รายวิชา พระพทุ ธศาสนาในชีวิตประจาวนั รายงาน เรอ่ื ง ความตาย นายสมุ งคล เครอื สงิ ห์ นกั ศกึ ษาชนั้ ปีท่ี 1 สาขาวชิ าสงั คมศกึ ษา 623050460-4 เสนอ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กรรณกิ า คาดี ภาควชิ าปรชั ญา และศาสนา คณะมนุษศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
รายงาน เรือ่ ง การเตรยี มตวั ใหพ้ ร้อมกอ่ นจะเกิด “ความตาย” จดั ทาโดย นายสุมงคล เครือสงิ ห์ เลขที่ 28 รหสั นักศึกษา 623050460-4 สาขาวิชาสงั คมศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ เสนอ ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.กรรณกิ า คาดี รายวิชา 419125 พุทธศาสนากับชวี ิตประจาวัน ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2562 สาขาวชิ าปรชั ญาและศาสนา คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น
ข คานา รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชา 419125 พระพุทธศาสนากับชีวิตประจาวัน ซึ่งได้นาเสนอ เกี่ยวกับความหมายและนิยามท่ีเก่ียวข้องกับความตาย การเตรียมตัวพร้อมก่อนเกิดความตายทาอย่างไร หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ืองของความตาย และการนาพุทธศาสนามาเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนเกิดความตาย รายงานน้ีจัดทาข้ึนสาหรับผู้ที่สนใจอยากจะศึกษาใน เรื่องดังกล่าวและประกอบการ นาเสนองานในรายวิชา 419125 พุทธศาสนากับชีวิตประจาวัน หากเนื้อหาในเล่มน้ี มีข้อผิดพลาดประการใด ทางผจู้ ดั ทา ขออภัยมา ณ ที่นดี้ ้วย นายสมุ งคล เครือสงิ ห์ ผ้จู ดั ทา
สารบัญ ค เรอ่ื ง หน้า บทนา เอกสารทเี่ กี่ยวข้อง 1 ความหมายและนิยามท่ีเก่ยี วขอ้ งกับความตาย 3 การเตรยี มตัวพร้อมก่อนเกิด ความตายทาอยา่ งไร 4 หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาที่เก่ียวข้องกบั เร่ืองของความตาย 9 การนาพุทธศาสนามาใชใ้ นชีวิตประจาวัน 11 สรปุ ผลการศึกษา 13 เอกสารอา้ งอิง
1 บทนา มนุษย์ได้ถือกําเนิดมาในโลกนานแล้วแรกเร่ิมมนุษย์อยู่กันอย่างปุาเถ่ือน ถึงแม้จะอยู่กันเป็น กลุ่มหรือเป็นเผ่า ก็ไม่มีกฎระเบียบสําหรับปฏิบัติภายในกลุ่มในเผ่าแต่อย่างใด จึงทําร้ายฆ่าฟัน เบียดเบียนเพื่อแย่งอาหารกันกินแย่งถิ่นท่ีอยู่กันแย่งคู่ครองในระหว่างกลุ่มระหว่างเผ่าไม่เว้นแม้ใน กลุ่มหรือเผา่ เดียวกนั ใครมีกําลังมากกว่า ก็ได้รับชัยชนะใครอ่อนแอกว่าก็ถูกกําจัดหรือไปหาถ่ินท่ีอยู่ ใหม่ ต่อมามนุษย์มีจํานวนมากข้ึน มีการพัฒนา ด้านสติปัญญามากข้ึน ชีวิตความเป็นอยู่เริ่มเริ่ม เปล่ียนแปลง เร่ิมมีกฎเกณฑป์ ฏิบัติกันทาํ ให้เกดิ ความสงบสขุ ขนึ้ ในสังคมมนุษยส์ ง่ิ ที่มีอิทธิพลอย่างย่ิงที่ ทาํ ใหม้ นษุ ยอ์ ยู่กันได้อยา่ งสนั ติไมเ่ บยี ดเบียนนอกจากสติปัญญาความรู้ความสามารถแล้วศาสนาก็เป็น ส่วนหนึ่งท่ีมีอิทธิพลในด้านบวกต่อมนุษยชาติมาแต่เดิม (พระธรรมกิตติวงศ์,2556)ศาสนาคือคําสั่ง สอนของศาสดาทีเ่ ปน็ หลักปฏิบตั ใิ นชวี ติ ประจาํ วัน ในฐานะเป็น ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสัจธรรม ใน ประเทศไทยทางราชการได้รับรองศาสนาไว้ 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนา อิสลาม ศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู และศาสนาซิกข์ (กรมศาสนา, 2557) โดยศาสนาพุทธได้เจริญรุ่งเรือง สบื ทอดความเปน็ ศาสนามายาวนาน มีเอกลักษณ์ มีสัญลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นสถาบันท่ีมีบทบาท ในการสรา้ งสมบม่ เพาะศิลปะและวฒั นธรรมของชาติ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาท่ีสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เตรียมพร้อมสําหรับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นในอนาคต สอนให้ทําอะไรอย่างมีสติ ในด้านการใช้ชีวิตประจําวัน การฝึกพัฒนาจิต การ วางรากฐานของชีวิต การพัฒนาครอบครวั และการดํารงชวี ติ ในสงั คม (กรรณิกา คําดี, ม.ป.ป.) โดยมี หลกั ธรรมทางพุทธศาสนา ที่สามารถนํามาปรับใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้ เช่น ขันธ์ 5 หากศึกษา อย่างเข้าใจ จะทําให้เข้าใจว่า ร่างกายเราประกอบไปด้วยตัวกาย(รูป) และตัวใจ(วิญญาณ) ที่ต้องหา หนทางดับทุกข์ท่ีเกิดจาก เวทนา สัญญา และสังขาร ตามหลักของศาสนาพุทธ ซ่ึงหากสามารถกําจัด ทุกข์ท่ีเกิดจาก ขันธ์ 5 ได้จะถือว่าเป็นความสุขอย่างแท้จริงของมนุษย์ หลักไตรลักษณ์ เป็นอีก หลักธรรมหน่ึง แปลว่า ลักษณะ 3 ประการ หมายถึง สามัญลักษณะ คือ กฎของสรรพสิ่งทั้งปวง ประกอบด้วย อนิจจตา อาการไม่เที่ยง เกิดข้ึนแล้วเส่ือมสลายไป ทุกขตา อาการทุกข์ ทําให้อยู่ใน สภาพนั้นไม่ได้ และอนัตตตา อาการของส่ิงที่ไม่ใช่ตัวตน เช่ือมโยงกับเร่ืองราวของชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ การเกิด การแก่ การปุวย และการตายของทุกชีวิต สอดคล้องกับ กรรณิกา คําดี (ม.ป.ป.) ที่กล่าวถึง การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเกิดความตาย ซ่ึงเป็นการพัฒนาจิตรูปแบบหน่ึงตามหลักของพุทธ ศาสนา ปฏิบัติแล้วทําให้รู้สึกตัวอยู่เสมอว่า ความตายน้ี ไม่ว่าจะหนีให้ไกลเพียงใด เราทุกคนก็ไม่
2 สามารถหนีพ้น ต้องพบเจอกับความตายอย่างแน่นอน จากข้อความน้ี จะเห็นว่า เรื่องของความตาย เป็นส่ิงที่ศาสนาพุทธได้กล่าวถึงเป็นลําดับแรกๆ และหลายหลักธรรมดังที่กล่าวมาข้างต้น เพราะ ความตาย เป็นการสิ้นสุดการทําหน้าท่ีทางชีวภาพอันคงไว้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ปรากฏการณ์สามัญที่นํามาซ่ึง ความตาย ได้แก่ โรคชรา การถูกล่า ทุพโภชนาการ โรคภัย อัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ฆาตกรรม ความอดอยาก การขาดน้ํา และอุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บภายในร่างกาย (Zimmerman, 2010) ดงั นนั้ ทางผจู้ ัดทาํ จงึ สนใจท่ีจะศึกษา ความหมายและนิยามของความตาย เพื่อหาแนวทางใน การเตรียมพร้อมกอ่ นจะเกดิ ความตาย โดยนําหลักธรรมทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้เพื่อการเตรียม ความพร้อมก่อนจะเกิดความตาย ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคลหรือบุคคลรอบข้างผู้ที่เสียชีวิต เป็นการ เตรียมความพร้อมของผู้ที่อยู่ในสังคม ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ การพึ่งพาอาศัยกันตามหลักของ พุทธศาสนา วตั ถุประสงคก์ ารทารายงาน 1. เพอื่ ศึกษาความหมายและนิยามของความตาย 2. เพื่อศกึ ษาแนวทางในการเตรียมพร้อมก่อนจะเกิดความตาย 3. เพอ่ื ศกึ ษาหลกั ธรรมทางพุทธศาสนาท่ีเก่ยี วข้องกบั ความตาย 4. เพ่อื นาหลักธรรมทางศาสนามาประยุกต์ใช้เพ่ือการเตรยี มตวั ก่อนจะเกดิ ความตาย
3 เอกสารทเี่ กย่ี วข้อง 1) ความหมายและนิยามท่เี กย่ี วข้องกบั ความตาย ทางวิทยาศาสตร์ให้ความหมายของความตาย หรือ การเสียชีวิต ว่าเป็นการส้ินสุดการทํา หนา้ ทที่ างชีวภาพอนั คงไว้ซง่ึ สง่ิ มีชีวิต ปรากฏการณ์สามัญที่นํามาซ่ึงความตาย ได้แก่ โรคชรา การถูก ล่า ทุพโภชนาการ โรคภัย อัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ฆาตกรรม ความอดอยาก การขาดน้ํา และอบุ ัติเหตุ หรอื การบาดเจบ็ ภายในร่างกายรา่ งกายหรอื ศพของสิ่งมีชีวิตจะเร่ิมเน่าสลายไม่นานหลัง เสียชีวิต ความตายถือว่าเป็นโอกาสท่ีเศร้าหรือไม่น่ายินดีโอกาสหน่ึง สาเหตุมาจากความผูกพันหรือ ความรักที่มีต่อบุคคลผู้เสียชีวิตนั้น หรือการกลัวความตาย โรคกลัวศพ ความกังวลใจ ความเศร้าโศก ความเจบ็ ปวดทางจิต ภาวะซึมเศรา้ ความเห็นอกเห็นใจ ความสงสาร หรือความโดดเด่ียว สาเหตุการ ตายที่พบบ่อยท่ีสุดคือโรคหัวใจ ตามมาด้วยโรคหลอดเลือดสมอง และโรคเก่ียวกับเส้นเลือดในสมอง และลาํ ดับท่ีสาม คอื ภาวะติดเชอ้ื ในระบบทางเดนิ หายใจตอนล่าง นักปรัชญากรีกท่านหน่ึงผู้มีความเช่ือในสสารนิยม นามว่า อีพิคิวรัส(Epicurus) โดยเขาได้ กล่าวถึง ความตาย ไวว้ ่า “ความตายไม่เป็นสิ่งใดเลยสําหรับเราเพราะ สิ่งที่แตกสลาย(ตาย)แล้ว ย่อม ไม่มีความรู้สึก(ผัสสะ)อีกต่อไป และส่ิงท่ีไม่มีความรู้สึก(ผัสสะ)อีกต่อไปย่อมไม่เป็นส่ิงใดเลยสําหรับ เรา” ความตายในทัศนะของพทุ ธศาสนาไดก้ ลา่ วว่า ความตายเริ่มต้นจากเร่ืองของ อิทัปปัจจยตา (ปฏิจจสมุปบาท) และ ไตรลักษณ์ อิทัปปัจจยตา คือ กฎแห่งการเกิดและการดับของสิ่งทั้งหลายที่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด ชีวิตจึงมีได้ เพราะเหตุปัจจัยดับไป ชีวิตจึงดับ (ตาย) เหตุปัจจัยที่ใกล้ชิดของชีวิตก็คือ เร่ืองของ ขันธ์ ๕ ซึ่งกล่าวโดยสรุปได้แก่เร่ืองของสิ่งท่ีเป็นรูปธรรม และสงิ่ ท่เี ปน็ นามธรรม หรอื ที่เราเข้าใจกันง่ายๆ ว่า กายกับจิต ส่วนประกอบเหล่าน้ีเอง แต่ละอย่างก็ มเี หตุปจั จยั อันเป็นท่ีมาของมนั อกี ทีหน่ึง ชวี ิตเปน็ กระบวนการทสี่ ่วนต่างๆ มาสัมพันธ์แบบอิงอาศัยกัน ถา้ ส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนที่มาประกอบกันเข้าน้ันหายไป ส่ิงที่อิงอาศัยส่วนเหล่าน้ันเป็นอยู่ ก็หายไป ด้วย (ในภาษาทางพทุ ธศาสนาคือ “ดับไป”) ชีวิตและความตายก็เปน็ เชน่ นน้ั กรรณิกา คาดี กล่าวถึง ความตายไว้ว่า ความตายหรือการเสียชีวิตเป็นการสิ้นสุดการทํา หนา้ ทท่ี างชีวภาพอันคงไวซ้ ่ึงสง่ิ มีชวี ิตไมม่ ีสกั คนเดียว ท่ีจะหนีความตายพ้นทุกคนมีความรู้แก่ใจว่า ทุก คนเกดิ มาแลว้ จอ้ งตายไม่มีสักคนเดียวจะหนีความตายพ้นแล้วทุกคนมีความได้เปรียบอยู่ประการหน่ึง ที่มีความรู้นี้ติดตัวติดใจอยู่แต่แทบทุกคนก็มีความเสียเปรียบอยู่ประการหนึ่ง ที่ไม่เห็นค่าไม่เห็น ประโยชน์ของความรู้น้ี จึงมิได้ใส่ใจเท่าท่ีควรปล่อยปละละเลยรู้จึงเหมือนไม่รู้ สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์
4 จึงเหมือนเป็นสิ่งท่ีไม่มีค่า การพัฒนาจิตจึงเป็นเรื่องสําคัญที่ทุกคนต้องศึกษาเพื่อเตรียมเผชิญกับ ปัญหาและความตาย 2) การเตรยี มตัวพรอ้ มก่อนเกิดความตายทาอย่างไร วิธีเตรยี มความพร้อมก่อนเดินทางสู่ความตาย - การส่งั สมบญุ เตรียมพร้อมเดินทางสู่ปรโลก พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทรงค้นพบความจรงิ สาํ คญั ขอ้ หนึ่ง คือ ภพมนุษย์เท่าน้ันท่ีจะสร้างความ ดี สั่งสมบญุ ได้ เมื่อส้นิ ชีวิตก็หมดสทิ ธิ์ทาํ บญุ ประเดน็ สําคัญของการเกิดเป็นมนุษย์อยู่ตรงนี้ แล้วทําไม ต้องส่ังสมบุญ เพราะการสั่งสมบุญก็เพื่อฆ่ากิเลสในใจให้หมดสิ้นไปนิพพานนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่หมด กิเลส การสั่งสมบุญมากๆ ก็เพ่ือจะได้ไปสู่สุคติ เพื่อชีวิตท่ีมีสุข และกลับมาเป็นมนุษย์สร้างความดี ฝกึ ฝนตนเองต่อ โดยที่เมือ่ เกดิ มาเป็นมนษุ ยก์ ม็ ีรูปสมบัติ ทรพั ยส์ มบัติ และคุณสมบัติที่บริบูรณ์ หากไม่ สั่งสมความดีไว้ให้มากๆ ก็มีโอกาสพลัดตกไปอบาย ต้องถูกทรมานยาวนาน ครั้นเกิดมาเป็นมนุษย์ สภาพกายและใจจะไม่สมบูรณ์ สร้างความดีก็ไม่สะดวก โอกาสจะส่ังสมความดีให้ย่ิงยวดเพื่อให้หมด กิเลสกย็ ง่ิ ยาก และตวั เองยังต้องวนเวียนตายเกิดยาวนานไม่รู้จักจบส้ิน เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นเสบียง สําคัญในการเดินทางไกลในวัฏสงสาร เป็นสิ่งที่สําคัญต่อการดํารงชีวิตอยู่ในโลกน้ี และสําคัญต่อการ เดนิ ทางไปสูโ่ ลกหน้า คือ ปรโลก บญุ คอื พลงั งานบริสทุ ธ์ิชนดิ หนึ่งทีเ่ กิดขนึ้ ในใจ ทุกครงั้ ทตี่ ัง้ ใจจะละชั่ว ทุ่มเททําความดี และ กลน่ั ใจให้ใส มีผลทาํ ให้คุณภาพของจิตดีขึ้นสูงขนึ้ บุญ มีคณุ สมบัติ 2 ประการ คือ 1. บุญสามารถสะสมได้ เหมือนนํ้าท่ีหยดทีละหยด ยังเต็มภาชนะ ได้บุญก็เช่นกันจะสะสมอยู่ในใจ ของเรา 2. บญุ สามารถอุทิศให้ผู้ล่วงลับได้แม้อยู่ในท่ีไกลถึงต่างภพ เหมือนน้ําที่ไหลลงจากท่ีสูง ย่อมไหลไปได้ ไกลแสนไกลลงไปสมู่ หาสมุทร - วธิ เี ตรยี มความพรอ้ มกอ่ นเดินทางสูค่ วามตาย 1. การเตรียมตวั สปู่ รโลกด้วยการทําทาน ทานเป็นความดีเบ้ืองตนที่ทุกคนต้องทํา เพราะคนเรามีชีวิต อยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะอาศัยทาน คือ การให้เป็นพื้นฐาน หากมนุษย์ปราศจากการให้แล้ว โลกนี้คง วุ่นวาย พอ่ แมไ่ มเ่ ล้ยี งลูก ลูกไม่เลีย้ งพ่อแม่ ครูไมส่ อนศิษย์ โลกใบนค้ี งจะไมน่ ่าอยู่ ทาน หมายถึง การให้ มีจุดมุ่งหมายเพ่ือขัดเกลาจิตใจให้สะอาดปราศจากความตระหนี่ของ ผู้ให้ และอกี ประการหนึ่งมุ่งสงเคราะห์ผู้รับ มีคํากล่าวท่ีว่า ทําบุญทําทาน เป็นคําโบราณที่พูดติดปาก กนั มาก คําวา่ ทําบุญน้นั มุ่งหวงั บญุ ชาํ ระจิตของตนให้สะอาดเป็นสําคัญ เช่น ทําบุญถวายไทยธรรมแด่ คณะสงฆ์ ส่วนคําวา่ ทําทาน มุง่ หวังสงเคราะห์ผู้รับ เช่น ทําทานให้คนขอทานท่ีอยู่ริมทางเท้า ก็จะทํา
5 ให้เห็นความแตกต่าง เพราะบางคนคิดว่า ทําบุญกับพระกับทําบุญกับคนขอทาน ได้บุญเท่ากัน จึงไม่ สนใจทําบญุ กบั พระ อย่างนี้เป็นความเขา้ ใจที่ไมถ่ ูกตอ้ ง หลักการในการทําทานให้ไดบ้ ุญมาก มอี ยู่ 3 ประการ คือ 1. วตั ถทุ านบริสทุ ธิ์ ไม่ได้ไปลกั ขโมยของใครมา ไม่ได้มาดว้ ยมจิ ฉาอาชีวะ 2. เจตนาบริสุทธิ์ทั้งก่อนทํา ขณะทํา และหลังจากทําไปแล้ว เพื่อกําจัดกิเลส ไม่ได้หวัง ยศชื่อเสียง 3. บคุ คลบรสิ ทุ ธ์ิ ทั้งผู้ให้ผรู้ บั มศี ีลบริสุทธ์ิ ถ้าทําอยา่ งน้ี จะไดบ้ ญุ มาก 2. การเดินทางสู่ปรโลกด้วยการรักษาศีล ศีลเป็นความดีโดยตรง ท่ีต้องหมั่นรักษาให้ครบทุกวัน เพื่อ เตรียมความพร้อมกอ่ นเดนิ ทางไปสู่ปรโลก ในที่นี้จะขอนําเสนอเฉพาะศีล 5 ซ่ึงเป็นคุณธรรมพ้ืนฐานที่ มนุษย์ทุกคนต้องรักษา ศีลเป็นเร่ืองของความสะอาดกายวาจา มุ่งควบคุมกายวาจาให้สะอาดบริสุทธ์ิ ซึ่งจะมีผลต่อใจของเรา เม่ือทําสมาธิก็จะเข้าถึงธรรมะได้ง่าย ศีล คือ ความเป็นปกติของมนุษย์ เป็น คณุ ธรรมที่ทาํ ใหเ้ ป็นมนษุ ย์ ทเ่ี รยี กว่า มนุษยธรรม โดยท่ัวไปมนุษย์ทุกคนจะต้องรักษาศีล 5 เป็นปกติ หากมนุษย์ไม่รักษาศีล มนุษย์คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ บางท่านคิดว่า ศีล 5 เป็นส่ิงท่ีพระสัมมา สมั พทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั ิขน้ึ ชาวพุทธเทา่ น้ันจะต้องรักษา ความจริงแล้วเป็นความเข้าใจท่ีถูกต้อง แต่ยัง มิใช่ท้ังหมด แท้จริงแล้ว ศีล 5 เป็นกฎธรรมชาติ เป็นความปกติของมนุษย์ มิใช่ส่ิงที่พระสัมมา สัมพทุ ธเจ้าทรงบัญญัตขิ น้ึ มา แตพ่ ระองค์ทรงคน้ พบและนํามาตรัสสัง่ สอนให้ปฏิบตั ิ ศีลข้อท่ี 1 งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ อะไรคือส่ิงท่ีรักที่สุดของสรรพสัตว์ คําตอบ คือ ชีวิต เพราะฉะนัน้ มนษุ ย์และสัตว์ย่อมรกั ชวี ติ ของตน ใครๆ กไ็ ม่ควรจะฆา่ ใคร ศีลข้อที่ 2 งดเว้นจากการลักทรัพย์ นอกจากชีวิตแล้ว ส่ิงที่คนเราหวงแหนรองลงมา คือ ทรพั ย์สมบัติ เพราะฉะน้ันใครๆ ก็ไมค่ วรลกั ขโมยของใคร ศีลข้อท่ี 3 งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม นอกจากทรัพย์สมบัติแล้ว ส่ิงที่เราหวงแหน รองลงมาคือ บตุ ร ภรรยา สามี เพราะฉะนน้ั ใครๆ ก็ไม่ควรจะประพฤตผิ ดิ ในบตุ ร ภรรยา สามีของใคร ศีลข้อท่ี 4 งดเว้นจากการพูดปด แม้คนท่ีเป็นที่รักกัน แต่หากพูดโกหกกัน ขาดความจริงใจ ต่อกัน แม้เป็นคนที่รักกนั กห็ มดความรักได้ เพราะฉะนั้นใครๆ กไ็ มค่ วรจะพดู โกหกกนั ศลี ข้อที่ 5 งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย เพราะสุราทําให้ขาดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ เม่ือด่ืม เขา้ ไปแลว้ มีโอกาสทําผดิ ศีลขอ้ อนื่ ได้ง่าย 3. การเดินทางสปู่ รโลกด้วยการทําภาวนา การทําสมาธิเจริญภาวนาเป็นความดีข้ันสูงสุด ท่ีจะต้องฝึก ปฏิบตั ิ ม่งุ กําจัดขัดเกลากิเลสภายในใจของเราใหเ้ บาบางลง ภาวนา เป็นเรื่องของการทําใจให้สงบเป็น อารมณ์เดียว เมื่อใจสงบจะพบกับความสว่างที่เรียกว่า ปัญญา และจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ตาม ความเป็นจริงได้ การทาํ ภาวนาดเู หมอื นจะเป็นเร่ืองง่าย เพียงแค่ใช้เนื้อท่ีเพียงไม่ก่ีตารางเมตร มีเพียง อาสนะหนึ่งผืนกับตัวเราเท่านั้น ก็สามารถทําได้ แค่นี้ไม่เห็นจะยากเลย จริงอยู่การเตรียมอุปกรณ์ไม่ ยาก แต่ตอนทําใจให้สงบ เป็นเร่ืองท่ียากท่ีสุด เพราะจิตของเรามีสภาพที่กวัดแกว่ง คิดไปในเรื่องราว
6 ต่างๆ มากมาย บางคนมีความคิดมา 20 ปี 30 ปี ผ่านประสบการณ์มามากมายหลายร้อยหลายพัน เร่อื งราว จะให้ทาํ จิตใหส้ งบภายในช่วั โมงเดียว วนั เดียวเปน็ ไปได้ยากมาก กรรณิกา คาดี กล่าวถึงการเตรียมความพรอ้ มก่อนเดินทางสคู่ วามตาย ไวด้ งั นี้ เราสามารถทาํ ใจให้คุ้นชินกับความตายได้ด้วยการละลึกนึกถึงความตายอยู่เสมอนั่นคือเจริญ มรณสติ อยเู่ ปน็ ประจําการเจริญมรณสติคือการระลกึ หรอื เตอื นตนเองวา่ 1. เราตอ้ งตายอย่างแน่นอน 2. ความตายสามารถเกิดขน้ึ กบั เราได้ทุกเม่ือ อาจเป็นปีหนา้ เดือนหนา้ พรุ่งน้หี รือคนื น้ี 3. เราพรอ้ มทจี่ ะตายหรอื ยงั เรายังทําส่งิ ทคี่ วรทําเสร็จสิ้นแล้วและพร้อมที่จะปล่อยวางหรือ ยัง 4. หากยังไมพ่ รอ้ ม เราควรใชช้ วี ิตท่เี หลอื อยใู่ ห้เกิดประโยชน์อยา่ งเตม็ ที่ มรณสติ มรณสติ คือ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์เป็นกัมมัฏฐานช้ันสูงสุด เพราะว่าเม่ือระลึกถึง ความตายเปน็ อารมณ์แล้ว จิตก็จะสลดสังเวชถอนจากอารมณ์อ่ืน ๆ ความตายเป็นการดําเนินถึงท่ีสุด ของชีวิตคนเราเม่ือเป็นเช่นน้ี แล้วยังจะมีอะไรเหลืออยู่อีก นอกจากความตายแล้วไม่มีอะไรเหลืออยู่ อีก นอกจากความตายแล้วไม่มีอะไร ส่ิงทั้งปวงที่เกี่ยวข้องพัวพันอยู่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นของทิ้งท้ังหมด ถึงไม่อยากท้ิงมันก็ต้องละไปโดยปริยาย เราตายแล้วมันก็ทอดท้ิงลงทันที จึงว่ามรณสติ น้ันเป็นยอด ของกัมมัฏฐาน ใครจะพิจารณาอะไร ๆ ก็ตามเถิด ถ้าหากพิจารณามรณสติแล้ว จิตยังไม่รวมลงไปได้ ยังไม่เกดิ สลดสังเวช ยงั ไม่ละ ยงั ไมถ่ อน กห็ มดกัมมฏั ฐาน ไม่มีอะไรเหลือแลว้ มรณสติน้ี พระพุทธเจ้าทรงถามภิกษุทั้งหลายว่าภิกษุท้ังหลายเธอพิจารณามรณสติอย่างไร ภกิ ษุบางองค์กราบทูลว่า ข้าพระองค์พิจารณามรณสติแล้ว กลัวว่าชีวิตจะไม่ข้ามวันข้ามคืนไปได้ กลัว จะตายก่อนไม่ทนั ฉันบิณฑบาต บางองคพ์ ิจารณาขณะฉนั อยู่ ก็กลัวว่าจะตายก่อนฉันไม่ทันเสร็จ แม้ถึง อย่างน้ันพระองค์ยังตรัสว่าประมาทอยู่ เมื่อผู้ใดพิจารณาความตายอยู่ทุกลมหายใจเช้าออกน้ันจึงจะ เป็นผ้ไู มป่ ระมาท หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตาย เป็นอยู่อย่าง นเ้ี รียกว่าเปน็ ผ้ไู ม่ประมาท วนั หน่ึง ๆ เราคิดถึงความตายสักกี่คร้ัง วัน เดือน ปี ล่วงไป ๆ ไม่เคยนึกถึง ความตายสักทีเลยก็มี จึงว่าเป็นผู้ประมาท ความประมาทคือความเลินเล่อเผลอสติ ไม่มีสติในตัว ความประมาทจะพาไปถึงไหน ความประมาทคือหนทานแห่งความตาย คําว่า “ ทางแห่งความตาย ” นน้ั ยังไม่ทันตายหรอก แต่ผ้ปู ระมาทไดช้ ื่อว่าตายแลว้ เพราะการไมม่ สี ติก็เหมอื นกับคนตาย ความไม่ประมาท คือมีสติอยู่ทุกเมื่อ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน น่ันทางแห่งความไม่ตาย ที่มีสติ สตริ ตู้ ัวอยทู่ ุกเมือ่ ทกุ ขณะนั่นแหละ เรียกว่าเป็นผู้ไม่ตาย เราตายตั้งแต่เกิดมา มันเปลี่ยนสภาพ ไปเรื่อย ๆ เรียกว่าตายเป็นเด็กเป็นเล็ก เป็นหนุ่มเป็นสาว จนกระทั่งอายุ 40-50 ปี แก่เฒ่าชรา มัน เปล่ียนสภาพไปโดยลําดับ จนกระท่ังตาย ส่วนด้านจิตใจก็ห่าวงนั่นห่วงน่ีพัวพันเก่ียวข้องอะไรต่าง ๆ เอาไว้ มันไม่อยู่คงท่ี ทิ้งอารมณ์นี้แล้วไปจับอารมณ์อ่ืนต่อไป นั่นก็เรียกว่าตายเหมือนกัน ตายจาก
7 อารมณ์หนึ่งไปสู่อารมณ์อื่น นั่นแหละความตายโดยยังไม่ทันตายแท้จริง ให้พิจารณาความตายโดย ปริยายเสยี ก่อน เมื่อความตายจริงๆ มาถึงมันมีอีกอย่างหนึ่ง การตายไม่ใช่ตายง่าย ๆ ทีเดียวอย่างเรา นึกคิด บางทีเส้นโลหิตแตกแล้วตายก็มีหัวใจวายตายก็มี ตายเร็ว ๆ อันน้ันไม่ต้องทรมาทรกรรมอันท่ี ตายทรมานนั้นยังมีมากกว่านั้นอีก ความเจ็บปุวยมีอาการต้ังนาน ๆ ปี บางทีเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ จนกระท่ังมือเท้าอะไรก็ยกไม่ได้ จะกินจะถ่ายก็มีคนปูอนคนพยุง อันน้ันเรียกว่ามัจจุราชมันให้ให้มา ผจญเสียก่อนธรรมดาเข้าตีข้าศึก เขาต้องตีปีกซ้ายปีกขวา ตัดทาง ลําเลียงอาวุธและอาหารเสียก่อน ทําลายทีละเล็กทีละน้อย ยังเหลือแต่กองทัพใหญ่จึงค่อยบุกเข้าตีทีเดียว อันน้ีมัจจุราชมาผจญก็ เหมือนกัน แขนหัก แข้งขาขาดไป ตายไปเป็นชิ้นส่วนเสียก่อน บางทีเจ็บหัว ปวดท้อง บางทีลําไส้ อักเสบ โรคภัยไข้เจ็บสารพัดทุกอย่าง จะต้องทรมานทรกรรม นั่งนอนอยู่กับที่ไม่สามารถพลิกตัวได้ แตใ่ จยงั ไม่ทนั แตกดับ เปน็ การทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะว่าเราไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ ถึงแม้จะเคย ทําความพากเพยี รภาวนามามากเท่าไรก็ตามเถิด พอถึงตรงนั้นแล้ว มันยากที่สุดที่จะดํารงสติให้อยู่ใน ตวั ของเราได้ ท่ีท่านว่า มรณสติให้ระลึกถึงความตาย คือให้ต้ังสติไว้ตรงนั้นเอง แท้ที่จริงความตายนั้น ไม่เท่าไรหรอก ก่อนท่ีจะตายนั่นซีมันสําคัญ จะตั้งสติรักษาจิตด้วยอาการอย่างไรให้มันคงท่ี จะไม่ให้ หว่ันไหว ตรงน้ันมันสําคัญท่ีสุด การเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อยๆ ที่บังเกิดขึ้นในตัวของเรานั้น ต้องหัด พิจารณาความตายว่า มันจะต้องมีมาอย่างน้ี ๆ เด๋ียวนี้มันยังไม่ทันเป็นจริง เมื่อมันเป็นจริงข้ึนมาแล้ว ทกุ ด้านทุกทางมันจะเส่อื มโทรมลงไปหมด ตาก็ไมเ่ ห็นหนทางหกู ็ไม่ไดย้ ินเสียง เน้ือกายน้ีไม่รู้สึกตัว แต่ ยังมใี จอยู่ความวุ่นวาย ความเดือดร้อน กระสับกระส่ายจะต้องมีอยู่ คนเราเม่ือจะถึงที่สุดเวลาจะตาย จริง ๆ มันต้องตัดหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่สติท่ีเรารักษาไว้ดีแล้วก็จะไม่ปรากฏ มันจะปรากฏแต่ กรรมนิมิต คตินิมิต จะไปเกิดใน “ สุคติ ” หรือ “ ทุคติ ” ต้องมีกรรมนิมิตปรากฏไปตามกรรม เช่น ฆา่ สัตว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤตผิ ดิ มิจฉาจาร เป็นต้น น้ีเรียกว่า “ กรรมช่ัว ” กรรมนิมิต น้ันคือเห็นสัตว์ท่ี เราเคยฆ่า เหน็ ด้วยใจสัตว์นน้ั มาไล่ชนหรอื รมุ ล้อมทําร้ายเราใหเ้ จ็บปวดรอ้ งครวญครางจนปรากฏเสียง ออกมาให้คนท้ังหลายได้ยินก็มี เหมือนกับท่ีเราได้ทําเขาเม่ือยังมีชีวิตอยู่ คตินิมิต ในทางท่ีชั่วน้ัน เช่น ปรากฏเห็นด้วยใจว่าผู้ท่ีทําบาปเช่นเดียวกันกับเรานั้น ตายไปแล้วได้ทนทุกข์ทรมานด้วยอาการต่างๆ เช่น เหน็ ร่างกายของเขามีแต่โครงกระดูก หาเนื้อหนังมิได้ คนไหนมีเน้ือหนัง คนอ่ืนสัตว์อ่ืนก็มาเฉือน เนอื้ หนงั เอาไปบริโภคกินหมด ดังน้ีเป็นต้น แต่ตัวยังไม่ตาย เมื่อคตินั้นมาปรากฏเห็นเฉพาะตนแล้ว ก็ กลวั แสนกลัวหาท่ีสุดมิได้ กลัวตนจะไปเป็นอย่างผู้น้ัน แล้วแน่ในใจที่สุดว่า ตนจะต้องไปเป็นอย่างน้ัน โดยเหตุมีอันบันดาลให้เป็นไปอย่างน้ัน กรรมนิมิต คตินิมิต ของความดีนั้นตรงกันข้าม บุคคลผู้ทํา ความดไี ว้ในเมอื่ มีชีวิตอย่เู ปน็ ต้นวา่ เคยได้ไปทอดผา้ ปุามหากฐิน และส่ิงอ่ืน ๆ อะไรก็ตาม เมื่อจวนจะ ตายไมม่ สี ตแิ ลว้ กรรมนมิ ติ และคตนิ มิ ติ จะมาปรากฏเช่นเดียวกับกรรมชั่ว แต่กรรมดีมันให้เพลิดเพลิน เจริญใจ เป็นต้นว่า ไทยทานที่ตนทําไปแล้วเมื่อยังมีชีวิตอยู่ แม้มีปริมาณเล็กน้อย แต่มีกรรมนิมิต คติ นิมิต ที่ปรากฏเห็นเป็นของมาก มากจนเหลือท่ีเราจะพรรณนาได้ครบถ้วนเม่ือเห็นนั้นแล้วก็อยากได้ แล้วก็มีหวังจะได้ในวันหน่ึงข้างหน้า โดยมีสิ่งบันดาลให้ได้จริงๆ บางคนบอกว่า เมื่อเราจะตายต้อง
8 รักษาสติไว้ ไม่คิดถึงกรรมช่ัว ความข้อนั้นเป็นความประมาทของเขาเองเขาคิดเดาเอาเฉย ๆ มันจ ะ รกั ษาได้อย่างไรในเมือ่ มนั ไม่มีสติ มีกรรมนิมิต เป็นเครื่องชักจูงให้เป็นไปเอง ในการท่ีปล่อยให้เป็นเอง ไม่สามารถจะกลับคืนมาแก้ตัวอีกได้ฉะนั้น ทําเสียเดี๋ยวนี้ต้ังแต่เป็นมนุษย์อยู่ และเม่ือถึงคราวจะตาย นน้ั แลว้ มนั เป็นเองหรอก ทําดีมาก ทาํ ชั่วมาก มันก็เปน็ ไปตามเรื่องท่ีทาํ เอาไว้ มันเป็นเอง เกิดเองของ มนั ต่างหาก คนเราตายจริง ๆ เมือ่ ไมม่ ลี มแล้ว แตล่ มกับใจมันคนละอนั กนั ทีแ่ พทยเ์ รียกว่า “ โคม่า\" ” น้ัน มันถึงที่สุดของชีวิตในตอนนั้นแล้ว แต่ยังไม่สิ้นไปท่ีเกิดของลมในทางศาสนาท่านกล่าวไว้ว่า ลม เกิดจากสวาบ คือ กะบังลม กะบังลมมันวูบ ๆ วาบ ๆ อยู่อย่างนั้น มันเป็นเหตุให้เกิดลม มันทําให้เกิด ความอบอุ่น เม่ือมันมีความอบอุ่นมันก็ไหวตัววูบ ๆ วาบ ๆ เม่ือลมยังมีอยู่ แต่จิตมันจากร่างไปแล้ว มนั จะไปเกิดทไี่ หนก็เป็นไปแลว้ ไปพร้อมดว้ ยกรรมนิมติ คตนิ ิมติ นน้ั ไม่มหี ลงเหลอื อยอู่ กี มแี ต่ร่าง ถ้าไม่มีกรรมนิมิต คตินิมิต บางทีมันฟ้ืนขึ้นมาอีกเพราะลมยังไม่หมด วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เขาเอา ออกซิเจนเข้าช่วย ออกซเิ จนก็ชว่ ยไดแ้ ตล่ มเทา่ นั้น แตจ่ ิตมันเคล่ือนแลว้ มันจะไปไหนมันก็ไปตามเรื่อง ของมัน เรื่องมรณสติ เป็นของสําคัญท่ีสุด เพราะเราทุกคนยังไม่เคยตาย เป็นแต่อนุมานเอา เม่ือ พิจารณาแล้วเกิดความสลดสังเวช จิตมันก็แน่วแน่อยู่ในที่เดียวน่ันแหละจึงให้พิจารณามรณสติจะได้ ประโยชน์เห็นชัดตามความเป็นจริง หัดให้มันชํานิชํานาญ แต่ถึงขนาดนั้นแล้ว เวลาจะตายจริงๆ ไม่ ทราบว่าจะตง้ั สตใิ ห้มน่ั คงไดห้ รือเปล่า ตัวอยา่ งการเจริญมรณสติ 1. ฝึกตายหรอื เจรญิ มรณสตกิ อ่ นนอน ก. ทบทวนความดที ไี่ ด้ทํา ข. นกึ ถึงงานศพของตัวเอง ค. พจิ ารณาความไมเ่ ที่ยงของรา่ งกาย ง. ฝกึ ปล่อยวางยามใกลต้ าย 2. เจริญมรณสติในโอกาสตา่ งๆ คือ ก. กอ่ นเดนิ ทาง ข. เมอื่ รบั รขู้ า่ วสาร ค. เม่อื ไปงานศพ ง. เมอ่ื ไปเยย่ี มผปู้ ุวย จ. เมอ่ื สญู เสยี ทรพั ย์ 3. มีอุบายเตอื นใจถงึ ความตาย 4. ทํากจิ กรรมฝกึ ใจรบั ความตาย ประโยชน์ของการเจริญมรณสติกลา่ วโดยสรุป มี 3 ประการคอื 1. ทาํ ใหข้ วนขวายใสใ่ จในส่ิงทีช่ อบผัดผ่อน 2. ทําใหป้ ลอ่ ยวางส่ิงทช่ี อบยึดติด
9 3. ทําให้เหน็ คณุ ค่าของสิ่งท่มี ีอยู่ในปัจจบุ ัน 3) หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั เรือ่ งของความตาย 3.1 ขันธ์ 5 (เบญจขันธ์) คือ องค์ประกอบของชีวิตท่ีประกอบด้วย รูปขันธ์(ร่าง) และนามขันธ์(จิต) ประกอบดว้ ย 1. รูป : รา่ งกายอนั ประกอบดว้ ยธาตดุ ิน นํา้ ลม ไฟ 2. เวทนา : ความรสู้ กึ เปน็ สขุ ทกุ ข์ เปน็ กลาง 3. สัญญา : ความจาํ ไดห้ มายรู้ 4. สงั ขาร : สภาพท่ีปรุงแต่งจิตให้คิดดี คิดชั่ว เป็นกลาง เป็นข้ันตอนท่ี กอ่ ใหเ้ กิดพฤตกิ รรมทง้ั ดีและชัว่ 5. วิญญาณ : การรบั รู้ผา่ นอายตนะ (ประสาทสมั ผัสทง้ั 6) 3.2 ไตรลักษณ์ (สามญั ลกั ษณะ) คอื ลกั ษณะท่ัวไป 3 ประการของสิ่งท้ังปวง ประกอบดว้ ย 1. อนิจจตา (อนิจจัง) : ความไม่เท่ียง ไม่ถาวรไม่คงท่ี เพราะเกิดดับ ธรรมชาติทั้งหลาย รอบตัวเราล้วนมคี วามเปลยี่ นแปลงและตกอยู่ในสภาวะ 3 ประการ คือ เกิดข้ึน ตั้งอยู่ และเส่ือมไปใน ที่สดุ 2. ทกุ ขตา (ทกุ ขัง) : ความทนอยูใ่ นสภาพเดิมไม่ได้ เพราะถกู บบี ค้นั เช่น นักเรียนพอโตก็เป็น หนุ่มสาวแล้ว จะให้หยุดอยแู่ คน่ ้นั ไม่อยากแกช่ รา แต่ความเปน็ จรงิ แลว้ ร่างกายหยดุ แคน่ ้นั ไมไ่ ด้ 3. อนัตตตา : ความไมใ่ ช่ตัวตน เพราะบงั คับไมไ่ ด้ 3.3 หลกั กรรม คือ หลกั ท่ีแสดงถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างการกระทํากรรมและผลแห่งกรรม - กรรมจาํ แนกตามมลู เหตุการกระทาํ 1. อกศุ ลกรรม (กรรมช่ัวทเ่ี กิดจากความโลภ โกรธ หลง) 2. กุศลกรรม (กรรมดี) - กรรมจาํ แนกตามการแสดงออก 1. กายกรรม 2. วจกี รรม 3. มโนกรรม 3.4 ปฏิจจสมุปบาท เป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหน่ึงในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมท่ีอธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การท่ี ส่ิงทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดข้ึนสืบ ๆ เน่ืองกันมา ตามลําดับดงั น้ี คอื - เพราะอวชิ ชาเปน็ ปัจจยั สังขารจงึ มี - เพราะสงั ขารเป็นปัจจยั วญิ ญาณจึงมี - เพราะวญิ ญาณเปน็ ปจั จัย นามรูปจงึ มี - เพราะนามรปู เป็นปจั จัย สฬายตนะจึงมี
10 - เพราะสฬายตนะเป็นปจั จัย ผัสสะจึงมี - เพราะผสั สะเป็นปจั จัย เวทนาจึงมี - เพราะเวทนาเป็นปัจจยั ตณั หาจึงมี - เพราะตณั หาเปน็ ปจั จยั อปุ าทานจึงมี - เพราะอปุ าทานเปน็ ปจั จัย ภพจงึ มี - เพราะภพเปน็ ปัจจัย ชาตจิ ึงมี - เพราะชาติเปน็ ปัจจยั ชรามรณะจึงมี - ความโศก ความครํ่าครวญ ทุกข์ โทมนัส และ ความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกอง ทุกขท์ งั้ ปวงนี้ จงึ มี การเทศนาปฏิจจสมปุ บาท ดงั แสดงไปแล้วขา้ งต้น เรยี กวา่ อนุโลมเทศนา หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติ เป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังน้ี เรียกว่า ปฏโิ ลมเทศนา 3.5 แนวคิดเร่ืองการตายดี พระไพศาลกล่าวถึงแนวคิดเร่ืองการตายดีว่า เป็นการตายโดยไม่เจ็บปวด ไม่ทุรนทุราย ไม่น่าเกลียด ไม่มีใครมาทําให้ตาย หรือตายเพราะอุบัติเหตุ ความตายท่ีพึงปรารถนายังรวมถึง ความตายท่ามกลางคนรัก ญาติมิตอยู่พร้อมหน้า ไม่จากไปอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างในสถานที่ท่ีไม่ ค้นุ เคย และไม่สรา้ งความเดือดร้อนแก่คนที่ยังอยู่ กล่าวอีกนัยหน่ึง คือตายในสภาวะทางกายและทาง สังคมที่เก้ือกูลในสภาวะจิตที่สงบโปร่งเบาเพราะได้ปล่อยวางทุกส่ิง ไม่มีอะไรเป็นภาระให้ต้องห่วง กังวล น้อมรับทุกอย่างในวาระสุดท้ายโดยไม่ปฏิเสธผลักไส และไม่หวาดกลัวต่อความตาย (พระไพศาล, 2548) ในขณะที่กลุ่มศึกษาธรรม สระบุรี ได้กล่าวถึงแนวคิดนี้ในอีกมุมมองหน่ึงว่าว่า ตายดี หมายถึง การตายด้วยจิตท่ีรับรู้ความตายความตายด้วยสติปัญญา มีสติสัมปชัญญะเต็มท่ี ตาย ด้วยจิตท่ีอยู่ เหนือความตาย คือ ปราศจากความรู้สึกกระวนกระวาย กระเสือกกระสน ขลาดกลัวต่อ ความตาย หว่ ง กังวลต่าง ๆ หรอื ดว้ ยความอยากจะตายเรว็ ๆ เพ่อื ทีจะได้ไปเสียจากความทุกข์ทรมาน จากความเจ็บ ปวด จากการหมดเปลืองค่ารักษาอันเป็นภาระแก่ลูกหลาน เป็นต้น นอกจากน้ียังได้ กล่าวถึงแนวทาง การปฏิบัติเพ่ือเข้าถึงการตายดี ในขณะแห่งความตายหรือใกล้จะตายดังน้ี (กล่มุ ศกึ ษาธรรม สระบรุ ี, 2548) ประการแรก เราได้ทํางานอย่างโลก ๆ มาหมดแล้ว โดยให้พยายามคิดว่า เราได้ทํางานอย่าง โลก ๆ มาหมดแล้ว ในฐานะท่ีมนุษย์ควรจะทํา การงานอย่างโลก ๆ ทุกอย่างได้ทํามาหมดแล้ว สิ่งท่ีควรทําขณะท่ีเผชิญกับความตายคือ การวางจิตให้ปกติปราศจากอารมณ์ใด ๆ อันเป็นกิจสําคัญ ที่สุดท่ตี อ้ งทาํ ขณะนี้ ประการทสี่ อง มามืด-ไปสวา่ ง พยายามคิดวา่ แม้มามดื ก็ไปสว่างได้ เพราะไม่วา่ เราไดเ้ คยทํา ความช่ัวอะไรไว้ แต่ถ้าขณะนี้จิตใจไม่ยึดมั่นถือม่ัน ส่ิงน้ันก็จะไร้ความหมาย ดังน้ันเวลามีคนใกล้จะ ตาย มักจะมีการเตือนกันว่า ให้คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ หรือส่ิงที่ดี ๆ ท่ีได้กระทํามา
11 เพื่อเตือนให้ปล่อยนิมิตจากความคิดท่ีคิดถึงเร่ืองการทําช่ัว-ทําบาปกรรม และจดจ่ออยู่กับส่ิงท่ีดีเพ่ือ จะทาํ ใหจ้ ติ ปกติและจากไปอย่างสงบ เพราะจติ แตล่ ะขณะรับร้ไู ด้อยา่ งเดียว ประการสุดท้าย รา่ งกายนเ้ี ป็นธรรมชาติ มิใชต่ ัวเรา-ของเรา พยายามคิดวา่ ร่างกายเป็นธรรม ชาติ จึงต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปตามกฎของธรรมชาติ ดังน้ันความตายจึงเป็นเพียงอาการ เปลี่ยนแปลงของสังขารร่างกาย เมื่อไม่ยึดถือผู้ใกล้ตายก็จะไม่ทุกข์ด้วยอํานาจของความเกิด แก่ เจ็บ ตายแนวคิดการตายดีถูกพูดถึงในสังคมไทยมาช้านาน แต่เนื่องจากกระแสสังคมท่ีมุ่งเน้นการใช้ ความรู้ทางเทคโนโลยแี ละเครือ่ งมอื ทที่ ันสมัยในโรงพยาบาล ทาํ ใหบ้ คุ ลากรทางการแพทย์และคนโดย ส่วนใหญค่ ิดว่า การตายดี คอื การตายในโรงพยาบาลมีผเู้ ชยี่ วชาญทางการแพทย์และอปุ กรณ์ท่ีทันสมัย ซ่ึงแนวคิดดังกล่าวได้ทําให้เกิดปัญหาขึ้นมากมายในสังคมปัจจุบัน ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ ท่ีสูงข้นึ ในขณะท่ผี ้ปู วุ ยยังต้องตายอย่างทรมานท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่สงบ หรือปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างหมอ คนไข้ และญาติ ที่ต่างก็มีความคิดและความต้องการในเร่ืองการดูแลผู้ปุวยระยะสุดท้าย ทแ่ี ตกต่างกนั 4) การนา พุทธศาสนามาใชใ้ นชวี ิตประจาวนั หลกั ธรรมสําหรับนําไปใช้ในชีวิตประจําวัน ศาสนาเป็นส่ิงจําเป็นสําหรับใช้ประกอบในการดํารงชีวิตประจําวัน เพราะศาสนามีคุณค่า มากมายต่อมนุษย์ในด้านจิตใจซ่ึงถือว่าสูงกว่าคุณค่าทางวัตถุ เป็นท่ีพึ่งทางใจทําให้มนุษย์ไม่อ้างว้าง เวลาประสบปัญหาในชีวิต ผู้มีปัญหาย่อมสามารถนําหลักธรรมคําสอนของศาสนาซึ่งตนนับถือและ เลื่อมใสศรัทธานําพาชีวิตให้ไปสู่เปูาหมาย ท่ีตนได้ต้ังไว้ ศาสนิกชนทุกศาสนาคงไม่ตกเป็นเครื่องมือ ของอาํ นาจใฝุตํา่ เพราะคําสอนทุกศาสนาสอนใหค้ นเปน็ คนดี สอนใหม้ นุษย์ละเวน้ จากความชั่วทั้งปวง เป็นเครื่องแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ ศาสนาจึงเป็นเหมือนประทีปส่องโลกเราให้สว่างไสวด้วยความรู้ แจ้ง และยังสอนให้มนุษย์รักสามัคคี มีความยุติธรรมต้องการปฏิบัติแต่ส่ิงท่ีถูกต้อง รักความเมตตา กรุณา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่อิจฉาริษยาพยาบาทต่อกัน เม่ือพิจารณา หลักธรรมของศาสนาต่างๆ จะเห็นว่ามีความสอดคล้องกันในการปลูกฝังความเป็นคนดี และศาสนิก ชนสามารถนําไปใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วันได้ คือ 1. เว้นจากการทําช่ัวและมุ่งทําความดี ทุกศาสนาสอนให้ละเว้นการกระทําความชั่วและ ทําแต่ความดที ั้งส้ิน เพื่อให้ศาสนิกชนท้ังหลายเป็นคนดีน่ันเอง ถึงแม้แนวทางปฏิบัติของแต่ละศาสนา อาจมีข้อแตกต่างกันไป เช่น พระพุทธศาสนามีศีล คือ ข้อห้าม และธรรมะ คือหลักสําหรับเป็นข้อ ปฏิบัติ ศาสนาครสิ ต์มีบญั ญัติ 10 ประการ ศาสนาอิสลามสอนให้ยึดหลักศรัทธา 6 ประการ และหลัก ปฏิบัติ 5 ประการ เป็นต้น 2. ความรัก ความเมตตา แต่ละศาสนากล่าวถึงความรักความเมตตาไว้มากมายทั้ง หลักธรรมคําสอนในคัมภีร์ และคําสอนแทรกไว้ในแต่ละตอนของคําสอนนั้นๆ บางครั้งก็มีคําสอน
12 ทํานองภาษิตเตือนใจ เช่น พระพุทธศาสนามีคติธรรมท่ียึดถือ เช่น เมตตาธรรมเป็นเคร่ืองค้ําจุนโลก และพึงเอาชนะความชั่วด้วยความดี ในศาสนาคริสต์พระเยซูทรงสอนว่า จงรักพระเจ้าอย่างสุดใจสุด ความคิด และสุดกําลัง และจงรักเพ่ือนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง ศาสนาอิสลาม ศาสดามูฮัมหมัดก็ทรง กล่าว ผู้ใดขาดความเมตตาเพ่ือนมนุษย์ผู้นั้นไม่ได้รับเมตตาจิตเช่นกัน ดังน้ันทุกศาสนาจึงเน้นเร่ือง ความรัก ความเมตตา เพราะหากมนุษย์ทุกคนมีความรักความเมตตาอยู่ในใจแล้ว ก็จะไม่มีการ เบยี ดเบียนกัน ตา่ งใหค้ วามช่วยเหลอื ซงึ่ กันและกัน 3. การเสียสละหรือการสังคมสงเคราะห์ เม่ือมนุษย์มีความรักความเมตตาแล้ว ก็จะมี ความเสียสละเอื้อเฟอ้ื เผือ่ แผแ่ ละให้การสงเคราะหซ์ งึ กนั และกนั ศาสนาต่างๆ จึงสอนให้สงเคราะห์กัน ด้วยความเมตตากรุณาไม่ใช่หวังผลตอบแทน แต่เน้นการเสียสละด้วยความบริสุทธ์ิใจ เช่น พระพุทธศาสนามีหลักธรรมท่ีเรียกว่า สังคหวัตถุ 4 ซึ่งได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตต ตา ศาสนาอิสลามได้มีการกําหนดหลักการให้ชาวมุสลิมมีการบริจาคทาน (ซากาด) แก่ผู้ยากจนหรือ สมควรได้รบั ความช่วยเหลอื ในอัตราร้อยละ 2.5 ของรายได้ ศาสนาคริสต์จะเน้นให้มนุษย์เสียสละ ให้ อภัย เอ้ือเฟ้อื โดยไมห่ วงั ผลตอบแทน 4. ความอุตสาหะและพัฒนาตนเอง ศาสนาต่างๆ สอนให้คนมีความเพียร อดทน ขยัน ขันแข็ง และมีความอุตสาหะ มีความพยายาม อันจะช่วยให้บุคคลประสบความสําเร็จและรู้จักพัฒนา ตนเองอยู่เสมอ เช่น พระพุทธศาสนาสอนให้คนเคารพในการศึกษา สรรเสริญความเจริญก้าวหน้า มี หลักคําสอน อิทธิบาท 4 อันได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มีคติเตือนใจ เช่น ความเพียรอยู่ใน ความสําเร็จอยู่ท่ีนั่น ศาสนาอิสลามสอนให้คนใฝุหาความรู้ตั้งแต่เกิดจนตายและมีคําสอนว่า ผู้ใดมี ความพยายาม ผู้น้ันจะได้รับผลสําเร็จ หรือคําสอนในศาสนาคริสต์ก็มีกล่าวไว้ว่า เราทั้งหลายภูมิใจ ความยากลําบาก เพราะรู้ว่าความยากลําบากน้ันทําให้เกิดความอดทนและความอดทนนั้นทําให้เกิด อุปนิสัยทีด่ ี เป็นตน้ 5. ความยุติธรรม คําสอนทุกศาสนาเน้นเร่ืองความยุติธรรม เพราะการที่สังคมจะอยู่ ร่วมกันโดยสันติสุขนั้น จําเป็นต้องมีหลักแห่งความยุติธรรมเป็นแกนกลาง พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้ อยู่ภายใต้อคติ 4 ประการ คือ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และภยาคติ ศาสนาคริสต์มุ่งเน้นในการ รักษาความยุติธรรมในสังคมว่า เจ้าท้ังหลายอย่าเห็นแก่หน้าผู้ใดในการพิพากษา จงฟังท่าน ผู้ใหญ่ ผู้น้อย เหมือนกัน เจ้าท้ังหลายอย่ากลัวผู้ใด เพราะการพิพากษาน้ันเป็นการตัดสินของพระเจ้า หรือ ศาสนาอิสลามสอนให้คํารงความยุติธรรม แม้จะกระทบกระเทือนต่อตัวเจ้าของ ต่อมารดา บิดาหรือ ญาติ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนมหี รอื คนจน และอยา่ ถอื ตามอารมณ์ใครใ่ นการรักษาความยตุ ิธรรม เปน็ ต้น เม่ือศาสนิกชนทุกคนยึดม่ันในหลักธรรมในศาสนาแล้ว ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ท่ี เกิดขึ้นก็จะแก้ไขได้ ปัญหาต่างๆ จะลดน้อยลงและไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขัดแย้งจนลุกลามเป็น สงครามหรือข้อพิพาทระหว่างสังคม ไม่เกิดการเอาเปรียบในสังคม ไม่เกิดการทําร้ายร่างกายจิตใจซึ่ง กนั และกัน ไม่มีปญั หาการทําลายสภาพแวดล้อมหรอื กฎเกณฑต์ ่างๆ จนทาํ ใหส้ ังคมทต่ี นอย่อู ่อนแอลง
13 สรุปผลการศกึ ษา จากการศึกษา เอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ ง เรื่อง การเตรยี มตวั ใหพ้ ร้อมก่อนจะเกดิ “ความตาย” สามารถสรุปได้ตาม วตั ถปุ ระสงค์ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) ความหมายและนยิ ามของความตาย จากการศึกษาจากเอกสารต่างๆ สามารถสรุปได้ว่า ความตาย คือ การสิ้นสุดของชีวิต การพลัดพลากจากคนท่ีตนรัก สิ้นสุดการทําหน้าที่ทางชีวภาพของส่ิงมีชีวิต โดยปัจจัยที่ทําให้เกิด ความตาย ได้แก่ โรคชรา โรคภัย การฆ่าตัวตาย และอุบัติเหตุ ปัจจัยเหล่านี้ นํามาซ่ึงความตาย เมื่อ ความตายเกดิ ข้ึนแล้ว จะเกดิ ความเศร้าเสยี ใจกับผู้ใกลช้ ิดผู้ตาย โดยผู้ที่อยู่ต้องทําใจ สามารถเสียใจได้ แต่ตอ้ งกลบั มาเขม็ แข็งและใช้ชีวิตตอ่ ไป ไมค่ วรจมอยกู่ ับอดีตตอ้ งใช้ชีวิตตอ่ ไป 2) แนวทางในการเตรยี มพรอ้ มกอ่ นจะเกิดความตาย จากการศึกษาจากเอกสารต่างๆ สามารถสรุปได้ว่า สามารถทําได้โดยการพึงระลึกไว้เสมอว่า เราตอ้ งตายไม่ว่าเวลาใดเวลาหน่งึ จึงต้องให้คิดกบั ตัวเองว่า เราอาจตายได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็น ปีหน้า เดือนหน้า วันหน้า หรือช่ัวโมงหน้าต่อจากนี้ ซึ่งสามารถระลึกได้โดยวิธี การเจริญมรณสติ คือ เตือน ตนเองวา่ เราต้องตายอย่างแน่นอน ความตายสามารถเกิดกับเราได้ทุกเม่ือ เรามีความพร้อมท่ีจะตาย หรือยัง และหากยังไม่พร้อม ควรใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์อย่างเต็มท่ี เช่น ฝึกซ้อม ก่อนตายหรือการเจริญมรณสติก่อนนอน ด้วยการทบทวนความดีที่ได้ทํา นึกภาพงานศพของตนเอง พิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกาย และฝึกปล่อยวางยามใกล้ตาย หรือการเจริญมรณสติในโอกาส ต่างๆ โดยก่อนเดินทาง เม่ือไปงานศพ หรือสูญเสียทรัพย์ หากทําตามข้ันตอนนี้ จะเกิดประโยชน์ 3 ประการดงั นี้ 1. ทําให้ขวนขวายใสใ่ จในสง่ิ ที่ชอบผัดผ่อน 2. ทาํ ใหป้ ลอ่ ยวางในสงิ่ ทช่ี อบ 3. ทาํ ใหเ้ หน็ คุณค่าของส่งิ ท่ีมีอยใู่ นปจั จบุ นั 3) หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาท่เี กย่ี วข้องกับ “ความตาย” จากการศึกษาเอกสารทีเ่ กยี่ วข้อง สามารถสรุปหลักธรรมท่ีเกี่ยวข้องกับ ความตาย ไดด้ ังน้ี - ขันธ์ 5 (เบญจขันธ์) คือ องค์ประกอบของชีวิตที่ประกอบด้วย รูปขันธ์(ร่าง) และนามขันธ์ (จติ ) ประกอบด้วย 1. รปู : ร่างกายอันประกอบด้วยธาตดุ นิ นา้ํ ลม ไฟ 2. เวทนา : ความร้สู ึกเป็นสุข ทกุ ข์ เปน็ กลาง 3. สญั ญา : ความจาํ ได้หมายรู้ 4. สังขาร : สภ า พท่ี ป รุง แ ต่ง จิ ตใ ห้ คิด ดี คิ ด ชั่ว เป็ น กล า ง เปน็ ขัน้ ตอนท่ีกอ่ ให้เกดิ พฤติกรรมทง้ั ดแี ละชัว่
14 5. วญิ ญาณ : การรบั รู้ผ่านอายตนะ (ประสาทสมั ผัสท้งั 6) - ไตรลักษณ์ (สามัญลักษณะ) คอื ลักษณะทั่วไป 3 ประการของสิง่ ทงั้ ปวง ประกอบดว้ ย 1. อนิจจตา (อนิจจัง) : ความไม่เที่ยง ไม่ถาวรไม่คงที่ เพราะเกิดดับ ธรรมชาติท้ังหลาย รอบตวั เราลว้ นมีความเปลย่ี นแปลงและตกอยใู่ นสภาวะ 3 ประการ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไปใน ท่ีสุด 2. ทุกขตา (ทุกขงั ) : ความทนอย่ใู นสภาพเดิมไม่ได้ เพราะถกู บบี คั้น เช่น นักเรียนพอโตก็เป็น หนมุ่ สาวแลว้ จะให้หยดุ อยู่แคน่ ้นั ไมอ่ ยากแกช่ รา แตค่ วามเปน็ จริงแลว้ รา่ งกายหยุดแคน่ นั้ ไมไ่ ด้ 3. อนตั ตตา : ความไม่ใชต่ วั ตน เพราะบงั คบั ไม่ได้ - หลกั กรรม คอื หลักทแี่ สดงถงึ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการกระทํากรรมและผลแหง่ กรรม กรรมจําแนกตามมูลเหตกุ ารกระทาํ 1. อกศุ ลกรรม (กรรมชั่วท่เี กดิ จากความโลภ โกรธ หลง) 2. กศุ ลกรรม (กรรมด)ี กรรมจาํ แนกตามการแสดงออก 1. กายกรรม 2. วจีกรรม 3. มโนกรรม - ปฏจิ จสมุปบาท เป็นช่ือพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมทอี่ ธิบายถึงการเกดิ ข้ึนพรอ้ มแห่งธรรมท้ังหลายเพราะอาศัยกัน, การที่ สงิ่ ท้งั หลายอาศัยกนั จงึ เกิดมขี ึ้น 4) แนวทางที่จะนําหลักธรรมทางศาสนามาประยุกต์ใช้เพ่ือการเตรียมตัวก่อนจะเกิด ความตาย จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง สามารถสรุปหลักการที่จะนําหลักธรรมมาประยุกต์ใช้เพ่ือ การเตรียมตัวก่อนจะเกิดความตายได้ ดังนี้ คือ หากได้ศึกษาหลักธรรมตามที่ได้ให้ไว้ ได้แก่ ขันธ์ 5 หลักไตรลักษณ์ หลักกรรม และปฏิจจสมุปบาท หากเข้าใจหลักธรรมดังต่อไปนี้แล้ว จะเป็นการดี สําหรับการเตรียมตัวก่อนจะเกิดความตาย โดย ขันธ์ 5 เป็นเหตุท่ีทําให้เกิดความทุกข์ หากสามารถ หาทางดับทุกข์ท่ีเกิดขึ้นนี้ได้จะเข้าใจว่า จะต้องทําอย่างไร จึงจะทําให้ตัวใจมีความสุข และทําให้ ตัวกายอยไู่ ด้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องถูกทําร้ายจากสิ่งท่ีเป็น เวทนา สัญญา และสังขารที่เกิดจากปัจจัย ภายนอก ให้อย่กู บั ปจั จุบันมากท่ีสดุ ไม่เก็บสิ่งใดมาคิดให้เกิดความวุ่นวายใจ ก่อนจะจากไปก็เข้าใจว่า การจากไปนเ้ี สมือนการหลดุ พ้นจากขันธ์ 5 จะทาํ ใหจ้ ากไปอยา่ งสงบ และเกดิ ความเศร้าเสยี ใจนอ้ ยลง หลกั ไตรลักษณ์ ทอี่ ธิบายถงึ การเกดิ ขึน้ การตัง้ อยู่และดับไปของสรรพส่ิง หรือกล่าวได้ว่าเป็นความไม่ แน่นอนในรูปแบบหน่ึง จึงต้องทําความเข้าใจ เมื่อเข้าใจในหลักการท่ีว่า ทุกสิ่งเกิดมาแล้วต้องจากไป จะทําให้รวู้ า่ เมอื่ ถึงเวลาจากไปแล้ว การจากไปหรือการตายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่จําเป็นต้อง เสียใจหรือคิดมากไปกับส่ิงน้ี หากเข้าใจเช่นน้ีจะทําให้ผู้ใกล้ชิดเข้าใจและเม่ือถึงเวลา จะไม่เกิดความ เสยี ใจมาก หรอื สามารถทาํ ใจได้เมอ่ื เกิดเหตุการณน์ ้ีขึ้นและจติ ใจกลบั มาเปน็ ปกติในเรว็ วนั
15 เอกสารอา้ งอิง กรมการศาสนา. สืบค้นเม่ือ 14 ธันวาคม 2562, จากวิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/ กรมการศาสนา กรรณิกา คําด.ี (ม.ป.ป.). พระพุทธศาสนากับชวี ติ ประจาํ วัน. ขอนแกน่ . การนาํ ศาสนาไปใชใ้ นชวี ติ . (ม.ป.ป.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://sites.google.com/site/phraphudhthsasna/karna-sasna-pi-chi (วันที่สืบค้น ขอ้ มูล : 14 ธนั วาคม 2562). ชัย ลาภเพ่ิมทวี. (2561). พระธรรม : FIGHT for University หัวใจสังคม มัธยมปลาย (ฉบับ tcas4.0). กรงุ เทพฯ : บริษัทธนเชษฐ์จํากัด. พระธรรมกติ ตวิ งศ์. (2556). วดั ไทย. กรุงเทพฯ: โครงการสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน โดยพระราช ประสงค์ในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั . พระมหาบญุ มี มาลาวชโิ ร. 2547. พระพุทธศาสนากบั ความตาย. กรงุ เทพฯ: ดอกหญ้าวิชาการ จาํ กัด. พระราชนิโรธรังสี (เทสก์ เทสรสํ )ี . (ม.ป.ป.). มรณสติ. สบื ค้นเมื่อ 14 ธนั วาคม 2562, จาก http://www.kanlayanatam.com/sara/sara26.htm โสรจั จ์ หงศ์ลดารมภ.์ (2556). ความตายคืออะไร. เข้าถึงได้จาก https://soraj.wordpress.com (วันทค่ี น้ ข้อมูล 14 ธันวาคม 2562). Dhamma Media Channel. (2554). วิธีเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางสู่ความตาย. สืบค้นเมื่อ 14 ธนั วาคม 2562, จาก https://ตายแลว้ ไปไหน.dmc.tv/ Zimmerman, L. (2010). ความตาย. เข้าถงึ ได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ค ว า ม ต า ย (วนั ท่คี ้นข้อมลู 14 ธันวาคม 2562).
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: