ร้อยเอ็ดทำไมตอ้ งเป็นหอโหวด ณัฐวฒุ ิ ยบุ ลพนั ธุ์* 655220003-3 ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน หรือ ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นคำที่มีความหมายร่วมกันและมี ความคล้ายคลึง ซึ่งสอดคล้องกับ (ฉลาดชาย รมิตานนท.์ 2537 : เอกวิทย์ ณ ถลาง. 2544 : พัชรินทร์ ลาภานันท.์ 2547 อ้างใน เบญจวรรณ นาราสัจจ์. 2560) นักวิชาการที่ให้ความหมายเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีความ คล้ายคลึงกับคำว่า มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึง องค์ความรู้หรือผลงานที่เกิดได้จากตัวบุคคลหรือ กลุ่มชนที่ได้มีการสร้างสรรค์ พัฒนา สั่งสม สืบทอด และนำมาประยุกต์ใช้ในวิถีการดำเนินชีวิตมาอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องเหมาะสมให้เข้ากับสังคมและแวดล้อมและสิ่งของกลุ่มชน ส่ิงนี้แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์และความ หลากหลายทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นในความหมายของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2552) ได้จำแนกภูมิ ปัญญาท้องถิ่นไว้ 4 ประเภทที่มีองค์ประกอบ ได้แก่ 1.ความรู้ทางเทคนิคหรือเทคโนโลยี 2.ระบบการจัดการ ทรพั ยากรและการผลติ 3.ความเช่ือและพิธีกรรม และ 4.วิธีคิดหรอื โลกทัศน์ ซง่ึ สง่ิ เหลา่ น้ไี ด้ถ่ายทอดออกมาผ่านวิถี ชีวติ ประเพณี พิธีกรรม การละเลน่ หรอื แม้แต่ด้านดนตรีและการแสดง
ดนตรแี ละการแสดงของชาวอสี านเกยี่ วข้องกบั กิจกรรมที่เป็นพธิ ีกรรมการละเลน่ และกิจกรรมนันทนาการ ดนตรีและการแสดงของชาวอีสานยังสะท้อนถึงโลกทัศน์และการดำเนินชีวิต ตลอดจนการปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดล้อม ดนตรีและการแสดงของชาวอีสาน มีลักษณะตามท้องถิ่นและการผสมผสานกับวัฒนธรรมที่อยู่ ใกล้เคียง เช่น ชุมชนอีสานตอนบนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง (ชลิต ชัยครรชิต และ คณะ. 2549) ดนตรีจึงมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนอีสานซึ่งมีความสัมพันธ์กับประเพณี พิธีกรรม ความบันเทิง ต่างๆ ซึ่งดนตรีพิธีกรรมและการแสดงเพื่อความบันเทิงท่ีก่อให้เกิดพัฒนาการของดนตรีที่มีความหลากหลาย รูปแบบ และลักษณะต่างๆ ซึ่งมีพัฒนาการมาจากการประดิษฐ์เครื่องดนตรีในแบบที่เรียบง่าย โดยใช้วัสดุจาก ธรรมชาติ ซึ่ง บุษกร สำโรงทอง และคณะ (2548) ได้แบ่งประเภทเครื่องดนตรีตามลักษณะการบรรเลง ได้ ดังต่อไปน้ี เคร่อื งดนตรปี ระเภท ดีด เช่น พณิ ไหซอง เปน็ ตน้ เครอ่ื งดนตรปี ระเภท สี เช่น ซอบง้ั ซอกะโป๋ เป็นต้น เคร่ืองดนตรีประเภท ตี เช่น กลองตุ้ม กลองยาว โปงลาง เป็นต้น เครื่องดนตรีประเภท เป่า เช่น แคน โหวด เปน็ ตน้ ซง่ึ เครอื่ งดนตรีทไี่ ด้กล่าวมาข้างตน้ นี้นำไปใช้ทงั้ การบรรเลงเดยี่ ว และบรรเลงรวมเป็นวง โหวด หรือ โบด เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในเครื่องดนตรีประเภทเป่า ที่ไม่มีลิ้นและทำด้วยไม้ลกู แคน หรือ ไม้กู้แคน โดยเสียงดนตรีจะเกิดจากกระแสลมทีผ่ า่ นไปยังไม้กู่แคน ซึ่งการให้เสียงจะแตกต่างกันไปตาม ขนาดของลิ้นแคน แคนขนาดสิ้นยาวจะทำให้ระดับเสียงสูงต่ำของไม้กู่แคน และนำมาติดอยู่รอบๆ แกนกลาง ซึ่ง แกนกลางจะทำด้วยไม้ไผ่และติดไม้กู่แคน และติดด้วยขี้สูดหรือขันโรง ซึ่งเส้นโหวดจะประกอบด้วยไม้กู่แคน 6-9 ลำ ซึ่งในเวลาเป่าจะหมุนโหวดไปมารอบๆ ปาก โดยหากเวลาเป่าให้เลือกเป่าเสียงตามโน้ตที่ต้องการ ซึ่งโหวดเปน็ เครอื่ งดนตรี ทีม่ กี ารใช้มาต้ังแต่โบราณ โดยจะมกี ารเล่นสะแนโหวดท่ีเปน็ การละเลน่ อย่างหน่ึงของชาวอสี าน โดยผู้ เล่นจะทำเป็นบ่วง 2 บ่วง รวบชายรวมกัน คล้องส่วนหัวและส่วนหางของโหวด แล้วแกว่งเป็นรูปวงกลมรอบๆ ตัว และเสียงโหวดจะดัง 'แงว แงว\" ที่เรียกว่า การแงวโหวด ซึ่งพอแงวเสร็จก็จะปล่อยบ่วงโหวดให้ลอยไปในอากาศ และเสียงจะดัง 'โว โว' ซึ่งเรียกว่าการทิ้งโหวด เป็นตัวตัดสิน ปัจจุบันมีการพัฒนาโหวดให้เป็นเครื่องดนตรีเล่นได้ ครบ 7 เสยี ง เสียงตามระดับเสยี งสากล นำมาเลน่ รวมวงกบั เครื่องดนตรีชนดิ อ่ืน (ชลติ ชยั ครรชิต และคณะ. 2549) ซ่ึงผู้คิดค้นการพัฒนาโหวดจากของเล่นมาเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าของภาคอีสานจนเป็นที่รู้จักและ เผยแพร่ไปทั่วภาคอีสานในทุกวันเกิดจาก นายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ ซึ่งเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ดมาตั้งแต่กำเนิด โดยมพี ้นื ฐานของครอบครัวที่เป็นนักดนตรีพื้นบ้าน จึงทำให้มโี อกาสได้คลุกคลีกบั วงดนตรีมาตั้งแต่เด็ก จึงส่งผลให้ นายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ เกิดความสนใจในเครื่องดนตรีที่หลากหลายประเภท ได้แก่ พิณ แคน โปงลาง รวมถึง โหวด จึงทำให้เกิดการฝึกฝนเรียนรู้จากคนในครอบครัวและนักดนตรีมืออาชีพบ้าง จนสามารถพัฒนาทักษะการ เล่นดนตรีอีสานได้อย่างต่อเนื่องเป็นอย่างดี จนสามารถทำให้นำมาเล่นร่วมกับ พิณ แคน และโปงลาง และในช่วง พุทธศักราช 2519 นายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ ได้เริ่มตั้งวงดนตรีเล็กๆ ขึ้นในหมู่บ้าน โดยการรวมญาติพี่น้องสาน
ตระกุลมาร่วมเลน่ ในนามวง \" โหวดเสียงทอง\" โดยนายทรงศักด์ิ ประทุมสินธุ์ เป็นผู้บรรเลงโหวด ซึ่งเป็นวงดนตรี พื้นบ้านของจังหวัดร้อยเอ็ดที่นำมาเสนอศิลปะพื้นบ้าน ทั้งที่เป็นแบบอนุรักษ์นิยม ผสมกับความทันสมัยตาม ค่านิยมในขณะนั้นจนเกิดกระแสความโด่งดังของคณะโหวดเสียงทอง และทำให้เป็นที่รู้จักของคนท่ัวไปในจังหวัด ร้อยเอ็ดและจังหวัดใกล้เคียง และยังส่งผลให้นายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ ได้เป็นผู้ถ่ายทอดศิลปะคนตรีอีสานใน สถาบันการศกึ ษาช้ันนำของภาคอีสาน ตลอดจนได้รบั เชญิ เป็นอาจารย์พิเศษในสถาบันกลางหลายแห่ง นอกจากนั้น ความชำนาญพเิ ศษในการบรรเลงโหวดของ นายทรงศักดิ์ ประทุมสินธ์ุ ยังส่งผลให้โหวดได้กลายเป็นเครื่องดนตรที ่ี เป็นสัญลักษณข์ องจงั หวัดร้อยเอ็ดในเวลาต่อมา (ศูนย์ศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . 2565) จาการศึกษาขอ้ มูลเกี่ยวกบั เคร่ืองดนตรีอสี าน “โหวด” ซง่ึ ในพ้ืนท่ีจังหวดั รอ้ ยเอ็ดมสี ถานที่ท่องเที่ยวท่ีเป็น แลนด์มารค์ แห่งใหม่ คอื หอโหวด 101 ซง่ึ นายบรรจง โฆษิตจริ นันท์ ตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด ได้เกิด แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นในการพัฒนาท้องถิ่นโดยมีความต้องการให้จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นเมืองน่าอยู่ โดยนำ จดุ เดน่ ของบึงพลาญชยั เป็นศนู ย์กลางของการพัฒนาและขับเคล่ือน เพื่อสร้างการจดจำและเอกลักษณ์ของเมือง สู่ การท่องเท่ียวและกระตนุ้ เศรษฐกิจ โดยจะทำหอโหวดยักษ์และนำโหวดท่ีเป็นเคร่ืองดนตรีประจำจงั หวัดร้อยเอ็ดท่ี เป็นภูมปิ ัญญาท้องถิ่นมาสร้างเป็นหอสงู ชมเมืองรูปทรงโหวด ซึ่งได้สอดคล้องกบั แผนยทุ ธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด ร้อยเอ็ด ตามโมเดลร้อยเอ็ด 4.101 ซึ่งหอโหวด 101 เป็นหนึ่งในโครงการก่อสร้างที่บรรจุในโครงการสามเหลี่ยม การทอ่ งเท่ยี วสาเกตนคร โดยมีการเชอื่ ม 3 อำเภอเข้าดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ อำเภอเมืองรอ้ ยเอ็ด อำเภอธวชั บุรี และอำเภอ หนองพอก (หอโหวด. 2565) จากแนวคิดในการพัฒนาท้องถิ่นโดยได้ก่อสร้างขึ้นในบริเวณสวนสมเดจ็ พระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด จึงทำให้ นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด และนายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ นายกเทศมนตรีเมืองรอ้ ยเอด็ ได้นำโครงการก่อสร้างหอโหวด 101 และได้นำเสนอแผนงานพัฒนาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ดต่อท่ี ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ โดยมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธาน ซึ่งที่ประชุมฯได้รับทราบในแนวทางการพัฒนาสวนสมเด็จ พระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด และในเวลาต่อมาได้การก่อสรา้ งหอโหวด 101 โดยได้รับงบประมาณการก่อสร้างจากงบ กลางรัฐบาลในการกอ่ สร้างหอโหวด 101 ซึ่งได้สร้างให้อยู่ภายในสวนสมเดจ็ พระศรีนครินทร์ (บึงพลาญชัย) โดยมี การออกแบบขนาด ความสูง 101 เมตร เทียบเท่าอาคารสูง 35 ชั้น และมีพื้นที่ทั้งหมด 3,621 ตารางเมตร และมี ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว และลิฟต์อัคคีภัย 1 ตัว แบ่งพื้นที่ใช้สอย เป็น 12 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นสำนักงานและห้องน้ำ สาธารณะ ชั้นที่ 2 เป็นโถงต้อนรับ บริการ จำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ และประวัติหอโหวด ชั้นที่ 3 เป็นโถงจำหน่าย สินค้าที่ระลึกและร้านกาแฟ ชั้นที่ 4 เป็นร้านอาหารและ Co-working space ชั้นที่ 28 เป็นพื้นที่ให้เช่าเพื่อจัด กิจกรรมตา่ งๆ ชน้ั ที่ 29 เป็นจุดบรกิ ารต้หู ยอดเหรยี ญ เคร่ืองดม่ื ไอศกรีม หอ้ งนำ้ ลอยฟา้ และจดุ ขนึ้ ลิฟต์โดยสารขา
ลง ชั้นที่ 30 เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่มลอยฟ้า ชั้นที่ 31 เป็นจุดจอดลิฟต์โดยสารขาขึ้น จุดชมวิวภายใน 360 องศา และกล้องส่องทางไกล ชั้นที่ 32 เป็นชั้นชมวิวในอาคารและ งานระบบอาคาร ชั้นที่ 33 เป็นชั้นแสดง พิพิธภัณฑ์เมือง ชั้นที่ 34 เป็นชั้นที่ต่อเติมใหม่ตามสัญญาเพิ่มเติม เป็นจุดชมวิวนอกอาคาร Outdoor แบบ 360 องศา โดยมี Highlight จุดชมวิวพื้นกระจกใส (Sky Walk) และ จุดโหนสลิงโรยตัว (Zipline) ในอนาคต และชั้นที่ 35 เป็นชั้นสูงสุดที่ต่อเติมใหม่ตามสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็น ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธม่ิง เมืองมงคล พระพทุ ธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด และภายในอาคารประดับตกแต่งโดยสอดแทรกเร่ืองราวท้องถิ่นกับ ความร่วมสมยั เช่น ดอกอนิ ทนิลบก ดอกไมป้ ระจำจังหวัด ทท่ี ำจากคริสตัล (https://www.sanook.com. 2565 : ออนไลน)์ จากปรากฎการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อวิเคราะห์ตามทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ ของ (Aesthetics) ของ (Alexander Gottieb Baumgarte) โดยพบว่า รูปแบบการนำเสนอโดยผา่ นการส่ือสารความหมาย ทางดา้ นศิลปะ จากภูมิปัญญาและความเป็นเอกลักษณ์ของชาวจังหวัดร้อยเอ็ด สู่วิธีคิดในการสร้างสรรค์หอโหวดที่เป็นสถานที่ ท่องเที่ยวแลนด์มารค์ แห่งใหม่ของจังหวัดร้อยเอ็ด จนทำให้เกิดการสรา้ งกระแสนิยมทางการท่องเทีย่ ว จากการใช้ โหวด ที่เป็นที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดร้อยเอ็ด มาเป็นตัวกลางในการนำเสนอและเผยแพร่ จนส่งผลให้ถูกพูดถึง อย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นกระแสการท่องเที่ยวและส่งผลจังหวัดร้อยเอ็ดมีเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์จากการนำ คุณค่าของวัฒนธรรมมาต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและการสร้างรายได้จาก การท่องเทย่ี ว และเมอื่ นำมาวเิ คราะห์กบั ทฤษฎีอัตลักษณ์ ของ Barber โดยพบว่า บุคลกิ ภาพของผู้นำทางการเมือง โดยได้สร้างกรอบเพื่อทำความเข้าใจตอ่ พฤติกรรมของผู้นำทางการเมือง ซึ่งได้เน้นถึงความสัมพันธ์ของผู้นำในการ สร้างความสัมพันธ์กบั ผู้อ่ืนตามบทบาทหน้าที่ ในขณะทโี่ ลกทัศน์เป็นปจั จยั ท่เี พิ่มเนื้อหาของความเชื่อถือที่แตกต่าง กันไปเกี่ยวกับความเป็นจริงและวิธีการทำงานมุ่งเน้นที่กระบวนการ จะเห็นได้ว่า โลกทัศน์และวิธีทำงานเป็นการ เน้นความสำคัญของบุคลิกภาพทางด้านการพัฒนาและการปรับตัว ทั้งน้ีอัตลักษณ์ยังเป็นตัวเชื่อมโยงและส่งผลท่ี สะท้อนของความต้องการขั้นพื้นฐาน ทางด้านสังคมของชาวร้อยเอ็ด ซึ่งสิ่งนี้ได้บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของ หอโหวดที่เกิดจากการตอบสนองความต้องการของบริบทต่างๆ ในสังคมโดยสอดคล้องกับทฤษฎีสัญวิทยา (Semiology) ของ Ferdinand de Saussure ที่ได้อธิบายถึงสัญวิทยาว่าเป็นศาสตร์ที่ศึกษาถึงวิถีชีวิตของสัญญะ ได้แก่ การกำเนิด การเจริญ การแปรเปลี่ยน และการสูญสลายของสัญญะตัวหนึ่งๆ รวมท้ังวิเคราะห์กฎที่อยู่ เบื้องหลังของวิถีชีวิตดังกล่าว ภายในสังคมที่สญั ญะน้ันถือกำเนิดขึ้นนมา สัญญะ (sign) จึงประกอบขึ้นมาจากองค์ ประกอบ 2 ส่วน คือ 1) รูปสัญญะ (Signifier) คือ สิ่งที่เราสามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส เช่น การมองเห็น ตัวอักษร รูปภาพ หรือการได้ยิน คำพูดที่เปล่งออกมาเป็นเสียงนั่นเอง 2) ความหมายสัญญะ (Signified) คือ ความหมายคำนิยาม หรือความคิดรวบยอด (Concept) ที่เกิดขึ้นในใจหรือในความคิดของผู้รับสาร จากทฤษฎี
ดังกล่าวได้ทราบถึงความหมายที่แทรกกับโหวดในรูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรมกลางใจเมือง คือ การออกแบบ อาคารในรูปสถาปัตยกรรมจากลักษณะของโหวดที่เป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีการออกแบบ ขนาด ความสูง 101 เมตร และภายในชัน้ สูงสุดของหอโหวดยังมกี ารอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธม่ิง เมืองมงคลมาประดิษฐานพระพุทธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด และภายในอาคารประดับตกแต่งซึ่งสอดแทรก เรื่องราวท้องถิ่นที่มีความร่วมสมัย โดยใช้ดอกอินทนิลบกที่เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ดที่ทำจากคริสตัลท่ีมี ความทันสมยั และสวยงาม จากที่กล่าวมาข้างต้นดว้ ยงานวิจยั และทฤษฎีต่างๆ จึงสามารถสรุปได้ว่า เหตุใดร้อยเอ็ดจึงมีหอโหวดเป็น สญั ลักษณ์ เพราะวา่ มคี วามการพัฒนาท้องถ่ินให้จังหวัดร้อยเอ็ดเปน็ ตามนโยบายเมืองน่าอยู่ โดยนำจุดเด่นของบึง พลาญชัยที่เปน็ จุดศนู ยก์ ลางมารใข้ในการพัฒนาและขับเคลื่อน เพื่อสร้างการจดจำและเอกลักษณ์ของเมอื ง สู่การ ท่องเท่ยี วและกระตุ้นเศรษฐกิจ ดว้ ยเหตุน้ีจงึ มีมติในการสรา้ งหอโหวดจากรูปลักษณ์ของสถาปตั ยกรรมดังกล่าวอัน เป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อนำเสนอรูปแบบผ่านการสื่อสารความหมายทางด้านศิลปะจากภูมิ ปัญญาอันบ่งบอกถงึ ความเป็นเอกลกั ษณข์ องชาวจงั หวดั ร้อยเอด็ ได้อยา่ งชัดเจน
บรรณานุกรม ชลติ ชัยครรชิต และคณะ. (2549). เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนทิ ศั น์” เรือ่ งสังคมและวัฒนธรรม อสี าน. โรงพมิ พ์มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . บุษกร สำโรงทอง และคณะ. (2548). วัฒนธรรมดนตรไี ทย ภาคอีสานเหนือ. กรงุ เทพฯ: ทุนวิจัยงบประมาณ แผน่ ดิน พ.ศ. 2548 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เบญจวรรณ นาราสจั จ.์ (2560). พฒั นาการภูมิปัญญาอีสาน: จากความรูพ้ นื้ บ้านสู่มรดกภมู ิปญั ญาทาง วัฒนธรรม. ขอนแก่น: ศูนยว์ จิ ัยพหุลักษณส์ งั คมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . ศนู ยศ์ ิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. (2565) เรื่องทรงศักดิ์ ประทุมสินธ์ุ (ดนตรีพืน้ บ้าน โหวด) : สืบค้น เม่อื 2565. สำนกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวฒั นธรรม. (2552). มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: สำนกั งาน. ROI ET TOWER. (2565). หอโหวด๑๐๑. สืบคน้ เมื่อ2565. Trueid. (2565). หอโหวดร้อยเอด็ แลนดม์ ารค์ แห่งใหม่ ของอีสาน. สบื ค้นเม่ือ2565.
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: