่ ๕๐๐ แห่ง ตอ่ มาในยคุ ฟื้นฟศู ลิ ปะวิทยาการ (Renaissance) ท่ีเรม่ิ ตน้ ในอติ าลี รว่ มกนั วางรากฐานความเจรญิ ใหแ้ ก่สงั คมยโุ รปและปลกู ฝังอดุ มการณ์ ในกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๔ ยโุ รปสามารถฟื้นฟกู ารศกึ ษาและผลงานสรา้ งสรรคท์ างดา้ นวิจิตร และวิธีการปฏิบตั ใิ นการอยรู่ ว่ มกนั เชน่ สทิ ธิและหนา้ ทข่ี องชาวเมอื ง การ ศลิ ป์ ของกรกี -โรมนั ขนึ้ มาใหม่ ศลิ ปินต่างหวนกลบั ไปสโู่ ลกของธรรมชาติ จนเกิดเป็นรูปแบบ จดั เก็บภาษีและค่าปรบั เป็นตน้ เพ่ือนารายไดม้ าบรหิ าร การทานบุ ารุงแล ของศลิ ปะซง่ึ เป็นความงามของธรรมชาตแิ ละการวภิ าคของมนษุ ยท์ ่ีจดั วา่ เป็นผลงานอนั ย่งิ ใหญ่ การปอ้ งกนั เมือง สง่ เสรมิ และขยายการศกึ ษาการจดั ตง้ั มหาวิทยาลยั ของพระเป็นเจา้ มาซกั ซโี อ (Masaccio, ค.ศ. ๑๔๐๑-๑๔๒๘) เป็นจิตรกรอิตาลีคนแรกท่ีนา และเกิดการฟื้นฟศู ิลปวิทยาการและความเจรญิ อ่ืนๆ ตลอดจนสง่ เสรมิ เทคนคิ การวาดภาพ ๓ มิติมาใช้ จนเกิดเป็นแนวคดิ ใหม่ท่ีวา่ ลกั ษณะท่ี สมจรงิ (realism) คณุ ธรรมและใหค้ วามสาคญั แก่สทิ ธิ เสรภี าพ และความเสมอภาคปัจเจก นนั้ เป็นอย่างไร บคุ คล ซ่งึ เป็นพืน้ ฐานสาคญั ท่ีทาใหส้ งั คมยโุ รปสามารถพฒั นาระบอบ การปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย ในชว่ งระยะเวลานี้ งานจติ รกรรมและงานประตมิ ากรรมก็เรม่ิ มีความโดดเดน่ มีการสรา้ งงาน ประตมิ ากรรมเป็นรูปนกั บญุ ประดบั ประดาตามจตั รุ สั ตา่ งๆ รวมทง้ั ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ปนู เปียก (fresco) ตามผนงั ของโบสถว์ ิหารและบา้ นเรอื นตา่ งๆ ศลิ ปินชาวเฟลมิชหรอื ดตั ชเ์ ป็น พวกแรกท่ีพฒั นาเทคนคิ การวาดภาพสีนา้ มนั ท่ีผสมไข่ขาวและนา้ แทนสีฝ่นุ ซ่ึงสามารถสรา้ งสี ออ่ นแก่ ดโู ปรง่ แสง มีรายละเอียดเหมือนภาพถ่ายในปัจจบุ นั ในเวลาตอ่ มาศิลปินอติ าลีก็นาไป พฒั นาเป็นภาพเขียนใสก่ รอบประดบั ฝาภายในอาคารท่ีพกั อาศยั โดนาเตลโล (Donatello, ค.ศ. ๑๓๖๘-๑๔๖๖) เป็นประติมากรคนแรกท่ีสรา้ งผลงาน เดวดิ (David) เด็กหนมุ่ ในคมั ภีร์ ไบเบลิ เป็นรูปชายหน่มุ เปลือยในท่ายืนโดดเดน่ อย่างอิสระจากขอ้ บงั คบั ท่ีเครง่ ครดั ของสมยั กลาง แตก่ ็สะทอ้ นความเป็นธรรมชาตขิ องมนษุ ย์

จบครบั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook