วฒั นธรรมและประเพณไี ทย4ภาค
ประเทศไทยมีก่ีภาค?
การแบ่งภูมิภาคแบบ 4 ภูมิภาค ใชใ้ นบางบริบทใน การบริหารและสถิติ และยงั เป็นการแบ่งกล่มุ วฒั นธรรมแบบกวา้ ง ๆ
แบ่งภูมิภาคออกเป็ น 5 ภูมิภาค เพื่อวตั ถุประสงค์ทางการท่องเท่ียว
การแบ่งภูมภิ าคแบบ 6 ภูมภิ าค ใช้เพ่ือวตั ถุประสงค์ทางภูมศิ าสตร์ และวทิ ยาศาสตร์
นักเรียนรู้จกั ประเพณอี ะไรในภูมภิ าคของนักเรียนบ้าง?
1.ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 6 คน 4 กลุ่ม (ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ) โดยให้นักเรยี นศกึ ษาขอ้ มูลของ แตล่ ะภาคตามประเดน็ ตอ่ ไปนี้ -วัฒนธรรมทางภาษาถน่ิ -วฒั นธรรมการกนิ -วฒั นธรรมเก่ียวกับศาสนา ความเชอ่ื -ประเพณีของภาค 2.เมื่อศกึ ษาข้อมูลแล้วใหน้ ักเรียนนาเสนอข้อมูลโดย การส่งตัวแทนในกลุ่ม 2 คน ( กตกิ า คือ ให้ตวั แทน กลุ่ม2คนเป็ นผู้นาเสนอ โดยสมาชกิ ทเ่ี หลอื ไปศกึ ษา ข้อมูลของกลุ่มภาคอ่นื เมอื่ วนครบ1รอบใหเ้ ปลี่ยนคน นาเสนอโดยหา้ มซา้ กัน 7
ปัจจัยท่ีทาให้ประเพณวี ฒั นธรรรมแต่ละภูมิภาคแตกต่างกนั 1.ภูมิศาสตร์ 8
ปัจจัยที่ทาให้ประเพณีวฒั นธรรรมแต่ละภูมภิ าคแตกต่างกัน 2.เชื้อชาติ ศาสนา 9
ส่งขนึ้ ไปบนฟ้า วอนเทวา ประทานชวี .ี ...
บญุ บ้งั ไฟข้ึนเพ่อื เป็นการบชู า พญาแถน หรือเทพวสั สกาลเทพบตุ ร ซ่ึงชาวบา้ นมีความเช่ือวา่ พระยาแถนมีหนา้ ท่ีคอยดูแลให้ฝนตกถูกตอ้ งตามฤดูกาล และมีความช่ืนชอบไฟเป็นอยา่ งมาก หากหมู่บา้ นใดไม่จดั ทาการจดั งานบญุ บ้งั ไฟบูชา ฝนก็จะไมต่ กถูกตอ้ งตามฤดูกาล อาจ ก่อให้เกิดภยั พบิ ตั ิกบั หมู่บา้ นได้ เพราะไมม่ ีน้าใชท้ าการเกษตรปลูกขา้ วทาไร
บรรเลงบทร้อยกรอง ขับร้องภาษาถน่ิ ใช้แสงแสดงเงา บอกเล่าสู่สายตา....
หนงั ตะลุงเป็นการละเล่นพ้ืนเมืองที่สาคญั อยา่ งหน่ึง ของภาคใตม้ าแต่โบราณ และสืบทอดมาจนปัจจบุ นั น้ี หนงั ตะลุงเป็นมหรสพทีไดร้ ับการนิยมจากผูด้ ูอยา่ ง กวา้ งขวาง การแสดงหนงั ตะลุงเป็นการแสดง ความสามารถท่ีถือเป็นอจั ฉริยะส่วนตวั ของนายหนงั ตะลุงผนวกกบั การฝึกฝนจนมีความชานาญ จึงจะ สามารถแสดงหนงั ตะลุงใหป้ ระทบั ใจผชู้ มได้ หนงั ตะลุงมิไดใ้ ห้แต่ความบนั เทิงแก่ผชู้ มเท่าน้นั ยงั ได้ สอดแทรกคติธรรม จริยธรรม การศึกษา ฯ ลฯ แก่ผชู้ มอีกดว้ ย
อาหารทะเลหางา่ ยในทอ้ งถน่ิ ผัดใส่ผักเม็ดใหญ่สีเขยี วกลน่ิ ถงึ ใจ....
ผดั สะตอกงุ้ สด สะตอ ผกั พ้นื บา้ นสญั ลกั ษณ์ของ ชาวใตท้ ีไ่ ดร้ ับความนิยมอยา่ งแพร่หลาย สะตอเป็น ผกั ทีม่ ีรสชาติและกล่ินท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ โดยเมนูท่ี ไดร้ ับความนิยมในกลุ่มชาวใตแ้ ละภาคอื่นๆ คือ ผดั สะตอกบั กะปิ ใส่กุง้ เมนูน้ีหารับประทานไดง้ ่าย รสชาติมีท้งั เคม็ เปร้ียว หวานเลก็ นอ้ ย และมีความ หอมจากกะปิ
เลบ็ ยาวร่ายรา ปี กนานกแอน่ กาไลทองเหลอื งเป็ นวงแหวน การแสดงประจาตวั พระมหาเทวเี จา้ ....
เอกลกั ษณ์ของชาวใตท้ ีน่ ่าภาคภูมิใจอยา่ งหน่ึงน้นั คือ มโนราห์ หรือ โนราห์ ซ่ึงเป็นศิลปะการร้องและการราช้นั สูง มีแม่บทท่าราอยา่ งเดียวกบั ละครชาตรี บทร้องเป็นกลอนสด ผขู้ บั ร้องตอ้ ง ใชป้ ฏิภาณไหวพริบ สรรหาคาใหส้ มั ผสั กนั ไดอ้ ยา่ งฉบั ไว มีความหมาย ท้งั บทร้อง ทา่ ราและเคร่ืองแต่งกายเคร่ืองดนตรีประกอบดว้ ย กลอง ทบั คู่ ฉิ่งโหม่ง ปี่ นอก หรือ ปี่ ใน และกรับ ปัจจุบนั พฒั นาเอาเคร่ืองดนตรี สากลเขา้ ร่วมดว้ ย เดิมนิยมใชผ้ ชู้ ายลว้ นแสดง แต่ปัจจุบนั มีผหู้ ญิงเขา้ ไป แสดงดว้ ย
ฝนแล้งแหง้ แสนลาบาก ลุกขนึ้ หาบศรีสวาท แหใ่ ห้ สาดรอบเมอื ง....
เนื่องจากสงั คมไทยเป็นสงั คมเกษตรกรรม การทาเลือกสวนนาไร่ จาเป็นตอ้ งอาศยั น้าจานวนมาก ดงั น้นั หากวนั หน่ึงฝนที่เคยตกตอ้ ง ตามฤดูกาลไม่ตกเช่นเคยยอ่ มสร้างความเดือนร้อนใหก้ บั ชาวนา ชาวไร่ทวั่ ไป เพราะฉะน้นั เพอื่ ให้ฝนตกลงมาจะไดม้ ีน้าเพยี งพอใน การทาการเกษตรกรรมจึงตอ้ งทาพิธี “แห่นางแมว” ข้ึน ส่วนความเชื่อเก่ียวกบั แมวน้นั คนไทยเช่ือวา่ แมวเป็นสตั วท์ ่ีมี อานาจลึกลบั ศกั ด์ิสิทธ์ิ เม่ือนามาทาพิธีแลว้ จะช่วยเรียกฝนให้ตก ลงมาได้ หรือถา้ เป็นความเช่ือของชาวอีสานจะมีความเชื่อวา่ เมื่อ ฝนไม่ตกให้ใชส้ ตั วท์ ี่มีสีเดียวกบั เมฆเรียกฝน จะทาใหฝ้ นตกลงมา ไดเ้ ช่นกนั และสตั วป์ ระเภทเดียวท่ีมีสีเมฆคือแมวสีสวาท
สูแหย่อยา่ งเดยี วเต้นทงั้ เพลง
“เซิ้งแหยไ่ ข่มดแดง” ซ่ึงมีความสนุกสนานเร้าใจ ในแบบศิลปการแสดงแบบชาวอีสาน ซ่ึงได้ แสดงออกถึงการออกไปหาไขม่ ดแดง ซ่ึงไดม้ าอยา่ ง ยากลาบาก ท้งั ตอ้ งถูกมดแดงกดั หรือไต่ตามเส้ือผา้ การกวนแยกตวั มดแดงออกจากไข่ ทาให้ชุดการ แสดงน้ีบอกเล่าวธิ ีการไดอ้ ยา่ งละเอียด
เป็ นหมอแต่ไม่ได้รักษา เดง้ ซ้ายขวาอยูห่ น้าเวที
หมอลา เป็นรูปแบบวฒั นธรรมทางภาคอีสานของ ประเทศไทย สามารถแบง่ ออกไดห้ ลายอยา่ ง ตาม ลกั ษณะทานองของการลา เช่น ลาเตย้ ลากลอน ลา เรื่อง ลาเรื่องตอ่ กลอนลาเพลิน ลาซ่ิง คาวา่ “หมอลา” มาจากคา 2 คามารวมกนั ไดแ้ ก่ “หมอ” หมายถึง ผมู้ ีความ ชานาญ และ “ลา” หมายถึง การบรรยายเรื่องราว ต่างๆ ดว้ ยทานองอนั ไพเราะ ดงั น้นั หมอลา จึงหมายถึง ผทู้ ี่มีความชานาญในการ บรรยายเร่ืองราวต่างๆ ดว้ ยทานองเพลงนนั่ เอง
ขนมขบเคยี้ วรูปร่างกลมๆ ทาจากข้าวเหนียวโรยด้วยนา้ ตาล
ขา้ วแต๋น - ขนมนางเลด็ (ขนมไทย) ขนมไทยที่เกิดจากภมู ิปัญญาชาวบา้ นทางแถบภาค อีสาน ท่ีนิยมรับประทานขา้ วเหนียวหรือขา้ วสารเหนียว นามาน่ึงแลว้ รับประทานไม่หมด แลว้ นามาแปรรูปทอด โรยดว้ ยน้าตาลปี๊ บที่เคี่ยวจนเหนียว รสชาติหอม หวาน
ประเพณีทเี่ ชอ่ื ว่าปล่อยเคราะห์ ปล่อยเรื่องร้ายไปจากตัวใหล้ อยขนึ้ ฟ้า
งานประเพณีลอยโคม เป็นประเพณีพ้ืนบา้ นของชาวลา้ นนา ในจงั หวดั เชียงใหม่ จดั ข้ึนในวนั เพญ็ เดือน 12 การลอยโคม ของชาวลา้ นนาน้ีไมใ่ ช่การลอยโคมตามสายน้า หรือลอยกระทง แตเ่ ป็นการลอยโคมที่ปล่อยข้ึนไปในอากาศ โดยโคมจะทา ดว้ ยกระดาษสา ติดบนโครงไมไ้ ผซ่ ่ึงกจ็ ะมีสีสนั สวยงาม แลว้ จุดตะเกียงไฟตรงกลางเพือ่ ที่จะให้ไอร้อนเป็นตวั พาโคมลอย ข้ึนสู่อากาศชาวลา้ นนามีความเช่ือวา่ การจดุ โคมลอยและปล่อยข้ึนไปในอากาศเป็นการปลดปล่อยความทุกขโ์ ศกและเร่ือง ร้ายๆ ใหพ้ น้ ตวั และลอยไปกบั อากาศ โดยมีคติความเช่ือวา่ เพอ่ื บูชาพระเกตุแกว้ จุฬามณี บนสรวงสวรรค์
เครื่องแกงผสมเนือ้ สัตว์ ยดั ไส้ไว้ตรงกลาง บดิ หวั บดิ ทา้ ย ยา่ งใหส้ ุก
ในสมยั โบราณ ยามเทศกาลงานบญุ มกั จะมีการลม้ หมู และจะมีเน้ือหมเู ป็นจานวนมาก บางคร้ังนามาประกอบอาหารไม่ทนั จึงมีการถนอมอาหารป้องกนั การเน่าเสีย แรกทีเดียวกน็ ามาแล่แลว้ ยา่ งหรือตากแดดใหแ้ ห้งเพอ่ื เก็บไวก้ ินในภายหลงั ตอ่ มาพฒั นามาเป็นการประกอบอาหารที่สามารถเกบ็ ไวก้ ินไดน้ าน ที่เราคุน้ เคยกนั ดีคือ การทาแหนม และการทาไสอ้ วั่ เป็น ตน้ ซ่ึงเป็นอาหารที่สามารถเก็บไวไ้ ดน้ าน 1-3 วนั สาหรับการทาไสอ้ วั่ เป็นท่ีนิยมของคนลา้ นนาเร่ือยมา เน่ืองจาก สามารถเอาไส้หมมู าใช้ เป็นการใชป้ ระโยชนข์ องหมูท้งั ตวั ไดอ้ ยา่ งคุม้ คา่
เมนูขนึ้ ชื่อเป็ นทร่ี ู้จัก รสชาตเิ ปรีย้ ว เผด็ กลมกล่อมหอม กล่ินสมุนไพรถกู ใจทุกชาติ
เอ่ชา เอ๊ชา ชา ชาฉ่าชา นอยแม่
ฉ่อย เป็นเพลงพ้ืนเมืองท่ีมีการแสดง ทา่ ทาง และการร้องคลา้ ยกบั ลาตดั โดยมี ผแู้ สดงประกอบดว้ ย ฝ่ายชายและฝ่าย หญิง ฝ่ายละประมาณ 2-3 คน ในขณะ ที่พอ่ เพลงแมเ่ พลงร้องโตต้ อบกนั ผเู้ ล่นคน อื่นๆ จะทาหนา้ ท่ีเป็นลูกคู่ เน้ือหาท่ีร้อง ส่วนใหญม่ ีท้งั เร่ือง ทางโลก ทางธรรม ชิง ชู้ และมกั จะมีถอ้ ยคา ที่มีความหมายสอง แง่สองง่าม การแสดงเพลงฉ่อยจะไมม่ ี เครื่องดนตรีประกอบจงั หวะ แตจ่ ะใชก้ าร ตบมือเป็นจงั หวะแทน และส่ิงท่ีเป็ น เอกลกั ษณ์ของเพลงฉ่อยคือ ลูกคูจ่ ะร้อง รับดว้ ยคาวา่ “เอ่ ชา เอช้ า ชา ชาชาชา หน่อยแม”่
อยใู่ นนา้ เสยี งพากยม์ ันส์ ดงั สน่ัน ไปอยา่ งไว
ประเพณีแข่งเรือ เป็นการละเล่นท่ีสอดคลอ้ งกบั วิถีชีวติ ความเป็นอยขู่ องชาวไทยในชนบทภาคกลาง ท่ี เป็นที่ราบมีแม่น้าลาคลองผคู้ นอาศยั ใกลน้ ้า ในช่วงเดือนสิบเอด็ และเดือนสิบสอง ชาวบา้ นเวน้ วา่ งจากการ ทาไร่ทานา เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวไดพ้ บปะเก้ียวพาราสีกนั ไดแ้ สดงความสามารถท้งั หญิงและชาย ผดู้ ูมี ท้งั อยบู่ นตลิ่ง และท่ีพายเรือกนั ไปเป็นหมู่ ต่างสนุกสนานกนั ทว่ั หนา้
นักเรียนมวี ธิ ีอนุรักษ์ ประเพณแี ละวฒั นธรรมอย่างไร?
อยา่ ลืมช่วยกนั สืบสานประเพณีกนั ดว้ ยนะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 38
Pages: