Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัยการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

รายงานการวิจัยการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

Published by k.jitjinda2017, 2022-09-24 07:07:58

Description: รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลงที่ทำร่วมกับผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านผักบุ้ง ปีงบประมาณ 2565

Keywords: PA

Search

Read the Text Version

การพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเขา้ ใจโดยใช้ กจิ กรรมสแคฟโฟลดงิ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 ก้องนเรนทร์ จติ จินดา เลขที่ 2 หมู่ที่ 7 ตาํ บลจาํ ปาโมง อ.บ้านผือ จ.อดุ รธานี 41160 086-8533504 E-mail: [email protected] บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง ก่อนและหลังเรียน และศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ โดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งน้ี คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านผักบุ้ง อําเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี จํานวนนักเรียนทั้งสิ้น 28 คน ได้มาโดยแบบเจาะจง แบบแผนของการวิจัยเป็น การวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จํานวน 12 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 และแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้ กิจกรรมแสคฟโฟลดิง การดําเนินการทดลองใช้ระยะเวลา 12 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมดจํานวน 24 ชั่วโมง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที แบบไม่อสิ ระ (t-test for Dependent Samples) ผลการวจิ ัยสรปุ ไดด้ ังน้ี 1. นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียน รอ้ ยละ 40.68 และหลังเรยี น ร้อยละ 71.82 ซึง่ มคี ะแนนหลงั เรียนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 และเมื่อทดสอบความ แตกต่างของค่าเฉล่ยี พบว่าความสามารถดา้ นการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียน 2. นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง ภาพรวมมีเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเขา้ ใจอยใู่ นระดับดี คาํ สําคัญ: ความสามารถดา้ นการอ่านภาษาอังกฤษเพอื่ ความเขา้ ใจ, กิจกรรมสแคฟโฟลดิง

DEVELOPING ENGLISH READING COMPREHENSION ABILITY USING SCAFFOLDING ACTIVITIES OF PRATHOMSUKSA 6 STUDENTS Kongnarane Jitjinda 2/7. Jumpampong sub-district Banphue district Udonthani province 41000 086-8533504 E-mail: [email protected] Abstract The purposes of this research were to study and compare students’ reading comprehension ability before and after using scaffolding activities and to study students’ attitude towards teaching reading comprehension using scaffolding activities of Prathomsuksa 6 students. The sample consisted of 11 students of Prathomsuksa 6 at Ban Pukbung school, Udonthani under the Primary Educational Service Area Office 4 in the second semester of the academic year 2022. They were selected through Purposive sampling. The research was a one group pretest-posttest design. Research instrument included 12 lesson plans, an English reading comprehension test, the reliability of the test is 0.91 and a students’ attitude questionnaire. The experiment lasted twelve weeks, or 24 hours for all. The mean, percentage, standard deviation and t-test for Dependent Samples were used in data analysis. The findings of this research were as follow: 1. The students’ pretest and posttest scores of English reading comprehension were 40.68% and 71.82 respectively. The posttest score was higher than 70 percent. The students’ reading comprehension ability after experiment was higher than that of the pretest at the significance level of .01 2. The students’ attitude towards teaching English reading comprehension using scaffolding activities was at a good level. Keywords: Reading comprehension ability, Scaffolding activities. บทนาํ จากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนโรงเรียนบ้านผักบุ้ง อําเภอบ้านผือ จังหวัดหนองอุดรธานี สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 ในกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ พบว่าความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2564 มีปัญหา เนื่องจากนักเรียนขาดความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ ยิ่งกว่านั้นนักเรียนขาดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ไม่เห็นประโยชน์และความสําคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์การเรียนวิชาภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยร้อยละของระดับผลการเรียนเท่ากับ 50.60 ซึ่งตํ่ากว่าเกณฑ์ ที่โรงเรียนตั้งเป้าไว้อยู่ที่ระดับร้อยละ 70 (โรงเรียนบ้านผักบุ้ง, 2556, น.59) ผู้วิจัยได้ทําการศึกษาเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าวิธีหน่ึง ที่จะพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ คือการใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงตามแนวคิด ของ นัททอล (Nuttall, 2005, p.36) ซ่ึงเป็นวิธีที่มีประโยชน์ โดยกิจกรรมสแคฟโฟลดิงจะเป็นตัวช่วยในการ พัฒนาความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนได้ นอกจากน้ีความสําคัญของการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงดังกล่าว ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาการพัฒนาความสามารถในการ

อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยต้องการทราบว่า กิจกรรมสแคฟโฟลดิง เมื่อนํามาใช้ในการสอนอ่านภาษาอังกฤษแล้วนักเรียนจะมีความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนหรือไม่อย่างไร และนักเรียนจะมีเจตคติต่อการสอนอ่าน ภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงอยู่ในระดับใด ซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้จะเป็นข้อมูลในการพัฒนาการอ่าน เพื่อความเขา้ ใจของนักเรียนเพอื่ ใหน้ กั เรยี นมีความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพอื่ ความเขา้ ใจสูงข้นึ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรม สแคฟโฟลดงิ ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน 2. เพื่อศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของ นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ระเบียบวิธวี จิ ยั 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านผักบุ้ง สํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ16101) ในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 จาํ นวน 28 คน 2. ตัวอยา่ ง กล่มุ ตวั อย่างทีใ่ ช้ในการเป็นนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านผกั บงุ้ สํานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาอดุ รธานี เขต 4 ทเี่ รยี นรายวชิ าภาษาอังกฤษพ้นื ฐาน (อ16101) ในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จาํ นวน 28 คน ซึ่งได้จากการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครอื่ งมอื วิจยั 1. แผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง จํานวน 12 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง ระยะเวลาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 24 ชั่วโมง ได้จากการศึกษาหลักสูตร แกนกลางขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น.220-243) และรูปแบบกิจกรรมการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของนัททอล (Nuttall, 2005) แล้วนําไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ตรวจสอบหาค่า IOC (สุวิมล ติรการ์นันท์, 2554, น.148) ซึ่งได้ค่า คะแนนเทา่ กบั 1.00 ทุกแผน 2. แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สร้างขึ้นครอบคลุมเนื้อหา และตรงตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น.220-243) จํานวน 1 ฉบับ เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจํานวน 60 ข้อ เป็นแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จากนั้นนําแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการ สอนภาษาอังกฤษทั้ง 3 ท่านตรวจพิจารณา เพื่อหาค่า IOC (สุวิมล ติรการ์นันท์, 2554, น.148) ซึ่งมีค่าคะแนน เท่ากับ 1.00 แล้วนําแบบทดสอบที่ได้ไปทดสอบกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบ้านนาโพธิ์ และโรงเรียนบ้านไทยสามัคคี อําเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย สํานักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 รวมทั้งหมดเป็นจํานวนนักเรียน 30 คน แล้วนําผลคะแนนจาก การทดสอบมาวิเคราะห์ความเที่ยงตรงของแบบทดสอบรายข้อ มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) มีค่าอยู่ ระหว่าง 0.27-0.77 ค่าอํานาจจําแนก (r) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.27-0.73 และหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของ แบบทดสอบมีค่าเท่ากับ 0.91 โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ริชาร์ดสัน (Kruder-Richardson) และคัดข้อสอบ ไว้จํานวน 40 ข้อๆละ 1 คะแนน โดยวัดครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ตามความสามารถในการอ่านของมิลเลอร์ (Miller, 1990, p.4-7) ได้แก่ ระดับการแปลความ ระดบั การตคี วาม ระดบั วเิ คราะห์ความและสรุปความ 3. แบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยศึกษาวิธีการสร้างและวิเคราะห์เครื่องมือประเภทแบบวัดเจตคติ จากเอกสาร ตํารา เกี่ยวกับการวัดเจตคติต่อการอ่านของ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2543, น.1-115) แล้วสร้างแบบวัด เจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง จํานวน 20 ข้อ ลักษณะของ แบบวัดเจตคติเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ตามแบบวัดของลิเคิร์ท (Likert Scale) แล้วนําไปให้ผู้เชี่ยวชาญจํานวน 3 ท่านพิจารณา เพื่อหาค่า IOC (สุวิมล ติรการ์นันท์, 2554, น.148) ซงึ่ มคี ่าดัชนีความสอดคลอ้ งระหว่างข้อคาํ ถามกบั จดุ ประสงค์ มีค่าเทา่ กบั 1.00 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 1.ทําการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเขา้ ใจ จาํ นวน 40 ขอ้ ใช้เวลา 60 นาที กอ่ นดําเนินการทดลองสอน 2. ดําเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามแผนการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจํานวน 12 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง ใช้เวลา 12 สัปดาห์ รวมทง้ั สิน้ 24 ช่วั โมง 3. ทําการทดสอบหลังเรียน (Posttest) กับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถใน การการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจฉบบั เดียวกับการทดสอบกอ่ นเรยี น จํานวน 40 ข้อ ใชเ้ วลา 1 ชว่ั โมง 4. วัดเจตคติโดยใช้แบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรม สแคฟโฟลดงิ ทผี่ ูว้ ิจยั สรา้ งข้ึน

สถติ ิที่ใชว้ เิ คราะห์ขอ้ มูล 1. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ในการหาค่าคะแนน ของแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าและแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเขา้ ใจโดยใชก้ จิ กรรมสแคฟโฟลดิง 2. สถิตทิ ่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูลเพอื่ หาประสทิ ธิภาพของเคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัย ประกอบด้วย 2.1 ค่าความเที่ยงตรง (Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง และแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ใช้ดชั นีความสอดคล้องระหว่างข้อคาํ ถามกบั จดุ ประสงค์ (IOC) (สุวิมล ติรการ์นันท,์ 2548, น.148) 2.2 ค่าความยากง่าย (p) ค่าอํานาจจําแนก (r) ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัด ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้สูตรของคูเดอร์ริชาร์ดสัน 20 (Kruder- Richardson) สูตร KR-20 ซึง่ คํานวณจากการใช้โปรแกรม TAP (Test Analysis Program) 2.3 สถิติที่ใช้ทดสอบวัตถุประสงค์ เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและคา่ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนโดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Samples) โดยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์ ผลการวิจัยและการอภปิ รายผล 1. ผลการวจิ ยั 1.1 ผลการศึกษาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพอ่ื ความเขา้ ใจ ผู้วิจัยได้นําแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจให้กลุ่ม ตัวอย่างทํา โดยมีคะแนนเต็ม 40 คะแนน ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 16.27 คิดเป็นร้อยละ 40.68 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 28.73 คิดเป็น ร้อยละ 71.82 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานก่อนเรยี นเท่ากบั 4.10 หลงั เรียนเท่ากบั 3.69 1.2 ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้ กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของนกั เรียนระหว่างกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน ผู้วิจัยได้ใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จํานวน 40 ข้อ 40 คะแนน นําไปทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนทําการสอน และหลังจากที่ผู้วิจัยได้ทํา การสอนครบตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การสอนแบบเน้นเนื้อหาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นทั้งหมดจํานวน 12 แผน แล้วจึงให้นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนและนําคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมาทําการ วิเคราะห์โดยใช้สถิติทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Samples) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ปรากฏดังตารางท่ี 1

ตาราง 1 ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพือ่ ความเข้าใจโดยใชก้ ิจกรรม สแคฟโฟลดิงของนกั เรยี นระหวา่ งก่อนเรยี นและหลงั เรยี น การทดสอบ xˉ S.D. t กอ่ นเรียน 16.27 4.10 44.21** หลังเรยี น 28.73 3.69 **มีนยั สาํ คัญทางสถติ ิท่ีระดบั .01 จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จํานวน 28 คน มีค่าเฉลี่ยทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 16.27 คะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนเท่ากับ 28.73 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยพบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นยั สาํ คัญทางสถิติที่ระดบั .01 1.3 ผลการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรม สแคฟโฟลดงิ ของนักเรยี น ผู้วิจัยได้ใช้แบบวัดเจตคติที่มีรายการแสดงความคิดเห็นทั้งด้านบวกและด้านลบกับนักเรียน กลุ่มตวั อย่างจํานวน 20 ข้อ หลังจากไดท้ าํ การทดลองสอนตามแผนการจัดการเรยี นรู้การสอนอา่ นภาษาอังกฤษ เพอ่ื ความเขา้ ใจ โดยใชก้ จิ กรรมสแคฟโฟลดิง ครบ 12 แผน ผลปรากฏ ดังตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 ผลการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้การสอนแบบเน้นเนื้อหา ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 แบบวัดเจตคติ xˉ S.D. แปลความ หลังเรยี น 4.00 0.78 ระดบั ดี จากตารางที่ 2 พบว่า หลังจากนักเรียนได้รับการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดย ใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจเท่ากับ 4.00 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.78 แสดงว่านักเรียนมีเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้ กิจกรรมสแคฟโฟลดงิ อยู่ใน ระดบั ดี

2. การอภปิ รายผล การศกึ ษาความสามารถด้านการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่อื ความเขา้ ใจของนกั เรยี น ผลจากการทดลอง ครั้งนี้ นักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนคิดเป็น ร้อยละ 40.68 หลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 71.82 ซึ่งการที่คะแนนก่อนเรียนของนักเรียนอยู่ในระดับตํ่านั้น อาจจะเป็น เพราะนักเรียนขาดความรู้พื้นฐานที่จําเป็นต้องใช้ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ส่งผลให้คะแนนก่อน เรียนอยู่ในระดับไม่น่าพอใจ หลังจากที่นักเรียนได้รับการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมส แคฟโฟลดิงทําให้มีความเข้าใจเนื้อหาในบทอ่านมากยิ่งขึ้น และสามารถอ่านด้วยความมั่นใจมากขึ้น สอดคล้อง กับแนวคิดของกรีนฟิลด์ (Greenfield, 1984, p.117-138) ที่กล่าวว่า คุณลักษณะสําคัญของ สแคฟโฟลดิง จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดโครงสร้างการเรียนรู้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่สนับสนุนนักเรียน เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ เป็น สิ่งที่ช่วยขยายความรู้พื้นฐานของนักเรียน นักเรียนสามารถทําภารกิจสําเร็จได้ และผู้เรียนสามารถเลือกสิ่งท่ี ตัวเองต้องการ นอกจากนี้จากการให้นักเรียนอ่านบทอ่านเป็นกลุ่ม ช่วยให้ความวิตกกังวลในการอ่านของ นักเรียนลดลง เพราะนักเรียนในกลุ่มจะช่วยกันอ่านบทอ่านจนเกิดความเข้าใจ รวมถึงอภิปรายนั้นช่วยให้ นักเรียนเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสนุกสนาน มีผลงานปรากฏ ส่งผลให้นักเรียนสามารถพัฒนา ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจได้ดีขึ้น โดยนักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการ อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนมากกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน คิดเป็น รอ้ ยละ 71.82 1. ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ พบว่านักเรียนที่ ได้รับการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดดิง มีคะแนนความสามารถด้านการ อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัย สาเหตุที่เป็น เชน่ นี้เพราะ ประการแรก การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโลดิง สามารถช่วย พัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจได้ดี เนื่องจากเป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น สําคัญทําให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งจะพัฒนา ความสามารถในการอ่านของผู้เรียนไปอีกระดับหนึ่ง นอกจากนี้การสอนโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง ประกอบด้วยขั้นตอนการทํากิจกรรมที่เกี่ยวกับการอ่าน 3 ขั้นตอนหลัก ตามแนวคิดทฤษฎีของนัททอล (Nuttall, 2005, p.154-167) ได้แก่ ขั้นที่ 1) ก่อนการอ่าน เป็นการกําหนดวัตถุประสงค์ในการอ่านและเนื้อหา ใหม่ ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วน และคําศัพท์ใหม่ที่พบในบทอ่าน ขั้นที่ 2) ระหว่างการอ่าน เป็นการทํากิจกรรมกลุ่ม โดยแบ่งตามความสามารถ มีการใช้คําถามชี้นําในกิจกรรมการอ่าน เพื่อดึงความเข้าใจของนักเรียน ซึ่งเป็นการ กระตุ้นให้เกิดการหาคําตอบจากบทอ่านที่ถูกออกแบ่งเป็นส่วนนั้น ขั้นที่ 3) หลังการอ่าน เป็นการรวบรวม ข้อมูลจากเรื่องที่อ่าน แล้วร่วมกันสรุปเป็นกลุ่ม พร้อมทั้งนําเสนอผลงานของกลุ่ม ซึ่งแนวคิดพื้นฐานของการ สอนโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงคือ การฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักกับบทอ่านของตน ในฐานะที่เป็น

ผู้อ่านจะต้องเป็นผู้กําหนดความหมายและสร้างความเข้าใจในสิ่งที่อ่าน โดยใช้กระบวนการอ่านอย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการกําหนดจุดมุ่งหมายในการอ่านของผู้อ่านเอง เพื่อให้การอ่านเกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: น.3) ที่ว่า การอ่านเพื่อการศึกษาเป็นการอ่านที่มี จุดมุ่งหมายสําคัญคือ ต้องการเก็บใจความสําคัญและรายละเอียดที่ครอบคลุมเนื้อหาให้ได้มากที่สุด จากแนวคิด นี้เมื่อนักเรียนตระหนักถึงจุดมุ่งหมายของการอ่าน ทําให้นักเรียนมองเห็นภาพรวมของเรื่องที่อ่าน ทําให้ นักเรียนเกิดความเข้าใจในการอ่านมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ฟลัด และ แล็พพ์ (Flood & Lapp, 1990, p.490-499) ที่กล่าวว่า องค์ประกอบของความเข้าใจในการอ่าน แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ 1) ด้านผู้อ่าน ได้แก่ ความสามารถ ความรู้สึก และแรงจงู ใจ 2) ด้านบทอา่ น ได้แก่ลกั ษณะและชนิดของบทอ่าน 3) ด้านบริบท ทางการศึกษา ได้แก่ สภาพแวดล้อม จุดมุ่งหมาย 4) ด้านตัวครู ได้แก่ ความรู้ ประสบการณ์ แนวการสอนของ ครู ซึ่งกิจกรรมสแคฟโฟลดิงเป็นการมุ่งเน้นไปยังความสามารถของนักเรียน โดยครูคอยให้ความช่วยเหลือ ผลกั ดันใหผ้ ู้เรยี นสามารถทาํ กิจกรรมได้เป็นอย่างดี ประการที่สอง ในการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของ นัททอล (Nuttall, 2005, p.36) มีขั้นตอนกระบวนการและจุดประสงค์ที่ชัดเจน 1) ครูคอยกระตุ้น (Encouraging) ให้นักเรียนได้ลองปฏิบัติ ให้กําลังใจนักเรียนเมื่อทําถูกต้อง และไม่กล่าวโทษหากนักเรียนทํา ผิดพลาด แต่หากช่วยนักเรียนแก้ไขข้อผิดพลาด 2) ครูคอยสนับสนุน (Prompting) การช่วยบอกใบ้ให้นักเรียน เพื่อให้งานสําเร็จ โดยการใช้คําถามเข้าใจง่าย เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากขึ้น 3) ครูตรวจสอบ (Probing) หาคําตอบว่าทําไมนักเรียนมักตอบคําถามเฉพาะเจาะจง ให้ความช่วยเหลือและเหตุผล เมื่อพบว่า คําตอบนั้นไม่ถูกต้อง 4) ครูยกตัวอย่าง (Modeling) ประกอบในการทํากิจกรรม เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ 5) ครู ควรมีความกระจ่าง (Clarifying) ไม่ว่าจะเป็นการยกตัวอย่าง การอธิบาย รวมถึงวิธีการอื่นๆ ที่จะทําให้นักเรียน เข้าใจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ กิบบอนส์ (Gibbons, 2002, p.11) ที่กล่าวว่า กิจกรรมสแคฟโฟลดิง มีความสําคัญต่อผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาจากบทอ่านได้ และเพื่อช่วยผู้เรียนพัฒนาการอ่านของ พวกเขาด้วยกจิ กรรมการอา่ นทเี่ หมาะสม ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าขั้นตอนและวิธีการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรม สแคฟโฟลดิง สามารถพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนได้ดี และทํา ให้ผลคะแนนการทดสอบของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่ง สอดคล้องกับผลการวิจัยของ สมยศ ศรีบรรพต (2548) ที่ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่สอนโดยการใช้กิจกรรมการสอนอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของกิบบอนส์ กับกิจกรรมการสอนอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจแบบปกติ พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยการใช้สแคฟโฟลดิงของกิบบอนส์ มีผลสัมฤทธิ์ในการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสูงกว่า นักเรียนที่เรียนโดยการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจแบบปกติ และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ แรนคอร์ท (Rancourt, 2001) ที่ได้ศึกษาผลของการสอนโดยตรงตาม

หลักสูตรกับกิจกรรมสแคฟโฟลดิงสําหรับโครงสร้างเว็บเพจเพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนและการอ่าน สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย พบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยกิจกรรมสแคฟโฟลดิงสําหรับ โครงสร้างเว็บเพจมีความสามารถในการอ่านและการเขียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามหลักสูตร อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และยังสอดคล้องกับ แม็คเคนซี (McKenzie, 2011) ที่ศึกษาผลของ สแคฟโฟลดิงต่อความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า นักเรียนท่ี ได้รับการสอนอ่านโดยใชก้ ิจกรรมสแคฟโฟลดิง มีความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่ิมขน้ึ 2. การศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง จากการวิจัยพบว่า เมื่อนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายได้ ทํากิจกรรมเป็นขั้นตอน ในขั้นก่อนการอ่าน (Before Reading) จากนั้นนักเรียนได้รวมกันทํางานกลุ่ม อ่านบท อ่านเสนอความคิดเห็น ในขั้นระหว่างการอ่าน (While Reading) สุดท้ายนักเรียนรวมกันสรุปและอภิปรายผล ในขั้นหลังการอ่าน (After Reading) ซึ่งทําให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นในการทํางาน ช่วยเหลือซึ่งกันและ กัน ร่วมกันแสดงความคิดอย่างสร้างสรรค์ จึงส่งผลให้บรรยากาศภายในห้องเรียนผ่อนคลาย สนุกสนาน ทําให้ นักเรียนไม่กังวล จึงทําให้นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง มีเจตคติอยู่ในระดับดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ แอลพอร์ท (Allport, 1996, p.139) กล่าวเกี่ยวกับเจตคติไว้ ว่า สภาพความพร้อมของจิตใจ ซึ่งเกิดขึ้นโดยประสบการณ์ สภาพความพร้อมนี้เป็นแรงพยายามที่จะกําหนด ทศิ ทางหรอื ปฏกิ ิริยา ต่อบุคคล สิ่งของหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับแนวคิดของ เฟลด์ แมน (Feldman, 1999, p.661) กล่าวเกี่ยวกับเจตคติไว้ว่า เป็นความโน้มเอียงของบุคคลที่จะตอบสนองใน ลักษณะที่ชอบหรือไม่ชอบ ต่อบุคคล พฤติกรรม ความเชื่อ หรือสิ่งของเฉพาะอย่างน้ันๆ ซึ่งสอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ แอน, เฟร็คเดอริค และโจแอน (Ann, Frederick & Joan, 2006) ที่ทําการศึกษากระบวนการ ที่ครูใช้สแคฟโฟลดิงกับปฏิสัมพันธ์ของการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนเกรด 5 จากการวิจัยพบว่าการสอน กลวิธีการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจที่หลากหลายแบบธรรมชาติทําให้นักเรียนมีความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสูงขึ้น และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ นอกจากนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ ผู้วิจัยที่จะทําวิจัยเกี่ยวกับการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิง ควรมีวิจัยเพ่ือ พัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กิจกรรมสแคฟโฟลดิงของผู้เรียนระดับอื่น เพ่อื ใหไ้ ด้ผลที่กวา้ งขวางขน้ึ รายการอ้างอิง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. โรงเรียนผกั บุ้ง. (2564). รายงานประจาํ ปีสถานศึกษา ปกี ารศกึ ษา 2564. อดุ รธานี: ฝ่ายวิชาการ. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2543). การวดั ดา้ นจิตพิสัย. กรุงเทพฯ: สวุ รี ยิ าสาสน์ .

พวงรัตน์ ทวรี ตั น์. (2543). วธิ กี ารวิจยั ทางพฤติกรรมศาสตร์. พมิ พค์ ร้งั ที่ 7. กรุงเทพฯ : สาํ นักงานทดสอบทางการศกึ ษาและจติ วิทยามหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒประสานมิตร. สมยศ ศรบี รรพต. (2548). ผลของการใชส้ แคฟโฟนดิงของกบิ บอนส์ในการสอนการอ่าน เพือ่ ความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6. วทิ ยานพิ นธป์ ริญญา ครศุ าสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน, มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอดุ รธาน.ี สวุ ิมล ติรการ์นนั ท์. (2548). ระเบียบวธิ กี ารวิจัยทางสงั คมศาสตร์: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั .ิ พมิ พค์ รง้ั ท่ี 5. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สมุทร เซ็นเชาวนชิ . (2545). เทคนคิ การอา่ นภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจ. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. Allport, G. W. (1996). Attitude: Reading in attitude theory and measurement. New York: John Wiley and Sons. Ann, M. C., Frederick, B. K., & Joan, Y. P. (2006). Paradigm shift: Teachers scaffolding student comprehension interactions. Thinking Classroom, Retrieved May 25, 2014, from http://search.proquest.com/docview/220394373?accountid=32957 Feldman, R. S. (1999). Understanding psychology. 5th ed. Boston, MA: McGraw-Hill. Flood, J., & Lapp, D. (1990). Conceptual mapping strategies for understanding information. The reading teacher, 41(April 1988), 780-783. Gibbons, P. (2002). Scaffolding language, scaffolding learning. Porthsmouth, NH: Heinmann. Greenfield, P. M. (1984). Mind and media: The effects of television, video games, and computers. Cambridge, MA: Harvard University Press. McKenzie, L. D. (2011). The impact of a scaffolding strategy on elementary English language learners’ reading. Dissertation, Walden University. Miller, W. H. (1990). Reading comprehension activities kit. New York: the center for applied research in education. Nuttall, C. (2005). Teaching reading skill in a foreign language. Oxford: Macmillan Publishers Limited. Rancourt, R. E. (2001). The effects of direct instruction with ongoing scaffolding for web-page construction and development on writing performance and reading ability with upper-elementary school children. Dissertation Abstract, The Florida State University.