โครงการอาศรมศึกษาฯ |1 โครงการอาศรมศึกษา “เขา้ เรือนครู เรยี นร้ศู ลิ ปวิทยา” ในหัวข้อ : ภมู ปิ ญั ญาการแสดงพ้นื บา้ นภาคใต้ (หนงั ตะลุง) เอกสารประกอบโครงการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศลิ ปะ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
โครงการอาศรมศกึ ษาฯ |ก เอกสารประกอบโครงการอาศรมศกึ ษา “เข้าเรอื นครู เรียนรูศ้ ลิ ปวทิ ยา” ในหัวขอ้ : ภูมปิ ัญญาการแสดงพนื้ บา้ นภาคใต้ (หนังตะลงุ ) กลุ่มสาระการเรียนรศู้ ิลปะ ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564
ข |โครงการอาศรมศึกษาฯ คานา เอกสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอาศรมศึกษา “เข้าเรือนครู เรียนรู้ศิลปวิทยา” ในหัวข้อ : ภูมิปัญญาการแสดงพื้นบ้านภาคใต้ (หนังตะลุง) ที่จัดขึ้นโดยบูรณาการความรู้กับใน รายวิชาศ30104 สุนทรียนาฏศิลป์ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ความสัมพันธ์ ระหว่างวัฒนธรรมกบั การแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทย เร่อื ง การอนุรักษ์นาฏศิลปไ์ ทย หลักสาคญั ของโครงการ ต้องการให้นกั เรียนเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ ในพ้ืนที่แหง่ ภมู ิปัญญาศิลปะประจาท้องถนิ่ โดยให้ความสนใจ เกย่ี วกบั เยาวชนคนรนุ่ ใหมท่ ี่เปน็ ศิลปิน และมคี ณะหนังตะลงุ เป็นของตนเอง ซ่ึงสามารถเปน็ แบบอยา่ ง ในการสร้างเสรมิ แรง การปลูกความคดิ ริเร่ิม หรือประกายให้เกดิ ความสนใจ ในทางประโยชน์ต่อการ เรียนรู้และการศึกษา การจัดโครงการในครั้งนี้เน้นที่ปลายทางของการเรียนรู้ที่สาคัญ ของการจัด โครงการคือ “การใหเ้ ยาวชนเปน็ ต้นแบบ ให้กับเยาวชน” โดยมีเอกสารเล่มนี้ประกอบการเรียนรู้ใน โครงการซง่ึ ได้ทาการรวบรวมเนื้อหาสาระสาคญั เอาไว้ เพ่ือใช้เปน็ ส่วนหนง่ึ ในการประกอบการเรียนรู้ ทางผู้จัดทาขอขอบพระคุณเอกสารตารา ทางวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิและแหล่งข้อมูล สารสนเทศทีส่ าคัญไวต้ ามรายนามบรรณานกุ รม อนั เป็นผลให้ไดม้ าซึง่ เอกสารประกอบโครงการเล่มนี้ โดยวิธีการรวบรวม ใช้เพ่ือการเรียนรู้และการศึกษาต่อไป ท้ังผู้ที่เข้าร่วมโครงการโดยตรง หรือผู้ที่ให้ ความสนใจจักไดใ้ ชป้ ระโยชน์ตอ่ ไป คณะผู้จัดทา 7 มกราคม 2564
โครงการอาศรมศึกษาฯ |ค สารบญั หนา้ คานา………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ข สารบัญ.................................................................................................................................................................................... ค 1. ประวัตคิ วามเปน็ มาหนังตะลงุ ……………………………………………………………………………………………………….…….. 1 2. องคป์ ระกอบของการแสดงหนงั ตะลุง………………………………………………………………………………………………….… 6 2.1 ดนตรีหนงั ตะลงุ ………………………………………………………………………………………………………………..….… 6 2.2 วิธีการแสดง…………………………………………………………………………………………………………………………..… 8 2.3 โอกาสทีใ่ ช้ในการแสดง…………………………………………………………………………………………………….… 11 บรรณานุกรม........................................................................................................................................................................ 13
ง |โครงการอาศรมศึกษาฯ
โครงการอาศรมศึกษาฯ |1 1. ประวตั ิความเปน็ มาหนงั ตะลงุ ประวัติความเป็นมาหรือภูมิหลังแห่งการก่อเกิดศิลปการแสดงหนังตะลุงนี้มีนักวิชาการ และ ผทู้ รงคณุ วุฒิหลายท่านอธิบายเอาไวด้ ังน้ี สุจิตรา มาถาวร (2542: ไม่มีเลขหน้า) ได้กล่าวไว้ว่า หนังตะลุง เป็นการแสดงที่ไม่ สามารถบอกได้แนช่ ัดว่ากาเนดิ ข้ึน เม่ือไร แตจ่ ากหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตรท์ าให้น่าเช่อื ถือได้วา่ ทั้งหนัง ใหญ่และหนังตะลุงน่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาท่ีใกล้เคียงกนั จากหลกั ฐานที่ปรากฏ สันนิษฐานได้ว่า หนัง ตะลุงท่ีเล่นกันใน เอเชยี ตะวันออกเฉียงใตน้ ี้ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากประเทศอินเดีย โดยแบง่ การเลน่ หนังเปน็ 2 ประเภท คือ หนังที่ไม่สามารถเคล่ือนไหวได้ มีขนาดใหญ่ การเชิดต้องอาศัย ท่าทางและลีลาของผู้เชิด เป็นผู้ที่แสดงออกมา เช่น หนังใหญข่ องไทย หรอื ในประเทศเขมร เรยี กการแสดงหนังชนดิ น้ีวา่ หนังสเบก (Spek) ส่วนหนังที่มีขนาดเล็ก สามารถเคล่ือนไหวไปมาได้ โดยผู้เชดิ เพียงใชม้ ือเชิดไปมาออกลีลาทา่ ทาง จากบุคลิกของตวั ละคร คนเชิดไมต่ ้องออกมาแสดงท่าทางเอง นยิ มกนั มากในชวา บาหลี สงิ คโปร์ มาเลเซยี และไทย ซ่ึงเรียกตวั หนังชนิดนี้ว่า หนังตะลุง ชาวชวานิยมเล่นหนังชนิดนี้มาตั้งแต่โบราณ ก่อนคริสต์ศตวรรษ 4 1 สมัยก่อนเรียกเป็นภาษา โบราณว่า หนงั ประวา ต่อมาเรียกกันอีก อยา่ งวา่ วายงั ยาวอ ส่วนทางมลายูเรียกการแสดงนี้วา่ วายงั กุเล็ก ยาวอ (วายงั แปล ว่า เงา กุเล็ก แปลว่า เปลอื กหรอื หนงั ของสตั ว)์ ส่วนผพู้ ากยห์ นังชาวชวาจะเรียกว่า ดา หลัง หรอื ดาลงั ซ่ึงคาเหล่านี้มักจะปรากฏในวรรณคดีเรือ่ ง อิเหนาของไทยเราด้วย จงึ พอจะสรุปไดว้ า่ หนัง ตะลงุ ที่นามาเล่นในประเทศไทยนา่ จะได้ รบั อิทธิพลมาจากชวา ผา่ นมาทางมลายู ส่วนประเทศไทยเรียกการเล่นหนังเล็กที่สามารถเคลื่อนไหวได้นี้ว่า หนังควน หรือเรียกว่า หนัง อย่างเดียว ต่อมาการแสดงนี้ได้กลายเป็น มหรสพเช่นเดียวกับหนังใหญ่ แต่ด้วยอิทธิพลของการรับเอา แบบอยา่ ง การแสดงนม้ี าจากชวา โดยผา่ นมาทางมาเลเซีย ซึ่งมีอาณาเขตตดิ ต่อกบั ภาคใตข้ องไทย อาจจะ
2 |โครงการอาศรมศกึ ษาฯ เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้หนังตะลุงเป็นที่นิยม และแพร่หลายอยู่ในภาคใต้ของไทย สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2525: ไม่มีเลขหน้า) ได้ให้ข้อคิดเห็นไว้ในหนังสือ หนังตะลุงว่า หนังตะลุงทางภาคใต้ได้รับอิทธิพลจาก หนงั ชวา โดยท่านได้ ให้ข้อสังเกตวา่ 1) ขนาดของตัวหนงั ทางภาคใตม้ รี ปู ร่างใกล้เคียงกบั รูปหนังชวา สงิ คโปร์ บาหลี มาเลเซยี และเขมร โดยท้งั หมดมลี ักษณะร่วมกัน คอื ตัวหนงั มกี ารตอ่ แขนเพ่อื ให้สามารถเคล่ือนไหวได้ 2) ลักษณะการเชิดคล้ายคลึงกัน คือ ใช้เฉพาะส่วนศีรษะของรูป หนังสัมผัสจอจะไม่ สัมผสั เสมอกนั ทุกสว่ น 3) รูปตัวตลกสาคญั มกั จะมีแขนยาวผิดปกตเิ หมอื นรูปหนังชวา 4) ตัวตลกหนังตะลุงไทยมีบุคลิกและลักษณะคล้ายตัวตลกสาคัญ ของหนังชวา เช่น มี ความเฉลียวฉลาด รักษาความสัตย์ พูดตรงไปตรงมา การแต่งกายก็คล้ายคลึงกัน คือ นุ่งโสร่ง มีกริชเป็น อาวุธ และชอบ ติดตามผู้ชนะ หรือตัวเอกของเรื่อง ตัวตลกดังกล่าวทั้งชาวไทยและชาวชวาถือเป็นนาย หนงั ทมี่ คี วาม ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ และเปน็ ทเ่ี คารพนับถือของนายหนัง 5) การเล่นหนังทางภาคใต้คล้ายกับการเล่นหนังของชาวชวา ซึ่งส่วนหนึ่งมีความเช่ือว่า เป็นการละเล่นเพ่ือเชญิ วญิ ญาณบรรพบุรุษให้ คุ้มครอง ดลบันดาลความสุข พืชผลเจริญงอกงาม และถือ เปน็ การขบั ไล่ ปศี าจ ในอาเภอสทงิ พระ จงั หวัดสงขลา กม็ คี วามเช่ือเช่นนี้เหมอื นกัน ถา้ นารูปตัวตลกสาคัญไปแชน่ า้ ถือ เปน็ การโปรดต้นขา้ ว จะมีผลทาใหต้ ้นขา้ วเจริญงอกงาม ซง่ึ ก็ตรงกับความเชื่อของชาวชวาเช่นกัน บางท่าน ได้กล่าวเพ่ิมเติมไว้ว่าหนงั ท่ีไทยได้รับมาจากชวาน้ันมี เตานุ้ย ตาหนักทอง และนายทองชา้ ง เป็นผู้นาเข้า มาแสดงและให้คนไทย ทางภาคใต้ได้มีโอกาสฝึกเล่นหนังชนิดนี้อีกด้วย ส่วนคาว่า หนังตะลุง เป็นคาที่ นามาใช้เรียกทีหลงั เพื่อให้แตกต่าง ไปจากการละเล่นหนังใหญ่ ซึง่ คาวา่ ตะลุง นั้นเกดิ เปน็ ข้อสันนิษฐาน กัน มากมาย อาทิ 1) มาจากคาวา่ หลกั ตะลุง หรอื หลักหลง หมายถึง หลกั ล่ามชา้ ง เล่ากันว่า ชาวใต้ที่อพยพเข้ามาในเมืองไทย และประกอบอาชีพ เลี้ยงช้าง ในตอนกลางคืนจะมีการก่อไฟ เพื่อไล่ยุง มีชายผู้หนึ่งเอาใบไม้ มาจับเชิดเล่นอยู่หน้ากองไฟให้เกิดเงาของใบไม้ ปากก็ร้องราทาเพลง ประกอบการเชิด ตอ่ มามผี ู้นาไปดัดแปลงโดยใช้หนงั แกะสลกั และใช้ผ้าขงึ กับ เสาตะลุง (สาหรับล่ามชา้ ง) ทาเป็นจอ จึงเรียกว่าหนังเสาตะลงุ ต่อมา ออกสาเนียงเปน็ หนังตะลุงซง่ึ ในบทไหว้ครูหนงั ตะลงุ บางแหง่ ได้ กล่าวไวด้ ังน้ี “ไหวค้ รูหนังคร้ังกระโนน้ คนโบราณ บูรพาจารยข์ องหนังคร้งั ตะลงุ ” 2) ตะลุง เปน็ คาที่ใช้เรียกอาณาจักรทางภาคใต้และชาวใต้ เชน่ ในพงศาวดารเขมรตอน สร้างนครธม ไดก้ ลา่ วไว้วา่
โครงการอาศรมศึกษาฯ |3 “...เมอื งสโุ ขทยั สง่ สว่ ยน้า เมอื งตะลงุ สง่ ส่วยผา้ ไหม เมอื งละโวส้ ง่ ส่วยปลาแหง้ ...” และยังมบี ทพระราชนพิ นธเ์ รื่องอเิ หนาในรชั กาลที่ 2 ในตอนอภิเษกอิเหนา กลา่ ววา่ “ช่องระทาหุ่นจนี จ๋วิ เล็ก ละครแขกเล็กเลก็ ใสห่ วั สงู ราตรีนม้ี ีแต่ชาวตะลงุ ชดั กนั นงุ ตามถนนแหง่ กรวดลาว” ฉะน้ันคาว่า ตะลุง อาจจะหมายถึงถิน่ กาเนิดของชาวใตก้ เ็ ปน็ ไปได้ 3) ตะลุง หรือหลุง มาจากคาเรียกพวกรักษากองช้าง ซึ่งเกดิ จากการท่ีมีนายกองมนี ายก องรักษาชา้ ง ชื่อตานุย้ ตาหนักทอง เดนิ ทางไปยะโฮรแ์ ลว้ ไดน้ าการเล่นหนงั กลบั มาเผยแพร่ 4) ตะลุง มาจากการที่หนังจากเมืองพัทลุง หรือที่เรียกกันแต่เดิม ว่าหนังควน เดิน ทางเขา้ มาเลน่ ในกรงุ เทพฯ ซง่ึ ตรงกับรัชกาลท่ี 3 ซง่ึ เรยี กกันว่าหนงั พทั ลุง ต่อมากแ็ ผลงเป็นหนังตะลง 5) มาจากพวกไทลงุ ซ่ึงอพยพจากพมา่ และได้ตง้ั ถ่นิ ฐานอยู่ทาง คใต้ของไทย และอาจจะ เป็นพวกแรกที่ไดน้ าการเลน่ หนังมาแสดง จงึ เรยี กกันวา่ หนังของไทยลุง จากขอ้ สันนิษฐานของคาวา่ ตะลุงท่ีน่าจะใกล้ความเป็นจริงมาก ที่สุด ก็คือ การเดินทางของหนัง จากเมอื งพัทลุงท่ีเข้ามาแสดงในเมอื งหลวง เป็นครัง้ แรกในรชั กาลท่ี 3 ซ่งึ กอ่ นหน้านใ้ี นรัชกาลท่ี 2 ทรงพระ กรุณา โปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งคณะแสดงหนังตะลุง โดยเชิญครูหนังตะลุง มาจากพัทลุงเพื่อให้มา ถา่ ยทอดวชิ าให้คณะหนงั ในเมืองหลวง แรกเริม่ ยัง คงเรียกกันวา่ หนงั พทั ลุง แตเ่ มอ่ื เพีย้ นไปเปน็ หนงั ตะลุง ก็ไดร้ ับการ ยอมรับโดยแพร่หลาย ในรัชกาลที่ 5 ชาวบา้ นควนมะพร้าว จังหวัดพัทลงุ ได้นาหนงั มา แสดงถวาย พระองค์ตรสั ถามว่า มาจากไหน ทรงได้รับคากราบบังคมทูล ว่าหนังลุง ซ่ึงก็หมายถึงหนังจากพัทลุงน่ันเอง จากข้อสันนิษฐาน จากท่านผู้รู้ทั้งหลายนี้ พอจะสรุปได้ถึงแหล่ง ที่มาของหนังตะลุง ซึ่งปัจจุบันนี้การเล่นหนังตะลุงก็ได้ กลายเป็นสมบตั ิ การแสดงของประชาชนทางภาคใต้ไปแลว้ และหลายคนยงั คงเรียก หนงั ตะลงุ ว่าหนังควน อยู่อย่างเดมิ แตใ่ นความหมายแลว้ กค็ อื หนงั ตะลุง ธนิต อยู่โพธ์ิ (2522: น. 1-2) ได้กล่าวถึงความเปน็ มาของหนังตะลุงว่า มหรสพพื้นบ้านท่ีขึ้นหน้า ขนึ้ ตาของชาวไทยสมัยโบราณอกี อยา่ งหนึ่งคอื หนัง ซึง่ เรยี กกนั ภายหลังวา่ หนังใหญ่ เพราะมหี นังตะลงุ ซ่ึง เป็นหนังตัวเล็กเกิดข้ึนอีกอย่างหนึ่ง จงึ ได้เติมคาเรียกใหแ้ ตกต่างกันออกไป?ซ่ึงถ้าตีความนี้กแ็ สดงวา่ หนัง ตะลุง น่าจะเกิดขึ้นหลังหนังใหญ่ของภาคกลา แต่เม่ือพิจารณาผลการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการคน อื่น ๆ เข้าประกอบแล้วจะเห็นว่ายังไม่อาจถือเป็นข้อยุติได้นักว่าหนังตะลุงเกิดขึ้น หลังหนังใหญ่ ทั้งนี้ เพราะคาว่า หนังตะลุง เป็นคาที่เรียกกันในเวลาต่อมา ในสมัยก่อนชาวภาคใต้เรียกการละเล่นแบบนี้ใน ภาคใต้ว่าหนัง หรือบางทีเรียก หนังควน จากหลักฐานเก่าแก่เกี่ยวกับหนังตะลุงท่ีบ่งชี้ว่า หนังตะลุงเป็น
4 |โครงการอาศรมศกึ ษาฯ ศิลปะการแสดงน่าจะมีต้นกาเนดิ ท่ีภูมิภาคน้ีคือท่ีจังหวดั พัทลุง จากนั้นจงึ แพราหลายไปยังจังหวัดอ่ืน ๆ ในภาคใต้ วิบูลย์ ล้ีสุวรรณ (2525: น. 180) ได้แสดงทรรศนะไว้ว่าหนังตะลุงเป็นการละเล่นที่ไทยได้รับมา จากชวา โดยกลา่ วว่า หนังตะลุงเปน็ การละเล่นของชวาท่ีมมี าก่อน ศตวรรษท่ี 11แลว้ แพร่หลายเข้สมายัง มาลายูและภาคใต้ของไทย โดยทช่ี าวมลายูหรือมาเลเซียในปจั จุบันเรียกว่า วายังกุเล็ต (ไทยใช้วายังกุลติ ) วายัง แปลว่ารูปหรือหุ่น กุเล็ต แปลว่าเปลือ หรือหนังสัตว์รูปที่ทาด้วยหนังสัตว์ และตัวหนึ่งที่เข้ามาสู่ ประเทศไทยหรือชวาก็ตามจะเห็นว่ามีรูปรา่ งลกั ษณะที่ ผดิ แปลกแตกต่างไปจากมนษุ ยธ์ รรมดา เป็นเพราะ ความเชื่อของชาวชวาน้ันไมน่ ิยมสร้างรูปคนที่เป็นท่ีเคารพนับถือ การทาตัวหนังจึงได้สร้างให้มลี ักษณะที่ ต่างไปจากคนธรรมดา ซึง่ ลกั ษณะนป้ี รากฏอย่ใู นตัวหนงั ไทยโดยเฉพาะตัวตลก นอกจากน้ี วิบลู ย์ ล้ีสุวรรณ (2525: น. 180) ยังได้สันนิษฐาน เกี่ยวกับความเป็นมาของของคาว่า หนังตะลุง ไว้ว่า เหตุที่มีผู้เรียกการ เลน่ โดยใชเ้ งาน้ีว่า หนังตะลุง เกดิ จากการเร่มิ เล่นมาจากเสาตะลุง ซึง่ เป็นเสาสาหรับผูกชา้ ง โดยท่ชี าวชวา เขา้ มาทามาหากนิ อยู่ในภาคใตข้ องไทยและยดึ อาชีพเล้ียงช้าง รบั จ้างทางาน เม่อื ถึงกลางคืนก็ก่อไฟข้นึ กัน ยุงกันหนาวและไดม้ ผี ู้หน่งึ เอาเลบ็ จิกเจาะ ใบไม้ข้นึ เป็นรปู ต่าง ๆ และจับใบไม้นั้นเชิดเลน่ อยู่หนา้ กองไฟให้ เงาของใบไม้ทเ่ี ป็นรปู ต่าง ๆ ไปปรากฏใกล้ ๆ ปากก็รอ้ งเปน็ ทานองประกอบไปตามการเชดิ ใบไม้ และจาก แนวความคิดนี้ได้วิวัฒนาการจากการแกะใบไม้ซึ่งไม่ถาวรมาเป็นการแกะ ด้วยหนังสัตว์ ส่วนการเชิด แทนที่จะเชิดให้เงาไปปรากฏที่อ่ืน ๆ ซึ่งอาจจะเห็นได้ไม่ชัดเจน ก็เปลี่ยนมาเป็นการใช้ผ้าขึงเข้ากับเสา ตะลุง และอาจจะโดยเหตุน้ีเองจึงเรียกการเล่นชนิดน้ีว่าหนังเสาตะลุง และเมื่อเวลาผา่ นไปจึงเหลือเรียก เพียง หนังตะลุงตามสาเนียงสั้น ๆ ของภาพื้นเมือง หนังตะลุงที่เล่นกันตั้งแต่เดิมไม่ได้เรียกว่าหนังตะลุง อยา่ งเชน่ ทุกวนั น้ี หากแตเ่ รียกกนั วา่ หนัง หรือบางทีเรียกวา่ หนังควน เพง่ิ มาเปลี่ยนเรียกหนังตะลุงกันใน สมยั รัชกาลที่ 3 ตอนทหี่ นังเข้ามาเล่นในกรงุ เทพฯ และหนงั สมัยน้ันเป็นหนังของคนพทั ลุง เม่ือเขา้ มาเล่น ในกรงุ เทพฯ ก็อาจจะเรียกเพี้ยนไปจาก พัทลงุ มาเป็น ตะลงุ กเ็ ปน็ ได้ หนังตะลงุ หรอื การแสดงหนังเงาเปน็ มีปรากฏอยู่ในประเทศต่าง ๆ เช่น อียิปต์ กรีก โรมัน จีนและอินเดีย สาหรับอินเดีย เร่ิมมีการแสดงหนัง หลงั พุทธกาลเล็กน้อย ในประเทศแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ก็อาจจะไดร้ ับอิทธิพลการแสดงหนังตะลุง มาจากอนิ เดยี ก็ได้เน่อื งจากการเข้ามาซ่ึงการขยายอานาจทางวัฒนธรรม ศาสนา การค้าขายเปน็ ต้น อุดม หนูทอง (2524: ไม่มีเลขหน้า) ได้กล่าวถึงประวัติหนังตะลุงสรุปได้ว่า ในบทพากย์ฤๅษีและ บทพากย์พระอิศวรของหนังตะลุงได้เอ่ยอ้างเอาฤๅษีชื่อ “พระอุณรุทไชยเถร” เป็นอาจารยข์ องหนัง การ ออกฤๅษีของหนังตะลุงนอกจากเพื่อปัดเป่าเสนียดจัญไรแลว้ ยังเพื่อระลึกถึง “บรมราชอาจารย์” ผู้น้ี ซึ่ง พิจารณาดูแล้วน่าจะเป็นฤๅษีในลัทธิฮินดู นอกจากนี้บทพากย์ทั้ง 2 บทนี้ ยงั ขน้ึ ตน้ ดว้ ยคาวา่ “โอม” อัน เปน็ คาที่เชื่อถือวา่ ศกั ดิ์สทิ ธิ์ เพราะใช้แทนพระนามของเทพเจ้าทง้ั 3 พระองค์ ในลัทธิดงั กลา่ ว คือ คาน้ีมา จาก อ+อุ+ม
โครงการอาศรมศกึ ษาฯ |5 อ หมายถึง พระวิษณุ หมายถึง พระอิศวร และ ม หมายถึง พระพรหม ท้งั ในรายละเอียดของบท พากย์ก็ได้เอย่ อา้ งพระนามเทพเจา้ ทง้ั 3 องค์ อยา่ งแจ่มชดั ดงั นัน้ เดิมทหี นังตะลุงจึงน่าจะเกีย่ วข้องกบั พวก ของพราหมณ์ ซึ่งเป็นพวกที่นับถือฮินดูลัทธิไศวนิกาย คือ บูชาพระอิศวรเป็นใหญ่ ซึ่งลัทธินี้ถ้าดูจาก หลักฐานทางโบราณคดีทพี่ บในภาคใต้ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ในบรเิ วณจังหวดั นครศรธี รรมราช พทั ลงุ และสุ ราษฎรธ์ านี แลว้ นา่ จะตกอยปู่ ระมาณพุทธศตวรรษที่ 13 แตก่ ม็ ิไดห้ มายความวา่ หนังตะลงุ จะเข้ามาพร้อม กับลทั ธินี้ อาจเป็นชว่ งหลังก็ได้ แต่คงไม่เลยพุทธศตวรรษท่ี 17 เพราะตามตานานทไ่ี ด้จากการบอกเล่าซึ่ง นายหนังตะลุงรนุ่ เกา่ ถา่ ยทอดไวเ้ ป็นบทไหวค้ รูหนัง ต่างกก็ ล่าวเป็นเสียงเดียวกันวา่ หนังมมี าแตค่ รงั้ ศรีวิชัย แต่ช้นั แรกรูปแบบการเล่นแบบใดไม่ทราบได้เทา่ ท่ที ราบกเ็ มอ่ื ต้นรัตนโกสินทรด์ ังความเล่าต่อ ๆ กันว่าเดิม หนังเล่นบนพื้นดนิ ในลานเตยี นโล่งแจ้งไม่ยกโรงขึงจออย่างทุกวนั นี้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืนหนงั ที่เล่น กลางคืนจะใช้วิธีสุมไฟหรือใช้ไต้ขนาดใหญ่ท่ีเรยี กวา่ “ไตห้ น้าช้า” สาหรับใหแ้ สงสวา่ รูปหนังแกะด้วยหนัง ววั หนังควายขนาดรูปใหญ่สูงแค่อกไม่ใช่ไมต้ ับคีบตัวหนังสาหรับเชดิ แตจ่ ะใช้เชือกรอ้ ยตรงส่วนหวั ของตัว หนงั สาหรับจบั ถือรูปตวั หน่ึงเวลาออกเชิดจะใช้คนถือออกเชดิ เต้นคนหนึ่งการเลน่ หนังแบบนีเ้ รยี กว่า “รา หนงั ” แม้บางถน่ิ ปจั จบุ นั กย็ งั เรียกเชน่ นนั้ ทง้ั ๆท่ีหนังเลกิ เต้นเชิดกันแล้ว การเล่นหนังลักษณะดังกล่าวออก จะยงุ่ ยากไมน่ ้อยเพราะต้องใช้คนมากตวั หนังกม็ ากและหนกั จนถึงขนาดไปเล่นต้องใส่เกวยี นชักลาก ตอ่ มา หนงั แขกหรือหนังชวาเขา้ มาเล่นในภาคใต้หนงั แขกนนั้ เป็นหนงั ตัวเล็กเล่นบนโรงไมล่ าบากยุ่งยากเหมอื นที่ เคยเลน่ กนั มษจึงมผี ้คู ิดเอาอยา่ งประยกุ ตป์ ระสมประสานเข้ากบั หนงั แบบเดิมโดยปลูกโรงยกพื้นสงู ใชเ้ สา 4 เสาหลังคาแบบเพิงหมาแหงนใช้ผ้าขาวเป็นจอสาหรับเชิดรูปผู้ดูก็ดูเพียงเงาของรูปซึ่งเกิดจากไฟส่อง ดา้ นหลงั และฟังคาพากยไ์ ม่ตอ้ งดูลลี าของผู้เชิดคนเชิดก็ลดลงเหลอื 2 คนนง่ั คนละขา้ งของจอเรยี กวา่ “หัว หยวก-ปลายหยวก” สาหรับท่ีขบั รอ้ งกลอนเชิดรปู พระนางและรูปตวั สาคญั คนหนึ่ง กับเชดิ รปู กากตวั ตลก พร้อมแสดงมุขตลกอีกคนหนึ่งถ้ามากกว่าน้ีก็อาจมีคน “ชักรูป” อีกคนหนึ่งแยกออกไปจากนายหนังก็ได้ ตามตานานหนังตะลงุ ระบวุ ่าผเู้ ป็นต้นคิดหนงั แบบนี้ก็คอื นายนยุ้ หรือนายหนยุ้ บุคคลผ้นู บ้ี ้างวา่ เปน็ ชาวบา้ น ควนมะพร้าวอาเภอเมืองพัทลุงบา้ งวา่ เปน็ ชาวดอนควนอาเภอเขาชยั สนจังหวัดพัทลุงหนังท่ีคิดขึ้นจึงไดช้ ื่อ ว่า”หนังควน”ตามถิ่นกาเนิโแต่บางท่านกล่าวว่าที่เรียกว่าหนังควนเพราะสถานที่เล่นต้องเลือกที่เนินซึ่ง ภาคใตเ้ รียกวา่ ”ควน”อยา่ งไรก็ตามชื่อนใี้ ชเ้ รียกหนังภาคใต้มาก่อนจะมีคาว่า “หนงั ตะลุง” ใช้ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ (2508: น. 99) ได้ทรงบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า พวก ชาวบ้านควน (มะ) พร้าว แขวงจังหวัดพัทลงุ คดิ เอาอย่างหนงั แจก (ชวา) มาเลน่ เปน็ เรือ่ งไทยข้ึนกอ่ น แล้วจึงแพร่หลายไปที่อื่น ในมณฑลนั้นเรียกว่า หนังควน เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (ว บุนนาค) พาเข้า กรงุ เทพฯ ไดเ้ ล่นถวายตัวท่ีบางปะอนิ เปน็ ทีแ่ รกเมอื่ ปีชวด พ.ศ. 2419 สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคใตเ้ ล่มท่ี 14, (2529: น. 8306) ได้กล่าวไวว้ า่ แม้ปัจจบุ ันหนังตะลงุ จะได้เปลี่ยนแปลงจากอดีตไปมากเพียงใดก็ตาม แต่ในส่วนของพิธีกรรมและขบนิยมหลักยังคงรักษา ของเดิมไว้ทั้งถือปฏิบัติเป็นแบบแผนเหมือนกันทุกคณะกล่าวคือ หลังจากลงโรง (โหมโรง) แล้ว หนังจะ
6 |โครงการอาศรมศกึ ษาฯ ออกฤๅษี ออกพระอศิ วร ออกรปู กาศ (หรือรปู ปรายหน้าบท) บอกเร่ืองแล้วจึงแสดงเรอ่ื ง ถา้ เป็นพธิ ีโรงครู หรอื แก้บน เรื่องที่เล่นต้องเปน็ รามเกียรต์ิ อนึ่ง ถา้ ย้อนไปประมาณ 60 ปีกอ่ น ก่อนออกฤๅษี หนังจะออก รูปลิงหัวค่า และเมื่อออกฤๅษีแล้วจะออกรูปฉะหรือรูปจับคือรูปทศกัณฐ์กับพระรามต่อสู้กัน ขนบนิยม เชน่ น้ีทาใหค้ วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งหนงั ตะลงุ กบั วฒั นธรรมอินเดียอย่างเห็นได้ชดั ย่งิ ดลู ึกเขา้ ไปถึงบทพากยก์ ็ ยง่ิ ทาใหเ้ ห็นแง่มมุ ตา่ ง ๆ มากขน้ึ 2. องคป์ ระกอบของการแสดงหนงั ตะลงุ สุธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์ (2525: ไมม่ ีเลขหนา้ ) ได้กล่าวไวว้ ่า วฒั นธรรมภาคใตท้ ่มี ีฤๅษเี ก่ียวขอ้ งอยดู่ ้วย ค่อนข้างเด่นชัด ได้แก่ วัฒนธรรมพ้ืนบ้าน 4 สาขาคอื วรรณกรรมท้องถ่ิน นิทานพื้นเมือง จิตรกรรมและ ประตมิ ากรรมและการละเล่นพนื้ เมือง 2.1 ดนตรีหนังตะลุง อุดม หนูทอง (2524: ไม่มีเลขหน้า) ได้กล่าวถึงดนตรีหนงั ตะลุงไวว้ ่า ดนตรีหนงั ตะลุงเปน็ ดนตรพี น้ื เมอื งภาคใต้มเี อกลักษณ์ประการหนง่ึ คอื เปน็ ดนตรีที่ใชป้ ระกอบการละเล่นเปน็ พื้น การบรรเลง ดนตรีล้วนมีเฉพาะกาหลอ ซึ่งเป็นดนตรีประโคมในงานศพ ดนตรีหนังตะลุงแต่โบราณ มีความเรียบง่าย โดยเนน้ เคร่ืองกากบั จังหวะคือ ทับ โหมง่ กลอง และฉิ่ง คร้ันต่อมาเมื่อติดตอ่ กับวัฒนธรรมภายนอก และ ไดพ้ ัฒนาวัฒนธรรมทางดนตรีขน้ึ อกี ลาดบั หนึ่ง จึงค่อยรบั และเพิ่มเครื่องดนตรีใหม่ ๆ เข้ามาเสริม เชน่ ป่ี ซอ ขลุ่ย จะเข้ เบส กีตาร์ ออร์แกน กลองชุด เป็นต้น ปัจจุบันน้ีเครื่องดนตรีหนังตะลุงจึงค่อนข้างจ ะมี ความซับซ้อน ขณะเดียวกันเพลงและท่วงทานองการบรรเลงก็ค่อยเพิ่มความพิสดารข้ึน โดยวิวัฒนาการ ควบค่ไู ปกบั พัฒนาของดนตรสี ากลและดนตรีไทยของภาคกลาง องค์ประกอบของดนตรีหนงั ตะลงุ 1) ทับ เป็นเครื่องกากับจังหวะและทานองที่สาคัญที่สุด ผู้บรรเลงดนตรีชิ้นน้ี จะต้องคอยฟงั จงั หวะและทานองของทับไว้เสมอ ถ้าทบั บรรเลงทานองโค จังหวะชา้ เรว็ อย่างไร ดนตรีอ่ืน ต้องบรรเลงตามทั้งส้ิน ทบั จึงเป็นหัวใจของดนตรีหนังตะลุงที่ขาดไม่ได้ ทับหนงั ตะลุงมี 2 ใบ มีขนาดเล็ก และปอ้ มกวา่ ทบั โนรา ใบหนึ่งมเี สยี งเลก็ แหลม อกี ใบหน่ึงเสยี งทุ้ม ทับใบเสยี งเล็กแหลมเรยี ก “หนว่ ยฉบั ” และใบเสียงทุ้มเรียก “หน่วยเทงิ ” ทบั หน่วยฉับมีความสาคัญมาก เพราะเป็นตัวยืนส่วนหนว่ ยเทิงเป็นตัว เสริม โดยท่ัวไปทบั นิยมทาด้วยไม้ขนนุ เพราะมีความแข็งเหนียวและมีลายไม้สวยงามหุ้มดว้ ยหนังค่างและ รอ้ ยตรงึ หนังด้วยหวาย กอ่ นใช้ทับทุกครง้ั มอื ทบั ต้องลองตฟี ังเสียงดุก่อนว่า มีความไพเราะแคไ่ หน เพราะ โดยปกติ ทับเมื่อตั้งไว้เฉยๆ หนังจะหย่อน เวลาตี เสียงจะไม่แหลมหรือทุ้มตามต้องการ แต่จะมีลักษณะ เครือ ๆ พรา่ ๆ ต้องใช้น้าชบุ (หนัง) หน้าทับ หรือใสน่ ้าลงไปขา้ งใน เขย่าพอเปยี กชุ่มแล้วเทออก หรอื ไม่ก็
โครงการอาศรมศึกษาฯ |7 ใช้สันมือรีดหนังตรงส่วนแก้มทับ ให้ดึง เมื่อได้ระดับเสียงตามต้องการ ก็นาทับท้ัง 2 ใบ มาผูกไขว้ให้พัน หน้าทับไปคนละดา้ น เม่ือนายหนงั ทาพิธีเบิกโรง จะเสกหมากซัดทับ ดว้ ยเชอื่ สบื ต่อกันมาว่า จะทาใหท้ ับ เสียงดี มีเสน่ห์ชวนฟัง และป้องกันมิให้หนังคู่ประชันใช้ไสยเวททาให้ทับหย่อนใช้ไม่ได้ จากนั้นจึงใช้ทับ บรรเลงในการแสดงหนงั ตะลุงได้ 2) โหม่ง เป็นเคร่ืองกากับจังหวะ ทานองประกอบเสียงขับบทของนายหนัง ให้ เกิดความไพเราะชวนฟัง โหม่งหนังตะลุงมี 2 ใบ ประกอบโดยร้อยเชือกหรือหนังแขวนไว้ในรางไม้ซึ่ง เรียกว่า “รางโหม่ง” ใบทใ่ี ชต้ ีเป็นหลักจะมีเสยี งแหลม เรียก “หน่วยโหม่ง” หรือ “หน่วยจ้ี” อีกใบหนึ่งใช้ ตปี ระกอบมเี สียงทมุ้ เรยี ก “หนว่ ยทุ้ม” โหมง่ มี 2 ชนิดคอื โหมง่ รางกบั โหมง่ หล่อ โหม่งราง ทาดว้ ยเหลก็ ทุบ ให้เป็นแผน่ โดยอดั ส่วนกลางใหเ้ ป็นปุ่มสาหรับตี ใช้กนั ในสมยั ก่อน สว่ นโหมง่ หล่อ จะหล่อด้วยทองเหลือง นิยมใช้กันประมาณ 50 ปีท่ีล่วงมาจนปัจจุบันนี้ การเลือกโหม่งสาหรับนายหนังแต่ละคน ต้องให้โหม่ง หนว่ ยจี้มีระดบั เสียงเสมอกบั เสยี งของนายหนงั เม่ือขนึ้ เสียงไดส้ งู ทีส่ ุด และต้องเลอื กโหมง่ ทีม่ ีใยเสยี งดี คอื ตี แลว้ เสยี งไมข่ าดห้วน โดยปกตโิ หม่งที่หลอ่ ขึ้นใหม่ ระดับเสียงและใยเสียงจะไม่เสมอ และกลมกลนื กบั เสยี ง ของนายหนงั ทีเดยี ว จึงต้องใชช้ ันพอกดา้ นในหรอื ไม่กม็ ีการขูดตกแต่งเพิม่ เตมิ จนพอดีกับเสียงของนายหนงั จงึ จะถอื วา่ ใชไ้ ด้ 3) ฉิง่ ใช้ตีเข้าจังหวะกับโหมง่ คนตีโหม่งทาหนา้ ทีต่ ีฉ่ิงไปด้วย กรบั เด๋ียวน้ไี มต่ ้อง ใชน้ าฝาฉง่ิ กระแทกกบั รางโหมง่ แทนเสยี งกรบั ได้ 4) ปี่ หนังตะลุงใช้ปี่นอกบรรเลงเพลงต่าง ๆ เป็นหลักมาตั้งแต่สมับโบราณ ปัจจบุ ันแมจ้ ะมดี นตรีอน่ื ๆ ใช้เพิ่มขึ้น เช่น ออร์แกน จะเข้ กีตาร์ เบส ขลุ่ย แต่ก็ยังตอ้ งอาศยั ปี่เปน็ พื้นอยู่ ดนตรที เ่ี พมิ่ ขนึ้ เปน็ เพยี งเครอื่ งประกอบเฉพาะบางช่วงบางตอนเทา่ น้ัน 5) ซอ ส่วนใหญ่นิยมใช้ซออู้หรือวอดว้ งประกอบกับปี่ เพราะทาให้เสียงเพลงท่ี บรรเลงไม่เล็กแหลมโดยตลอด แต่จะมีเสยี งทุ้ม กังวานจากซออู้สอดแทรกอยู่เป็นจังหวะ หนังตะลุงคณะ หนง่ึ ๆ จะใช้ซอ 1 - 2 คนั 6) กลอง เป็นกลองขนาดเล็ก มีหนังหุ้มสองข้าง หน้ากลองเส้นผ่านศูนย์กลาง กว้างประมาณ 8 – 10 นิ้ว หวั -ท้ายเล็กกว่าตรงกลางเล็กน้อย กลองมีความยาวประมาณ 10 - 20 นิ้ว ใช้ ไมต้ ี 2 อนั สารานกุ รมวัฒนธรรมไทย ภาคใตเ้ ล่มท่ี 14 (2529) ได้กลา่ วไว้ว่า เดิมหนงั ตะลุงใช้เคร่อื ง ดนตรนี อ้ ยชิ้นท่ีสาคญั มี ทับ 1 คู่ เป็นตัวคุมจงั หวะและทานอง โหม่ง 1 คู่ สาหรับประกอบเสียงร้องกลอน กลองตุก๊ 1 ลกู สาหรบั ขดั จงั หวะทับ ฉ่ิง 1 คู่ สาหรับขัดจังหวะโหม่ง และป่ี 1 เลา สาหรบั เดินทานอง แต่
8 |โครงการอาศรมศกึ ษาฯ ระยะหลงั มีดนตรีอ่นื ๆ เข้าไปประสมหรอื อาจใช้แทนดนตรีด้ังเดิม เช่นใช้กลองชุดและกลองทอมบ้าแทน กลองต๊กุ ใช้ไวโอลนิ ออร์แกน กีตาร์ เบส ซอ หรอื จะเขเ้ ข้าผสมกบั ป่ี บุษกร บิณฑสันต์ (2554) ได้กล่าวไว้ว่า เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงหนังตะลุง มี 5 อย่าง คือ กลองขนาดเล็ก 1 ลูก มีหนังหุ้ม 2ข้าง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8-10 น้ิว ใช้ไม้ตี 2 อัน ทับท่ี ทาด้วยไม้กลงึ 2 ลกู ฉ่ิง 1 คู่ โหมง่ เสยี งสูงและเสียงต่าอย่างละ 1 ลูก ป่ี 1 เลา บางคณะอาจมีซอด้วงเพ่ิม เขา้ มาอี 1 สาย ปัจจุบันหนังตะลุงนาเครอ่ื งดนตรีสากลเข้ามาผสม เช่น กลอง ออรแ์ กน กตี า้ ร์ เปน็ ต้น ทา ให้การบรรเลงดนตรกี ลายเปน็ แบบประยุกต์ 2.2 วธิ กี ารแสดง ความรู้เรื่อง\"หนังตะลุง\" อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ อาจารย์พ่วง บุษรารัตน์ (2541: ไม่มีเลขหน้า) ได้กล่าวถึงวิธีการแสดงไว้เป้นขั้นตอนว่า หนังตะลุงทุกคณะมีลาดับขั้นตอนในการ แสดงเหมอื นกันจนถอื เป็นธรรมเนยี มนิยม ดงั น้ี 1) ต้งั เครอื่ ง 2) แตกแผง หรอื แก้แผง 3) เบกิ โรง 4) ลงโรง 5) ออกลิงหัวค่า เป็นธรรมเนยี มของหนังในอดตี ลงิ ดาเป็นสัญลักษณ์ของอธรรม ลงขาว เปน็ สัญลักษณ์ของธรรมะ เกิดสู้รบกัน ฝา่ ยธรรมะกม็ ีชัยชนะแกฝ่ ่ายอธรรม ออกลิงหัวค่ายกเลกิ ไปไม่น้อย กว่า 70 ปีแล้ว ช่วงชีวิตของผู้เขียนไม่เคยเห็นลิงดาลิงขาวที่สู้รบกันเลย เพียงได้รับการบ อกเล่าจาก ผ้สู งู อายุ 90 ปีข้ึนไป 6) ออกฤๅษี หรือ ชักฤๅษี ฤๅษี เปน็ รปู ครู มีความขลังและศกั ดส์ิ ิทธ์ิสามารถปอ้ งปดั เสนียด จญั ไร และ ภยันตรายท้ังปวง ทัง้ ช่วยดลบนั ดาลใหห้ นงั แสดงได้ดี เปน็ ที่ชื่นชมของคนดู รูปฤๅษีรปู แรกออก คร้ังเดยี ว นอกจากประกอบพิธีตัดเหมรยเท่าน้ัน 7) ออกรูปพระอิศวร หรอื รูปโค รูปพระอิศวรของหนังตะลงุ ถือเปน็ รูปศักด์ิสทิ ธิ์ และเปน็ เทพเจา้ แห่งความบนั เทิง ทรงโคอุสุภราชหรือนนทิ หนงั เรียกรปู พระอิศวรวา่ รปู พระโคหรือรปู โค หนงั คณะ ใดสามารถเลือกหนังววั ทม่ี ีเทา้ ทง้ั 4 สีขาว โหนกสขี าว หน้าผากรปู ใบโพธ์สิ ขี าว ขนหางสีขาว วัวประเภทน้ี หายากมาก ถือเป็นมิ่งมงคล ตาราภาคใต้ เรียกว่า \"ตีนด่าง หางดอก หนอกพาดผ้า หน้าใบโพธ์ิ\" โคอุสุภ ราชสเี ผอื กแต่ชา่ งแกะรปู ให้ววั เปน็ สดี านลิ เจาะจงใหส้ ตี ดั กบั สีรปู พระอิศวร ตามลัทธิพราหมณ์พระอศิ วรมี 4 พระกร ถือตรีศูล ธนู คฑา และ บาศ พระอิศวรรูปหนังตะลุงมีเพียง 2 กร ถือจักร และ พระขรรค์ เพอื่ ให้รปู กะทดั รดั สวยงาม
โครงการอาศรมศึกษาฯ |9 8) ออกรปู ฉะ หรือรูปจับ \"ฉะ\" หมายถงึ การสู้รบระหวา่ งพระรามกับทศกัณฐ์ ยกเลกิ ไป พร้อม ๆ กับลงิ หัวคา่ 9) ออกรูปรายหน้าบทหรือรูปกาศปราย หมายถึง อภิปราย กาศ หมายถึง ประกาศ เสมือนเป็นตัวแทนนายหนังตะลงุ เป็นรปู ชายหน่มุ แต่งกายโอรสเจา้ เมือง มือหน้าเคล่อื นไหวได้ มือทาเป็น พิเศษให้น้ิวมือทั้ง 4 อ้าออกจากนิ้วหวั แมม่ อื ได้ อีกมือหนึ่งงอเกอื บต้งั ฉาก ติดกบั ลาตวั ถือดอกบัว หรือช่อ ดอกไม้ หรือธง 10) ออกรูปบอกเรื่อง รูปบอกเรื่องคือรูปบอกคนดูให้ทราบว่า ในคืนนี้หนังแสดงเรื่อง อะไร สมยั ที่หนังแสดงเร่ืองรามเกียรต์ิเพียงเร่ืองเดียว ก็ต้องบอกให้ผู้ดูทราบวา่ แสดงเรื่องรามเกียรต์ิตอน ใด บอกคณะบอกเคา้ เรอ่ื งย่อ ๆ เพื่อใหผ้ ู้ดูสนใจติดตามดู หนังท่ัวไปนิยมใช้รปู นายขวญั เมอื งบอกเร่อื ง 11) ขบั รอ้ งบทเกย๊ี วจอ 12) ตงั้ นามเมืองหรอื ตัง้ เมือง เร่ิมแสดงเปน็ เรอ่ื งราว หนังตะลุง: อัจฉริยะลักษณ์การละเล่นแห่งเมืองใต้ (2544: ไม่มีเลขหน้า) หนังตะลุงทุกคณะยึด ขนบในการเล่นแบบเดียวกัน ดังนี้ 1) ตั้งเครื่องเบิกโรงท เป็นการทาพิธีเอาฤกษ์ รูปคู่บรรเลงเพลงเชิด ชั้นนี้เรียกว่า “ตั้ง เคร่ือง” จากนั้นนายแผงจะแกร้ ูปออกจัดปักวางรูปให้เป็นระเบียบ ฝ่ายนายหนังจะทาพธิ ีเบกิ โรง โดยเอา เครื่องเบิกโรงที่เจ้าภาพจัดให้คือถ้าเปน็ งานท่ัว ๆ ไปใช้หมากพลู 9 คา เทยี น 1 เล่ม ถ้าเป็นงานอัปมงคล เพ่มิ เส่ือ 1 ผนื ผืน หมอน 1 ใ หม้อน้ามนต์ 1 ใบ ถ้าเปน็ งานแกบ้ นใชเ้ ทยี น 9 เล่ม และเพ่ิมดอกไม้ ขา้ วสาร และด้ายดิบ และทุกงานต้องมีเงินค่าเบิกโรงจานวนหน่ึง แล้วแต่หนังจะกาหนด เชน่ 3 บาทบ้าง 12 บาท บา้ งมาวางไวห้ นา้ หยวก รอ้ งชุมนมุ ครเู สรจ็ แลว้ เอารูปฤๅษี รูปปรายหนา้ บท รูปเจ้าเมอื ง ปกั หยวกร้องเชญิ ครหู มอหนงั ให้มาคุ้มครอง ขอที่ตัง้ โรงจากพระภูมิและนางธรณีแล้วเสกหมาก 3 คา ซัดทับ 1 คา เหน็บไว้ ที่ตะเกยี งหรอื ดวงไฟ 1 คา และเหนบ็ ไว้บนหลงั คาโรงเหนือศรี ษะ1คา เปน็ การกันเสนียดจัญไร จบแลว้ ลูก ค่บู รรเลงเพลงโหมโรง 2) โหมโรงการโหมโรงเป็นการบรรเลงดนตรีล้วน เพื่อเรียกคนดู และให้นายหนังได้ เตรียมพร้อมการบรรเลงเพลงโหมโรงเดิมทีเล่ากันว่าใช้ “เพลงทับ” คือใช้ทับเป็นตัวยืนและเดินจังหวะ ทานองตา่ ง ๆ กันไป ดนตรีช้ินอืน่ ๆ บรรเลงตามทบั ทั้งสน้ิ เพลงท่ีบรรเลงมี 12 เพลง คอื เพลงเดนิ เพลง ถอยหลัยเข้าคลอง เพลงปักษ์เพลงสามหมู่ เพลงนาดกรายเข้าวัว เพลงนางเดินป่า เพลงสรงน้า เพลงเจ้า เมอื งออกสง่ั ราชการ เพลงชมุ พล เพลงยกพล เพลงยกั ษจ์ บั สตั ว์ และเพลงกลบั วงั ครนั้ ภายหลงั หันมานยิ ม โหมโรงดว้ ยเพลงปี่ คือใช้ปเ่ี ดนิ ทานองเปน็ หลกั เพลงทใ่ี ชเ้ ปน็ เพลงไทยเดมิ ถา้ บรรเลงใหส้ มบรู ณ์ตอ้ งใหไ้ ด้ 12 เพลง ได้แก่ เพลงพดั ชา เพลงลาวสมเด็จ เพลงเขมรป่แี ก้ว เพลงเขมรปากทอ่ เพลงจนี แส เพลงลาวดวง
10 |โครงการอาศรมศกึ ษาฯ เดอื น เพลงชายคลัง่ เพลงสดุ สงวน เพลงนางครวญ เพลงสะบดั สะบ้ิง เพลงเขมรพวง และเพลงชะนีร้องไห้ หนงั บางคณะก็เลน่ ต่างไปจากน้ีบ้าง แต่ตอ้ งครบ 12 เพลง สาหรับปัจจุบันการโหมโรงนิยมเร่ิมดว้ ยเพลงปี่ โดยบรรเลงเพลงพัดชา ซ่ึงถอื วา่ เป็นเพลงครู ครั้นจบแลว้ กม็ ักเลน่ เพลงลกู ทุ่งกันเป็นพืน้ 3) ออกลิงหัวค่า เปน็ ธรรมเนยี มการเล่นหนังตะลุงสมัยก่อน ปัจจุบันเลิกเล่นแล้ว เขา้ ใจ วา่ ได้รบั อทิ ธิพลจากหนงั ใหญ่ เพราะรูปที่ใชเ้ ชดิ ส่วนใหญ่เป็นรปู จับ มฤี ๅษีอยู่กลาง ลิงขาวกับลิงดาอยคู่ น ละข้าง แต่รปู ทีแ่ ยกเป็นรปู เด่ียว ๆ 3 รปู แบบเดยี วกับของหนังตะลงุ ก็มี 4) ออกฤๅษี เป็นการเล่นเพื่อคารวะครู (ดังกล่าวตอนต้นว่าหนังเริ่มขึ้นโดยพวกฤๅษีใน ลัทธิฮินดู) และปดั เป่าเสนียดจัญไร โดยขออานาจจากพระพรหม พระอศิ วร พระนารายณ์และเทวะอ่นื ๆ และบางหนงั ยงั ขออานาจจากพระรัตนตรัยด้วย ฤๅษี เป็นรปู ครู มีความขลังและศักด์ิสทิ ธิ์สามารถป้องปัด เสนียดจญั ไร และ ภยันตรายท้ังปวง ทั้งช่วยดลบันดาลให้หนังแสดงได้ดี เป็นท่ีชื่นชมของคนดู รปู ฤๅษีรูป แรกออกครั้งเดยี ว นอกจากประกอบพธิ ตี ดั เหมรยเท่านั้น 5) ออกรปู พระอศิ วร หรือรปู โค รูปพระอศิ วรของหนงั ตะลงุ ถือเปน็ รูปศักดิส์ ทิ ธ์ิ และเป็น เทพเจ้าแหง่ ความบนั เทิง ทรงโคอสุ ภุ ราชหรอื นนทิ หนังเรียกรูปพระอิศวรวา่ รปู พระโคหรอื รปู โค หนงั คณะ ใดสามารถเลือกหนงั วัวทม่ี เี ทา้ ท้งั 4 สขี าว โหนกสขี าว หน้าผากรูปใบโพธ์สิ ขี าว ขนหางสขี าว ววั ประเภทน้ี หายากมาก ถือเป็นมิ่งมงคล ตาราภาคใต้ เรียกว่า \"ตีนด่าง หางดอก หนอกพาดผ้า หน้าใบโพธ์ิ\" โคอุสุภ ราชสเี ผอื กแต่ช่างแกะรูปให้ววั เป็นสีดานลิ เจาะจงใหส้ ีตดั กับสีรูปพระอิศวรามลทั ธพิ ราหมณ์พระอิศวรมี 4 พระกร ถือตรีศูล ธนู คฑา และ บาศ พระอิศวรรปู หนังตะลุงมีเพยี ง 2 กร ถือจักร และ พระขรรค์ เพอ่ื ให้ รูปกะทัดรัดสวยงามออกรูปฉะหรือรูปจับ คาว่า “ฉะ” คือสู้รบ ออกรูปฉะ เป็นการออกรูปพระรามกับ ทศกณั ฐ์ให้ต่อสกู้ ัน วิธเี ลน่ ใช้ทานองพากย์คล้ายหนงั ใหญ่การเลน่ ชดุ นห้ี นังตะลุงเลกิ เล่น ไปพร้อม ๆ กับลงิ หัวค่าไปนานแล้ว 6) ออกรปู ปรายหน้าบทรูปปรายหนา้ บทเปน็ รปู ผู้ชายถอื ดอกบวั บ้าง ธงชาติบ้า ถือเป็น ตัวแทนของนายหนัง เป็นรูปชายหนุ่มแตง่ กายโอรสเจ้าเมือง มือหน้าเคลื่อนไหวได้ มือทาเป็นพิเศษให้นิ้ว มือทง้ั 4 อา้ ออกจากน้ิวหวั แมม่ ือได้ อีกมือหน่ึงงอเกือบต้ังฉาก ตดิ กบั ลาตวั ถือดอกบวั หรือช่อดอกไม้ หรือ ธง ใช้เล่นเพ่ือไหวค้ รู ไหว้ส่ิงศักดิ์สิทธิ์และผู้ที่หนังเคารพนับถือทั้งหมด ตลอดทั้งใช้ร้องกลอนปรารภฝาก เนื้อฝากตัวกบั ผชู้ ม 7) ออกรปู บอกเร่ือง รูปบอกเรือ่ งเปน็ รปู ตลกบอกคนดูใหท้ ราบว่า ในคนื น้ีหนังแสดงเรอื่ ง อะไร หนังส่วนใหญ่ใช้รูปขวัญเมือง เล่นเพ่ือเป็นตัวแทนของนายหนัง ไม่มีการร้องกลอน มีแต่พูดสมัยท่ี หนงั แสดงเรื่องรามเกียรติ์เพยี งเร่ืองเดียว ก็ต้องบอกให้ผู้ดูทราบว่าแสดงเร่อื งรามเกียรต์ติ อนใด บอกคณะ บอกเค้าเร่ืองยอ่ ๆ เพ่อื ใหผ้ ดู้ ูสนใจตดิ ตามดู
โครงการอาศรมศกึ ษาฯ |11 8) เกี้ยวจอ เปน็ การร้องกลอนส้ัน ๆ ก่อนต้ังนามเมืองเพ่ือให้เป็นคติสอนใจแก่ผู้ชมหรือ เป็นกลอนพรรณนาธรรมชาตแิ ละความในใจกลอนทร่ี ้องนห้ี นงั จะแต่งไวก้ ่อนและถือวา่ มคี วามคมคาย 9) ตั้งนามเมือง หรือตั้งเมือง เป็นการออกรูปกษัตริย์โดยสมมุติขึ้นเป็นเมือง ๆ หนึ่ง จากนัน้ จึงดาเนินเหตุการณ์ไปตามเรอ่ื งทีก่ าหนดไว้ 2.3 โอกาสท่ีใช้ในการแสดง ชวน เพชรแกว้ (2548: น. 77) แต่เดมิ หนังตะลงุ เป็นการแสดงเพ่ือบูชาสิ่งศกั ด์ิสทิ ธิ์และ เทพเจ้า เนื่องจาก มกี ารแสดงเฉพาะเรื่องรามเกียรต์ิเป็นหลักจึงน่าจะเป็นเช่นเดียวกับอนิ เดีย แตเ่ ม่ือได้ แพร่หลายกว้างขวาง และกลายเป็นส่ิงบันเทิงอย่างหน่ึง ซึ่งดูเหมือนว่าในขณะที่หนังใหญ่เป็นวัฒนธรรม หลวงหรือวฒั นธรรมราชสานกั และหนังตะลุงเป็นวฒั นธรรมราษฎร์ หนงั ตะลุงจึงเก่ียวขอ้ งกับชาวบา้ นใน ทุกระดบั มายาวนานทเ่ี ห็นได้ชดั คือการกล่าวถึงการแสดงหนังของดาหลังในเรื่องดาหลงั อนั เปน็ พระราช นิพนธ์ ในรัชกาลที่ 1 แสดงให้เห็นว่าการแสดงเพื่อความบันเทิงของหนังตะลุงมีมาก่อนสมัยรัชกาลที่ 1 แล้ว และหากพิจารณาถึงในช่วงปี พ.ศ. 2435 ซึ่งมีการปรับปรุงภาษีโขนละคร เรียกว่า อากรมหรสพ ภี หนังตะลุงคืนหนึ่งเรียกเก็บ 50 สตางค์ การเรียกเก็บภาษีดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการที่ผู้แสดงมีรายได้ ค่อนข้างแน่นอน ประเด็นดังกล่าวส่ือให้เห็นว่าการแสดงหนังตะลุงมีการแสดงโดยทั่วไป โดยเฉพาะเป็น การแสดงเพ่ือความบันเทิงซึ่งการเล่นถวายที่บางปะอนิ เมื่อป่ี พ.ศ. 2419 แสดงให้เหน็ ถึงความแพร่หลาย ของหนงั ตะลงุ ในการแสดงเพื่อความบันเทิงมาก่อนอย่างชดั เจน หรอื ถ้าย้อนไปถึงสมัยรชั กาลที่ 3 ท่ีพระยา พัทลุง (เผือก)นาหนังภาคใต้เข้าไปเล่นที่กรุงเทพมหานคร ครั้งแรกแถวนางเลิ้งในปี พ.ศ. 2369 และ ยอ้ นกลบั ไปยงั ปี พ.ศ. 2425 อกี ครงั้ ท่ีเจา้ พระยาวเิ ชยี รครี ี (เมน่ ณ สงขลา) จัดทาบญั ชสี ิ่งของทีม่ ใี นเมอื งสงขลาไปยังกรงุ เทพมหานครเพือ่ จดั แสดง ในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบร้อยปี ได้ระบุ ได้ระบุไว้ว่าได้จัดส่งเครื่องหนังควน (หนังตะลุง) ประกอบด้วย ตัวหนัง ทับ ปี่ กลอง ผ้าจอ ถ้วยตะเกียง และจนในช่วงเวลาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า หนัง ตะลุงเปน็ การเลน่ เพื่อความบันเทิงย่างแท้เจริงแลว้ และเล่นหรือใช้ประโยชน์ไดใ้ นหลาย ๆ โอกาส สุธิวงศ์ พงศไ์ พบลู ย์ ได้กลา่ วถงึ โอกาสของการแสดงหนงั ตะลงุ วา่ นยิ มแสดงในงานสมโภชหรอื งานฉลองมากท่สี ุด ไม่นยิ มในงานมงคล (ปัจบุ ันไม่เคร่งครัดนัก) และงานอัปมงคล เช่น งานศสดจะไม่นยิ ม แต่ถา้ เป็นงานศพ กระดุกมนี ิยมบ้างในบางท้องถิ่น และงานท่ีมีผู้จัดและหารายได้ ซึ่งขนบดังกลา่ วน้ใี นปัจจุบนั ผอ่ นคลายลง ไปมาก คือหนังตะลุงแสดงได้เกือบทุกงาน โอกาสในการแสดงจึงมีมากข้ึนกว่าเดิม ท้ังนี้มักถือเอาการหา รายได้เปน็ สาคญั
12 |โครงการอาศรมศกึ ษาฯ สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ภาคใต้เลม่ ท่ี 14 (2529: ไมม่ ีเลขหนา้ ) ได้กล่าวไว้ว่า เดมิ หนัง ตะลุงนยิ มเลน่ ในงานสมโภชหรืองานเฉลิมฉลองต่าง ๆ สว่ นงานมงคล เช่น งานแต่งงานจะไมน่ ยิ ม ปัจจุบนั มีงานการใด ๆ ก็มักรับหนังตะลุงมาเล่นเป็นการครึกครื้น ยิ่งจะให้สนกุ เป็นพิเศษก็ต้องจัดประชันขันแข่ง กันเปน็ มหกรรมใหญ่โต สว่ นใหญม่ ักเป็นการหารายไดเ้ พื่อใชใ้ นกิจการสาธารณะ สว่ นงานศพภา้ เปน็ สพสด ไม่นิยมเพราะทุกคนกาลังโศกเศร้า แต่ถา้ เป็นศพแห้งหรือทาบุญกระดูกก้ไม่ถือเป็นเร่ืองเสียหายการเล่น หนังตะลงุ อาจเล่นเพยี งครึง่ คืนหรอื ตลอดคนื กไ็ ด้แตส่ ่วนใหญ่มกั เล่นกันจนยนั สวา่ ง โดยเร่ิมเล่นตัง้ แต่เวลา ประมาณ 2 ทมุ่ และหยดุ พกั เท่ียงคืนราว 1 ช่วั โมง หนงั ตะลงุ :อัจฉริยลักษณก์ ารละเล่นแหง่ เมืองใต้ (2544: ไม่มีเลขหนา้ ) ได้กลา่ วถึงโอกาส ที่จะแสดงหนังตะลุง คือ งานสมโภชหรืองานเฉลิมฉลอง ส่วนงานมงคลนั้นจะไม่นิยม แต่เดี๋ยวนี้คลาย ความเคร่งครัดลง สาหรับงานศพสดจะไม่นิยม เพราะ เจ้าของงานอยู่ในอารมณ์เศร้า แต่ถ้าเป็นงานศพ กระดกู มีบางท้องถ่ินท่ีนิยมกนั ในปจั จุบันนกี้ ารแสดงหนังตะลุงมกั อยู่ในรูปการจดั หารายได้เป็นสว่ นใหญ่ อาจจะหารายได้บารุงวัด หรือ ไม่ก็เปน็ ธรุ กิจการค้า การแสดงหนงั ตะลุงจะแสดงเพียงครึ่งคืน หรือตลอด คืน มักเรมิ่ แสดงในเวลาประมาณ 20.30 – 21.30 น. ถา้ แสดงตลอดคนื จะมกี ารพักตอนเที่ยงคนื ไมเ่ กิน 1 ชั่วโมง การคิดค่าจ้างขึ้นอยู่กับหนังว่ามีชื่อเสียงหรือไม่ ถ้าเป็นคณะที่มีชื่อเสียงราคาค่าจ้างอาจจะถึง 2,000 บาทตอ่ คืนกไ็ ด้ กอ่ นลงมือแสดงจะมีการโหมโรงก่อน หรือ “ลงโรง” หรือ “ตีเครือ่ ง” เพอื่ เริม่ เรียกคนดู แล้วเอารูปปักหน้าจอ อาจจะเปน็ รูปปราสาท ก่อนออกรปู หนังนายหนังจะไหว้ครูสวดมนต์คาถาคุ้มครอง ป้องกนั ตัว เสรจ็ แล้วเอารปู ปราสาทออกเอารูปฤๅษี ออกเชิด ต้งั นโม สวดบทสัคเค ชุมนุมเทวดา ตอ่ จากน้ี ก็ออกรูปลิงดาลิงขาวให้มารบกัน มาระยะหลังมักไม่ค่อยมีการออกรูปลิงดาลิงขาว แต่จะออกรูปฤๅษีมา เป็นรูปแรกเลย ฤๅษีจะออกมาห้ามปราบสั่งสอน ต่อไปจะออกรปู พระอิศวร หรอื รูปโค หลังจากนัน้ กอ็ อก รูปหนา้ บท ออกมาขบั บทไหวค้ รูอาจารย์ บิดามารดา ผูท้ ่เี คารพนับถือ ตลอดจนสิง่ ศักดิ์สทิ ธท์ิ ้งั หลายให้มา คมุ้ ครองป้องกนั ต่อจากนนั้ ก็ออกรูปตวั ตลกมาบอกเรอ่ื งทีจ่ ะแสดงในคนื นัน้ แล้วกเ็ ริม่ แสดงเรอ่ื ง โดยออก รปู เจา้ เมอื ง นางเมือง เรือ่ งท่ีแสดงถ้าเป็นในสมัยก่อนมักแสดงเรอื่ งรามเกียรต์ิ แต่ในปัจจุบันนี้ เนอื้ เรอ่ื งมัก เปน็ เรือ่ งเก่ยี วกับนิยายสมัยที่มคี รบทุกรส
โครงการอาศรมศกึ ษาฯ |13 บรรณานกุ รม ชวน เพชรแก้ว. (2523). ชีวติ ไทยปักษใ์ ต้ ชดุ ที่ 3. กรุงเทพฯ: กรุงสยาม. บุญชู ยืนยงสกุล, บรรณาธิการ. (2547). ใต้ หรอย มีลุย : บอกเล่าเรื่องราวความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม ความเปน็ อยู่ของภาคใต้. สงขลา: ธนาคารแห่งประเทศไทย. สานักงานภาคใต.้ เลขาธกิ ารสภาการศึกษา, สานกั งาน. (2549). หนังตะลุง ผดงุ ภมู ปิ ญั ญาไทย. กรุงเทพฯ: ว็อชด็อก. _______. (2558). ศิลปะการทาหนังตะลุง. สืบค้นวันท่ี 11 ธ.ค. 61, จาก http://www.thaigoodview .com/node/201774. _______. (2558).หนังตะลุง สืบค้นวันที่ 11 ธ.ค. 61, จาก https://sites.google.com/site/angkana 47013/phakh-ti/hnang-talung. _______. (2552). หนังตะลุง-ขั้นตอนในการแสดงหนังตะลุง. สืบค้นวันที่ 11 ธ.ค. 61, จาก http ://www.openbase.in.th/node/9372. _______. (2544). หนังตะลุง: อจั ฉริยลกั ษณก์ ารละเลน่ แห่งเมืองใต้. กรงุ เทพฯ: อลนี เพลส. _______. (ม.ป.ป.).หนังตะลุงเงาแห่งปัญญาใต้. สืบค้นวันที่ 11 ธ.ค. 61, จาก https://sites.google .com/site/hnangtalung1313/prawati-hnang-talung. อุดม หนูทอง. (2531). ดนตรีและการละเลน่ พื้นบา้ นภาคใต้. สงขลา: คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรี นครนิ ทรวิโรฒสงขลา.
14 |โครงการอาศรมศึกษาฯ
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: