ส่ือการเรียนการสอนวิชา ภาษาไทย เร่ือง คาและชนิดของคา จดั ทาโดย นางสาวธีรารัตน์ นาบารุง ช้นั ปวส1 สาขาวชิ า คอมพิวเตอร์ธุรกิจ เสนอ ครู นริศรา ทองยศ
เรื่อง คาและชนิดของคา คาและชนิดของคา คำเป็นกลุ่มเสียงท่ีประกอบดว้ ยเสียงพยญั ชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยกุ ตท์ ่ีปรากฏไดโ้ ดย อิสระและมีความหมาย คำ ตอ้ งเป็นกลุ่มคาท่ีมีความหมายเสมอ ส่วนพยางค์ เป็นกลุ่มเสียงเช่นกนั ประกอบดว้ ย เสียงพยญั ชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยกุ ต์ พยางค์ 1 พยางค์ ถา้ มีความหมายกเ็ ป็นคา 1 คา ถา้ พยางค1์ พยางค์ ไม่มีความหมายกไ็ ม่ถือวา่ เป็นคา คาพยางคจ์ ึงเป็นส่วนหน่ึงของคา เช่น ดี 1 พยางค์ 1 คา สปั ดาห์ 2 พยางค์ 1 คา ชนบท 3 พยางค์ 1 คา ราชธานี 4 พยางค์ 1 คา
ชนิดของคำ ตามหลกั ภาษาไทยแบ่งได้ 7 ชนิด คือ 1. คาที่ใชเ้ รียกช่ือคน สตั ว์ ส่ิงของ เรียกวา่ คานาม คานามจะเป็นชื่อท่ีเก่ียวกบั คน สัตว์ ส่ิงของ หรืออาจเป็นคาเก่ียวกบั นามธรรม เช่น นามเก่ียวกบั คน เช่น พอ่ แม่ ป่ ู ยา่ สุกรี เจี๊ยบ ปิ๋ ว นามเก่ียวกบั สตั ว์ เช่น ชา้ ง มา้ ววั ควาย ปู ปลา นามเกี่ยวกบั สิ่งของ ร่างกาย เช่น มือ หูตา ของใช้ เช่น ดินสอ แกว้ ท่ีอยอู่ าศยั เช่น บา้ น ตึก ธรรมชาติ เช่น ลม น้า ไฟ ดิน ดาว นามที่เป็นนามธรรม เช่น ความดี ความรัก ความชว่ั 2. คาท่ีใชแ้ ทนช่ือคน สตั ว์ สิ่งของ เรียกวา่ คาสรรพนาม เช่น ผม เธอ ท่านคุณ ขา้ พเจา้ คาที่แสดงอาการหรือแสดงสภาพของคานามหรือคาสรรพนาม เรียกวา่ คากริยา เช่น นง่ั พดู กิน เดิน อ่าน เท่ียว นอน ทา เขียน
คาที่ใชป้ ระกอบคาอื่นใหม้ ีเน้ือความชดั เจนข้ึน เรียกวา่ คาวเิ ศษณ์ เช่น สวย งาม ดี ชวั่ สด คาที่ใชน้ าหนา้ คานาม คาสรรพนาม หรือ คากริยา ที่ทาหนา้ ที่คลา้ ยนาม เพ่อื บอกใหร้ ู้หนา้ ที่ หรือ ตาแหน่งของคาเหล่าน้นั เรียกวา่ คาบุพบท เช่น ใน บน ของ ที่ จน คาที่ใชเ้ ช่ือมคาหรือความใหเ้ ป็นเร่ืองเดียวกนั เรียกวา่ คาสนั ธาน เช่น และ จึง ถา้ เพราะ คาท่ีเปล่งเสียงออกมาเพื่อแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ เรียกวา่ คาอุทาน เป็นคาที่เปล่งออกมา โดยมิไดต้ ้งั ใจจะใหม้ ีความหมายประการใด แต่สามารถส่ือใหร้ ู้สึกวา่ มีความรู้สึกอยา่ งไร เช่น อุย๊ โอย๊ เอ๊ะ อพโิ ธ หน้ำทขี่ องคำ คาต่างๆไม่วา่ จะเป็นคานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวเิ ศษณ์ คาบุพบท คาสันธาน และคาอุทานจะเขา้ ประโยคโดยการเรียงคาในประโยค คาใดจะทาหนา้ ที่อะไร และ จะเป็นคาชนิดใดน้นั จะดูไดจ้ ากตาแหน่งของคาในประโยค เช่น คาวา่ ” ขนั ” เราไม่สามารถจะ บอกไดว้ า่ เป็นคานา คากริยา หรือคาวเิ ศษณ์ จนกวา่ คาน้นั จะเขา้ รูปประโยค เช่น ไก่ ขนั ตอนเชา้ ฉนั ลุกข้ึนนา ขนั ไปตกั น้าลา้ งหนา้ ฉนั เห็นเจา้ ปุยเดินมาดูน่า ขนั คาวา่ ” ขนั ” เมื่อเขา้ ประโยคจะบอกหนา้ ท่ีของคาในประโยควา่ ขนั คาแรกเป็นคากริยา ขนั คา ท่ีสองเป็นคานาม และขนั คาท่ีสามเป็น คาวเิ ศษณ์ คำนำม คำนำม เป็นคาเรียกชื่อคน สตั ว์ สิ่งของท่ีเป็นรูปธรรม ซ่ึงเป็นคาท่ีเห็นไดจ้ บั ตอ้ ง ได้ และคาที่แสดงนามธรรม เป็นคาท่ีแสดง บาป บุญ คุณ โทษ หรือคาที่แสดงทางจิตใจ เช่น ความดี ความชวั่ ความสามคั คีเป็นตน้ คานามเหล่าน้ี จะทาหนา้ ท่ีเป็นประธาน หรือกรรมของ ประโยค ชนิดของคำนำม
คานามแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ สามานยนาม เป็นคานามที่เป็นชื่อทว่ั ไป เช่น เมฆ ฝน คน ตน้ ไม้ แมว วสิ ามานยนาม เป็นคานามท่ีใชเ้ รียกช่ือเฉพาะ เช่น โบว์ เจ๊ียบ ปิ๋ ว ก่ิง สมุหนาม เป็นคานามท่ีใชเ้ รียกชื่อคน สัตว์ ส่ิงของ ท่ีรวมกนั เป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ เช่น ฝงู คณะ บริษทั ลกั ษณนาม เป็นคานามท่ีใชบ้ อกลกั ษณะของคาสามานยนาม คาลกั ษณะนามแบ่งออกได้ ดงั น้ี ลกั ษณะยามบอกชนิด เช่น พระพทุ ธรูป 2 องค์ พระภิกษุ 2 รูป เล่ือย 2 ป้ื น ขลุ่ย 2 เลา ลกั ษณะนามบอกอาการ เช่น บุหร่ี 4 มวน พลู 2 จีบ ไต้ 5 มดั ดอกไม้ 3 กา ผา้ 7 พบั ลกั ษณะนามบอกรูปร่าง เช่น รถ 1 คนั อิฐ 2 กอ้ น ไมไ้ ผ่ 3 คา สร้อย 5 สาย ไมข้ ีด 1 กลกั ลกั ษณะนามบอกหมวดหมู่ เช่น ฟื น 1 กอง เส้ือ 3 ชุด นก 2 ฝงู คน 5 พวก นกั เรียน 4 คณะ ลกั ษะนามบอกจานวนหรือมาตรา เช่น ตะเกียบ 2 คู่ ดินสอ 5 โหล งา 3 ลิตร ขนม 20 ถุง ลกั ษณะนามซ้าคานามขา้ งหนา้ ไดแ้ ก่ วดั 2 วดั อาเภอ 2 อาเภอ คน 2 คน คะแนน 10 คะแนน อาการนาม เป็นคานามที่เกิดจากคากริยา หรือคาวเิ ศษณ์ท่ีมีคาวา่ การ และ ความ นาหนา้ การ จะนาหนา้ คากริยา เช่น การนง่ั การเดิน การกิน การนอน การออกเสียง การ ปราศรัย ความ จะนาหนา้ คากริยาท่ีเป็นความนึกคิดทางจิตใจ เช่น ความคิด ความรัก ความดี ความเขา้ ใจ *** ข้อสังเกต*** ถา้ การ และ ความ นาหนา้ คานามจะเป็นคาประสมที่มิใช่อาการนาม เช่น การบา้ น การเมือง การไฟฟ้ า ความแพ่ง ความอาญา ความศึก
2. หน้ำทข่ี องคำนำม คานามมหี นา้ ท่ีดงั ต่อไปน้ี คือ ทาหนา้ ท่ีเป็นประธานของประโยค เช่น นกั เรียน เรียนหนงั สือ หมา กดั แมว บรรจง เขียนจดหมาย ทาหนา้ ที่เป็นกรรมหรือผถู้ กู กระทา เช่น นกั เรียนกิน ขา้ ว ความดีทาใหเ้ กิด ความสุข เดก็ ๆเตะ ฟุตบอลในสนาม ใชข้ ยายนามเพอ่ื ทาใหน้ ามที่ถูกขยายชดั เจนข้ึน เช่น นายสุวฒั น์ ทนายความฟ้ องนายปัญญา พอ่ คา้ นายบุญมาเป็นขา้ ราชการ ครู ใชเ้ ป็นส่วนสมบรู ณ์หรือส่วนเติมเตม็ เช่น เขาเป็นครูแต่นอ้ งเป็น หมอ เขาเหมือน พอ่ ใชต้ ามหลงั คาบุพบทเพือ่ ทาหนา้ ท่ีบอกสถานท่ี หรือขยายกริยาใหม้ ีเน้ือความบอกสถานที่ชดั เจน ข้ึน เช่น o เธออยใู่ น หอ้ ง ( ตามหลงั บุพบทใน ) o เขาอยทู่ ี่เชียงใหม่ ( ตามหลงั บุพบทท่ี ) o เขาไป โรงเรียน ( ขยายกริยาไป ) ใชบ้ อกเวลาโดยขยายคากริยาหรือคานามอ่ืน เช่น o เขาชอบมา ค่าๆ o พ่อจะไปเชียงใหม่วนั อาทิตย์ o มะนาว หนา้ แลง้ ราคาแพง ใชเ้ ป็นคาเรียกขานได้ เช่น
o คุณแม่ คะ่ คุณป้ ามาหาคะ่ o สุดา ช่วยหาของใหฉ้ นั ทีซิ o นกั เรียน เธอรีบทางานเร็วๆ คำสรรพนำม คำสรรพนำม เป็นคาท่ีใชแ้ ทนคานามที่กล่าวมาแลว้ เพือ่ ทาใหเ้ น้ือความมีความสละสลวยยง่ิ ข้ึน ชนิดของคำสรรพนำม คาสรรพนามแบ่งได้ 6 ชนิด คือ 1. บุรุษสรรพนำม เป็นสรรพนามใชแ้ ทนผพู้ ดู ผฟู้ ัง และผทู้ ี่กล่าวถึง แบ่งออกเป็น บรุ ุษท่ี 1 ไดแ้ ก่ ฉนั ขา้ พเจา้ กระผม ผม ดิฉนั เรา อาตมา ขา้ พระพทุ ธเจา้ เป็นบุรุษสรรพนาม ที่ใชแ้ ทนผพู้ ดู บรุ ุษที่ 2 ไดแ้ ก่ เธอ ท่าน คุณ ใตเ้ ทา้ พระคุณเจา้ ฝ่ าพระบาท แก เป็นบุรุษสรรพนามที่ใชแ้ ทน ผทู้ ่ีเราพดู ดว้ ย บรุ ุษท่ี 3 ไดแ้ ก่ เขา พวกเขา มนั พระองค์ เป็นบุรุษสรรพนามที่เราพดู ถึงหรือผพู ดู กล่าวถึง 2. ประพนั ธ์สรรพนำม เป็นสรรพนามท่ีใชเ้ ช่ือมประโยค ทาหนา้ ท่ีแทนคานาม หรือสรรพนามที่ อยขู่ า้ งหนา้ และยงั ทาหนา้ ที่เช่ือมประโยคโดยใหป้ ระโยค 2 ประโยคมีความเช่ือมกนั ไดแ้ ก่ คาวา่ ผู้ ที่ ซ่ึง อนั เช่น – บุคคล ผไู้ ม่ประสงคอ์ อกนาม บริจาคเงิน 100 บาท
– ผหู้ ญิง ท่ีอยใู่ นบา้ นน้นั เป็นยา่ ของผม – ไมบ้ รรทดั อนั วางบนโต๊ะเป็นของเธอ 3. วภิ ำคสรรพนำม เป็นสรรพนามบอกความช้ีซ้าที่ ใชแ้ ทนนามหรือสรรพนาม ท่ีแยกออกเป็น ส่วนๆ หรือเป็นคนๆ หรือพวก ไดแ้ ก่ บา้ ง ต่าง กนั เช่น o นกั กีฬา ต่างดีใจท่ีไดช้ ยั ชนะ o เดก็ นกั เรียน บา้ งกอ็ ่านหนงั สือ บา้ งกร็ ้องเพลง o พีน่ อ้ งคุย กนั 4. นิยมสรรพนำม เป็นสรรพนามท่ีใชแ้ ทนนามช้ีเฉพาะเจาะจง หรือบอกความใกลไ้ กล ท่ีเป็น ระยะทางใหผ้ พู้ ดู กบั ผฟู้ ังเขา้ ใจกนั ไดแ้ ก่คาวา่ นี่ นนั่ โน่น น้ี น้นั โนน้ เช่น o นี่เป็นกระเป๋ าใบที่เธอใหฉ้ นั o โน่น เป็นเทือกเขาถนนธงชยั o น่ี เป็นของเธอ น้ีเป็นของฉนั อนิยมสรรพนาม เป็นสรรพนามใชแ้ ทนนามบอกความไม่ช้ีเฉพาะเจาะจงท่ีแน่นอนลงไป ไดแ้ ก่ ใคร อะไร ที่ไหน ผใู้ ด บางคร้ังกเ็ ป็นคาซ้าๆ เช่น ใครๆ อะไรๆ ไหนๆ เช่น o ใคร จะไปกบั คุณพอ่ กไ็ ด้ o ผใู้ ด เป็นคนชวั่ เรากไ็ ม่ไปคบคา้ สมาคมดว้ ย o ไหนๆ กน็ อนได้ ปฤจฉาสรรพนาม เป็นสรรพนามใชถ้ ามที่ใชแ้ ทนนามที่มีเร้ือความเป็นคาถาม เช่น ใคร อะไร ผใู้ ด ไหน ปฤจฉาสรรพนามต่างกบั อนิยมสรรพนาม กค็ ือ อนิยมสรรพนามใชใ้ นประโยคบอก เล่าหรือปฏิเสธ แต่ปฤจฉาสรรพนามใชใ้ นประโยคคาถาม เช่น o ใคร มาหาฉนั ? o อะไร อยใู่ ตโ้ ตะ๊ ? o ไหน เป็นบา้ นของเธอ ?
2. หน้ำทขี่ องคำสรรพนำม สรรพนามใชแ้ ทนคานามจึงทาหนา้ ท่ีเช่นเดียวกบั คานาม ดงั น้ี ใชเ้ ป็นประธานของประโยค เช่น o เขา ไปกบั คุณพ่อ o ใคร อยทู่ ี่นนั่ o ท่าน ไปกบั ผมหรือ ใชเ้ ป็นกรรมของประโยค เช่น o แม่ดุฉนั o เขา เอาอะไรมา o เดก็ ๆกิน อะไรๆกไ็ ด้ เป็นผรู้ ับใช้ เช่น o คุณแม่ใหฉ้ นั ไปสวน เป็นส่วนสมบูรณ์หรือส่วนเติมเตม็ เช่น o คุณเป็น ใคร ใชเ้ ช่ือมประโยค เช่น o เขาพาฉนั ไปบา้ น ท่ีฉนั ไม่เคยไป o เขามีความคิด ซ่ึงไม่เหมือนใคร o คน ที่ไปกบั เธอเป็นนอ้ งฉนั ใชข้ ยายนามท่ีทาหนา้ ท่ีเป็นประธาน หรือกรรมของประโยค เพื่อเนน้ ความท่ีแสดงความรู้สึก ของผพู้ ดู จะวางหลงั คานาม o คุณครูท่านไม่พอใจท่ีเราไม่ต้งั ใจเรียน o ฉนั แวะไปเยยี่ มคุณครู ท่านมา การใช้คาสรรพนาม มีข้อสังเกตดังนี้ คือ
บุรุษสรรพนามบางคาจะใชเ้ ป็นบุรุษสรรพนามบุรุษที่ 2 หรือ บุรุษท่ี 3 กไ็ ด้ o ท่าน มาหาใครครับ ( บุรุษที่ 2 ) o เธอไปกบั ท่านหรือเปล่า ( บุรุษที่ 3 ) o เธอ อยบู่ า้ นนะ ( บุรุษที่ 2 ) บุรุษสรรพนามจะตอ้ งใชใ้ หถ้ ูกตอ้ งตามฐานะของบุคคล วยั และเพศของบุคคล เช่น ผม ใชก้ บั ผู้ พดู เป็นชาย แสดงความสุภาพ , ขา้ พระพทุ ธเจา้ ใชพ้ ดู กบั พระมหากษตั ริยห์ รือเจา้ อยชู่ ้นั สูง เป็น ตน้ คานามอาจใชเ้ ป็นสรรพนามไดใ้ นการสนทนา เช่น – ป๋ ุยมาหาคุณพ่เี มื่อวานน้ี ( ป๋ ุยใชแ้ ทนผพู้ ดู ) คำกริยำ คำกริยำ คือ คาที่แสดงอาการของนามหรือสรรพนามเพอื่ ใหร้ ู้วา่ นามหรือสรรพนามน้นั ทา หนา้ ท่ีอะไร หรือเป็นการแสดงการกระทาของประธานในประโยค ชนิดของคำกริยำ คากริยาแบ่งได้ 5 ชนิด คือ 1. อกรรมกริยำ คือกริยาที่ไม่ตอ้ งมีกรรมมารับกไ็ ดใ้ จความสมบูรณ์ เช่น – ฉนั ยนื แต่แม่นงั่ ไก่ขนั แต่หมาเห่า พ้นื บา้ นสกปรกมาก คาลกั ษณ์วเิ ศษณ์ท่ีบอกลกั ษณะต่างๆทาหนา้ ที่เป็นตวั แสดงในภาคแสดงของประโยค ถือวา่ เป็น กริยาของประโยค เช่น o ฉนั สูงเท่าพอ่ o ดอกไมด้ อกน้ีหอม o พ้ืน สะอาดมาก
2. สกรรมกริยำ คือ กริยาท่ีมีกรรมมารับจึงจะไดใ้ จความสมบูรณ์ เช่น o ฉนั กินขา้ ว o แม่หิ้วถงั น้า o พ่อ ขายของ กริยาบางคาตอ้ งมีกรรมตรงและกรรมรอง เช่น – ให้ ฉนั ใหด้ ินสอนอ้ ง หมายถึง ฉนั ใหด้ ินสอแก่นอ้ ง – แจก ครู แจกดินสอนกั เรียน หมายถึง ครูแจกดินสอใหน้ กั เรียน – ถวาย ญาติโยม ถวายอาหารพระภิกษุ หมายถึง ญาติโยม ถวายอาหารแด่พระภิกษุ ดินสอ อาหาร เป็นกรรมตรง นกั เรียน พระภิกษุ นอ้ ง เป็นกรรมรอง 3. วกิ ตรรถกริยา เป็นกริยาที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตวั เอง ตอ้ งอาศยั คานาม สรรพนาม หรือคา วเิ ศษณ์มาเติมขา้ งหลงั หรือมาขยายจึงจะไดใ้ จความ ไดแ้ ก่กริยาคาวา่ วา่ เหมือน คลา้ ย เท่า คือ เสมือน ประดุจ แปลวา่ เช่น – นายสีเป็นพ่อคา้ ขา้ ว – เธอ คลา้ ยฉนั – ทาไดเ้ ช่นน้ีเป็นดีแน่ 4. กริยานุเคราะห์ คือกริยาช่วย เป็นคาที่ช่วยใหก้ ริยาอื่นที่อยขู่ า้ งหลงั ไดค้ วามครบ เพ่ือบอกกาล หรือบอกการกระทาใหส้ มบูรณ์ ไดแ้ ก่ กาลงั คง จะได้ ยอ่ ม เตย ให้ แลว้ เสร็จ กริยานุเคราะหจ์ ะ วางอยหู่ นา้ คากริยาสาคญั หรือหลงั คากริยาสาคญั กไ็ ด้ เช่น o เขา ยอ่ มไปท่ีนน่ั o เขา ถูกครูดุ o พอ่ กาลงั มา o นอ้ งทาการบา้ น แลว้
o ฉนั ตอ้ งไปกบั คุณแม่วนั พรุ่งน้ี 5. กริยาสภาวมาลา คือ กริยาที่ทาหนา้ ที่เป็นคานาม จะเป็น ประธาน กรรม หรือ บท ขยายของประโยคกไ็ ด้ เช่น นอนหลบั เป็นการพกั ผอ่ นท่ีดี ( ประธานของประโยค) ฉนั ชอบไป เที่ยวกบั เธอ ( เป็นบทกรรม ) ฉนั มาเพือ่ ดูเขา ( เป็นบทขยาย ) 2. หน้ำทขี่ องคำกริยำ คากริยาจะทาหนา้ ท่ีเป็นภาคแสดงของประโยค จะมีตาแหน่งในประโยคดงั น้ี o อยหู่ ลงั ประธาน เช่น เธอ กินขา้ ว o อยหู่ นา้ ประโยค เช่น เกิดน้าท่วมฉบั พลนั คากริยาทาหนา้ ท่ีเป็นส่วนขยายคานาม เช่น – เดก็ เร่ร่อนยนื ร้องไห้ เร่ร่อน เป็นกริยาขยายคานามเดก็ – ปลา ตาย ไม่มีขายในตลาด ตาย เป็นกริยาขยายคานามปลา คากริยา ทาหนา้ ท่ีเป็นกริยาสภาวมาลาเป็นประธานกรรมหรือบทขยาย เช่น – อ่าน หนงั สือ ช่วยใหม้ ีความรู้ อ่านหนงั สือ เป็นประธานของกริยาช่วย – แม่ไม่ชอบ นอนดึก นอนดึก เป็นกรรมของกริยาชอบ
คำวเิ ศษณ์ คำวเิ ศษณ์ เป็นคาท่ีใชป้ ระกอบคานาม สรรพนาม กริยา และคาวเิ ศษณ์ เพ่ือใหข้ อ้ ความน้นั ชดั เจนยงิ่ ข้ึน เช่น คนอว้ นตอ้ งเดินชา้ คนผอมเดินเร็ว ( ประกอบคานาม ” คน ” ) เขาท้งั หมด เป็นเครือญาติกนั ( ประกอบคาสรรพนาม ” เขา ” ) เขาเป็นคนเดินเร็ว ( ประกอบคากริยา ” เดิน “) ชนิดของคำวเิ ศษณ์ คาวเิ ศษณ์แบ่งเป็น 10 ชนิด 1. ลกั ษณ์วเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์ที่บอกลกั ษณะต่างๆ เช่น บอกชนิด สี ขนาด สณั ฐาน กลิ่น รส บอกความรู้สึก เช่น ดี ชวั่ ใหญ่ เลก็ ขาว กลม หวาน ร้อน เยน็ เช่น นำ้ ร้อน อยใู่ นกระติกเขยี ว จานใบใหญ่ราคาแพงกวา่ จานใบเลก็ ผมไม่ชอบกินขนมหวำน 2. กำลวเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์บอกเวลา เช่น เชา้ สาย บ่าย เยน็ อดีต โบราณ อนาคต คนโบรำณเป็นคนมีความคิดดีๆ ฉนั ไปก่อน เขาไปหลงั 3. สถำนวเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซา้ ย ขวา เช่น – เธออยใู่ กล้ ฉนั อยไู่ กล รถเธอแล่นทางซ้ำย ส่วนรถฉนั แล่นทางขวำ คาวเิ ศษณ์น้ีถา้ มีคานามหรือสรรพนามอยขู่ า้ งหลงั คาดงั กล่าวน้ีจะกลายเป็นบุพบทไป เช่น เขานง่ั ใกล้ฉนั เขายนื บนบนั ได เขานงั่ ใต้ตน้ ไม้
4. ประมำณวเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์บอกจานวน หรือปริมาณ เช่น หน่ึง สอง สาม ส่ีมาก นอ้ ย ที่ หน่ึง ท่ีสอง หลาย ต่าง บรรดา บา้ ง กนั คนละ เช่น เขามีสุนขั หนึ่งตวั พ่อมีส่วนมำก บรรดำ คนท่ีมา ล้วนแต่กินจุท้งั สิ้น 5. นิยมวเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์บอกความช้ีเฉพาะ เช่น น่ี น้นั โนน้ ท้งั น้ี ท้งั น้นั เอง เฉพาะ เทียว ดอก แน่นอน จริง เช่น วชิ าเฉพำะอยา่ งเป็นวชิ าชีพ คนอย่ำงนีก้ ม็ ีดว้ ยหรือ ฉนั จะมาหาเธอแน่ๆ 6. อนิยมวเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์ท่ีประกอบบอกความไม่ช้ีเฉพาะ เช่น ใด อ่ืนๆ กี่ ไหน อะไร เช่น เธออ่านหนงั สืออะไรกไ็ ด้ เธอพดู อย่ำงไร คนอนื่ ๆกเ็ ชื่อเธอ เธอจะนงั่ เกา้ อ้ีตวั ไหนกไ็ ด้ 7. ปฤจฉำวเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์บอกความถาม หรือ ความสงสยั เช่น ใด ไร ไหน อะไร ทาไมอยา่ งไร เช่น เธอจะทาอย่ำงไร ส่ิงใดอยบู่ นช้นั เธอจะไปไหน 8. ประตชิ ญำวเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์ใชแ้ สดงการขานรับหรือโตต้ อบ เช่น ครับ ขอรับ ขา คะ จ๋า โวย้ เช่น หนูขำ หนูจะไปไหนคะ คุณครูครับ ผมส่งงานครับ
ปลิวโว้ย เพอ่ื นคอยแลว้ โว้ย 9. ประติเษธวเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิใช่ มิได้ หาไม่ หามิได้ ใช่ เขาไม่ทากไ็ ม่เป็นไร เพราะเขามใิ ช่ลูกฉนั ร่างกายน้ีหาใช่สตั ว์ ใช่บุคคล ใช่ตวั ตนเราเขา ของน้ีไม่ใช่ของฉนั ฉนั จึงรับไปไม่ได้ 10. ประพนั ธ์วเิ ศษณ์ เป็นคาวเิ ศษณ์ประกอบคากริยาหรือคาวเิ ศษณ์ เพอ่ื เชื่อมประโยคใหม้ ีความ เก่ียวขอ้ งกนั เช่น ที่ ซ่ึง อนั อยา่ งท่ีชนิดที่ ที่วา่ เพื่อวา่ ให้ เช่น เดก็ คนน้ีเป็นเด็กฉลาดอย่ำงทไี่ ม่ค่อยไดพ้ บ เขาพดู ให้ฉนั ไดอ้ าย เขาทางานหนกั เพอ่ื วา่ เขาจะไดม้ ีเงินมาก ที่ ซึ่ง อนั เป็นคาประพนั ธ์วเิ ศษณ์ต่างกบั คาประพนั ธ์สรรพนาม ดงั น้ี ที่ ซ่ึง อนั ที่เป็นประพนั ธ์สรรพนาม จะใชแ้ ทนนามที่อยขู่ า้ งหนา้ และวางติดกบั นามหรือสรรพ นาม ที่จะแทนและเป็นประธานของคากริยาที่ตามมาขา้ งหลงั เช่น คนทอ่ี ยนู่ ้นั เป็นครูฉนั ตน้ ไมซ้ ึ่งอยหู่ นา้ บา้ นควรตดั ทิง้ ส่วน ที่ ซ่ึง อนั ท่ีเป็นประพนั ธ์วเิ ศษณ์ จะใชป้ ระกอบคากริยาหรือคาวเิ ศษณ์ จะเรียงหลงั คาอ่ืนที่ ไม่ใช่เป็นคานามหรือคาสรรพนามดงั ตวั อยา่ งขา้ งตน้ 2. หน้ำทข่ี องคำวเิ ศษณ์ หนา้ ที่ของคาวเิ ศษณ์ใชเ้ ป็นส่วนขยายจะขยายนาม สรรพนาม กริยา หรือ คาวเิ ศษณ์ และยงั ทา หนา้ ท่ีเป็นตวั แสดงในภาคแสดงของประโยคไดแ้ ก่ 1. ทาหนา้ ท่ีขยายนาม คนหนุ่มยอ่ มใจร้อนเป็นธรรมดา บา้ นใหญ่หลงั น้นั เป็นของผม 2. ทาหนา้ ท่ีขยายสรรพนาม ใครบ้ำงจะไปทาบุญ
ฉนั เองเป็นคนเขา้ มาในหอ้ งน้า 3. ทาหนา้ ที่ขยายคากริยา เขาพดู มำก กินมำก แต่ทาน้อย เม่ือคืนน้ีฝนตกหนกั 4. ทาหนา้ ที่ขยายคาวเิ ศษณ์ ฝนตกหนกั มำก เธอวง่ิ เร็วจริงๆ เธอจึงชนะ คำบุพบท เป็นคาท่ีใชห้ นา้ คานาม คาสรรพนาม หรือคากริยาสภาวมาลา เพื่อแสดงความสมั พนั ธข์ องคา และประโยคที่อยหู่ ลงั คาบุพบทวา่ มีความเกี่ยวขอ้ งกบั คาหรือประโยคท่ีอยขู่ า้ งหนา้ อยา่ งไร เช่น ลกู ชายของนายแดงเรียนหนงั สือไม่เก่ง แต่ลกู สาวของนายดาเรียนเก่ง ครูทางานเพื่อนกั เรียน เขาเล้ียงนกเขาสาหรับฟังเสียงขนั 1. ชนิดของคำบุพบท คาบุพบทแบ่งเป็น 2 ชนิด 1. คาบุพบทที่แสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคาต่อคา เช่น ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคานามกบั คานาม คานามกบั คาสรรพนาม คานามกบั คากริยา คาสรรพนามกบั คาสรรพนาม คาสรรพนามกบั คากริ ยาคากริยากบั คานาม คากริยากบั คาสรรพนาม คากริยากบั คากริยา เพ่ือบอกสถานการณ์ให้ ชดั เจนดงั ต่อไปน้ี
o o บอกสถานภาพความเป็นเจา้ ของ เช่น – ฉนั ซ้ือสวน ของนายฉลอง ( นามกบั นาม) – บา้ น ของเขาใหญ่โตแทๆ้ ( นามกบั สรรพนาม) – อะไร ของเธออยใู่ นถุงน้ี ( สรรพนามกบั สรรพนาม) o บอกความเกี่ยวขอ้ ง – เธอตอ้ งการมะม่วง ในจาน ( นามกบั นาม) – ฉนั ไป กบั เขา ( กริยากบั สรรพนาม) – พ่อเห็น แก่แม่ ( กริยากบั นาม) o บอกการใหแ้ ละบอกความประสงค์ – แกงหมอ้ น้ีเป็นของ สาหรับใส่บาตร (นามกบั กริยา) – พ่อใหร้ างวลั แก่ฉนั ( นามกบั สรรพนาม) o บอกเวลา (กริยากบั นาม) – เขามา ต้งั แต่เชา้ – เขาอยเู่ มืองนอก เม่ือปี ท่ีแลว้ ( นามกบั นาม) o บอกสถานที่ – เธอมา จากหวั เมือง ( กริยากบั นาม) o บอกความเปรียบเทียบ – เขาหนกั กวา่ ฉนั ( กริยากบั นาม) – เขาสูง กวา่ พอ่ ( กริยากบั นาม)
2. คาบุพบทที่ไม่มีความสัมพนั ธก์ บั คาอ่ืนส่วนมากจะอยตู่ น้ ประโยค ใชเ้ ป็นการทกั ทาย มกั ใชใ้ น คาประพนั ธ์ เช่น ดูกร ดูกอ้ น ดูราชา้ แต่ คาเหล่าน้ีใชน้ าหนา้ คานามหรือสรรพนาม ดูกร ท่านพราพมณ์ ท่าจงสาธยายมนตบ์ ชู าพระผเู้ ป็นเจา้ ดว้ ย ดูก่อน ภิกษทุ ้งั หลาย การเจริญวปิ ัสสนาเป็นการปฏิบตั ิธรรมของท่าน ดูรา สหายเอ๋ย ท่านจงทาตามคาที่เราบอกท่านเถิด ชา้ แต่ ท่านท้งั หลาย ขา้ พเจา้ ยนิ ดีมากที่ท่านมาร่วมงานในวนั น้ี ข้อสังเกตการใช้คาบพุ บท 1. คาบุพบทตอ้ งนาหนา้ คานาม คาสรรพนาม หรือคากริยาสภาวมาลา เช่น เขามุ่งหนา้ สู่เรือน ป้ ากินขา้ ว ดว้ ยมือ ทุกคนควรซื่อสตั ยต์ ่อหนา้ ท่ี 2. คาบุพบทสามารถละได้ และความหมายยงั คงเดิม เช่น เขาเป็นลูกฉนั ( เขาเป็นลกู ของฉนั ) แม่ใหเ้ งินลูก ( แม่ใหเ้ งิน แก่ลูก ) ครูคนน้ีเชี่ยวชาญภาษาไทยมาก ( ครูคนน้ีเชี่ยวชาญ ทางภาษาไทยมาก ) 3. ถา้ ไม่มีคานาม หรือคาสรรพนามตามหลงั คาน้นั จะเป็นคาวเิ ศษณ์ เช่น เธออยใู่ น – พ่อยนื อยรู่ ิม เขานง่ั หนา้ – ใครมา ก่อน ตาแหน่งของคาบุพบท ตาแหน่งของคาบุพบท เป็นคาท่ีใชน้ าหนา้ คาอื่นหรือประโยค เพอ่ื ใหร้ ู้วา่ คา หรือประโยคท่ีอยู่ หลงั คาบุพบท มีความสมั พนั ธ์กบั คาหรือประโยคขา้ งหนา้ ดงั น้นั คาบุพบทจะอยหู่ นา้ คาต่างๆ ดงั น้ี
1. นาหนา้ คานาม เขาเขียนจดหมาย ดว้ ยปากกา เขาอยทู่ ่ีบา้ นของฉนั 2. นาหนา้ คาสรรพนาม เขาอยกู่ บั ฉนั ตลอดเวลา เขาพดู กบั ท่านเม่ือคืนน้ีแลว้ 3. นาหนา้ คากริยา เช่น เขาเห็น แก่กิน โต๊ะตวั น้ีจดั สาหรับอภิปรายคืนน้ี 4. นาหนา้ คาวเิ ศษณ์ เช่น เขาวง่ิ มา โดยเร็ว เธอกล่าว โดยซ่ือ คำสันธำน คำสันธำน เป็นคาจาพวกหน่ึงที่ใชเ้ ช่ือมคา เชื่อมความและเช่ือมประโยคใหต้ ิดต่อเป็นเร่ือง เดียวกนั และสละสลวย ชนิดและหน้ำทข่ี องคำสันธำน 1. เช่ือมคากบั คา ไดแ้ ก่ คาวา่ และ กบั ดงั ตวั อยา่ ง – บุตรชายและบุตรสาวตอ้ งเล้ียงดูบิดาและมารดา
– นายดากบั นายแดงเดินทางไปดว้ ยกนั 2. เชื่อมประโยคกบั ประโยค ไดแ้ ก่ คาวา่ หรือ และ เพราะ เพราะ… จึง แต่ ฯลฯ ดงั ตวั อยา่ ง – เธออยากจะไดเ้ ส้ือหรือกางเกง – หล่อนร้องไหจ้ นน้าตาแทบเป็นสายเลือด – เพรำะ เขาไม่ขยนั อ่านหนงั สือเขาจงึ สอบตก – ผมชอบอาหารภาคเหนือแต่เขาชอบอาหารภาคใต้ 3. เช่ือมขอ้ ความกบั ขอ้ ความ ไดแ้ ก่คาวา่ เพราะฉะน้นั แมว้ า่ …. ก็ เพราะ…. จึง ฯลฯ เช่น – ชาวต่างชาติเขาเขา้ มาอยเู่ มืองไทย เขาขยนั หมน่ั เพียร ไม่ยอมใหเ้ วลาผา่ นไปโดยเปล่า ประโยชน์ เขาจึงร่ารวยจนเกือบจะซ้ือแผน่ ดินไทยไดท้ ้งั หมดแลว้ เพรำะฉะน้ัน ขอใหพ้ ี่นอ้ งชาว ไทยท้งั หลายจงตื่นเถิด จงพากนั ขยนั ทางานทุกชนิด เพ่อื จะไดร้ ักษาผนื แผน่ ดินของไทยไว้ 4. เช่ือมความใหส้ ละสลวย ไดแ้ ก่คาวา่ ก็ อนั วา่ อยา่ งไรกต็ าม อน่ึง เป็นตน้ เช่น – ขา้ พเจา้ เห็นวา่ เขากเ็ ป็นคนดีคนหน่ึง – อนั ว่ำ กิริยามารยาทอนั งดงามน้นั ยอ่ มเป็นท่ีชื่นชมของผทู้ ี่พบเห็น – อย่ำงไรกต็ ำม ฉนั จะตอ้ งหาทางช่วยเหลือเขาใหไ้ ด้ ข้อสังเกต เน่ืองจากหนา้ ท่ีสาคญั ของคาสนั ธาน ไดแ้ ก่ การเช่ือมคา ประโยค และขอ้ ความ ใหเ้ กี่ยวเน่ืองกนั น้นั โปรดดูเพิ่มเติมในบทวา่ ดว้ ยเร่ืองประโยค
คำอทุ ำน คำอทุ ำน เป็นคาท่ีเปล่งออกมาโดยไม่คานึงถึงความหมาย แต่เนน้ ท่ีการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ของผพู้ ดู ชนิดของคำอทุ ำน 1. คาอุทานบอกอาการ คือ คาอุทานท่ีเปล่งออกมาเพอื่ ใหร้ ู้อาการต่าง ๆ ของผพู้ ดู เช่น อาการดีใจ เสียใจ ตกใจ และประหลาดใจ เป็นตน้ ไดแ้ ก่คาวา่ เอะ๊ โอย๊ อะ๊ เฮ่ เฮย้ โธ่ อนิจจา แหม วา้ วา้ ย วยุ้ เป็นตน้ อน่ึง หลงั คาอุทานพวกน้ีมกั มีเครื่องหมายอศั เจรีย์ (!) กากบั เสมอ ดงั ตวั อยา่ ง – แหม! หล่อจริง – เฮย้ ! อยา่ เดินไปทางน้นั – โธ่! หมดกนั 2. คาอุทานเสริมบท คือ คาอุทานท่ีใชเ้ ป็นคาสร้อยหรือเสริมบท เพือ่ ใหเ้ สียงหรือความกระชบั สละสลวยข้ึน แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ชนิด คือ 2.1 คาอุทานเสริมบทท่ีใชเ้ ป็นคาสร้อย ส่วนมากพบเป็นคาข้ึนตน้ และลงทา้ ยบทประพนั ธ์ ประเภทโคลงและร่าย เติมลงไปเพ่อื แสดงความรู้สึกบา้ ง เพ่ือทาใหค้ าประพนั ธ์มีพยางคค์ รบตาม ฉนั ทลกั ษณ์บา้ ง ไดแ้ ก่คาวา่ โอ้ อา้ โอว้ า่ เถิด นา พอ่ แฮ เฮย เอย ฯลฯ ดงั ตวั อยา่ ง – โอ้ ศรีเสาวลกั ษณ์ล้า แลโลม โลกเอย – โฉมควรจกั ฝากฟ้ า ฤๅดิน ดีฤๅ – พระสุเมรุเป่ื อยเป็นตม ทบท่าว ลงนำ 2.2 คาอุทานเสริมบทท่ีใชเ้ ป็นคาแทรกระหวา่ งคาหรือขอ้ ความ ไดแ้ ก่คาวา่ นา เอย เอ่ย เอ๋ย โวย ฯลฯ ดงั ตวั อยา่ ง – เดก็ เอ๋ยเดก็ นอ้ ย
– สตั วอ์ ะไรเอ่ยไม่มีหวั – กบเอยทาไมจึงร้อง 2.3 คาอุทานเสริมบทท่ีใชเ้ ป็นคาเสริม เพอ่ื ต่อถอ้ ยคาขา้ งหนา้ ใหย้ าวออกไป แต่ไม่ตอ้ งการ ความหมายท่ีเสริมน้นั ดงั ตวั อยา่ ง – วดั วำอาราม – รถรำ – หนงั สือหนังหำ – ผา้ ผ่อนท่อนสไบ คำอนุภำค คำอนุภำค บางทีเรียกวา่ คาเสริม หลกั ภาษาแนวใหม่ไดก้ าหนดคาอนุภาคข้ึนต่างไปจากหลกั ภาษาเดิม คาอนุภาคน้ีในหลกั ภาษาเดิมจดั อยใู่ นคาวเิ ศษณ์ แต่หลกั ภาษาแนวใหม่เนน้ การส่ือสาร โดยเฉพาะภาษาพดู จึงจดั คาพวกหน่ึง ซ่ึงเป็นคาวเิ ศษณ์ ในหลกั ภาษาเดิมที่ใชภ้ าษาพดู มาเป็นคา อนุภาค หรือคาเสริม เพอื่ เนน้ เจตนาของผพู้ ดู เป็นการบอกเล่า ส่งั ถาม ขู่ ออ้ นวอน ขอร้อง แนะนา เชิญชวน บงั คบั เป็นตน้ คาอนุภาคหรือคาเสริมน้ี เป็นการเนน้ ความใหเ้ ด่นชดั เพ่อื แสดงเจตนาของผพู้ ดู มกั ใชใ้ น ประโยคที่พดู จากนั มากกวา่ จะใชใ้ นประโยคท่ีเป็นภาษาเขียน คาอนุภาคหรือคาเสริมที่เป็นคาลง ทา้ ยประโยคอาจแตกต่างกนั ไป ตามลกั ษณะ เจตนา ในการสื่อสารของผพู้ ดู ชนิดของคำอนุภำค คาอนุภาคแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. อนุภาคท่ีเป็นส่วนคาลงทา้ ยประโยค ไดแ้ ก่ คาวา่ นะ เถอะ หรอก ซิ น่ะ แน่ะ หนอ ละ กระมงั ครับ ค่ะ คะ ไหม หรือ
คาเหล่าน้ีนกั ภาษาศาสตร์ถือวา่ เป็นคาเสริมเขา้ ไปในประโยค เพื่อเนน้ เจตนาของผพู้ ดู วา่ ตอ้ งการ เน้ือความบอกเล่า ขอร้อง สง่ั สงสยั บงั คบั อนุญาต คาอนุภาคเหล่าน้ี ในตาราหลกั ภาษาไทยเดิมถือวา่ เป็นคาวเิ ศษณ์ ส่วนคาวา่ ไหม หรือ ถือวา่ เป็น ปฤจฉาวเิ ศษณ์ เป็นตน้ ตวั อยา่ งคาอนุภาคที่เป็นส่วนของคาลงทา้ ย มากบั ฉนั นะ ( ชกั ชวน ) มากบั ฉนั เถอะน่า ( ชกั ชวน ) ของพวกน้ี แม่จะไวใ้ ส่บาตร น่ะ ( อธิบายแสดงเหตุผล ) ผมไปก่อน นะ ( ขออนุญาต ) เดินเร็วๆ ซิ ( คาสัง่ ) ฝนตกแลว้ ซิ ( บอกกล่าว) ไป เถอะ ( อนุญาต หรือ ชกั ชวน) ขนมอร่อย จงั เลย ( เนน้ ความ) ผมไม่เห็นดว้ ย หรอก ( บอกกล่าว) หนูชื่ออะไร จะ๊ ( ความสุภาพ ) รถไฟคงมาชา้ อีก กระมงั ( คาดคะเน) 2. อนุภาคท่ีไม่ไดเ้ ป็นส่วนคาลงทา้ ยประโยค จะใชป้ ระกอบคาเพือ่ ใหค้ า หรือความเด่นชดั ข้ึน อาจอยตู่ น้ ประโยค ระหว่างประโยคกไ็ ด้ จะเป็นการเนน้ ความ เช่น คุณ นนั่ แหละ คุณเล่ียงไดก้ เ็ ล่ียงเถิด ปัญหา น่ะหรือ ผมเสนอใหเ้ กบ็ ไวก้ ่อน เดก็ น่ะนา้ ยง่ิ ตียง่ิ ด้ือ ฉนั รู้หรอก วา่ เขาไม่ดี นนั่ แหละ ฉนั บอกเธอแลว้ กไ็ ม่เชื่อ เถอะน่า เธอกร็ ู้เอง จริงแหละ ถา้ เขาตายพวกเธอกล็ าบาก เหรอ ผมไม่รู้เรื่องเลย
หน้ำทขี่ องคำอนุภำค 1. ใชแ้ สดงเจตนาของผพู้ ดู ไปเด๋ียว น้ีนะ ( สงั่ ) ไป เถอะนะลกู ( อนุญาต) ฝนจะตก นะ เอาร่มไปดว้ ย ( เกล้ียกล่อม) 2. ใชแ้ สดงการถาม เขาจะไปหรือ ยงั เธอเอามารึเปล่า 3 ใชป้ ระกอบคาหรือความใหเ้ ด่นชดั พ่อ รู้หรอกวา่ ลูกดีใจมากท่ีสอบเขา้ มหาวทิ ยาลยั ได้ เดก็ น่ีนา้ ทาอะไรกไ็ ม่ผดิ **ข้อสังเกต ** คาอนุภาคนอกจากจะมีหนา้ ท่ีแสดงเจตนาของผพู้ ดู แลว้ ยงั จะทาหนา้ ท่ีคลา้ ยคา วเิ ศษณ์ คือ เป็นส่วนประกอบคาใหช้ ดั เจนอีกดว้ ย คำถำม 1).คาที่ใชเ้ รียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ เรียกวา่ อะไร 1. คากริยา 2. คานาม 3. คาสรรพนาม 4. คาบุพบท
2). เขาไปโรงเรียน คาวา่ “เขา” ในประโยค เป็นคาชนิดใด 1. คากริยา 2. คานาม 3. คาสรรพนาม 4. คาวเิ ศษณ์ 3).ประโยคในขอ้ ใดมีคาสรรพนามบุรุษท่ี ๒ 1. หนงั สือของเธออยทู่ ่ีน่ี 2. เขาเป็นเพอ่ื นของฉนั 3. คุณป่ ทู ่านไม่ค่อยสบาย 4. ผมไม่ไดเ้ ป็นตารวจ 4).คาใดต่อไปน้ีเป็นลกั ษณะนาม 1. แมว 2. กิน 3. ปลา 4. ตวั 5). เขามาเรียนไม่ไดเ้ พราะป่ วย คาวา่ “เพราะ” ในประโยค เป็นคาชนิดใด 1. คาสันธาน 2. คาบุพบท 3. คาวเิ ศษณ์ 4. คากริยา เฉลย 1).1 4).4 2).2 3).1 5).1
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: