36 4. มติ ิดา้ นลักษณะการคดิ ซ่ึงประกอบด้วยสาระเก่ยี วกับคิดคล่อง คดิ หลากหลาย คดิ ละเอยี ด คดิ อย่างมีเหตุผล คดิ ไกล และคิดถกู ทาง 5. มติ ดิ า้ นกระบวนการคิด ซ่ึงประกอบด้วยสาระเกี่ยวกบั การคดิ “10 ชนิด” ไดแ้ ก่ 5.1 การคดิ แบบวจิ ารณญาณ (Critical Thinking) 5.2 การคดิ แบบรเิ รมิ่ (Initiative Thinking) 5.3 การคดิ แบบสรา้ งสรรค์ (Creative Thinking) 5.4 การคดิ แบบกลยุทธ์ (Strategic Thinking) 5.5 การคิดแบบอย่างเปน็ ระบบ (System Thinking) 5.6 การคิดแบบบูรณาการ (Integrative Thinking) 5.7 การคิดแบบเชิงเปรยี บเทียบ (Comparative Thinking) 5.8 การคิดเชิงประยกุ ต์ใช้ (Application Thinking) 5.9 การคดิ เชิงสงั เคราะห์ (Synthesis Thinking) 5.10 การคิดแบบแผนท่ี (Mind Map Thinking) 6. มิติด้านการควบคมุ และประเมนิ ความคิดของตน ซ่ึงประกอบดว้ ยสาระเก่ียวกับประสิทธผิ ลของการ บริหารมวี ิธกี ารทีด่ ีขึ้นปรับปรุงระบบงานดีขนึ้ การพัฒนาสร้างนวตั กรรมใหม่ สรา้ งความได้เปรยี บในการ แขง่ ขนั ศรินธร วิทยะสริ ินนั ท์ ไดก้ ลา่ ววา่ ทกั ษะการคิด หมายถึงความสามารถในการคดิ ในลักษณะตา่ งๆ ซ่ึง เปน็ องค์ประกอบของกระบวนการคดิ ท่ีสลับซบั ซอ้ น ทักษะการคดิ อาจจัดเปน็ ประเภทใหญๆ่ ได้ 2 ประเภท คือ 1. ทักษะพ้ืนฐำน (basic skills) หมายถึง ทักษะการคิดท่ีเป็นพื้นฐานเบ้ืองต้นต่อการคิดในระดับที่ สูงข้ึนหรือซับซ้อน ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นทักษะการสื่อความหมาย ที่บุคคลทุกคนจาเป็นต้องใช้ในการสื่อสาร ความคิดของตน ได้แก่ ทักษะการส่ือความหมาย (communication skills) และทักษะการคิดที่เป็นแกนหรือ ทกั ษะการคิดท่วั ไป (core or general thinking skills) 1.1 ทักษะการส่อื ความหมาย ได้แก่ การฟัง (listening) การอา่ น (reading) การรับรู้ (perceiving) การจดจา (memorizing) การจา (remembering) การคงส่ิงท่ีเรียนไปแล้วไว้ได้ภายหลังการ เรียนน้ัน (retention) การบอกความรู้ได้จากตัวเลือกที่กาหนดให้ (recognizing) การบอกความรู้ออกมาด้วย
37 ตนเอง(recalling) การใช้ข้อมูล (using information) การบรรยาย ( describing) การอธิบาย (explaining)การทาให้กระจ่าง (clarifying) การพูด (speaking) การเขียน (writing) และการแสดงออกถึง ความสามารถของตน 1.2 ทักษะการคิดทเี่ ป็นแกนหรอื ทักษะการคิดท่ัวไป หมายถงึ ทกั ษะการคดิ ท่ีจาเป็นตอ้ งใช้ อยู่เสมอในการดารงชีวิตประจาวัน และเป็นพ้ืนฐานของการคิดข้ันสูงท่ีมีความสลับซับซ้อน ซึ่งคนเรา จาเป็นต้องใช้ในการเรียนรู้เนื้อหาวิชาการต่างๆ ตลอดจนใช้ในการดารงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่ การสังเกต (observing)การสารวจ (exploring) การต้ังคาถาม (questioning) การเก็บรวบรวมข้อมูล (information gathering) การระบุ (identifying) การจาแนกแยกแยะ (discriminating) การจัดลาดับ (ordering) การ เปรียบเทียบ(comparing) การจัดหมวดหมู่ (classifying) การสรุปอ้างอิง (inferring) การแปล (translating) การตีความ(interpreting) การเช่ือมโยง (connecting) การขยายความ (elaborating) การให้เหตุผล (reasoning) และการสรุปยอ่ (summarizing) 2. ทักษะการคิดข้ันสูง หรือทักษะการคิดท่ีซับซ้อน (higher order or more complexed thinkingskills) หมายถึง ทักษะการคิดท่ีมีข้ันตอนหลายชั้น และต้องอาศัยทักษะการส่ือความหมาย และ ทักษะการคิดที่เป็นแกนหลายๆ ทักษะในแต่ละขั้น ทักษะการคิดข้ันสูงจึงจะพัฒนาได้เมื่อเด็กได้พัฒนาทักษะ การคิดพ้ืนฐานจนมคี วามชานาญพอสมควรแล้ว ได้แก่ การสรุปความ (drawing conclusion) การให้คาจากัด ความ(defining) การวิเคราะห์ (analyzing) การผสมผสานข้อมูล (integrating) การจัดระบบความคิด (organizing)การสร้างองค์ความรู้ใหม่ (constructing) การกาหนดโครงสร้างความรู้ (structuring) การแก้ไข ปรับปรุงโครงสร้างความรู้เสียใหม่ (restructuring) การค้นหาแบบแผน (finding patterns) การหาความเชื่อ พ้ืนฐาน(finding underlying assumption) การคิดคะเน / การพยากรณ์ (predicting) การตั้งสมมุติฐาน (formulating hypothesis) การทดสอบสมมุติฐาน (testing hypothesis) การต้ังเกณฑ์ (establishingcriteria) การพสิ จู นค์ วามจรงิ (verifying) และการประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ (applying) กำรคิดแบบอย่ำงเปน็ ระบบ (System Thinking) ทกั ษะการคดิ นบั เปน็ ศกั ยภาพท่ีสาคัญสาหรับผูเ้ รยี นท่จี ะต้องใชใ้ นการวางแผน ดาเนนิ งาน และนาผล การจดั ทาโครงงานไปใช้ อย่างไรกต็ ามขอเสนอแนะวา่ ทักษะการคดิ ท้ังหลายผู้เรยี นควรใหค้ วามสนใจพฒั นา ฝึกฝนทกั ษะการคดิ เพราะเป็นเครื่องมอื สาคัญท่จี ะตดิ ตวั และนาไปใช้ได้ตลอดกาลอย่างไม่มขี ีดจากัด และ เป็นพิเศษสาหรบั ทกั ษะการคิดแบบอยา่ งเปน็ ระบบ (System Thinking) เป็นลกั ษณะการคิดที่ต้องมี ส่วนประกอบสองสว่ นทงั้ การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking) และการคดิ เชิงตรรกะ (Logical Thinking) ซึ่งต้องเป็นกระบวนการคิดท่ีมีปฏสิ ัมพนั ธ์กนั โดยก่อใหเ้ กิดพลงั อย่างใดอยา่ งหนึง่ หรอื หลายอย่าง
38 สาหรบั การคิดเชิงวเิ คราะห์ (Analytical Thinking) มีเทคนิคในการพฒั นาตนเองดว้ ยการฝึกแยกแยะประเด็น ฝึกเทคนิคการคิดในการนาแนวคดิ ทฤษฎที ี่ไดเ้ รยี นรู้ มาประยกุ ต์ใช้กับโครงงานท่ีจะทาและใชเ้ ทคนิค STAS Model มาช่วยในการคดิ วิเคราะห์ ได้แก่ Situation Theory Analysis Suggestion สว่ นเทคนคิ การคดิ เชิง ตรรกะ (Logical Thinking) เป็นการฝกึ ทักษะการคดิ แบบความสมั พันธ์เชิงเหตุผล ทง้ั ความสัมพันธใ์ นแนวดิ่ง และความสมั พันธ์ในแนวนอน 4.3 ทักษะกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ การทาโครงงานผ้เู รยี นจาเป็นต้องมีทักษะ ซ่ึงอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุม่ ไดแ้ ก่ 1. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน มี 8 ทักษะ ได้แก่ การสงั เกต การลงความเห็นจาก ขอ้ มูล การจาแนกประเภท การวัด การใชต้ ัวเลข การพยากรณ์ การหาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสเปสกับสเปส และสเปสกบั เวลา การจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมูล 2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้นั สูง มี 5 ทักษะ ไดแ้ ก่ การกาหนดและควบคุมตวั แปร การ ต้ังสมมตุ ิฐาน การกาหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ตั ิการ การทดลอง การตคี วามหมายข้อมลู และการลงข้อสรุปทักษะทั้ง 5นี้ เป็นเร่ืองใหม่และมีความสาคญั ในการทาวจิ ัย ผูเ้ รยี นจาเป็นต้องทาความเข้าใจให้ชัดเจนกอ่ น ทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตรข์ ั้นพนื้ ฐำน มี 8 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ 1. การสังเกต เปน็ การใชป้ ระสาทสัมผสั ทงั้ 5 คอื ตา หูจมูก ผิวกาย และลิ้น หรืออย่างใดอยา่ งหนงึ่ ในการสารวจวตั ถหุ รือปรากฏการณต์ า่ งๆ หรอื จากการทดลอง เพื่อค้นหารายละเอยี ดตา่ งๆ ของข้อมูล ข้อมลู จากการสังเกตแบง่ เป็น 2 ประเภท คือ - ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ เป็นขอ้ มลู จากการสังเกตคุณลกั ษณะของสิ่งต่างๆ เชน่ สีรูปรา่ ง รส กล่นิ ลกั ษณะ สถานะ เปน็ ต้น - ข้อมลู เชิงปรมิ าณ เป็นข้อมลู ที่ได้จากการสังเกต ขนาด ความ ยาว ความสงู น้าหนัก ปริมาตร อณุ หภมู ขิ องสิ่งต่างๆ 2. การลงความเหน็ จากข้อมูล เป็นการอธิบายเพม่ิ เติมเก่ียวกบั ผล หรือขอ้ มลู ท่ีได้จากการสงั เกตอยา่ ง มเี หตผุ ลโดยใชค้ วามรหู้ รอื ประสบการณ์มาอธบิ ายดว้ ยความเหน็ สว่ นตัวตอ่ ขอ้ มูลน้นั ๆ 3. การจาแนกประเภท เปน็ การแบ่งพวก จดั จาแนกเรียงลาดับวัตถุ หรอื ปรากฏการณต์ า่ งๆ ท่ี ตอ้ งการศกึ ษาออกเป็นหมวดหมู่ เป็นระบบทาใหส้ ะดวกรวดเร็ว และง่ายตอ่ การศึกษาค้นควา้ โดยการหา ลักษณะหรอื คณุ สมบัติรว่ มบางประการ หรือหาเกณฑ์ความเหมอื นความต่าง ความสัมพนั ธอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เปน็ เกณฑใ์ นการแบง่ 4. การวัด เปน็ ความสามารถในการเลอื กใช้เครอ่ื งมือได้อย่างถกู ต้องในการวดั ส่งิ ตา่ งๆ ท่ีต้องการ ศึกษาเช่น ความกว้าง ความสูงความหนา น้าหนัก ปริมาตร เวลา และอุณหภูมิ โดยวดั ออกมาเปน็ ตวั เลขได้ ถกู ต้องรวดเรว็ มหี น่วยกากับ และสามารถอา่ นคา่ ท่ีใช้วัดได้ถูกต้องใกลเ้ คียงความเปน็ จริงมากทีส่ ดุ 5. การใชต้ วั เลข การใชต้ ัวเลขหรอื การคานวณ เปน็ การนับจานวนของวตั ถุ และนาค่าตัวเลขที่ได้จาก การวัดและการนับมาจดั กระทาให้เกิดคา่ ใหม่ โดยการนามา บวก ลบ คูณ หาร เช่น การหาพ้ืนท่ี การหา ปริมาตร เปน็ ต้น 6. การพยากรณ์ เปน็ ความสามารถในการทานาย คาดคะเนคาตอบโดยใช้ข้อมูลทไ่ี ดจ้ ากการสังเกต ประสบการณ์ที่เกดิ ขน้ึ บ่อยๆ หลกั การ ทฤษฎี หรือกฎเกณฑต์ ่างๆ มาชว่ ยสรุปหาคาตอบเร่ืองนนั้ การ พยากรณจ์ ะแม่นยามากนอ้ ยเพยี งใดขึ้นอยู่กับผลท่ไี ดจ้ ากการสังเกตทรี่ อบคอบ การวัดที่แมน่ ยา การบนั ทึกท่ี เป็นจรงิ และการจัดกระทาข้อมูลที่เหมาะสม
39 7. การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกบั สเปส และสเปสกับเวลาสเปส (Space) หมายถึง ท่วี า่ งใน รปู ทรงของวัตถุ มี 3 มิติ คอื ความกวา้ ง ความยาว และความสงู (หนา ลึก)ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสเปสกับสเปส ของวัตถุ หมายถึง ความสัมพันธร์ ะหว่างวตั ถุ 2 มติ ิ กับวัตถุ 3 มิติ และความสัมพันธร์ ะหว่างตาแหนง่ ท่ีอย่ขู อง วตั ถุหนง่ึ กบั อีกวตั ถหุ น่ึง คอื การบ่งช้รี ูป 2 มติ ิ รูป 3 มิติได้หรอื สามารถวาดภาพ 3 มิติ จากวัตถหุ รอื ภาพ 3 มิติได้ เปน็ ตน้ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสเปสกับเวลา หมายถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปสของวัตถุท่เี ปล่ยี นไปกับ เวลาหรอื การเปล่ยี นตาแหน่งท่ีอยู่ของวตั ถุกบั เวลา น่ันคอื การบอกทิศทางหรอื ตาแหน่งของวัตถุเมื่อเทยี บกบั ตัวเองหรอื สิ่งอ่ืนๆ 8. การจัดกระทาและส่ือความหมายข้อมูล การจดั กระทา คือ การนาขอ้ มลู ดิบมาจดั ลาดบั จัดจาพวก หาความถ่ี หาความสัมพนั ธห์ รอื คานวณ ใหม่ การส่อื ความหมายข้อมูล เปน็ การใชว้ ิธตี ่างๆ เพ่ือแสดงข้อมูลใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจ เช่น การบรรยายใช้ แผนภมู ิ แผนภาพ : วงจร กราฟ ตาราง สมการ ไดอะแกรม เป็นตน้ ตัวอย่างการตั้งสมมตฐิ าน เช่น 1. กล่ินใบตะไคร้กาจัดแมลงสาบไดด้ ีกว่ากลน่ิ ใบมะกรูด 2. การลดน้าหนักด้วยวิธีควบคุมอาหารร่วมกบั การออกกาลังกาย ช่วยลดน้าหนักได้ดีกวา่ การควบคุม อาหารอย่างเดยี ว 3. การกาหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ัติการ นยิ ามเชิงปฏิบตั ิการ หมายถงึ ความหมายของคาหรอื ข้อความท่ีใช้ ในการทดลองทส่ี ามารถสังเกต ตรวจสอบ หรอื ทาการวดั ได้ ซ่ึงจาเป็นตอ้ งกาหนดเพ่ือความเข้าใจทต่ี รงกนั เสยี กอ่ นทาการทดลองนยิ าม เชิงปฏบิ ตั ิการจะแตกตา่ งจากคานยิ ามทั่วๆ ไป คอื “ตอ้ งสามารถวัดหรอื ตรวจสอบได้” ซ่ึงมกั จะเปน็ คานิยามของตัวแปรน่นั เอง 4. การทดลอง เปน็ กระบวนการปฏบิ ตั กิ ารเพ่ือหาคาตอบจากสมมตุ ิฐานท่ีต้งั ไว้ในการทดลอง ประกอบด้วยขัน้ ตอนตา่ งๆ 3 ขั้นตอน ดงั นี้ 1) การออกแบบการทดลอง คือ การวางแผนการทดลองก่อนลงมือปฏิบตั ิจริง โดยกาหนดว่า จะใช้วัสดอุ ปุ กรณอ์ ะไรบา้ ง จะทาอยา่ งไร ทาเม่ือไร มีข้ันตอนอะไร 2) การปฏบิ ัติการทดลอง คือ การลงมือปฏิบัติตามท่ีออกแบบไว้ 3) การบันทึกผลการทดลอง คอื การจดบันทึกขอ้ มลู ตา่ งๆ ทไี่ ด้จากการทดลอง ซึ่งใชท้ กั ษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้ืนฐาน 8 ทกั ษะทีก่ ลา่ วไปแล้ว 4. การตีความหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรปุ การตีความหมายขอ้ มูล คือ การแปล ความหมายหรือการบรรยายผลของการศกึ ษา เพื่อให้คนอน่ื เข้าใจว่าผลการศึกษาเปน็ อย่างไร เป็นไปตาม สมมติฐานท่ตี งั้ ไวห้ รือไมก่ ารลงข้อสรปุ เป็นการสรปุ ความสัมพันธ์ ของข้อมูลทัง้ หมด เช่น การอธบิ าย ความสัมพันธร์ ะหว่างตัวแปรบนกราฟ การอธบิ ายความสมั พนั ธ์ของขอ้ มูล ที่เปน็ ผลของการศกึ ษา การฝึก ทักษะที่จาเป็นของการทาโครงงานทกุ ขน้ั ตอนอยา่ งเป็นระบบ จะทาให้ผู้เรียนได้โครงงานและ ได้ผลสาเร็จของ โครงงานที่มีประสิทธภิ าพและเชอื่ ถือได้ 4.4ทกั ษะกำรนำเสนอ จุดม่งุ หมายในการนาเสนอ 1. เพื่อใหผ้ ้รู ับสารรบั ทราบความคิดเห็นหรอื ความต้องการ 2. เพ่ือใหผ้ รู้ ับสารพิจารณาเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง
40 3. เพื่อให้ผ้รู บั สารได้รับความรูจ้ ากข้อมูลทีน่ าเสนอ 4. เพ่ือใหผ้ รู้ บั สารเกิดความเข้าใจทถ่ี ูกต้อง ประเภทของการนาเสนอการนาเสนอแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 รูปแบบ ดังน้ี 1. การนาเสนอเฉพาะกลุ่ม 2. การนาเสนอท่วั ไปในทีส่ าธารณะ ลกั ษณะของข้อมลู ท่นี าเสนอข้อมูลทจ่ี ะนาเสนอแบง่ ออกตามลกั ษณะของขอ้ มลู ได้แก่ 1. ข้อเทจ็ จริง หมายถึง ขอ้ ความทเ่ี กยี่ วข้องกับเหตุการณ์เรื่องราวที่เปน็ มาหรือเปน็ อยตู่ ามความจริง 2. ข้อคิดเห็น เป็นความเห็นอันเกดิ จากประเดน็ หรือเร่ืองราวทช่ี วนให้คดิ ขอ้ คิดเห็นมลี ักษณะต่างๆ กนั การนาเสนอ เป็นการนาข้อมลู ทร่ี วบรวมข้อมลู ที่ไดจ้ ากการศึกษามานาเสนอ หรอื ทาการเผยแพรใ่ หผ้ ู้ท่ี สนใจได้รบั ทราบหรือนาไปวเิ คราะห์เพ่ือไปใช้ประโยชนแ์ บ่งออกได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1. การนาเสนออย่างไมเ่ ปน็ แบบแผน 1. 1 การนาเสนอในรปู ของบทความ 1. 2. การนาเสนอข้อมลู ในรูปของขอ้ ความกึง่ ตาราง 2. การนาเสนอขอ้ มูลอยา่ งเป็นแบบแผน 2. 1. การนาเสนอข้อมลู โดยใช้ตาราง 2. 2. การนาเสนอข้อมูลโดยใช้แผนภมู ิแท่ง 2. 3 การนาเสนอข้อมูลโดยใช้แผนภูมวิ งกลม 2. 4 การนาเสนอขอ้ มลู โดยใชแ้ ผนภูมิรูปภาพ 2. 5 การนาเสนอข้อมูลโดยใช้แผนท่ีสถติ ิ 2. 6 การนาเสนอขอ้ มูลโดยใชแ้ ผนภูมิแท่งเปรียบเทยี บ 2. 7 การนาเสนอข้อมลู โดยใช้กราฟเส้น ในการนาเสนอข้อมลู แบบใดนั้นข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของข้อมูล เช่น ตอ้ งการแสดงอุณหภูมิของภาคตา่ งๆ ควรแสดงด้วยกราฟเส้น ต้องการแสดงการเปรียบเทยี บจานวนนกั เรยี นแตล่ ะระดับการศึกษา ควรใช้แผนภูมิ แท่ง เปน็ ต้น 4.5 ทักษะกำรพัฒนำต่อยอดควำมรู้ การตอ่ ยอดความรูม้ คี นจดั ประเภทความรู้ไวส้ องลักษณะได้แก่ ความรฝู้ งั ลกึ (tacit knowledge)กบั ความรูป้ ระจักษ์หรือชัดแจ้ง (explicit knowledge) โดยความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) เปน็ ความรทู้ ่ี ไมส่ ามารถอธิบายโดยใชค้ าพูดได้มรี ากฐานมาจากการกระทาและประสบการณ์มลี กั ษณะเป็นความเชื่อทกั ษะ และเป็นอัตวิสัย (Subjective) ตอ้ งการการฝกึ ฝนเพื่อให้เกิดความชานาญ มลี กั ษณะเปน็ เร่ืองสว่ นบุคคลมี บรบิ ทเฉพาะ (Contextspecific) ทาใหเ้ ปน็ ทางการและส่ือสารยาก เชน่ วิจารณญาณความลับทางการคา้ วัฒนธรรมองคก์ ร ทักษะความเช่ียวชาญในเรอ่ื งต่างๆ การเรียนร้ขู ององค์กร ความสามารถในการชมิ รสไวน์ หรอื กระทั่งทักษะในการสงั เกตเปลวควันจากปลอ่ งโรงงานว่ามีปัญหาในกระบวนการผลติ หรอื ไม่ เป็นความร้ทู ่ี ใช้กนั มากในชวี ติ ประจาวนั และมักเป็นการใชโ้ ดยไมร่ ้ตู วั และความรู้ประจกั ษ์หรือชดั แจง้ (explicitknowledge) เป็นความรทู้ รี่ วบรวมได้งา่ ย จดั ระบบและถา่ ยโอนโดยใชว้ ิธกี ารดจิ ิทลั มีลักษณะเปน็ วัตถดุ ิบ(Objective) เปน็ ทฤษฏสี ามารถแปลงเปน็ รหัสในการถา่ ยทอดโดยวธิ กี ารทีเ่ ป็นทางการ ไม่จาเปน็ ตอ้ ง
41 อาศยั การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพ่ือถา่ ยทอดความรเู้ ชน่ นโยบายขององค์กร กระบวนการทางาน ซอฟตแ์ วร์ เอกสารและกลยทุ ธ์เป้าหมายและความสามารถขององค์กร ระดับของความรู้ หากจาแนกระดับของความรสู้ ามารถแบง่ ออกได้เปน็ 4 ระดบั คือ 1.ความรเู้ ชงิ ทฤษฏี (Know-What) เปน็ ความรู้เชงิ ข้อเท็จจริง รอู้ ะไร เปน็ อะไร จะพบในผูท้ ่สี าเร็จ การศกึ ษามาใหมๆ่ ที่มีความรู้โดยเฉพาะความรทู้ ีจ่ ามาไดจ้ ากความรูช้ ดั แจง้ ซ่ึงไดจ้ ากการไดเ้ รยี นมาก แต่เวลา ทางานก็จะไมม่ ่นั ใจมักจะปรกึ ษารนุ่ พี่กอ่ น 2.ความร้เู ชิงทฤษฏีและเชงิ บริบท (Know-How) เป็นความรู้เช่ือมโยงกับโลกของความเป็นจรงิ ภายใต้ สภาพความเปน็ จรงิ ที่ซบั ซอ้ น สามารถนาเอาความรูช้ ัดแจง้ ที่ได้มาประยุกต์ใชต้ ามบรบิ ทของตนเองได้ มักพบใน คนท่ีทางานไปหลายๆ ปจี นเกดิ ความรู้ฝงั ลึกท่ีเป็นทักษะหรอื ประสบการณม์ ากขึน้ 3 .ความรใู้ นระดับที่อธิบายเหตุผล (Know-Why) เป็นความรู้เชงิ เหตุผลระหว่างเร่อื งราวหรือ เหตุการณ์ ต่างๆ ผลของประสบการณแ์ กป้ ัญหาทซี่ ับซ้อน และนาประสบการณ์มาแลกเปล่ียนเรยี นรู้กบั ผ้อู ่ืน เป็นผทู้ างาน มาระยะหนงึ่ แล้วเกิดความรู้ฝังลกึ สามารถอดความรู้ฝงั ลกึ ของตนเองมาแลกเปล่ียนกบั ผ้อู ื่น หรือ ถา่ ยทอดใหผ้ ู้ อน่ื ไดพ้ ร้อมทั้งรับเอาความร้จู ากผู้อน่ื ไปปรับใช้ในบรบิ ทของตนเองได้ 4.ความรูใ้ นระดับคุณค่าความเชื่อ (Care-Why) เป็นความรู้ในลกั ษณะของความคดิ รเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ ท่ี ขบั ดนั มาจากภายในตนเองจะเปน็ ผทู้ ี่สามารถสกดั ประมวล วเิ คราะห์ความร้ทู ่ีตนเองมอี ยู่กบั ความร้ทู ่ตี นเอง ได้รบั มาสรา้ งเปน็ องค์ความรู้ใหมข่ ึ้นมาไดเ้ ช่น สรา้ งตวั แบบหรือทฤษฏใี หมห่ รอื นวตั กรรมข้ึนมาใช้ในการ ทางานได้ การถา่ ยทอดการปฏบิ ัตใิ ห้เป็นทฤษฏเี ปน็ รูปแบบหนึ่งของการต่อยอดความรู้และทาใหก้ ารสบื สาน พฒั นาความรเู้ ป็นไปอยา่ งกว้างขวาง รวดเรว็ วงการวทิ ยาศาสตร์เจริญเตบิ โตอยา่ งรวดเร็วได้กเ็ พราะอาศยั วฒั นธรรมการตอ่ ยอดความรู้ลกั ษณะน้ี การจัดประเภทความรอู้ กี ลักษณะ จาแนกความรเู้ ป็นเชิงคุณภาพกับ เชงิ ปรมิ าณ ไอน์สไตนเ์ คยกลา่ ว เปรียบเปรยความรู้ทั้งสองลักษณะไวว้ ่า “เราอาจใชว้ ชิ าฟิสกิ ส์วเิ คราะหห์ รือ พรรณาลกั ษณะของคลน่ื ให้ละเอยี ดลึกซึ้งได้มากมาย แต่การทาเชน่ นั้น ย่อมไม่มีความหมาย (ทางดนตร)ี ใดๆ เมื่อไปใช้กับบทเพลงของบีโธ เว่น” บางคนอาจตีความหมายคากลา่ วนี้วา่ วชิ าฟิสกิ สซ์ ่งึ เนน้ การสรา้ งความร้เู ชงิ ปรมิ าณเป็นคนละเรอ่ื งกบั วิชา ดนตรซี ่ึงเปน็ เร่อื งของความรู้เชิงคณุ ภาพ เหมือนน้ากับน้ามนั ยอ่ มเข้ากนั ไม่ได้ อยา่ งไรก็ตามความสาเร็จของยามาฮ่าในอตุ สาหกรรมเครื่องดนตรีชวนใหต้ อ้ งคิดในอีกมุมหนึ่งก่อน ยามาฮา่ จะ ประสบความสาเรจ็ เปียโนนับเปน็ เคร่ืองดนตรสี าหรบั คนส่วนน้อยที่เลน่ เปยี โนเปน็ (ซง่ึ ต้องผ่านการ ฝกึ ฝน ยาวนาน) สาหรบั คนส่วนใหญ่เปยี โนเป็นได้อยา่ งเกง่ เพยี งเฟอร์นิเจอรป์ ระดบั บ้านชิ้นใหญ่ ดว้ ยวธิ ีคิดนอกกรอบ ยามาฮ่ามองเหน็ ความเปน็ ไปได้ทจี่ ะทาให้เปยี โนเปน็ เคร่ืองดนตรีสาหรบั คนสว่ น ใหญ่ จงึ ลงมอื ค้นคว้าวิจัยโดย อาศัยความร้เู กีย่ วกบั เสียงในวิชาฟิสกิ สจ์ นสามารถพฒั นาอุปกรณอ์ ิเลคทรอนคิ (Disklavier™) ชว่ ยให้การเล่น เปยี โนง่ายข้นึ กว่าเดมิ มาก โดยการบนั ทึกเสียงขณะเลน่ แล้วสะทอ้ นกลับให้ผฝู้ กึ ไดย้ ิน รวมท้งั สามารถบันทึก และเล่นเสยี งเปียโนของมืออาชีพ ให้เลียนแบบความร้ใู หม่ซึ่งอยเู่ บื้องหลังDisklavier™ ได้กลายเปน็ ตน้ แบบ ให้กบั การพฒั นาเปยี โนในปจั จบุ ัน และเปดิ ศักราชใหมข่ องการเรียนเล่นเปียโนอย่างแพร่หลายกว่ายคุ ก่อนๆ
42 ใบควำมรู้สอนเสริม วชิ ำโครงงำนเพ่ือพัฒนำทักษะกำรเรียนรู้ รหัส ทร02006 ระดับมธั ยมศกึ ษำตอนต้น เรอ่ื ง กำรสะท้อนควำมคิดเห็นตอ่ โครงงำนเพอื่ พฒั นำทักษะกำรเรียนรู้ 5.1 แนวคดิ เรือ่ งกำรสะท้อนควำมคดิ (Reflection ) การสะท้อนความคิด เปน็ รูปแบบหน่ึงของการคิดแบบอภปิ รชั ญา (Metacognition) เป็นการคดิ เกย่ี วกบั การคดิ ของตนเอง การสะท้อนความคิดจึงไม่ใชเ่ ป็นการรายงานข้อมูลความเปน็ จรงิ ตา่ งๆ แต่เปน็ การ แสดงออกถึงความคาดหวงั การรับรู้ และความรสู้ กึ เกย่ี วกับประสบการณ์ โดยผา่ นกระบวนพูดหรือเขียนโดยมี จดุ ประสงค์ เพือ่ วเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ วางแผน หรือแก้ไขปญั หา สิ่งเหลา่ นเี้ ปน็ การคดิ ระดับสูงกว่าการคดิ ท่ัวไป (รัชนีกร ทองสขุ ด.ี 2545 : 45) ดวิ อี (Dewey. 1933: 12 ) ในงานเขียนเร่ือง “How we Think” ใหค้ วามหมายของการสะทอ้ น ความคิดวา่ เป็นรูปแบบหนง่ึ ของการคดิ พนิ ิจพิเคราะห์ ตรกึ ตรอง ใคร่ครวญอย่างลึกซ้ึง โดยเริม่ จากความสงสัย ใคร่รู้ในเรือ่ งที่เกีย่ วกบั ความคิดความเชือ่ หรือองคค์ วามรู้ท่ียึดถือกนั อยู่และใช้ความพยายามในการค้นหา คาตอบโดยอาศัยเหตุผลและข้อมูลอ้างองิ โนวลส,์ โคล และ เพรสวดู (Knowles; Cole and Presswood.1994 : 8-10) กลา่ วว่าการสะท้อน ความคิดเปน็ การใชก้ ระบวนการพนิ จิ พิเคราะห์ ตง้ั คาถามย้อนหลังกลับมายังสภาพทเ่ี ปน็ อยอู่ ยา่ งครอบคลุมทุก ดา้ น แยกให้เหน็ ปัญหาทเี่ ปน็ เหตุผลในการปฏิบตั ิขณะนน้ั ทาให้เกดิ ความเขา้ ใจอย่างถ่องแท้และส่งผลต่อการ แก้ปัญหาที่เหมาะสม แยนซี (Yancey. 1998 ) กลา่ วว่า การสะท้อนความคิดอาจหมายถึง การทบทวนในงานชิ้นใดชน้ิ หนึ่งหรือการประเมนิ ตนเอง หรือเป็นการวิเคราะห์การเรียนร้ทู ่ีเกิดขึน้ นอกจากน้ี โคลเลน (Colloen.1996 : 54 )ได้เสนอความคดิ เหน็ วา่ การสะทอ้ นความคิดเปน็ ปฏิกริ ิยาของสมอง ที่สะท้อนความคิดส่ิงทีบ่ ุคคลนั้น คานึงถึงอย่างใคร่ครวญละเอียดถถี่ ว้ น เพ่ือถ่ายโอนความรู้สกึ ต่างๆ ของตนเอง ก่อนท่จี ะสื่อสารกับผู้อนื่ ด้วย การพดู หรือการเขยี นจากความหมายดังกล่าว สรุปไดว้ ่าการสะท้อนความคิด เป็นกระบวนการภายในตวั บุคคลทม่ี ีความซับซ้อน ถือเปน็ การคดิ ระดับสูงทเี่ รียกว่าอภิปรชั ญา ซึ่งเป็นการคิดเก่ยี วกับการคิดของตนเอง รวมท้ังส่งิ สาคัญท่ีมผี ลตอ่ ความคดิ นัน้ ดังน้นั การสะท้อนความคิดจงึ ขึน้ อยูก่ ับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ตัวผเู้ รยี น ความรเู้ กี่ยวกบั สิง่ ทจี่ ะต้อง เรียนรู้ และวิธีการในการเรยี นรู้การสะท้อนความคิดมหี ลายรูปแบบ ไดแ้ ก่ การคิดทบทวนของบุคคลแต่ละคน โดยไมไ่ ด้มีการส่ือสาร ให้ผูอ้ ื่นไดร้ ู้ หรอื การสะท้อนความคดิ และมกี ารสอ่ื สารกนั ทางการสนทนา หรือการ สะทอ้ นความคดิ และใช้การส่ือสารทางการเขยี น การท่ีผสู้ อนจัดกระบวนการเรียนการสอนใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสได้ สะทอ้ นความคดิ จะทาใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้อยา่ งแทจ้ ริง โดยไดส้ ร้างองค์ความร้ใู หมจ่ ากข้อมูลความจรงิ และทฤษฎแี นวคดิ ที่มคี วามหมายกับผูเ้ รยี น ซ่ึงถอื เป็นกา้ วแรกของการเรียนรู้ตลอดชวี ิตดว้ ย (Kowalke. 1998:203-267) อบี ี และ คูจาวา (Eby and Kujawa. 1994 : 6 ) ไดข้ ยายความหมายของการสะท้อนความคดิ ตาม นิยามของ Dewey โดยกลา่ วว่าคุณลกั ษณะของครูนกั คดิ (reflective teacher) ซ่งึ ถือเปน็ คุณลกั ษณะของครู มืออาชีพ หรอื เปน็ คุณสมบัติพ้ืนฐานของนักวจิ ยั นา่ จะมีลกั ษณะดงั นี้ 1) มีความสงสยั ใคร่รู้ สามารถต้ังคาถามอย่างมีเหตุผลต่อตนเอง ตอ่ ทฤษฎีและวธิ ปี ฏบิ ตั ติ ่างๆ ในการ จัดการเรียนการสอน จะไม่ถูกจูงใจโดยง่ายใหป้ ฏิบัติตามกอ่ นที่จะไดไ้ ตร่ตรองตรวจสอบ
43 2) มีความม่งุ มั่นในการติดตามความคดิ ของตนเอง เพื่อแสวงหาคาตอบที่ดีที่สุดในการนามาใช้ แก้ปญั หา เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาผ้เู รียนได้อยา่ งแทจ้ รงิ สรปุ คาตอบจากหลักเกณฑ์และหลกั ฐานที่เชือ่ ถือ ได้ 5.2 ควำมสำคญั ของกำรสะทอ้ นควำมคิด การทบ่ี ุคคลมีโอกาสสะท้อนความคิด ของตนเอง เป็นการเปดิ โอกาสในการสงั เกตและวเิ คราะห์ ความคดิ ของตน และพัฒนาความมีระเบยี บและทักษะในการสรา้ งและจดั ลาดบั ความคิด ได้ส่ือสารความคิด ของตนกบั ผู้อืน่ ถงึ สง่ิ ท่ตี นเข้าใจ และพัฒนาทักษะการวิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์ของตนเอง ชว่ ยส่งเสรมิ ใหเ้ ป็น นกั คิดที่ดีขึ้นในการต้ังคาถามและใหเ้ หตุผล (รัชนกี ร ทองสุขด.ี 2545 :47-48) ความสาคัญของการสะท้อน ความคดิ มีหลายประการดังน้ี 1) สรา้ งความทา้ ทายทีส่ ร้างสรรค์ในการนาเสนอความคดิ ของตน 2) เปดิ โอกาสในการจับประเดน็ หรือหวนคดิ ถงึ สิง่ ท่ีคิดในรูปแบบทถ่ี าวรหรือปรบั เสริมความคดิ ใหม่ 3) เปน็ การพฒั นาความมีระเบียบและทักษะในการสร้างและจัดลาดับความคดิ 4) เปดิ โอกาสในการสังเกตและวิเคราะห์ความคิดของตนเอง 5) เปิดโอกาสในการส่ือสารความคดิ ของตนเองกบั ผู้อนื่ ถึงส่ิงที่ตนเองเข้าใจ และพัฒนาทักษะการ วเิ คราะห์และสงั เคราะห์ของตนเอง 6) เปน็ การเชอ่ื มโยงองค์ความรเู้ ก่ากบั องคค์ วามร้ใู หม่ และเป็นการเติมเตม็ ระหวา่ งทฤษฎีกบั การ ปฏบิ ตั ิ 7) ชว่ ยสง่ เสริมให้เป็นนักคิดท่ีดีขน้ึ ในการต้ังคาถามและใหเ้ หตผุ ล กรนี และด๊อบสนั (นภเนตร ธรรม บวร. 2542 : 20-21 ; อา้ งองิ จาก Greene. 1973; & Dobson. 1993 ) กลา่ ววา่ ในการสะท้อนหรือการ วเิ คราะห์ตนเองนน้ั ผู้สะท้อนความคิดจาเป็นต้องมเี วลาหยุดคดิ และนึกทบทวนไปถึงสิ่งท่ีตนทาหรือปฏิบตั ิใน ขณะเดยี วกนั ผู้สะท้อนความคิด จาเป็นต้องมีโอกาสพดู คยุ เกี่ยวกบั ประสบการณ์หรือเรอื่ งราวทผ่ี ่านของตนกบั บคุ คล สรปุ ได้ว่า การสะท้อนการความคิดเกิดขน้ึ จากการทีผ่ ู้เรยี นได้รับ หรอื รวบรวมข้อมูลเบือ้ งต้นจากการ เรยี นรู้ทงั้ ในและนอกห้องเรยี น และนามาพินจิ พเิ คราะห์อย่างใคร่ครวญ จนเกิดความเขา้ ใจในความคิดของตน อยา่ งถ่องแท้ก่อนท่ีจะสือ่ สารกับผอู้ ่นื ดว้ ยการพูดหรือเขียน เป็นวธิ กี ารสาคัญทชี่ ่วยให้ผเู้ รียนได้คิดเกย่ี วกบั พฒั นาการเรียนรู้ของตน และสามารถเชื่อมโยงเน้ือหาสว่ นต่างๆ เข้าดว้ ยกัน จนเกดิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเองได้ใน ทส่ี ดุ นอกจากน้กี ารสะท้อนความคิดยงั สง่ ผลตอ่ บรรยากาศแหง่ การเรยี นร้ใู นวันต่อๆ ไป ตลอดระยะเวลาของ ภาคเรียน และช่วยให้ผู้สอนสามารถนาข้อมูลจากการสะท้อนความคดิ ของผ้เู รียน ไปปรับปรงุ การจดั ประสบการณ์การเรียนร้ใู นวนั ตอ่ ไปหรือในครั้งต่อไปด้วยเมื่อผเู้ รียนได้รับทราบหลกั การของการสะท้อนความ คิดเหน็ แล้ว เพือ่ ฝึกฝนใหต้ นเองมีทักษะในการสะท้อนความคดิ เห็นแลว้ จึงควรทดลองต้ังคาถามในใจและตอบ คาถามที่ตนเองได้ดาเนนิ โครงงานไปแล้วโดยอาจเริม่ ตน้ ตามลาดับขน้ั ตอนของการทาโครงงาน ซงึ่ การทดลอง ฝกึ สะท้อนความคดิ เห็นต่อการทาโครงงานจงึ อาจจะเร่ิมต้งั แตท่ าโครงงาน ไมจ่ าเปน็ ต้องรอใหก้ ารทาโครงงาน เสรจ็ สิ้นแล้วก็ได้อย่างไรกต็ ามเม่อื เสร็จส้นิ โครงการแลว้ ผ้เู รยี นควรสะท้อนความคิดอยา่ งจริงจัง และบันทึกผล การสะท้อนความคิดน้ันไวเ้ ป็นหลักฐานด้วย
44 5.3.กำรประเมินโครงงำนและกำรพัฒนำโครงงำนจำกข้อบกพร่องตำ่ งๆ การประเมินโครงงาน เป็นกิจกรรมทมี่ ีความสาคัญและจาเปน็ อกี อย่างหนึง่ ในการทาโครงงานของ ผู้เรยี น เป็นการใหค้ ะแนนโครงงานท่ผี ู้เรียนทา เพือ่ ประเมนิ วา่ โครงงานทท่ี านน้ั มีคุณภาพในด้านต่างๆ มาก น้อยเพียงใด เพ่ือปรับปรงุ แก้ไขใหด้ ขี น้ึ ในโอกาสต่อไป ในการประเมนิ โครงงานแต่ละโครงงานนั้น ผ้ปู ระเมนิ ตอ้ งคิดพจิ ารณาและวเิ คราะห์โครงงานอย่างละเอยี ด รอบคอบ ครอบคลุมทุกๆ ด้านกอ่ นให้คะแนนการ ประเมนิ โครงงาน ควรให้ความสาคญั 3 สว่ น คอื ส่วนท่ี 1 ส่วนประกอบของรายงานโครงงานครบถ้วน ได้แก่ ปกหนา้ (ชอื่ โครงงานช่ือผู้ทา/ชอ่ื อาจารยท์ ่ี ปรกึ ษา/สถานศกึ ษา) บทคัดย่อ/กิตติกรรมประกาศ ที่มาและความสาคัญ วัตถุประสงค์สมมตฐิ าน /ตัวแปรของ การศกึ ษา เอกสาร/ความรู้หรือทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้อง วัสดุและอุปกรณ์และวิธีดาเนนิ การ (อธิบายโดยละเอยี ด) ผล การศกึ ษาค้นควา้ สรปุ ผล อภิปรายผล ข้อเสนอแนะและบรรณานกุ รม ส่วนท่ี 2 ความคดิ สร้างสรรค์พิจารณาจากความแปลกใหม่ ความคิดรเิ ริ่ม ประโยชน์การนาไปใชใ้ น ชีวิตประจาวัน และความน่าสนใจ สว่ นท่ี 3 ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตรท์ ีใ่ ช้พจิ ารณาจากปญั หา (ที่มา ความสาคญั วัตถปุ ระสงค์) สมมติฐาน (สอดคล้องกับปญั หา/ชัดเจน) การตรวจสอบสมมตฐิ าน การแปลผล อภิปรายและเสนอแนะ ความสามารถในการสื่อความหมาย พจิ ารณาจากการจัดทานทิ รรศการโครงงานและการนาเสนอโครงงาน กำรพัฒนำโครงงำนจำกขอ้ บกพร่องตำ่ งๆ ในยคุ ของการปฏิรูปการเรียนร้โู ดยครูได้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการสอน จากการสอนแบบบรรยาย มาเป็นการสอนทเี่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคัญ เชน่ การสอนดว้ ยวธิ โี ครงงานซึง่ เปน็ ไปตามพระราชบัญญตั กิ ารศึกษา แหง่ ชาตพิ .ศ. 2542 หมวดที่ 4 มาตรา 24 (5) ส่งเสริม สนับสนุนใหผ้ สู้ อนจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ มส่ือ การเรยี นและอานวยความสะดวก เพอ่ื ให้ผ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้ท้ังสามารถทจี่ ะเรียน ใช้การวิจัยเปน็ สว่ นหนึง่ ของกระบวนการเรยี นรู้ จากการตัดสนิ การประกวดโครงงานพบว่า มีปญั หาท่รี อการแก้ไขในการทาโครงงาน และการเขยี นรายงาน โครงงานโดยสรปุ มดี ังต่อไปนี้ 1. การเขียนบทคดั ย่อ เขียนไมค่ รอบคลุมส่ิงนาเสนอ ควรประกอบดว้ ยวตั ถปุ ระสงค์วธิ เี ก็บข้อมูล เครอื่ งมอื ท่ีใชว้ ธิ กี ารวเิ คราะห์ข้อมูลและสรุปผล มักพบว่านาความเป็นมาของการทาโครงงานเขา้ มาเขียนและ พบว่าเขียนไม่กระชับไมช่ ัดเจน 2. ความสาคญั ของโครงงานเขียนไม่ชัดเจน ควรเขียนความเป็นมาของโครงงานและโครงงานนีส้ าคัญ อย่างไร ทาแลว้ ได้อะไรเป็นต้น 3. ชอ่ื เร่ืองเปน็ แบบเรียกร้องความสนใจแต่ผ้ศู ึกษาไม่เข้าใจปัญหา วตั ถุประสงค์ของการศึกษาอย่าง ชัดเจน โปรดจาไว้วา่ ปญั หาและวตั ถุประสงค์ทศี่ ึกษาเปน็ เรื่องเดียวกนั เพียงแต่ปัญหาเป็นประโยคคาถาม ส่วน วตั ถุประสงคเ์ ป็นประโยคบอกเล่า 4. การเขยี นวตั ถุประสงคข์ องโครงงานไม่ตรงกับช่อื เร่อื ง และเขียนปะปนกับประโยชน์ที่คาดวา่ จะ ไดร้ บั ซ่ึงเป็นสง่ิ ทไี่ ม่ถูกต้อง 5. ขาดการศกึ ษาทฤษฏหี ลกั การ เน้ือหาที่เกยี่ วข้องกับปัญหาที่สนใจจะศึกษา เป็นเหตุให้ ตงั้ สมมตฐิ านเองตามประสบการณ์และสามัญสานึก
45 6. โครงงานส่วนใหญเ่ ขียนบทเอกสารทเี่ ก่ยี วข้องยาวมาก โดยรวบรวมเร่ืองท่ไี มเ่ ก่ยี วข้องกับการ ทดลองในโครงงาน เหมือนจะเพ่มิ ความหนาของเล่มใหด้ เู ป็นโครงงานทีห่ นาด้วยรูปเลม่ มากกวา่ หนาด้วยสาระ ทเี่ กี่ยวข้อง 7. ระบุตัวแปรต้นและตวั แปรตามผดิ เขียนแบบสับสนและไมก่ ระชับกะทัดรัด เพราะไม่เข้าใจอย่าง ชัดเจน และอยา่ งท่ีแทจ้ ริงเก่ียวกับการระบุและควบคุมตัวแปร 8. การนาเสนอขอ้ มลู ในรูปแบบตา่ งๆ ยังไมถ่ ูกต้อง เช่น รปู แบบการนาเสนอไมเ่ หมาะสมไม่มกี าร กาหนดหน่วยของปริมาณหรือขนาดของตัวแปร รวมทง้ั ใช้ภาษาฟ่มุ เฟือยไม่กะทัดรดั 9. ไมเ่ ขียนชอื่ ตาราง ชื่อกราฟ ชอ่ื ของรปู ภาพทน่ี าเสนอข้อมูลท่ีได้จากการรวบรวม 10. การตคี วามหมายใต้ตาราง ใตก้ ราฟ ทนี่ าเสนอข้อมูลท่ีไดจ้ ากการรวบรวม เปน็ การอภิปรายผลซ่งึ ไมถ่ ูกต้อง เพราะการอภิปรายผลควรนาเสนอหลังการสรุปผล การตคี วามหมายควรอยูใ่ นขอบเขตเฉพาะข้อมลู ทป่ี รากฏเทา่ นั้น ไมค่ วรสรุปอ้างอิงจากประสบการณแ์ ละความรูท้ างวชิ าการ 11. เมื่อมีการสรุปผลแลว้ ยังขาดการอภิปรายผล เพราะผู้ทาโครงงานขาดการศกึ ษาเนอื้ หาทาง วิชาการทเี่ ก่ยี วข้องกบั ปัญหาท่ีสนใจ 12. การเขยี นบรรณานกุ รมหรือเอกสารอ้างอิงทาตามสามัญสานึก ขาดการศึกษาวธิ กี ารเขียนทค่ี วร เปน็ ตามสากลนยิ ม การพฒั นาโครงงานจากขอ้ บกพรอ่ งต่างๆในยุคของการปฏริ ปู การเรียนรโู้ ดยครไู ด้มกี ารปรับเปลี่ยน กระบวนการสอน จากการสอนแบบบรรยาย มาเป็นการสอนท่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ เช่น การสอนดว้ ยวธิ ีโครงงานซงึ่ เป็นไปตามพระราชบัญญตั ิการศึกษา แห่งชาติพ.ศ. 2542 หมวดท่ี 4 มาตรา 24 (5) สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ให้ผู้สอนจดั บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สอ่ื การเรียนและอานวยความสะดวก เพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรทู้ ้ังสามารถที่จะเรยี น ใช้การวิจยั เป็น สว่ นหนง่ึ ของกระบวนการเรยี นรู้ จากการตัดสินการประกวดโครงงานพบวา่ มีปัญหาท่รี อการแกไ้ ขในการทาโครงงาน และการเขยี น รายงานโครงงานโดยสรุปมีดังตอ่ ไปน้ี 1. การเขยี นบทคัดย่อ เขยี นไม่ครอบคลุมสงิ่ นาเสนอ ควรประกอบดว้ ยวัตถุประสงคว์ ิธีเก็บข้อมูล เครื่องมือท่ีใช้วธิ กี ารวเิ คราะห์ข้อมลู และสรุปผล มักพบว่านาความเปน็ มาของการทาโครงงานเขา้ มาเขยี นและ พบวา่ เขียนไมก่ ระชบั ไมช่ ดั เจน 2. ความสาคัญของโครงงานเขียนไม่ชดั เจน ควรเขยี นความเป็นมาของโครงงานและโครงงานนสี้ าคญั อย่างไร ทาแล้วได้อะไรเปน็ ต้น 3. ชือ่ เรือ่ งเปน็ แบบเรยี กร้องความสนใจแต่ผ้ศู ึกษาไม่เขา้ ใจปัญหา วัตถุประสงค์ของการศกึ ษาอยา่ ง ชัดเจน โปรดจาไวว้ า่ ปญั หาและวตั ถุประสงค์ท่ีศึกษาเป็นเรื่องเดยี วกัน เพยี งแต่ปัญหาเป็นประโยคคาถาม สว่ น วตั ถุประสงค์เป็นประโยคบอกเลา่ 4. การเขียนวัตถุประสงคข์ องโครงงานไม่ตรงกบั ช่อื เรอ่ื ง และเขยี นปะปนกับประโยชน์ทค่ี าดว่าจะ ได้รับซึ่งเป็นส่งิ ทไี่ ม่ถกู ต้อง 5. ขาดการศึกษาทฤษฏหี ลักการ เน้ือหาท่ีเกยี่ วข้องกับปัญหาทสี่ นใจจะศึกษา เปน็ เหตุให้ ตง้ั สมมติฐานเองตามประสบการณ์และสามัญสานึก
46 6. โครงงานสว่ นใหญเ่ ขยี นบทเอกสารทเี่ กี่ยวข้องยาวมาก โดยรวบรวมเรอ่ื งที่ไมเ่ กย่ี วข้องกับการ ทดลองในโครงงาน เหมือนจะเพ่ิมความหนาของเลม่ ใหด้ ูเป็นโครงงานทห่ี นาดว้ ยรปู เลม่ มากกว่าหนาดว้ ยสาระ ท่เี กย่ี วข้อง 7. ระบตุ วั แปรตน้ และตัวแปรตามผดิ เขยี นแบบสับสนและไมก่ ระชับกะทัดรัด เพราะไมเ่ ข้าใจอย่าง ชัดเจน และอยา่ งทีแ่ ท้จริงเกย่ี วกบั การระบุและควบคมุ ตวั แปร 8. การนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบตา่ งๆ ยงั ไมถ่ ูกต้อง เช่น รปู แบบการนาเสนอไม่เหมาะสมไม่มกี าร กาหนดหนว่ ยของปริมาณหรือขนาดของตวั แปร รวมทงั้ ใช้ภาษาฟมุ่ เฟือยไม่กะทัดรัด 9. ไม่เขียนชอ่ื ตาราง ช่ือกราฟ ช่อื ของรปู ภาพท่ีนาเสนอข้อมูลท่ีได้จากการรวบรวม 10. การตคี วามหมายใต้ตาราง ใตก้ ราฟ ทีน่ าเสนอขอ้ มูลที่ได้จากการรวบรวม เป็นการอภิปรายผลซง่ึ ไม่ถูกตอ้ ง เพราะการอภิปรายผลควรนาเสนอหลงั การสรปุ ผล การตคี วามหมายควรอย่ใู นขอบเขตเฉพาะข้อมลู ทีป่ รากฏเท่านน้ั ไม่ควรสรุปอ้างอิงจากประสบการณ์และความรูท้ างวชิ าการ 11. เม่ือมีการสรปุ ผลแลว้ ยังขาดการอภปิ รายผล เพราะผู้ทาโครงงานขาดการศึกษาเน้ือหาทาง วิชาการที่เกี่ยวข้องกบั ปัญหาท่ีสนใจ 12. การเขียนบรรณานกุ รมหรอื เอกสารอ้างอิงทาตามสามัญสานึก ขาดการศึกษาวิธีการเขียนท่ีควร เป็นตามสากลนยิ ม
47 เอกสำรอ้ำงองิ - หนงั สือแบบเรียนวิชาภาษาไทย (พท21001) - หนงั สอื แบบเรียนวิชาโครงงานเพือ่ พัฒนาทักษะการเรยี นรู้ (ทร02006)
48 ผ้จู ดั ทำ ทปี่ รึกษำ ผู้อานวยการ กศน.อาเภอปราสาท ๑. นางอรสา สภุ ารี ครู ๒. นางธรี ตา อตุ มาน บรรณารักษ์ชานาญการพิเศษ ๓. นางธารินี พบบญุ ครูอาสาสมัครฯ ๔. นางกานตส์ ินี ขบวนดี คณะผจู้ ดั ทำ ครู กศน.ตาบล 1. นางฐติ ิรตั น์ ศรวี ะสุทธ์ิ ครู กศน.ตาบล 2. นายวรเดช ซอ่ นศรี ครู กศน.ตาบล 3. นางวิมลรัตน์ วงศพ์ รหม ครู กศน.ตาบล 4. นายภควฒั น์ เสาวพนั ธ์ ครู กศน.ตาบล 5. นางวราลี จนั ทร์งาม ครู กศน.ตาบล 6. นางสาวอุทมุ พร บรู ณ์เจริญ ครู กศน.ตาบล 7. นางป่นิ อนงค์ กะการดี ครู กศน.ตาบล 8. นางสาวปพิชญา รจนัย ครู กศน.ตาบล 9. นางสาววรนชุ ศรสี ุข ครู กศน.ตาบล 10.นายพัฒนพงศ์ เสาว์ใหญ่ ครู กศน.ตาบล 11.นางสาวนฤมล ละอองทอง ครู กศน.ตาบล 12.นางจูรนิ ทร์พร สานเลก็ ครู กศน.ตาบล 13.นางสาวจามกี ร กลบี แดง ครู กศน.ตาบล 14.นางสาวพิชาภคั มมี าก ครู กศน.ตาบล 15.นางวรรณวิมล สมุ า ครู กศน.ตาบล 16.นางสาวบุณยานุช บตุ มิ าลย์ ครู กศน.ตาบล 17.นางเรณู โคตทุ า ครู กศน.ตาบล 18.นางสาววงเดือน รตั นกรณ์ ครู กศน.ตาบล 19.นางสาวประณฏั ฐจ์ รี ตั้งใจดี ครู กศน.ตาบล 20.นางสาวนวลจิรา จรจรัญ ครู กศน.ตาบล 21.นางสาวนิสราวดี โรปรมั ย์ ครู ศรช. 22.นายนพรตั น์ กมลวฒั นานนท์ ครู ศรช. 23.นายสวุ ศิ ษิ ฎ์ ปะระกรรม ครู ศรช. 24.นายคณุ ภัทร อินทรนุช ครู ศรช. 25.นางสาววรรณดิ า ยอดเสาดี ครู ศรช. 26.นางสาวสณุ ิสา ศิลางาม ครู ศรช. 27.นางสาวปยิ ะวรรณ ชนุ กลา้
49 คณะผจู้ ดั ทำ (ต่อ) ครู ศรช. 28. นางสาวอรุณี เกดิ เหลย่ี ม ครู ศรช. ๒๙. นางสาวปิยาภรณ์ สายสินธุ์ ครู ศรช. ๓๐. นางสาวรัตนา นนทวงค์ ครู ศรช. ๓๑. นายดนยั แกน่ พะเนา ครู กศน.ตาบล ผเู้ รยี บเรียง/จดั ทำเล่ม 1. นางสาวนสิ ราวดี โรปรัมย์
Search