คณะครุศาสตร์ สาขาการศึกษาพิเศษและภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี คู่มือสำหรับผู้ปกครอง เด็กที่มีความบกพร่อง ทางการเรียนรู้
ช่ือหนังสอื : คมู่ ือสำหรับผู้ปกครองเด็กท่ีมคี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ จดั ทำโดย : นางสาวจริ าวรรณ ศรีภักดี รหสั นกั ศึกษา 6115151001 นางสาวณัชชา ภุมรัตนม์ กุล รหัสนกั ศึกษา 6115151002 นายธนพนธ์ รเุ ชียรชยั รหัสนักศึกษา 6115151003 นางสาวภานมุ าศ คงสวุ รรณ รหสั นกั ศกึ ษา 6115151009 นางสาวรสิกา ตุรยิ ะกลุ รหสั นักศกึ ษา 6115151010 นางสาวสุภา ไชโย รหัสนกั ศกึ ษา 6115151012 นายนฤทธิ์ เกษรจนั ทร์ รหสั นกั ศกึ ษา 6115151016 นักศกึ ษาสาขาการศึกษาพิเศษและภาษาอังกฤษ ชนั้ ปที ่ี 4 คณะครุศาสตร์
ก คำนำ เมื่อกล่าวถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้หรือเด็กแอลดีนั้น สิ่งที่คนทัว่ ไปนกึ ถึงคือ เด็กเฉลียวฉลาดในทุก ๆ เรื่อง แต่กลับมีปัญหาในเรื่องการเรียน เนื่องจากอ่านหนังสือไม่คล่อง เขียนหนังสือผิด ๆ ถูก ๆ หรือมีปัญหาในการคำนวณ ซึ่งในปัจจุบันเด็กที่มีความบกพร่องทางการ เรียนรู้หรือเด็กแอลดีถือเปน็ เด็กที่มีความต้องการพิเศษในด้านการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น จะ เหน็ ไดว้ า่ ครูผสู้ อนจะตอ้ งมกี ารจดั ทำแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล (Individualized Education Program : IEP) การจัดการเรียนการสอนแบบรายบุคคล ร่วมกับการใช้เทคนิควิธีการสอนต่าง ๆ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ ไปพร้อม ๆ กับเด็กคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน และเนื่องด้วย สถานการณ์โควิด-19 นี้ จึงทำให้สถานศึกษาและครูอาจารย์ต้องลดบทบาทการเรียนการสอนจาก ในห้องเรียนมาเป็นในรูปแบบออนไลน์ อีกทั้งเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้หรือเด็กแอลดี อาจต้องเรียนกบั ผู้ปกครองเปน็ ส่วนใหญ่ ดังนนั้ ส่งิ สำคญั ทจ่ี ะชว่ ยให้เดก็ ท่มี คี วามบกพร่องทางการ เรียนรู้หรือเด็กแอลดีประสบความสำเรจ็ ได้ คือ ความเขา้ ใจและการสนับสนุนช่วยเหลอื ด้านต่าง ๆ จากครอบครัวอกี ดว้ ย คู่มือสำหรับผู้ปกครองเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้เล่มนี้เป็นการรวบรวมความรู้ จากตำราและจากข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รวมไปถึงข้อมูลที่ได้จากการสัมมนาโครงการส่งเสริม ความรู้และเทคนิคการจัดการเรียนการสอนออนไลน์สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดย รวบรวมความหมาย ประเภท ลักษณะ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา การช่วยเหลือ การป้องกัน รวมไปถึงแนวทางการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการ เรียนรู้หรือเด็กแอลดีต่าง ๆ ที่ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติจริง คณะผู้จัดทำหวังว่าคู่มือเล่มนีจ้ ะเป็นตัว ช่วยทีด่ ใี นการชว่ ยผ้ปู กครองในการดูแลเด็กท่มี คี วามบกพร่องทางการเรียนรหู้ รือเดก็ แอลดตี ่อไป คณะผูจ้ ัดทำ
ข สารบญั หนา้ คำนำ ก สารบัญ ข ความหมายของเดก็ ที่มคี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 1 ประเภทของเด็กท่ีมคี วามบกพร่องทางการเรยี นรู้ 3 ลักษณะหรือข้อสังเกตเดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ 7 สาเหตุ เพราะอะไรถงึ เปน็ ? 16 การวนิ จิ ฉยั /ภาวะแทรกซ้อน/การรักษา/การช่วยเหลอื เดก็ ที่มีความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ 18 ผลกระทบจากความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ 25 การปอ้ งกันความบกพร่องทางการเรยี นรู้ 28 คณุ พ่อ-คุณแม่สามารถชว่ ยเด็กที่มีความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ได้อย่างไร 29 เทคนิคการสอนเด็กท่มี ีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 35 หลกั การสอนเสริมเด็กทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 41 กจิ กรรมสำหรบั เด็กทมี่ ีความบกพร่องทางการเรยี นรู้ 58 คำถามทพี่ บบ่อยในเด็กทีม่ ีความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 63 เอกสารอา้ งองิ 67
1 เด็กทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ Learning Disability (LD) คืออะไร? แอลดี หรือ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ เป็นการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชเด็กชื่อ “Specific Learning Disorder” (ตามเกณฑ์ DSM-5 ของ สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน) หรือ “Specific developmental disorders of scholastic skills” แอลดี มีความหมายแตกต่างกันในแต่ละ วงการและแตล่ ะประเทศ ในวงการศึกษามาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Learning Disabilities” ซึ่งในกฎหมาย การศึกษาสำหรับผู้พิการของสหรัฐอเมริกาให้คำจำกัดความไว้ว่า “ความบกพร่องของกระบวนการ ทางจิตวิทยาขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการเข้าใจ การใช้ภาษา การพูด หรือการเขียน ซึ่งแสดงออก โดยความไม่สมบูรณ์ของความสามารถด้านการฟัง การคิด การพูด การอ่าน การเขียน การสะกดคำ และการคำนวณทางคณิตศาสตร์” แต่ไม่ครอบคลุมในกลมุ่ ทเ่ี ปน็ ผลของความพิการทางตา หู การเคลื่อนไหว ความบกพร่องทางสติปัญญา ปัญหาทางอารมณ์ หรือเกิดจากความเสียเปรียบทาง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ความหมายครอบคลุมไปถึงข้อจำกัดในการรับรู้ การบาดเจ็บทาง สมอง ความผดิ ปกตเิ ลก็ น้อยในการทำงานของสมอง ดิสเล็กเซยี และอะเฟเซยี
2 ประเทศในโซนยุโรปบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร “Learning Disabilities” มี ความหมายครอบคลุมกว้างกว่า โดยรวมถึง กลุ่มผู้ บกพร่องทางสติปัญญา และความบกพร่องทาง พัฒนาการอื่นๆ ด้วย ซึ่งคนละความหมายกับ ใน สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ประเทศแคนาดาใช้ใน ความหมายเดยี วกันกับในสหรัฐอเมรกิ า ในวงการแพทย์ แอลดีเป็นความ บกพร่องรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีเกณฑ์การ วินิจฉัยโรคชัดเจน คือ มีทักษะเฉพาะที่ใช้ใน การเรียน ด้านการอ่าน การเขียน หรือ คณิตศาสตร์ ไม่เหมาะสมกับระดับอายุ โดย ไม่ไดเ้ กดิ จากความผิดปกตอิ ่ืน หรือขาดโอกาส ทางการศึกษา และส่งผลรบกวนต่อผล การศกึ ษาหรอื กจิ กรรมในชวี ิตประจำวัน ความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือแอลดี จัดเป็นผู้พิการประเภท 6 “ความพิการทางการ เรียนรู้” ตามประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง ประเภทและ หลักเกณฑ์ความพิการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2555 ซึ่งออกในพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ ชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 หมายถึง “การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมโดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ ซึ่งเป็นผลมาจากความ บกพร่องทางสมอง ทำให้เกิดความบกพร่องในด้านการอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ หรือ กระบวนการเรียนร้พู น้ื ฐานอื่นในระดบั ความสามารถท่ีต่ำกวา่ เกณฑม์ าตรฐานตามช่วงอายแุ ละระดบั สติปัญญา” แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจว่าจะจดทะเบียนคนพิการ เพื่อขอใช้สิทธิต่างๆ หรือไม่ ไม่ใชภ่ าคบังคับ
3 ประเภทเด็กที่มีความบกพรอ่ ง ทางด้านการเรยี นรู้ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “แอลดี” เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มความ ผดิ ปกตขิ องการรบั รู้ข้อมูลและมปี ัญหาในการนำข้อมูลนน้ั ไปใช้ในด้านการฟงั พูด อ่าน เขียน การ คิดคำนวณ ซึ่งความบกพร่องนี้เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมองหน้าตาของเด็กจะ ปกติเหมือนเพื่อนในห้องทุกอย่าง สามารถพูดคุยตอบคำถามทั่วไปได้รู้เรื่องดี แต่ขณะที่เรียน หนังสือความสามารถในการเรียนของเด็กจะตํ่ากว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน เช่น เด็กเรียนอยู่ ใน ระดับชั้น ป.3 แต่อ่านหนังสือได้เท่ากับเด็ก ป.1 ทั้งนี้ความบกพร่องดังกล่าวต้องมิได้เกิดจากการ ถูกละทิ้ง ละเลย ขาดโอกาส ไม่ได้เรียน เจ็บป่วยรุนแรง ตาบอด หูหนวก แขนขาพิการ หรือเป็น ชาวต่างชาติ เด็กแอลดีทีพ่ บได้บอ่ ยนั้น แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภทดังนี้
4 ประเภทเด็กที่มีความบกพรอ่ ง ทางด้านการเรยี นรู้ 1. ความบกพร่องด้านการอ่าน เด็กมีความบกพร่อง ในการจดจำ พยญั ชนะ สระ ขาดทกั ษะ ในการสะกดคำและ เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ได้อย่างจำกัด จึงอ่านหนังสือไม่ออก หรืออ่านแต่คำศพั ท์ง่าย ๆ อ่านผิด ใชว้ ธิ กี ารเดาคำเวลาอ่าน อ่านไดแ้ ต่คำที่ เหน็ บ่อยเน่อื งจากใชว้ ธิ กี ารจำคำไมอ่ าศัยการ สะกด อา่ นตะกุกตะกัก 2. ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ เด็กมีความ บกพรอ่ งในการเขียนพยญั ชนะ สระ ตัวสะกด วรรณยกุ ต์ และ การันต์ ไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย จึงเขียนหนังสือและ สะกดคำผดิ มีปญั หาการเลอื กใชค้ ำศพั ทก์ ารแต่งประโยคและ การสรปุ เนื้อหาสำคัญ ทำให้ไมส่ ามารถถ่ายทอดความคิดผ่าน การเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน แต่สามารถลอกตัวหนังสือ ตามแบบได้
5 ประเภทเด็กที่มคี วามบกพร่อง ทางด้านการเรยี นรู้ 3. ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์ เด็กขาดทักษะและความเข้าใจเกี่ยวกับ ตัวเลขการนับจำนวน การจำสูตรคูณ การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถ คิดหาคำตอบ จากการบวก ลบ คูณ หาร ตามกฎเกณฑท์ างคณิตศาสตรไ์ ด้
6 ประเภทเด็กท่ีมคี วามบกพรอ่ ง ทางด้านการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีการแบ่งเด็กความรุนแรงของโรค โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ น้อย ปานกลาง และรุนแรง ทั้งน้ขี ึน้ อยู่กับหลายปัจจัยในการประเมินระดับ ความรุนแรง เช่น เด็กที่มีความยากลำบากในทักษะการเรียนรู้กี่ด้าน การต้อง ความชว่ ยเหลอื สนั บสนนุ เป็นตน้ มคี ุณแม่เล่าเร่ืองราวสะท้อนภาพของเด็กทีม่ ีความบกพร่องทางด้านการ เรียนรู้ได้เป็นอย่างดี “ เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านการเรียนรู้ทราบไดเ้ พราะ อ่านแล้วจำไมไ่ ด้ เขยี นกลับหลงั อย่างเชน่ เขียน ก.ไก่กเ็ ขยี นกลับหลัง เขียนได้ดี 3 บรรทัดก็เขียนตัวโต เขียนเลยบรรทัด เวลาเรียนไม่เข้าใจภาษาทั้งภาษาไทย ภาษาองั กฤษ คณิตศาสตร์ แตพ่ ูดได้หลายภาษา พูดเกง่ ”
7 ลักษณะของเด็กท่มี คี วาม บกพรอ่ งทางด้านการเรียนรู้ เราไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กคนไหนมีปัญหาการเรียนรู้เพียงแค่มองจากภายนอก ทำให้สังเกตอาการได้ค่อนข้างยาก แต่พ่อแม่สามารถเริ่มสังเกตเห็นจากความผิดปกติของเด็ก ทางการพูด อ่านเขียน การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ การสื่อสาร หรือการขาดสมาธิในห้องเรียน ประมาณชว่ งประถมศกึ ษาครูและพ่อแมจ่ ะเรม่ิ เหน็ วา่ เดก็ ไมส่ ามารถเรียนรกู้ ตกิ าของเกมบางเกม หรือไม่สามารถทำการบ้านบางอย่างได้ทั้ง ๆ ที่เป็นงานที่ง่ายมาก เป็นต้น แต่เด็กบางคน ก็พยายามหาวิธีแก้ไขจนเรียนตามเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกันได้ แม้แต่พ่อแม่เองก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วลูกมีอาการผิดปกติทางการเรียนรู้ และกว่าจะสังเกตได้ก็เมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่นที่ต้องใช้ชีวิต ด้วยตัวเองแล้ว เด็กจะเริ่มรู้สึกว่าความพยายามที่ใช้ไปในการเรียนไม่ส่งผลต่อผลการศึกษา เท่าทคี่ วรเมื่อมารตู้ วั ในวยั รนุ่ เชน่ น้ี ยง่ิ ทำให้ยากต่อการดูแลรักษา
8 ลักษณะของเด็กทม่ี คี วาม บกพร่องทางด้านการเรยี นรู้ ก่อนวยั เรียน - มปี ญั หาในการพดู คำบางคำ - ใช้คำพดู แบบผดิ ๆ - จำทำนองเพลงหรอื เสยี งวรรณยกุ ต์ไม่ได้ - มีปญั หาในการเรยี นตวั อักษร ตวั เลข สี รปู ร่าง วันในสัปดาห์ - ไม่เขา้ ใจการทำตามกฎหรือกติกา - จบั ดินสอ ปากกา หรือกรรไกร ให้ไปในทางท่ตี อ้ งการไมไ่ ด้ - มปี ญั หากับการติดกระดมุ หรือซิป หรือผูกเชือกรองเทา้
9 ลักษณะของเด็กทีม่ คี วาม บกพร่องทางด้านการเรยี นรู้ 5-9 ขวบ - ไม่สามารถเช่ือมโยงคำกับการเสยี งอ่านของคำนั้นได้ - ไม่สามารถผสมเสยี งพยญั ชนะกับสระให้เป็นคำพูดได้ - สับสนคำง่าย ๆ เวลาอา่ น - เขยี นคำผิดซำ้ ๆ - มปี ัญหากับโจทยเ์ ลขทว่ั ไป - บอกเวลาไม่ได้ - เรยี นรู้ทกั ษะใหม่ ๆ ได้ช้า 10-13 ขวบ - มปี ัญหากบั การอา่ นทำความเข้าใจ - ปญั หาการเรียนเลข - ไม่ถนดั การตอบคำถามปลายเปิด และมปี ัญหาการใช้คำ - ไม่ชอบการอา่ นและเขยี น หลกี เล่ียงการอ่านออกเสียง - ไม่มที ักษะการจัดการ (ห้องนอน การบ้าน โตะ๊ เรียน) - ลายมืออ่านยาก
10 ลักษณะของเด็กท่มี คี วาม บกพรอ่ งทางด้านการเรียนรู้ เด็กกลุ่มนี้จะขี้อายและปฏิเสธที่จะฝึกฝนซ้ำ ๆ เพราะพวกเขาทำไม่ได้ หรือพบว่า มันยากสำหรับพวกเขา ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ ทำได้ ทำให้รู้สึกอายและไม่พอใจ อย่างไรก็ตามแค่เพียงมีปัญหาในห้องเรียนไม่ได้หมายความว่าเด็กจะต้องมีปัญหาทางการ เรียนรู้เสมอไป เด็กแต่ละคนมีวิธีที่จะเรียนรู้แตกต่างกันไป เช่น บางคนชอบที่จะฝึกฝน ไปเรื่อย ๆ บางคนชอบที่จะฟังเพ่ือทำความเข้าใจ เปน็ ตน้ หรอื เด็กบางคนอาจแค่อ่านช้าหรือ เรียนช้ากว่าเพื่อน แต่ไม่ได้มีพัฒนาการที่ด้อยกว่าเกณฑ์ หากรู้สึกว่าลูกมีอาการดังกล่าว จะให้แน่ใจที่สุดพ่อแม่ควรพาลูกไปหานักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบจาก แบบทดสอบอย่างละเอียด
11 ข้อสังเกตเด็กทมี่ คี วามบกพร่องด้าน การเรยี นรู้ในแต่ละชว่ งวัย วยั อนบุ าล - เดก็ มีประวตั เิ ร่มิ พดู ชา้ เช่น พดู คำแรกเมอ่ื อายุ 1 ขวบครง่ึ หรือ 2 ขวบ - เด็กมีประวตั ิพูดไม่ชัด หรือ ยังมีอาการออกเสียงไมช่ ดั ในบางพยญั ชนะ - มีการพดู สลบั คำ, เรยี งประโยคไม่ถูก - พดู ตะกกุ ตะกัก หรือบอกชื่อวสั ดทุ ต่ี ้องการไม่ได้ ทำไดเ้ พยี งแค่ช้สี ่ิงนนั้ - มีปัญหาดา้ นการสอื่ สาร เช่น พูดแล้วคนอน่ื ฟงั ไม่เขา้ ใจ หรอื ฟงั คนอื่นไม่เขา้ ใจ - มีปัญหาในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็ก มีลักษณะชา้ งุ่มง่าม เช่นการหยบิ สิง่ ของ การผูก เชอื กรองเทา้ ตดิ กระดมุ เส้อื การหยิบจับดินสอ หรอื แม้แต่เขยี นหนงั สือแล้วเมอื่ ยเรว็ - มปี ัญหาการใช้สายตาร่วมกบั มือ เชน่ การกะระยะระหว่างสิ่งของ การหยิบแยกวัตถุ เล็ก ๆ จากพน้ื หลงั
12 ขอ้ สงั เกตเด็กทม่ี คี วามบกพร่องด้าน การเรยี นรูใ้ นแต่ละชว่ งวัย วัยประถม เด็กที่มีความบ กพร่องทางด้านการเรียนรู้ ในวัยนี้ลักษณะที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ความสามารถ ด้านการอ่าน การเขยี นสะกดคำ และคณิตศาสตร์ ลกั ษณะของความบกพร่อง แต่ละด้านมดี ังน้ี ความบกพร่องด้านการอ่าน - อา่ นหนงั สอื ไม่ออก อ่านไดเ้ ฉพาะคำศัพท์ง่าย ๆ - มีปญั หาในการจดจำและสะกดคำตามเสียงพยญั ชนะ สระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ - อ่านช้า มีความยากลำบากในการอ่านหนังสือ เช่น อ่านคำ สะกดคำ จึงทำให้อ่าน ตะกุกตะกัก อ่านออกเสียงไม่ชดั เจน ทำปากขมบุ ขมิบ - อ่านคำศัพท์ผิดเพี้ยนจากคำเดิม เดาคำจากตัวอักษรแรก เช่น เพื่อน อ่านเป็น พี่, เทยี่ ว อา่ นเป็น ท่ี, เขา อ่านเป็น ขา - แยกคำศพั ท์ในการอ่านไมไ่ ด้ เช่น พยายาม เปน็ พา-ยาย, เขลา เปน็ เข-ลา - อ่านคำศัพท์ยาก ๆ ไม่ได้ เช่น คำควบกล้ำ คำการันต์ คำที่สะกด คำท่ีไม่ตรงตาม มาตรา หรือ คำที่มีกฎเกณฑ์มากขึ้น เช่น สนุกสนาน, เพลิดเพลิน, รัฐมนตรี, สญั ลักษณ์, ราชพฤกษ์ - เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ได้จำกัดพัฒนาด้านการอ่านช้ามาก สอนแล้วจำยาก วนั น้ีอ่านได้พรุ่งนลี้ มื แลว้ - สรปุ ใจความของการอ่านไม่ได้ - ขาดความสนใจและหลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือ เพราะการอ่าน เป็นเรื่องยากสำหรับ เดก็ - เมื่ออ่านวิชาภาษาไทยไม่ได้วิชาอื่น ๆ ที่ต้องใช้ทักษะการอ่านก็จะมีปัญหา เช่นเดียวกนั
13 ข้อสังเกตเด็กทมี่ ีความบกพร่องด้าน การเรยี นรู้ในแต่ละชว่ งวัย วยั ประถม ความบกพรอ่ งดา้ นเขยี นสะกดคำ - เขยี นพยญั ชนะทง้ั 44 ตวั ได้ไมค่ รบเขยี นตัวยากไมไ่ ด้ เช่น ฐ, ฎ, ฒ ณ เขียนกลับด้าน สับสนระหวา่ งการม้วนหวั เข้า - ออก เชน่ พ-ผ ค-ด ถ-ภ และตวั ที่หัวหยกั เชน่ ต, ฆ, ฎ, ฏ - เขียนสระทั้ง 32 ตัว ได้ไม่ครบเขียนได้เฉพาะสระง่าย ๆ เสียงเดี่ยว เช่น อา, อี, อู แต่ เขียนสระเสยี งผสมไม่ได้ เช่น เอาะ, เอือ, เอีย - สะกดคำผิดมกั เขียนไดเ้ ฉพาะพยญั ชนะตน้ แต่เลือกใช้สระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ไม่ ถกู ตอ้ ง ทำให้เขยี นแล้วอ่านไม่ออก เช่น สงสาร เขยี นเปน็ สายสา, กระดาษ เขียนเป็น กะบาด - การเขียนคำที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา การใช้การันต์ คำยากหรือ คำที่มีหลายพยางค์ เด็กจะเขยี นตามเสียงทีไ่ ด้ยนิ เช่น พิสจู น์เปน็ พสิ ตู , ธรรมชาติ เปน็ ทำมะชา, ประวตั ิศาสตร์ เปน็ ประวัดสาด
14 ข้อสงั เกตเด็กทม่ี คี วามบกพร่องด้าน การเรียนรู้ในแต่ละชว่ งวัย วยั ประถม ความบกพรอ่ งด้านเขียนสะกดคำ(ตอ่ ) - เรียงลำดับตัวอักษร พยัญชนะ สระ ตัวสะกด วรรณยุกต์ ตัวการันต์ ผิดตำแหน่งของ คำ เช่น เจบ็ ปว่ ย เป็นคำว่า เจบ็ ป่ยว, สตั ว์ป่า เป็นคำว่า ตยว์ปา่ - สับสนในการเขยี นและการสะกดคำท่พี อ้ งเสยี ง เช่น ณ, น เสียง นอ ศ, ษ, ศ เสยี ง สอ - มีความบกพร่องในการใชค้ ำศัพท์ การแตง่ ประโยค การเวน้ วรรค การใชไ้ วยากรณแ์ ละ การเรียบเรียงเนื้อหาในการเขียน โดยมักเลือกใช้ คำศัพท์ง่าย ๆ ใช้คำซ้ำทำให้ผู้อ่ืน อา่ นสง่ิ ที่เด็กเขียนไม่เขา้ ใจ - หลีกเลยี่ งการเขยี นหนงั สอื และการจดงาน หรือจดงานชา้ เพราะต้องดตู ามแบบทีละตัว - ลายมือหยาบ การเขียนไม่เป็นระเบียบ ตัวอักษรขนาดไม่เท่ากัน เขียนไม่ตรงบรรทัด จดั วางตำแหน่งไมเ่ หมาะสม
15 ขอ้ สงั เกตเด็กทม่ี ีความบกพร่องด้าน การเรยี นร้ใู นแต่ละช่วงวัย วัยประถม ความบกพรอ่ งดา้ นคณิตศาสตร์ - สับสนในหลกั การคดิ เลข ไมเ่ ข้าใจหรอื สบั สนในข้นั ตอน - ไมเ่ ข้าใจลำดบั ตัวเลข พดู ตัวเลข 1-20 กลับไปกลับมาไมไ่ ด้ - ไม่เขา้ ใจคำของตวั เลข ได้แก่ หลกั หนว่ ย สิบ รอ้ ย พนั หมื่น ทำให้ นบั เลขไปข้างหน้า หรือนับย้อนหลังไมค่ ล่อง - จำสูตรคูณ สูตรคณติ ศาสตร์ และสัญลักษณ์คณติ ศาสตร์ไมไ่ ด้ - มปี ญั หาความเขา้ ใจพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ (บวก ลบ คูณ หาร) ทำใหไ้ ม่สามารถทำ ตามขั้นตอนตา่ ง ๆ ได้ถูกตอ้ งจงึ คิดคำตอบไม่ได้ - มีปัญหาในการวเิ คราะห์โจทย์ เปน็ ข้ันตอนยอ่ ย ๆ - มีปัญหาในการวเิ คราะห์โจทยป์ ัญหาจากภาษาเขียนเป็นสญั ลักษณ์ ทางคณติ ศาสตร์ - เขียนตวั เลขกลับกัน เชน่ 35 เขียนเป็น 53 - คดิ เลขช้า ผดิ พลาด สบั สนในการยมื การทดเลข - มีปญั หาในการนับเงิน การทอนเงนิ
16 สาเหตขุ องความบกพร่อง ทางการเรียนรู้ เกิดจากปัจจัยร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและ ส่ิงแวดลอ้ ม ทำให้เกดิ ความบกพรอ่ งในการทำงานของ สมองในตำแหน่งที่จำเพาะกับทักษะนั้น ๆ โดย พบได้ ถึง 4-10% ในเด็กวัยเรียน เพศชายพบมากว่าเพศ หญิง 2-3 เท่า และพบร่วมกับโรคสมาธิสั้นได้ถึง 40-50% ภาวะความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ยงั ไมอ่ าจ ระบุสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่นักวิจัยเชื่อว่าอาจมี ปจั จัยบางอย่างกระตุ้นใหเ้ กดิ ความผดิ ปกติ 1
17 ความบกพรอ่ งทางการ เรยี นรู้เกิดจากอะไรบา้ ง ? สง่ิ แวดล้อม พัฒนาการสมอง การสูดดมหรือสัมผัสสารพิษจาก บางทฤษฎีกล่าวว่าเดก็ ที่มพี ัฒนาการ สิ่งแวดล้อมเป็นประจำ เช่น สาร สมองผิดปกติ เช่น เด็กที่มีน้ำหนัก ตะกั่ว รวมถึงโภชนาการที่ไม่ดี แรกเกิดต่ำกว่ามาตรฐาน คลอดก่อน ตั้งแต่เด็ก อาจส่งผลให้เกิดความ กำหนด สมองขาดออกซิเจน หรือ บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ได้รับอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือน สมอง อาจมีแนวโน้มเกิดภาวะ คาดว่าเป็นปัจจัยหนึ่งท่ีส่งผลให้เด็กมี บกพร่องทางการเรียนรู้มากกว่าเด็ก ความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือ ทว่ั ไป ความผิดปกติของโครโมโซม ทั้งน้ี นักวิจัยบางส่วนโต้แย้งว่าเด็ก LD พันธุกรรม อาจไม่ได้เกิดจากการถ่ายทอดทาง พนั ธุกรรม แต่เกดิ จากการเรียนรู้และ 2 เลยี นแบบพฤตกิ รรมของพ่อแม่
18 วินจิ ฉัยเด็กแอลดี พอ่ แมห่ รอื คนใกลช้ ดิ มกั พบสญั ญาณของความบกพร่องทางการเรยี นรู้เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่ วัยเรียน หากคาดวา่ เดก็ มีความผดิ ปกติควรพาไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะมวี ิธกี ารตรวจว่าเป็นเด็ก แอลดหี รือไม่ จะวินจิ ฉัยโดยกุมารแพทย์พฒั นาการเดก็ หรือจติ แพทย์เด็ก ไดร้ ับข้อมลู จากพอ่ แมแ่ ละ คณุ ครู แลว้ ทำการตรวจประเมนิ เด็กอย่างละเอียด ร่วมกับการทดสอบระดับสติปัญญาและ ความสามารถทางการเรียน ซ่งึ แพทย์จะทำการรวบรวมข้อมลู จากสงิ่ ตอ่ ไปนี้ - การซกั ประวตั ิ ทง้ั ดา้ นการเลย้ี งดู พัฒนาการดา้ นภาษา การสอื่ สาร ประวตั ิการเรยี นตง้ั แตอ่ นุบาล จนถงึ ประถมศกึ ษา ผลการเรยี น สมุดการบ้าน รายงานจากโรงเรียน ผลกระทบที่เกดิ ขนึ้ และการ ช่วยเหลือที่ผา่ นมา รวมทัง้ ประวตั ทิ างพนั ธุกรรม เชน่ ปัญหาการอา่ นของเครือญาติ - การคน้ หาปัญหาทางจิตใจที่อาจเป็นสาเหตุหรอื เปน็ ผลกระทบของปญั หาความบกพร่องในการ เรียนรขู้ องเด็ก - การทดสอบไอควิ (IQ) และผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
19 ภาวะแทรกซอ้ น ของเด็กแอลดี เด็กแอลดบี างรายอาจจะแสดงพฤติกรรมทางลบหรือมแี นวโนม้ ตกเป็นเหยอ่ื ของความ รุนแรง อกี ทั้งการดแู ลเด็กทมี่ ีภาวะน้ีอาจส่งผลกระทบตอ่ ครอบครัวหรอื คนใกล้ตัว โดยมีราย ละเอียดดังนี้ - เด็กแสดงความอยากรู้อยากเหน็ ทางดา้ นรา่ งกาย ทำให้ผู้อ่นื อาจมองว่าเด็กฝกั ใฝ่เรือ่ งเพศ - มีพฤตกิ รรมทางเพศทไี่ ม่เหมาะสม เชน่ การสำเร็จความใคร่ในที่สาธารณะ - ตกเปน็ เหย่ือของความรนุ แรง เช่น โดนรงั แก โดยล้อเลียน ถูกลว่ งละเมิดทางเพศ ซ่ึงอาจสง่ ผลให้ เด็กมปี ัญหาทางดา้ นสขุ ภาพจิต เกดิ การต้ังครรภ์ไมพ่ ึงประสงค์ หรือติดเชอ้ื โรคติดตอ่ ทาง เพศสมั พันธ์ได้
20 การรกั ษา เด็กแอลดี ปจั จุบันไม่มีวิธกี ารรกั ษาความบกพร่องทางเรียนรใู้ ห้หายขาด แต่เทคนิคการสอนที่ เหมาะสมกบั เดก็ แอลดี ความเอาใจใสจ่ ากพ่อแมแ่ ละคนใกลช้ ิด รวมถึงการใช้ยาและการเยยี วยา ตามคำแนะนำของแพทยอ์ าจชว่ ยบรรเทาอาการผิดปกติและพฒั นาศักยภาพทางการเรียนรู้ การ รกั ษาเดก็ แอลดี แบ่งออกเปน็ ดา้ นตา่ ง ๆ ดงั น้ี - การศกึ ษา แผนการศึกษาเฉพาะบคุ คล (Individualized Edudation Plane : IEP) คอื เทคนคิ การสอนและการใชส้ ื่อการสอนทเ่ี น้นพัฒนาทกั ษะดา้ นทบ่ี กพร่องของผปู้ ่วยแตล่ ะคน เชน่ การนำ หนงั สอื เสยี งมาใชก้ ับเด็กทข่ี าดทกั ษะทางการอา่ น การจดั กจิ กรรมการสอนทสี่ อดคล้องกับ ความสามารถของเดก็ เป็นต้น - ครอบครัว ควรศึกษาข้อมูลเบ้อื งตน้ ของเดก็ แอลดีวา่ บุตรหลานบกพร่องทกั ษะชนิดใดและมี อาการผดิ ปกติอย่างไร เพ่ือใหก้ ารดูแลไดอ้ ย่างเหมาะสม รวมถึงสง่ เสริมให้เด็กมีสขุ ภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง เช่น กระตุ้นให้ออกกำลงั กาย รับประทานอาหารท่มี ีประโยชน์ และนอนหลับให้เพียงพอ นอกจากนัน้ คนในครอบครัวสนับสนนุ ให้เด็กมีความภูมิใจและมั่นใจในตนเอง หม่นั ชน่ื ชมเมอื่ เด็ก ทำได้ดแี มเ้ รื่องเล็กนอ้ ย เปล่ียนจากการตำหนิหรือลงโทษเปน็ การอธิบายใหเ้ ข้าใจถึงผลเสยี ของ การกระทำท่ีไมถ่ ูกต้อง รวมทัง้ คอยสังเกตว่าเดก็ มีภาวะซึมเศร้าจากความรู้สกึ แปลกแยกหรือไม่ มั่นใจตนเองหรอื ไม่
21 การรกั ษา เด็กแอลดี - การแพทย์ แพทย์อาจจะแนะนำใหเ้ ด็กแอลดี บางรายอาจจะรับประทานยาช่วยเพมิ่ สมาธิ ทำให้ เดก็ จดจอ่ กบั ส่ิงท่ีทำอยไู่ ดน้ านข้นึ รวมถึงแนะนำยาแก้โรคซึมเศรา้ ทีม่ ภี าวะซึมเศร้าหรือความวิตก กงั วล - การรักษาแพทย์ทางเลอื ก มีงานวิจยั อ้างวา่ การบำบัดด้วยดนตรอี าจจะช่วยรกั ษาความบกพร่อง ทางการเรียนรู้ของเด็กแอลดีไดเ้ ชน่ กนั
22 การชว่ ยเหลือ เด็กแอลดี เดก็ ท่ีเป็นแอลดีแตล่ ะคนกจ็ ะมีปญั หาเฉพาะทแี่ ตกต่างกนั ออกไป ดา้ นทมี่ ีความบกพร่อง และ อาการที่พบร่มกแ็ ตกต่างกนั แนวทางการดูแลรกั ษาจึงแตกต่างกันด้วย เราไม่สามารถชว่ ยเหลอื เดก็ ที่ เป็นแอลดที ุกคนดว้ ยวธิ กี ารสำเรจ็ รูปเพยี งรูปแบบเดียวได้ แต่ต้องออกแบบการชว่ ยเหลอื เฉพาะบุคคล ตามความสภาพปญั หาของเดก็ ทแี่ ตกตา่ งกัน แนวทางการดแู ลรกั ษาในปัจจุบนั เมื่อไดร้ บั การยืนยันผลการตรวจวนิ ิจฉัยว่าเป็นแอลดีแล้ว กค็ วรใหค้ วามช่วยเหลอื แบบบรู ณาการและมองปญั หาอย่างรอบดา้ น โดยอาศัยความร่วมมอื กนั แบบ ไตรภาคี คอื ท้ังทางครอบครัว ทางการแพทย์ และทางการศึกษา ซงึ่ แนวทางหลักการในการดแู ลรักษา มดี ังน้ี - การช่วยเหลือครอบครวั ครอบครวั มีบทบาทสำคัญที่สดุ ในการดแู ลชว่ ยเหลือเด็ก บคุ คลใน ครอบครัวควรปรับเจตคตใิ ห้ถูกทาง เขา้ ใจว่าเดก็ กำลังมีปญั หาท่ตี ้องการความช่วยเหลอื ไม่ใชว่ ่า เดก็ เป็นคนสร้างปัญหา เด็กตอ้ งการความชว่ ยเหลือมากกวา่ คำตำหนิติเตียน ควรใหค้ วามรู้ เบอื้ งตน้ เก่ยี วกับแอลดี สำหรับผู้ปกครอง และแนะนำให้คน้ ควา้ หาขอ้ มลู ความรู้ตา่ งๆ เพ่มิ เติม เพอื่ ให้เกดิ ความเข้าใจในขอ้ จำกดั ของเดก็ และมีทักษะเบอ้ื งต้นในการช่วยเหลือดา้ นการเรียนรู้ สำหรับเด็ก คอยประคบั ประคองเสริมสร้างกำลงั ใจ ค้นหาจดุ เด่นในดา้ นอ่นื ๆ เพ่ือพฒั นาชดเชย ในจดุ ท่บี กพร่อง และเขา้ ใจจุดม่งุ หมายของการรกั ษาเพอื่ ให้เดก็ มีโอกาสในการเรยี นรู้เตม็ ตาม ศกั ยภาพทม่ี ี
23 การชว่ ยเหลือ เด็กแอลดี - การช่วยเหลือด้านจิตใจ มีจุดมุ่งหมายเพอ่ื ให้เด็กเข้าใจตนเอง มกี ำลังใจในการเรียนรู้ตอ่ ไป และมคี วามภาคภมู ิใจ ร่วมกับการเสริมสรา้ งทักษะการแก้ไขปญั หา การควบคมุ ตนเอง และการ จดั การอารมณ์อย่างเหมาะสม สรา้ งกำลงั ใจ โดยช่วยใหเ้ ด็กเข้าใจในศักยภาพของตนเอง และมี ความเขา้ ใจในเรอ่ื งแอลดี รูว้ า่ ตนเองยังเป็นคนท่ีมคี วามสามารถ สามารถเรียนรู้ตอ่ ไปได้ แตด่ ว้ ย วิธกี ารเรียนรู้อ่ืนทอ่ี าจแตกตา่ งจากเพอื่ น มีเวลาให้เด็กซกั ถามและระบายความคบั ข้องใจต่างๆ สรา้ งความภาคภูมิใจ โดยการเปดิ โอกาสให้เดก็ ไดฝ้ ึกฝน และแสดงความสามารถในด้านต่างๆ ที่ หลากหลาย เช่น เลน่ กฬี า วาดรปู ร้องเพลง เต้น เลน่ ดนตรี ทำขนม ทำอาหาร แก้ปญั หาเชาวน์ ฯลฯ โดยเรม่ิ ต้นตามความสนใจของเด็กกอ่ น ฝึกให้เด็กทำกจิ กรรมเลก็ ๆนอ้ ยๆ จนสำเรจ็ ได้ด้วย ตนเอง ชนื่ ชมและให้คำชมเชยเป็นระยะในความสามารถด้านทเ่ี ด็กมกี ารพัฒนาขนึ้ และท่ีสำคญั คอื พอ่ แมต่ อ้ งมคี วามภูมใิ จและเหน็ คุณค่าในตัวเดก็ ด้วย
24 การชว่ ยเหลือ เด็กแอลดี - การชว่ ยเหลือดา้ นการเรียน ควรมีการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP- Individualized Education Program) เนอ่ื งจากสภาพปัญหา และวิธีการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน ในการจดั ทำแผนต้องอาศัยความรว่ มมือจากหลายฝ่าย ทงั้ ครู หมอ พอ่ แมร่ ว่ มกันกำหนด วตั ถุประสงค์ กลวิธี การประเมิน และบริการพิเศษที่ควรไดร้ บั นอกจากน้ีในการให้ความ ชว่ ยเหลอื ดา้ นการศกึ ษา ได้แก่ ฝึกฝนการอ่านหนงั สือ ฝกึ การสะกดทกุ วัน โดยเร่มิ จากพนื้ ฐานท่ี เด็กสามารถทำได้ ย่อยบทเรยี นให้ละเอียดขนึ้ ครูช่วยทำจัดทำแผนการเรียนรู้รายบุคคล เป็นต้น - การใช้สอ่ื อุปกรณ์ สิ่งอำนวยประโยชน์ อุปกรณ์ สอื่ การสอน และสิง่ อำนวยประโยชน์ตา่ ง ๆ ควรเน้นให้ใช้ประสาทสมั ผัสทงั้ 5 และมกี ารทบทวนการเรียนด้วยวธิ ีการใหม่ ๆ แทนการทำ แบบฝึกหัดซำ้ ๆ เด็กท่ีมปี ญั หาด้านการอา่ นอาจใช้เคร่ืองอัดเสียงชว่ ย ปญั หาดา้ นการเขียนอาจใช้ เคร่อื งคอมพิวเตอรห์ รือแทบเลตพมิ พ์ ปัญหาด้านคำนวณอาจใชเ้ ครอื่ งคดิ เลขชว่ ย ใช้สอ่ื การสอน หรอื เทคโนโลยชี ่วย เช่น ให้เวลาสอบเพ่มิ ขน้ึ ครชู ว่ ยอ่านคำถามหรอื ข้อสอบให้เด็ก นอกจากนใ้ี น ปจั จุบนั ยังมีการพฒั นาเทคโนโลยี สิง่ อำนวยความสะดวกสำหรบั เด็กแอลดีในรปู แบบโปรแกรม ตา่ ง ๆ โดย NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center หรือ เนคเทค (ศูนย์เทคโนโลยอี เิ ลก็ ทรอนิกสแ์ ละคอมพิวเตอรแ์ หง่ ชาติ) เป็นองคก์ รวิจัยทีด่ ำเนนิ การ รว่ มกบั หนว่ ยงานพธั มิตรในการสรา้ งเทคโนโลยีอิเลก็ ทรอนกิ ส์และคอมพวิ เตอรข์ น้ั สูง เพื่อสร้าง คุณค่าทางเศรษฐกิจและสงั คม
25 ผลกระทบ จากความบกพร่องทางการเรยี นรู้ เด็กที่เป็นแอลดี เมื่อโตขึ้นสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนปกติทั่วไป ถ้าได้รับการดูแลรักษา อย่างเหมาะสม สามารถเข้าสังคมกับเพื่อนได้ ประกอบอาชีพได้เหมือนทั่วไป บางคนอาจมี ความยากลำบากในทกั ษะบางด้านอยู่บ้าง เชน่ การอ่าน การเขียน หรือคณติ ศาสตร์ เป็นตน้ เดก็ ท่ีไมไ่ ดร้ ับการดแู ลรักษามกั ไมป่ ระสบความสำเร็จในด้านการเรยี น ไมค่ ่อยได้รับ คำชม มักสูญเสียความภาคภูมิใจ จึงหันไปเอาดีในด้านอื่นทดแทน ถ้าเด็กมีทักษะดีในด้าน ดนตรี กฬี า หรอื ศลิ ปะ ก็อาจไดร้ บั การยอมรับ แต่ถา้ ทักษะเหลา่ น้ีก็ไม่ดพี อ ไม่มีทางเลือกอ่ืนท่ี สร้างสรรค์ เด็กก็อาจหันไปหาจุดเด่นในทางลบแทน เช่น ฝ่าฝืนกฎ ระเบียบ หนีเรียน ชกต่อย ตีกนั ตดิ เกม ตดิ สารเสพตดิ ฯลฯ
26 ผลกระทบจากความบกพร่องทางการเรียนรู้ มดี ังน้ี (1) เด็กมีภาพลบต่อตนเองมองว่าตนเองแตกตา่ งจากเพื่อน เรยี นไมไ่ ด้ เปน็ คนโง่ มปี มด้อย (2) ปัญหาความสมั พนั ธ์ภายในครอบครัว เน่อื งจากพอ่ แม่ไมเ่ ขา้ ใจในขอ้ จำกดั ของเด็ก มคี วามคาดหวังว่าเดก็ น่าจะเรยี นหนังสอื ได้ แต่เม่อื เด็กมีปญั หาการอ่าน การเขยี น ทำการบา้ นไมเ่ สรจ็ ผลสอบไม่ดี ก็ยง่ิ ทำใหพ้ อ่ แม่ตำหนิ กดดนั และเคี่ยวเข็ญเพม่ิ ข้ึน ผลท่ตี ามมาคือ เด็กดือ้ ตอ่ ตา้ น เกเร ไมอ่ ยากไปโรงเรียน และหนเี รยี น (3) ปัญหาความสมั พันธก์ บั ครู เนอื่ งจากครไู ม่เขา้ ใจในขอ้ จำกดั ของเดก็ สอนและสอบด้วย วธิ ีการปกติ เมอ่ื เด็กทำงานไม่เสร็จ มีผลการเรียนไม่ดี ก็ย่ิงทำให้ครตู ำหนิ กดดัน และ เค่ียวเข็ญเพ่มิ ข้นึ ผลท่ตี ามมาคือ เดก็ ปล่อยปละละเลย ไมส่ นใจเรยี น หนีเรยี น และถูก ออกจากระบบโรงเรียนเร็วกว่ากำหนด (4) ปัญหาความสมั พันธก์ บั เพือ่ น เด็กมักถกู เพื่อนลอ้ เลียนในเรอื่ งการเรียน ทำใหอ้ บั อาย เสียความม่ันใจ หรอื หันไปหาจดุ เด่นในทางลบแทน เชน่ แกล้งเพื่อน ชกต่อย ตกี นั ฯลฯ ทำใหไ้ ม่ได้รบั การยอมรับจากเพือ่ นเพ่ิมข้นึ เดก็ อาจตอ้ งใช้เวลาทำงานนานกวา่ เพ่อื น หรอื เรียนซอ่ มเสริมเพ่มิ ข้นึ ทำใหไ้ ม่มเี วลาพกั เล่นกับเพ่อื นด้วย (5) ขาดความรู้และทักษะ เนื่องจากอุปสรรคในการเรยี นรู้ ทำให้เดก็ ขาดความรแู้ ละทักษะทค่ี วรไดร้ บั ตามวยั ตอ้ งเขา้ สู่ระบบงานเม่ืออายนุ อ้ ย ทำงานในระดับใช้แรงงานมากขน้ึ ความเสย่ี งตอ่ ปญั หาสรุ าและสารเสพติดไดง้ า่ ย
27 ตัวอย่างผลกระทบจากความบกพร่องทางการเรยี นรู้ การอ่านที่เห็นภาพตัวเลข 6 เป็น 9 หรือตัว D เป็นตัว P กลับกัน โดยเฉพาะ ภาษาอังกฤษ เป็นการบกพร่องทางการอา่ น มีผลกระทบกบั ชวี ิตประจำวันมาก เช่น การรับ เช็คมาหรอื เขียนเชค็ ผดิ พลาด แตห่ ากเปน็ เดก็ เลก็ ทเี่ ขามักมองภาพกลับ ผู้ปกครองอาจไม่ได้ สังเกตวา่ เขามปี ญั หาเรื่องนจ้ี นกระทงั่ 8 ขวบขึน้ ไป
28 การปอ้ งกันความบกพร่องทางการเรียนรู้ ความบกพร่องทางการเรยี นรใู้ นเด็กอาจปอ้ งกันไดต้ งั้ แตล่ กู นอ้ ยอยูใ่ นครรภม์ ารดา หากรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ควรไปฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติ ระหวา่ งต้ังครรภ์ นอกจากน้ัน การให้การดูแลเอาใจใสอ่ ยา่ งเหมาะสมต้ังแต่ชว่ งวัยทารกและ วยั เดก็ ตอนต้นก็เปน็ อีกวิธีทอี่ าจช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเดก็ ใหส้ มบรู ณ์
29 คณุ พ่อคณุ แมส่ ามารถช่วยเหลือ เด็กแอลดีได้อยา่ งไร นคี่ อื ตัวอยา่ งการช่วยเหลอื ทคี่ รอบครัวหนง่ึ ทำเมอื่ สงสยั วา่ ลกู เป็นแอลดี “เมื่อก่อนไมร่ ู้ พอครู ทกั วา่ ลูกอาจจะเปน็ แอลดี เราก็พาลูกไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็น เราก็ตกใจ แตก่ ค็ ดิ วา่ ลกู ไม่เป็นไร มาก หนา้ ตาเขาก็ปกติ เขากท็ ำอะไรไดท้ กุ อย่าง หลังจากนนั้ กใ็ ห้อ่านทกุ วนั อ่านตลอด อธบิ ายใหค้ น ในบ้านเข้าใจวา่ ลกู อ่านไม่ออก อา่ นผดิ ให้ช่วยกนั บอก สอนลูก ให้พอ่ พาไปออกกำลังกาย ทำกจิ กรรม ร่วมกันในครอบครัว แม่จะพาลูกออกไปเที่ยวนอกบา้ นและบอกใหค้ นอ่ืนเข้าใจว่าลกู เป็นอะไร คนขา้ ง บ้านจะเขา้ ใจและช่วยสอนลกู บอกกบั ลกู เสมอว่า หนูไม่ไดโ้ ง่ ถา้ หนูพยายาม หนูจะอา่ นได้” สิ่งท่ีคุณพ่อคุณแมช่ ่วยเหลอื ในเบื้องตน้ เมอื่ พบวา่ ลกู เป็นแอลดี คอื - อยา่ หลีกเลี่ยงปัญหา - ศกึ ษา หาความรูเ้ ร่ืองแอลดี - ปรึกษาคนในครอบครัว ครู หรอื ผู้รู้ - ลดความคาดหวงั ควรแสดงความหว่ งใย และใหก้ ำลังใจเด็ก
30 คุณพอ่ คณุ แม่สามารถช่วยเหลือ เด็กแอลดีได้อยา่ งไร นอกจากนก้ี ารช่วยเหลอื ในเบ้อื งตน้ ดว้ ยวธิ ีดงั กลา่ ว คณุ พ่อคณุ แม่สามารถชว่ ยเหลอื เดก็ แอลดี ดว้ ยการช่วยเหลอื ดา้ นจติ ใจ การชว่ ยเหลือในชีวติ ประจำวัน และการชว่ ยเหลือด้านการเรียน การชว่ ยเหลือด้านจิตใจและการสร้างความภาคภมู ิใจในตนเองให้เดก็ มดี ังน้ี - ใหก้ ำลงั ใจเดก็ เสมอ - อยา่ ลืมใหค้ ำชมเมอ่ื ลกู ทำดี แตถ่ ึงทำไดไ้ ม่สำเร็จก็ให้คำชมไดเ้ ชน่ กัน “เก่งมาก วนั นหี้ นูพยายาม ทำการบ้านได้นานขนึ้ ” - อยา่ เปรยี บเทียบเดก็ กบั พ่ีน้องหรือเดก็ คนอ่นื - มอบหมายงานตามความสามารถของเด็ก เมื่อเดก็ ทำไดใ้ ห้รางวลั หรอื ให้กำลงั ใจ จากนน้ั คอ่ ย ๆ เพ่ิมงานที่ยากขึ้นทลี ะนิด - ส่งเสริมความสามารถที่เป็นจดุ เดน่ เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ งานฝีมอื เป็นต้น - เปิดโอกาสให้เด็กแสดงความคิดเหน็ แก้ปัญหาดว้ ยตนเอง ใหค้ วามชว่ ยเหลือเม่ือเดก็ ต้องการ - เน้นการให้รางวัลมากกว่าการลงโทษเดก็
31 คณุ พ่อคณุ แม่สามารถช่วยเหลือ เด็กแอลดีได้อย่างไร การชว่ ยเหลือในชวี ติ ประจำวนั มีดงั นี้ - พอ่ แม่สามารถช่วยลกู ได้ โดยการฝกึ ให้ลูกได้เรียนผ่านประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น การบวกเลขทะเบียนรถ การเขียนบันทกึ ประจำวนั ง่าย ๆ - ให้ลกู ชว่ ยเหลอื ทำงานบ้าน เช่น การกวาดบ้าน ถบู า้ น ซกั ผ้า จะช่วยพฒั นากล้ามเนื้อมัดเลก็ กลา้ มเนื้อมัดใหญ่ และการทำงานประสานกันระหว่างมือกบั ตา จะชว่ ยใหเ้ ดก็ มีความคล่องแคล่ว เวลาจับดินสอ หรือระบายสี และมีความคล่องแคล่วในการทำกจิ กรรมอ่นื ๆ ดว้ ย - ส่งเสริมการเลน่ ท่นี ำไปส่กู ารออกกำลังกาย เช่น แบตมินตัน ว่ายน้ำ เป็นตน้ การออกกำลงั กาย จะทำให้เดก็ เกิดความคล่องแคล่ว เป็นการปลดปล่อยพลังงานในทางทสี่ ร้างสรรค์ - ลดเวลาในการเล่นเกมหรือดูทวี ี เพอ่ื ให้เดก็ ได้มสี มาธิ จดจ่ออยูก่ บั งานทท่ี ำมากกวา่
32 คุณพ่อคุณแมส่ ามารถชว่ ยเหลือ เด็กแอลดีได้อย่างไร การชว่ ยเหลอื ด้านการเรียน การช่วยเหลือด้านการเรียนท่บี ้าน คณุ พ่อคณุ แมส่ ามารถชว่ ยเหลอื เดก็ ไดด้ งั น้ี (วนิ ัดดา ปิยะศิลป์, มปพ.) - ฝึกอ่านหนังสอื เขียน คำนวณเลขทุกวัน โดยไม่จำเป็นว่าจะตอ้ งเป็นหนังสือเรยี น อาจจะใช้นิทาน เร่มิ สอนจากง่ายไปยาก เร่ิมจากระดบั ที่เดก็ ทำไดแ้ ลว้ ค่อยเพ่มิ ความยากขนึ้ ทลี ะน้อย ฝึกทั้งทบ่ี า้ น และทโ่ี รงเรยี น เชน่ เด็กทเี่ รียนอยู่ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 แตอ่ า่ นหนังสือได้ทรี่ ะดบั ชั้น ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 จงึ ต้องใหเ้ ด็กฝกึ อา่ นและเขียนทีร่ ะดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใชเ้ คร่อื งมือ ฝกึ เช่น บตั รคำ บทเพลง VCD ฝึกสอน เป็นตน้ - เน้นการฝกึ ปบบผสมผสาน เช่น อ่านออกเสียงและเหน็ ภาพ ฟงั เสียงและเหน็ ตวั หนงั สอื อ่าน หนงั สือไปพรอ้ มกับการเขยี น
33 คุณพ่อคณุ แมส่ ามารถช่วยเหลือ เด็กแอลดีได้อยา่ งไร การชว่ ยเหลอื ดา้ นการเรียน การช่วยเหลอื ดา้ นการเรียนท่บี า้ น คณุ พอ่ คุณแมส่ ามารถช่วยเหลอื เด็กได้ดงั น้ี (วินัดดา ปยิ ะศิลป์, มปพ.) - ชว่ ยทบทวนบทเรียนและเตรียมบทเรียนทเ่ี ด็กจะตอ้ งเรยี นรู้ในวนั ต่อไป เชน่ เดก็ เรียนอยใู่ น ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 จงึ ตอ้ งทบทวนความรู้ โดยเนน้ ความเข้าใจในเนอื้ หาโดยรวม ในกรณี ทเ่ี ดก็ อ่านหนังสอื ไม่ได้ ควรใหพ้ อ่ แมอ่ ่านใหฟ้ ังและพูดคุย สอบถามการสรุปใจความ จับประเด็น ทีส่ ำคญั ของระดับช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 เพอ่ื ทเ่ี ด็กจะไดม้ ีความรู้มากพอในการนำไปเรียนตอ่ ใน ระดับชน้ั ต่อ ๆ ไป - ฝกึ ระบบการฟงั และความไวในการฟงั เชน่ ฝกึ ร้องคาราโอเกะ ฝึกใหฟ้ ังและจับใจความ เชน่ เลา่ นิทานให้ฟงั แลว้ ให้เด็กสรุปเร่ืองราว ให้เดก็ เล่าเรื่องหรอื เล่าเหตุการณ์ทเ่ี ดก็ สนใจทุกวนั เอาผ้า ผูกตาและใหแ้ ยกแยะเสยี งที่ดงั อย่รู อบ ๆ ตวั วา่ ได้ยนิ เสียงอะไรบ้าง - ฝกึ ระบบการเหน็ และการใช้สายตา เช่อื มโยงกับการใช้มอื และเท้า เชน่ การโยน-รับลูกบอล การ เตะลูกบอล การกระโดดเชือกพรอ้ มกับการนับจำนวนคร้ัง
34 คณุ พ่อคุณแม่สามารถชว่ ยเหลือ เด็กแอลดีได้อยา่ งไร การชว่ ยเหลอื ดา้ นการเรียน การช่วยเหลอื ด้านการเรียนทบ่ี ้าน คณุ พ่อคุณแม่สามารถช่วยเหลอื เดก็ ไดด้ งั นี้ (วนิ ัดดา ปยิ ะศิลป์, มปพ.) - ฝึกใหค้ ิดวิเคราะห์สิง่ ต่าง ๆ ที่รบั รู้ ให้เด็กหดั แกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง หัดให้เดก็ วางแผนการทำงาน ฝึกใหเ้ ผชิญกับปญั หาหลากหลายรปู แบบ - แลกเปลีย่ นเรียนรกู้ ับผูป้ กครอง ถงึ แนวทางการแกป้ ัญหาจากหลาย ๆ คน - ชว่ ยทบทวน และสอนการบา้ น โดยพอ่ แม่หรอื ครูสอนพิเศษ - ช่วยอ่านหนงั สือเรียน/นทิ าน/นิยายท่ีเด็กสนใจ อดั ใส่เทปหรอื MP 3 เพื่อช่วยใหเ้ ดก็ สามารถ เรยี นรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง - จดั หาส่อื การสอนท่ีอยใู่ นรูปแบบท่ีมีภาพและเสียง (DVD, VDO) เช่น ระบบสรุ ิยะจกั รวาล การ ละลายของน้ำแขง็ ที่ขวั้ โลก เปน็ ต้น เพอื่ ชว่ ยใหเ้ ด็กสามารถเรยี นรู้ได้ดว้ ยตนเอง - ฝึกพมิ พ์งาน โดยใช้คอมพิวเตอร์ เน่ืองจากคอมพิวเตอรม์ รี ะบบแกค้ ำผดิ - ประสานงานดา้ นการเรียนกบั ครูและเพื่อนของลูก ๆ
35 เทคนคิ การสอนเดก็ ท่ีมีความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ หรือ เดก็ แอลดี เทคนคิ เบื้องต้นในการสอนเด็กแอลดี มดี งั น้ี 1) การสอนโดยใช้วิธีเชื่อมโยงสิ่งที่เด็กได้เคยเรียนรู้หรือมีประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน เข้ากบั ส่งิ ที่ต้องการที่จะสอนเด็ก เชน่ การสอนให้เขียนสระอาโดยใหเ้ ด็กนึกถงึ ภาพไม้เท้า หรอื การสอนเขยี นเลข 8 โดยให้นึกถงึ ไข่ 2 ฟอง มาเรยี งซ้อนตอ่ กนั ข้างบน 2) การสอนโดยใช้วิธกี ารเรียนร้ผู ่านประสาทสัมผัสทัง้ ส่ี ได้แก่ การฟงั การมองเห็น การสัมผสั และการเคลือ่ นไหว 1. การสอนจากการฟงั o การอา่ นเนอื้ หาหรือเร่อื งให้เดก็ ฟงั เชน่ การอัดเสียงของเน้อื หาในบทเรียนหรอื เนอื้ หาในหนังสือที่เดก็ สนใจแต่เดก็ อา่ นไม่คล่อง (เลยทำใหไ้ ม่อย่าอา่ นหนงั สือ) ลงในแถบบนั ทึกเทป หรอื ซีดี แลว้ เปดิ ให้เด็กฟงั บ่อย ๆ ในเวลาวา่ ง เช่น ตอนที่ รอพอ่ แมม่ ารับกอ่ นกลับบ้าน o การฟังเทปเพลงทแ่ี ต่งขนึ้ เพื่อการเรียนการสอนโดยเฉพาะ เพราะเน้ือหาเหล่านี้ จะทำใหเ้ ดก็ สามารถจำได้มากข้ึน เชน่ เพลงทส่ี อนเก่ียวกับตวั อักษร o การให้เดก็ มีประสบการณ์ในการเรียนรกู้ ารแยกแยะเสียงท่ีใกลเ้ คยี งกัน เช่น เสยี งกรงิ่ ประตูหน้าบ้าน กับเสียงกริง่ รถขายไอศกรีม
36 2. การสอนจากการมองเห็น o การมภี าพหรอื ของจรงิ ใหเ้ ด็กดู เชน่ มีรูปภาพประกอบในประโยค ยกตวั อยา่ ง คำว่า ไก่ อาจจะมรี ปู ไกแ่ ทน และเม่อื เดก็ อา่ นคลอ่ ง จากรปู ภาพกป็ รับเปลีย่ น เขยี นคำวา่ “ไก”่ พร้อมกับรูปไก่ จนเมื่อเด็กอ่านคำน้นั ได้คล่อง จึงค่อยลบภาพ ไกอ่ อกเหลอื แตเ่ ป็นคำว่า “ไก”่ เพยี งอย่างเดยี ว o การใชส้ แี บ่งส่วนของอักษร เชน่ บ บรเิ วณหัวใหเ้ ขียนสีแดง แต่บริเวณเส้นให้ เขียนสนี ำ้ เงิน เพอื่ ใหเ้ ด็กเหน็ ไดช้ ัดเจนวา่ หัวออกหรือหวั เข้า o การใชส้ ีเนน้ สิ่งที่เราต้องการใหเ้ ดก็ เรยี นรู้และจดจำ เชน่ การใช้สเี ขา้ มาช่วยจำ ในเรอื่ งเครอื่ งหมายทางคณิตศาสตร์ เชน่ สเี ขยี ว หมายถงึ เครอ่ื งหมายบวก (+) สีแดง หมายถึง เครื่องหมายลบ (-) และสนี ำ้ เงนิ หมายถงึ เครือ่ งหมายคณู (x) ตวั อย่าง 2 + 3 = 5 โดยเมื่อเดก็ เหน็ สเี ขยี วก็จะร้วู ่าเป็นวธิ บี วก o การจำรปู ทรงของคำ เพราะในบางครั้งเดก็ จะจดจำตัวอกั ษรไมไ่ ด้ จงึ อาจจะใช้ สหี รอื ปากกาขดี ล้อมรอบคำนั้น ใหเ้ หน็ เป็นรปู ร่างคลา้ ยทรงเรขาคณิตตา่ ง ๆ และใหเ้ ด็กจดจำรปู ร่างน้ันแทนคำ บ้าน พระจนั ทร์ ไข่
37 3. การสอนจากการสมั ผัส o การลากเส้นตวั อกั ษรบนแผน่ หลัง/ฝ่ามอื ของเด็ก วธิ นี ้ีเป็นการเรียนรูผ้ ่าน ผา่ นประสาทสัมผัสทางผิวหนงั การสอนวธิ นี ีเ้ ปรียบเสมอื นเปน็ การเขียนภาพ ในสมองนนั่ เอง o การเขียนบนกระดาษทราย (กระบะทราย) o การทายตัวอักษรหรือคำจากการคลำโดยไมใ่ หเ้ ห็น หรอื การอ่านตัวอักษรผา่ น ทางประสาทสัมผัสทางผิวหนังโดยการคลำ เชน่ หนงั สอื ก.ไก่ แทนทเี่ ด็กจะใช้ สายตามองแลว้ อา่ นพยญั ชนะทีละตัวแต่ปรับตวั พยญั ชนะใหน้ ูนสงู โดยใช้ กระดาษทรายตัดเปน็ อกั ษรแทน หรือตัวพยญั ชนะพลาสติกแลว้ ให้เด็กอา่ น โดยผา่ นการคลำ (ใหเ้ ดก็ ปดิ ตา) o การสอนโดยใชเ้ ชอื กมาขด หรอื การนำเมลด็ ถว่ั มาเรียงเปน็ ตวั อักษร หรอื ป้ัน ดินนำ้ มันเป็นตัวอักษร o การสอนโดยใชห้ ลาย ๆ วิธีรวมกนั เชน่ สอนเรอื่ งนาฬกิ า โดยใช้นาฬิกาทีม่ ีหนู ว่ิงร่วมในการสอน เร่อื ง การเดนิ ของเขม็ นาฬกิ าร่วมกับการร้องเพลง หรือ การสอนโดนครูใหด้ ูรปู ใบไม้ และให้เพ่ือนเขียนตัวอกั ษร “บ” บนแผ่นหลังของ เดก็ แลว้ ให้เดก็ เขยี นบนกระบะทรายและใหเ้ ดก็ พูดวา่ บ.ใบไม้
38 4. การสอนจากการเคลือ่ นไหว o การสอนใหเ้ ด็กทำท่าทางประกอบเลียนแบบตวั อกั ษร เพ่อื ให้เด็กจดจำคำ หรอื ตัวอกั ษรนนั้ ไดแ้ มน่ ย่งิ ข้ึน o การใบ้โดยใชท้ ่าทาง นอกจากจะเปน็ การเรียนร้ทู ี่ดที ีส่ ดุ แล้ววิธีน้จี ะทำให้เด็ก จดจำคำตา่ ง ๆ ได้ดยี ่งิ ขึ้นอกี ด้วย o การทำท่าประกอบเพอ่ื ชว่ ยในการจำ ซ่งึ ทา่ ทางจะสอดคลอ้ งกับเนื้อหาทีเ่ ด็ก เรียนรู้เพ่อื สอนคณิตศาสตร์การบวก การลบ o การเลน่ เกมหรอื กิจกรรมเคลอ่ื นไหว เพ่ือสอนคณิตศาสตร์ การบวก การลบ เช่น เกมรวมเหรยี ญ หมากเกบ็ ตะเกียบ กระโดดยาง เปน็ ตน้ o การใหเ้ ด็กกระโดดเหยยี บตัวอักษร วิธกี ารนีด้ ป็นการใชเ้ ทคนคิ ในการจำและ การเคลอื่ นไหวร่วมกนั
39 3) การสอนโดยการใชเ้ ทคนิคการจำ • การจำอักษรต้นตัวแรกของคำ วิธีนี้จะทำโดยการให้เด็กจำตัวอักษรจากคำขึ้นต้น เช่น โทรศัพทร์ วมการเฉพาะกจิ แห่งประเทศไทย ย่อเป็น ทรท • การแตง่ เปน็ เรอ่ื งหรอื กลอน • การเช่ือมโยงกบั สงิ่ ทีเ่ คยเรยี นรูม้ าก่อน 4) การสอนโดยใชเ้ ทคนคิ ในการสร้างกระบวนการคิด • แผนผังการคดิ (mind mapping) • การเรยี งรปู ภาพตามลำดบั เหตุการณส์ ำคญั ของเร่อื ง • การสรา้ งสถานการณ์สมมติ โดยมเี วทใี หเ้ ดก็ แสดงบทบาทสมมติ • การเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กพูดแสดงความคดิ เห็น
40 5) การให้ตัวเสรมิ แรง การชมเชย การใหร้ างวัล การใหแ้ ต้มหรอื ดาว • เพือ่ สร้างความภาคภูมใิ จ และเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียน รวมถึงแสดงให้เด็กรับรู้ ได้ถึงความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง เช่น ทำการบ้านเสร็จ 10 ข้อ ได้ 1 ดาว เมื่อสะสมครบ 10 ดาว กซ็ ้ือของเลน่ ทเี่ ด็กต้องการให้ 1 ชิ้น 6) สังเกตลกั ษณะการเรียนรขู้ องเด็กแตล่ ะคนและสง่ เสรมิ ให้ถูกทาง เช่น บางคนเรยี นรู้ได้ดี ดว้ ยการลงมอื ทำ บางคนตอ้ งเหน็ และลงมือทำพรอ้ ม ๆ กัน บางคนตอ้ งทง้ั เหน็ และฟัง 7) การคน้ หาคณุ สมบตั ทิ ีด่ ีในตวั ของลกู เชน่ มีคสามพยายามต้งั ใจจริง ขยัน อดทน รบั ผิดชอบ มมี ารยาท เปน็ ทร่ี กั ของเพ่อื น ร้องเพลงเพราะ วาดรปู เก่ง เล่นดนตรีหรอื เล่น กฬี าเก่ง ทำกับข้าวได้ รกั สัตว์ มีความสามารถในการซ่อมแซม เปน็ ตน้
41 หลักการสอนเสริม ดา้ นภาษา ดา้ นการรับร้แู ละความเข้าใจภาษา การฟงั หลักการ คือ ฝึกให้ลูกแยกเสียงต่าง ๆ จากการฟังเพียงอย่างเดียว ฝึกสมาธิในการฟงั และฝกึ จบั ใจความจากการฟงั (1) เปดิ เทปที่เป็นเสียงหลาย ๆ ชนดิ ให้ลูกยกมือเมื่อได้ยนิ เสยี งทีก่ ำหนด (2) อา่ นนิทานสน้ั ๆ ใหฟ้ งั และบอกใหล้ ูกยกมือข้นึ ถ้าได้ยนิ บางคำ (3) เลน่ เกมฝึกทายเสียงพยัญชนะ เชน่ - หาคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะที่ต่างกันเป็นคู่ ๆ ให้เด็กบอกว่าสองคำน้ี ข้ึนต้นด้วยเสียงเหมอื นหรือตา่ งกัน เช่น ไมเ่ หมือนกัน ไมเ่ หมอื นกนั เหมอื นกนั
42 ด้านภาษา (ต่อ) ด้านการรบั รู้และความเข้าใจภาษา การฟงั (ตอ่ ) - ใหล้ กู บอกตวั พยญั ชนะตน้ ของคำทผี่ ู้ปกครองพดู เชน่ ไม้ (ตอบว่า ม.มา้ ) - พดู คำหลายคำทมี่ ีตวั พยัญชนะเหมือนกนั แล้วมีคำท่แี ตกต่างกันหนึ่งคำ ถาม ให้ลกู บอกคำที่ขน้ึ ต้นดว้ ยพยัญชนะตา่ งกนั เช่น แสง ใส สรอ้ ย โซ่ (ตอบว่า โซ่) ตอบว่า (4) ฝึกสมาธิจากการฟัง และฝึกเสยี งคำในชวี ิตประจำวนั โดยผูป้ กครองอ่านคำเก่ียวกับ สิง่ ของต่าง ๆ แล้วแจ้งใหเ้ ดก็ วงกลมให้ตรงคำนน้ั เช่น
43 ดา้ นภาษา (ตอ่ ) ดา้ นการรบั รู้และความเขา้ ใจภาษา การฟัง (ตอ่ ) (5) เล่มเกมจับคเู่ สียงทีไ่ ด้ยินกับตัวเขียนไม่มรี ปู ภาพประกอบ โดยใหค้ ุณพ่อคุณแม่ เลอื กคำทอี่ อกเสยี งคล้ายกนั 3 – 4 คำ เขียนใสก่ ระดาษแลว้ เลอื กอ่าน 1 คำ ให้ลกู วงกลม คำทคี่ ณุ พ่อคุณแม่อา่ น เชน่ 1 ยาง กาง วาง ปาง 2 เลอ่ื น เปือ้ น เบือน เตอื น 3 เกลอ เรอ เจอ เผลอ (6) เพื่อพัฒนาความเข้าใจจากการฟัง ผู้ปกครองอ่านนิทานให้ฟังแล้วถามคำถาม เกีย่ วกับเรื่องทเ่ี ลา่ ซ่ึงต้องการรายละเอยี ดจากลูก (7) บอกใหล้ กู ทำตามคำสั่งโดยเริ่มด้วย คำสงั่ งา่ ย ๆ คำส่ังเดยี ว แลว้ จงึ เร่ิมคำส่ังให้ยาว ขน้ึ เชน่ บอกวา่ “ลกุ ขนึ้ หมนุ ไปรอบ ๆ ปดิ ประตู” ฯลฯ (8) ใหค้ ำส่งั ท่ีเรียงเปน็ ชุดเก่ียวกบั การหาของในบา้ น โดยใหล้ กู ฟงั คำส่งั ท้งั หมดกอ่ นแล้ว จึงไปหาของทตี่ ้องการ (9) พูดตวั เลขหลายตวั ให้ลุกพดู ซ้ำตาม และเพมิ่ ความยากขน้ึ อกี ก็คอื ใหบ้ อกทวนตัวเลข กลับจากทผ่ี ูป้ กครอง เชน่ 1 – 4 พูดทวนเปน็ 4 – 1 (10) บอกคำสามคำ โดยที่สองคำเกี่ยวข้องกัน ถามลูกว่ามีคำอะไรที่เกี่ยวข้องกันสอง อย่างและเกี่ยวกันอย่างไร เช่น ม้า ตน้ ไม้ สุนัข (ม้าและสนุ ัขเปน็ สตั ว์สี่ขาเหมอื นกัน) ฯลฯ ส่ิงสำคัญ : ทำทุกอยา่ งใหส้ นุกเหมอื นเล่นเกม เมือ่ ลูกตอบถกู อยา่ ลมื ให้รางวัล และแรงเสรมิ
44 ด้านภาษา (ตอ่ ) ด้านภาษาพูด หลักการเริ่มจากฝึกการออกเสียงแล้วจึงฝึกการใช้คำให้ตรงความหมาย ฝึก การเล่าเรื่องจากสิ่งที่เห็น เริ่มจากประโยคสั้น ๆ นำมาต่อกันเป็นเรื่องราว ฝึกการ สนทนาโตต้ อบ (1) อา่ นนทิ านให้ฟงั และบอกใหล้ ูกแสดงกรยิ าตาม เปน็ สง่ิ ท่เี ลา่ ในเรื่อง เชน่ ตน้ ไม้ ชา้ ง ฯลฯ ทกุ ครั้ง ที่เอย่ ถงึ สิ่งของลูกจะตอ้ งตอบ (2) ใหผ้ ปู้ กครอง ทำท่าทางเปน็ ประโยคหรือเร่ืองราวนัน้ ๆ ให้เดก็ ทายความหมายท่าทางเป็นคำพูด (3) วางของเล่นไว้ตรงหนา้ ลกู ใหล้ กู บอกเล่าเกย่ี วกับส่ิงนั้น กระตุ้นให้ลูกสงั เกตหลาย ๆ อย่าง สี ขนาด ขนาด ฯลฯ (4) เขียนประโยคงา่ ย ๆ บนกระดานกระดาษให้ลูกบอกวา่ คำไหนเปน็ คำที่ แสดงอาการ (5) การร้องเพลงช่วยส่งเสรมิ การพูดและการออกเสียง และยังชว่ ยให้เกิด ความคล้องในการพดู ด้วย (6) ใชโ้ ทรศพั ท์ของเลน่ ให้ลูกร้จู ักการพดู โทรศัพท์ การตอบ การรบั ที่ถกู ตอ้ ง (7) วางสิง่ ของหลายอยา่ งไว้บนโต๊ะ เช่น ลูกบอล ดินสอ หนงั สอื ฯลฯ ผปู้ กครองแต่งประโยคที่บรรยายถึงส่งิ ของอยา่ งหน่งึ ให้เดก็ บอกวา่ เป็น ส่งิ ของอะไร เชน่ ผปู้ กครองพูดว่า “ลูกปิด.....” ฯลฯ
45 ด้านภาษา (ตอ่ ) ด้านการสะกดคา หลักการ ช่วยให้ลูกจำพยัญชนะต่าง ๆ ให้ได้ก่อน แล้วจึงให้ฝึกให้ออกเสียง ตรงกับพยญั ชนะ ฝึกแยกพยัญชนะที่มรี ูปรา่ งคลา้ ยกนั (1) ช่วยลูกฝึกการจดจำพยญั ชนะต่าง ๆ มเี ทคนิคต่างกนั เช่น เขียนพยัญชนะ ตัวที่ต้องการให้ลูกจำได้ลงกลางกระดาษ และเขียนคำต่างลงไปให้ลูกหาพยัญชนะที่ เหมอื นพยญั ชนะตวั อย่างท่ีซอ่ นอย่ใู นคำ (2) ให้ลูกแยกพยัญชนะที่มีรูปร่างคล้ายกันออกจากกัน เช่น ให้ลูกวงกลม พยัญชนะที่เหมือนพยญั ชนะทอ่ี ยู่ในรูปดาว
46 ด้านภาษา (ตอ่ ) ด้านการสะกดคา (ตอ่ ) (3) สอนลูกให้รู้จักเสียงสระต่าง ๆ มีเทคนิคต่าง ๆ เช่น เขียนคำที่ผสมด้วย สระอือ สระอือลดรปู สระอื่น ๆ ทคี่ ลา้ ยสระออื แลว้ ให้ลกู หาคำที่ผสมดว้ ยสระอือ ใช้ หลกั การเดียวกันในการประยกุ ตใ์ ชใ้ นสระอื่น ๆ (4) ให้เด็กลองผสมคำต่าง ๆ โดยเปล่ียนพยญั ชนะหรอื สระ โดยใชอ้ ปุ กรณ์ สีสนั สดใส เพ่อื ดึงความสนใจของเดก็ เช่น บัตรตวั พยัญชนะตัวอักษร พลาสตกิ (5) สอนวธิ ีการผันเสยี งตามวรรณยกุ ต์ เชน่ กา กา่ กา้ กา๊ ก๋า (6) สอนการแบ่งพยางค์ เชน่ หนัง/สือ กระ/ตา่ ย สงั /กะ/สี (7) ฝกึ แยกคำทีม่ ีรูปคลา้ ยกัน หรือเสียงเหมือนกนั เช่น ตามแบบฝึกหัด การอ่านและสะกดคำ
Search