ฮูปแต้มวัดปา่ เลไลย:์ ภาพสะทอ้ นภูมิปัญญาเชิงชา่ งกับการใช้สีครามธรรมชาติ นางสาวชุติมา ภูลวรรณ 6572200014-2 บทนา ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน มนุษย์สร้างสรรค์ศิลปะไว้ในสังคมและวัฒนธรรม เพ่ือ ตอบสนองความต้องการของตนและสังคม ศิลปะ จึงเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึก ความเช่ือ ความคิดของ มนุษย์ ดว้ ยวธิ ีการและรูปแบบท่ีต่างกัน มนุษย์พัฒนาเทคนิควิธีการในการสร้างสรรค์งานศิลปะจนเกดิ “ภาพ สะท้อน”ของความหลากหลายความแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรมซึ่งสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและ เทคโนโลยที ่ีมีอยู่ในสงั คมนัน้ ๆ ภาพท่ี 1 ภาพจิตรกรรมฝาผนังยุคกอ่ นประวตั ิศาสตร์ ทีม่ า : สถาบนั ภาษา ศิลปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร ภาพจติ รกรรมฝาผนงั เปน็ งานศิลปกรรมปรากฏอยู่ตามศาสนาคารเป็นส่วนใหญ่ สีท่ีใช้ในจิตรกรรมใน เปน็ ท้ังศาสตร์และศิลปท์ ่ีมาจากภมู ิปัญญาของช่างหรอื จิตรกรในอดีต ซ่ึงการใชส้ ีเป็นการสะท้อนอัตลักษณ์เชิง ช่างของแต่ละพ้ืนท่ีได้เป็นอย่างดี ปรีดา บุญยรัตน์ (2555) กล่าวถึง วิวัฒนาการของสีในจิตรกรรมไทย ดังน้ี สมัยทวารวดีไม่ปรากฏ พบการใช้สีเขียนลวดลายบนภาชนะหม้อไห เขียนด้วยสีแดงเป็นลวดลายก้นหอย จติ รกรรมสมัยอู่ทอง สุโขทัย เชียงใหม่และกรุงศรีอยุธยาตอนตน้ หรือจิตรกรรมร่วมสมัยกับศิลปะก่อนกรงุ ศรี อยุธยา ได้แก่ ศิลปะอโยธยา ศิลปะแบบลพบุรี ปรากฏลักษณะรว่ มกนั ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 16-19 พบการ ใช้สีจากผนังอาคาร ผนังกรุใต้ดิน ผนังปรางค์และเจดีย์ สถานที่พบจิตรกรรมฝาผนังก่อนกรุงศรีอยุธยา
2 มีปรากฏการณ์ท่ีอยู่ห้องเจดีย์และปรางค์วัดเจดีย์เจ็ดแถว อาเภอศรีสัชนาลัย สมัยสุโขทัย และพบภาพเขียน สมัยลพบุรีหรือลวปุระ ในกรุปรางค์ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี นักประวัติศาสตร์ศิลปะได้สันนิษฐานตาม หลักฐานที่ปรากฏและให้ความเห็นว่า จิตรกรรมของลวปุระคงเป็นแบบเร่ิมต้นของจิตรกรรมสมัยอโยธยา สโุ ขทัยและอยธุ ยาตอนต้น เขียนด้วยสีฝุ่น (TEMPERA) เป็นสีท่ีได้จากธรรมชาติ ได้แก่ สีขาว จากฝุ่นขาวหรือ ปนู ขาว สดี าจากเขม่าหรือถ่านดินหม้อ สีแดงจากดินแดง สีเหลอื งหม่นหรือสนี ้าตาลจากดินเหลือง ในสว่ นของ สีเขียวและสีครามมีปรากฏใช้ในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมสมัยอยุธยา ตอนปลาย ยงั คงมแี บบการใชส้ ใี ห้เหน็ คอ่ นข้างมากในปจั จบุ ัน เช่น ทกี่ รุงเทพฯ ไดแ้ ก่ วัดช่องนนทรี วัดสามเสน ท่ีนนทบุรี ได้แก่ วัดปราสาท,วัดชมพูเวก ท่ีพระนครศรีอยุธยา ไดแ้ ก่ วดั พุทธสวรรค์ ฯลฯ มีการใชส้ ีท่ีค่อนข้าง สดใสและมีหลายสีประกอบกัน เช่น สีเหลืองสด เขียวสด แดงสด และสีคราม โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมบน สมุดข่อยวัดหัวกระบือ กรุงเทพฯ ในรัชกาลที่ 1-2 ภาพจิตรกรรมถอดแบบแผนจากกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นสว่ นมาก นิยมใช้สีท่ีสดใสจากสีหลายสีประกอบกนั เป็นช่างท่ียา้ ยมาจากกรุงศรีอยุธยา จะเห็นได้ทีพ่ ระท่ี นั่งพุทไธสวรรค์ วัดดุสิดาราม วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ รัชกาลท่ี 3 ภาพจิตรกรรมถอดแบบอย่างศิลปะมา จากจีนเขา้ มามอี ิทธพิ ลคอ่ นข้างเด่นชัดทาใหเ้ กดิ การผสมผสานลักษณะรปู แบบผลงานจิตรกรรม แต่ยงั คงความ เปน็ ประเพณีนยิ มไทยที่สืบทอดมา รัชกาลท่ี 4-5 ภาพจิตรกรรมแสดงให้เหน็ ถึงการเปลยี่ นแปลงแบบแผนใหม่ พเิ ศษ ด้วยอทิ ธพิ ลของศิลปะตะวันตก จึงนาเอาวทิ ยาการทางวิทยาศาสตรม์ าใช้ในการเขียนภาพจติ รกรรม ภาพท่ี 2 : พระพทุ ธประวัติ “พระยานาคนนั โทปนนั ท” จติ รกรรมผาผนังในพระที่นัง่ พุทธไธสวรรย์ ถอดแบบ แผนจากกรุงศรอี ยุธยาตอนปลาย มีลกั ษณะการใชส้ ี สดใสประกอบกนั หลายสี ท่มี า จิตรกรรมกรุงรตั นโกสินทร์
3 จากการลงพื้นท่ีภาคสนาม เพื่อศึกษารูปแบบบสถาปัตยกรรมสิมและฮูปแต้มอีสาน ผู้เขียนสนใจภูมิ ปัญญาในการใช้สีธรรมชาติของช่างแต้มที่ปรากฏในอยู่บนจิตรกรรมฝาผนังวัดป่าเลไลย์ บ้านดงบัง อาเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม โดยเฉพาะสีคราม ฐานข้อมูลสถาปัตยกรรมอีสาน ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น กลา่ วถึง จติ รกรรมฝาผนังบนสิมวัดป่าเลไลย์ เขียนโดยนายสิงห์ วงศว์ าด ช่างแต้มจาก บ้านคลองจอก อาเภอพยัฆคภมู ิพสิ ัย จังหวดั มหาสารคาม เนื้อหาภายในเปน็ เร่อื งพุทธประวัติ อดีตพระพทุ ธเจา้ พระมาลัย ส่วนเนื้อหาภายนอกเป็นเรื่องพระลักพระลาม พระเวสสันดรชาดก สอดแทรกด้วยภาพการทอผ้า การฮดสง การทาบุญตกั บาตรและการละเล่นอ่นื ๆ แตเ่ น่อื งจากช่างแตม้ ย้ายไปอยหู่ ม่บู ้านอ่นื จงึ ทาใหจ้ ิตรกรรม ฝาผนงั เขียนไมเ่ สรจ็ ทาให้ผวู้ ิจัยหลายทา่ นท่ีเข้ามาศกึ ษาจิตรกรรมฝาผนงั แหง่ นี้ได้เห็นวธิ กี ารเขียนจติ รกรรมฝา ผนงั หรอื ฮูปแตม้ ได้ชัดเจนในแต่ละขัน้ ตอน บุรินทร์ เปล่งดีสกุล (2554) ศึกษาเร่ืองพฒั นาการจิตรกรรมฝาผนัง อสี าน กรณีศึกษา จังหวดั ขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด พบว่าวัดท่ีมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ สร้างก่อนปี พ.ศ.2500 มี 15 วดั ซึ่งวดั ป่าเลไลย์จดั อยู่ในกลุ่มนด้ี ้วย ภาพจิตรกรรมฝาผนังในช่วงนี้สว่ นใหญ่มี การจัดวางองค์ประกอบอย่างไม่เคร่งครัด เพราะช่างแต้มจะถา่ ยทอดผลงานออกมาอย่างเรียบง่ายตามความ เข้าใจ ศลิ ปะเป็นแบบพนื้ บ้าน สีท่ีใช้เป็นสีจากธรรมชาติ ไดแ้ ก่ สีครามจากตน้ คราม สีเหลืองจากต้นรงค์ สีแดง จากดินแดงผสมยางบง สีน้าตาลจากการนาเขม่าไฟมาบดเป็นผงละเอียด สีดาจากหมึกจีน สีขาวจากการฝน หอยกี้ สีเขยี วจากการผสมสคี รามกับสีเหลือง รณภพ เตชะวงศ์และนงนุช ภู่มาลี (2550) กล่าวถึง การเตรียมสี ของช่างเขียนไทยโบราณนิยมใช้สีท่ีทาข้ึนจากวัตถุทางธรรมชาติและมีวิธีการ เตรียมสีที่พิถีพิถันอย่างยิ่ง กล่าวคอื การนาสีมาบดและตากไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ ถา้ สนี ้นั ไมซ่ ีดจางจึง นาไปเตรียมในขนั้ ตอนต่อไปคือการ บดให้ละเอียดแล้วกรอง เกรอะจนได้เนื้อท่ีสีบริสุทธิ์แล้วผสมกาว ซ่ึงนิยมผสมในกะลาและกวนบดอยู่เสมอ เพ่ือใหไ้ ด้เนื้อสีท่ลี ะเอียดและผลการวิจัยของสุมาลี เอกชน นยิ ม (2546) ที่พบวา่ วัสดุที่ใชใ้ นการทาสีใชเ้ ท่าท่ีมี อยู่ในสมัยนน้ั สีท่ีใช้ได้มาจากวัสดุธรรมชาติและมี อยู่ในท้องถิน่ เป็นส่วนใหญ่ เช่น สแี ดงไดจ้ ากหนิ ชนดิ หนึ่ง สี ครามได้จากตน้ คราม สีดาได้จากเขมา่ กน้ หม้อ สีขาวไดจ้ ากการเผาเปลือกหอย กาวทามาจากกาวยางไม้ ส่วน สเี คมีนาเข้าจากประเทศจีน เช่น สีครามอินดิโกหรือสีครามจีน สอดคล้องกบั เฉลมิ ชัย สวุ รรณวฒั นา (2553) อธบิ ายถึงการใชส้ ธี รรมชาตใิ นจติ รกรรมฝาผนงั จากเดิมใช้สขี าว ดาและแดง ตอ่ มาใช้สีเพิม่ ขนึ้ เรียกว่า “เบญจ รงค์” มี 5 สี ประกอบดว้ ยขาว ดา แดงชาด เหลือง และคราม สามารถแบ่งใหอ้ ยู่ในกลุม่ สีใกลเ้ คยี งกัน (TONE) เป็น 5 หมู่สี ได้แก่ หม่สู ีขาว หมู่สดี า หม่สู ีแดง หมู่สเี หลือง และหมู่สคี ราม สีครามเป็นสีที่ไดม้ าจากธรรมชาติ ดว้ ยการนาเอาตน้ ครามมาตาแลว้ ค้นั เอาน้ามากรองสที เี่ ปน็ สว่ นเนื้อ ท้งิ ไว้ใหแ้ หง้ แลว้ ป่นให้เป็นฝุน่ ผง สคี รามจึง มีชื่อเรยี กตา่ งกันไปตามการตคี วามของช่าง เช่น “สขี าบ”เป็นสีท่ีคลา้ ยกับ “นกตะขาบ” “น้าเงิน” เป็นสที ่เี ห็นจากความรอ้ นของเงนิ ขณะกาลังหลอมละลาย
4 “กรมทา่ ” เปน็ สีผา้ นุง่ ของราชการกรมท่าในสมัยกอ่ น การผสมสีครามกบั สอี ื่นๆของชา่ งมีชือ่ เรยี กดงั ต่อไปนี้ สคี ราม ผสม สีเหลือง เป็น สเี ขยี วใบแค สีคราม ผสม สขี าว เปน็ สีครามอ่อน สีคราม ผสม สดี า เปน็ สีมอคราม สีคราม ผสม สีแดง(แท้) เปน็ สีม่วงหรอื สีลูกหวา้ สุก สคี ราม ผสม สีเหลอื งเจือสขี าวเปน็ สีน้าไหล สคี ราม ผสม สเี หลืองเจอื สดี า เป็น สีไพล สีคราม ผสม สขี าวเจือสีดา เป็น สเี มฆ,สีหมอก สีคราม ผสม สดี าเจือสีขาว เป็น สีผ่านคราม ภาพท่ี 3 ฮปู แต้มวดั ปา่ เลไลย์ ผนงั หลงั พระประธานและดา้ นซ้ายและขวา ภาพที่ 4 ฮปู แตม้ วดั ป่าเลไลย์ ผนังตรงข้ามพระประธานและดา้ นซา้ ยและขวา
5 ในงานเสวนาวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะเนื่องในโอกาส 72 ปี ศาสตราจารย์เกียรตคิ ุณ ดร.สันติ เล็กสุขุม (ราชบัณฑิต) และเสวนาวิชาการเน่ืองในวันภาษาไทยแห่งชาติ “บันทึกไว้ในงานจิตรกรรม” ชวลิต อธปิ ัตยกลุ (2560) กลา่ วถงึ การใชส้ คี รามที่ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มอีสานเป็นส่วนมาก เนื่องจากสอี ่ืนๆใน อีสานหายากกว่าสีคราม ซ่ึงได้มาจากต้นคราม สอดคล้องกับ วุฒินันท์ ส่งเสริม (2562) ศึกษาเร่ืองการสร้าง รูปแบบค่าสีเพ่ือคืนสภาพฮูปแต้ม โดยใช้วิธีดิจิทัล คัลเลอร์ไรเซชั่น วัดป่าเลไลย์ ตาบลดงบัง อาเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม พบว่า การใชส้ ีของฮปู แต้มวัดป่าเลไลย์ จานวน 14 สี คือ สีครามจีน สีครามอ่อน สีคราม หมอ้ สขี าว สีนา้ ตาล สีดา สีเขยี ว สีเทา สีเนอ้ื สเี หลือง สีม่วงออ่ น สีชมพู สนี ้าตาลเข้ม และสนี า้ ตาลพน้ื หลงั ซง่ึ สคี รามมอี ยู่ 3 สี เป็นสีเคมี ได้แก่ สีครามจีน และสีครามอ่อน ส่วนสีครามธรรมชาติ ได้แก่ สีครามหม้อ จาก การใหส้ ัมภาษณ์ของ อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย การผสมสีของช่างแต้มน้ันไม่มีอัตราส่วนท่ีชัดเจน ไม่มี กฎตายตวั ว่าสีผสมนี้ต้องใช้ อัตราส่วนเท่าไหร่ในการผสมข้ึนมา การผสมสีมักเกิดจากประสบการณ์ ความคิด สรา้ งสรรค์หรอื การ ถ่ายทอดจากผูส้ อน ซง่ึ อาจารย์วรี ธรรมนั้นสามารถบอกเปน็ ภาษาพูดได้ เช่น สีเทาเป็นการ เอาสีคราม หมอ้ ไปเจอื กับสขี าว หรอื สชี มพูเป็นการนาสนี าตาลไปเจอื กบั สีขาว ภาพท่ี 5 ฮปู แตม้ วดั ป่าเลไลย์ ผนงั ดา้ นนอก
6 ภาพที่ 6 ฮปู แต้มวดั ปา่ เลไลย์ และการถอดรูปแบบค่าสีเพอ่ื คนื สภาพฮปู แต้ม โดยใชว้ ธิ ีดจิ ิทลั คัลเลอรไ์ รเซชนั่ ทีม่ า : วฒุ นิ นั ท์ สง่ เสริม
7 ลาดบั ท่ี สที ่ีใช้ ลักษณะการวาด 1 ครามจีน ชดุ กางเกง 2 ครามจนี ออ่ น น้า กางเกง ชุด 3 ขาว สีผิวพระพุทธเจ้า สผี ิวพระแมธ่ รณี 4 นา้ ตาล ชา้ ง จีวรพระพุทธเจา้ 5 ดา ตดั เสน้ สีผม 6 เหลือง งู 7 เขยี ว เสือ้ กางเกง กระโปรง ร่ม 8 เทา ชา้ ง จระเข้ 9 เน้อื สีผิวทหาร 10 ม่วงออ่ น สผี ิวยกั ษ์ ไฟ 11 ชมพู เสื้อแมพ่ ระธรณี จีวรพระพุทธเจา้ เสอ้ื 12 น้าตาลเขม้ สีผวิ ทหาร 13 น้าตาลพนื้ หลัง พน้ื หลงั 14 ครามหม้อ ภเู ขา ตารางที่ 1 แสดงสีใชแ้ ละลักษณะการวาดจาก ภาพท่ี 6 ปแตม้ วดั ป่าเลไลย์ ท่พี บสีครามหม้อทีไดจ้ ากธรรมชาติ ทีม่ า : วฒุ ินนั ท์ ส่งเสรมิ สรปุ ช่างแต้มต้องใช้ทักษะหลายอย่างในการแต้มฮูปแต้มด้วยสีจากธรรมชาติ ไม่เพียงแค่แต้มภาพจาก จนิ ตนาการท่มี าจากคติชนของกลุม่ ตนเท่าน้ัน แต่ยงั ตอ้ งใช้ทักษะเชิงช่างเรมิ่ ตั้งแต่การเลือกวัสดุจากธรรมชาติ จากพ้นื ถ่นิ เพ่อื เตรยี มสี ทดสอบสี เตรียมกาว ทดสอบกาว ซ่ึงในแตล่ ะขั้นตอนท่ีกล่าวมาในข้างต้น ชา่ งแตม้ ต้อง ทาอยา่ งพิถีพิถันเพื่อให้สีท่ีแต้มลงบนสมิ มคี วามสวยงามและติดคงทน จากงานภาคสนามผเู้ ขยี นมีความสนใจสี ธรรมชาตทิ ่ีเรยี กว่า “สีครามหม้อ” ซง่ึ หากเปรยี บเทียบกับการยอ้ มผา้ จาก “สีครามธรรมชาติ” ชา่ งย้อมเองก็ ตอ้ งใช้ทกั ษะทซ่ี ับซ้อนไมต่ ่างกนั เร่ิมจากการเลือกพนั ธพุ์ ชื ทีใ่ ห้สีคราม (ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เรียกวา่ ต้นครามเพราะ อาจจะเป็นพืชชนดิ อืน่ ท่ใี ห้สคี ราม) นอกจากน้ันแล้วการเตรยี มกาวของชา่ งแต้มกเ็ หมือนกับการเตรยี มผ้ากบั น้า ย้อมให้สีครามติดสีได้สวยงามและสีติดทนงานข้ึน ต้องใช้การทดสอบทดลอง จนสามารถถ่ายทอดภูมิปัญญา และส่งต่อให้แก่กันได้ สอดคล้องกับ แนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง (2551) กล่าวถึง การศึกษาประวตั ิศาสตร์ศิลปะท่ีเน้นประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม ด้วยการนาข้อมูลแวดล้อม ทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมในช่วงเวลาน้ันๆ มาวิเคราะห์งานศิลปกรรม ใช้ศิลปกรรมเป็นตัว สะทอ้ นภาพสังคมและวัฒนธรรมได้ด้วย ซึ่งบางคร้ังศิลปกรรมก็เป็นภาพสะทอ้ นเฉพาะของกลมุ่ คนใดกลุ่มคน หนง่ึ เทา่ นนั้ ไม่ใช่ภาพสะท้อนสังคมท้ังหมด ท้งั นี้เพราะศิลปกรรมบางแบบก็เกิดขน้ึ ภายใตค้ วามคิดของคนกลุ่ม ใดกลมุ่ หน่งึ ไม่ใชค่ วามคดิ ของคนท้ังหมดในสังคม
8 บรรณานกุ รม บรุ ินทร์ เปล่งดีสกลุ . (2554). พฒั นาการของจิตรกรรมฝาผนงั อีสาน กรณีศกึ ษาจังหวัดขอนแก่น จงั หวัดมหาสารคามและจังหวัดรอ้ ยเอ็ด.วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ปี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2554). วฒุ นิ ันท์ สง่ เสริม. (2562). การสร้างรูปแบบรหัสสีเพือ่ คนื สภาพฮูปแต้ม โดยใชว้ ิธีดจิ ิทัล คลั เลอรไ์ รเซชนั่ กรณีศึกษา วัดป่าเลไลย์ ตาบลดงบัง อาเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม. ปริญญาวิทยาศาสตร์ มหาบณั ฑิต สาขาสื่อนฤมติ . มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม สานักวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. (2553). วดั ป่าเลไลย์. [ออนไลน์]. ไดจ้ าก: http://cac.kku.ac.th/esanart/19%20Province/Maha%20Sarakham/Palelai /MS%20Palelai.html [สบื ค้นเมื่อ วนั ที่ 28 ตุลาคม 2565] สานกั วฒั นธรรม มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. (2553). วดั ป่ าเลไลย.์ [ออนไลน์]. ไดจ้ าก: /MS%20Palelai.html [สืบคน้ เมือ่ วนั ท่ี 11 เมษายน 2559]
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: