Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปวิธ แซ่ย่าง เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการอาชีพ

ปวิธ แซ่ย่าง เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการอาชีพ

Published by ปวิธ แซ่ย่าง, 2020-09-21 03:04:34

Description: ปวิธ แซ่ย่าง เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการอาชีพ

Search

Read the Text Version

เทคโนโลยีดิจทิ ลั เพื่อการจัดการอาชีพ เสนอ อาจารย์เกสร เทียนใต้ จัดทาโดย นายปวธิ แซ่ย่าง นกั ศกึ ษาระดบั ช้ัน ปวส.103 สาขาช่างไฟฟ้ากาลัง รายงานเล่มน้เี ป็นส่วนหน่ึงของวิชาของวิชาเทคโนโลยดี ิจิทัลเพือ่ การจดั การ อาชีพ รหัสวชิ า 3001 – 2001 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 วทิ ยาลยั อาชีวศึกษาเถินเทคโนโลยี อ.เถิน จ.ลาปาง

ก คานา รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึง่ ของวชิ าเทคโนโลยีดิจทิ ัลเพ่ือการจัดการอาชีพจัดทาข้นึ เพ่ือให้ พ่ี ๆ เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ทุกคนได้ศกึ ษาหาความรู้ต่าง ๆ ในรายงานเล่มนี้ และนาความร้ทู ี่ได้จากการศกึ ษาไปใช้ประโยชน์ใน ชวี ติ ปราจาวัน หวังว่ารายงานเล่มน้ีจะให้ความรู้ให้กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ถ้ากระผมทาผิดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่น้ี ด้วยนะครบั จดั ทาโดย นายปวิธ แซย่ า่ ง

ข หน้า สารบัญ ก ข เร่อื ง 1 2–3 คานา 4 สารบัญ 5–7 ความหมายของคอมพิวเตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 8 - 12 องคป์ ระกอบพ้นื ฐานของคอมพวิ เตอร์ 13 - 16 ความหมายและหน้าทีข่ องแป้นพมิ พ์ 17 – 20 ความหมายและวิธกี ารใช้เมาส์ ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ค ระบบสารสนเทศท่ใี ชค้ อมพวิ เตอร์ หนา้ ที่หลักของระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการ อ้างอิง

1 1.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) มาจากภาษาละตินว่า Computare หมายถึง เคร่ืองคานวณทาง อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้น สามารถเก็บข้อมูลพร้อมด้วยคาส่ังแล้วแสดงผลออกมาในรูปแบบต่างๆ ได้รวดเร็วและ ถกู ต้อง คอมพิวเตอร์ (Computer) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีนาไปใช้งานได้หลากหลายตามวัตถุประสงค์ของ ผู้ใช้แต่ละคนทางานโดยการรับคาส่ังจากมนุษย์หากซ่ึงคาส่ังท่ีสง่ั ใหค้ อมพิวเตอร์ทางานผดิ คอมพิวเตอร์ก็จะทางาน ผดิ ตรงขา้ มกันถา้ คาส่งั นั้นถูกตอ้ ง คอมพวิ เตอรก์ จ็ ะทางานได้อยา่ งถูกตอ้ งและใหผ้ ลลัพธ์ท่ีนา่ พอใจ 1.2 หลกั การทางานของคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม เคร่อื งคอมพวิ เตอรม์ ขี น้ั ตอนการทางาน 3 ข้นั ตอน คอื 1. รับโปรแกรมและข้อมูล หมายถึง ชุดของคาส่ังท่ีจะให้คอมพิวเตอร์ทางาน ส่วนข้อมูล อาจเป็นตัวเลข หรอื ตวั หนังสอื ก็ได้ ท่ีตอ้ งการใหค้ อมพวิ เตอรท์ าการประมวลผล 2. การประมวลผล หมายถึง การจัดระเบียบแบบแผนของข้อมูล เพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ตามท่ีต้องการ ซึ่งทาได้ โดยการคานวณเปรียบเทียบ วเิ คราะหโ์ ดยใช้สูตรทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื คณิตศาสตร์ โดยอาศัยคาสงั่ หรอื โปรแกรม ท่ีเขยี นขึ้น 3. แสดงผลลัพธ์ คือ การนาผลลัพธ์ท่ีได้จากการประมวลผลเสร็จเรียบร้อย แสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ที่ ผ้ใู ช้เข้าใจ และนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้

2 1.3 องคป์ ระกอบพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบของคอมพวิ เตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีเราเห็นๆ กันอยู่นี้เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหน่ึงของระบบคอมพิวเตอร์เท่าน้ัน แต่ ถ้าต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเคร่ืองสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่เราต้องการน้ัน จาเปน็ ต้องอาศัยองคป์ ระกอบพ้ืนฐาน 4 ประการมาทางานร่วมกัน ซง่ึ องค์ประกอบพนื้ ฐานของระบบคอมพวิ เตอร์ ประกอบไปดว้ ย ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถงึ อุปกรณต์ า่ งๆ ท่ีประกอบข้นึ เปน็ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วย ตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทางาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary Storage) โดย อุปกรณ์แต่ละหน่วยมหี นา้ ทีก่ ารทางานแตกต่างกนั ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคาสั่งที่ถูกเขียนข้ึนเพ่ือสั่งให้ เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ทางาน ซอฟตแ์ วรจ์ ึงเป็นเหมือนตวั เชื่อมระหว่างผู้ใชเ้ คร่ืองคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพวิ เตอร์

3 ถ้าไมม่ ีซอฟตแ์ วรเ์ ราก็ไมส่ ามารถใช้เครื่องคอมพวิ เตอร์ทาอะไรไดเ้ ลย ซอฟตแ์ วร์สาหรบั เครือ่ งคอมพวิ เตอร์สามารถ แบ่งได้ ดังนี้ ซอฟต์แวร์สาหรับระบบ (System Software) คือ ชุดของคาส่ังท่ีเขียนไว้เป็นคาสั่งสาเร็จรูป ซ่ึงจะ ทางานใกลช้ ดิ กบั คอมพิวเตอรม์ ากท่สี ุด เพ่ือคอยควบคมุ การทางานของฮารด์ แวรท์ ุกอยา่ ง และอานวยความสะดวก ให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, UNIX, Linux รวมทั้ง โปรแกรมแปลคาสั่งท่ีเขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, FORTRAN, Pascal, COBOL, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสาหรับระบบด้วย เช่นกนั ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ส่งั คอมพิวเตอร์ทางานต่างๆ ตามท่ผี ใู้ ชต้ ้องการ ไมว่ ่าจะดา้ นเอกสาร บญั ชี การจดั เก็บข้อมลู เปน็ ต้น ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์สามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คอื - ซอฟตแ์ วรส์ าหรบั งานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซงึ่ เขยี นขึน้ เพื่อการทางานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ บาง ท่ีเรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมระบบเช่าซ้ือ โปรแกรมการทาสินค้าคงคลงั เป็นต้น ซ่ึงแต่ละโปรแกรม ก็มักจะมีเง่ือนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฎเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานท่ีใช้ ซ่ึง สามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพ่ือให้ตรงกับความต้องการของผ้ใู ช้ และซอฟตแ์ วร์ประยุกต์ท่ีเขียนข้ึนนโ้ี ดยส่วนใหญม่ ักใช้ภาษาระดบั สูงเป็นตัวพัฒนา - ซอฟต์แวร์สาหรับงานท่ัวไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทาไว้ เพื่อใช้ในการทางานประเภทต่างๆ ท่ัวไป โดยผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนาโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทาการดัดแปลง หรือแกไ้ ขโปรแกรมได้ ผใู้ ช้ไม่จาเปน็ ตอ้ งเขียนโปรแกรมเอง ซง่ึ เปน็ การประหยดั เวลา แรงงาน และคา่ ใชจ้ ่ายในการ เขยี นโปรแกรม นอกจากน้ี ยังไม่ต้องใชเ้ วลามากในการฝึกและปฏบิ ัติ ซึง่ โปรแกรมสาเรจ็ รปู นี้ มกั จะมีการใชง้ านใน หน่วยงานที่ขาดบุคลากรที่มีความชานาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดังน้ัน การใช้โปรแกรมสาเร็จรูปจึงเป็น สงิ่ ที่อานวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ตวั อย่างโปรแกรมสาเร็จรปู ที่นยิ มใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมสต์ า่ งๆ เป็นตน้ 1.4 ความหมายและหน้าที่ของแป้นพมิ พ์

4 แปน้ พมิ พ์ (Keyboard) แป้นพิมพ์ หรือ (Keyboard) เป็นส่วนหน่ึงของไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เราจะต้องใช้บ่อย ถ้าเราแยก องคป์ ระกอบของคอมพิวเตอร์กจ็ ะมอี งค์ประกอบ 3 สว่ นคอื 1. หน่วยรับขอ้ มลู หรอื Input Unit 2. หน่วยประมวลผลหรอื Processing Unit 3. หน่วยแสดงขอ้ มูล หรือ Output Unit แป้นพิมพ์มีความสาคัญเป็นอย่างย่ิงในการท่ีจะพิมพ์คาสั่ง เพื่อส่ังให้เครื่องคอมพิวเตอร์ปฏิบัติงาน จึง น่าจะรู้องคป์ ระกอบของแป้นพิมพ์ และปุ่มหรอื แป้นตา่ ง ๆ วา่ ทาหน้าท่อี ะไร ถ้าเราแบ่งแปน้ พมิ พ์ (keyboard) แบ่งออกได้ 3 สว่ นคอื 1. คียพ์ เิ ศษ (Function Key) 2. คียต์ วั เลข (Numeric Key) 3. คยี ์อักขระ (Character Key) 1.5 ความหมายและวิธกี ารใชเ้ มาส์

5 เมาส์ (Mouse) คอื อปุ กรณท์ ี่ใช้ในการควบคุมตวั ช้ีบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เรยี กวา่ ตวั ชเ้ี มาส์ (Mouse pointer) ซึง่ ปัจจุบนั ถูกออกแบบมาใหม้ รี ูปรา่ งลักษณะสสี ันตา่ งๆ กัน บางรุน่ มีไฟประดบั ใหส้ วยงาม เพื่อให้เหมาะ กบั การใชง้ านในแต่ละประเภทและความชนื่ ชอบของผใู้ ช้ ภายในตัวเมาส์จะมีอุปกรณส์ าหรับตรวจจับตาแหน่งการ เคล่ือนไหวของลูกกลิ้งหรอื อปุ กรณต์ รวจจับการเปลย่ี นแปลงของแสงโดยตวั ตรวจจับจะส่งสญั ญาณไปที่ คอมพิวเตอรเ์ พื่อแสดงผลของตวั ช้บี นหนา้ จอคอมพิวเตอร์สญั ลกั ษณ์ของตวั ชเ้ี มาส์ สามารถเปลย่ี นรปู แบบไดห้ ลาย แบบขน้ึ อยู่กับสถานการณ์ดังตอ่ ไปนี้ 1.6 วธิ ีการใช้และการบารงุ รักษาเคร่อื งคอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม 1.6.1 ความปลอดภยั ในการใช้คอมพิวเตอร์

6 1. ความปลอดภัยของคอมพวิ เตอร์ (1) อย่าจับต้องอปุ กรณภ์ ายในหากเครือ่ งคอมพิวเตอรย์ ังเปิดอยู่ (2) อยากเปิดปิดสวิตช์เคร่ืองคอมพิวเตอร์บ่อยๆ ถ้าโปรแกรมมีปัญหาให้ กด reset แทน การปดิ เปดิ 2. ความปลอดภัยของผู้ใช้ อันตรายทีเ่ กิดจากไฟฟ้าดดู การใช้ปล้ักเสียบคอมพิวเตอร์ต้องใช้ปลั๊กเสยี บ 3 ขา เพราะขาที่สามของปล๊ักเสียบคอมพิวเตอร์มีสายต่อกับส่วนที่เป็นโลหะของอุปกรณ์จ่ายไฟ ซึ่งยึดติดกับกล่องของ คอมพวิ เตอรเ์ รียกวา่ สายดิน 1.6.2 สภาพแวดลอ้ มและการติดต้งั เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ สภาพแวดล้อมโดยท่ัวไป อาจมีผลต่อสภาพจิตใจของพนักงานโดยตรง โดยเฉพาะงานที่ต้องอยู่กับ เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมท้ังส่วนประกอบของระบบอื่นที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ด้วย เช่น เมาส์ เครอ่ื งพิมพ์ เปน็ ต้น ข้อควรปฏบิ ัตเิ ก่ียวกบั การจัดสภาพแวดล้อมสาหรบั งานคอมพวิ เตอร์ มดี งั น้ี 1. การติดตั้งตัวเคร่ืองคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ เมาส์ และอุปกรณ์ประกอบอื่นควรให้เกิดความสะดวกใน การใชง้ าน ทาให้การใชง้ านเป็นธรรมชาตมิ ากท่ีสดุ ไมค่ วรใหเ้ กดิ อาการเซง็ มีแนวทางปฏบิ ัตดิ ังน้ี 1) สถานท่ีติดตั้งเคร่ืองและอุปกรณ์ ควรมีพ้ืนท่ีกว้างขวางมากพอที่จะทาให้ผู้ใช้เครื่อง คอมพิวเตอรส์ ามารถเคลื่อนไหวไดส้ ะดวก 2) แปน้ พิมพ์ ควรวางใหอ้ ย่ตู รงหนา้ ของผใู้ ช้และตรงกับหน้าจอดว้ ย เพราะจะสามารถปล่อยแขน ใหห้ ้อยลงแนบกบั ลาตวั ได้ทนั ทีท่ีรูส้ กึ เมื่อย และทาให้ไมต่ อ้ งเก่งไรในขณะป้อนข้อมลู 3) เมาส์ ควรวางในระดับเดียวกบั แปน้ พมิ พ์ และวางในด้านท่ถี นัด 2. การจัดวางคอมพิวเตอร์และเก้าอี้ ท่ีน่ังท่ีเหมาะสมนอกจากต้องสัมผัสกันระหว่างโต๊ะกับเก้าอ้ีท่ีใช้งาน แล้ว ยังควรให้เหมาะสมกับคนที่ใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์โต๊ะและเก้าอี้แบบปรับความสูงได้จะให้ประโยชน์มากกว่า เพราะสามารถปรับระดับในกรณีท่ตี ้องใชง้ านคอมพิวเตอร์ชุดเดียวกันหลายๆคน ปัจจัยที่ควรคานงึ ถึงเมื่อต้องปรบั ระดบั ของโตะ๊ หรือเก้าอ้ี คือ 1) ระดับความสูงของโตะ๊ และเก้าอ้ีประมาณ 28-31 นิ้ว และ 16-21 นวิ้ ตามระดับ เพอ่ื ทาให้ศอกกับ ข้อมอื ของผใู้ ช้ในขนานกบั พ้นื 2) ไม่ทาให้ผู้ใช้มีอาการเกรง บริเวณชว่ งแขน มือ 3) น่ังทางานใหช้ ่วงลา่ งของแผน่ หลงั พงิ สนิทกับพนกั เก้าอี้ 4) ควรจัดสรรพ้นื ท่ีวางบนโต๊ะไวบ้ างส่วน

7 3. การเคลื่อนไหวมือและแขนเป็นส่ิงทีเ่ กิดขึ้นบ่อยท่ีสุด และหลีกเล่ียงไม่ได้ในการทางานดงั น้ันควรใหก้ าร เคล่ือนไหวเป็นธรรมชาติทส่ี ุด เพราะจะทาให้ทางานได้เป็นเวลานาน จงึ ควรปฏิบัตดิ ังน้ี 1) ในขณะป้อนข้อมลู ควรใช้ปลายน้ิวและขอ้ มืออยใู่ นระดับและแนวเดียวกัน 2) อยา่ ให้ข้อศอกอยชู่ ิดและหา่ งลาตวั เกนิ ไป 3) ในขณะใช้แปน้ พิมพ์ เมาส์ หรืออปุ กรณอ์ นื่ ๆ ควรให้มืออยใู่ นท่าทเี่ ปน็ ธรรมชาติ 4) ควรมกี ารบรหิ ารนิว้ มือในขณะป้อนขอ้ มลู ดว้ ยวิธีการกามือให้แน่นแลว้ คลายออก 5) ควรจบั เมาส์เบาๆและวางนิ้วชี้กับนว้ิ กลางบนปุ่มกดทงั้ สองของมือ 4. มุมมองจอภาพและการถนอมสายตา หมายถงึ ระดบั ของการมองจอภาพรวมทั้งการจดั แสงสวา่ งภายใน ห้องเพอื่ ให้ไม่เมอื่ ยสายตาไหล่และบริเวณลาคอ มแี นวทางปฏิบัตดิ ังน้ี 1) ให้จอภาพอยูต่ รงหนา้ ผใู้ ช้งานโดยหา่ งจากตาของผูใ้ ชป้ ระมาณ 20 ถงึ 36 น้วิ 2) ระดับขอบบนของจอภาพต้องไม่สูงกวา่ ระดบั สายตาของผู้ใช้ 3) ใหเ้ กิดแสงสะทอ้ นจากสภาพสูตรอาผูใ้ ช้น้อยทสี่ ุด 4) อย่าปรับความสวา่ งของจอภาพ 5) ห้องทางานควรปรบั ความสวา่ งได้ 6) ควรพกั สายตาเป็นระยะๆ 1.6.3 ขอ้ ควรระวงั เกีย่ วกับการใช้คอมพวิ เตอร์ 1) ไมค่ วรนาเอาอุปกรณ์สารองของข้อมูลออกจากเคร่ืองอา่ น 2) ไม่ควรปิดเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ขนาดทไี่ ฟของฮารด์ ดิสก์ตดิ อยู่ 3) ไม่ควรเปิดจอภาพทงิ้ ไวน้ านๆ 4) เม่ือปดิ เครือ่ งคอมพวิ เตอรแ์ ล้วไมค่ วรเปดิ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ทนั ที 5) ไมค่ วรเสียบสายไฟคา้ งไว้ที่เต้าเสยี บ 6) การเก็บข้อมลู ไม่ควรเก็บชุดเดียวควรทาแฟม้ สารองขอ้ มูลไวห้ ลายชดุ 2.1 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

8 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง การเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เคร่ืองข้ึน ไปเข้าด้วยกนั ดว้ ยสายเคเบลิ หรือสือ่ อ่ืนๆ ทาให้คอมพวิ เตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้ในกรณีท่เี ป็นการ เช่ือมต่อระหว่างเคร่ืองคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ท่ีเป็นศูนย์กลาง เราเรียก คอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางน้ีว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาเชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)ระบบเครือข่าย (Network) จะเช่อื มโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพือ่ การติดต่อส่ือสาร เราสามารถส่งข้อมูล ภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหน่ึงของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซึ่งความสามารถเหล่าน้ีทาให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสาคัญ และ จาเปน็ ตอ่ การใชง้ านในแวดวงต่างๆ แล้วทาไมเราถึงต้องใช้เครือข่าย หรือระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย การที่เรานาเอาเคร่ืองคอมพิวเตอร์มาเช่ือมต่อ กัน เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ หรือระบบสามารถทาอะไรได้บ้าง ทาให้ใช้ทรัพยากร ของเคร่ือง คอมพิวเตอร์ รว่ มกันได้ (Resources Sharing) ซึง่ เปน็ การชว่ ย ประหยดั คา่ ใชจ้ ่าย และเพมิ่ ความสะดวก ในการใช้ งาน เช่น การใช้พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ และเคร่ืองพิมพ์ร่วมกันสามารถบริหารจัดการการทางานของคอมพิวเตอร์ทุก เครื่อง ได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management) เช่น สร้างเวิร์กกรุป กาหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล และ สามารถทาการ สารองข้อมูล ของแต่ละเคร่ืองได้ สามารถทาการส่ือสาร ภายในเครือข่าย (Communication) ได้ หลายรูปแบบ เช่น อีเมล์, แชท (Chat), การประชุมทางไกล (Teleconference), และ การประชุมทางไกล แบบ เห็นภาพ (Video Conference)มีระบบรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล บนเครือข่าย (Network Security) เช่น สามารถ ระบุผู้ท่ีมีสิทธ์ิเข้าถึงข้อมูล ในระดับต่างๆ ป้องกันผู้ท่ีไม่ได้รับอนุญาติ เข้าถึงข้อมูล และให้การคุ้มครอง ข้อมูลท่ีสาคัญ ให้ความบันเทิงไม่รู้จบ (Entertainment)เช่น สามารถสนุกกับ การเล่นเกมส์ แบบผู้เล่นหลายคน หรอื ทเี่ รียกว่า มลั ติ เพลเยอร์(Multi Player) ทก่ี าลัง เป็นท่ีนยิ มกนั อยใู่ นเวลานี้ได้ ใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกัน (Internet Sharing) เพียงต่อเข้าอินเทอร์เน็ต จากเครื่องหนึ่งในเครือข่าย โดยมีแอค เคาท์เพียงหน่ึงแอคเคาท์ ก็ทาให้ผู้ใช้อีกหลายคน ในเครือข่ายเดียวกัน สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เสมือนกับมี หลายแอคเคาท์ ฯลฯ ระบบเครือข่ายชนดิ ตา่ งๆ

9 ระบบเครือข่าย สามารถเรียกได้ หลายวิธี เช่นตามรูปแบบ การเช่ือมต่อ (Topology) เช่น แบบบัส (bus), แบบ ดาว (star), แบบวงแหวน (ring)หรือจะเรึยกตามขนาด หรือระยะทางของระบบก็ได้ เช่นแลน (LAN), แวน (WAN), แมน (MAN) นอกจากนี้ ระบบเครือขา่ ย ยงั สามารถ เรยี กไดต้ าม เทคโนโลยีท่ีไช้ ในการส่งผา่ นข้อมูล เช่น เครอื ข่าย TCP/IP, เครือขา่ ยIPX, เครือขา่ ย SNA หรอื เรียกตาม ชนดิ ของข้อมูล ทม่ี กี ารส่งผ่าน เช่นเครือขา่ ย เสยี ง และวิดีโอ เรายังสามารถจาแนกเครือข่ายได้ ตามกลุ่มที่ใช้เครือข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต ( Internet), เอ็กซ์ตร้าเน็ต (Extranet), อินทราเน็ต (Intranet), เครือขา่ ยเสมือน (Virtual Private Network) หรอื เรยี ก ตามวธิ ีการ เช่ือมต่อ ทางกายภาพ เช่นเครือข่าย เส้นใยนาแสง, เครือข่ายสายโทรศัพท์, เครือข่ายไร้สาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เรา สามารถจาแนก ระบบเครือข่าย ได้หลากหลายวิธี ตามแต่ว่า เราจะพูดถึง เครือข่ายน้ันในแง่มุมใด เราจาแนก ระบบเครือข่าย ตามวิธที ี่นยิ มกนั 3 วิธีคอื รปู แบบการเช่ือมตอ่ (Topology), รปู แบบการสอื่ สาร (Protocol), และ สถาปัตยกรรมเครอื ขา่ ย (Architecture) การจาแนกระบบเครอื ขา่ ย ตามรูปแบบการเชอ่ื มต่อ (Topology)จะบอกถึงรูปแบบ ทีท่ าการ เชือ่ มตอ่ อปุ กรณ์ ในเครอื ข่ายเขา้ ดว้ ยกัน ซงึ่ มรี ูปแบบท่นี ยิ มกัน 3 วธิ คี ือ แบบบสั (bus) ในระบบเครือข่าย โทโปโลยีแบบ BUS นับว่าเป็นแบบโทโปโลยีท่ีได้รับความนิยมใช้กันมากท่ีสุดมา ต้ังแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือสามารถติดตั้งระบบ ดูแลรักษา และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ต้องใช้ เทคนคิ ท่ียุ่งยากซับซ้อน ลักษณะการทางานของเครือข่ายโทโปโลยแี บบ BUS คอื อปุ กรณท์ ุกช้ินหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเช่ือมโยงเข้ากับสายส่ือสารหลัก ที่เรียกว่า \"บัส\" (BUS) เม่ือโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ ยังอีกโหนด หน่ึงภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง จะถูกส่งเข้าสู่สายบัส ในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจ จะประกอบด้วยตาแหน่งของ ผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การสื่อสารภายในสายบัส จะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยัง ปลายทั้ง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายท้ัง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทาหน้าที่ดูดกลืน

10 สัญญาณ เพ่ือป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนกันของสัญญาณ ขอ้ มูลอ่นื ๆ ทเี่ ดินทางอยบู่ นบัส สัญญาณข้อมลู จากโหนดผู้ส่ง เม่ือเข้าสบู่ สั จะไหลผ่านไปยังปลายทงั้ 2 ข้างของบัส แต่ละโหนดท่ีเชื่อมต่อเข้ากับบัส จะคอยตรวจดูว่าตาแหน่งปลายทาง ที่มากับแพ็กเกจข้อมูลนั้น ตรงกับตาแห น่ง ของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข้อมูลน้ันเข้ามาสู่โหนดตน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลนั้นผ่านไป จะเห็น ว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียง โหนดเดยี วเท่านัน้ ทจ่ี ะรบั ข้อมลู น้ันไปได้ การควบคมุ การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ BUS มี 2 แบบคือแบบควบคมุ ดว้ ยศูนย์กลาง (Centralized) ซึ่งจะ มีโหนดหนึ่ง ท่ีทาหน้าท่ีเป็นศูนย์กลางควบคุมการส่ือสารภายในเครือข่าย ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ การ ควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุก ๆ โหนดภายในเครือข่าย จะมีสิทธิในการควบคุมการสื่อสาร แทนที่จะ เป็นศูนย์กลางควบคุมเพียงโหนดเดียว ซึ่งโดยท่ัวไปคู่โหนดท่ีกาลังทาการส่ง-รับ ข้อมูลกันอย ู่จะเป็นผู้ควบคุมการ สอื่ สารในเวลานัน้ ขอ้ ดีข้อเสยี ของโทโปโลยีแบบบสั แบบดาว (star) เป็นหลักการส่งและรับข้อมูล เหมือนกับระบบโทรศัพท์ การควบคุมจะทาโดยสถานีศูนย์กลาง ทาหน้าท่ีเป็นตัว สวิตช่ิง ข้อมูลทั้งหมดในระบบเครือข่าย จะต้องผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง (Center Comtuper)เป็นการ เชอ่ื มโยงการติดต่อส่ือสาร ที่มลี กั ษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR)หลายแฉก โดยมีศนู ย์กลางของดาว หรอื ฮับ เปน็ จดุ ผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย ศูนย์กลาง จึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการส่ือสารทั้งหมด นอกจากนี้ศูนย์กลางยงั ทาหนา้ ที่ เป็นศนู ย์กลางขอ้ มลู อีกด้วย การส่ือสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้น ที่ สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพ่ือ ป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบ STAR เป็นโทโปโลยี อีกแบบหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมใช้กันใน ปัจจุบัน ข้อดีของเครือข่ายแบบSTAR คือการติดต้ังเครือข่ายและการดูแลรักษาทาได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความ เสียหาย กส็ ามารถตรวจสอบได้งา่ ย และศูนยก์ ลางสามารถตัดโหนดน้ันออกจากการส่ือสาร ในเครือขา่ ยได้

11 แบบวงแหวน (ring) เครือข่ายแบบ RING เป็นการส่งข่าวสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่าย ไปใน ทิศทางเดียว เหมือนวงแหวน หรือ RING น่ันเอง โดยไม่มีจุดปลาย หรือเทอร์มิเนเตอร์ เช่นเดียวกับเครือข่าย แบบ BUS ในแตล่ ะโหนดหรอื สเตชั่น จะมีรพี ตี เตอร์ประจาโหนด 1 เครอื่ ง ซง่ึ จะทาหน้าท่ีเพ่ิมเตมิ ขา่ วสารที่จาเป็น ต่อการสื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สาหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูล ท่ี ไหลผ่านมาจากสายส่ือสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูล ท่ีส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลท้ังหมด นั้น สง่ ต่อไปให้กับโหนดของตน แตถ่ ้าไมใ่ ช่ก็จะปลอ่ ยขอ้ มลู นั้นไปยังรีพตี เตอร์ของโหนดถัดไป โทโปโลยี แบบผสม (Hybrid Topology) ป็นเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลแบบผสมระหว่างเครือข่ายแบบใดแบบหน่ึงหรือมากกว่า เพ่ือความถูกต้องแน่นอน ทั้งน้ขี น้ึ อยกู่ บั ความต้องการและภาพรวมขององค์กร

12 เทคโนโลยี หมายถึง วิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลาดับอยากมีรูปแบบและขั้นตอนเพื่อท่ีจะทาใ ห้เกิด ประสิทธิภาพในเรอื่ งของความรวดเรว็ ความนา่ เชือ่ ถือ ความถกู ต้อง เป็นตน้ สารสนเทศ หมายถงึ ขอ้ มลู ดิบท่ไี ดผ้ ่านการประมวลผลจากคอมพิวเตอร์มาแลว้ คือ ผา่ นการคานวณ การ จดั เรียงการเปรยี บเทียบ เปน็ ตน้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง วิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลาดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอนเพื่อที่จะทาให้เกิด ประสทิ ธิภาพในเร่ืองของความรวดเรว็ ความน่าเชอื่ ถือ ความถูกตอ้ ง ซ่ึงเปน็ เทคโนโลยที ี่มีการนาคอมพวิ เตอร์ การ สื่อสาร การโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสาหรับการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมาทางานร่วมกัน เพื่อทาให้เกิด การแลกเปล่ยี นสารสนเทศ โดยนาข้อมูลปอ้ นเข้าส่เู ครอ่ื งคอมพิวเตอร์ และทาการประมวลผลเพื่อใหไ้ ดผ้ ลลัพธ์ตาม ต้องการ บทบาทความสาคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอานวยความสะดวกสบาย ต่อการดาชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพ้ืนฐานการดารงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทาให้การ สร้างท่ีพักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพ่ือตอบสนองความต้องการของ มนุษย์มากข้ึน เทคโนโลยีทาให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทาให้มีการติดต่อส่ือสารกันได้สะดวก การเดินทางเช่ือมโยงถึงกันทาให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟัง ข่าวสารกนั ไดต้ ลอดเวลา พัฒนาการของเทคโนโลยีทาให้ชีวติ ความเปน็ อยู่เปลีย่ นไปมาก ลองย้อนไปในอดตี โลกมีกาเนินมาประมาณ 4600 ลา้ นปี เชอ่ื กันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทาให้เกิดสิง่ มีชวี ิตถือกาเนนิ บนโลกประมาณ 500 ลา้ นปีท่ีแลว้ ยคุ ไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี ส่ิงมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธม์ุ นุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเม่ือห้าแสนปีที่ แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้า เม่ือประมาณ 5000 ปีท่ีแล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนา ตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อ ประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถงึ 800 ปที ีแ่ ล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทาให้การส่ือสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มข้ึนมาก เทคโนโลยี พัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีท่ีแล้ว และเม่ือ ประมาณห้าสิบปีท่ีแล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทาให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมาก ข้ึน ในปจั จุบนั มีสถานทีว่ ทิ ยุ โทรทัศน์ หนงั สอื พมิ พ์ แ ละสื่อตา่ ง ๆ ทใี่ ช้ในการกระจา่ ยขา่ วสาร มกี ารแพรภ่ าพทาง โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของ การพฒั นาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเม่ือมีการพฒั นาอปุ กรณท์ างดา้ นคอมพวิ เตอรแ์ ละส่วนประกอบ จะเหน็ ไดว้ า่ ในช่วง ส่หี า้ ปที ่ีผา่ นมาจะมีผลติ ภัณฑใ์ หม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกย่ี วข้องใหเ้ หน็ อยตู่ ลอดเวลา 2.4 ระบบสารสนเทศทใี่ ชค้ อมพิวเตอร์

13 ระบบสารสนเทศท่ใี ชค้ อมพิวเตอร์ (Computer-Based Information Systems : CBIS) ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ (Hardware), ซอฟต์แวร์ (Software), ข้อมูล (Data), บุคคล (People), ขบวนการ (Procedure) และการสื่อสารข้อมูล (Telecommunication) ซึ่งถูกกาหนด ข้ึนเพื่อทาการรวบรวม, จัดการ จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ แสดงส่วนประกอบของระบบ สารสนเทศท่ีใชค้ อมพิวเตอร์ 1. ฮาร์ดแวร์ คืออุปกรณ์ทางกายภาพ ที่ใช้ในการรวบรวม การนาเข้า และการจัดเก็บข้อมูล, ประมวลผล ขอ้ มลู ให้เป็นสารสนเทศ และแสดงสารสนเทศทีเ่ ปน็ ผลลพั ธอ์ อกมา 2. ซอฟต์แวร์ ประกอบด้วยกลุ่มของโปรแกรมท่ีใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกับฮาร์ดแวร์และใช้ในการ ประมวลผลข้อมลู เป็นสารสนเทศ 3. ข้อมูล ในส่วนนี้หมายถึงข้อมูลและสารสนเทศที่ถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูล โดยฐานข้อมูล (Database) หมายถงึ กลุ่มของค่าความจรงิ และสารสนเทศทม่ี คี วามเก่ียวข้องกันนน่ั เอง 4. บคุ คล หมายถงึ บคุ คลทีใ่ ชง้ านและปฏิบตั ิงานร่วมกบั ระบบสารสนเทศ 5. ขบวนการ หมายถึงกลุ่มของคาสั่งหรือกฎ ท่ีแนะนาวิธีการปฏิบัติงานกับคอมพิวเตอร์ในระบบ สารสนเทศ ซึ่งอาจได้แก่การแนะนาการควบคุมการเข้าใชง้ านคอมพิวเตอร์, วิธีการสารองสารสนเทศในระบบและ วิธจี ัดการกบั ปญั หาทอ่ี าจเกดิ ขึน้ ได้ 6. การสื่อสารข้อมูล หมายถึงการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เพื่อติดต่อสื่อสาร และช่วยให้องค์กรสามารถ เชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่าย (Network) ท่ีมีประสิทธิภาพได้ โดยเครือข่ายใช้ในการเชื่อมต่อ คอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไวด้ ว้ ยกนั อาจจะเป็นภายในอาคารเดยี วกนั ในประเทศเดียวกัน หรอื ทว่ั โลก เพอ่ื ใหส้ ามารถสือ่ สารข้อมลู อเิ ลก็ ทรอนิกสไ์ ด้ 2.5 ระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการ ความหมายของระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ (Management Information Systems) (MIS) เปน็ ระบบเกีย่ วกับการ จัด หาคน หรือข้อมูลท่ีสัมพันธ์กับข้อมูล เพื่อการดาเนินงานขององค์การ เช่น การใช้ MIS เพื่อช่วยเหลือกิจกรรม ของลกู จ้าง เจ้าของกิจการ ลกู ค้า และบคุ คลอน่ื ที่เจา้ มาเกยี่ วข้องกบั องคก์ าร การประมวลผลของข้อมลู จะชว่ ยแบ่ง ภาระการ ทางานและยังสามารถนา สารสนเทศมา ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร หรือMIS เป็นระบบซ่ึงรวม ความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้มาซ่ึงสารสนเทศเพื่อการ ดาเนินงานการจัดการ และการตัดสินใจในองค์การ หรือ MIS หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล การ ประมวลผล

14 และการสร้างสารสนเทศข้ึนมาเพ่ือช่วยในการตัดสินใจ การประสานงาน และการควบคุม นอกจากน้ันยังช่วย ผู้บริหาร และ พนักงานในการวิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหา และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ โดย MIS จะต้องใช้อุปกรณ์ทาง คอมพิวเตอร์ (Hardware) และ โปรแกรม (Software) ร่วมกับผู้ใช้ (Peopleware) เพ่ือก่อให้เกิดความสาเร็จใน การได้มาซึง่ สารสนเทศท่มี ีประโยชน์ การใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems) ได้ขยายขอบเขตเกีย่ ว ข้อง กับ หลายหน้าทใี่ นองค์การและเป็นประโยชน์กับบุคคลหลายระดับ ตง้ั แต่การใชง้ านสว่ นบุคคล กลมุ่ องค์การ และ ระหว่างหน่วยงาน MIS ช่วยให้ผู้ใช้สารสนเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจท่ียุ่งยาก และซับซ้อนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ตลอดจนสรา้ งโอกาสทางธุรกจิ ให้กบั หลายองคก์ าร ดังที่ Kroenke และHatch (1994) กลา่ วถึง ความสาคัญและผลกระทบของระบบสารสเทศท่ีมตี อ่ ธรุ กิจดังต่อไปน้ี 1. ระบบสารสนเทศชว่ ยสร้างคณุ ค่าเพิ่มให้กบั การทางาน 2. บคุ ลากรทุกคนต้องมีความรเู้ กี่ยวกบั MIS เนอ่ื งจากปจั จบุ นั มีการพฒั นาและการใชง้ านสารสนเทศทัว่ องค์การ ตลอดจนการขยาย ตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศและการปรบั รปู ของระบบงานอย่างต่อเน่อื ง 3. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ เพือ่ ตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจและการบรรลุเปา้ หมาย ขององค์การมากข้ึน ปจั จุบนั เทคโนโลยี MIS มพี ัฒนาการมากข้นึ จนมีความสาคญั ต่อเราในหลายระดบั ที่แตกตา่ งจากอดีต เรา จะเห็นวา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศมีความจาเปน็ และความสาคญั สาหรับผู้ศกึ ษาและปฏิบัติงานในสาขาตา่ ง ๆ เช่น การบัญชี การเงิน การตลาด และการจัดการทรัพยากรบุคคล แม้กระทง่ั วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศลิ ปศาสตร์ ดังนั้นบุคลากรทีจ่ ะปฏบิ ัตงิ าน ในทกุ สาขา จงึ สมควรมคี วามรู้และความเขา้ ใจในหลกั การของ MIS เพ่ือใหก้ าร ทางานมปี ระสิทธิภาพและประสบผลสาเร็จในอาชีพได้ Laudon และ Laudon (1994) กล่าววา่ การเปลย่ี นแปลงทีม่ ผี ลต่อสภาพแวดลอ้ มในการแข่งขนั ทางธรุ กจิ มี 2 ประการคอื 1. การรวมตวั ของระบบเศรษฐกิจโลก (Emergence of the Global Economy) กอ่ ให้เกดิ กระบวนการ โลกาภิวตั น์ ของตลาด (Globalization of Markets) ท่ีเกิดการบูรณาการของทรัพยากรทางธุรกิจและการแข่งขัน ทว่ั โลก ธุรกิจขยาย งานครอบคลุมพืน้ ท่ีกว้างขวางจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ จากระดบั ประเทศส่รู ะดบั ภมู ภิ าค และจากระดับภูมิภาคสู่ ระดับโลก โดยท่ีการขยายตวั ของธรุ กจิ ไมเ่ พยี งแต่เปน็ การกระจายสนิ ค้า และ บริการอย่างเป็นระบบและทัว่ ถึง แตค่ รอบคลมุ การจัดตั้ง การจัด เตรียม ทรัพยากร การผลติ และดาเนนิ งาน ดงั นน้ั องคก์ ารธุรกจิ ในยุค โลกาภวิ ัตนจ์ งึ ต้องมีโครงสรา้ ง องค์การและการ ประสานงานที่สอดรบั และสามารถ ควบคมุ อย่างมีประสิทธิภาพ

15 2. การปรับรปู ของระบบเศรษฐกจิ อุตสาหกรรม (Transformation of Industrial Economies) ประเทศ อตุ สาหกรรม ชัน้ นา เช่น สหรฐั อเมรกิ า แคนาดา ยุโรปตะวันตก และญปี่ ุ่นปรบั ตวั จากระบบ เศรษฐกจิ อตุ สาหกรรมเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจทีอ่ าศัยเทคโนโลยีทท่ี ันสมยั ซง่ึ จะเหน็ ไดจ้ ากประมาณร้อยละ 70 ของรายได้ ประชาชาตขิ องประเทศท่ีพฒั นาแล้ว จะมาจากธุรกิจบริการ และธุรกิจทีใ่ ชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศ ในการสร้าง มลู ค่าเพิ่ม (Value Added) การปรับรปู ของระบบเศรษฐกิจจากอตุ สาหกรรมเข้าสธู่ รุ กิจบรกิ าร สง่ ผลกระทบต่อ การคา้ และการลงทุน เชน่ การแข่งขันทวคี วามรุนแรงและซับซ้อนขึ้น วงจรชวี ติ ของผลิตภัณฑ์ และบรกิ ารสัน้ ลง ธุรกิจตอ้ งตอบสนองและสรา้ งความพอใจแก่ลูกค้า เปน็ ต้น ทาให้ธรุ กิจต้องการบุคลากรที่มี ความรู้ (Knowledge Worker) ในการสร้างคณุ คา่ เพิ่มใหแ้ ก่องค์การ ส่งผลให้ธุรกิจต้องพฒั นา ทรัพยากรบุคคลอยา่ งตอ่ เนือ่ ง ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ หมายถึง ระบบทร่ี วบรวมและจดั เก็บขอ้ มลู จากแหล่งข้อมลู ตา่ ง ๆ ทง้ั ภายใน และภายนอกองคก์ ารอย่างมีหลักเกณฑ์ เพ่ือนามาประมวลผลและจดั รูปแบบให้ได้ สารสนเทศที่ ช่วย สนับสนุนการทางาน และการตดั สนิ ใจในดา้ นต่าง ๆ ของผู้บริหารเพือ่ ให้การดาเนนิ งานของ องค์การ เป็นไปอย่าง มปี ระสิทธภิ าพ โดยท่ีเราจะเปน็ ว่า MIS จะประกอบด้วยหน้าทห่ี ลัก 2 ประการคือ 1. สามารถเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ต่าง ๆ ทงั้ จากภายในและภายนอกองค์การ มาไว้ด้วยกนั อย่างเป็น ระบบ 2. สามารถทาการประมวลผลข้อมลู อยา่ งมีประสิทธภิ าพ เพอ่ื ใหไ้ ดส้ ารสนเทศทีช่ ่วยสนับสนุน การ ปฏบิ ตั งิ านและการบริหารงานของผู้บรหิ าร หน้าทหี่ ลกั ของระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ ชุมพล ศฤงคารศิริ (2537 : 2) ให้ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ เป็นระบบท่ีรวม (integrate) ผู้ใช้ (user) เคร่ืองคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ (machine) เพื่อจัดทาสารสนเทศ สาหรับ สนับสนุน การปฏิบัติงาน (operation) การจัดการ (management) และการตัดสินใจ (decision making) ใน องค์กรจาก ความหมายท่ีกล่าวมาสามารถสรุปความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การได้คือ การรวบรวม และการจัดเก็บข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับองค์การ ท้ังจากภายใน และภายนอก หน่วยงาน เพื่อ นามาประมวลผล และจดั รูปแบบ ใหไ้ ดส้ ารสนเทศที่เหมาะสมกับองค์การ ในการช่วยในการตัดสนิ ใจ ประสานงาน และควบคุมของผู้บรหิ าร ในอันทจ่ี ะ ดาเนนิ งานไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ 1.6 วธิ ีการใช้และการบารุงรกั ษาเครือ่ งคอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม

16 1.6.1 ความปลอดภัยในการใช้คอมพิวเตอร์ 1. ความปลอดภยั ของคอมพวิ เตอร์ (1) อยา่ จบั ต้องอุปกรณภ์ ายในหากเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ยังเปดิ อยู่ (2) อยากเปดิ ปิดสวติ ช์เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์บ่อยๆ ถา้ โปรแกรมมปี ญั หาให้ กด reset แทนการปิดเปิด 2. ความปลอดภัยของผใู้ ช้ อนั ตรายทเ่ี กิดจากไฟฟ้าดูด การใช้ปลกั้ เสียบคอมพวิ เตอร์ต้องใช้ปล๊ักเสียบ 3 ขา เพราะขาท่ีสามของปลั๊กเสียบคอมพิวเตอร์มีสายต่อกับส่วนที่เป็นโลหะของอุปกรณ์จ่ายไฟ ซึ่งยึดติดกับกล่องของ คอมพิวเตอรเ์ รยี กว่าสายดิน 1.6.2 สภาพแวดล้อมและการติดตง้ั เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ สภาพแวดล้อมโดยท่ัวไป อาจมีผลต่อสภาพจิตใจของพนักงานโดยตรง โดยเฉพาะงานที่ต้องอยู่กับ เคร่ืองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมทั้งส่วนประกอบของระบบอ่ืนที่เก่ียวข้องกับคอมพิวเตอร์ด้วย เช่น เมาส์ เครอื่ งพมิ พ์ เป็นต้น ขอ้ ควรปฏิบตั ิเกยี่ วกับการจดั สภาพแวดล้อมสาหรบั งานคอมพวิ เตอร์ มีดงั นี้ 1. การติดตั้งตัวเคร่ืองคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ เมาส์ และอุปกรณ์ประกอบอื่นควรให้เกิดความสะดวกใน การใช้งาน ทาให้การใช้งานเป็นธรรมชาติมากทีส่ ุด ไม่ควรให้เกดิ อาการเซง็ มแี นวทางปฏิบตั ิดังน้ี 1) สถานที่ติดต้ังเคร่ืองและอุปกรณ์ ควรมีพื้นที่กว้างขวางมากพอที่จะทาให้ผู้ใช้เครื่อง คอมพวิ เตอร์สามารถเคลือ่ นไหวได้สะดวก 2) แป้นพมิ พ์ ควรวางให้อยู่ตรงหน้าของผู้ใช้และตรงกับหนา้ จอดว้ ย เพราะจะสามารถปล่อยแขน ให้หอ้ ยลงแนบกับลาตัวไดท้ ันทที ่รี ู้สึกเม่ือย และทาใหไ้ ม่ตอ้ งเก่งไรในขณะป้อนข้อมลู 3) เมาส์ ควรวางในระดบั เดียวกับแปน้ พมิ พ์ และวางในดา้ นท่ีถนัด 2. การจัดวางคอมพิวเตอร์และเก้าอี้ ที่นั่งที่เหมาะสมนอกจากต้องสัมผัสกันระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้ที่ใช้งาน แล้ว ยังควรให้เหมาะสมกับคนที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โต๊ะและเก้าอี้แบบปรับความสูงได้จะให้ประโยชน์มากกว่า เพราะสามารถปรบั ระดับในกรณีทตี่ ้องใช้งานคอมพิวเตอร์ชดุ เดียวกันหลายๆคน ปัจจัยที่ควรคานงึ ถึงเม่ือต้องปรับ ระดบั ของโต๊ะหรือเกา้ อ้ี คอื

17 1) ระดับความสูงของโตะ๊ และเก้าอ้ีประมาณ 28-31 นิ้ว และ 16-21 นว้ิ ตามระดบั เพือ่ ทาใหศ้ อกกับ ข้อมอื ของผใู้ ชใ้ นขนานกบั พน้ื 2) ไมท่ าใหผ้ ูใ้ ช้มีอาการเกรง บรเิ วณชว่ งแขน มือ 3) นั่งทางานใหช้ ่วงล่างของแผน่ หลังพงิ สนทิ กบั พนักเก้าอ้ี 4) ควรจดั สรรพน้ื ที่วางบนโต๊ะไวบ้ างส่วน 3. การเคล่ือนไหวมือและแขนเป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนบ่อยที่สุด และหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทางานดังนั้นควรใหก้ าร เคล่อื นไหวเปน็ ธรรมชาตทิ ่สี ดุ เพราะจะทาใหท้ างานได้เปน็ เวลานาน จึงควรปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1) ในขณะป้อนข้อมูล ควรใชป้ ลายน้ิวและข้อมืออยใู่ นระดับและแนวเดียวกนั 2) อยา่ ให้ขอ้ ศอกอยู่ชดิ และหา่ งลาตัวเกินไป 3) ในขณะใช้แป้นพิมพ์ เมาส์ หรอื อุปกรณอ์ น่ื ๆ ควรใหม้ ืออยูใ่ นทา่ ที่เปน็ ธรรมชาติ 4) ควรมีการบรหิ ารน้วิ มอื ในขณะป้อนขอ้ มลู ด้วยวธิ ีการกามอื ใหแ้ น่นแลว้ คลายออก 5) ควรจบั เมาสเ์ บาๆและวางน้ิวชก้ี ับน้ิวกลางบนปุ่มกดทัง้ สองของมือ 4. มมุ มองจอภาพและการถนอมสายตา หมายถงึ ระดบั ของการมองจอภาพรวมทั้งการจดั แสงสวา่ งภายใน ห้องเพือ่ ใหไ้ มเ่ มื่อยสายตาไหล่และบริเวณลาคอ มแี นวทางปฏบิ ัตดิ งั นี้ 1) ใหจ้ อภาพอยตู่ รงหน้าผใู้ ชง้ านโดยห่างจากตาของผูใ้ ช้ประมาณ 20 ถงึ 36 นวิ้ 2) ระดับขอบบนของจอภาพตอ้ งไม่สงู กว่าระดบั สายตาของผ้ใู ช้ 3) ใหเ้ กิดแสงสะทอ้ นจากสภาพสูตรอาผู้ใชน้ ้อยทส่ี ดุ 4) อยา่ ปรบั ความสวา่ งของจอภาพ 5) ห้องทางานควรปรบั ความสวา่ งได้ 6) ควรพักสายตาเป็นระยะๆ 1.6.3 ข้อควรระวงั เก่ยี วกับการใชค้ อมพิวเตอร์ 1) ไม่ควรนาเอาอปุ กรณส์ ารองของขอ้ มูลออกจากเครอื่ งอา่ น 2) ไม่ควรปิดเครื่องคอมพิวเตอรข์ นาดท่ไี ฟของฮารด์ ดสิ ก์ติดอยู่ 3) ไมค่ วรเปดิ จอภาพท้ิงไวน้ านๆ 4) เมอ่ื ปดิ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์แล้วไม่ควรเปดิ เคร่ืองคอมพิวเตอรท์ ันที 5) ไม่ควรเสยี บสายไฟค้างไว้ทเ่ี ตา้ เสียบ 6) การเกบ็ ข้อมลู ไมค่ วรเก็บชดุ เดยี วควรทาแฟ้มสารองขอ้ มลู ไวห้ ลายชดุ

18 3.1 ความรเู้ บื้องตน้ เก่ียวกับอินเทอรเ์ นต็ อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดใหญ่ มีการเชื่อมต่อระหว่าง เครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาท่ีใช้ส่ือสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ท่ีเรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผใู้ ช้เครอื ข่ายนสี้ ามารถส่ือสารถึงกันไดใ้ นหลาย ๆ ทาง อาทิ อเี มล เว็บบอรด์ และสามารถสบื คน้ ขอ้ มูล และขา่ วสารตา่ ง ๆ รวมท้ังคัดลอกแฟม้ ขอ้ มลู และโปรแกรมมาใช้ได้ ความสามารถของอนิ เทอรเ์ นต็ 1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic mail=E-mail) เป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ตโดยผู้สง่ จะต้องส่งขอ้ ความไปยังท่ีอยู่ของผรู้ บั และแนบไฟล์ไปได้ 2. เทลเน็ต (Telnet) การใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหน่ึงท่ีอยู่ไกล ๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น สามารถเรียก ข้อมลู จากโรงเรยี นมาทาทบี่ า้ นได้ 3. การโอนถา่ ยข้อมลู (File Transfer Protocol ) คน้ หาและเรยี กข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่อง ของเราได้ ทงั้ ขอ้ มูลประเภทตัวหนังสอื รูปภาพและเสยี ง 4. การสืบค้นข้อมูล (Gopher,Archie,World wide Web) การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการค้นหา ข่าวสารที่มอี ยู่มากมาย ใชส้ ืบค้นข้อมูลจากแหลง่ ข้อมูลตา่ งๆ ท่ัวโลกได้ 5. การแลกเปลี่ยนขา่ วสารและความคิดเห็น (Usenet) เป็นการบริการแลกเปลยี่ นข่าวสารและแสดงความ คิดเห็นท่ีผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตท่ัวโลก แสดงคว ามคิดเห็นของตน โ ดยกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป (Newgroup)แลกเปลย่ี นความคิดเห็นกัน 6. การสื่อสารด้วยข้อความ (Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุย โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการส่ือสารที่ได้รับความนิยมมากอีกวิธีหน่ึง การสนทนากันผ่านอินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนเราน่ังอยู่ใน หอ้ งสนทนาเดียวกัน แม้จะอย่คู นละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม 7. การซื้อขายสินค้าและบริการ (E-Commerce = Electronic Commerce) เป็นการซ้ือ - สินค้าและ บรกิ าร ผ่านอินเทอร์เน็ต 8. การให้ความบันเทิง (Entertain) บนอินเทอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงหลายรูปแบบต่างๆ เช่น รายการโทรทัศน์ เกม เพลง รายการวิทยุ เปน็ ต้น เราสามารถเลอื กใชบ้ รกิ ารเพ่อื ความบนั เทงิ ไดต้ ลอด 24 ชัว่ โมง 3.2 เวบ็ ไซต์และโปรแกรมเวบ็ เบราเซอร์

19 บราเซอร์ (Browser) เปน็ ชอื่ ทใี่ ช้เรียกโปรแกรมท่ีเราใช้ท่องเว็บกัน ซึง่ ช่ือนีห้ ลายท่านไมค่ ้นุ และไมร่ ู้จัก ส่วนมาก เวลาถามวา่ ใช้อะไรเลน่ เนต็ ก็มกั จะได้คาตอบวา่ IE บ้าง Chrome บ้าง Firefox บา้ ง แตพ่ อถามวา่ ใช้เบราเซอร์ อะไร กลับไดร้ บั คาตอบคือ งงๆๆๆ อะไรคือเบราเซอร์? เบราเซอร์ (Browser) คือโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ทใี่ ชท้ ่องเวบ็ หรือใช้ดูข้อมูลทอี่ ยู่ในเว็บไซต์ เบราเซอร์มี ความสามารถในการเปิดดูไฟล์ตา่ งๆ ทีส่ นบั สนนุ เช่น Flash JavaScript PDF Media ตา่ งๆ ซ่งึ เบราเซอร์มีหลาย ตวั และความสามารถของแต่ละตัวกแ็ ตกต่างกันข้ึนอยู่กบั วา่ ผู้พฒั นาเบราเซอร์ พฒั นาให้มคี วามสามารถอะไรบ้าง เบราเซอร์มักใชเ้ ปดิ ดเู วบ็ เปน็ สว่ นใหญ่ และการใช้งานตา่ งๆในระบบเครือขา่ ยอินเตอรเ์ นต็ กม็ กั จะทาผ่านเบราเซอร์ เช่น การดภู าพยนตร์ผา่ น Youtube การส่งเมล์ การซือ้ ขายสนิ ค้าในระบบ e-commerce การใชส้ อื่ สงั คม ออนไลน์ (Social Media) การดาวนโ์ หลดไฟล์ การเล่นเกมผา่ นเน็ต การเรยี นออนไลน์ เปน็ ตน้ ลว้ นแล้วแตท่ า ผา่ นเบราเซอรท์ ง้ั สิ้น เรามาดูกันครบั ว่ามีเบราเซอร์อะไรที่นิยมใช้กนั บา้ ง ชอื่ เบราเซอร์ ขอ้ ดี ข้อจากัด - เป็นบราวเซอร์ทค่ี นใชง้ านมากท่ีสุดในโลก - IE เปิดหลายๆ แทบ็ มักจะเกิดอาการคา้ ง รองรบั การเปิดเวบ็ ไซต์ไดท้ กุ เวบ็ ไซต์ เมอื่ ไมท่ างาน เกิด - ช้าทีส่ ดุ เม่อื เทียบกับบราวเซอรอ์ นื่ ๆ ปัญหาเกดิ สามารถแก้ไขได้ง่าย - ใชห้ น่วยความจาคอมพิวเตอรม์ ากทีส่ ุด - เวบ็ ไซตเ์ กมทุกเว็บหรือโซเชียลเน็ตเวริ ์ค ซงึ่ อาจทาใหเ้ ครอ่ื งช้าไปด้วย Internet Explorer (IE) ต่างๆ รองรับโค้ดของ IE - เรว็ ที่สดุ ในบรรดาเบราเซอร์ทุกตวั ในทีน่ ้ี - Google สนับสนนุ นอ้ ยลงเนื่องจาก หนั ไป - เตม็ ไปด้วยอุปกรณเ์ สรมิ ( add-ons ) พัฒนา Chrome แทน - ถ้าโดนบกุ รกุ จากสปายแวร์ ไวรสั หากใช้ - ผใู้ ชท้ ัว่ โลกยังนอ้ ย เมื่อเทยี บกบั IE เพราะ เบราเซอร์ FireFox จะไมค่ ่อยเจอปญั หา IE (เกอื บ 100%) ดว้ ยระบบการรักษาความ ตดิ มากบั วนิ โดวอ์ ยู่แล้ว FireFox ปลอดภัยและระบบการอัพเดตอยู่ตลอด - เวบ็ ไซต์ส่วนใหญ่ทาดว้ ย IE แสดงผลใน จะชว่ ยแกป้ ญั หาได้ อยา่ งทันทว่ งที Firefox ไม่ได้ หรอื ถา้ แสดงได้ ก็อาจ - มีลกุ เลน่ เยอะ ไมส่ มบูรณ์ - มีตวั ดาวนโ์ หลดอยใู่ นตวั - ไมส่ ามารถเขา้ ไปยังเวบ้ ไซต์ของสถาบนั - มกี ารอัพเดทอยูเ่ ร่ือย ๆ การเงนิ ตา่ ง ๆ ได้ - เนอื่ งจากลูกเลน่ เยอะ กม็ ขี ้อดีและข้อเสีย ในตัวคือลูกเลน่ เยอะ เปิดแทบ็ ไดเ้ ยอะ กนิ แรมมาก

20 - พื้นท่หี นา้ จอใหญท่ ่ีสดุ และใชเ้ น้ือทคี่ ุม้ ค่า - ไตเตลิ้ บารส์ ้นั ท่สี ดุ - เขา้ เว็บสถาบนั การเงนิ ไมไ่ ด้เช่นเดยี วกบั - เร็วกว่า IE และเร็วพอ ๆ กับ Firefox FireFox - มีแถบสาหรบั การค้นหาทร่ี วดเร็ว - ยงั ซัพพอร์ตภาษาไทยไดไ้ ม่ดีเท่าที่ควร - ขนาดไฟลน์ ้อย ไมห่ นกั เคร่ือง - การลบตัวอักษร ถ้าคาที่มีสระอยดู่ ว้ ยมัน Google Chrome - หนา้ ตา่ งดาวน์โหลดอยูแ่ ถบด้านลา่ ง ไม่ จะลบ Opera เกะกะ ไปหมด เหมอื น IE และ Firefox ท่ีเดง้ ออกมาเปน็ อกี หนา้ ตา่ ง - ดงึ แอพของกเู กลิ มาใช้งานอย่างสะดวก - เร็วกวา่ IE Chrome FireFox - ลูกเล่นน้อย บางหน้าเว็บแสดงผลเพ้ยี น - รูปลักษณ์สวย - เวลาเปดิ บางทชี ้ากว่าเบราเซอร์อ่ืน ๆ - ใชห้ น่วยความจาของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ - ไม่ซพั พอร์ตเวบ็ ที่เปน็ ไออเี ท่านั้น เชน่ น้อยกวา่ IE แตก่ ็ยังมากกว่า Chrome เว็บของสถาบันการเงนิ ตา่ งๆ - มี download manager ในตวั - ซัพพอรต์ HTML CSS

ค อ้างอิง https://sites.google.com/site/sarsnthespheuxkarcadkarxachiph