Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ตารางท่ี 1 ความชกุ ของโรคไมเกรนและลักษณะประชากรในนสิ ติ แพทย์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ลักษณะของประชากร รวม กลุ่มเป็นไมเกรน กลมุ่ ทม่ี คี วามเส่ียง กลุ่มปกติ p-value N (%) เป็นไมเกรน N (%) N (%) เพศ 149 (41.2) 12 (32.4) 55 (38.2) 82 (45.3) ชาย หญิง 213 (58.8) 25 (67.6) 89 (61.8) 99 (54.7) 0.227 อายุ 17-20 175 (48.3) 15 (40.5) 75 (52.1) 85 (47.0) 21-30 130 (35.9) 15 (40.5) 49 (34.0) 66 (36.5) >24 57 (15.8) 7 (19.0) 20 (13.9) 30 (16.5) 0.742 ชัน้ ปีการศกึ ษาปัจจบุ ัน พรีคลินิก 222 (61.3) 22 (59.5) 89 (61.8) 111 (61.3) คลนิ กิ 140 (38.7) 15 (40.5) 55 (38.2) 70 (38.7) 0.966 ผลการเรยี น >3.00 325 (89.8) 30 (88.2) 135 (94.4) 160 (91.9) <3.00 37 (10.2) 4 (11.8) 8 (5.6) 14 (8.01) 0.421 เกณฑด์ ชั นีมวลกาย (กก./ม2) นา้ํ หนกั น้อย <18.5 55 (15.2) 8 (21.6) 22 (15.3) 25 (13.8) น้าํ หนกั ปกติ 18.5-22.9 191 (52.8) 19 (51.4) 78 (54.2) 94 (51.9) อ้วน >23 116 (32.0) 10 (27.0) 44 (30.5) 62 (34.3) 0.737 คา่ ใชจ้ ่ายต่อเดอื น <3,000 บาท 8 (2.2) 1 (2.7) 3 (2.1) 4 (2.2) 3,001-6,000 บาท 58 (16.0) 4 (10.8) 22 (15.3) 32 (17.7) 6,001-9,000 บาท 89 (24.6) 14 (37.8) 24 (16.6) 51 (28.2) >9,000 บาท 207 (57.2) 18 (48.7) 95 (66.0) 94 (51.9) 0.072 ประวตั โิ รคไมเกรนในครอบครวั ไมม่ ีประวัติโรค 318 (87.9) 29 (78.4) 125 (86.8) 164 (90.6) มีประวัตโิ รค 44 (12.1) 8 (21.6) 19 (13.2) 17 (9.4) 0.103 รวม 362 (100.00) 37 (100.0) 144 (100.0) 181 (100.0) จากผลการวเิ คราะหป์ จั จยั เสยี่ งของการเกดิ อาการปวดศรี ษะ อย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=0.039) อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์ ไมเกรนแบบเอกนาม (univariate analysis) พบว่า การมีประวัติ ผลแบบพหุนาม (multivariate analysis) โดยพิจารณาจากทุก บคุ คลในครอบครวั เปน็ โรคไมเกรนจะเพม่ิ โอกาสการเปน็ โรคไมเกรน ตัวแปรพร้อมกัน ไม่พบลักษณะใดเป็นปัจจัยเพ่ิมโอกาสเป็นโรค โดย odds ratio [OR] เทา่ กบั 2.66 95%CI=1.05-6.74) แตกตา่ ง ไมเกรนอยา่ งมนี ัยส�ำ คญั ทางสถิติ ดังในตารางท่ี 2 hscr ISSUE 2 39
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ตารางที่ 2 วเิ คราะหป์ ัจจยั ของอาการปวดไมเกรนระหวา่ งกลุ่มทเ่ี ปน็ ไมเกรนกบั กลุ่มทมี่ คี วามเสยี่ งเปน็ โรคไมเกรน ลักษณะทว่ั ไป Crude OR(95%CI) a P-value Adjust OR(95%CI) b P-value เพศ ชาย 1 1 หญงิ 1.73 (0.82-3.65) 0.153 1.60 (0.70-3.66) 0.267 อายุ 17-20 1 1 21-30 1.29 (0.59-2.82) 0.527 1.16 (0.30-4.49) 0.828 >24 1.32 (0.49-3.56) 0.580 0.69 (0.15-3.13) 0.629 ชัน้ ปกี ารศกึ ษาปจั จุบนั พรคี ลนิ ิก 1 1 คลนิ ิก 1.08 (0.53-2.22) 0.832 1.00 (0.28-3.59) 0.995 ผลการเรยี น >3.00 1 1 <3.00 1.52 (0.47-4.95) 0.483 1.28 (0.35-4.73) 0.711 เกณฑ์ดชั นีมวลกาย (กก./ม2) นํา้ หนกั นอ้ ย <18.5 1 1 นํา้ หนกั ปกติ 18.5-22.9 0.63 (0.25-1.61) 0.336 0.81 (0.29-2.25) 0.687 อ้วน >23 0.50 (0.18-1.43) 0.196 0.70 (0.22-2.28) 0.554 คา่ ใชจ้ ่ายตอ่ เดอื น <3,000 บาท 1 1 3,001-6,000 บาท 0.50 (0.04-5.65) 0.575 0.45 (0.04-5.44) 0.532 6,001-9,000 บาท 1.09 (0.11-10.63) 0.936 1.09 (0.11-11.23) 0.941 >9,000 บาท 0.77 (0.08-7.26) 0.816 0.65 (0.06-6.63) 0.717 ประวตั ิโรคไมเกรนในครอบครวั ไมม่ ปี ระวตั โิ รค 1 1 มปี ระวัติโรค 2.66 (1.05-6.74) 0.039 2.46 (0.87-6.93) 0.090 หมายเหต:ุ a ค�ำ นวณโดยใหล้ ักษณะปัจจยั แยกเป็นอิสระตอ่ กนั โดยใชก้ ารวเิ คราะหถ์ ดถอยโลจิสติก (multivariablelogistic regression analysis) b คำ�นวนโดยพิจารณาลกั ษณะปจั จยั ทง้ั หมดประกอบด้วย เพศ อายุ ช้นั ปกี ารศึกษา ผลการเรียน เกณฑ์ดชั นีมวลกาย คา่ ใชจ้ า่ ย ต่อเดอื นและประวัติโรคไมเกรนในครอบครัว hscr ISSUE 2 40
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 จากผลการศึกษาปัจจัยกระตุ้นอาการปวดศีรษะในกลุ่ม คน (รอ้ ยละ 82.6) ความเครยี ดจากการเรยี น (รอ้ ยละ 77.8) และ เป็นไมเกรนและกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นไมเกรน พบว่าในกลุ่มเป็น การจอ้ งหรอื เพง่ มองเป็นเวลานาน จ�ำ นวน 99 คน (ร้อยละ 68.8) ไมเกรน ปจั จัยกระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรนมากท่ีสดุ 3 อนั ดบั ตามล�ำ ดบั อยา่ งไรกต็ าม เมือ่ เปรียบเทยี บปจั จัยกระต้นุ ทง้ั 2 กลุ่ม แรก คือ ความเครยี ดจากการเรียน จำ�นวน 31 คน (รอ้ ยละ 83.8) พบว่าการดื่มกาแฟ การอยู่ในท่ีร้อนหรือเย็นเกินไป การมอง การนอนไมเ่ พียงพอ จำ�นวน 30 คน (ร้อยละ 81.1) และการจอ้ ง แสงสวา่ งจา้ เกนิ ไป และการมปี ระจ�ำ เดอื น เปน็ ปจั จยั กระตนุ้ อาการ หรอื เพง่ มองมากเกินไป จ�ำ นวน 24 คน (ร้อยละ 64.9) ตามล�ำ ดบั ปวดศรี ษะในกลมุ่ เปน็ ไมเกรนอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p=0.037, ในกลุ่มที่มีความเส่ียงเป็นไมเกรน ปัจจัยกระตุ้นอาการปวดศีรษะ 0.042, <0.001, 0.017 ตามลำ�ดับ) ดังในตารางท่ี 3 มากที่สดุ 3 อนั ดับแรก คอื การนอนหลับไมเ่ พยี งพอจ�ำ นวน 119 ตารางที่ 3 ปจั จยั กระตนุ้ อาการปวดศรี ษะจ�ำ แนกตามกลมุ่ ทเี่ ปน็ ไมเกรนและกลมุ่ ทม่ี โี อกาสเสยี่ งเปน็ โรคไมเกรน ในนสิ ติ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปัจจัยกระตุ้นอาการของโรคไมเกรน กลุม่ เป็นโรคไมเกรน กลุม่ มโี อกาสเสย่ี งเปน็ โรคไมเกรน P-value N (%) N (%) ด้านความเครียด 31 (83.8) 112 (77.8) 0.503 เครยี ดจากการเรียน 19 (51.4) 70 (48.6) 0.854 เครียดจากชีวติ ประจำ�วัน 7 (18.9) 18 (12.5) 0.298 เครียดจากปญั หาครอบครวั 30 (81.1) 119 (82.6) 0.812 ด้านการพกั ผ่อน 18 (48.7) 62 (43.1) 0.581 นอนไมพ่ อ 8 (21.6) 37 (25.7) 0.675 นอนหลับไมเ่ ปน็ เวลา 3 (8.1) 19 (13.2) 0.575 นอนมากเกินไป 8 (21.6) 58 (40.3) 0.037 ด้านอาหาร 12 (32.4) 45 (31.3) 1.000 ดืม่ แอลกอฮอล ์ 1 (2.7) 1 (0.7) 0.368 ดื่มกาแฟ 14 (37.8) 45 (31.3) 0.440 ด่มื ชา 24 (64.9) 99 (68.8) 0.695 เครอ่ื งดมื่ ชกู �ำ ลัง 23 (62.2) 61 (42.4) 0.042 ด้านสภาพแวดลอ้ ม 6 (16.2) 21 (14.6) 0.798 เสียงดงั 2 (5.4) 4 (2.8) 0.604 จอ้ งหรอื เพ่งมองเป็นเวลานาน 22 (59.5) 29 (20.1) <0.001 อยูใ่ นสภาพแวดลอ้ มทรี่ ้อนหรือเย็นมากเกนิ ไป 4 (10.8) 6 (4.2) 0.123 ควันบหุ ร ี่ 16 (43.2) 60 (41.7) 0.854 ลมพดั 13 (35.1) 34 (23.6) 0.206 แสงสวา่ งจา้ เกินไป 11 (29.7) 28 (19.4) 0.184 ดมกลน่ิ ฉนุ 12 (32.4) 21 (14.6) 0.017 ด้านร่างกาย เคล่อื นไหวศีรษะและคอ รสู้ กึ หิว การอดอาหาร การมปี ระจำ�เดอื น hscr ISSUE 2 41
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 จากผลการศึกษาปัจจัยบรรเทาอาการปวดศรีษะในกลุ่มที่ คน (ร้อยละ 82.6) รบั ประทานยา จำ�นวน 91 คน (ร้อยละ 63.2) เปน็ ไมเกรนและกลมุ่ ทเี่ สยี่ งเปน็ ไมเกรน พบวา่ ในกลมุ่ ทเ่ี ปน็ ไมเกรน และการนวดบริเวณ ศีรษะ จำ�นวน 63 คน (ร้อยละ 43.8) ตาม ปจั จยั บบรรเทาอาการมากทสี่ ดุ 3 อนั ดบั แรก คอื การหยดุ พกั เมอื่ มี ลำ�ดับ อย่างไรก็ตาม เม่ือเปรียบเทียบปัจจัยทั้ง 2 กลุ่มพบว่าการ อาการ จ�ำ นวน 31 คน (รอ้ ยละ 83.8) รบั ประทานยา จ�ำ นวน 25 คน อยู่ในท่ีมืด การประคบเย็นบริเวณศีรษะต้นคอ และการประคล (ร้อยละ 67.6) และการอยู่ในที่มืด จำ�นวน 14 คน (รอ้ ยละ 37.8) ร้อนบริเวณต้นคอเป็นปัจจัยบรรเทาอาการปวดศีรษะในกลุ่มเป็น ตามลำ�ดับ ในกลุ่มเส่ียงเป็นไมเกรน พบว่า ปัจจัยบรรเทาอาการ ไมเกรนอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=0.011, 0.030, 0.008 ตาม มากท่ีสุด 3 อนั ดบั แรก คอื การหยุดพกั เมอ่ื มีอาการ จ�ำ นวน 119 ล�ำ ดบั ดงั ในตารางท่ี 4 ตารางที่ 4 ปจั จัยบรรเทาอาการปวดศีรษะจ�ำ แนกตามกล่มุ ท่ีเป็นโรคไมเกรนและกลมุ่ ที่มโี อกาสเส่ียงเปน็ โรคไมเกรนและกลุ่มท่ีมี โอกาสเส่ียงเปน็ โรคไมเกรน ในนิสติ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปัจจยั บรรเทาอาการของโรคไมเกรน กลุม่ เปน็ โรคไมเกรน กล่มุ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไมเกรน P-value N (%) N (%) อยใู่ นทม่ี ดื 14 (37.8) 24 (16.7) 0.011 หยดุ พักเมื่อมีอาการ 31 (83.8) 119 (82.6) 1.000 นวดบริเวณศีรษะ 12 (32.4) 63 (43.8) 0.263 ประคบเย็นบริเวณศรี ษะและตน้ คอ 8 (21.6) 11 (7.6) 0.030 ประคบร้อนบริเวณศีรษะและต้นคอ 3 (8.1) 0.008 รบั ประทานยา 25 (67.6) 0 (0) 0.703 91 (63.2) จากการศึกษาผลกระทบของโรคไมเกรนต่อการใช้ชีวิต มนี ัยส�ำ คญั ทางสถิติ (p=0.014, <0.001, 0.020, <0.001, 0.006 ประจำ�วันและการเรียนของนิสิตแพทย์เม่ือเปรียบเทียบกลุ่มที่เป็น ตามล�ำ ดบั ) และเมอ่ื แปลผลเปน็ Migraine disability level พบวา่ ไมเกรนและกล่มุ ท่ีเส่ียงเป็นไมเกรน พบวา่ กล่มุ ทเี่ ปน็ ไมเกรนได้รบั นสิ ติ ทเ่ี ปน็ โรคไมเกรนและมโี อกาสเสยี่ งเปน็ โรคไมเกรน สว่ นใหญม่ ี ผลกระทบจากการปวดศีรษะมากขึ้นท้ัง 3 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย ผลกระทบตอ่ การใชช้ วี ติ ประจ�ำ วนั และการเรยี นจดั อยใู่ นระดบั ไมม่ ี ด้านการเรียนและการทำ�งาน (ประกอบด้วยคำ�ถามที่ 1 และ 2) หรอื มกี ารสญู เสยี ความสามารถนอ้ ยมาก (Little or none) ทง้ั สอง ด้านการทำ�งานครัวเรือน (ประกอบด้วยคำ�ถามที่ 3 และ 4) และ กลมุ่ ซงึ่ มจี �ำ นวน 13 คน (รอ้ ยละ 35.1) และ 90 คน (รอ้ ยละ 63.4) ดา้ นการท�ำ กจิ กรรมรว่ มกบั ครอบครวั และสงั คม (ค�ำ ถามที่ 5) อยา่ ง ตามล�ำ ดับ ดังแสดงในตารางท่ี 5 hscr ISSUE 2 42
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ตารางท่ี 5 ผลกระทบจากการปวดศรี ษะตอ่ การใชช้ วี ติ ประจ�ำ วนั และการเรยี น จ�ำ แนกตามกลมุ่ ทเี่ ปน็ โรคไมเกรนและกลมุ่ ทมี่ โี อกาสเสยี่ ง เปน็ โรคไมเกรน ลักษณะข้อมูล กลมุ่ เปน็ โรค กลมุ่ มโี อกาสเส่ียงเปน็ P-value ไมเกรน โรคไมเกรน Median (IQRs) Median (IQRs) คำ�ถาม 0 (0-0) 0 (0-0) 0.014 1. มจี �ำ นวนวนั ในช่วง 3 เดอื นท่ีผา่ นมา 2 (1-5) 1 (0-2.5) <0.001 ทีท่ า่ นหยดุ งานหรือหยดุ เรยี นเนือ่ งจากอาการปวด ศีรษะของท่าน 1 (0-2) 0 (0-2) 0.020 2. มจี ำ�นวนวนั ในช่วง 3 เดอื นทผี่ ่านมา 1 (0-2) 0 (0-2) 0.020 ทค่ี วามสามารถในการท�ำ งานหรอื การเรียนของท่าน ลดลงจากปกติครง่ึ หน่งึ หรอื มากกว่า 1 (0-4) 0 (0-1) 0.006 เนือ่ งจากอาการปวดศรี ษะของทา่ น (ไม่รวมวนั ทท่ี า่ น นับในขอ้ 1 ทที่ ่านหยุดงานหรอื หยดุ เรยี น) 3. มจี ำ�นวนวนั ในชว่ ง 3 เดือนที่ผา่ น ทที่ ่านไม่ไดท้ �ำ งานครัวเรือน(เช่น งานบ้าน, ซอ่ มแซม/บ�ำ รุงบา้ น, ซอ้ื ของ, ดูแลเดก็ และญาติ) เนื่องจากอาการปวดศรี ษะของท่าน 4. มีจำ�นวนวนั ในช่วง 3 เดือนทผ่ี ่านมา ที่ความสามารถในการท�ำ งานครวั เรอื นของทา่ น ลดลงจากปกติคร่ึงหนึ่งหรอื มากกวา่ เนอื่ งจากอาการปวดศีรษะของทา่ น (ไมร่ วมวันท่ีท่านนับในข้อ 3 ทท่ี ่านไม่สามารถทำ�งานครวั เรือน) 5. มีจ�ำ นวนวนั ในช่วง 3 เดอื นที่ผ่านมา ท่ที า่ นไม่สามารถท�ำ กิจกรรมร่วมกบั ครอบครัว สงั คม หรอื กลุ่มเพื่อนเนื่องจากอาการปวดศีรษะของท่าน hscr ISSUE 2 43
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ตารางที่ 6 Migraine disability score, median (IQRs) กลุ่มเปน็ โรคไมเกรน กลมุ่ มีโอกาสเส่ยี ง P-value N (%) เป็นโรคไมเกรน 0.009 ลักษณะข้อมลู 10 (4-19) 4 (1-8) Migraine disability score, median (IQRs) 13 (35.1) 90 (63.4) Little/none 7 (18.9) 22 (15.5) Mild 9 (24.4) 17 (12.0) Moderate 8 (21.6) 14 (9.1) Severe อภิปรายผล จากผลการศึกษาความชุก ปัจจัยกระตุ้นและปัจจัยบรรเทา น้อยกว่างานวิจยั ของ University of Hail15 ทีพ่ บความชุกคดิ เป็น อาการของโรคไมเกรน และผลกระทบของโรคไมเกรนต่อการใช้ รอ้ ยละ 12.7 งานวจิ ยั ของ Hormozgan University16 พบความชกุ ชวี ติ ประจ�ำ วนั และการเรยี นในนสิ ติ แพทย์ ชน้ั ปที ่ี 1-6 มหาวทิ ยาลยั รอ้ ยละ 16.3 งานวจิ ยั Kuwait University17 ซงึ่ พบความชกุ รอ้ ยละ นเรศวร ในปี 2562 พบความชุกของโรคไมเกรนในนิสิตแพทย์ 27.9 และ งานวจิ ยั จาก South India8 ทพ่ี บความชกุ ร้อยละ 30 จ�ำ นวน 37 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 10.2 (เพศชายรอ้ ยละ 32.4 และเพศ ซง่ึ ความแตกตา่ งของความชกุ การเกดิ ไมเกรนในแตล่ ะการศกึ ษานนั้ หญงิ รอ้ ยละ 67.6) พบวา่ นสิ ติ แพทยท์ เ่ี ปน็ โรคไมเกรนเปน็ เพศหญงิ เกดิ จากหลายปจั จยั เชน่ จ�ำ นวนกลมุ่ ตวั อยา่ งแตกตา่ งกนั มรี ปู แบบ มอี ายใุ นชว่ ง 17-23 ปี อยใู่ นระดบั ชนั้ พรคี ลนิ กิ มรี ะดบั ผลการเรยี น การเรียนแตกต่างกัน ความแตกต่างกันทางเช้ือชาติ วิธีการศึกษา ≥3.00 มีดัชนีมวลกายในเกณฑ์ปกติ มีค่าใช้จ่าย มากกว่า 9,000 และพฤตกิ รรม เป็นตน้ บาทต่อเดือน และไม่มีประวัติโรคไมเกรนในครอบครัว แต่เม่ือนำ� ด้านปัจจัยกระตุ้นท่ีทำ�ให้เกิดอาการของโรคไมเกรนในกลุ่ม ลักษณะดังกล่าวมาคำ�นวรความแตกต่างทางสถิติโดยใช้โปรแกรม คนเปน็ โรคไมเกรนพบวา่ เครยี ดจากการเรียน และการนอนไมพ่ อ คำ�นวณส�ำ เรจ็ รปู ทางคอมพวิ เตอร์พบวา่ ไมม่ คี วามแตกตา่ งอย่างมี เปน็ ปัจจยั สำ�คัญ 2 อันดับแรก ซึง่ สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ Soo- นยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ มเี พยี งประวตั โิ รคไมเกรนในครอบครวั ทสี่ มั พนั ธ์ chow university14 แตไ่ ม่มคี วามแตกตา่ งกันอยา่ งมีนัยส�ำ คัญทาง กับการเกิดโรคไมเกรน ซ่ึงสอดคล้องกับผลวิจัยของ Soochow สถิติ ดังนั้นในแผนแนวทางป้องกันโรคไมเกรน อาจมีการเน้นการ university14 ใหค้ วามรู้ในเรื่องของการจดั การความเครยี ดจากการเรียนและการ สว่ นดงั นน้ั ในอนาคตหากมกี ารจดั ท�ำ แผนหรอื แนวทางในการ ท�ำ งาน สว่ นการดืม่ กาแฟ การอย่ใู นทรี่ ้อนหรอื เยน็ มากเกินไป การ ป้องกันโรคไมเกรนในนิสิตแพทย์ข้ึน อาจมีการพิจารณาให้ความ มองเห็นแสงสวา่ งจ้า และการมีประจ�ำ เดือน แตกตา่ งกันอย่างมีนัย สำ�คัญในส่วนของประวัติโรคไมเกรนทางพันธุกรรมมากขึ้น เพื่อ ส�ำ คญั ทางสถติ เิ มอ่ื เทยี บกบั กลมุ่ มโี อกาสเสย่ี งเปน็ โรคไมเกรน และ ใช้ป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคไมเกรนในนิสิตแพทย์กลุ่มนี้ได้ พบว่าการหยุดพักเมื่อมีอาการ การรับประทานยา และการอยู่ใน มากข้ึน ส่วนในด้านความชุกการเกิดโรคไมเกรน เมื่อเปรียบเทียบ ที่มดื เปน็ 3 อันดับแรกของปัจจยั บรรเทาทสี่ ำ�คัญ ซ่งึ สอดคล้องกบั กับงานวิจัยอื่น พบว่างานวิจัยน้ีมีความชุกมากกว่า งานวิจัยของ งานวิจัยของ Jazan university6 เเละงานวจิ ัยของ University of Jazan university6 ทมี่ ีความชกุ รอ้ ยละ 5 งานวจิ ัยของ Trakya Hail15 เมอื่ เปรยี บเทยี บปัจจยั บรรเทาในคนสองกลุ่มพบวา่ การอยู่ university13 ทม่ี คี วามชกุ รอ้ ยละ 7.2 และงานวจิ ยั ของ Soochow ในท่ีมืด การประคบร้อนเเละประคบเย็นบริเวณศีรษะเเละคอ university14 พบความชุกร้อยละ 7.9 เเต่ความชุกในงานวิจัยน้ี เเตกตา่ งกันอยา่ งมีนยั ส�ำ คัญทางสถติ ิ hscr ISSUE 2 44
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 อย่างไรก็ตามในงานวิจัยนี้ได้ศึกษาปัจจัยเพียงส่วนหนึ่ง มืด ซ่ึงผลกระทบของโรคไมเกรนต่อการใช้ชีวิตประจำ�วันและการ เท่าน้ัน ปัจจัยด้านการเป็นโรคกระเพาะ โรคความวิตกกังวล การ เรยี นของนสิ ติ พบวา่ สว่ นใหญไ่ ดร้ บั ผลกระทบในระดบั ไมม่ หี รอื นอ้ ย ใชส้ ารเสพตดิ การใชย้ าสมนุ ไพร ยาทใ่ี ชป้ ระจ�ำ และการสบู บหุ รเี่ ปน็ มาก แต่ยังมีกลุ่มนิสิตจำ�นวนหน่ึงที่ได้รับผลกระทบในระดับมาก ปัจจยั ทไี่ ม่ได้ศึกษาในงานวิจยั น้ี ซึ่งโรคไมเกรนยังเป็นปัญหาในนิสิตแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร การศึกษาผลกระทบจากการปวดศีรษะไมเกรนตอ่ การเรียน จึงจำ�เป็นต้องมีผู้เข้าไปดูแลและให้ความรู้ ความเข้าใจเพื่อลด การทำ�งาน การใชช้ วี ติ ประจำ�วนั และการเขา้ สังคมของนิสติ แพทย์ ผลกระทบของโรคไมเกรนต่อการใช้ชีวิตประจำ�วันและการเรียน โดยใช้ Thai-MIDAS13 พบว่านิสิตกลุ่มที่เป็นโรคไมเกรนได้รับผล ของนิสิตแพทย์ กระทบด้านการเรียน และการทำ�งาน ด้านการทำ�งานครัวเรือน งานวิจัยเรื่องต่อไปควรจัดให้มีระยะเวลาการเก็บข้อมูลที่ และด้านการทำ�กิจกรรมร่วมกับครอบครัวและสังคมมากขึ้นอย่าง มากขึ้นและเพ่ิมจำ�นวนคนที่ให้ความร่วมมือมากขึ้น เพื่อช่วยให้ มีนัยสำ�คัญทางสถิติเม่ือเปรียบเทียบกับกลุ่มท่ีเส่ียงเป็นไมเกรน ข้อมูลมีความน่าเช่ือถือ ควรจำ�แนกประเภทของโรคไมเกรนและ เม่ือจัดคะแนนเป็นระดับพบว่าส่วนใหญ่จัดอยู่ในระดับ ไม่มีหรือ ลงรายละเอียดเก่ยี วกับปัจจัยกระตุ้น และปัจจยั บรรเทา เช่น การ สูญเสียความสามารถน้อยมาก (Little or none) ท้ังในกลุ่มเป็น เครียดจากชีวิตประจำ�วันแบ่งเป็นด้านใดบ้าง หรือรับประทานยา โรคไมเกรนและกลุ่มท่ีมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไมเกรน ซึ่งสอดคล้อง ชนิดใดเพ่ือบรรเทาอาการของโรคไมเกรน เพ่ือให้เข้าใจถึงปัญหา กับผลวิจัยของ Chang Gung university18 ซึ่งการจัดระดับผลก มากข้นึ และควรนำ�ข้อมลู ทไ่ี ดไ้ ปปรบั ใชก้ ับ โครงสร้างหลกั สตู รของ ระทบจะเป็นประโยชน์กับผู้ให้การรักษาในการช่วยตัดสินใจเลือก แพทยศาสตร์ศึกษา เช่น หลังการสอบแต่ละรายวิชาควรมีการจัด การรกั ษาทดี่ ที ีส่ ดุ 13 กจิ กรรมสนทนาแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั หลกั สตู รการเรยี น จากผลการศึกษาทำ�ให้เราตระหนักถึงความชุกของการ การสอนและปญั หาทพ่ี บในระหวา่ งเรยี น ระหวา่ งอาจารยแ์ ละนสิ ติ เกิดโรคไมเกรนในนิสิตแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปัจจัยกระตุ้น นักวิชาการหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในรายวิชานั้นก่อนขึ้นรายวิชา ปัจจัยบรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรนและผลกระทบจาก ใหม่ แล้วนำ�ข้อมูลท่ีได้ไปปรับใช้เพื่อทำ�ให้การเรียนเป็นไปอย่างมี การปวดศีรษะของโรคไมเกรน ซึ่งสามารถนำ�ขอ้ มลู ท่ีได้ไปประเมนิ ประสิทธิภาพมากข้ึนและอาจสามารถลดความชุกการเกิดไมเกรน หาแนวทางปอ้ งกนั และปรบั ใชก้ บั นสิ ติ แพทย์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ในนิสิตแพทย์ได้ อยา่ งเชน่ มกี ารอบรมวธิ กี ารจดั การความเครยี ดใหก้ บั นสิ ติ แพทยง์ าน กิตตกิ รรมประกาศ สอดคล้องงานวจิ ยั ของ Soochow university14 ขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตรจารย์(พิเศษ) ดร.นพ.วัชรพล สรุป ภูนวล, เภสัชกรกิรติ เก่งกล้า, ดร.ดวงกมล ภูนวล, ดร.จิราวรรณ ความชุกของโรคไมเกรนพบได้ค่อนข้างมากในนิสิตคณะ ดเี หลอื และศนู ยแ์ พทยศาสตรศ์ กึ ษาชน้ั คลนิ กิ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร แพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ซง่ึ ปจั จยั กระตนุ้ อาการของโรค โรงพยาบาลศูนย์มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ให้ความอนุเคราะห์ด้าน ไมเกรนทีพ่ บมากคอื เครยี ดจากการเรยี น พักผ่อนไมเ่ พยี งพอ และ ข้อมลู และใหค้ ำ�ปรึกษาท�ำ ใหก้ ารศึกษานสี้ ำ�เรจ็ ไปได้ดว้ ยดี การจอ้ งหรอื เพง่ มองเปน็ เวลานาน สว่ นปจั จยั บรรเทาอาการของโรค ทพี่ บมาก คอื หยดุ พกั เมอื่ มอี าการ รบั ประทานยา และการอยูใ่ นท่ี hscr ISSUE 2 45
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 เอกสารอา้ งอิง 1. Peng KP, Wang SJ. Epidemiology of headache 11. National migriane center. Migraine diagnosis test disorders in Asia-pacific region. National Institutes of [Internet]. [cited 2019 July 19]. Available from: https:// Health 2014;54(4):610-8. www.nationalmigrainecentre.org.uk/migraine-and-head- 2. Bruijn J, Locher H, Passchier J, Dijkstra N, Arts aches /migraine-diagnosis-test. WF. Psychopathology in children and adolescents with 12. Serdar Oztora, Osman Korkmaz, Nezih Dageviren, migraine in clinical studies: a systematic review. Pediatrics Yahya Celik, Ayse Caylan, Mehmet STop, et al. Migraine 2010;6. headaches among university students using id migraine 3. Brna P, Gordon K, Dooley J. Canadian adoles- test as a screening tool. BMC Neurology 2011;11:103. cents with migraine: impaired health-related quality of 13. Kiratikorn Vongvaivanich. Test-Retest Reliability life. Journal of child neurology 2008;23(1):39-43. of the Thai Migraine Disability Assessment (Thai-MIDAS) 4. Hall JE, Guyton AC. Guyton and Hall textbook of Questionnaire in Thai Migraine Patients. The Bangkok medical physiology. 12th ed. Philadelphia, Pa: Saunders/ Medical Journal 2018;14(1):10-5. Kiratikorn Vongvaivanich. Elsevier; 2011:1091. Test-Retest Reliability of the Thai Migraine Disability 5. รุ่งรัตน์ ระย้าเเก้ง, วัลลี สัตยาศัย. ความเครียดของนิ Assessment (Thai-MIDAS) Questionnaire in Thai Migraine สิตเเพทย์ช้ันปีท่ี 4-6 กรณีศึกษาศูนย์แพทศาสตรศึกษาช้ันคลินิก Patients. The Bangkok Medical Journal 2018;14(1):10-5. โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก. Thammasat Medical 14. Xiao Gu, Yaojie Xie. Migraine attacks among Journal 2013;13(1):17-23. medical students in Soochow University, Southeast 6. Ameera Akoour, Wejdan Shabi, Asrar Ageeli, China: a cross-sectional study. Journal of Pain Research Kadejah Najmi and Yousif Hassan. Prevalence of Migraine 2018;11:771-81. Among Medical Students in Jazan University and Its 15. Abdullah Hammad Alharbi, Saleh H. Alharbi, Impact on Their Daily Activities. The Egyptian Journal of Alanoud Mansour Ayed Albalawi, Ali M. Alshdokhi, Hospital Medicine. 2018;70(5):872-76. Munirah Nasser Nayed Alsiraa, Munirah Hamdan Alkhrisi, et 7. มารยาท โยทองยศ, ผศ.ปราณี สวสั ดสิ รรพ.์ การก�ำ หนด al. Migraine among Medical and Non-Medical Students of ขนาดของกลุ่มตัวอย่างเพื่อการวิจัย [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: Hail University. The Egyptian Journal of Hospital Medicine ศูนย์บริการวิชาการสถาบันส่งเสริมการวิจัย และพัฒนานวัตกรรม 2018;71. ; 2551 [เขา้ ถงึ เมอื่ 22 กรกฎาคม 2562]. เขา้ ถงึ ได้จาก: http:// 16. Maryam Yazdanparast, Ali Asgher Abrishamiza- www.fsh.mi.th/km/wp-content/ uploads/2014/04/resch. deh, Hamidreze Mahboobi, Aria Omrani, Mahsa Ghasemi, pdf. et al. Prevalence of and factors Associated with Migraine 8. Sowmi Raju, Geetha S. Prevalence of migraine in Medical Students at BanderAbbas, Southern Iran, in among medical students of a tertiary care teaching 2012. Electron Physician 2013;5(3):679-84. medical college and hospital in South India. National 17. Jasem Y AI-Hashel, Samar Farouk Ahmed, Raed Journal of Physiology, Pharmacy and Pharmacology Alroughani, Peter J Goadsby. Migraine among medical 2018;8:1377-83. student in Kuwait University. The Journal of Headache 9. Lipton RB, Dodick D, Sadovsky R, et al. A self- and Pain 2014;15:26. administered screener for migraine in primary care: the ID 18. Ching yen chen, Nan wen yu, Tien hao huang, Migraine TM validation study. Neurology 2003;61:375-82. Wei shin wang, and Ji tseng fang. Harm avoidance and 10. David Bloomfield, Sarah Miller, Nazeli Manukyan, depression, anxiety, insomnia and migraine in fifth-year et al. Migraine diagnosis test. [Internet]. 2018 [cited 2019 medical students in Taiwan. Dovepress 2018;14 :1273-80. July 19]. Available from: https://www.nationalmigraine centre.org.uk/migraine-and-headaches/migraine-diagno- sis-test/. hscr ISSUE 2 46
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 The Comparative Attitude on Bedside Teaching of 3 Medical Educational Center, Clinical Years and Experience on Bedside Teaching in The Faculty of Medicine Naresuan University Siraprapa Konkhrua1, Manthanee Kaewkool1, Anuphong dapang1 Kanjana Ruangchan2, Natlada Kaewkong2, Suwanan Chancheed2, Nattawat Ruangwiroon2 Medical Education Center Uttaradit Hospital ABSTRACT Objective : Bedside teaching is the learning method with the patients which provides the practical application and benefits to the medical students. Besides medical education, the attitude of a medical student is essential to gain experience and knowledge. In this study, the interested in the attitude on the bedside teaching of the medical students have been addressed to investigation. Methods : Quantitative, the cross-sectional analytic study was selected for evaluation. The electronic questionnaire was created for 213 medical students (fourth to sixth education’s year) at Naresuanuni- versity Uttaradit hospital, Buddhachinaraj hospital, and Naresuan university hospital. The confidence of Cronbach’s Alpha coefficient of 0.949 was taken to evaluation for medical students and teachers. Results : The results of the 213 participants were reported. The evaluation of the bedside teaching for Uttaradit Hospital (30.5%), Buddha-chinaraj Hospital (41.8%) and Naresuan University Hospital (27.7%) revealed as follows: not significant for the comparative attitude on bedside teaching of 3 medical educational center. But significant when comparative with clinical years for the procedures (p=0.024 ) and for the overall impression (p=0.014). And significant when compared with experience on bedside teaching for the clinical knowledge (p=0.012) and for the overall impression (p=0.005). In part open-ended questions, the most favorite is to learn from real experience and the most disfavor is pressure from teachers. Suggestion is there should be a comprehensive teaching include history taking, physical examination, diagnosis, treatment, and procedures by pointing out faults and giving sugges- tions. Conclusions : The majority of attitudes on the bedside teaching of medical students in the faculty of medical Naresuan University are positive which agree with all seven attitudes. However, some opinions were found to suggest improving this bedside teaching. The results of this study indicate the necessary data and the guideline to improve and develop the study program in The Faculty of Medicine, which would allow the student to get proper knowledge from the learning method. Keywords : Bedside teaching, Attitude, Medical student Contact : Manthanee Kaewkool Address : Medical Education Center Uttaradit Hospital 38 Jetsadabodin Road, Tha It, Muang, Uttaradit 53000 E-mail : [email protected] hscr ISSUE 2 47
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 การเปรียบเทียบทศั นคตขิ องนสิ ติ แพทย์ช้ันคลินิกระหว่าง 3 ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษา ชั้นคลินิกของมหาวิทยาลัยนเรศวร ระดับช้ันการศึกษาและประสบการณ์ ต่อการเรียนการสอนข้างเตียงผปู้ ว่ ย ศิรประภา ก้อนเครอื 1, มัณฑนี แกว้ กลู 1, อนุพงษ์ ดาปัง1, กาญจนา เรืองชาญ2, นาฏลดา แกว้ กอง2, สุวนนั ท์ จนั จดี 2, ณัฏฐวชั ร เรืองวิรฬุ 2 ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชัน้ คลินกิ โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ บทคัดย่อ วตั ถปุ ระสงค์ : เพื่อเปรียบเทียบทศั นคติทง้ั 7 ดา้ น ของนิสติ แพทย์ 3 ศนู ย์ ระดับการศกึ ษาและประสบการณ์ในการเรยี นการ สอนขา้ งเตียงผปู้ ่วย วธิ กี ารศกึ ษา : รปู แบบเชงิ วเิ คราะหแ์ บบภาคตดั ขวาง (Cross-sectional analytic study) โดยใชแ้ บบส�ำ รวจออนไลนเ์ กบ็ รวบรวม ขอ้ มลู จากนสิ ติ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ชนั้ ปที ี่ 4 ถงึ 6 จ�ำ นวน 3 ศนู ยแ์ พทยศาสตรช์ น้ั คลนิ กิ โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร โรงพยาบาลพุทธชินราช รวมจำ�นวนทั้งสิ้น 213 คน ที่ยินยอมตอบแบบสำ�รวจออนไลน์ ซ่ึง ผวู้ จิ ยั ไดท้ ำ�การทดสอบความน่าเชื่อถอื แบบสอบถามจากผ้สู มคั รใจ 36 คน มีความเชอ่ื มั่น (Cronbach’s Alpha coefficient) ของนิสติ แพทย์เทา่ กับ 0.949 ได้จากโปรแกรมส�ำ เร็จรปู ผลการศึกษา : มผี ู้เขา้ รว่ มการศกึ ษาจ�ำ นวน 213 คน เปน็ นสิ ติ แพทย์ศนู ย์แพทยศาสตรศึกษาช้ันคลินกิ โรงพยาบาลอตุ รดิตถ์ (30.5%) โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช (41.8%) และโรงพยาบาลมหาวิทยาลยั นเรศวร (27.7%) จากการศึกษาทศั นคติของ นสิ ติ แพทย์ ในการเรียนการสอนข้างเตยี งผปู้ ่วย เม่อื เปรียบเทยี บทั้ง 3 ศูนย์ พบว่านิสติ แพทยแ์ ตล่ ะศูนย์ มที ศั นคตใิ นการเรยี นการ สอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ยแตล่ ะดา้ นไมแ่ ตกตา่ งกนั โดยมรี ะดบั ทศั นคตเิ ฉลยี่ รวมทงั้ 7 ดา้ น อยใู่ นระดบั ดมี าก ( x = 3.07, S.D. = 0.30) เปรยี บเทยี บทศั นคตขิ องนสิ ติ แพทยก์ บั ระดบั การศกึ ษา พบวา่ นสิ ติ แพทยแ์ ตล่ ะชนั้ ปี มรี ะดบั ทศั นคตดิ า้ นหตั ถการและดา้ นความ พงึ พอใจโดยรวมแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05 โดยนสิ ติ แพทยท์ งั้ 3 ชนั้ ปี มรี ะดบั ทศั นคตเิ ฉลย่ี รวมทง้ั 7 ดา้ น อย่ใู นระดับดมี าก ( x = 3.07,S.D. = 0.30) และเปรยี บเทยี บทัศนคตขิ องนสิ ติ แพทย์กบั จำ�นวนครงั้ ท่ไี ด้รบั ความร้เู ก่ยี วการเรยี น การสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ย พบวา่ นสิ ติ แพทยม์ รี ะดบั ทศั นคตดิ า้ นความรชู้ นั้ คลนิ กิ และดา้ นความพงึ พอใจโดยรวมแตกตา่ งกนั อยา่ งมี นัยสาํ คัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั 0.05 โดยนสิ ิตแพทยท์ ่ีได้รับความร้เู ก่ียวการเรยี นการสอนข้างเตียงผูป้ ่วยท้ัง 3 กลมุ่ มรี ะดับทศั นคติ เฉลย่ี รวมทั้ง 7 ด้าน อยูใ่ นระดับดีมาก ( x = 3.07,S.D. = 0.30) ในส่วนของคำ�ถามปลายเปิด ส่ิงท่ีชอบมากทีส่ ุด คอื ได้เรียน รูจ้ ากประสบการณจ์ ริง สง่ิ ที่ไม่ชอบมากท่ีสุด คือ ความกดดนั จากอาจารย์ผ้สู อน ข้อเสนอแนะ คือ ควรมีการสอนท่ีครอบคลุม ตัง้ แตซ่ กั ประวัติ ตรวจรา่ งกายวนิ จิ ฉัย รักษา ท�ำ หตั ถการ โดยชี้ขอ้ บกพร่องและให้ขอ้ เสนอแนะ สรปุ : ทศั นคตขิ องนสิ ติ แพทยช์ น้ั คลนิ กิ มหาวทิ ยาลยั นเรศวรตอ่ การเรยี นการสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ยสว่ นมากเปน็ ไปในทางทด่ี ี เหน็ ด้วยกบั ทศั นคติทงั้ 7 ดา้ น แตม่ คี วามคิดเหน็ บางสว่ นให้คำ�แนะน�ำ ในการปรับปรุงการเรียนการสอนข้างเตียงผปู้ ว่ ยสามารถเป็น ขอ้ มูลให้คณะแพทยศาสตรแ์ ละผเู้ กี่ยวข้องนำ�ไปใชป้ ระกอบการวางแผนพฒั นาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกบั ปจั จุบัน คำ�สำ�คัญ: การเรียนการสอนข้างเตยี งผู้ป่วย, ทศั นคติ, นิสติ แพทย์ ติดตอ่ : มณั ฑนี แกว้ กูล สถานท่ตี ดิ ตอ่ : ศูนย์แพทยศาสตรศกึ ษาชัน้ คลินกิ โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ เลขท่ี 38 ถนนเจษฎาบดินทร์ ต�ำ บลท่าอฐิ อำ�เภอเมอื ง จังหวดั อุตรดิตถ์ 53000 อีเมล์ : [email protected] hscr ISSUE 2 48
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 บทนำ� “การเรียนการเกดิ โรคโดยไม่อ่านหนังสือ เปรียบเสมอื นลอ่ ง วธิ ีการศึกษา เรอื ไปในมหาสมทุ รทไี่ มร่ จู้ กั แตก่ ารเรยี นโดยอา่ นหนงั สอื เพยี งอยา่ ง ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง เดียวโดยไม่ดูคนไข้เลย เปรียบเสมือน อยากล่องเรือแต่ไม่เคยไป ประชากร คอื นิสติ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ทะเลเลย” กลา่ วโดย Sir William Osler (1849-1919) ผสู้ นบั สนนุ ชนั้ ปที ่ี 4 ถงึ 6 จาก 3 ศนู ยแ์ พทย์ ไดแ้ ก่ ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชนั้ การเรียนขา้ งเตยี งใหเ้ ปน็ มาตรฐานการเรยี นแพทย1์ คลนิ กิ โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช พษิ ณโุ ลก และ Bedside teaching คอื การเรยี นการสอนขา้ งเตยี งโดยเรยี น โรงพยาบาลมหาวทิ ยาลยั นเรศวร ทง้ั หมด 270 คน กลมุ่ ตวั อยา่ งได้ กับผู้ป่วยโดยตรง ประกอบด้วยทักษะทางการแพทย์ เช่น การซัก มาจากนิสิตแพทยท์ ต่ี อบกลับแบบสอบถามทีใ่ ชใ้ นการศึกษา ไดแ้ ก่ ประวตั ิ ตรวจรา่ งกาย ทราบพยาธิสภาพการเกดิ โรค การตดั สินใจ ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ จำ�นวน การสอื่ สารและความเป็นมอื อาชพี 2 การซักประวตั เิ พยี งอย่างเดียว 70 คน โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก จำ�นวน 73 คน และ สามารถท�ำ ใหว้ นิ จิ ฉัยโรคร้อยละ 56 และถา้ ประกอบกับการตรวจ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร จำ�นวน 70 คน รวมจำ�นวน รา่ งกายสามารถวินิจฉัยได้รอ้ ยละ 733 ทง้ั สิน้ 213 คน การเรยี นการสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ยลดลงอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ในชว่ ง ทศวรรษน้ี เน่ืองด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้ เวลาในการเรียนการสอน เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั และการหาคุณภาพเครือ่ งมอื ขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ยลดลง ระยะเวลาในการเรยี นการสอนทไี่ มเ่ หมาะสม4 เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั Max P และคณะ เผยใหเ้ หน็ วา่ สาเหตทุ ส่ี �ำ คญั ของ ไดแ้ ก่ การเรยี นการสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ยทล่ี ดลงเกดิ จากการมขี อ้ จ�ำ กดั เรอื่ ง ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามข้อมูลพ้ืนฐานของประชากร ได้แก่ เวลาของผู้สอนและส่ิงแวดล้อมภายในโรงพยาบาล1 และการลด เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ จ�ำ นวน ลงของเวลาการเรียนการสอนข้างเตียงในปัจจุบันทำ�ให้เกิดความ ครัง้ ทไี่ ด้รับความรูเ้ กี่ยวการเรียนการสอนข้างเตยี งผปู้ ว่ ย กังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อทักษะทางคลินิกโดยรวมของนิสิต ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามทศั นคติของนสิ ติ แพทย์ต่อการเรยี น แพทย์5 ในทางตรงกันข้าม นิสิตแพทย์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการ การสอนข้างเตียงผู้ป่วย ซึ่งผู้วิจัยนำ�ฉบับภาษาอังกฤษมาจาก เรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วยมีประโยชน์ร้อยละ 99.3 ได้นำ�ความ แบบสอบถามทศั นคตขิ องนสิ ติ แพทยต์ อ่ การเรยี นการสอนขา้ งเตยี ง รู้ท่ีได้จากการเรียนทฤษฎีนำ�มาใช้จริงร้อยละ 95 พึงพอใจกับข้ัน ผู้ป่วย พัฒนาโดย Azzah Aljabarti4 ซึ่งแบบสอบถามประกอบ ตอนการซักประวัติ การตรวจร่างกายในการเรียนร้อยละ 766 จึง ไปด้วย 7 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาด้านการเรียนการสอนข้างเตียง ทำ�ให้ทราบว่าการเรียนการสอนข้างเตียงมีความสำ�คัญต่อนิสิต ผปู้ ว่ ย ความรชู้ นั้ คลนิ กิ การรวบรวมขอ้ มลู (การซกั ประวตั ิ และการ แพทย์ ดังนั้นผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาทัศนคติทั้ง 7 ด้าน ของนิสิต ตรวจร่างกาย) หตั ถการ การสอ่ื สาร การให้และการได้รบั ขอ้ เสนอ แพทย์ ไดแ้ ก่ ดา้ นการพฒั นาการเรยี นการสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ย ดา้ น แนะและความพึงพอใจโดยรวม รวมท้งั สน้ิ 41 ค�ำ ถาม โดยค�ำ ตอบ ความรู้ชน้ั คลนิ ิก ด้านการรวบรวมข้อมลู (การซกั ประวตั แิ ละตรวจ จะเป็นแบบ 4 ตัวเลือกตามมาตราวัดระดับความเห็นด้วย ได้แก่ ร่างกาย) ด้านหัตถการ ด้านการส่ือสาร ด้านการให้และการได้ 1 หมายถึง ไมเ่ ห็นด้วยอย่างยิ่ง 2 หมายถงึ ไม่เหน็ ด้วย 3 หมาย รับข้อเสนอแนะ ด้านความพึงพอใจโดยรวมระหว่างการเรียนการ ถึง เหน็ ดว้ ย 4 หมายถึง เห็นดว้ ยอย่างย่ิง เกณฑ์การแปลผลระดับ สอนข้างเตียงผู้ป่วยในด้านต่างๆ ว่าปัจจัยใดที่ส่งผลให้การเรียน ทศั นคติ มกี ารแปลความหมาย ดังน1้ี 1 การสอนข้างเตียงลดลง และเปรียบเทียบทัศนคติระหว่างศูนย์ คา่ เฉลยี่ 3.26-4.00 หมายถงึ มที ศั นคตติ อ่ การเรยี นการสอน แพทยศาสตร์ศึกษามหาวิทยาลัยนเรศวรชั้นคลินิก ระดับชั้นการ ขา้ งเตียงผ้ปู ว่ ยดมี ากท่ีสดุ ศึกษาและประสบการณ์ต่อการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วยเพื่อ คา่ เฉลยี่ 2.51-3.25 หมายถงึ มที ศั นคตติ อ่ การเรยี นการสอน นำ�ไปเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนพัฒนาการเรียนการสอนให้ ขา้ งเตยี งผ้ปู ่วยดีมาก สอดคล้องกบั นสิ ติ แพทย์ คา่ เฉลยี่ 1.76-2.50 หมายถงึ มที ศั นคตติ อ่ การเรยี นการสอน ข้างเตียงผู้ป่วยดีน้อย hscr ISSUE 2 49
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 คา่ เฉลยี่ 1.00-1.75 หมายถงึ มที ศั นคตติ อ่ การเรยี นการสอน พุทธชินราช และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา ขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ยไมด่ ี และเปน็ ค�ำ ถามเชงิ บรรยาย 3 ค�ำ ถาม ซงึ่ ผวู้ จิ ยั 2562 ทสี่ มคั รใจและยนิ ดใี หค้ วามรว่ มมอื ในการตอบแบบสอบถาม ไดท้ �ำ การทดสอบความนา่ เชอื่ ถอื แบบสอบถามจากผสู้ มคั รใจ 36 คน เกณฑ์การคัดออกอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการวิจัย คือ มคี วามเชอ่ื มนั่ (Cronbach’s Alpha coefficient) ของนสิ ติ แพทย์ นสิ ติ แพทยท์ ไ่ี มต่ อบแบบสอบถามหรอื ตอบแบบสอบถามไมส่ มบรู ณ์ เท่ากับ 0.949 ได้จากโปรแกรมส�ำ เร็จรปู ก�ำ หนดขนาดตัวอยา่ งของการศึกษาแบบสำ�รวจ โดยจำ�นวนท่ีนอ้ ย นิยามศพั ท์ ที่สดุ ทย่ี อมรับได้ของผู้ตอบแบบส�ำ รวจ คอื 187 คน Bedside teaching คอื การเรยี นการสอนขา้ งเตยี ง มคี วาม ตัวแปรท่ีศึกษา ได้แก่ ทัศนคติของนิสิตแพทย์ระหว่างการ สำ�คัญมากในการเรียนการสอนวิชาแพทย์เป็นเวทีที่ ครู อาจารย์ เรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วยด้านการพัฒนาการเรียนการสอนข้าง ผสู้ อนสามารถถา่ ยทอด ความรู้ ความคดิ ทกั ษะในเรอื่ งตา่ งๆ ตลอดจน เตียงผูป้ ่วย ดา้ นความร้ชู น้ั คลินกิ ด้านการรวบรวมขอ้ มลู (การซกั สามารถ สงั เกต พฤติกรรมของลกู ศษิ ยไ์ ด้อย่างใกล้ชดิ และเป็นการ ประวัตแิ ละตรวจร่างกาย) ด้านหัตถการ ด้านการสือ่ สาร ดา้ นการ เรียนในสถานการณ์จริงทั้งสอน การซักประวัติ การตรวจร่างกาย ใหแ้ ละการได้รับข้อเสนอแนะ ด้านความพึงพอใจโดยรวม ทักษะการสื่อสาร เวชจริยศาสตร์ การดูแลแบบองค์รวม การเป็น รูปแบบการศึกษา professionalism และ role model10 Cross-sectional analytic study การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การวิเคราะห์ขอ้ มูล ใช้แบบสำ�รวจออนไลน์เก็บรวบรวมข้อมูลจากนิสิตคณะ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ข้อมูลคำ�นวณโปรแกรมสำ�เร็จรูปทาง แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ันปีที่ 4 ถึง 6 จำ�นวน 3 คอมพวิ เตอร์ สถติ ทิ ใี่ ชว้ เิ คราะหก์ ารกระจายของขอ้ มลู ลกั ษณะทวั่ ไป ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาช้ันคลินิก ได้แก่ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ รายงานเปน็ ความถ่ี และรอ้ ยละ การเปรยี บเทยี บทศั นคตขิ องนสิ ติ โรงพยาบาลพุทธชินราช โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร รวม แพทย์รายงานเป็น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและค่าความ จำ�นวนทงั้ ส้ิน 213 คน ท่ยี นิ ยอมตอบแบบส�ำ รวจออนไลน์ สมั พนั ธ์ วเิ คราะหต์ วั แปรเชงิ กลมุ่ โดยใช้ Kruskal-Wallis test และ เกณฑก์ ารคัดเลอื กอาสาสมัครเข้ารว่ มโครงการวจิ ยั คือ มี วเิ คราะหเ์ ชิงเน้ือหา (content analysis) กำ�หนดค่า p<0.05 สถานภาพความเปน็ นสิ ติ แพทย์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวรทศ่ี กึ ษาอยชู่ นั้ คลนิ กิ ศูนย์แพทยศาสตรศึกษา โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ โรงพยาบาล hscr ISSUE 2 50
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ผลการศกึ ษา 1. ขอ้ มูลลักษณะท่ัวไปของนิสติ แพทย์ ตารางท่ี 1 ลกั ษณะท่ัวไปของนิสติ แพทย์ ลักษณะทศี่ กึ ษา โรงพยาบาลอตุ รดิตถ์ โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช โรงพยาบาล จำ�นวน รอ้ ยละ จำ�นวน รอ้ ยละ มหาวิทยาลัยนเรศวร จำ�นวน รอ้ ยละ เพศ 34 38.2 ชาย 18 27.7 55 61.8 27 45.8 หญิง 47 72.3 89 100 32 54.2 รวม 65 100 15 16.9 59 100 อายุ (ป)ี 26.1 36 40.4 4 6.8 21 17 29.2 31 34.8 12 20.3 22 19 27.7 6 6.7 24 40.7 23 18 15.4 1 1.2 11 18.6 24 10 1.6 22.35 (0.88) 8 13.6 >25 1 (1.08) 37 41.6 23.34 (1.67) เฉลีย่ (ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน) 22.37 50.8 29 32.6 14 23.7 ระดบั การศกึ ษา 18.5 23 25.8 20 33.9 ช้นั ปที ี่ 4 33 30.7 89 100 25 42.4 ช้นั ปที ่ี 5 12 100 59 100 ชั้นปีที่ 6 20 10 11.2 รวม 65 9.2 9 10.1 7 11.9 จำ�นวนครัง้ ทไ่ี ด้รบั ความรูเ้ กยี่ วกบั การเรยี น 13.9 70 78.7 6 10.2 การสอนขา้ งเตยี งผ้ปู ่วย 76.9 1.67 (0.67) 46 77.9 0-5 6 (0.64) 1.66 (0.69) 6-10 9 มากกวา่ 10 50 เฉลยี่ (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน) 1.68 ผตู้ อบแบบสอบถามทงั้ หมด 213 คน ไดแ้ ก่ นสิ ติ แพทย์ ศนู ย์ โรงพยาบาลพทุ ธชินราช อายเุ ฉลี่ยของนสิ ิตแพทย์ คือ 22 ปี และ แพทยศาสตรศึกษาชนั้ คลนิ ิก โรงพยาบาลอุตรดติ ถ์ จำ�นวน 65 คน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร อายุเฉล่ียของนิสิตแพทย์คือ คดิ เป็นรอ้ ยละ 30.5 โรงพยาบาลพุทธชินราช จ�ำ นวน 89 คน คดิ 23 ปี ระดับการศึกษาช้ันปีท่ี 4 ตอบแบบสอบถามมากท่ีสุดใน เปน็ รอ้ ยละ 41.8 และโรงพยาบาลมหาวทิ ยาลยั นเรศวร จ�ำ นวน 59 โรงพยาบาลอตุ รดิตถแ์ ละโรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช จ�ำ นวน 33 และ คน คิดเป็นร้อยละ 27.7 37 คน คดิ เป็นร้อยละ 50.8 และ 41.6 ระดับช้ันศกึ ษาปที ี่ 6 พบ ผลแสดงจ�ำ นวนและรอ้ ยละของขอ้ มลู ลกั ษณะทว่ั ไปของนสิ ติ มากทส่ี ดุ ในโรงพยาบาลนเรศวร จ�ำ นวน 25 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 42.4 แพทย์ ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ โรง ทั้ง 3 ศูนย์แพทยศาสตรชั้นคลินิกพบว่าจำ�นวนครั้งที่ได้รับความรู้ พยาบาลพุทธชนิ ราช และโรงพยาบาลมหาวทิ ยาลัยนเรศวร พบว่า เก่ียวการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วยมากที่สุด คือ มากกว่า 10 เพศหญิงมากกว่าเพศชาย จ�ำ นวน 47, 55 และ 32 คน คิดเป็นร้อย ครง้ั จำ�นวน 50, 70 และ 46 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 76.9, 78.7 และ ละ 72.3, 61.8 และ 54.2 ตามลำ�ดับ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์และ 77.9 ดงั ในตารางท่ี 1 hscr ISSUE 2 51
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 2. เปรียบเทียบทัศนคติทั้ง 7 ด้านของนิสิตแพทย์ช้ันคลินิก 3 ศูนย์ต่อการเรียนข้างเตียงผู้ป่วย ระดับการศึกษา และจำ�นวน ครั้งในการเรยี นการสอนข้างเตยี ง (Bedside Teaching) ตารางท่ี 2 เปรยี บเทยี บทัศนคตขิ องนสิ ิตแพทย์ชน้ั คลินิก 3 ศนู ยต์ ่อการเรยี นข้างเตยี งผู้ป่วย (Bedside Teaching) เฉลย่ี (ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน) คำ�ถาม ระดบั ทศั นคติท้ัง 7 ด้าน p-value 1. การพฒั นาดา้ นการเรยี น โรงพยาบาล โรงพยาบาล โรงพยาบาล คา่ เฉลยี่ รวม 0.209 การสอนข้างเตียงผปู้ ่วย อตุ รดิตถ์ พทุ ธชนิ ราช มหาวทิ ยาลยั 0.988 2. ความรชู้ ้ันคลนิ กิ 3.05 (0.03) 0.917 3.1 (0.36) นเรศวร ดมี าก 3. การรวบรวมขอ้ มูล ดีมาก 0.11 (การซกั ประวัติ และการ 3.01 (0.38) 3.12 (0.44) 3.09 (0.03) 0.734 ตรวจรา่ งกาย) 3.08 (0.34) ดีมาก ดีมาก ดีมาก 0.373 4. หัตถการ ดีมาก 0.894 3.08 (0.36) 3.11 (0.36) 3.12 (0.03) 0.281 5. การสอ่ื สาร 3.15 (0.39) ดมี าก ดีมาก ดมี าก ดีมาก 6. การให้และการได้รับ 3.11 (0.41) 3.14 (0.43) ขอ้ เสนอแนะ ดมี าก ดมี าก 7. ความพงึ พอใจโดยรวม 2.88 (0.56) 2.85 (0.54) 3.02 (0.52) 2.92 (0.04) รวม ดมี าก ดมี าก ดมี าก ดีมาก 3.26 (0.48) 3.16 (0.42) 3.18 (0.48) 3.12 (0.04) ดมี ากทสี่ ุด ดมี าก ดมี าก ดมี าก 3.03 (0.39) 3.08 (0.34) 3.07 (0.35) 3.08 (0.03) ดมี าก ดีมาก ดีมาก ดีมาก 3.08 (0.38) 3.08 (0.34) 3.07 (0.35) 3.08 (0.03) ดมี าก ดีมาก ดมี าก ดมี าก 3.09 (0.29) 3.04 (0.30) 3.10 (0.33) 3.07 (0.30) ดมี าก ดีมาก ดมี าก ดีมาก การเปรียบเทียบทัศนคติของนิสิตแพทย์ในการเรียนการ 3.25) โดยศูนยแ์ พทยศาสตรช้ันคลนิ ิกที่มรี ะดับทัศนคตเิ ฉลี่ยสูงสุด สอนข้างเตียงผู้ป่วยของนิสิตแพทย์แต่ละศูนย์แพทยศาสตรช้ัน คือ ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย คลนิ ิก ซ่งึ ประกอบไปดว้ ย ศนู ย์แพทยศาสตรชัน้ คลนิ กิ โรงพยาบาล นเรศวร (3.10) รองลงมา คือ ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยนเรศวร โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ และโรงพยาบาล โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ (3.09) และต�่ำ สดุ คอื ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษา พุทธชนิ ราช พบวา่ นิสติ แพทยท์ ง้ั 3 ศนู ย์แพทยศาสตรชนั้ คลินกิ มี ชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลพทุ ธชนิ ราช (3.04) และมที ศั นคตใิ นการเรยี น ระดบั ทศั นคตเิ ฉลยี่ รวมทงั้ 7 ดา้ น อยใู่ นระดบั ดมี าก (คา่ เฉลย่ี 2.51- การสอนขา้ งเตียงผู้ป่วยแต่ละด้าน ไมแ่ ตกตา่ งกัน hscr ISSUE 2 52
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ตารางท่ี 3 เปรยี บเทยี บทศั นคตทิ งั้ 7 ดา้ นของนสิ ติ แพทยช์ นั้ คลนิ กิ แตล่ ะระดบั การศกึ ษาตอ่ การเรยี นขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ย (Bedside Teaching) เฉลยี่ (ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน) คำ�ถาม ระดบั ทัศนคตทิ ้ัง 7 ดา้ น p-value ช้นั ปที ี่ 4 ชนั้ ปที ่ี 5 ชั้นปที ี่ 6 ค่าเฉล่ยี รวม 1. การพฒั นาดา้ นการเรียน 3.05 (0.40) 3.09 (0.44) 3.06 (0.36) 3.06 (0.36) 0.314 การสอนข้างเตียงผู้ป่วย ดมี าก ดมี าก ดมี าก ดมี าก 0.598 2. ความรูช้ ้ันคลินิก 0.053 3.07 (0.35) 3.14 (0.37) 3.05 (0.33) 3.09 (0.03) 3. การรวบรวมขอ้ มลู ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดมี าก (การซักประวัติ และการ ตรวจรา่ งกาย) 3.09 (0.46) 3.14 (0.40) 3.17 (0.34) 3.12 (0.03) 4. หัตถการ ดมี าก ดีมาก ดีมาก ดมี าก 5. การส่อื สาร 2.83 (0.59) 2.87 (0.55) 3.03 (0.43) 2.92 (0.04 0.024* ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดมี าก 0.284 6. การใหแ้ ละการไดร้ บั 0.061 ข้อเสนอแนะ 3.22 (0.45) 3.20 (0.50) 3.13 (0.42) 3.12 (0.04) 0.014* 7. ความพึงพอใจโดยรวม ดีมากทีส่ ดุ ดมี าก ดมี าก ดีมาก 0.797 2.99 (0.41) รวม 2.94 (0.43) 3.07 (0.32) 2.99 (0.03) ดีมาก ดมี าก ดีมาก ดีมาก 3.10 (0.41) 3.05 (0.35) 3.08 (0.29) 3.08 (0.03) ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก 3.06 (0.32) 3.07 (0.32) 3.08 (0.26) 3.07 (0.30) ดมี าก ดมี าก ดมี าก ดมี าก *แตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สําคัญทางสถิติ p<0.05 การเปรยี บเทยี บทศั นคตขิ องนสิ ติ แพทยช์ นั้ คลนิ กิ ทงั้ 3 ศนู ย์ ทศั นคตดิ ้านหัตถการ และด้านความพึงพอใจโดยรวม แตกตา่ งกัน แพทยก์ บั ระดบั การศกึ ษา ซงึ่ แบง่ เปน็ ชน้ั ปที ี่ 4, 5 และ 6 พบวา่ นสิ ติ อยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ (p<0.05) ซงึ่ นสิ ติ แพทยช์ นั้ ปที ี่ 4, 5 และ แพทย์ทั้ง 3 ศูนย์มีระดับทัศนคติโดยรวมแต่ละชั้นปีอยู่ในระดับดี 6 มรี ะดบั ทัศนคติดา้ นหัตถการ เฉลย่ี เป็น 2.83, 2.87 และ 3.03 มาก นิสติ แพทย์แต่ละชนั้ ปีมรี ะดับทศั นคตดิ ้านการพัฒนาด้านการ ตามลำ�ดับ และระดบั ทศั นคติดา้ นความพงึ พอใจโดยรวม เฉลย่ี เปน็ เรยี นการสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ย ดา้ นความรชู้ นั้ คลนิ กิ ดา้ นการรวบรวม 3.10, 3.05 และ 3.08 โดยนสิ ติ แพทย์ชัน้ ปีทีม่ รี ะดับทศั นคติเฉลยี่ ข้อมูล (การซักประวัติและการตรวจร่างกาย) ดา้ นการสือ่ สาร และ สูงสุด คือ ช้ันปีท่ี 6 (3.10) รองลงมา คือ ชั้นปีที่ 5 (3.09) และ ด้านการให้และการได้รับข้อเสนอแนะ ไม่แตกต่างกัน แต่มีระดับ ตาํ่ สดุ คอื ช้นั ปีท่ี 4 (3.04) hscr ISSUE 2 53
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ตารางท่ี 4 เปรียบเทียบทัศนคติท้ัง 7 ด้านของนิสิตแพทย์ช้ันคลินิกต่อจำ�นวนครั้งท่ีได้รับความรู้เกี่ยวการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วย เฉล่ีย (สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน) คำ�ถาม ระดบั ทศั นคติทงั้ 7 ดา้ น p-value 0-5 6-10 >10 คา่ เฉลี่ยรวม 1. การพฒั นาดา้ นการเรยี น 3.11(0.45) 3.15 (0.49) 3.05 (0.37) 3.06 (0.36) 0.123 การสอนขา้ งเตียงผปู้ ว่ ย ดีมาก ดมี าก ดมี าก ดมี าก 0.012* 2. ความรูช้ น้ั คลินกิ 0.642 3.02 (0.21) 3.22 (0.41) 3.07 (0.35) 3.09 (0.03) 3. การรวบรวมข้อมลู ดีมาก ดมี าก ดมี าก ดมี าก (การซักประวตั ิ และการ ตรวจรา่ งกาย) 3.08 (0.41) 3.17 (0.46) 3.13 (0.40) 3.12 (0.03) 4. หตั ถการ ดมี าก ดีมาก ดมี าก ดีมาก 5. การสอ่ื สาร 2.78 (0.45) 3.13 (0.70) 2.89 (0.52) 2.92 (0.04) 0.073 ดีมาก ดมี าก ดมี าก ดีมาก 0.869 6. การให้และการได้รับ 0.240 ขอ้ เสนอแนะ 3.06 (0.42) 3.22 (0.47) 3.20 (0.46) 3.12 (0.04) 0.005* 7. ความพึงพอใจโดยรวม ดีมากท่สี ดุ ดมี าก ดีมาก ดมี าก 0.084 2.86 (0.35) รวม 3.20 (0.47) 2.99 (0.37) 2.99 (0.03) ดมี าก ดีมาก ดมี าก ดีมาก 3 (0.45) ดีมาก 3.25 (0.47) 3.07 (0.32) 3.08 (0.03) 3.01 (0.28) ดมี าก ดมี าก ดมี าก ดีมาก 3.19 (0.44) 3.06 (0.27) 3.07 (0.30) ดมี าก ดมี าก ดีมาก *แตกตา่ งกนั อยา่ งมีนัยสาํ คญั ทางสถิติ p<0.05 การเปรยี บเทยี บทศั นคตขิ องนสิ ติ แพทยช์ น้ั คลนิ กิ และจ�ำ นวน ความรูช้ ั้นคลนิ ิก และด้านความพึงพอใจโดยรวม แตกตา่ งกันอยา่ ง ครั้งท่ีได้รับความรู้เก่ียวการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วย โดยแบ่ง มนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ (p<0.05) ระดบั ทศั นคติ ดา้ นความรชู้ น้ั คลนิ กิ ความถที่ นี่ สิ ติ แพทยไ์ ดร้ บั ความรเู้ กย่ี วกบั การเรยี นการสอนขา้ งเตยี ง เฉลยี่ เปน็ 3.02, 3.22 และ 3.07 ตามล�ำ ดบั และระดบั ทศั นคตดิ า้ น ผู้ปว่ ย เป็น 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ นิสิตแพทยท์ ่ีไดร้ ับความรูเ้ ก่ียวการเรยี น ความพงึ พอใจโดยรวม เฉลยี่ เปน็ 3.00, 3.25 และ 3.07 ตามล�ำ ดบั การสอนข้างเตียงผ้ปู ่วยจำ�นวน 0-5 คร้ัง, 6-10 ครั้ง และ มากกว่า โดยนสิ ติ แพทยก์ ลมุ่ ทมี่ รี ะดบั ทศั นคตเิ ฉลย่ี สงู สดุ คอื นสิ ติ แพทยก์ ลมุ่ 10 ครง้ั พบวา่ นสิ ติ แพทยแ์ ตล่ ะกลมุ่ มรี ะดบั ทศั นคตโิ ดยรวมทไี่ ดร้ บั ที่ได้รับความรู้เก่ียวการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วยจำ�นวน 6-10 ความรเู้ กย่ี วการเรยี นการสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ยอยใู่ นระดบั ดมี าก นสิ ติ ครง้ั (3.16) รองลงมา คือ นสิ ิตแพทย์กลมุ่ ท่ีได้รบั ความร้เู กี่ยวการ แพทย์แต่ละกลุ่ม มีระดบั ทัศนคติดา้ นการพฒั นาด้านการเรียนการ เรยี นการสอนขา้ งเตียงผปู้ ่วยจ�ำ นวนมากกวา่ 10 ครั้ง (3.06) และ สอนข้างเตียงผู้ป่วย ด้านการรวบรวมข้อมูล (การซักประวัติและ ตา่ํ สดุ คอื นสิ ติ แพทยก์ ลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั ความรเู้ กย่ี วกบั การเรยี นการสอน การตรวจร่างกาย) ด้านหัตถการ ด้านการส่ือสาร และด้านการให้ ขา้ งเตียงผู้ป่วยจ�ำ นวน 0-5 ครง้ั (3.01) และการไดร้ ับข้อเสนอแนะ ไม่แตกต่างกัน แต่มรี ะดบั ทศั นคติด้าน hscr ISSUE 2 54
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 3. ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการศึกษาทัศนคติของนิสิตแพทย์ชั้น ทั้ง 3 ศูนยแ์ พทยศาสตรศึกษาช้ันคลนิ กิ คลนิ กิ 3 ศนู ยต์ อ่ การเรยี นขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ย (Bedside Teaching) สง่ิ ทช่ี อบมากทส่ี ดุ คอื ไดเ้ รยี นรจู้ ากประสบการณจ์ รงิ จ�ำ นวน โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ 47 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 29.6 รองลงมา คอื อาจารยค์ วบคมุ และสอน สง่ิ ทช่ี อบมากทส่ี ดุ คอื ไดเ้ รยี นรจู้ ากประสบการณจ์ รงิ จ�ำ นวน วธิ ีการทีถ่ กู ตอ้ ง จ�ำ นวน 30 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 18.9 16 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 31.4 รองลงมา คือ ไดฝ้ กึ การซกั ประวตั ิและ สิ่งท่ีไม่ชอบมากท่ีสุด คือ ความกดดันจากอาจารย์ผู้สอน ตรวจร่างกายทถี่ กู ต้อง จ�ำ นวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 19.6 จ�ำ นวน 51 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 32.1 รองลงมา คอื ระยะเวลาในการ สงิ่ ทไี่ มช่ อบมากทสี่ ดุ คอื สภาพแวดลอ้ มไมเ่ หมาะสม จ�ำ นวน เรยี นการสอนข้างเตียงผปู้ ว่ ย จำ�นวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 12.6 8 คน ร้อยละ15.7 รองลงมา คือ อาจารย์ไมเ่ ข้าใจจดุ ประสงค์การ ขอ้ เสนอแนะ คอื ควรมกี ารสอนทคี่ รอบคลมุ ตงั้ แตซ่ กั ประวตั ิ เรยี นการสอนขา้ งเตยี งผ้ปู ว่ ย จำ�นวน 6 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 11.8 ตรวจรา่ งกาย วนิ ิจฉัย รักษา ท�ำ หตั ถการ โดยชขี้ ้อบกพรอ่ งและให้ ข้อเสนอแนะที่มากที่สุด คือ ควรจัดเวลาการเรียนการสอน ขอ้ เสนอแนะ จ�ำ นวน 15 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 9.4 รองลงมา คอื ควร ข้างเตียงใหเ้ หมาะสม เพอ่ื ใหน้ สิ ิตมีเวลาเตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ ม จ�ำ นวน จัดเวลาการเรียนการสอนข้างเตียงให้เหมาะสม เพ่ือให้นิสิตมีเวลา 8 คน ร้อยละ 15.7 รองลงมา คือ ควรมีการสอนที่ครอบคลุม เตรียมตวั ใหพ้ รอ้ ม จำ�นวน 14 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 8.8 ตั้งแต่ซักประวัติ ตรวจร่างกายวินิจฉยั รกั ษา ท�ำ หตั ถการ โดยชขี้ ้อ บกพร่องและให้ขอ้ เสนอแนะ จ�ำ นวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 13.7 อภปิ รายผล จากผลการศึกษาทัศนคติของนิสิตแพทย์ช้ันคลินิก คณะ โรงพยาบาลพุทธชนิ ราช แพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวรต่อการเรียนการสอนข้างเตียง สงิ่ ทช่ี อบมากทสี่ ดุ คอื ไดเ้ รยี นรจู้ ากประสบการณจ์ รงิ จ�ำ นวน ผู้ป่วย ปีการศึกษา 2562 จำ�นวน 213 คน พบว่าในศูนย์แพทย 19 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 27.5 รองลงมา คอื อาจารยค์ วบคมุ และสอน ศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ มที ศั นคตติ อ่ การเรยี น วิธีการทถ่ี ูกตอ้ งจำ�นวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 20.3 การสอนข้างเตียงผ้ปู ่วยในระดบั ดมี ากท่สี ุด ในส่วนของศูนย์แพทย ส่ิงท่ีไม่ชอบมากท่ีสุด คือ ความกดดันจากอาจารย์ผู้สอน ศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร และ จ�ำ นวน 25 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 36.2 รองลงมา คอื ระยะเวลาในการ โรงพยาบาลพทุ ธชินราช พษิ ณุโลก มที ศั นคติต่อการเรียนการสอน เรยี นการสอนข้างเตยี งผู้ป่วย จำ�นวน 11 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 15.9 ข้างเตียงผู้ป่วยในระดับดีมาก เม่ือพิจารณาแต่ละด้าน พบว่านิสิต ข้อเสนอแนะ คือ ความพร้อมของอาจารย์ จำ�นวน 8 คน แพทยท์ ง้ั 3 ศนู ยแ์ พทยศาสตรชน้ั คลนิ กิ มรี ะดบั ทศั นคตใิ นดา้ นของ คิดเป็นร้อยละ 11.6 รองลงมา คือ ควรมีการสอนท่ีครอบคลุม การสอ่ื สาร และด้านการรวบรวมข้อมลู (การซักประวตั ิ และตรวจ ต้ังแต่ซักประวัติ ตรวจร่างกาย วินิจฉัย รักษา ทำ�หัตถการ โดย รา่ งกาย) สงู กวา่ ดา้ นอ่ืน ๆ โดยเฉพาะในเรื่องสามารถขอความรว่ ม ชขี้ อ้ บกพรอ่ งและใหข้ อ้ เสนอแนะ จ�ำ นวน 5 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 7.2 มอื จากผปู้ ว่ ยในการเรยี นการสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ย และ การรวบรวม ขอ้ มลู เพอ่ื ชว่ ยพฒั นาการวนิ จิ ฉยั แยกโรค ซง่ึ ตรงกบั วรรณกรรมของ โรงพยาบาลมหาวทิ ยาลยั นเรศวร Jobaida Sultana และคณะ กล่าวว่า การเรียนการสอนข้างเตียง สง่ิ ทช่ี อบมากทส่ี ดุ คอื ไดเ้ รยี นรจู้ ากประสบการณจ์ รงิ จ�ำ นวน สามารถประยกุ ต์ความรูม้ าใชไ้ ดม้ ากกวา่ การเรยี นแบบบรรยาย 12 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 30.8 รองลงมา คือ ไดฝ้ ึกการซักประวัติและ ผลของทัศนคตทิ ั้ง 3 ศนู ย์ ไม่มคี วามแตกตา่ งกัน เนอื่ งจาก ตรวจรา่ งกายทีถ่ กู ต้อง จำ�นวน 8 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 20.5 ศูนย์แพทย์ทั้ง 3 ศูนย์แพทย์เป็นสถาบันร่วมผลิตแพทย์ ที่มี สิ่งที่ไม่ชอบมากที่สุด คือ ความกดดันจากอาจารย์ผู้สอน ขอ้ ตกลงและลงนามความรว่ มมอื เพอื่ รว่ มผลติ บณั ฑติ แพทยก์ บั คณะ จ�ำ นวน 15 คน รอ้ ยละ 38.5 รองลงมา คือ ระยะเวลาในการเรยี น แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จึงส่งผลให้แต่ละศูนย์แพทย์ การสอนขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ย จำ�นวน 4 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 10.3 ใช้ระบบการจัดการศึกษา การดำ�เนินการ การจัดกิจกรรม และ ขอ้ เสนอแนะทมี่ ากทส่ี ดุ คอื ควรซกั ประวตั แิ ละตรวจรา่ งกาย โครงสร้างของหลักสูตร ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมี ข้างเตียงผู้ป่วยและอภิปรายในห้องเรียน จำ�นวน 6 คน ร้อยละ กลยุทธการสอน การประเมินผล และการพัฒนาคณาจารยไ วเ้ ป็น 15.4 รองลงมา คือ ควรมีการสอนที่ครอบคลุมตั้งแต่ซักประวัติ เป็นแนวทางให้กับแต่ละศูนย์แพทย์ จึงน่าจะส่งผลให้นิสิตแพทย์ ตรวจร่างกาย วนิ ิจฉยั รกั ษา ท�ำ หตั ถการ โดยชีข้ ้อบกพรอ่ งและให้ แตล่ ะศนู ย์แพทยม์ ีทศั นคตทิ ่ไี ม่แตกตา่ งกนั ขอ้ เสนอแนะ จำ�นวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 7.7 hscr ISSUE 2 55
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ในส่วนของการศึกษาเชิงคุณภาพนิสิตแพทย์ 3 ศูนย์ สิ่งที่ การรักษาความลับของผู้ป่วย นิสิตแพทย์ทุกกลุ่มมีระดับทัศนคติ ชอบมากท่ีสุด ในการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วย คือ ได้เรียนรู้ ในด้านการรักษาความลับของผู้ป่วยระดับดีมาก ซ่ึงเป็นไปตามข้อ จากประสบการณ์จริง และมีอาจารยค์ อยควบคมุ สอนวิธีการท่ีถกู บงั คบั แพทยสภา วา่ ดว้ ยการรกั ษาจรยิ ธรรมแหง่ วชิ าชพี เวชกรรม16 ตอ้ งซง่ึ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาเชงิ ปรมิ าณทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ สงิ่ ทไ่ี ม่ สรปุ ชอบมากท่ีสุดและข้อเสนอแนะ ซ่ึงสอดคล้องกับวรรณกรรม ของ การเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วยมีความสำ�คัญในช้ันคลินิก Ahmed AM ทศ่ี ึกษาปัจจัยต่างๆ เชน่ ความกดดนั ของอาจารยผ์ ู้ ในการช่วยพัฒนาด้านการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วยครั้งถัดไป สอน สภาพแวดล้อมท่ีไม่เหมาะสม ระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม ท่ีส่ง ความรชู้ นั้ คลนิ กิ ฝกึ ฝนการรวบรวมขอ้ มลู (การซกั ประวตั ิ และการ ผลตอ่ การลดลงของการเรยี นการสอนขา้ งเตียงในปัจจบุ ัน2,3 ตรวจรา่ งกาย) หตั ถการและการสอื่ สาร ทศั นคตขิ องนสิ ติ แพทยช์ น้ั พิจารณาตามระดับชั้นการศึกษา พบว่าระดับทัศนคติของ คลินิก 3 ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยนเรศวร นิสิตแต่ละช้ันปีของด้านหัตถการ และด้านความพึงพอใจโดยรวม ส่วนมากเป็นไปในทางที่ดี แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 พบว่าในด้าน ดังน้ันจะเห็นได้ว่าทัศนคติที่ดีของนิสิตแพทย์เป็นส่ิงสำ�คัญ หตั ถการ ระดบั ทศั นคตขิ องนสิ ติ แพทยช์ น้ั ปที ่ี 6 มากกวา่ นสิ ติ แพทย์ ต่อการเรียนรู้ ส่งผลให้การเรียนดีข้ึน13,14 ในการเรียนการสอน ชนั้ ปอี นื่ ๆ โดยเฉพาะในดา้ นมผี คู้ วบคมุ ดแู ลและใหค้ �ำ ปรกึ ษาในการ ข้างเตียงผู้ป่วย จึงควรคำ�นึงถึงทัศนคติของนิสิตแพทย์เพื่อก่อให้ ท�ำ หตั ถการอยา่ งเพยี งพอ โดยอาจเกดิ จากทน่ี สิ ิตแพทย์ชนั้ ปที ี่ 6 มี เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้มากท่ีสุด และสามารถเป็นข้อมูลให้ ประสบการณด์ า้ นหตั ถการทางการแพทยม์ ากกวา่ นสิ ติ แพทยช์ นั้ ปที ี่ คณะแพทยศาสตร์และผู้เก่ียวข้องนำ�ไปใช้ประกอบการวางแผน 4 และ ชัน้ ปที ี่ 5 ซึง่ ผลการวจิ ยั ทไ่ี ดน้ ้ี ไมส่ อดคลอ้ งกบั ผลการวิจัย พัฒนาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับนิสิตแพทย์มหาวิทยาลัย ของของ Patrick ทีก่ ลา่ ววา่ นิสิตแพทยช์ ั้นปที ่ี 6 เหน็ ด้วยในเรอ่ื ง นเรศวรในปัจจุบัน และเป็นแนวทางหน่ึงท่ีจะพัฒนาประสิทธิภาพ ที่ไม่มีผู้ควบคุมหรือดูแลอย่างเพียงพอ ท้ังนี้เกิดจากมหาวิทยาลัย ในการเรยี นการสอนขา้ งเตยี งผู้ปว่ ย12 ที่ทำ�การศึกษาวิจัย มีปัญหาทางด้านจำ�นวนผู้สอนไม่เพียงพอ4 ใน ข้อเสนอแนะ สว่ นของดา้ นความพึงพอใจโดยรวม นิสิตแพทยช์ น้ั ปีที่ 4 เห็นดว้ ย ส�ำ หรบั ขอ้ เสนอแนะของงานวจิ ยั การเรยี นการสอนขา้ งเตยี ง มากกว่านิสิตแพทย์ชั้นปีอื่น โดยเฉพาะในเรื่องการรักษาความลับ ผปู้ ่วยควรคงไวแ้ ละควรไดร้ บั การส่งเสริมใหม้ มี ากขน้ึ ทัศนคติเป็น ของผปู้ ว่ ย นสิ ติ แพทยท์ กุ ชน้ั ปมี รี ะดบั ทศั นคตใิ นดา้ นการรกั ษาความ สงิ่ ส�ำ คญั ในการเรยี นรู้ เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ในการเรยี น เรา ลบั ของผปู้ ว่ ยระดบั ดมี าก ซงึ่ เปน็ ไปตามขอ้ บงั คบั แพทยสภา วา่ ดว้ ย จึงควรศึกษาทัศนคติของท้ังผู้เรียน ผู้สอนและผู้ป่วย เป็นแนวทาง การรกั ษาจรยิ ธรรมแห่งวชิ าชพี เวชกรรม16 หนึ่งที่จะพัฒนาประสิทธิภาพในการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วย พจิ ารณาประสบการณท์ ไี่ ดร้ บั ความรเู้ กย่ี วการเรยี นการสอน ได้มากยิง่ ขึน้ 12 ข้างเตียงผู้ป่วย พบว่าระดับทัศนคติของนิสิตแพทย์ด้านความรู้ชั้น กติ ตกิ รรมประกาศ คลินิกและด้านความพึงพอใจโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญ คณะผู้วิจัยขอขอบคุณ ผศ.(พิเศษ)ดร.นพ.วัชรพล ภูนวล ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในด้านความรู้ชั้นคลินิก กลุ่มที่ได้รับความ กลมุ่ งานหู คอ จมกู โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ ผศ.ดร.จริ าวรรณ ดเี หลอื รูเ้ ก่ยี วการเรียนการสอนข้างเตียงผปู้ ่วย จ�ำ นวน 6 - 10 ครง้ั เหน็ กลุ่มงานวิชาการพยาบาลสูติศาสตร์ และนรีเวชวิทยา อ.ภก.กิรติ ด้วยมากกว่านิสิตแพทย์กลุ่มอ่ืน โดยเฉพาะในเร่ืองนำ�หลักฐานเชิง เก่งกล้า สังกัดมหาวิทยาลัยพะเยา และดร.ดวงกมล ภูนวล ที่ให้ ประจักษ์ (evidence-based practice) มาประยุกต์ ซง่ึ สอดคลอ้ ง ความรแู้ ละค�ำ แนะน�ำ ทางด้านสถติ ิในการวิเคราะหข์ อ้ มูลรวมถึงให้ กบั วรรณกรรมของ Cek Masnah และคณะ กลา่ ววา่ ประโยชนข์ อง ค�ำ ปรกึ ษาในการจดั ท�ำ วจิ ยั รวมถงึ ผอู้ นญุ าตใหใ้ ชแ้ บบสอบถามและ การเรยี นสอนขา้ งเตยี งผู้ปว่ ย คอื การไดน้ �ำ ความรมู้ าปฏิบตั ิจรงิ กบั กลมุ่ ตวั อยา่ งนสิ ติ แพทยช์ นั้ คลนิ กิ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ผปู้ ่วย12 นเรศวร ในส่วนของด้านความพึงพอใจโดยรวม นิสิตแพทย์ท่ีได้รับ ความรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนข้างเตียงผู้ป่วย จำ�นวน 6 - 10 คร้ัง เห็นด้วยมากกว่านิสิตแพทย์กลุ่มอื่น โดยเฉพาะในด้านเร่ือง hscr ISSUE 2 56
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 เอกสารอา้ งอิง 1. Peter M, Ten Cate O. Bedside teaching in medical 10. Watcharin C. Bedside teaching. J Prapokklao education: a literature review. Perspect Med Educ 2014; Hosp Clin Med Educat Center 2017; 34(4):335-340 3:76-88. 11. บญุ ชม ศรีสะอาด. การวิจยั เบ้ืองต้น, พมิ คร้ังที่ 7 ฉบับ 2. Ahmed AM. Bedside teaching at the Cinderella ปรบั ปรงุ ed. กรุงเทพฯ: สวุ ีรยิ าสาสน์ ; 2545 status. Saudi Med 2010; 31(7):739-746. 12. Cek M, Lucky H, Lucky S. The effectiveness of 3. Sultana J, Ara I, Talukder KH, Khan HM. Current the application of bedside teaching method than the practice of bedside teaching in undergraduate medical methods of simulation in improving wound care skills education of Bangladesh. Bangladesh Journal of Medical in nursing students of health polytechnic of Jambi. Education 2013; 04(01): 2-7. European journal of pharmaceutical and medical 4. Azzah A. Residents and teaching physicians’ research 2018; 5(12):53-57. perception about bedside teaching in non-clinical shift 13. Wongsiri J, Sudkanya P. The relationship among in the emergency department of King Abdul-Aziz Medical attitude, learning Behavio in student-centered instruction City, Jeddah, Saudi Arabia. Journal of Health Specialties and learning process skill of nursing students. Journal of 2018; 6:1-13. nursing and education 2013; 6(1):95-104. 5. Panwara P. Optimising bedside teaching in 14. Aniwat N, Kotchakorn J, Withunda A, Walailak obstetrics and gynaecology. Thai Journal of obstetrics B, Pittayatorn W, Atthapol M et al. Bedside teaching for and gynaecology 2014; 22(2):61-66. medical students at Srinagarind hospital during clinical 6. Ajaya KD, Devendra S, Suraj B, Amita P, Balman rotation. Srinagarind Med J 2014; 29(4): 92 SK and Sanjaya D. Perceptions of medical students about 15. Katharina D, Diego M, Herbert P, Tjark M, Sarah bedside teaching in a medical school. J Nepal Med 2018; S, Sven A, Nicole S, Tobias R. Evaluation in undergraduate 56(211):640-645. medical education: Conceptualizing and validating a 7. Population Proportion – Sample Size. [internet]. novel questionnaire for assessing the quality of bedside [cited 22 September 2019]. Available from: https:// teaching. Medical teacher 2017:1-8. select-statistics.co.uk/calculators/sample-size-calcula- 16. ข้อบังคับแพทยสภา. แพทยสภา :: The Medical tor-population-proportion/ Council of Thailand [อินเทอร์เน็ต/Internet]. [สืบค้นเมื่อ 8. FluidSurveys Team. Calculating the Right Sur- วนั ท่ี 22 กนั ยายน 2562]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://www.tmc.or.th/ vey Sample Size. [internet]. [cited 22 September 2019]. medical_school_th.php Available from: http://fluidsurveys.com/university/calcu- lating-right-survey-sample-size/ 9. Sample size calculator. [internet]. [cited 22 September 2019]. Available from: https://www.survey- monkey.com/mp/sample-size-calculator/ hscr ISSUE 2 57
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 Compare the use of the MEWS with the SOS score in the evaluation of new Pneumonia patients. Male Medical Ward, Uttaradit Hospital Thanitnun boonchan1, Seubtrakul Tantalanukul2 ,Weerawut Mingkhuan3 1Male Medical Ward, Uttaradit Hospital 2Boromarajonani College of Nursing Uttaradit, Faculty of Nursing, Praboromarajchanok Institute 3Clinical Research and Innovation Unit, Uttaradit Hospital ABSTRACT Objective : To compare the duration of detection sepsis in new Pneumonia patients using SOS score, compared the MEWS score for pre-critical symptom evaluation. Methods : It is an intervention study in the form of historical control in the male medical ward, Uttaradit Hospital. Between May 2019 - April 2020, the SOS score trial and the comparison group used the MEWS score to assess early detect sepsis. The patient was followed for 7 days to monitor the occurrence of sepsis. Collect general information Patients using SOS score were retrospective patients from medical records, and patients with MEWS score were new, forward-aggregated patients that analyzed two baseline comparisons using exact probability and t-test statistics. Hazard ratio analysis by Kaplan-Meier method. Results : There were no differences in the general data for both subjects. Use of SOS score in Pneu- monia patients was able to assess the condition. Sepsis in Pneumonia faster than using MEWS score by approximately 2 in 3 (HR = 1.51,95% CI = 1.06-2.12, p=0.023). Conclusions : The SOS score can assess sepsis in pneumonia more quickly than the MEWS score, and therefore the SOS score should be used as a monitoring tool for sepsis in new pneumonia patients. Keywords : MEWS, SOS score, Pneumonia Contact : Thanitnun boonchan Address : Male Medical Ward, Uttaradit Hospital Uttaradit Hospital 38 Jetsadabodin Road, Tha-it, Mueang, Uttaradit, Thailand 53000 E-mail : [email protected] hscr ISSUE 2 58
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 เปรยี บเทียบการใช้ MEWS กับ SOS score ในการประเมินผู้ป่วย Pneumonia รายใหม่ หอผ้ปู ว่ ยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลอุตรดติ ถ์ ธนษิ ฐ์นนั ท์ บุญจันทร1์ , สืบตระกูล ตันตลานุกุล2 , วรี ะวุฒิ ม่ิงขวัญ3 1หอผู้ป่วยอายรุ กรรมชาย โรงพยาบาลอตุ รดิตถ์ 2วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี อตุ รดิตถ์ คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก 3หน่วยวิจยั คลนิ กิ และนวตั กรรม โรงพยาบาลอุตรดติ ถ์ บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์ : เพ่ือเปรียบเทียบระยะเวลาที่สามารถ detect sepsis ได้ในผู้ป่วย Pneumonia รายใหม่ที่ใช้ SOS score เปรยี บเทยี บ MEWS score ในการประเมินอาการน�ำ กอ่ นภาวะวกิ ฤติ รูปแบบการศกึ ษา : เป็นการศกึ ษา Intervention study แบบ Historical control หอผปู้ ว่ ยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาล อตุ รดิตถ์ ระหว่างเดอื นพฤษภาคม 2562 – เมษายน 2563 โดยกลุ่มทดลองใช้ SOS score และกลมุ่ เปรียบเทยี บใช้ MEWS score ในการประเมิน early detect sepsis ติดตามผูป้ ่วยเปน็ ระยะเวลา 7 วนั เพอ่ื ติดตามการเกิดภาวะ sepsis วิธีการศึกษา : เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ลกั ษณะทัว่ ไป ผปู้ ่วยทใ่ี ช้ SOS score เป็นผปู้ ว่ ยทีเ่ กบ็ ข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบยี นและ ผปู้ ว่ ยทใ่ี ช้ MEWS score เปน็ ผปู้ ว่ ยรายใหมท่ ร่ี วบรวมขอ้ มลู ไปขา้ งหนา้ ทวี่ เิ คราะหข์ อ้ มลู พนื้ ฐานเปรยี บเทยี บ 2 กลมุ่ โดยใชส้ ถติ ิ exact probability และ t-test การวิเคราะห์ Hazard ratio ด้วยวธิ ี Kaplan-Meier ผลการศกึ ษา : ขอ้ มลู ทว่ั ไปทงั้ สองกลมุ่ ตวั อยา่ งไมแ่ ตกตา่ งกนั การใช้ SOS score ในผปู้ ว่ ย Pneumonia สามารถประเมนิ ภาวะ sepsisในผปู้ ว่ ยPneumonia ได้เร็วกวา่ การใช้ MEWS score ประมาณ 2 ใน 3 (HR=1.51,95% CI =1.06-2.12 ,p=0.023) สรปุ : การใช้ SOS score สามารถประเมนิ ภาวะ Sepsis ในผู้ปว่ ย Pneumonia ไดเ้ ร็วกว่าการใช้ MEWS score ดงั นน้ั จึงควร ใช้ SOS score เปน็ เคร่ืองมอื ในการเฝ้าระวงั ภาวะ Sepsis ในผ้ปู ่วย Pneumonia รายใหม่ คำ�สำ�คญั : MEWS, SOS score, Pneumonia ติดตอ่ : ธนษิ ฐ์นันท์ บญุ จันทร์ สถานท่ีตดิ ต่อ : หอผู้ป่วยอายรุ กรรมชาย โรงพยาบาลอุตรดติ ถ์ เลขท่ี 38 ถนนเจษฎาบดนิ ทร์ ตำ�บลทา่ อฐิ อ�ำ เภอเมือง จังหวัดอุตรดติ ถ์ 53000 อเี มล์ : [email protected] hscr ISSUE 2 59
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 บทนำ� วธิ กี ารศกึ ษา ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) เป็นภาวะเจ็บป่วย รูปแบบการศึกษา Historical control ประชากรและกลุ่ม วิกฤติและฉุกเฉินต้องให้การรักษาพยาบาล เร่งด่วนเนื่องจากหาก ตัวอย่าง เป็นผู้ป่วยท่ีนอนโรงพยาบาล Pneumonia รายใหม่ใน ได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที จะมีอัตราการตายท่ีสูง โดยเฉพาะใน หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ เกณฑ์การคัดเข้า กลมุ่ ทม่ี ภี าวะติดเชอ้ื ในกระแสเลอื ดอย่างรุนแรง (Severe Sepsis) เปน็ ผู้ป่วยท่ี admit ด้วย pneumonia รายใหม่ เกณฑก์ ารคดั ออก และภาวะชอ็ กจากการตดิ เชอื้ (Septic Shock) ในปจั จบุ นั พบอตั รา ไม่สามารถเข้าร่วมตลอดระยะเวลาการวิจัย การคำ�นวณขนาด การตายเพ่ิมสงู ขน้ึ จากการศึกษาอบุ ตั กิ ารณ์ของ sever sepsis ใน ตัวอย่าง คำ�นวณโดยประมาณว่าการใช้ SOS score จะใช้ระยะ ประเทศไทยพบอัตราการเสยี ชวี ิตของผ้ปู ว่ ยปี 2553-2555 เท่ากับ เวลาท่ี detect ภาวะ sepsis ไดเ้ ฉลีย่ ภายใน 5.7 (± 4.7) วนั และ 64.9, 64.6 และ 67.4 ต่อแสนประชากรตามลำ�ดบั ซ่งึ เกิดจากการ การใช้ MEWS จะ detect เฉล่ียได้ภายใน 4.0 (±4.0) วนั เปน็ การ วินจิ ฉยั ท่ีลา่ ชา้ รวมถึงการได้รบั ยาปฏชิ วี นะที่ลา่ ชา้ และไม่เพยี งพอ ทดสอบสองทาง ความคลาดเคลอื่ นชนดิ ที่ 1 = 0.05 Power =0.80 ภาวะ Septic Shock เป็นภาวะแทรกซ้อนสำ�คัญของผู้ป่วย โดย ซงึ่ ควรศกึ ษาตวั อยา่ งผปู้ ว่ ยอยา่ งนอ้ ยกลมุ่ ละ 105 ราย ผวู้ จิ ยั จงึ จดั ผู้ป่วยที่พบส่วนใหญ่มาด้วยภาวะปอดบวม ปอดติดเช้ือ (Pneu- กลมุ่ ควบคมุ ใช้ SOS score จ�ำ นวน 105 ราย ศกึ ษาขอ้ มลู ยอ้ นหลงั monia) เปน็ ต้น จากเวชระเบยี น กลุ่มทดลอง ใช้ MEWS จ�ำ นวน 105 คน เครือ่ ง ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชายโรงพยาบาลอุตรดิตถ์เป็นหอ มอื ที่ใช้ในการวจิ ัย เปน็ แบบบันทึกข้อมลู ทว่ั ไป แบบประเมิน SOS ผู้ปว่ ยทด่ี แู ลผูป้ ่วยอายุรกรรมทวั่ ไปและกงึ่ วิกฤต จากสถติ ิการดแู ล score และแบบประเมิน MEWS การเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่ม ผปู้ ว่ ยทม่ี ี 10 อนั ดบั โรคแรกมาวเิ คราะหพ์ บวา่ ผปู้ ว่ ยโรคปอดตดิ เชอื้ ควบคุม ศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียน จำ�นวน105 ราย (Pneumonia) ทม่ี ภี าวะ Sepsis มอี ตั ราการตายสงู ในปงี บประมาณ และกลุ่มทดลอง เก็บข้อมูลในผู้ป่วยที่ admit ด้วย pneumonia 2561-2563 ตามลำ�ดบั ดงั นี้ 19 ราย (33.28%), 16 ราย (31.8 %) รายใหม่ ตัง้ แตเ่ ดือน พฤษภาคม 2562 – เมษายน 2563 จำ�นวน และ 13 ราย (23.51%) จงึ ไดม้ กี ารน�ำ แบบประเมนิ SOS score มา 105 ราย การวเิ คราะห์ข้อมูล ขอ้ มลู ท่ัวไปใช้สถติ ิเชงิ พรรณนา และ ใชใ้ นการประเมนิ สภาพในผปู้ ว่ ยโรคปอดตดิ เชอ้ื (Pneumonia) เพอื่ วเิ คราะหเ์ ปรียบเทียบขอ้ มลู 2 กลุม่ โดยใชส้ ถติ ิ exact probability เฝา้ ระวงั กอ่ นการเกดิ ภาวะ Sepsis แตย่ งั พบภาวะ Sepsis, Severe และ t-test การวเิ คราะห์ Hazard ratio ดว้ ยวิธี Kaplan-Meier Sepsis, Septic Shock จงึ ได้มีการน�ำ แบบประเมนิ SOS score เปรยี บเทยี บ MEWS score มาใชใ้ นการ ประเมนิ สภาพในผปู้ ว่ ยโรค การพิทกั ษส์ ิทธ์ิผู้ให้ข้อมูล ปอดติดเชอ้ื (Pneumonia) เฝ้าระวงั ก่อนการเกดิ ภาวะ Sepsis มา ก่อนการศึกษามีการขอความยินยอมจากกลุ่มตัวอย่างหรือ ประเมนิ อาการน�ำ กอ่ นภาวะวกิ ฤตในผปู้ ว่ ยตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดวา่ ผแู้ ทนโดยชอบธรรมปราศจากการขม่ ขู่ บงั คบั หรอื ใหร้ างวลั ในการ มีผลลพั ธ์ทแ่ี ตกตา่ งกนั อย่างไร เพ่ือหาเคร่อื งมือท่มี คี วามเหมาะสม เข้าร่วมการวิจัย มีการให้ข้อมูลก่อนการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ เฉพาะโรค ท่ีป้องกันเหตกุ ารณ์ไม่พึงประสงคไ์ ด้อย่างทนั ทว่ งที วิจัย ปกปิดข้อมูลที่ไม่ต้องการเปิดเผยสามารถยุติการเข้าร่วมวิจัย ได้ตลอดเวลา โดยไม่มีผลกระทบต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย ไม่เปิด วตั ถุประสงค์ เผยช่ือหรือสัญลกั ษณ์ทแ่ี สดงถึงอาสาสมคั รเขา้ รว่ มวิจัยมกี ารชแี้ จง เพอื่ เปรียบเทียบระยะเวลาท่สี ามารถ detect sepsis ไดใ้ น ประโยชน์จากการเข้าร่วมการวิจัย รวมทั้งอธิบายถึงความเสี่ยง ผปู้ ว่ ย Pneumonia รายใหมท่ ใ่ี ช้ SOS score เปรยี บเทยี บ MEWS ท่ีอาจเกิดต่อกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมวิจัย ผู้วิจัยมีการเตรียมการ score ในการประเมนิ อาการนำ�ก่อนภาวะวกิ ฤติ ป้องกันและจัดการกับความเสี่ยงที่จะเกิดข้ึน มีความยุติธรรมใน การเลอื กกลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ กำ�หนดเกณฑใ์ นการเลือกกลุ่มตัวอยา่ ง แบบเจาะจงอย่างชัดเจนได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรม การวจิ ยั ในมนษุ ย์ โรงพยาบาลอตุ รดิตถ์ เลขท่ี REC No.36/2563 hscr ISSUE 2 60
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ผลการศกึ ษา ท้ังสองกลมุ่ มอี ายุ การใชย้ ากดภูมิ เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว Polymor- กลุ่มตัวอย่าง จำ�นวน 210 คน แบ่งเป็นกลุ่มท่ีได้รับการ phonuclear neutrophil การเพาะเชื้อจากเสมหะ (Sputum ประเมินด้วย SOS score จ�ำ นวน 105 ราย และ MEWS score culture) การเจาะเลอื ดสง่ เพาะเชอ้ื (Hemoculture) ผลการตรวจ จ�ำ นวน 105 คน ทงั้ สองกลมุ่ มโี รคประจ�ำ ตวั ภาวะตดิ เชอ้ื ในกระแส ทางรงั สีปอด (X-ray ปอด) และ Discharge status ไมแ่ ตกต่างกนั เลือด (Sepsis) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ระดับ .05 รายละเอียดดังแสดงในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ลกั ษณะท่ัวไปของกลมุ่ ทศ่ี กึ ษา ลักษณะ MEWS (n = 105) SOS score (n = 105) p-value จำ�นวน รอ้ ยละ จำ�นวน ร้อยละ อายุ (ป)ี 0.333 15-44 10 9.52 13 12.38 45-59 32 30.48 20 19.05 60 ปขี นึ้ ไป 63 60.00 72 68.57 โรคประจำ�ตัว 0.001* ไม่มีโรคประจำ�ตัว 35 33.3 9 26.7 เบาหวาน 2 2 9 11.4 ควบคุมไมไ่ ด้ ควบคมุ ได้ 2 100 9 100 ความดนั โลหิตสงู 8 7.6 11 22.8 ควบคมุ ไมไ่ ด้ ควบคมุ ได ้ 8 100 11 100 หวั ใจ 2 1.9 6 5.7 HIV 3 2.9 6 5.7 อ่ืนๆ 35 33.3 28 26.7 โรคร่วมมากกวา่ 2 โรค 20 19.0 36 34.2 ใช้ยากดภมู ิ 1.00 ไม่ใช้ 103 98.10 102 97.14 ใชย้ า 2 1.90 3 2.86 *p<0.05 hscr ISSUE 2 61
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ตารางท่ี 1 ลกั ษณะทว่ั ไปของกลมุ่ ทศ่ี ึกษา (ต่อ) ลักษณะ MEWS (n = 105) SOS score (n = 105) p-value จำ�นวน ร้อยละ จำ�นวน รอ้ ยละ เซลล์เมด็ เลอื ดขาว (White Blood Cell : WBC) 0.555 <4,000 8 7.62 13 12.38 4,000-12,000 47 44.76 44 41.90 >12,000 50 47.62 48 45.71 Polymorphonuclearneutrophil (PMN) <40 3 2.86 3 2.86 0.080 40-80 43 40.95 28 26.67 >80 59 56.19 74 70.48 การเพาะเชือ้ จากเสมหะ (Sputum culture) ไม่ได้สง่ ตรวจ 24 22.9 6 5.71 0.007 ตรวจ 81 77.1 99 94.29 ไม่ตดิ เชื้อ 91 13.3 74 70.5 ตดิ เช้อื 14 13.3 31 29.5 การเจาะเลอื ดส่งเพาะเชื้อ (Hemoculture) ไม่ไดส้ ง่ ตรวจ 6 5.7 61 0.9 0.243 ตรวจ 99 94.3 104 99.1 ไม่ตดิ เชื้อ 68 70.95 61 61.9 ติดเชอื้ 31 29.5 40 38.1 ผลการตรวจทางรงั สปี อด (X-ray ปอด) opacity 67 63.8 59 56.3 0.550 consolid 36 34.3 43 49.9 effusion 2 1.9 2 1.9 interstial 0 0 1 0.9 SOS score 0 คะแนน 13 12.38 ไมไ่ ด้ 1 คะแนน ประเมนิ 19 18.1 2-3 คะแนน 40 38.1 <4 คะแนน 33 38.43 hscr ISSUE 2 62
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ตารางที่ 1 ลักษณะทั่วไปของกล่มุ ทศี่ ึกษา (ตอ่ ) MEWS (n = 105) SOS score (n = 105) ลักษณะ MEWS (nจำ=น1ว0น5) ร้อยละ SOS scoจrำeน(วnน= 105) รอ้ ยละ p-value ME0W-2Sคลsะักcแษoนณrนeะ 27.6 p-value จำ�นวน 29 รอ้ ยละ 33.3 จำ�นวน ร้อยละ 3 คะแนน 35 M E30W-ค2Sะคsแc≥ะน54oแ6นrนคคคe ะะนะแแ แนนนนนน 17 16.2 ไม่ได้ประเมนิ 12 11.43 29 12 27.6 11.43 35 33.3 ภ าว>54ไะมตคค6เ่ กดิะะภคดิไsssแแเาชมeeeะ นนว่เื้อแpvpนนกะeนใtsิด ตiนircนseิดก sเรshชeะoือ้ แpcใสsนkiเsกลรอื ะดแ(สSเeลpอื ดsis()S epsis) 61112272 11162522 11511169..44..2133 11518119 ....4114 10 ไม ่ได1512้ป0546ระเมนิ 9.5 9.5 0.001* 53.3 0.001* 14.29 22.9 sepsis 15 18.1 56 53.3 seveDriescsheaprsgise status 12 11.4 15 14.29 0.776 septโiดcยsแhพoทcยk ์อนญุ าต 12 80 11.4 76.2 24 76 22.9 72.4 DischaRrgeefesrtatus 4 3.8 5 4.8 0.776 โดยแถพึงแทกย่ก์อรนรญุ มาต 80 20 76.2 19 76 25 72.4 22.8 Refer 4 3.8 5 4.8 ถงึ แก่กรรม 20 19 25 22.8 ภาพท่ี 1 ภแาพสดทงี่ ผ1ลแกสาดรใงชผแ้ ลนกวาปรฏใชิบ้แตั นิ SวOปฏSิบsัตcoิ SreOSเปsรcยี oบreเทเียปบรียMบEเWทียSบในMกEาWรปSระในเมกนิ าอรปากราะรเมนินำ�กออ่ านกภารานวะำกวิก่อฤนตภใานวผะปู้ วว่ิกยฤตในผู้ป่วยที่มี กาทรม่ี ตกี ิดาเรชตื้อดิ ในเชป้ืออในดรปาอยดใรหามย่ ใหม่ 0.00 0.20 0.40 0.60 0.80 Rate detection of early sepsis in pneumonia between SOS vs MEWS 01234567 Detectd day SOS MEWS การใช้ SOS score การประเมินภาวะ sepsis ในผู้ป่วย สำ�คัญทางสถิติท่ีระดับ .05 รายละเอียดดังแสดงในภาพท่ี 1 และ Pneumonia สามารถประเมินภาวะ sepsis ในอัตราเร็วมากกวา่ ดงั แสดงในตารางท่ี 2 การใช้ MEWS ด้วยอัตราเร็ว1.51เท่า (HR= 1.51) อย่างมีนัย hscr ISSUE 2 63
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ตารางที่ 2 เปรยี บเทยี บการใช้ SOS score เปรยี บเทียบ MEWS ในการประเมนิ อาการน�ำ ก่อนภาวะวกิ ฤตในผ้ปู ว่ ยท่มี กี ารติดเช้ือ ในปอดรายใหม่ Hazard ratio Confidence interval p-value 1.51 1.06-2.12 0.023* *p<0.05 ผลการใช้แนวปฏิบตั ิ MEWS เปรยี บเทียบ SOS score ใน จากการทบทวนงานวิจัยที่ผ่านมาในประเทศไทยยังไม่มี การประเมินอาการนำ�ก่อนภาวะวิกฤตในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อใน ผลการศึกษาว่า MEWS ดีกว่า SOS score แม้ในต่างประเทศมี ปอดรายใหม่ หอผปู้ ว่ ยอายรุ กรรมชาย โรงพยาบาลอตุ รดติ ถ์ พบวา่ รายงานการนำ� MEWS มาใชเ้ ปน็ เคร่อื งมือในการเฝ้าระวังประเมิน การใช้ SOS score ในผปู้ ่วย Pneumonia สามารถประเมินภาวะ อาการของผู้ป่วยกอ่ นเข้าสภู่ าวะวกิ ฤต โดยพบวา่ ไดผ้ ลดีและได้รบั sepsisไดเ้ รว็ กวา่ การใช้ MEWS 2 ใน 3 (HR=1.51) ดงั ในตารางที่ 2 การยอมรับอย่างแพรห่ ลาย5-7 แต่ส�ำ หรบั การศึกษาการนำ� MEWS อภปิ รายไดว้ า่ การปฏบิ ตั ติ ามแนวทาง SOS Score มคี วามสมั พนั ธ์ มาใชใ้ นการประเมนิ ผปู้ ว่ ยในประเทศไทยยงั พบนอ้ ย และสว่ นใหญ่ กับการเกดิ Severe Sepsis and Septic Shock ในผู้ป่วย Sepsis นำ�มาใชป้ ระเมนิ ผปู้ ่วยในหอผปู้ ่วยวิกฤต เกณฑค์ ะแนนการเฝา้ ระวงั สญั ญาณเตอื นภาวะวกิ ฤติ (SOS Score) ในความเห็นของผู้วิจัย ผลจากการทบทวนวรรณกรรมยัง เป็นแบบบันทึกรายวัน ง่ายต่อการบันทึกและตรวจสอบทำ�ให้ดัก พบอีกว่าการนำ� MEWS และ SOS SCORE มาใช้เป็นเครื่องมือ จับอาการเตือนเข้าสู้ภาวะวิกฤติได้ อีกทั้งยังช่วยในการวินิจฉัยที่ ในการเฝ้าระวังอาการของผู้ป่วยก่อนเข้าสู่ภาวะ Sepsis น้ัน แล้ว จะทำ�ให้วินิจฉัยได้รวดเร็วและถูกต้อง ทำ�ให้ผู้ป่วยได้รับการส่งต่อ แต่บริบทของโรงพยาบาลท่ีจะนำ�มาประยุกต์ใช้เป็นเคร่ืองมือใน และดแู ลจากแพทยผ์ เู้ ชย่ี วชาญของโรงพยาบาลไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ลด การประเมินอาการของผู้ป่วยรายใหม่หรือนำ�มาประยุกต์ใช้ในการ อัตราการเสียชีวิตจากภาวะ sepsis สอดคล้องกับการศึกษาของ วางแผนการดูแลต่อไป โดยมุ่งหวังว่าจะช่วยให้สามารถประเมิน วิทยา บุตรสาระ และคณะ1 ที่ได้ศึกษาผลลัพธ์การพัฒนาระบบ อาการเปล่ียนแปลงผู้ป่วยและให้การช่วยเหลือก่อนที่ผู้ป่วยจะเข้า การดูแลผู้ป่วยติดเช้ือในกระแสเลือด โดยได้นำ� SOS Score มา สูภ่ าวะ Sepsis ตอ่ ไป ทดลองใช้กับผ้ปู ว่ ย พบวา่ ช่วยในการวินิจฉยั ภาวะ Sepsis ให้เร็ว ขึ้นและ SOS Score ช่วยในการดักจับอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ สรุป ป่วยมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะวิกฤติได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับการ การใช้ SOS score สามารถประเมนิ ภาวะ Sepsis ในผปู้ ว่ ย ศึกษาของอังคณา เกียรติมานะโรจน์2 ที่ได้ศึกษาผลการพัฒนา Pneumonia ได้เร็วกว่าการใช้ MEWS score ดังนั้นจึงควรใช้ รูปแบบการดูแลผู้ป่วยท่มี ภี าวะตดิ เช้ือในกระแสเลอื ด และรูปแบบ SOS score เป็นเคร่ืองมือในการเฝ้าระวังภาวะ Sepsis ในผู้ป่วย การดผู ปู้ ว่ ยทม่ี ภี าวะตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดทพ่ี ฒั นาขนึ้ นน้ั ประกอบ Pneumonia รายใหม่ ควรส่งเสริมให้มีการใช้ SOS Score ใน ด้วยการใช้ SOS Score ประเมนิ ผู้ป่วยต้งั แตแ่ รกรบั พบวา่ อตั รา การประเมินผู้ป่วย Pneumonia รายใหม่ ในกลุ่มงานอายุรกรรม ผู้ป่วยท่ีมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดลดลง และสอดคล้องกับการ อย่างสมํ่าเสมอ และต่อเน่ือง และขยายการใช้ไปในหน่วยงานท่ีมี ศกึ ษาของ สมไสว อนิ ทะชบุ และคณะ3 ที่ได้ศกึ ษา ผลการใช้ SOS ลักษณะคล้ายคลงึ กัน Score ต่อการเกิด Severe Sepsis and Septic Shock ในผปู้ ว่ ย Sepsis พบว่า SOS Score มีความสัมพันธ์กับการ เกิด Severe Sepsis and Septic Shock ในผูป้ ว่ ย Sepsis และ SOS Score ช่วยท�ำ ให้วินิจฉยั Sepsis ได้รวดเร็วและถูกตอ้ ง hscr ISSUE 2 64
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 กติ ตกิ รรมประกาศ ตันตลานุกูล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ เจ้าหน้าที่ คณะผู้ศึกษาขอขอบพระคุณผู้อำ�นวยการโรงพยาบาล หอผู้ป่วยอายุรกรรชาย ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในการ อุตรดิตถ์ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ รศ.ดร. ศึกษาคร้ังน้ี ชยนั ตรธ์ ร ปทมุ านนท์ อาจารยช์ ไมพร ทวชิ ศรี อาจารยส์ บื ตระกลู เอกสารอา้ งองิ 1. วิทยา บุตรสาระ, ยุพนา ลิงลม, สำ�เนียง คำ�มุข. การ 5. Naomi. E., et al. The effect of implementing a พฒั นาระบบการดแู ลผปู้ ว่ ยทมี่ ภี าวะตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ด. วารสาร modified early warning scoring (MEWS) system on the มหาวิทยาลัยนครพนม ฉบับการประชุมวิชาการครบรอบ 25 ปี adequacy of vital sign documentation. Australian Critical วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม มหาวิทยาลัยนครพนม Care 2013;26:18–22. 2561; 17-25. 6. Peris A et al. The use of Modified Early Warning 2. อังคณา เกียรติมานะโรจน์. การพัฒนารูปแบบการดูแล Score may help anesthesists in postoperative level of ผปู้ ว่ ยทมี่ ภี าวะตดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ด โรงพยาบาลวาปปี ทมุ . วารสาร care selection in emergency abdominal surgery. Minerva วิชาการสำ�นักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม 2564;5(9):27- Anestesiol 2012;78(9):1034-8. 43. 7. Mehtap Bulut, et al. The comparison of modified 3. สมไสว อนิ ทะชุบ, ดวงพร โพธ์ศิ ร,ี จิราภรณ์ สุวรรณศรี. early warning score with rapid emergency medicine score: ประสิทธิผลการใช้ MEWS (SOS Score) ต่อการเกิด Severe a prospective multicentre observational cohort study on Sepsis and Septic Shock ในผู้ปว่ ย Sepsis กลุ่มงานอายุรกรรม medical and surgical patients presenting to emergency โรงพยาบาลอุดรธานี. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี department. Emergency Medicine Journal 2013;476-81. 2560;25(1):85-92. 4. สมาคมเวชบำ�บัดวิกฤต. การดูแลรักษาผู้ป่วย Severe Sepsis และ Septic Shock แนวทางเวชปฏบิ ตั .ิ กรงุ เทพฯ : สมาคม เวชบ�ำ บดั วกิ ฤต; 2558:5-14. hscr ISSUE 2 65
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 The Study of Motivation Effect on Academic Performance in Medical Student of Naresuan University Sudarat Reanpang, Pimprapai Silakul, Suprawee Rotetananun, Achara GKlom-gklrom, Kritsada Pudontong, Aekkachai Chonladawaree Medical Education Center Uttaradit Hospital ABSTRACT Objective : To assess the influence of motivation on academic performance between medical students. Methods : A cross-sectional study was carried out among a sample size of 273 medical students from Naresuan University by use an electronic questionnaire. Academic performance was measured by their grade point average (GPA) last semester. Motivation was measured by using Strength of Motivation for Medical school (SMMS-R). Data was analyzed by frequency, percentage, median, interquartile range, Kruskal-Wallis test and gaussian regression. Results : From 273 sample size were found associating, size and direction of motivation level and GPA of medical students Faculty of Medicine Naresuan University found that overall motivation significantly increased GPA by 0.01 units (p=0.028). Readiness to start motivation significantly increased GPA (coefficient=0.03), p=0.007). Persistence motivation led to a significant increase in academic performance (coefficient=0.02, p=0.059), and Willing to sacrifice motivation led to a no-significant in- crease in academic performance (coefficient=0.01, p=0.477) Conclusions : The higher level of overall of motivation affect to the better academic performance. The higher level of Willingness of sacrifice, Readiness to start and Persistence affect to the better academic performance. Keywords : Motivation, Academic performance, Medical students Contact : Sudarat Reanpang Address : Medical Education Center Uttaradit Hospital 38 Jetsadabodin Road, Tha It, Muang, Uttaradit 53000 E-mail : [email protected] hscr ISSUE 2 66
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 การศกึ ษาแรงจงู ใจในการเรียนท่ีมตี ่อผลการเรียนของนิสิตแพทย์ มหาวิทยาลยั นเรศวร สดุ ารตั น์ เรียนแพง, พิมพ์ประไพ ศลิ ากลุ , สุประวณี ์ โรจนท์ นานนั ท์, อัจฉรา กลมกลอ่ ม, กฤษฎา ภูดอนตอง, เอกชยั ชลดาวารี ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชน้ั คลนิ ิก โรงพยาบาลอุตรดติ ถ์ บทคัดยอ่ วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ ขนาดและทิศทางระหว่างแรงจูงใจในการเรียนกับผลการเรียนของนิสิตแพทย์ คณะ แพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร รปู แบบการศกึ ษา : เปน็ การวจิ ยั เชิงพรรณนา ณ ชว่ งเวลาใดเวลาหนึง่ ศกึ ษาแรงจงู ใจในการเรียนแพทย์ ของนสิ ิตแพทย์ชน้ั ปีที่ 1 ถงึ ชนั้ ปีท่ี 6 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ประจำ�ปีการศึกษา 2562 กลุ่มตวั อยา่ งจ�ำ นวน 273 คน ส�ำ รวจโดย ใช้แบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์ วัดระดับแรงจูงใจโดยใช้แบบสอบถามท่ีแปลจากต้นฉบับ The Strength of Motivation for Medical school-Revised: (SMMS-R) วัดผลการเรียนพิจารณาโดยใช้เกรดเฉลี่ยของภาคเรียนล่าสุด (GPA) วิเคราะห์ข้อมูล โดยใชส้ ถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา : กลุ่มตวั อย่างนสิ ิตแพทย์จำ�นวน 273 คน การศกึ ษาหาความสมั พนั ธ์ ขนาดและทศิ ทางของระดับแรงจงู ใจกับ ผลการเรียนของนิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พบว่า แรงจูงใจโดยรวมทำ�ให้ผลการเรียนเพิ่มขึ้น 0.01 หน่วย อย่างมนี ัยส�ำ คัญ (p=0.028) แรงจูงใจดา้ นการเตรยี มความพร้อมในการเริ่มตน้ ทำ�ใหผ้ ลการเรียนเพม่ิ ขึ้นอยา่ งมนี ยั สำ�คญั (coefficient=0.03, p=0.007) แรงจงู ใจด้านการยดึ ม่ันในอาชพี ท�ำ ให้ผลการเรียนเพมิ่ ข้นึ อย่างมนี ัยส�ำ คญั (coefficient=0.02, p=0.059) และแรงจูงใจดา้ นความเสียสละท�ำ ใหผ้ ลการเรียนเพิม่ ข้ึนอย่างไม่มนี ยั สำ�คญั (coefficient=0.01, p=0.477) สรปุ : ระดับแรงจงู ใจโดยรวมที่สูงขึ้น จะส่งผลใหม้ ผี ลการเรยี นดีขนึ้ โดยพิจารณาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงจงู ใจทั้ง 3 ด้านกบั ผลการเรียน คือ แรงจูงใจด้านความเต็มใจในการเสียสละ ด้านการเตรียมความพร้อมในการเรียน และด้านการยึดม่ันในอาชีพ จะส่งผลให้มผี ลการเรียนดีข้นึ ทั้ง 3 ดา้ น คำ�สำ�คัญ: แรงจูงใจ, นิสติ แพทย,์ ผลการเรียน ติดต่อ : สดุ ารตั น์ เรยี นแพง สถานที่ตดิ ต่อ : ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชนั้ คลินกิ โรงพยาบาลอตุ รดิตถ์ เลขที่ 38 ถนนเจษฎาบดินทร์ ต�ำ บลท่าอฐิ อ�ำ เภอเมือง จงั หวดั อุตรดิตถ์ 53000 อเี มล์ : [email protected] hscr ISSUE 2 67
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 บทนำ� เกณฑ์การคัดเลอื กอาสาสมัครเข้ารว่ มโครงการวิจัย ผลการเรียน หมายถึง ผลของระดับความรู้ความสามารถ 1. มสี ถานภาพความเปน็ นสิ ติ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั และทักษะที่ผู้เรียนได้รับและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นจากการเรียน นเรศวร ปีการศกึ ษา 2562 การสอนวิชาต่างๆ โดยอาศัยเคร่ืองมือในการวัดผลหลังจากการ 2. สมคั รใจและยนิ ดใี หค้ วามรว่ มมอื ในการตอบแบบสอบถาม เรียนหรือการฝึกอบรม โดยสามารถวัดผลการเรียนได้จากคะแนน การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม หรือความเชี่ยวชาญ1 การท่ีจะได้ เกณฑ์การคัดออกอาสาสมคั รเข้ารว่ มโครงการวจิ ยั ผลการเรียนท่ีดีย่อมมีปัจจัยหลายด้านส่งเสริม โดยปัจจัยท่ีสำ�คัญ นิสติ แพทย์ทีต่ อบแบบสอบถามไมส่ มบรู ณ์ สสเขเVสปรพอำ่ิิ่�งiงัจียcื่อทหทงจtนตแoี่ชร่ีเัย ปอตับrี้แหห็นบ่ลกนHานะพสากว.ึ่งครนทขลVคเนอาัรงrาือoแดกียงง oตใลแแนรหm่อระระแ้บงงเคตพป2จจุควุ้นท็นูไูงงาคใดใใยสมหลจจใ้์น่งิตห้กใใแทั้นนน้อร้คตส่ี กกงะว่ลแนกาาทาะรารบัรมำ�งบรเเสหจพรรุใคูงนียีนยมฤคในเขทุนนากตจชลยนจ่ีราิกเอื่กป6ขกัแระารมรป็นอรษสดระคั่นงงรม่สงาตทจณทแผะพิ่งเวักูงพรำ�สส่ีรละฤอใงำพ้อสบ่ืำ�อกจแตยจหคยฤตูบรคพิกูง่านลัญะหตรวใรงทรดจะทคาิรกรกรใยไขมนลืำอบมราว9ศนนสุตกรรนต้5า3mาำม�ศวาา่้ันาสดเแมรณตึกงปรๆตoขตลๆเ่ษ็จารรtปับวัะงใขiะ์ศาvห้าอตๆอเอกริคaหย้คาำงริาtลมเมนา่งกราiปื่อoงอมาาชวาค็นนnยยจรา่าพำู่จยนำาวแบคร คข ไณจดอ้ณวนาก้กจยาลาะทามลล4ดแกาุ่ะสมตทพงกสกัมตวัส9ีพ่ำ�ูตทาพัวอถ5หรรบยอันิตศยคนศคแยธา่ิทกึำดา่าล�่า์งกษนีร่สขะงกับอ้rาตวอเนายขผทณรเำ�ราลทอลศ์่านศดะงสกา่ริาึกตปกิรัมับจ8ษัวาัจับฤจ0อชาจ2ำ�ทยพัย0แ7ธ่า.ทยจ3์ิ1ทงากมี่9คาบทคคี5งำ�านกาวนลงาาวจ4สมรเณมะถเสทรไื่ติอจัมี่พียดิทากพนบ้กกำ�รี่นัลขคกอ้หธุ่มอ่าายนก์ตงรลrดบันวัศะเชผอิสึกท่วล8ยิตษ่าง0ส่าแกาคงมัพขับเวฤททอาท0า่งยมก.ธป์ช1เิท์บัชัจั้น9ื่าอจ5ปง2มัยีทก7่ันทจาี่3ที่มร6ะเีคี่ รนยี นเขมอ่ืองกนำสิหิตนแดพชทว่ ได้ เช่น ประสิทธิภาพการเรยี นที่ลดลง3 ซง่ึ แรงจงู ใจในการเรียนถอื )2 เปน็ อกี หนง่ึ ปจั จยั ทจ่ี ะชว่ ยใหน้ สิ ติ แพทยม์ ผี ลการเรยี นทดี่ ขี น้ึ ได้ จาก N= (Zα +Zβ + 3 เมือ่ Z = 0.5 × In (11−+rr) Z สภาพปัญหาจากการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน ส่งผลทำ�ให้ N = จำนวน Subject ทัง้ หมด ขาดแรงจูงใจในการเรียนทีส่ ่งผลกระทบตอ่ ผลการเรยี น Zα = คา่ มาตรฐานจากตาราง Z ที่ระดับ Type I Error ท่ี α ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั จงึ มคี วามสนใจศกึ ษาความสมั พนั ธข์ องแรงจงู ใจ ในการเรยี นแพทย์ทมี่ ผี ลต่อการเรียนในปัจจุบันของนสิ ิตแพทย์ Zβ = คา่ มาตรฐานจากตาราง Z ท่รี ะดบั Type I Error ที่ β Z = ค่า Transformation จากค่า Correlation coefficient วธิ กี ารศกึ ษา r = Correlation coefficient ทำ�การศึกษารูปแบบเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional descriptive study) เพเื่อนศ่อื ึกงจษาากคจวำานมวสนัมกพลันมุ่ ธต์ วั อ ยา่ ง (Nเน) อ่ืคงำจนาวกณจ�ำไดน้ว2น7ก3ลมุ่คตนวั หอยมา่ งย(ถNึง)เคป�ำ็นนวNณทได่นี ้อ2ย7ท3ส่ีคดุนทห่ีจมะาทยำถใงึ ห้งานศกึ ษาฉบับน้มี ขนาดและทิศทางระหว่างแรงจูงใจ(ใpนoกwาeรเrร)ียมนากับพผอลทก่จี าะรสเราียมนารขถอคงำนวเณปน็ แลNะทบน่ีั อ้ทยกึ ทสส่ีถดุิตทใิ นจี่ งะาทน�ำ วใจิหยัง้ ฉานบศับกึนษีไ้ ดาฉ้ โบดบัยนงาม้ี นกี ว�ำ จิ ลัยงั ฉ(บpบัowนีม้eผีr)้เู ขมา้ รก่วมการศกึ ษาจำนวน นิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ ม3ห2า5วิทคยนาลัยนเรศวร เก็บข้อมูล พอที่จะสามารถคำ�นวณและบันทึกสถิติในงานวิจัยฉบับน้ีได้ โดย โดยใช้แบบสำ�รวจออนไลน์ เก็บจรรวยิ บธรวรมใขน้อกมาูลรจศาึกกษนาิสิตคณะ งานวิจัยฉบบั นีม้ ีผูเ้ ข้ารว่ มการศึกษาจำ�นวน 325 คน แแค9ค8บพ�ำนน5บทวเสคยปณ�ำนศ็นรแาควจสลจ�ำำ�ตะนอนบรอวว์นั มนนนทหขไนกลึนา้อนสวายถทิด์ จทติขย�ำ ี่ไิสอานดลุดงว้กัยซทนลนงึ่ี่จ3มุ่มเะร2ตผี ทศ5วเู้ั ขวำ�อครา้อทใยหรนยำชา่ว่้งวา่งั้นจมาจิง�ำไปกคนยัดแาทีรศใก้นรนบ่ีึกลกศ1คถก1ษมุ่เกึ นว้.ปถาตาษนรทหึงน็ฉวั าวแวั่ลอนบชแิจลไกัยสน้ัิัลบยปะคา่ติปะนนหใงวแยหทีผ้้ีเจราทพนิผ้าี่ือะม6า่ยทนทู้สเกBอคยกำจาบัeมาแช์า�ำมlรรตนบน้ั2mาพตอวบป7รรใoบนถ3สรนวnีอจบtบสคุ Rพทจ ถอคeราัว่ยบลpมิยไาจปoธบต(รRหรrดัายิ teกรลรสธsามปอือรินpรใรตุรใวeBนะมจรจิceกกดอกยัtlาอติยาmนfรรบถ่าoผ้ีศวoง์ดrคา่จิอกึn้วนณpัยสิษtยกeใระาRนาr3ะผseรมปวู้oปpตนจิรnoรรยัาษุ )วะrศยยtจโกจดึด์สปาโาตยรอรรกาคงบะกมไพณกดจาหยอ้แรระลายิขบกผกับธ่ม่วู้ดจาริจขว้รลรยัู่ยยิ มอบเธคกตุ3งัรคาารรปรรดบัมพวรติกจิะหใถานกยั รร์ ใากคอืทนราณใ�ำ มหรวไะขนดส้จิ ผอยษุั้แินวู้ คใกยจิจนว่า้์ ัยโคางรยมนรงดึายงตนิ วายัลมอหมลโดักยจรใหิย้ขธร้อรมม คลินกิ 208 คน และ นิสติ แพทย์ช้ันคลนิ ิก 117 คน 1. หลกั ความเคารพในบคุ คล (Respect for person) โดย คณะผวู้ จิ ยั เคารพในการขอความยนิ ยอมโดยใหข้ อ้ มลู อยา่ งครบถว้ น และให้ผู้ทำ�แบบสอบถามตัดสินใจอย่างอิสระปราศจากการข่มขู่ บงั คับ หรือใหส้ ินจ้างรางวัล hscr ISSUE 2 68
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 2. หลักคุณประโยชน์ ไม่ก่ออันตราย (Beneficence) ผู้ที่ 7. ผลิตแพทย์เพ่ือชาวชนบท (CPIRD) รับเฉพาะผู้ท่ีกำ�ลัง ทำ�แบบสอบถามไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ และไม่มีความเสี่ยงหรือ ศกึ ษาอยรู่ ะดบั ชนั้ ม.6 และโครงการสอบตรง Admission (กสพท.) อนั ตรายทอี่ าจเกดิ ไดจ้ ากวจิ ยั นแี้ ละเคารพในการเกบ็ รกั ษาความลบั รับทั้งผู้ที่กำ�ลังศึกษาอยู่ระดับช้ัน ม.6 และผู้ที่สำ�เร็จการศึกษา ของขอ้ มลู สว่ นตวั ของผทู้ �ำ แบบสอบถาม ขอ้ มลู ของแบบสอบถามจะ ชน้ั ม. 6 ไมม่ กี ารระบถุ ึงตวั ผู้ทำ�แบบสอบถาม 8. โครงการแพทยแ์ นวใหม่ (new tract) หมายถงึ โครงการ 3. หลกั ความยตุ ธิ รรม (Justice) การท�ำ วจิ ยั นมี้ เี กณฑก์ ารคดั ผลิตแพทย์โดยรับผู้ท่ีสำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาย เขา้ และคดั ออกชดั เจน ไมม่ อี คติ มกี ารกระจายประโยชนแ์ ละความ วทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ และมปี ระสบการณท์ �ำ งานเกยี่ วกบั สาธารณสขุ เสีย่ งอยา่ งเทา่ เทยี มกันโดยวธิ กี ารสมุ่ อยา่ งน้อย 2 ปกี อ่ นเข้าศกึ ษา ตวั แปรท่ศี ึกษา ช่วงเวลาที่ศึกษา ตัวแปรท่ศี กึ ษา ได้แก่ แรงจงู ใจในการเรยี นแพทย์ แบ่งเปน็ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 – 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 แรงจูงใจโดยรวมและแรงจูงใจรายดา้ น 3 ด้าน ดงั นี้ แรงจูงใจด้าน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการรวบรวมข้อมูลและการควบคุมคุณภาพ ความเต็มใจในการเสียสละ ความเตรียมพร้อมในการเร่ิมต้น และ เครื่องมือ การยดึ มัน่ ในอาชีพ ผลการเรียน คือ ผลการเรยี น (GPA) ภาคเรยี น ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามขอ้ มลู พน้ื ฐานจากกลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ ที่ 2 ปีการศึกษา 2561 เพศ ช้ันปีการศึกษา โครงการที่เข้าศึกษา เกรดเฉลี่ยภาคเรียน นิยามศัพทเ์ ฉพาะ รายได้เฉลี่ย การออกกำ�ลังกาย การนอนหลับ การพักผ่อนและ 1. แรงจงู ใจในการเรยี นแพทย์ หมายถงึ แรงผลกั ดนั ทที่ �ำ ให้ กจิ กรรมนอกหลกั สูตร นสิ ติ แพทยม์ พี ฤตกิ รรม และมเี ปา้ หมายในการเรยี นแพทย์ ประกอบ สว่ นท่ี 2 แบบสอบถามความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั แรงจงู ใจในการ ด้วยแรงจูงใจ 3 ด้าน ได้แก่ เรยี นแพทย์ (The strength of Motivation for Medical School 1. แรงจูงใจด้านความเต็มใจในการเสียสละ หมายถึง revised: SMMS-R) ฉบับภาษาอังกฤษ พัฒนาโดย Rashmi ความตั้งใจของนสิ ิตท่จี ะเสยี สละเพ่อื การเรียนแพทย์ Aniruddha Kusurkar ซง่ึ ผวู้ จิ ยั น�ำ ฉบบั ภาษาไทยมาจากงานศกึ ษา 2. แรงจูงใจด้านการเตรียมความพร้อมในการเร่ิมต้น ของณฐั ธิดา ลวานนท์ มีความเชอื่ มัน่ (Cronbach’s Alpha) ของ หมายถงึ ความพร้อมและความปรารถนาทจี่ ะเข้าเรยี นแพทย์ ด้านความเต็มใจในการเสียสละ ด้านการเตรียมความพร้อมในการ 3. แรงจูงใจด้านการยึดม่ันในอาชีพ หมายถึง ความ เริม่ ต้น และด้านความม่ันคง เท่ากบั 0.73, 0.63 และ 0.68 ตาม ม่ันคงในการเรียนแพทย์แม้ว่าจะเจอสถานการณ์ที่ไม่เป็นมิตร ลำ�ดับ5,6 ซึ่งผลของคะแนนในแต่ละด้านมีความสัมพันธ์ในทิศทาง ระหวา่ งหรือหลังการศึกษา บวกกบั ระดบั แรงจงู ใจภายในแตจ่ ะมคี วามสมั พนั ธใ์ นทศิ ทางลบกบั 2. นสิ ติ แพทย์ หมายถงึ นสิ ติ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ระดบั การขาดแรงจงู ใจ6 โดยแบบสอบถามจะมขี อ้ ค�ำ ถามจ�ำ นวน 15 นเรศวร ช้นั ปที ่ี 1-6 ประจ�ำ ปีการศกึ ษา 2562 ขอ้ แบง่ เป็น 3 ด้าน คือ 3. นสิ ติ แพทยช์ น้ั ปรคี ลนิ กิ หมายถงึ นสิ ติ คณะแพทยศาสตร์ ด้านที่ 1 : ความเต็มใจในการเสียสละ จำ�นวน 5 ข้อ (ข้อ มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ันปที ่ี 1-3 ประจำ�ปีการศกึ ษา 2562 5,7,9,10,12) ด้านนี้วัดเร่ืองวัดความต้ังใจของนิสิตแพทย์ท่ีจะเสีย 4. นิสิตแพทย์ช้ันคลินิก หมายถึง นิสิตคณะแพทยศาสตร์ สละเพื่อการเรียนแพทย์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ช้ันปที ่ี 4-6 ประจำ�ปีการศึกษา 2562 ดา้ นที่ 2 : การเตรยี มความพรอ้ มในการเรมิ่ ตน้ จ�ำ นวน 5 ขอ้ 5. ผลการเรยี น หมายถงึ ผลการเรยี น (GPA) ของนสิ ติ แพทย์ (ข้อ 1,3,6,11,15) ดา้ นนว้ี ดั เร่ืองพร้อมและความปรารถนาทจ่ี ะเขา้ ชั้นปีที่ 1-6 ประจำ�ปกี ารศกึ ษา 2562 เรยี นแพทย์ 6. โครงการรบั ตรง หมายถงึ โครงการรบั ตรงปกติ โดยรบั ด้านที่ 3 : ความมงั่ คง จ�ำ นวน 5 ขอ้ (ข้อ 2,4,8,13,14) ด้าน เขา้ ศึกษาในนักเรียนที่กำ�ลงั ศกึ ษาอยรู่ ะดบั ช้นั ม. 6 หรือสำ�เร็จการ นวี้ ดั ความยดึ มน่ั แนว่ แนใ่ นการเรยี นแพทยแ์ มว้ า่ จะเจอสถานการณ์ ศึกษาชั้น ม. 6 ประกอบด้วย โครงการกระจายแพทย์หน่ึงอำ�เภอ ที่เปน็ อปุ สรรค หรือไมเ่ ป็นมิตร ระหว่างศึกษาหรอื หลงั การศึกษา หนึ่งทุน (ODOD) โครงการ hscr ISSUE 2 69
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามวัดภาวะสุขภาพจิต Depression อย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=<0.001) โครงการท่ีเข้าศึกษา Anxiety Stress Scales (DASS-21) แบบสอบถามนี้สร้างโดย โครงการรับตรงและ New tract ส่วนใหญม่ แี รงจงู ใจในระดับปาน Lovibond และคณะ เมื่อปี 19957 ฉบับภาษาไทย พัฒนาโดย กลาง ทีร่ อ้ ยละ 51.7 และ 56.8 ตามลำ�ดบั ไม่มนี ยั สำ�คญั ทางสถติ ิ สุกัลยา สว่างและคณะ เป็นแบบสอบถามประเมินระดับ อารมณ์ (p=0.869) รายได้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 11,666.7 บาทต่อเดือน มีแรง ด้านลบของตนเอง มีขอ้ คำ�ถามจำ�นวน 21 ข้อ แบง่ เป็น 3 ด้าน คอื จูงใจในระดับตํ่า แตกต่างอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=<0.001) 1. ดา้ นความซมึ เศรา้ จ�ำ นวน 7 ข้อ (ข้อ 3, 5, 10, 13, 16, การออกก�ำ ลังกาย นสิ ิตแพทยท์ ีอ่ อกก�ำ ลังกายสมํา่ เสมอ และออก 17, 21) กำ�ลังกายบางคร้ังส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในระดับสูง ที่ร้อยละ 51.5 2. ดา้ นความวิตกกังวล จ�ำ นวน 7 ขอ้ (ข้อ 2, 4, 7, 9, 15, และ 51.2 ตามลำ�ดับ และนิสิตแพทย์ที่แทบไม่ได้ออกกำ�ลังกาย 19, 20) เลย ส่วนใหญม่ แี รงจูงใจในระดบั ปานกลาง ที่ร้อยละ 60.0 ไมม่ ีนยั 3. ด้านความเครียด จ�ำ นวน 7 ข้อ (ขอ้ 1, 6, 8, 11, 12, สำ�คัญทางสถิต (p=0.100) การนอนหลับนิสิตแพทย์ท่ีนอนหลับ 14, 18) นอ้ ยกวา่ 5 ชว่ั โมง, นอนหลบั 5-6 ช่ัวโมง และมากกว่า 6 ชว่ั โมง โดยแบบสอบถามด้านความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และ สว่ นใหญ่มแี รงจงู ใจในระดับปานกลาง ทีร่ อ้ ยละ 76.5, 52.17และ ความเครียด มคี ่าความเช่ือมั่นของเคร่อื งมอื (Cronbach’s alpha 49.2 ตามลำ�ดับ ไม่มีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=0.314) การพักผ่อน coefficient) เท่ากับ 0.91 0.84 และ 0.90 ตามล�ำ ดับ ท้ังนผ้ี วู้ ิจยั นสิ ติ แพทยท์ พ่ี ักผ่อนนอ้ ยกวา่ 2 ชัว่ โมง, พกั ผอ่ น 2-3 ช่ัวโมง และ ใชเ้ กณฑก์ ารแปลเปน็ ภาวะปกติ กบั ผทู้ มี่ รี ะดบั ตา่ํ ปานกลาง รนุ แรง พกั ผอ่ นมากกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนใหญม่ ีแรงจูงใจในระดับปานกลาง รนุ แรงทส่ี ุดเป็นผู้มภี าวะในดา้ นน้นั ๆ ทรี่ ้อยละ 48.8,51.2 และ 55.6 ตามล�ำ ดับ ไม่มีนยั ส�ำ คญั ทางสถิติ การวิเคราะห์ขอ้ มูล (p=0.498) กจิ กรรมนอกหลกั สูตรนสิ ิตแพทย์ทไ่ี ม่ท�ำ กิจกรรม, ท�ำ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคำ�นวณสำ�เร็จรูปทาง กิจกรรมนานๆ คร้ัง, ทำ�กิจกรรมบางคร้ัง ส่วนใหญ่มีแรงจูงใจใน คอมพวิ เตอร์ สถติ ทิ ใี ชว้ เิ คราะหก์ ารกระจายของขอ้ มลู ไดแ้ ก่ ความถ่ี ระดับปานกลาง ท่ีรอ้ ยละ 50.0, 53.3 และ 54.4 ตามลำ�ดับ และ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ (mean) ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D) , มธั ยฐาน นิสิตแพทย์ที่ทำ�กิจกรรมเป็นประจำ�ส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในระดับ (median) และพิสัยควอไทล์ (IQR) วเิ คราะหต์ วั แปรเชงิ กลุ่มโดย ปานกลางและระดับสูงเท่ากันที่ร้อยละ 49.5 แตกต่างอย่างมีนัย ใช้การทดสอบวธิ ี Exact probability test วเิ คราะหต์ วั แปรเชงิ ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p=0.024) ภาวะสขุ ภาพจติ ดา้ นความซมึ เศรา้ นสิ ติ กลุ่มเเละเชิงปริมาณโดยใช้การทดสอบวิธี Kruskal-Wallis test แพทยท์ ป่ี กตสิ ว่ นใหญม่ แี รงจงู ใจระดบั สงู ทรี่ อ้ ยละ 54.6 และนสิ ติ ที่ วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ ขนาดและทศิ ทางของแรงจูงใจเทียบกับ มีภาวะความซึมเศร้า ส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในระดับปานกลาง ท่ี ผลการเรยี นโดยใชส้ ถติ ิการวเิ คราะหก์ ารถดถอยพหุคูณ (Multiple ร้อยละ 62.6 แตกต่างอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=<0.001) มี regression) ค่าเฉล่ียสูงสุด 10.2 อยู่ในระดับต่ํา ภาวะสุขภาพจิตด้านความ วิตกกังวลนิสิตแพทย์ท่ีปกติส่วนใหญ่มีแรงจูงใจระดับสูง ที่ร้อยละ ผลการศึกษา 52.7 และนิสิตท่ีมีภาวะความวิตกกังวล ส่วนใหญ่มีแรงจูงใจใน ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ส่วนบคุ คล ระดบั ปานกลาง ทรี่ ้อยละ 59.6 แตกต่างอยา่ งมีนยั ส�ำ คัญทางสถิติ ผลแสดงจำ�นวนและร้อยละของข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของ (p=0.034) มีค่าเฉลีย่ สูงสุด 6.5 จัดอยใู่ นระดับตา่ํ ภาวะสุขภาพจิต นิสิตแพทย์ โดยแรงจูงใจโดยรวม พบว่าเพศชายและเพศหญิง ดา้ นความเครยี ดนสิ ติ แพทยท์ ปี่ กตสิ ว่ นใหญม่ แี รงจงู ใจในระดบั สงู ที่ ส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในระดับปานกลางท่ีร้อยละ 55.5 และ 49.7 รอ้ ยละ 50.0 และนสิ ติ ทมี่ ภี าวะความเครยี ด สว่ นใหญม่ แี รงจงู ใจใน ตามล�ำ ดบั ไมม่ นี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p=0.532) ระดบั ชน้ั การศกึ ษาชน้ั ระดบั ปานกลาง ทร่ี อ้ ยละ 59.5 ไม่มีนัยส�ำ คญั ทางสถิติ (p=0.126) ปรคี ลนิ ิกส่วนใหญ่มีแรงจงู ใจระดบั สงู ทรี่ อ้ ยละ 53.9 และชั้นคลินกิ มคี า่ เฉล่ียสงู สุด 9.0 จัดอยใู่ นระดบั ต่ํา ส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในระดับปานกลาง ท่ีร้อยละ 65.0 แตกต่าง hscr ISSUE 2 70
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ตารางท่ี 1 แสดงจ�ำ นวนและรอ้ ยละของขอ้ มูลปจั จยั สว่ นบคุ คลของนิสติ แพทย์ (n=325) ข้อมลู ปจั จัยสว่ นบุคคล แรงจูงใจโดยรวม p-value ต่าํ กลาง สงู เพศ ชาย 3(0.3) 81(55.5) 62(42.5) 0.532 หญงิ 3(1.7) 89(49.7) 87(48.6) ระดบั ชนั้ การศึกษา ชนั้ ปรคี ลนิ ิก 2(1.0) 94(45.2) 112(53.9) <0.001 ช้นั คลนิ ิก 4(3.4) 76(65.0) 37(31.6) โครงการทเ่ี ขา้ ศกึ ษา รบั ตรง 6(2.1) 149(51.7) 133(46.2) 0.869 New track 0(0.0) 21(56.8) 16(43.2) รายได ้ Mean (SD) 11,666.7(3266.0) 11,312.4(5678.0) 9046.3(4429.2) <0.001 การออกกำ�ลังกาย สม�่ำ เสมอ 2(2.9) 31(45.6) 35(51.5) 0.100 บางครั้ง 1(0.8) 61(48.0) 65(51.2) แทบไม่ออกกำ�ลังกาย 3(2.3) 78(60.0) 49(37.7) การนอนหลบั นอ้ ยกวา่ 5 ชัว่ โมง 0(0.0) 13(76.5) 4(23.5) 0.314 5-6 ช่วั โมง 3(1.6) 96(52.2) 85(46.2) มากกว่า 6 ชั่วโมง 3(2.4) 61(49.2) 60(48.4) การพักผ่อน น้อยกว่า 2 ช่วั โมง 2(4.7) 21(48.8) 20(46.5) 0.498 2-3 ชั่วโมง 2(1.2) 89(51.2) 83(47.7) มากกวา่ 3 ช่วั โมง 2(1.9) 60(55.6) 46(42.6) กิจกรรมนอกหลกั สตู ร ไม่ท�ำ 3(21.4) 7(50.0) 4(28.6) 0.024 นานๆ คร้ัง 1(0.7) 73(53.3) 63(46.0) บางครงั้ 1(1.3) 43(54.4) 35(44.3) เป็นประจ�ำ 1(1.1) 47(49.5) 47(49.5) hscr ISSUE 2 71
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ตารางท่ี 1 แสดงจำ�นวนและรอ้ ยละของข้อมลู ปัจจัยสว่ นบคุ คลของนสิ ติ แพทย์ (n=325) (ตอ่ ) ขอ้ มลู ปัจจยั ส่วนบุคคล แรงจูงใจโดยรวม p-value ต่ํา กลาง สงู ดา้ นความซมึ เศร้า ปกติ 1(0.5) 88(44.9) 107(54.6) <0.001 มภี าวะซมึ เศรา้ 5(3.9) 82(62.6) 42(32.6) Mean (SD) 10.2(7.4) 5.2(4.4) 3.6(3.9) ด้านความวติ กกังวล ปกต ิ 3(1.8) 77(45.6) 89(52.7) 0.034 มภี าวะวติ กกงั วล 3(1.9) 93(59.6) 60(38.5) Mean (SD) 6.5(6.3) 4.6(3.9) 3.6(3.2) ดา้ นความเครยี ด ปกต ิ 4(2.0) 98(48.0) 102(50.0) 0.126 มีความเครยี ด 2(1.7) 72(59.5) 47(38.8) Mean (SD) 9(8.1) 6.9(4.4) 5.7(4.1) การเปรียบเทียบแรงจูงใจในการเรียนแพทย์กับผลการเรียน ดา้ นการเตรยี มพรอ้ มในการเรม่ิ ตน้ มคี วามสมั พนั ธก์ บั ผลการเรยี นใน (GPA) ของนิสิตแพทย์ พบว่าแรงจูงใจโดยรวมมีความสัมพันธ์กับ ทศิ ทางบวกอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p=0.007) แรงจงู ใจดา้ นการ ผลการเรียนในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=0.028) ยดึ มนั่ ในอาชพี มคี วามสมั พนั ธก์ บั ผลการเรยี นทศิ ทางบวกอยา่ งมนี ยั แรงจูงใจด้านความเต็มใจในการเสียสละมีความสัมพันธ์กับผลการ ส�ำ คญั ทางสถิติ (p=0.059) ดงั ในแสดงภาพที่ 1 เรยี นในทศิ ทางบวกอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p=0.477) แรงจงู ใจ hscr ISSUE 2 72
การเปรียบเทียบแรงจูงใจในการเรียนแพทย์กับผลการเรียน (GPA) ของนิสิตแพทย์ พบว่าแรงจูงใจโดยรวมมี Heaคคlววtาาhมมสสsมััมcพพiันันeธธก์n์กับับcผผeลลกกcาารlรiเเnรรยี ียiนcนใaในนlททิศrิศeททาsางeงบบวaวกrกอcอยยhา่ ่างงมมนี ีนัยัยสVสำคำoคัญlัญuททmางาสงeถสิตถ3ิิต(6ิp(=p0=.04.7072)8)แแรรงงจOจงู ใูงจใRจดดา้IGน้านกIคาNรวเาตAมรเยี ตLม็มพใจรA้อในมRกในาTรกเาIสCรียเสรL่ิมลEตะม้นี มีความสัมพันธ์กJัuบผlyลก-ารDเรeียนcใeนmทิศbทeางrบว2ก0อ2ย่า1งมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.007) แรงจูงใจด้านการยึดมั่นในอาชีพมี ความสัมพันธก์ ับผลการเรยี นทศิ ทางบวกอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติ (p=0.059) ดงั ในแสดภาพท่ี 1 2.5 3.5 2.5 3.5 234 234 20 40 60 80 5 10 15 20 25 Motivation Willingness to sacrifice Fitted values A B GPA GPA Fitted values 2.5 3.5 2.5 3.5 234 234 5 10 15 20 25 5 10 15 20 25 Readiness to start Persistence C Fitted values D GPA Fitted values GPA ภาพที่ 1 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างแจงจูงใจกบั ผลการเรียนของนสิ ติ แพทย์ ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างแจงจงู ใจกับผลการเรยี นของนิสติ แพทย์ A คือ แผนภาพการกระจายระหวา่ งแรงจงู ใจโดยรวมกบั ผลการเรยี น A คCBือคคแืออื ผแแนผผนภนภภาาาพพพกกกาาารรรกกกรรระะะจจจาายยารรยะะรหหะววหา่า่ งงวแแ่ารรงงงแจจงูงูรใใงจจจดดูงา้า้ ในนจคกโวาดารยมเตเรรตวีย็มมมใจพกใรับนอ้ กผมาลใรนกเสกายีารรสเเลรระิม่ยี กตนบั้นผกลบั กผาลรกเราียรนเรยี น B คDอื คแอื ผแนผภนภาาพพกกาารกรระะจจาายยระรหะวหา่ งวแา่ รงงแจรงู ใงจจดงู า้ ในจกดา้ารยนึดคมวนั่ าใมนอเตาช็มพี ใจกบัในผลกกาารรเสรยีียนสละกับผลการเรียน C คือ แผนภาพการกระจายระหว่างแรงจงู ใจดา้ นการเตรยี มพร้อมในการเริม่ ต้นกับผลการเรียน D คอื แผนภาพการกระจายระหว่างแรงจูงใจด้านการยดึ มัน่ ในอาชพี กับผลการเรยี น นิสิตแพทย์ท่ีมีแรงจูงใจโดยรวมมีความสัมพันธ์ทิศทางบวก บวกกับเกรดเฉลี่ยทิศทางบวกโดย แรงจูงใจด้านการเตรียมพร้อม กับเกรดเฉลี่ยทิศทางบวกโดยแรงจูงใจโดยรวมระดับต่ํามีผลการ ในการเร่ิมต้นระดับตํ่ามีผลการเรียน 3.41 ระดับปานกลางมีผล เรยี น 3.70 ระดบั ปานกลางมผี ลการเรยี น 3.59 ระดบั สูงมผี ลการ การเรียน 3.58 ระดบั สูงมผี ลการเรยี น 3.80 อยา่ งมีนัยส�ำ คัญทาง เรียน 3.74 อย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=0.003) แรงจูงใจด้าน สถติ ิ (p=<0.001) แรงจูงใจด้านการยึดมั่นในอาชีพมีความสัมพนั ธ์ ความเตม็ ใจในการเสยี สละมคี วามสมั พนั ธท์ ศิ ทางบวกกบั เกรดเฉลย่ี ทิศทางบวกกับเกรดเฉล่ียทิศทางบวกโดย แรงจูงใจด้านการยึดม่ัน ทิศทางบวกโดยแรงจูงใจด้านความเต็มใจในการเสียสละระดับต่ํา ในอาชพี ระดบั ตาํ่ มผี ลการเรยี น 3.77 ระดบั ปานกลางมผี ลการเรยี น มีผลการเรยี น 3.23 ระดบั ปานกลางมผี ลการเรยี น 3.64 ระดบั สงู 3.63 ระดับสูงมีผลการเรียน 3.68 อย่างไม่มีนัยสำ�คัญทางสถิติ มีผลการเรียน 3.70 อย่างไม่มีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=0.009) แรง (p=0.268) ดงั ตารางท่ี 2 จูงใจด้านการเตรียมพร้อมในการเริ่มต้นมีความสัมพันธ์ทิศทาง 9 hscr ISSUE 2 73
ตารางท่ี 2 เปรยี บเทียบแรงจงู ใจในการเรยี นแพทยกบั ผลการเรียน (GPA) ของนิสิตแพทยช น้ั ปท ่ี 1-6 (n=325) ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบแรงจูงใจในการเรยี นแพทย์กบั ผลการเรียน (GPA) ของนสิ ติ แพทยช์ ้ันปีที่ 1-6 (n=325) ORIGINAL ARTICLE แรงจงู ใจในการเรียนแพทย ชวงผลการ โดยรวม ความเต็มใจในการเสยี สละ การเตรียมพรอมในการเร่มิ ตน การยดึ มน่ั ในอาชพี เรยี น hscr ISSUE 2 ต่ำ ปานกลาง สงู p-value ตำ่ ปานกลาง สูง p-value ต่ำ ปานกลาง สงู p-value ต่ำ ปานกลาง สูง p-value Health science clinical research Volume 36 n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) 0.505 July - December 2021 74 <3.00 0(0.0) 21(14.2) 12(6.9) 0.024 0(0.0) 17(12.9) 16(8.6) 0.027 1(12.5) 27(14.6) 5(3.8) <0.001 0(0.0) 13(14.3) 20(8.6) 0.268 3.00-3.50 1(33.3) 46(31.1) 39(22.4) 5(83.3) 36(27.3) 45(24.1) 4(50.0) 57(30.8) 25(18.9) 0(0.0) 24(26.4) 62(26.7) >3.50 2(66.7) 81(54.7) 123(70.7) 1(16.7) 79(59.9) 126(67.4) 3(37.5) 101(54.6) 102(77.3) 2(100.0) 54(59.4) 150(64.7) MD (IQR) 3.70 3.59 3.74 0.003 3.23 3.64 3.70 0.009 3.41 3.58 3.80 <0.001 3.77 3.63 3.68 (3.40-3.70) (3.23-3.80) (3.43-3.94) (3.18-3.40) (3.25-3.82) (3.41-3.93) (3.12-3.70) (3.22-3.80) (3.55-3.95) (3.70-3.84) (3.26-3.80) (3.32-3.91)
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ทผ คโดลวายงากรสมาวถรสมกเติัมรมาิยีพอกกแอกแกร(ีคนpันศรราาาาาาว=งงชชรรรรึกธา(จจเเเเ0พีีพ์ทษGมรรสสูงูง.มมิสศPา0ิิ่่มมใใีียยAหจจัมีคคี0ทตตสสโโ)8ววาพา้้นนลลดดกกคาา)งขันะะมมยยาามมบวอแมมธีีรรคครรสสาวรง์ทววีีศศคคววมมมััชงกมมิศาาึึววกกจสพพัน้กมมมมาาทษษูงัมัปันันบมมคคีีสสใาาาพจธธรเสสววงััมมหหกใีคัก์์กนบาาััมมพพนาารบับัลมมธวพพคคดดัันน์ินรเเสสกววัันนกกเ้าธธะกิมััมกฉาานรรธธ์์ใใหพพมมับลนนดด์์คทท(ว่ียสสPันนัเเเททวิิศศ่ากฉฉอััrมมธธางิิศศททeรลลท์์ทยมพพแททด-าาีย่่ีย่ารเcศิศิัันนงงเาาตใใงงlฉททบบนนธธงงi็มมจnลบบ์์าารรววททใูงีนi่ียงงะะcจกกววใิศิศับบยหหจอ)ใกกกกททนสววใยววพกกัับบนาากกำ�ก่่าา่าัับบบงงเเคกกงงางกกบบเเวแแมรัญาบับักกรรววา่เรรรีนดดเเรรสทกกแงงเกกัยดดรเเยีรออจจารรฉฉียสเเงสงููยยงงดดลลฉฉจนำ�สใใล่่าาเเลลีี่่ยยจจคงูฉฉกถะงงใีีออ่่ใใยยัญมมลลับมิตจนนยยออนีีนย่่ีียีิ กก่่าายยออัยัยาางง่่าายยสสรรกด((สมมงงppา่่าำำเเัับงัีีมมมนนรรงงคค==ภเีีนนีีพมมััยยยยััญญก00านนสสีีนนััยยัน.รพ.ทท00ำำกกสสยัยัดธทาาคค21สสับบัำำ์เใงง่ี4ฉััญญ5คคนำำผผ2สส)ลคค)ััญญลลททถถี่ยญัญัแกกแตติิิาาททศใลราางงททิินทาา((สสรรงะppงงาาทาเเจถถแสสงง==รรงิศูงสสิิตตรถถีียยบ00ใทงถถิิิิตตนนจ..ว((จ00าตติิิิppดกงูง00((ิิ((้==าบGGใppก66((จppน00วPP))==ับด==..กกAAดด0000เ้า00าอก))..งััง11น00..รภภยร0055ขข22กเ่าาด))00ออต44างพพ88เงงแแร))รมฉ))ชชททียรรยแแีนลัั้้นนแแงงี่ี่มึดลลัย22ี่จจยรรปปพมะะสููงงงงอรรแแั่นรใใจจำ�ยีคคีจจ้อรรคูงงูใ่าลลดดนงงใใมัญจจงจจิินน้้าาอใมทใใููงงนนนิิกกานนใใีนากกชกจจดด((งัยาาีพPPาดดส้้ารรสรrrนนม้้าาถeeเเเำ�นนตตคคีคิตร--คccิ่กกมรรววิวัllญ(ีียยาาาาตiipnnมมรรมมม้นท=iiยยเเสพพccมาตต0ึึดด))ัมรรงีค็็มม.มม0พพ้้พออสวใใ0ัั่่นนมมบบจจัถนา6ใใใใใใิมววตธ)นนนนนน่่าา์ิ CC BB AA CC DD ภาพที่ 2 ควภภามาาพพสททมั ีี่่ 22พันคคววธาาร์ มมะสสหมมัั วพพ่านนัั งธธแรร์์ ะะจหหงววจ่า่าูงงงใแแจจจกงงจจบั ูงงู ผใใจจลกกกบบัั าผผรลลเกกราายี รรเเนรรยีียขนนอขขงออนงงนนิสสสิิติ ตติิ แแแพพพทททยยย์์ ์ชชชนนัั้้ ้นั ปปปรรคคีี รลลคี ิินนลกกิิ นิ ิก A คอื แแแBCDCADBAแผผผผคคคคคคคคนนนนออืืือืออือืออืื ภภภภแแแแแแแแาาาาผผผผผผผผพพพพนนนนนนนนกกกภภกภภภภภภาาาาาาาาาาาพพพพพพรรพพรรกกกกกกกกกกกาาาาราาราารรรรรรรรรระะะะกกกกกกกกจจจจรรรรรรรราาาาะะะะะะะะยยยยจจจจจจจจราารราาาาราายยยยยยะยยะะะรรรรรรรรหหหหะะะะะะะะววววหหหหหหหห่าา่่าา่ววววววววงงงงาา่่าาา่่า่่าา่่ แแแแงงงงงงงงแแแแแแรแแรรรรรรรรรงรรงงงงงงงงงงงจจจจจจจจจจจจูงูงูงูงูงูงงงููงูงููงงู ใใใใใใใใใใใจจจจจจจจจจจดรดดดรรดดดดววว้า้า้าา้้าา้้า้า้ามมนนนนมนนนนนกกคคกกกกกคกกบับัววาาาาับวาาาารรรรผผารรผมมเเยยลลตตมเยเเึึดดลกกตรรตตเึดมมาากยยีีมม็็รตรรั่น่นัมมมาใใีย็มเเใใจจพพรรรนั่ มนนใใใยีียเรรจในนออรพนนออ้้นใาากกยี รขขมมนชชอาานออ้อใใพพีีรรกานนงงขมเเชกกานนสสกกอใบบััรีพียยีาาิสิสนงเผผรรสสิตติกนสกเเลลลลแแรรบัยีสิากกะะพพ่ิม่ิมรผสกกติาาตตททเรรบัับลลแน้้นรยยเเผผรรกะพกกิม่ชช์์ ยีียลลกาับับนั้้นัตทนนกกรบัผผปป้นยขขาาเลลรรผรรรกออช์ กกีคีคเเียลงงบัรร้นัาาลลนนนกีียยรรินินผปสสิินนเเขากิิกรรลรตติิขขรอียยี กีคแแออเนนงรพพาลงงนขขยีนนรททนิ ออิสนเิิสสยยิกรงงติตติิขช์ช์นนยี แแแน้ั้นัอสิสินพพพปปิิตตงขททนรรแแทอคคีียยพพสิยงลล์ชช์ ททติช์นนนิิ้้นนัั ยยแั้นิกิกสิปป์ชช์ พปรริต้นนั้ั คีีคทแรปปลลีคยพรรินินีีคคช์ลทกกิิ ลลั้นนิ ยนนิิ ปิกช์ิิกกรัน้ คี ปลรินคี กิ ลนิ ิก B คือ C คอื D คือ เมอ่ื ศกึ ษาเปรยี บเทยี บแรงจงู ใจกบั ผลการเรยี นพบวา่ มคี วาม ในการเร่ิมต้นมีความสัมพันธ์กับเกรดเฉล่ียทิศทางบวกโดย แรง สมั พนั ธท์ ศิ ทางบวกโดย แรงจงู ใจโดยรวมระดบั ต�่ำ มเี กรดเฉลยี่ 3.70 จูงใจด้านการเตรียมพร้อมในการเร่ิมต้นระดับต่ําเกรดเฉลี่ย 3.70 ระดบั ปานกลางมเี กรดเฉลย่ี 3.75 ระดบั สงู มเี กรดเฉลย่ี 3.81 อยา่ ง ระดบั ปานกลางเกรดเฉลยี่ 3.70 ระดบั สูงเกรดเฉลย่ี 3.84 อยา่ งมี ไมม่ นี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p=0.068) แรงจงู ใจดา้ นความเตม็ ใจในการ นัยสำ�คัญทางสถิติ (p=0.004) แรงจูงใจด้านการยึดมั่นในอาชีพมี เสียสละมีความสัมพันธ์ทิศทางบวกกับเกรดเฉล่ียทิศทางบวกโดย ความสมั พนั ธท์ ศิ ทางบวกกบั เกรดเฉลยี่ โดย แรงจงู ใจดา้ นการยดึ มน่ั แรงจงู ใจด้านความเต็มใจเสียสละระดบั ตา่ํ มเี กรดเฉล่ยี 3.46 ระดับ ในอาชพี ระดบั ต่าํ เกรดเฉล่ีย 3.77 ระดบั ปานกลางเกรดเฉลยี่ 3.77 ปานกลางมีเกรดเฉลีย่ 3.76 ระดับสูงมีเกรดเฉลี่ย 3.79 อยา่ งไม่มี ระดับสูงเกรดเฉลี่ย 3.78 อย่างไม่มีนัยสำ�คัญทางสถิติ (p=0.970) นัยสำ�คญั ทางสถติ ิ (p=0.183) แรงจูงใจดา้ นการเตรยี มความพรอ้ ม จะเห็นได้ว่าแรงจูงใจโดยรวมท่ีมีค่ามากข้ึนจะมีเกรดเฉล่ียมากข้ึน hscr ISSUE 2 1122 75
ตารางท่ี 3 การเปรียบเทยี บแรงจงู ใจในการเรียนแพทยก บั ผลการเรยี น (GPA) ของนสิ ติ แพทยชัน้ ปรคี ลินกิ คณะแพทยศาสตร มหาวิทยาลับนเรศวร (n=208) อยา่ งไมม่ นี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ มที ศิ ทางบวกแรงจงู ใจดา้ นความเตม็ ใจ ระดบั ทม่ี ากขน้ึ จะมเี กรดเฉลยี่ เพม่ิ ขน้ึ อยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ แรง ORIGINAL ARTICLE ในการเร่ิมต้นในระดับมากขึ้นจะมีเกรดเฉลี่ยมากขึ้นอย่างไม่มีนัย จงู ใจดา้ นการยดึ มน่ั ในอาชพี ในระดบั ทเ่ี พมิ่ ขน้ึ กลบั มเี กรดเฉลย่ี เพม่ิ โดยรวม ความเตม็ ใจในการเสยี สละ แรงจงู ใจในการเรยี นแพทย การเตรียมพรอ มในการเร่มิ ตน การยึดมั่นในอาชพี ส�ำ คญั ทางสถติ ิ แรงจงู ใจดา้ นการเตรยี มความพรอ้ มในการเรมิ่ ตน้ ใน ขึ้นอย่างไมม่ นี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ ดังตารางที่ 3 ปานกลาง สูง ตารางท่ี 3 การเปรยี บเทยี บแรงจงู ใจในการเรียนแพทย์กบั ผลการเรียน (GPA) ของนิสติ แพทย์ชนั้ ปรีคลนิ กิ คณะแพทยศาสตร์ ชว งผลการเรียน ต่ำ ปานกลาง สงู p-value ต่ำ ปานกลาง สงู p-value ต่ำ ปานกลาง ระดบั สงู p-value ตำ่ n (%) n (%) p-value มหาวทิ ยาลับนเรศวร (n=208) Health science clinical research Volume 36 n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) 4(30.8) 9(69.2) 0.675 July - December 2021 hscr ISSUE 2 <3.00 0(0.0) 9(69.2) 4(30.8) 0.365 0(0.0) 7(53.9) 6(46.2) 0.292 0(0.0) 9(69.2) 4(30.8) 0.126 0(0.0) 6(17.1) 29(80.9) 0.970 76 3.00-3.50 0(0.0) 17(48.6) 18(51.4) 1(2.9) 11(31.4) 23(65.7) 0(0.0) 21(60.0) 14(40.0) 0(0.0) 42(26.3) 116(70.5) 3.51-4.00 2(1.3) 68(42.5) 90(56.3) 1(0.6) 52(32.5) 107(66.9) 3(1.9) 67(41.9) 90(56.3) 2(1.3) 3.77 3.78 (3.57-3.89) (3.52-3.95) MD (IQR) 3.70 3.75 3.81 0.068 3.48 3.76 3.79 0.183 3.70 3.70 3.84 0.004 3.77 (3.70) (3.57-3.90) (3.55-3.97) (3.26-3.70) (3.47-3.91) (3.55-3.95) (3.70-3.80) (3.46-3.89) (3.62-3.97) (3.70-3.84)
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 การศกึ ษาหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างระดบั แรงจงู ใจกบั เกรดเฉล่ียของนสิ ติ แพทย์ชน้ั ปีท่ี 4-6 พบว่าระดบั แรงจูงใจ เทแ ฉริศลงทจ่ียาูงโ(เสขpกงดใกมัอจสร=ยาพงดัมด0รรนนั้าพเว.ศฉ0นิสธมันึกล5ิ์ทตคมธษ9ี่ยวแาีท์ท)อาางพศิาหบยมดทงท่าาเวบงัตยางคกภวมง็ม์ชวกกสาีนใั้นาบัพจมกั ยัมปเใับทพกสสนีทเี่นัรำัมกก3่ี ดคธพาร4เัญ์ทรดฉ-ันเ6าเลสธฉงี่ย์รียบ(ลพpะอสวี่ยบ=หยลกอว0า่วะกย่าง.่าับ0่ามรมงง0เะีนทีรกม7ดะัยศิรีน)ัดบสดทัยับแำเาแสฉครแงลำ�ลสงญัรคะีย่จัมงดัญูอจงพ(้าใูงยpันจนใ(า่=pจโธคงด0=ท์กมวย.ับ0าาีน4รง.ม7เยั0วบกย7ส2มรวึด)8ำดมกมค)ี ั่นัญดใา้นก(กก(นppอบาบัั =ก=ราเเ0ากเก0ชรร.รร.ีพมิ่00เดดต0มต2เเร7ฉทีน้8ฉยี))ลลศิ มมแยี่ย่ีททีแลพออารศิะรยยงงดท้อสา่า่จา้งมางัมงู มนงมใใพสนนีจคนี ันมัดกยัวัยธพาา้สาสท์มนร�ำนัำ�าเยคคคธรงดึญัวท์่ิมัญบมาาตว(มนั่ง(pน้กpบเใ=ตก=นว0มบัม็ 0กอ.ใทีเ4.กากจ0ศิ7ชบัใร57ทพีนเด9ก)ามกเ)รฉงาทีดดสลดรา้ศิ เัม่ยีเังนฉทสพภอกลยีายาันายี่งสพ่ารธสอลงเท์ทมัยตะม่ีาาพ่รีน3มงงยีนั ยับมีทมธสนีวิศพท์ ำกยั ทราคกสอ้งาญัับ�ำบงมควใญันก AB CD ภาพทภี่ 3าพAทค่ี 3อื แคผวนาภมาสพัมกพานั รธก์รระะหจวาา่ ยงรแะจหงวจ่างู งใจแกรงับจผงู ลใจกราวรมเรกยี บั นผขลอกงานริสเิตรยีแนพขทอยง์ นชน้ัิสติปแรพีคลทินยกิช์ ัน้ คลินกิ A คBอื คแือผนแภผานพภกาาพรกการระกจราะยจราะยหรวะา่หงวแา่รงงแจรูงงใจงูรใวจมดก้าับนผคลวกาามรเเตร็มยี ในจขในองกนาสิรเิตสแียพสทลยะ์ชก้ันบคผลนิกากิ รเรียนของนิสติ แพทย์ชนั้ คลนิ ิก C คือ B คอื แแผผนนภภาาพพกกาารรกกรระะจจาายยรระะหหวว่าา่ งงแแรรงงจจูงงู ใใจจดดา้า้ นนคกวารามเตเตรียม็ มใจพใรนอ้ กมาใรนเสกยี าสรลเระ่มิ กตบั น้ ผกลบั กผารลเกรายี รนเขรียอนงนขสิอติงแนพิสติทแยพช์ นั้ทคยล์ชนินั้ กิคลCนิ คิกอื Dแผคนอื ภาพ การกระจายระแหผนวา่ภงาแพรกงจางูรใกจรดะา้ จนากยารระเหตวร่าียงมแพรรง้อจูงมใใจนดกา้ านรกเรามิ่ รตยน้ดึ กมับ่ันผในลอกาาชรพีเรกียบันผขลอกงนารสิ เติรแียพนขทอยงช์ นัน้ สิ คติ ลแินพิกทDยช์ คั้นือคลแนิ ผกินภาพการกระ จายระหวา่ งแรงจูงใจดา้ นการยึดมั่นในอาชีพกบั ผลการเรียนของนสิ ิตแพทย์ชั้นคลนิ ิก เมื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการเรียนกับผล ระดบั สงู มเี กรดเฉลย่ี อยทู่ ่ี 3.40 (p=0.008) แรงจงู ใจดา้ นการเตรยี ม การเรียน (GPA) ของชน้ั คลนิ ิก ได้ผลดังนี้ ระดบั แรงจงู ใจมีความ พรอ้ มในการเรม่ิ ตน้ มคี วามสมั พนั ธท์ ศิ ทางบวกกบั เกรดเฉลยี่ ทศิ ทาง สมั พนั ธท์ ศิ ทางบวกกบั เกรดเฉลยี่ ทศิ ทางบวกโดย แรงจงู ใจโดยรวม บวกโดย แรงจงู ใจดา้ นการเตยี มความพรอ้ มในการเรมิ่ ตน้ ระดบั แรง ระดับตาํ่ จะมเี กรดเฉลย่ี อยูท่ ี่ 2.77 ระดับปานกลางมีเกรดเฉล่ียอยู่ จูงใจตำ�่ จะมีเกรดเฉลยี่ อยู่ท่ี 3.20 ระดับปานกลางมีเกรดเฉล่ยี อย่ทู ่ี ท่ี 3.43 ระดับสงู มีเกรดเฉลย่ี อยู่ที่ 3.40 (p=0.010) แรงจงู ใจด้าน 3.37 ระดบั สูงจะมีเกรดเฉลย่ี อยู่ท่ี 3.48 (p=0.031) แรงจูงใจด้าน ความเตม็ ใจในการเสยี สละมคี วามสมั พนั ธท์ ศิ ทางบวกกบั เกรดเฉลยี่ การยดึ มน่ั ในอาชพี มคี วามสมั พนั ธท์ ศิ ทางบวกกบั เกรดเฉลย่ี ทศิ ทาง ทิศทางบวกโดย แรงจูงใจด้านความเต็มใจในการเสียสละระดับต่ํา บวกโดย แรงจงู ใจดา้ นการยดึ มนั่ ในอาชพี ระดบั แรงจงู ใจปานกลางมี จะมีเกรดเฉลี่ยอยู่ท่ี 3.19 ระดับปานกลางมีเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.44 เกรดเฉล่ียอยูท่ ี่ 3.33 และระดบั แรงจงู ใจสงู มเี กรดเฉลีย่ อยูท่ ่ี 3.45 hscr ISSUE 2 15 77
ตารางที่ 4 การเปรียบเทยี บแรงจงู ใจในการเรยี นแพทยก บั ผลการเรยี น (GPA) ของนสิ ิตแพทยช ัน้ คลินกิ คณะแพทยศาสตร มหาวิทยาลยั นเรศวร (n=117) (p=0.023) จะเหน็ ไดว้ า่ เมอ่ื แรงจงู ใจโดยรวมมรี ะดบั แรงจงู ใจสงู ขนึ้ เร่ิมต้นเม่ือมีระดับแรงจูงใจสูงขึ้นจะมีเกรดเฉล่ียเพิ่มข้ึนอย่างมีนัย ORIGINAL ARTICLE จะมเี กรดเฉล่ียเพมิ่ ขนึ้ อย่างมีนัยส�ำ คญั เมื่อแยกเป็นรายดา้ น ด้าน ส�ำ คัญทางสถติ ิ ส่วนแรงจงู ใจด้านความยดึ มัน่ ในอาชีพ เมอ่ื มรี ะดับ ชวงผลการ แรงจูงใจในการเรียนแพทย ความเตม็ ใจในการเสยี สละมรี ะดบั แรงจงู ใจสงู ขน้ึ จะมเี กรดเฉลย่ี เพม่ิ แรงจงู ใจสูงขึ้น จะมเี กรดเฉล่ยี เพ่ิมขน้ึ อยา่ งมนี ัยส�ำ คัญทางสถิติ เรียน ขึ้นอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติแรงจูงใจด้านการเตรียมพร้อมในการ โดยรวม ความเต็มใจในการเสยี สละ การเตรียมพรอมในการเร่มิ ตน การยึดมั่นในอาชีพ ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบแรงจงู ใจในการเรียนแพทย์กับผลการเรียน (GPA) ของนสิ ิตแพทยช์ ัน้ คลินิก คณะแพทยศาสตร์ ต่ำ ปานกลาง มหาวิทยาลัยนเรศวร (n=117) ตำ่ ปานกลาง สงู p-value ตำ่ ปานกลาง สงู p-value ต่ำ ปานกลาง สงู p-value n (%) n (%) สงู p-value n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) hscr ISSUE 2 <3.00 2 12 6 0.364 0 10 10 0.320 1 18 1 0 9 11 0.301 Health science clinical research Volume 36 (50.0) (50.0) July - December 2021 78 (10.0) (60.0) (30.0) (0.0) (5.0) (90.0) (5.0) 0.080 (0.0) (45.0) (55.0) 25 22 3.00-3.50 2 34 15 4 (49.0) (43.1) 4 36 11 0 18 33 (7.8) (7.8) (70.6) (21.6) (0.0) (35.3) (64.7) (3.9) (66.7) (29.4) 3.51-4.00 0 30 16 0.010 0 27 19 0.008 0 34 12 0.031 0 12 34 MD (IQR) (0.0) (65.2) (34.8) (0.0) (58.7) (41.3) (0.0) (73.9) (26.1) (0.0) (26.1) (73.9) 2.77 3.43 3.40 3.19 3.44 3.40 3.20 3.37 3.48 0 3.33 3.45 0.023 (2.29-3.22) (3.11-3.64) (3.00-3.68) (3.11-3.30) (3.05-3.60) (3.00-3.68) (3.04-3.40) (3.00-3.65) (3.18-3.73) (0.0) (3.00-3.63) (3.05- 3.68)
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 ความสมั พนั ธ์ ขนาดและทศิ ทางของระดบั แรงจงู ใจกบั ผลการ ชน้ั ปรคี ลนิ กิ พบวา่ แรงจงู ใจโดยรวมท�ำ ใหผ้ ลการเรยี นเพม่ิ ขนึ้ เรียนของนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 1-6 พบว่า แรงจูงใจกับผลการเรียนมี อยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั (coefficient=0.01, p=0.010) และการหาความ ความสมั พนั ธใ์ นทศิ ทางบวก โดยแรงจงู ใจโดยรวมท�ำ ใหผ้ ลการเรยี น สมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงจงู ใจทงั้ 3 ดา้ นกบั ผลการเรยี น จะไดว้ า่ แรงจงู ใจ เพมิ่ ขน้ึ 0.01 หนว่ ย อยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั (p=0.028) และการหาความ สง่ ผลใหผ้ ลการเรยี นเพม่ิ ขนึ้ โดยแรงจงู ใจทที่ �ำ ใหผ้ ลการเรยี นเพมิ่ ขน้ึ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงจงู ใจทง้ั 3 ดา้ นกบั ผลการเรยี น จะไดว้ า่ แรงจงู ใจ อย่างมนี ยั ส�ำ คญั มากทีส่ ดุ คอื แรงจูงใจดา้ นการเตรียมความพร้อม สง่ ผลให้ผลการเรียนเพิม่ ข้ึน โดยเรียงลำ�ดับจากมากสุด ได้แก่ ดา้ น ในการเริ่มตน้ (coefficient=0.02, p=0.001) การเตรยี มความพรอ้ มในการเรม่ิ ตน้ ท�ำ ใหผ้ ลการเรยี นเพม่ิ ขนึ้ อยา่ ง ชั้นคลินิกพบว่า แรงจูงใจโดยรวมทำ�ให้ผลการเรียนเพ่ิมข้ึน มนี ยั ส�ำ คญั (coefficient=0.03, p=0.007) ดา้ นการยดึ มน่ั ในอาชพี อย่างมีนัยสำ�คัญ (coefficient=0.01, p=0.028) และการหาความ ทำ�ให้ผลการเรียนเพิ่มข้ึนอย่างมีนัยสำ�คัญ (coefficient=0.02, สมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงจงู ใจทงั้ 3 ดา้ นกบั ผลการเรยี น จะไดว้ า่ แรงจงู ใจ p=0.059) และด้านความเสียสละทำ�ให้ผลการเรียนเพิ่มขึ้นอย่าง สง่ ผลใหผ้ ลการเรยี นเพมิ่ ขนึ้ โดยแรงจงู ใจทท่ี �ำ ใหผ้ ลการเรยี นเพมิ่ ขนึ้ ไม่มนี ัยสำ�คัญ (coefficient=0.01, p=0.477) อย่างมนี ัยส�ำ คญั มากที่สุด คือ แรงจงู ใจดา้ นการเตรียมความพรอ้ ม ในการเริ่มต้น (coefficient=0.03, p=0.007) ตารางที่ 5 ความสมั พนั ธ์ ขนาดและทศิ ทางของระดับแรงจงู ใจกับผลการเรียน ดว้ ยการวิเคราะห์ถดถอย (Univariate regression) (n=325) ชนั้ ปี แรงจูงใจ ผลการเรยี น (GPA) Coefficient 95 % CI p-value ชน้ั ปี 1-6 แรงจูงใจโดยรวม 0.01 0.00 to 0.02 0.028 ความเต็มใจในการเสยี สละ 0.01 -0.01 to 0.03 0.477 การเตรียมความพร้อมในการเริ่มตน้ 0.03 0.01 to 0.05 0.007 การยดึ มั่นในอาชพี 0.02 0.00 to 0.05 0.059 ช้นั ปรคี ลินิก แรงจงู ใจโดยรวม 0.01 0.00 to 0.01 0.010 ความเตม็ ใจในการเสียสละ 0.01 0.00 to 0.03 0.054 การเตรยี มความพรอ้ มในการเร่ิมต้น 0.02 0.01 to 0.04 0.001 การยึดมั่นในอาชพี 0.01 -0.01 to 0.02 0.437 ชั้นคลนิ กิ แรงจงู ใจโดยรวม 0.01 0.00 to 0.02 0.028 ความเตม็ ใจในการเสยี สละ 0.01 -0.01 to 0.03 0.477 การเตรยี มความพร้อมในการเรม่ิ ต้น 0.03 0.01 to 0.05 0.007 การยดึ มน่ั ในอาชีพ 0.02 0.00 to 0.05 0.059 hscr ISSUE 2 79
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 ความสัมพันธ์ ขนาดและทิศทางของระดับแรงจูงใจกับผล ชนั้ ปรคี ลนิ กิ พบวา่ แรงจงู ใจโดยรวมไมส่ มั พนั ธก์ บั ผลการเรยี น การเรยี นภายหลงั ปรบั ความแตกตา่ งของเพศ ชนั้ ปี รายได้ การออก (p=0.253) และการหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงจงู ใจทง้ั 3 ดา้ นกบั กำ�ลังกาย การนอนหลบั ภาวะสุขภาพจิตดา้ นความซึมเศร้า ด้าน ผลการเรียน พบว่าแรงจงู ใจท่สี ่งผลให้ผลการเรยี นเพ่มิ ขึน้ มากทส่ี ุด ความวิตกกังวล และด้านความเครียด ด้วยการวิเคราะห์ถดถอย ได้แก่ ด้านการเตรียมความพร้อมในการเร่ิมต้นทำ�ให้ผลการเรียน พหุแบบ Multiple ในนิสิตแพทย์ช้ันปีที่ 1-6 พบว่า แรงจูงใจกับ เพ่ิมขึ้นอยา่ งมนี ัยส�ำ คญั (coefficient=0.02, p=0.019) ผลการเรียนมีความสัมพันธ์ในทิศทางบวก แรงจูงใจโดยรวมไม่ส่ง ช้ันคลินิกพบว่าแรงจูงใจโดยรวมทำ�ให้ผลการเรียนเพิ่ม ผลให้ผลการเรียนเพม่ิ ขึ้น (coefficient=0.01, p=0.152) และการ ขึ้นอย่างไม่มีนัยสำ�คัญ (coefficient=0.01, p=0.152) และการ หาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจงู ใจทง้ั 3 ด้านกับผลการเรยี น พบวา่ หาความสัมพนั ธ์ระหว่างแรงจูงใจท้ัง 3 ด้านกบั ผลการเรียน พบวา่ แรงจูงใจส่งผลให้ผลการเรียนเพิ่มข้ึน โดยเรียงลำ�ดับจากมากสุด แรงจงู ใจสง่ ผลใหผ้ ลการเรยี นเพม่ิ ขนึ้ โดยแรงจงู ใจทสี่ ง่ ผลตอ่ ผลการ ได้แก่ ด้านการเตรียมความพร้อมในการเร่ิมต้นทำ�ให้ผลการเรียน เรยี นมากสดุ คอื แรงจูงใจด้านการเตรียมความพร้อมในการเริม่ ตน้ เพมิ่ ขน้ึ อยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั (coefficient=0.02, p=0.047) ดา้ นความ อยา่ งมีนยั ส�ำ คัญ (coefficient=0.02, p=0.047) เสยี สละและดา้ นการยดึ มัน่ ในอาชีพไมส่ ่งผลให้ผลการเรยี นเพมิ่ ขน้ึ (coefficient=0.01, p=0.586 และ p=0.370 ตามลำ�ดบั ) ตารางที่ 5 ความสัมพนั ธ์ ขนาดและทศิ ทางของระดับแรงจงู ใจกบั ผลการเรียน ดว้ ยการวเิ คราะหถ์ ดถอยพหุคณู Multivariate regression) ภายหลงั ปรบั ความแตกต่างของเพศ ชน้ั ปี รายได้ การออกกำ�ลังกาย การนอนหลับ ภาวะสขุ ภาพจิตดา้ น ความซมึ เศร้า ดา้ นความวติ กกงั วล และด้านความเครยี ด (n=325) ช้ันปี แรงจงู ใจ ผลการเรียน (GPA) Coefficient 95 % CI p-value ชั้นปี 1-6 แรงจูงใจโดยรวม 0.01 0.00 to 0.02 0.152 ความเต็มใจในการเสียสละ 0.01 -0.02 to 0.03 0.586 การเตรยี มความพรอ้ มในการเรม่ิ ตน้ 0.02 0.00 to 0.05 0.047 การยึดมน่ั ในอาชพี 0.01 -0.01 to 0.04 0.370 ชน้ั ปรคี ลินกิ แรงจูงใจโดยรวม 0.00 0.00 to 0.01 0.253 ความเตม็ ใจในการเสยี สละ 0.01 -0.01 to 0.02 0.478 การเตรยี มความพร้อมในการเรม่ิ ตน้ 0.02 0.00 to 0.03 0.019 การยดึ มนั่ ในอาชพี -0.01 -0.02 to 0.01 0.547 ช้ันคลินกิ แรงจูงใจโดยรวม 0.01 0.00 to 0.02 0.152 ความเตม็ ใจในการเสียสละ 0.01 -0.02 to 0.03 0.586 การเตรยี มความพร้อมในการเรม่ิ ต้น 0.02 0.00 to 0.05 0.047 การยึดมนั่ ในอาชพี 0.01 -0.01 to 0.04 0.370 hscr ISSUE 2 80
Health science clinical research Volume 36 ORIGINAL ARTICLE July - December 2021 อภปิ รายผล สรุป จากผลการศึกษาแรงจูงใจในกลุ่มนิสิต คณะแพทยศาสตร์ เม่ือระดับแรงจูงใจโดยรวมมากข้ึนส่งผลให้ผลการเรียนดีขึ้น และ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปกี ารศกึ ษา 2562 ในนสิ ติ ชน้ั ปที ่ี 1 ถงึ ชนั้ ปที ี่ การหาความสมั พนั ธ์ของแรงจูงใจทั้ง 3 ดา้ นกบั ผลการเรียน พบวา่ 6 พบวา่ แรงจงู ใจทมี่ ากขน้ึ ท�ำ ใหม้ ผี ลการเรยี นทดี่ ขี นึ้ สมั พนั ธก์ นั ทงั้ ระดบั แรงจงู ใจดา้ นความเตม็ ใจในการเสยี สละ ดา้ นการเตรยี มความ ขนาดและทศิ ทาง ทงั้ ในดา้ นของความเตม็ ใจในการเสยี สละ การเต พร้อมในการเร่ิมต้น และแรงจูงใจด้านการยึดม่ันในอาชีพระดับ รยี มความพรอ้ มในการเรมิ่ ตน้ การยดึ มน่ั ในอาชพี และแรงจงู ใจโดย ท่ีมากข้ึนส่งผลให้ผลการเรียนดีข้ึน ดังน้ันจะเห็นได้ว่าแรงจูงใจมี รวม ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาท้งั ในประเทศไทยและตา่ งประเทศ ความสำ�คัญต่อผลการเรียนจึงควรคำ�นึงถึงการสร้างแรงจูงใจและ เช่น การศึกษาของ Kusurkar และคณะ พบว่านิสติ แพทย์ที่มีแรง ติดตามแรงจูงใจเป็นระยะเพ่ือก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนของ จงู ใจภายในสงู มเี กรดเฉลย่ี สงู กวา่ นสิ ติ แพทยท์ ไ่ี มม่ แี รงจงู ใจ9,10 และ นสิ ิตแพทยต์ อ่ ไป แรงจูงใจมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อผลการเรียน4,6,8 โดยสามารถ แบ่งความสัมพันธ์รายด้านได้ดังน้ี 1. ความเต็มใจในการเสียสละ ข้อเสนอแนะ 2. การเตรยี มความพรอ้ มในการเร่มิ ตน้ 3. การยดึ ม่ันในอาชพี พบ 1) ขอ้ เสนอแนะในการนำ�ผลการวจิ ัยไปใช้ ว่าแรงจงู ใจท่มี ากขึน้ ส่งผลให้มผี ลการเรยี นท่ดี ี แรงจงู ใจเปน็ สงิ่ ส�ำ คญั ตอ่ ผลการเรยี น จงึ ควรค�ำ นงึ ถงึ การ เมอื่ ศกึ ษารายชน้ั ปี แยกเปน็ 2 สว่ น คอื ชน้ั ปรคี ลนิ กิ และชนั้ สร้างแรงจูงใจและติดตามแรงจูงใจของนิสิตแพทย์เป็นระยะ เพ่ือ คลนิ กิ พบวา่ แรงจงู ใจทม่ี ากขนึ้ สง่ ผลใหม้ ผี ลการเรยี นทด่ี ขี นึ้ แตเ่ มอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ การเรียนของนสิ ิตแพทย์ เพ่อื จะสามารถนำ� ท�ำ การวเิ คราะห์ถดถอยพหคุ ูณ (Multiple regression analysis) ความรู้ความสามารถไปใช้กอ่ ประโยชน์แก่สงั คมอยา่ งสงู สุด พบว่านิสิตแพทย์ชั้นปรีคลินิก แรงจูงใจไม่มีความสัมพันธ์กับผล 2) ขอ้ เสนอแนะในการทำ�วจิ ยั ครั้งต่อไป การเรียนและแรงจูงใจด้านการยึดม่ันในอาชีพไม่ได้ส่งผลให้มีผล การศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ในเชงิ คณุ ภาพโดยการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ การเรยี นทดี่ ขี นึ้ ทง้ั นอ้ี าจเกดิ จากรปู แบบการศกึ ษาทเ่ี ปลยี่ นไปจาก อาจเป็นอีกแนวทางหนงึ่ ทส่ี ามารถเข้าใจเกีย่ วกบั แรงจงู ใจของนสิ ิต ระดับมัธยมเปล่ียนมาเป็นระดับมหาวิทยาลัยที่มีเนื้อหาการเรียน แพทยไ์ ดม้ ากขนึ้ ทง้ั นแี้ บบทดสอบนเี้ ปน็ การประเมนิ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู การสอนทีม่ ากขน้ึ ไดพ้ บเพือ่ นรว่ มชน้ั เรียนที่หลากหลายขน้ึ ตอ้ ง ของระดบั แรงจงู ใจในการเรยี นเปน็ เชงิ ประจกั ษเ์ ทา่ นนั้ ซงึ่ แรงจงู ใจ มีความรับผิดชอบเพิ่มมากข้ึนจึงต้องอาศัยการปรับตัวและปัจจัย เปน็ ความรสู้ กึ ทเ่ี ปน็ นามธรรม ควรมเี ครอ่ื งมอื ทส่ี ามารถวดั แรงจงู ใจ อื่นๆ เพ่ือให้ผลการเรียนดีขึ้น ขณะท่ีการศึกษาของชั้นคลินิก พบ ไดอ้ ยา่ งแม่นยำ�หากมีการตอ่ ยอดวจิ ยั นี้ตอ่ ไป ว่าแรงจงู ใจที่มากขึน้ ส่งผลใหม้ ผี ลการเรียนทีด่ ขี น้ึ ซึง่ สอดคลอ้ งกบั กติ ติกรรมประกาศ การศกึ ษาในนสิ ติ แพทย์ ประเทศอหิ รา่ น11 พบวา่ แรงจงู ใจมผี ลตอ่ ผล คณะผู้วิจัยขอขอบคุณ ผศ.(พิเศษ) ดร.นพ.วัชรพล ภูนวล การเรยี นทางบวกในชน้ั คลนิ กิ ทงั้ นจ้ี ากรปู แบบการเรยี นการสอนท่ี ผศ.ดร.จิราวรรณ ดีเหลือ อ.ภก.กิรติ เก่งกล้า และดร.ดวงกมล แตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจน โดยในชน้ั ปรคี ลนิ กิ จะเปน็ การจดั การเรยี น ภูนวล ที่ให้ความรู้และคำ�แนะนำ�ทางด้านสถิติในการวิเคราะห์ การสอนดา้ นความรพู้ ืน้ ฐานของรา่ งกายมนษุ ย์ ความผิดปกติ และ ข้อมูลรวมถึงให้คำ�ปรึกษาในการจัดทำ�วิจัย รวมถึงผู้อนุญาตให้ใช้ การรักษาผู้ป่วยข้ันพ้ืนฐาน แต่ในชั้นคลินิกจะมีการปฏิบัติงานใน แบบสอบถามและกลุ่มตัวอย่างนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 1 ถึงช้ันปีที่ 6 โรงพยาบาล โดยเน้ือหาการเรียนจะเกี่ยวข้องกับการส่ือสารกับผู้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ป่วย ต้ังแต่การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติ การ การวนิ จิ ฉยั และการรกั ษา ซง่ึ จะท�ำ ใหส้ อดคลอ้ งกบั การปฏบิ ตั ิ งานจรงิ ในฐานะของแพทย์ทำ�ให้เหน็ ถงึ ความส�ำ คญั ของการเรียนที่ สามารถนำ�ไปใชร้ ักษาผปู้ ว่ ยได้จรงิ ในอนาคตตอ่ ไป hscr ISSUE 2 81
ORIGINAL ARTICLE Health science clinical research Volume 36 July - December 2021 เอกสารอา้ งองิ 1. สมชาย รตั นทองคำ�. เอกสารประกอบการสอน 475788 8. Sultan A. Almalki. Influence of motivation on การสอนทางกายภาพบ�ำ บดั ภาคตน้ ปกี ารศกึ ษา 2554 [อนิ เทอรเ์ นต็ ]. academic performance among dental college students. 2554 [เขา้ ถงึ เมอ่ื 27 ก.ค. 2562]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: https://ams.kku. Access Macedonian journal of medical sciences. 2019 ac.th/ablearn/index.php?option=com_content&view= Apr 30; 7(8): 1374-1381. http://doi.org/10.3889/oam- article&id=72:475-788-&catid=28:current-users&Itemid=41 jms.2019.319 2. Tom and Benjamin. Vroom expectancy motiva- 9. Kusurkar RA, Croiset G, Galindo-Garre F, Ten tion theory [Internet]. 2009[2 July 2012]. Available from: Cate O. How motivation affects academic performance: https://www.yourcoach.be/en/employee-motivation-the- A structure equation modelling analysis. Health Sci ories/vroom-expectancy-motivation-theory.php Educ(2013) 18:57-69. https://doi.org/10.1007/s10459-012- 3. Kusurkar RA, Croiset G, Galindo-Garre F, Ten Cate 9354-3. O. Motivational profiles of medical students: association 10. Kusurkar RA, Croiset G, Galindo-Garre F, Ten Cate with study effort, academic performance and exhaustion. O. Motivational profiles of medical students: association BMC Med Educ. 2013; 13:87. with study effort, academic performance and exhaustion. 4. สุนันท์ มีเทศ และเชิดศักดิ์ ไอรมณีรัตน์.ปัจจัยที่มีความ BMC Med Educ. 2013; 13: 87. สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 11. Yousefy A, Ghassemi, Firouznia S. Motivation and คณะแพทยศาสตร์ ศริ ริ าชพยาบาล มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. เวชบนั ทกึ academic achievement in medical student. J Edu Health ศริ ริ าช 2561;11:151-7. Promos 2012;1. 5. ณัฐธิดา ลวานนท์, ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร, พฤกษา ผาติวรากร. แรงจูงใจในการเรียนแพทย์ของนิสิตแพทย์ คณะ แพทยศาสตร์จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. จุฬาลงกรณ์เวชสาร 2560 ก.ย. - ต.ค.; 61(5): 647-62. 6. Kusurkar RA, Croiset G, Kruitwagen CLJJ, Ten Cate ThJ. Validity evidence for the measurement of the Strength of Motivation for Medical School. In: Kusurkar RA, editor. Motivation in medical students. Oisterwijk: Uitgeverij BOXPress; 2012. p. 133-57. 7. Lovibond SH, Lovibond PF. Manual for the depression anxiety stress scales. 2nd ed. Sydney: Psychology Foundation of Australia; 1995. hscr ISSUE 2 82
Search