เอกสารประกอบการสอนเพ่ิมเตมิ เร่ือง รปู แบบการแสดงนาฏศิลป์ รายวิชา นาฏศิลป์ศกึ ษา ๑ รหสั รายวิชา ศ๓๓๑๐๑ ระดับมธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ จดั ทำโดย นางสาวมลฤดี อยู่พนั ธ์ ครูชานาญการ กลุ่มสาระศลิ ปะ โรงเรียนป่าแดดวทิ ยาคม อาเภอป่าแดด จงั หวดั เชยี งราย สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต ๓๖
หน่วยท่ี ๑ รูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ (เพม่ิ เตมิ ) นาฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ หมายถึง การเคล่ือนไหวอิริยาบถต่างๆ ท้งั มือ แขน ขา ลาตวั และใบหนา้ เป็ นสื่อถ่ายทอดความหมายและ อารมณ์เพือ่ ใหผ้ ชู้ มคนดูเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ตา่ งๆ นาฏศิลป์ ไทย สามารถจาแนกประเภทการแสดงไดเ้ ป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ ๑. การแสดงที่เป็นชุดเป็นตอน ๒. การแสดงท่ีเรื่องราว ๑. การแสดงท่ีเป็ นชุดเป็ นตอน ๑.๑ รา เป็นการแสดงโดยใชม้ ือกรีดกราย ร่ายราไปตามบท ใชผ้ แู้ สดง ๑ – ๒ คน (บางคร้ังการราบางชุดใชผ้ แู้ สดง มากกวา่ ๒ คนข้ึนไป แต่กย็ งั เรียกวา่ “รา” ตามความหมายเดิมของการแสดงชุดน้นั ) รา หมายถึง การแสดงการเคล่ือนไหวคนเดียวหรือหลายคน ( ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ) รา คือ ศิลปะของการราเดี่ยว ราคู่ จะประกอบเพลงราอาวธุ ราทาบท ( อาภรณ์ มนตรีศาสตร์และ จาตุรงค์ มนตรีศาสตร์ ) ๒๕๑๗ ;๗๔ รา คือ การแสดงท่าทางลีลาของผรู้ า โดยใชม้ ือและแขนเป็นหลกั (วมิ ลศรี อุปรมยั ) ดงั น้นั รา คือ การแสดงที่ใชเ้ พยี งคนเดียว หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ ราเดี่ยว ถา้ ใชผ้ แู้ สดง ๒คน เรียกวา่ รา คู่ ใชล้ ีลาทา่ ราประกอบจงั หวะดนตรีและเพลงร้อง ความหมายของคาวา่ \"ระบา รา ฟ้อน\" รา เป็นคากริยา หมายถึง แสดงทา่ เคล่ือนไหวคนเดียวหรือหลายคน โดยมีลีลา และแบบทา่ ของการเคล่ือนไหว และมีจงั หวะลีลาเขา้ กบั เสียงที่ทาจงั หวะเพลงร้องหรือเพลงดนตรี ราในความหมายต่อมาคือ \"ราละคร\" ประเภทของการรา การราจะแบ่งออกเป็ นประเภทใหญ่ ๒ ประเภท คือ แบง่ ตามลกั ษณะของการแสดงโขน - ละคร ไดแ้ ก่ ๑. การราหน้าพาทย์ เป็นการราประกอบเพลงแบบหน่ึง ซ่ึงไดม้ ีผใู้ หค้ วามหมายของคาวา่ \"หนา้ พาทย\"์ ไวด้ งั น้ี \"การราหนา้ พาทย์ คือ การราตามทานองเพลงดนตรีป่ี พาทย์ บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร และอื่นๆ ผแู้ สดงจะตอ้ งเตน้ หรือราไปตามจงั หวะ และทานองเพลงท่ีบญั ญตั ิไวโ้ ดยเฉพาะหรือถือหลกั การบรรเลงเป็ นสาคญั \" ในการแสดงโขน - ละคร ตามทอ้ งเร่ืองผแู้ สดงจะตอ้ งใชเ้ พลงหนา้ พาทยใ์ หเ้ หมาะสม ซ่ึงปรมาจารยไ์ ดบ้ ญั ญตั ิ ความหมาย และวธิ ีใชด้ งั น้ี
หน้าพาทย์ทใ่ี ช้กบั กิริยาไป - มาใกล้ และไกล เช่น เสมอ ใชส้ าหรับการไป - มาในระยะใกลๆ้ ของตวั ละครโขนทวั่ ไป เสมอมาร ใชส้ าหรับพญายกั ษ์ เสมอสามลา ใชส้ าหรับพญายกั ษใ์ หญ่ แสดงถึงความไป - มาดว้ ยความโอ่อ่า สง่างาม และภาคภูมิ เช่น ทศกณั ฐ์ หรือการแสดงโขนตอนสามทพั ซ่ึงมีตวั ละคร คือ ทศกณั ฐ์ สหสั เดชะ และมูลพลมั เป็นตน้ เสมอเถร ใชส้ าหรับฤาษี และนกั พรต เสมอตีนนก(บาทสกณุ ี) ใชส้ าหรับตวั แสดงที่เป็นทา้ วพญากษตั ริยไ์ ป - มาดว้ ยความสง่างาม เช่น พระราม พระลกั ษณ์ อิเหนา เป็นตน้ เสมอเขา้ ที่ ใชส้ าหรับเชิญพระฤาษี ครูอาจารย์ หรือใชใ้ นพธิ ีไหวค้ รู เสมอขา้ มสมุทร ใชส้ าหรับพระรามยกกองทพั ขา้ มมหาสมุทรไปกรุงลงกา เสมอผี ใชส้ าหรับพญายม ภูติผปี ี ศาจ หรือพิธีไหวค้ รู เสมอตาม เพลงเสมอทีมีลีลา และทานองเป็นสาเนียงภาษา เช่น มอญ(เสมอมอญ) ลาว(เสมอลาว) แขก(เสมอแขก) พม่า(เสมอพม่า) เป็นตน้ ใชป้ ระกอบ กิริยาไป - มาของตวั ละครที่สมมุติเป็นชาติต่างๆ เชิด ใชส้ าหรับตวั ละครทว่ั ไปที่ไป - มาในระยะทางไกลๆอยา่ งรีบด่วน เชิดฉาน ใชใ้ นการติดตามสตั ว์ เช่น พระรามตามกวาง ยา่ หรันตามนกยงู เชิดจีน แสดงถึงลกั ษณะการเล้ียวไล่ หลอกล่อในการติดตามจบั เช่น รามสูร - เมขลา พระลอตามไก่ ฉะเชิด เป็นลีลาทา่ ราเฉพาะของตวั แสดงเป็นเจา้ เงาะในกิริยาไป - มาในระยะ ทางไกลเช่นเดียวกบั เชิด เหาะ ใชส้ าหรับเทวดา นางฟ้า ในการไป - มาในท่ีตา่ งๆดว้ ยกิริยารวดเร็ว โคมเวยี น ใชส้ าหรับเทวดา นางฟ้า ในการไป - มาเป็นหมวดหมูม่ ีระเบียบ กลองโยน ใชใ้ นขบวนแห่หรือการเดินทพั ของกษตั ริย์ โดยเคล่ือนไปอยา่ งชา้ ๆ พญาเดิน ใชส้ าหรับการไป - มาของตวั เอกหรือกษตั ริย์ กลม ใชส้ าหรับการไป - มาของเทพเจา้ เช่น พระนารายณ์ พระอิศวร สาหรับ มนุษยท์ ่ีใชเ้ พลงกลมคือเจา้ เงาะ เพราะเหาะเหินเดินอากาศไดอ้ ยา่ งเทวดา
ชุบ ใชส้ าหรับนางกานลั คนรับใช้ โล้ ใชส้ าหรับการเดินทางไป - มาทางน้า แผละ ใชส้ าหรับการเดินทางไป - มาของสตั วป์ ี ก เช่น ครุฑ หน้าพาทย์ทใี่ ช้สาหรับการรื่นเริง สนุกสนาน เช่น กราวรา ใชส้ าหรับการแสดงในความหมายเยาะเยย้ หรือฉลองความสาเร็จ สีนวล ใชส้ าหรับท่วงทีเย้อื งยาตรนาดกราย หรือความร่ืนเริงบนั เทิงใจของอิสตรี เพลงชา้ - เพลงเร็ว - เพลงลา ใชส้ าหรับความเบิกบานใจในการไป - มาอยา่ งสุภาพ งดงาม แช่มชอ้ ย และเม่ือไปถึงที่หมายแลว้ จะบรรเลงเพลงลา ปกติเพลงเร็ว - เพลงลา มกั บรรเลงหรือราติดต่อกนั ใชป้ ระกอบการแสดงตอนข้ึนเฝ้า เป็นตน้ หน้าพาทย์ทใี่ ช้สาหรับการจัดทพั และการตรวจพล เช่น กราวนอก ใชส้ าหรับการตรวจพลยกทพั ของมนุษย์ และวานร กราวใน ใชส้ าหรับการตรวจพลยกทพั ของฝ่ ายยกั ษ์ กราวกลาง ใชส้ าหรับการตรวจพลยกทพั ของมนุษยใ์ นการแสดงละคร ปฐม ใชส้ าหรับการตรวจพลยกทพั ของแมท่ พั นายกองฝ่ ายพระราม คือ สุครีพ และฝ่ ายลงกา คือ มโหทร หน้าพาทย์ทใ่ี ช้ในการต่อสู้ และตดิ ตาม เช่น เชิดกลอง ใชใ้ นการยกทพั หรือการต่อสู้ทว่ั ๆไป เชิดฉิ่ง ใชใ้ นการคน้ หา การลอบเขา้ ออกในสถานที่ใดสถานที่หน่ึง การเหาะลอย ไปในอากาศ การใชอ้ าวธุ เชิดนอก ใชป้ ระกอบกิริยาตวั ละครท่ีมิใช่มนุษยโ์ ลดไล่จบั กนั เช่น หนุมานจบั นาง เบญกาย เป็นตน้
หน้าพาทย์ทใ่ี ช้สาหรับการนอน การอาบนา้ การกนิ เช่น ตระนอน ใชส้ าหรับการนอน ตระบรรทมสินธุ์ ใชส้ าหรับการนอนของพระนารายณ์ ตระบรรทมไพร ใชส้ าหรับการนอนของตวั ละครที่คา้ งแรมในป่ า และใชส้ าหรับพิธีไหว้ ครูโขน - ละคร ลงสรง ใชส้ าหรับการอาบน้า เซ่นเหลา้ ใชส้ าหรับประกอบการกินอาหาร ด่ืมสุรา และใชใ้ นพธิ ีไหวค้ รูโขน - ละคร หน้าพาทย์ทใ่ี ช้ในการเล้าโลมแสดงความรักใคร่ และเสียใจ เช่น โลม ใชส้ าหรับบทเก้ียวพาราสีเลา้ โลมดว้ ยความรัก ทยอย ใชส้ าหรับการแสดงความเศร้าโศกเสียใจดว้ ยการร้องไห้ โอดช้นั เดียว ใชส้ าหรับแสดงกิริยาร้องไห้ เมื่อเสียใจไมม่ าก หรือใชก้ บั การร้องไห้ ทว่ั ไป โอดสองช้นั ใชส้ าหรับแสดงกิริยาร้องไหเ้ ม่ือเสียใจมาก และนิยมใชใ้ นการแสดงละคร ใน โอดเอม ใชส้ าหรับแสดงกิริยาร้องไหเ้ ม่ือดีใจ หน้าพาทย์ทใ่ี ช้แสดงอทิ ธิฤทธ์ิปาฏิหารย์ เช่น ตระนิมิต ใชส้ าหรับการแปลงกาย หรือเนรมิตข้ึนดว้ ยเวทมนตร์ ชานาญ, ตระบองกนั ใชส้ าหรับเนรมิต ประสิทธ์ิประสาทพร หรือแปลงตวั (ใชส้ าหรับตวั พระ ตวั นาง และตวั ยกั ษ)์ ตระสนั นิบาต ใชป้ ระกอบพิธีชุมนุม กระทาพิธีสาคญั ๆ เช่น พธิ ีไหวค้ รู คุกพากย์ และรัวสามลา ใชส้ าหรับการแผลงอิทธิฤทธ์ิ โอดเอม ใชส้ าหรับแสดงกิริยาร้องไหเ้ ม่ือดีใจ
การราบท เป็นการราอีกประเภทหน่ึงซ่ึงไดม้ ีผใู้ หค้ วามหมายต่างๆ ดงั น้ี การราบท คือ การแสดงทา่ ทางแทนคาพดู ใหม้ ีความหมายตา่ งไป รวมท้งั แสดงอารมณ์ดว้ ย การราบท คือ การแสดงทา่ ทางไปตามบท และไมใ่ ชเ้ สียงประกอบการพูด ฉะน้นั จึงหมายถึงการแสดงใน ความหมายของนาฏศิลป์ โดยใชภ้ าษาท่าทางส่ือความหมาย ประเภททแี่ บ่งตามลกั ษณะของการรา ราเดยี่ ว คือ การแสดงการราที่ใชผ้ แู้ สดงเพียงคนเดียว ไดแ้ ก่ การราฉุยฉายต่างๆ เช่น ฉุยฉายวนั ทอง ฉุยฉาย เบญกาย เป็นตน้ ราคู่ คือ การแสดงท่ีนิยมใชเ้ บิกโรงอาจจะเก่ียวขอ้ งกบั การแสดงหรือไมก่ ไ็ ด้ เช่น ราประเลง ราแม่บท ราอวยพร หรือเป็นการราคู่ที่ตดั ตอนมาจากการแสดงละคร เช่น พระลอตามไก่ จากเร่ืองพระลอ ราหมู่ คือ การแสดงที่ใชผ้ แู้ สดงมากกวา่ ๒ คนข้ึนไป มุง่ ความงามของทา่ รา และความพร้อมเพรียงของผแู้ สดง เช่น ราวงมาตรฐาน ราพดั ราโคมราสีนวล ๑.๒) ระบา เป็นศิลปะการราที่เป็ นชุดเป็ นหมู่ มีผแู้ สดงต้งั แต่ ๒ คนข้ึนไปการแสดงระบาไมค่ านึงถึงบทมากนกั แต่ เนน้ ที่ความพร้อมเพรียงในการใชล้ ีลาท่าราการจดั การจดั กระบวนรา และความสวยงามของการแตง่ กายเป็นสาคญั ระบา ตามพจนานุกรมแปลวา่ การฟ้อนรา ราหรือฟ้อน ดงั น้นั โดยนยั ดงั กล่าวน้ีคาวา่ ระบา รา หรือฟ้อน จึงไม่ แตกต่างกนั เลย ดงั น้นั ระบา คือ ศิลปะของการร่ายราที่แสดงพร้อมกนั เป็นหมู่เป็นชุด ไมด่ าเนินเร่ืองราว ท่าราบางคร้ังกม็ ี ความหมายเขา้ กบั เน้ือเร่ือง บางคร้ังก็ไมม่ ีความหมายนอกจากความสวยงาม คาวา่ \"ระบา\" ยอ่ มรวมเอา \"ฟ้อน\" และ \"เซิ้ง\" เขา้ ไวด้ ว้ ย เพราะวธิ ีการแสดงไปในรูปเดียวกนั หากแตแ่ ยกใหเ้ ห็นความแตกต่างของทอ้ งถิ่น วธิ ีร่ายราตลอดจนการแตง่ กาย ตามระเบียบประเพณีเท่าน้นั คาวา่ \"ฟ้อน\" และ \"เซิ้ง\" เป็นระบาประเภทพ้ืนเมืองแตง่ กายตามเช้ือชาติ ประกอบดว้ ยเพลงที่มี ทานอง และบทร้องตามภาษาทอ้ งถิ่น เช่น ฟ้อนเง้ียว ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนลาวแพน เซิ้งสวงิ เซิ้งกระติ๊บ ฯลฯ ระบา เป็นคากริยา หมายถึง การแสดงที่ตอ้ งใชค้ นจานวนมากกวา่ ๒ คน ข้ึนไป ซ่ึงการแสดงน้นั ๆจะใชเ้ พลง บรรเลงโดยมีเน้ือร้องหรือไม่มีเน้ือร้องก็ได้ ระบาน้นั เป็นศิลปะของการร่ายราท่ีเป็นชุด ไม่ดาเนินเป็นเรื่องราว ผรู้ าแตง่ กาย งดงาม จุดมุ่งหมายเพอ่ื แสดงความงดงามของศิลปะการราไมม่ ีการดาเนินเรื่อง ประเภทของระบา ยงั จาแนกออกได้เป็ น ๑. ระบามาตรฐาน หรือระบาแบบด้งั เดิม เป็นระบาแบบด้งั เดิมท่ีมีมาแต่โบราณกาล ไม่สามารถนามาเปลี่ยนแปลง ท่าราได้ เพราะถือวา่ เป็นการร่ายราท่ีเป็ นแบบฉบบั บรมครูนาฏศิลป์ ไดค้ ิดประดิษฐไ์ ว้ และนิยมนามาเป็นแบบแผนในการ ราท่ีเคร่งครัด การแตง่ กายของระบาประเภทน้ี มกั แต่งกายในลกั ษณะที่เรียกวา่ \"ยนื เครื่อง\" ไดแ้ ก่ ระบาที่ฝึกหดั กนั เพอ่ื ให้ เป็นแบบมาตรฐานท่ีมีมาแต่คร้ังโบราณ เช่น ระบาสี่บท หรือบางคร้ังเรียกวา่ \"ระบาใหญ\"่ ตอ่ มามีผปู้ ระดิษฐ์ระบาซ่ึง เลียนแบบระบาส่ีบทข้ึนอีกหลายชุด และถือวา่ เป็นระบามาตรฐานที่เปล่ียนแปลงไม่ได้ เช่น ระบายอ่ งหงิด ระบาดาวดึงส์ ระบากฤดาภินิหาร ฯลฯ
๒. ระบาปรับปรุง หมายถึง ระบาท่ีไดป้ รับปรุงหรือประดิษฐข์ ้ึนใหม่โดยคานึงถึงความเหมาะสมต่อการนาไปใช้ ในโอกาสต่างๆ แยกไดเ้ ป็ น ๒.๑) ปรับปรุงจากแบบมาตรฐาน หมายถึงระบาที่คิดประดิษฐข์ ้ึนโดยยดึ แบบ และลีลา ตลอดจนความ สวยงามในดา้ นระบาไว้ ทา่ ทางลีลาท่ีสาคญั ยงั คงไว้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอยา่ งเพอื่ ใหง้ ามข้ึน หรือเปล่ียนแปลง เพ่ือความเหมาะสมกบั สถานท่ีท่ีนาไปแสดง ๒.๒) ปรับปรุงจากพืน้ บ้าน หมายถึง ระบาที่คิดประดิษฐส์ ร้างสรรคข์ ้ึนจากแนวทางความเป็ นอยขู่ องคน พ้ืนบา้ น การทามาหากิน ขนบธรรมเนียมประเพณี ในแต่ละทอ้ งถ่ินมาแสดงออกในรูประบา เพ่อื เป็นเอกลกั ษณ์ประจาถิ่น ของตน เช่น เซง้ บ้งั ไฟ เตน้ การาเคียว ระบางอบ ระบากะลา รองเงง็ ฯลฯ ๒.๓) ปรับปรุงจากท่าทางของสัตว์ หมายถึง ระบาที่คิดประดิษฐข์ ้ึนใหม่ ตามลกั ษณะลีลาทา่ ทางของสตั ว์ ชนิดตา่ งๆ บางคร้ังอาจนามาใชป้ ระกอบการแสดงโขน ละคร บางคร้ังก็นามาใชเ้ ป็ นการแสดงเบด็ เตล็ด เช่น ระบานกยงู ระบานกเขา ระบามฤคราเริง ระบาบนั เทิงกาสร เป็นตน้ ๒.๔) ปรับปรุงตามเหตุการณ์ต่างๆ หมายถึง ระบาที่คิดประดิษฐข์ ้ึนใชต้ ามโอกาสท่ีเหมาะสม เช่น ระบาพระ ประทีป ระบาโคมไฟ ประดิษฐข์ ้ึนใชแ้ สดงในวนั นกั ขตั ฤกษ์ เป็นตน้ ระบาประเภทปรับปรุงข้ึนใหมน่ ้ี หรืออาจเรียกวา่ “ระบาเบด็ เตลด็ ” มีลกั ษณะทา่ ราจะไม่ตามตวั มีการ เปล่ียนแปลงไปตลอดเวลา ข้ึนอยกู่ บั เหตุการณ์ ตวั บุคคล ตลอดจนฝีมือ และความสามารถของผปู้ ระดิษฐท์ ่าระบา รา หมายถึง การแสดงที่มุง่ ความงามของการร่ายรา หรือการแสดงลีลาทา่ ทางของผรู้ า และในปัจจุบนั มีอาจมีการแสดงประเภทระบาที่ถูกปรับปรุงข้ึนใชเ้ ป็ นสื่อการเรียนการสอน ระบา ประเภทน้ีเป็นระบาประดิษฐ์ และสร้างสรรคข์ ้ึนเพ่ือเป็ นแนวทางสื่อนาสู่บทเรียน เหมาะสาหรับเด็กๆ เป็นระบาง่ายๆ เพ่อื เร้าความสนใจประกอบบทเรียนตา่ งๆ เช่น ระบาสูตรคูณ ระบาวรรณยกุ ต์ ระบาเลขไทย ฯลฯ ๑.๓ ฟ้อน เป็นศิลปะการแสดงท่ีเป็ นชุด เป็ นหมูเ่ ช่นเดียวกบั “ระบา” แตเ่ ป็นการเรียกลกั ษณะการแสดงอยา่ งเดียวกนั น้ีของภาคเหนือ การแสดงฟ้อน เดิมเป็นการแสดงพ้ืนเมืองภาคเหนือ ต่อมากรมศิลปากรไดน้ ามาปรับปรุงใหก้ ะทดั รัด สวยงามข้ึน เหมาะสมที่จะเป็นการแสดงโชวใ์ นระยะส้นั ๆ หรือบางชุดกป็ ระดิษฐข์ ้ึนใหมส่ าหรับแสดงเป็ นเอกเทศหรือ แสดงประกอบละคร และภายหลงั จึงนามาแสดงเป็นชุดต่างหาก ฟ้อน หมายถึง การแสดงกริยาเดียวกบั ระบา หรือ การรา เพียงแต่เรียกใหแ้ ตกต่างกนั ไปตามทอ้ งถิ่น จดั เป็นการ แสดงพ้นื เมืองของภาคน้นั ๆ แต่ในรูปของการแสดงแลว้ ก็ คือ ลกั ษณะการร่ายรานน่ั เอง ที่ผแู้ สดงตอ้ งแสดงใหป้ ระณีต งดงาม ประเภทของการฟ้อน ศิลปะการแสดง \"ฟ้อน\" ในลานนาน้นั มีลกั ษณะเป็นศิลปะที่ผสมกนั โดยสืบทอดมาจากศิลปะของชนชาติต่างๆ ที่มีการก่อต้งั ชุมชนอาศยั อยใู่ นอาณาเขตลานนาน้ีมาชา้ นาน นอกจากน้ียงั มีลกั ษณะของการรับอิทธิพลจากศิลปะของชนชาติ ที่อยใู่ กลเ้ คียงกนั ดว้ ย จากการพิจารณาศิลปะการฟ้อนที่ปรากฏในลานนายคุ ปัจจุบนั ท่านอาจารยท์ รงศกั ด์ิ ปรางคว์ ฒั นากุล อาจารยป์ ระจาภาควชิ าภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ไดแ้ บ่งการฟ้อนออกเป็น ๕ ประเภท ดงั น้ี
๑) ฟ้อนทสี่ ืบเนื่องมาจากการนับถือผี เป็นการฟ้อนท่ีเกี่ยวเนื่องกบั ความเชื่อถือ และพิธีกรรม ไดแ้ ก่ ฟ้อนผมี ด ผี เมง็ ฟ้อนผบี า้ นผเี มือง เป็ นตน้ ๒) ฟ้อนแบบเมือง หมายถึง ศิลปะการฟ้อน ท่ีมีลีลาแสดงลกั ษณะเป็นแบบฉบบั ของ \"คนเมือง\" หรือ \"ชาวไทย ยวน\" ซ่ึงเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่อาศยั อยเู่ ป็นปึ กแผน่ ในแวน่ แควน้ \"ลานนา\" น้ี การฟ้อนประเภทน้ี ไดแ้ ก่ ฟ้อนเลบ็ ฟ้อนสาว ไหม ฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบ เป็นตน้ ๓) ฟ้อนแบบม่าน คาวา่ \"ม่าน\"ในภาษาลานนา หมายถึง \"พม่า\"การฟ้อนประเภทน้ีเป็นการผสมผสาน กนั ระหวา่ งศิลปะการฟ้อนของพมา่ กบั ของไทยลานนา ไดแ้ ก่ ฟ้อนมา่ นมุย้ เชียงตา ๔) ฟ้อนแบบเงี้ยว หรือ ไทยใหญ่ หมายถึง การฟ้อนท่ีไดร้ ับอิทธิพลมาจากศิลปะการแสดงของชาวไทยใหญ่ (คนไทยลานนามกั เรียกชาวไทยใหญ่วา่ \"เง้ียว\" ในขณะที่ชาวไทยใหญม่ กั เรียกตนเองวา่ “ไต”) ไดแ้ ก่ การฟ้อนไต ฟ้อนเง้ียว ก่ิงกะหร่า (กินราหรือฟ้อนนางนก) เป็นตน้ ๕) ฟ้อนท่ปี รากฎในการแสดงละคร การฟ้อนประเภทน้ีเป็ นการฟ้อนท่ีมีผูค้ ิดสร้างสรรคข์ ้ึนในการแสดงละคร พนั ทาง ซ่ึงนิยมกนั ในราวสมยั รัชกาลท่ี ๕ ไดแ้ ก่ ฟ้อนนอ้ ยใจยา ฟ้อนลาวแพน ฟ้อนม่านมงคล เป็นตน้ ๑.๔) เซิ้ง หมายถึง ศิลปะการแสดงของภาคอีสาน ลีลาจงั หวะการร่ายราเร็ว การแต่งกายแบบพ้ืนเมืองอีสานและ เพลงที่ใชป้ ระกอบเป็นเพลงสนุกสนาน ส่วนใหญใ่ ชใ้ นขบวนแห่ต่าง ๆ เช่น แห่บอ้ งไฟ ๒. การแสดงทเี่ ป็ นเร่ืองราว ไดแ้ ก่ ๒.๑ ละคร คาวา่ “ละคร” ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ “การมหรสพอยา่ งหน่ึง เล่น เป็นเร่ืองเป็นราวตา่ งๆ ละครแทแ้ ต่ด้งั เดิมท่ีนบั เป็ นแบบฉบบั ละครของไทยน้นั ปรากฏหลกั ฐานวา่ เป็ นที่นิยมแพร่หลายกนั มาต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยุธยาตอนตน้ จนกระทงั่ ถึงสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ แห่งรัตนโกสินทร์ มีอยู่ ๓ ประเภทและไดว้ วิ ฒั นาการมาตามลาดบั คือ ๑. ละครชาตรี ๒. ละครนอก และ ๓. ละครใน คร้ันถึงสมยั พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นบั ต้งั แต่น้นั มาการละครของไทยก็ไดม้ ีการปรับปรุงเปล่ียนแปลง และพฒั นาไปจากเดิมท้งั น้ีเพราะไดร้ ับอิทธิพลมาจากการละครแบบตะวนั ตก เกิดละครท่ีปรับปรุงข้ึนใหม่อีกหลายประเภท ไดแ้ ก่ ละครดึกดาบรรพ์ ละครพนั ทาง ละครพูด ละครร้อง ละครพูดสลบั รา และละครสังคีต โดยเหตุที่มีละครอยา่ งใหม่ เกิดข้ึนอีกหลายประเภทดังกล่าว ท้ังแต่ละประเภทก็มีรู ปแบบและวิธีการแสดงแตกต่างกัน ดังน้ัน เม่ือราวปลาย สมยั รัชกาลที่ ๕ จึงไดม้ ีการจาแนกประเภทละครของไทยออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือ ก. ละครรา หมายถึง ละครประเภทท่ีใชศ้ ิลปะการร่ายราดาเนินเร่ือง ข. ละครร้อง หมายถึง ละครประเภทท่ีใชศ้ ิลปะการร้องดาเนินเรื่อง ค. ละครพดู หมายถึง ละครประเภทท่ีใชศ้ ิลปะการพดู ดาเนินเร่ือง ในบรรดาละครต่างๆ ของไทยที่นบั ว่าเป็ นละครราน้นั มีอยู่ ๕ ประเภท คือ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละคร ดึกดาบรรพ์ และละครพนั ทาง ละครราท้งั หมดน้ียงั อาจแบ่งยอ่ ยเป็น ๒ ประเภท คือ
๒.๑.๑ รูปแบบของละครไทย ละครไทยแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ๑) ละครรา แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ ๑.๑) ละครราแบบด้งั เดิม(ละครราโบราณ) มีมาแต่สมยั อยธุ ยาจนถึงสมยั รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ ไดแ้ ก่ ละครโนห์รา - ชาตรี ละครนอก และละครใน ๑. ละครโนห์รา - ชาตรี ถือวา่ เป็นตน้ แบบของละครรา นิยมใช้ ผชู้ ายแสดง มีตวั ละคอน ๓ ตวั คือ ตวั พระ ตวั นาง และเบด็ เตลด็ ( เป็นตลก ,ฤษี ฯลฯ ) เร่ืองที่เล่นคือ “มโนห์รา” ตอน จบั นางมโนห์รามาถวายพระสุธน การ แสดงเร่ิมดว้ ยการบูชาครูเบิกโรง ผูแ้ สดงออกมาราซดั ไหวค้ รู โดยร้องเอง ราเอง ตวั ตลกท่ีนงั่ อยเู่ ป็นลูกคูเ่ ม่ือร้องจบจะมีบท เจรจาต่อ ๒. ละครนอก ดดั แปลงมาจากละครโนห์รา - ชาตรี เป็นละครที่เกิดข้ึนนอกพระราชฐาน เป็น ละครที่คนธรรมดาสามญั นิยมเล่นกนั ผแู้ สดงเป็ นชายลว้ น ไม่มีฉากประกอบ นิยมเล่นกนั ตามชนบททา่ ราและเครื่องแตง่ กายไมค่ อ่ ยพิถีพิถนั เร่ืองที่ใชแ้ สดงละครนอกเป็ นเร่ืองจกั ร ๆ วงศ์ ๆ เช่น สงั ขท์ อง มณีพชิ ยั ไกรทอง สงั ขศ์ ิลป์ ชยั โม่งป่ า พิกลุ ทอง การะเกด เงาะป่ า ฯลฯ การแสดงดาเนินเรื่องรวดเร็ว โลดโผน ในบางคร้ังจะพูดหยาบโลน มุ่งแสดงตลก ใชภ้ าษา ตลาด และไม่คานึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณี ๓. ละครใน เป็นละครท่ีพระมหากษตั ริยท์ รงดดั แปลงมาจากละครนอก ใชผ้ หู้ ญิงแสดงลว้ น และ แสดงในพระราชฐานเท่าน้นั การแสดงละครในมีความประณีตวจิ ิตรงดงาม ทา่ ราตอ้ งพิถีพถิ นั ใหม้ ีความออ่ นชอ้ ย เคร่ือง แตง่ กายสวยงาม บทกลอนไหเราะ สานวนสละสลวยเหมาะสมกบั ท่ารา เพลงที่ใชข้ บั ร้องและบรรเลงตอ้ งไพเราะ ชา้ ไม่ลุก ลน เรื่องที่ใชแ้ สดงมี ๓ เร่ือง คือ อิเหนา รามเกียรต์ิ และอุณรุท ๑.๒) ละครราทปี่ รับปรุงขนึ้ ใหม่ เกิดข้ึนมาในสมยั รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ไดแ้ ก่ ละครดึก ดาบรรพ์ ละครพนั ทาง และละครเสภา ๑. ละครดกึ ดาบรรพ์ เกิดข้ึนในสมยั รัชกาลที่ ๕ นาแบบอยา่ งมาจากละครโอเปร่า (Opera) ของ ยโุ รป ลกั ษณะการแสดงละครดึกดาบรรพ์ คือ ผแู้ สดงร้องและราเอง ไมม่ ีการบรรยายเน้ือร้อง ผชู้ มตอ้ งติดตามฟังจากการ ร้องและบทเจรจาของผแู้ สดง ๒. ละครพนั ทาง เกิดหลงั ละครดึกดาบรรพ์ เป็นละครราแบบละครนอกผสมละครในมีศิลปะของ ชาติตา่ ง ๆ เขา้ มาปะปนตามทอ้ งเร่ือง ท้งั ศิลปะการร้อง การรา และการแต่งกาย ผสมกบั ศิลปะไทย โดยยดึ ทา่ ราไทยเป็น หลกั นิยมแสดงเร่ือง ราชาธิราช พระลอ สามก๊ก พญานอ้ ย ฯลฯ ๓. ละครเสภา เป็นละครที่ดาเนินเร่ืองดว้ ยการราประกอบบทร้องและบทขบั เสภา มีเครื่องประกอบ จงั หวะพเิ ศษคือ “กรับเสภา” เร่ืองท่ีนิยมแสดงคือ ขนุ ชา้ ง - ขนุ แผน ไกรทอง ๒) ละครทปี่ รับปรุงขึน้ ใหม่ ( ไม่ใช่ละครรา) ไดแ้ ก่ ละครร้อง ละครสังคีต ละครพดู และละครไทยสากล ๑) ละครร้อง เกิดข้ึนในสมยั รัชกาลท่ี ๕ ดาเนินเร่ืองดว้ ยการร้อง ไม่มีท่ารา ผแู้ สดงจะตอ้ งร้องเอง เรื่องท่ีนิยมแสดง คือ ตุก๊ ตายอดรัก สาวเครือฟ้า ขวดแกว้ เจียระไน ๒) ละครสังคีต คลา้ ยละครร้อง ตา่ งกนั ที่ละครสังคีตถือบทร้องและบทเจรจาเป็นสาคญั เท่ากนั จะตดั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงออกไม่ได้
๓) ละครพูด ดาเนินเรื่องดว้ ยการพดู ไมม่ ีการร้อง ผแู้ สดงพดู เอง เป็นตน้ แบบของละครวทิ ยุ ละครเวที และละครโทรทศั นใ์ นปัจจุบนั ๔) ละครไทยสากล ซ่ึงเป็นพฒั นาการที่เกิดข้ึนของละครพูดที่เกิดข้ึนและพฒั นามาจนถึงปัจจุบนั ตาม ความหมายของละคร ( DRAMA) นกั ปราชญ์ นกั การศึกษา และท่านผรู้ ู้ไดใ้ หน้ ิยามความหมายของละครแตกตา่ งกนั ออกไป ดงั น้ี ละคร หมายถึง การแสดงท่ีดาเนินเป็นเร่ืองราว ละคร หมายถึง การแสดงท่ีผกู เป็นเรื่อง มีเน้ือความเหตุการณ์เกี่ยวขอ้ งเป็ นตอน ๆ ตามลาดบั ละคร หมายถึง ศิลปะการแสดงที่เกิดจากการนาภาพประสบการณ์ และจินตนาการของมนุษย์ มาผกู เป็นเรื่องราวแลว้ นาเสนอแก่ผชู้ ม โดยมีผแู้ สดงเป็นผสู้ ่ือความหมาย ละคร หมายถึง มหรสพอยา่ งหน่ึงท่ีเล่นเป็นเรื่องราวตา่ ง ๆ มุง่ หมายที่จะก่อใหเ้ กิดความบนั เทิงใจ สนุกสนานเพลิดเพลิน หรือเร้าความรู้สึกของผดู้ ู ขณะเดียวกนั ผดู้ ูกจ็ ะไดแ้ นวความคิด คติธรรมและปรัชญาจากการละคร น้นั ละคร หมายถึง วรรณกรรมรูปหน่ึงเพือ่ แสดงออกซ่ึงอารมณ์ของมนุษย์ โดยสร้างตวั ละคร สร้าง สถานการณ์ข้ึน เพื่อใหต้ วั ละครแสดงอารมณ์ออกมาตามสถานการณ์ ก่อใหเ้ กิดเหตุการณ์สอดคลอ้ งสืบเน่ืองเป็นเร่ืองใหญ่ หากเร่ืองเลก็ ๆ ที่ตดั ออกเป็ นตอน ๆ น้นั ต่อเนื่องกนั ไดโ้ ดยสนิท เป็นที่พอใจคนดู ก็นบั วา่ ละครเรื่องน้นั เป็นละครที่ดี สรุปละคร หมายถึง การแสดงท่ีดาเนินเป็ นเร่ืองราว เกิดจากการนาภาพประสบการณ์และ จินตนาการของมนุษยม์ าผกู เป็นเร่ืองราว โดยมีผแู้ สดงเป็ นผสู้ ื่อความหมาย มีจุดมุง่ หมายเพอื่ ใหค้ วามบนั เทิง สนุกสนาน เพลิดเพลิน หรือเร้าความรู้สึกของผดู้ ู และใหแ้ นวคิด คติธรรมและปรัชญาแก่ผดู้ ู ประเภทของละคร แบ่งออกเป็ น ๒ ประเภท ๑) ละครแนวเหมือนจริง (Representational Drama) คือ ละครท่ีใหภ้ าพชีวติ ความเป็ นจริง สะทอ้ นชีวติ ในสงั คมและความเป็นอยขู่ องชุมชนออกมาเป็นเร่ืองราว ดงั คากล่าวท่ีวา่ “ละครคือชีวติ ” ๒) ละครแนวไม่เหมือนจริง (Presentational Drama) คือ ละครท่ีใหภ้ าพของการแสดงหลุด ออกไปจากชีวิตประจาวนั โดยยดึ คนดูเป็ นเป้าหมายสาคญั เพ่อื ใหค้ นดูเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ตื่นเตน้ และผดู้ ูจะ เกิดความรู้สึกวา่ ส่ิงที่ปรากฏไมใ่ ช่ชีวติ จริง เช่น การแสดงโขน ละครรา ซ่ึงฉากและเครื่องแต่งกายจะหรูหราเกินจริง แต่ก็ สวยงามประณีตวจิ ิตรบรรจง มีเสน่ห์ประทบั ใจคนดู รูปแบบละครสากล แบ่งออกได้ดังนี้ ๑) ละครโศกนาฏกรรม (Tragedy) เร่ิมจากเรื่องของศาสนาเพ่อื สรรเสริญเทพเจา้ ละครชนิดน้ีมกั ลงทา้ ยดว้ ย ความทรมาน ขมข่ืน น่าสงสาร การดาเนินเร่ืองประกอบดว้ ยความเสียใจ ระทม และผดิ หวงั ของตวั ละครใน เร่ือง บางทีตอนแรกไมโ่ ศกแต่ลงทา้ ยดว้ ยความขมขื่นน่าสลดใจ ๒) ละครสุขนาฏกรรม (Comedy) ตรงขา้ มกบั ละครโศกนาฏกรรม เน้ือเร่ืองเป็นไปในทานองลอ้ เลียนสงั คม และ บุคคลบางประเภท หรือลอ้ เลียนขนบธรรมเนียมประเพณี ไมน่ ิยมเอาเร่ืองประวตั ิศาสตร์มาแต่ง ไม่มีการตาย ไม่มีภยั พิบตั ิ นอกจากความสนุกสนาน ตวั ตลกมกั เป็นบุคคลช้นั กลางหรือช้นั ต่า
๓) ละครอ่ืน ๆ ๓.๑ ละครครึ่งโศกคร่ึงขบขัน (Tragic-Comedy) เป็นละครเบาสมองจบลงดว้ ยตวั เอกของเรื่องผิดหวงั ๓.๒ ละครชนิดหยาบโลน (Farce) เน้ือเร่ืองตลกขบขนั มีการด่าทอตบตีกนั เน้ือเร่ืองดาเนินรวดเร็วจบลงอยา่ ง ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตวั ละครตลกขบขนั ๓.๓ ละครพดู (Melo-Drama) ตวั ละครตอ้ งใชท้ า่ ทางท่ีผดิ ไปกวา่ คนธรรมดา มีดนตรีประกอบ มีแตพ่ ูดไม่มี ร้อง ๓.๔ ละครใบ้ (Pantomime) การแสดงของตวั ละครเกิดจากการเคล่ือนไหวของร่างกาย แสดงกิริยาท่าทาง ประกอบเรื่อง ไม่มีการเจรจา ๓.๕ บลั เล่ต์ (Ballet) ใชด้ นตรีประกอบการเตน้ ดว้ ยลีลาท่าทางตา่ ง ๆ เป็นการแสดงระบาปลายเทา้ ประกอบ ดนตรี มีฉาก แสง สี และเครื่องแตง่ กายท่ีวจิ ิตรงดงามตระการตา ๓.๖ ละครอุปรากร (Opera) ใชด้ นตรีเป็นหลกั ในการแสดง มีการร้องไม่มีการเจรจา ตวั ละครร้องโตต้ อบกนั บทร้องเป็นบทร้อยกรอง ประเภทกลอน หรือร่ายตามเน้ือเรื่อง ตวั ละครในอุปรากรรูปร่างหนา้ ตาสาคญั นอ้ ยกวา่ คุณภาพของ เสียง ๒.๒ โขน (Khon) เป็นศิลปะการแสดงช้นั สูงของไทยท่ีมีความสง่างาม อลงั การและอ่อนชอ้ ย การแสดงประเภทหน่ึงที่ใชท้ ่าราตาม แบบละครใน แตกต่างเพียงท่าราที่มีการเพ่ิมตวั แสดง เปลี่ยนทานองเพลงท่ีใช้ในการดาเนินเร่ืองไม่ให้เหมือนกบั ละคร แสดงเป็ นเร่ืองราวโดยลาดบั ก่อนหลงั เหมือนละครทุกประการ ซ่ึงไม่เรียกการแสดงเหล่าน้ีวา่ ละครแต่เรียกว่าโขน แทน มี ประวตั ิยาวนานต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยุธยาจากหลกั ฐานจดหมายเหตุ ลาลูแบร์ เอกอคั รราชทูตฝรั่งเศสในสมยั สมเด็จพระ นารายณ์มหาราช ไดม้ ีการกล่าวถึงการแสดงโขนวา่ เป็ นการเตน้ ออกท่าทาง ประกอบกบั เสียงซอและเคร่ืองดนตรีประเภท ต่าง ๆ ผแู้ สดงจะสวมหนา้ กากปิ ดบงั ใบหนา้ ตนเองและถืออาวธุ โขนเป็นจุดศูนยร์ วมของศาสตร์และศิลป์ หลากหลายแขนงเช่น วรรณกรรม วรรณศิลป์ นาฏศิลป์ คีตศิลป์ หตั ถศิลป์ โดยนาเอาวิธีเล่นและการแต่งตวั บางชนิดมาจากการเล่นชกั นาคดึกดาบรรพ์ มีท่าทางการต่อสู้ท่ีโลดโผน ท่ารา ท่าเตน้ เช่น ท่าปฐมในการไหวค้ รูของกระบ่ีกระบอง รวมท้งั การนาศิลปะการพากย์ การเจรจา หน้าพาทย์และเพลงดนตรีเขา้ มา ประกอบการแสดงในการแสดงโขน ลกั ษณะสาคญั อยู่ที่ผูแ้ สดงตอ้ งสวมหวั โขน ซ่ึงเป็ นเครื่องสวมครอบหุ้ม ต้งั แต่ศีรษะ ถึงคอ เจาะรูสองรูบริเวณดวงตาใหส้ ามารถมองเห็น แสดงอารมณ์ผา่ นทางการร่ายรา สร้างตามลกั ษณะของตวั ละครน้นั ๆ เช่น ตวั ยกั ษ์ ตวั ลิง ตวั เทวดา ฯลฯ ตกแต่งดว้ ยสี ลงรักปิ ดทอง ประดบั กระจก บา้ งกเ็ รียกวา่ หนา้ โขน ในสมยั โบราณ ตวั พระและตวั เทวดาต่างสวมหวั โขนในการแสดง ต่อมาภายหลงั มีการเปลี่ยนแปลงไม่ตอ้ งสวม หวั โขน คงใช้ใบหนา้ จริงเช่นเดียวกบั ละคร แต่งกายแบบเดียวกบั ละครใน เครื่องแต่งกายของตวั พระและตวั ยกั ษ์ในสมยั โบราณมกั มีสองสีคือ สีหน่ึงเป็ นสีเส้ือ อีกสีหน่ึงเป็ นสีแขนโดยสมมุติแทนเกราะ เป็ นลายหนุนประเภทลายพุ่ม หรือ ลายกระจงั ตาออ้ ย ส่วนเคร่ืองแต่งกายตวั ลิงจะเป็นลายวงทกั ษิณาวรรต โดยสมมุติเป็นขนของลิงหรือหมี ดาเนินเรื่องดว้ ยการ
กล่าวคานาเล่าเรื่องเป็นทานองเรียกวา่ พากยอ์ ยา่ งหน่ึง กบั เจรจาเป็ นทานองอยา่ งหน่ึง ใชก้ าพยย์ านีและกาพยฉ์ บงั โดยมีผใู้ ห้ เสียงแทนเรียกวา่ ผพู้ ากยแ์ ละเจรจา มีตน้ เสียงและลูกคู่ร้องบทให[้ 9] ใชว้ งป่ี พาทยเ์ ครื่องหา้ ประกอบการแสดง นิยมแสดงเรื่อง รามเกียรต์ิและอุณรุท ปัจจุบนั สถาบนั บณั ฑิตพฒั นศิลป์ มีหน้าที่หลกั ในการสืบทอดการฝึ กหัดโขน และกรมศิลปากร มี หนา้ ที่ในการจดั การแสดง ------------------------------------------------------------------- เอกสารอ้างอิง ประดิษฐ์ อินทนิล . ดนตรีไทยและนาฏศิลป์ ไทย ,ชมเดก็ . WWW.Banrumthai.com WWW.Thaidance.com http://Th.wikidedia.org/
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: