1 สิ้นด้มุ ด่มุ สิ้นหวั โขน ยวุ ดี พลศิริ สาขาวฒั นธรรม ศิลปกรรมและการออกแบบ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น บทคดั ยอ่ การศกึ ษาเร่อื งสน้ิ ดุม้ ดุ่ม สน้ิ หวั โขน ในครงั้ น้ีมวี ตั ถุประสงคใ์ นการศกึ ษา 3 ประเดน็ คอื 1) เพ่อื ศกึ ษาความเป็นมา ของหัวโขนท่ีใช้ในการแสดงฟ้อนพะลกั พะลาม ในหลวงพระบาง 2) เพ่ือศึกษาสภาพปัจจุบนั ของหัวโขนโดยดุ้มดุ่ม ช่างฝีมอื ร่นุ สุดทา้ ย 3) เพ่อื อนุรกั ษ์ศลิ ปะการสรา้ งหวั โขน ในหลวงพระบาง โดยกระบวนการศกึ ษาใชว้ ธิ วี จิ ยั เชงิ คุณภาพเกบ็ รวบรวมข้อมูลด้วยการทางานภาคสนามท่เี มืองหลวงพระบาง สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว เคร่อื ง มือใน การศกึ ษาประกอบดว้ ยการสมั ภาษณ์ปราชญ์ การสารวจและการสงั เกตจากพน้ื ทศ่ี กึ ษาในหลวงพระบาง เมอื งมรดกโลก สา ธารรณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ผลการศกึ ษาพบวา่ หลวงพระบางเป็นเมอื งแห่งความยงั่ ยนื ทางวฒั นธรรมอนั เก่าแก่ท่ยี งั ไมถ่ ูกทาลายในปัจจุบนั เป็นความสาเรจ็ แห่งการหลอมรวมประเพณี ศลิ ปะวฒั นธรรมทห่ี ลากหลายในพ้นื ทแ่ี ห่งน้ีต่างมคี วามสาคญั และน่าค้นหา ของนกั ท่องเทย่ี วหรอื แมก้ ระทงั่ ผคู้ นทอ่ี าศยั อย่ใู นพน้ื ทแ่ี ห่งน้ี เพอ่ื ใหม้ กี ารสบื ทอด การคงอยตู่ ่อไป การทาหวั โขนเป็นศลิ ปะ ชนั้ สงู ในอดตี ใชเ้ พ่อื ถวายการแสดงแกเ่ จา้ ชวี ติ ปัจจุบนั การทาหวั โขนมปี ระโยชน์มากมาย เชน่ เพ่อื สวมใสใ่ นการแสดงฟ้อน พะลกั – พะลาม เพ่อื ประดบั ตกแต่งบา้ นเรอื นและความเป็นสริ มิ งคลแก่คนในครอบครวั เป็นของทร่ี ะลกึ และเป็นเครอ่ื งบชู า สง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธคิ์ รบู าอาจารยท์ งั้ หลาย ฉะนัน้ ศลิ ปะการทาหวั โขนจะอย่ไู ดอ้ ย่างยงั่ ยนื กต็ ่อเม่อื เรามองเหน็ คุณค่าและลงมอื ทา ซง่ึ นบั วนั กาลงั จะสญู หายไปตามกาลเวลา ศลิ ปะในการทาหวั โขน เรมิ่ ไมไ่ ดร้ บั ความนิยม สงั เกตไดจ้ ากในสมยั ปัจจุบนั ผคู้ น หนั ไปแสวงหาสงิ่ ใหม่ เน่อื งจากขนั้ ตอนกรรมวธิ ขี องการทาหวั โขนค่อนขา้ งยุ่งยากซบั ซ้อนและละเอยี ด เพราะเป็นงานท่ี ตอ้ งใชฝ้ ีมอื อย่างประณีต งดงาม ประกอบกบั ความตงั้ ใจและอดทน ในสมยั ก่อนคนทจ่ี ะเรยี นทาหวั โขนได้ ครบู าอาจารย์ จะต้องมีขนั้ ตอนวิธีการในการคดั เลือกคือ การทดสอบความอดทนของการใช้น้าเกล้ยี งสดของลาวมาสร้างหวั โขน ซ่ึง คุณสมบตั ขิ องน้าเกลย้ี งลาวจะมฤี ทธกิ ์ ดั ผวิ ค่อนขา้ งรนุ แรง ถา้ ใครสามารถผ่านขนั้ ตอนเหล่าน้ไี ปได้อาจารย์จงึ จะรบั เข้าเป็น ศษิ ยแ์ ละถ่ายทอดวชิ าการทาหวั โขนให้ แต่กไ็ ม่ยากเกนิ ไปสาหรบั หนุ่มวยั รุ่นผนู้ ้ี “ดุม้ ดุ่ม” ชายอายุ 25 ปี ผผู้ ่านบททดสอบ ของอาจารย์ ซง่ึ ใชค้ วามพยามเขา้ ไปเป็นนกั แสดงในโรงละคร ถงึ 36 ครงั้ และความใฝ่รขู้ องตวั เองโดยใชว้ ธิ กี ารครพู กั ลกั จา ซง่ึ หวั โขนมรี ูปแบบทงั้ หมด 365 หวั โดยถอื คตทิ ่วี ่า “คนสงู กว่า ววั ควาย ถา้ ตายไปกไ็ มเ่ หลอื ใครสกั คน เพราะฉะนนั้ คนมี ค่ามากกวา่ สตั ว์ คนคอื สตั ว์ชนั้ สงู แต่คนจะเหน็ คา่ กต็ ่อเมอ่ื คนๆนนั้ ได้ทาดใี หด้ เี ตม็ ท่ี เหน็ ประโยชน์สว่ นตนน้อยกว่าสว่ นรวม ทาตวั เราใหม้ คี ุณคา่ ดกี วา่ จะเอาเวลาไปสรรหาสงิ่ อ่นื ทไ่ี ม่เกดิ ประโยชน์ต่อสงั คม” คาสาคญั : หวั โขน, ฟ้อนพระลกั พระลาม, พธิ ไี หวค้ รู
2 Abstract Studying Sarong Doum Doum Sarong Khon Mask. The purpose of this study there are 3 issues. 1)To study the origin of the Khon mask. Used to show dancing Pha Lak Pha Lam in Luang Prabang. 2) To Study current conditions of Khon mask by Doum Doumcraftsman final version. 3) To conserve the art of creating a Khon mask in Luang Prabang. By the research method used qualitative research to collect data by working at the capital Prabang. Lao People's democratic republic. The educated that Luang Prabang is a city of ancient cultural sustainability that has not yet been destroyed in current. The success of fusing the tradition. Various cultural arts in this area are important and worth looking for the tourists or even people living in this area to have succession and still continue. Khon mask is a high art in the past. Used to show dedicated to life. Currently, there are many benefits to the Khon mask such as to wear in the show dancing PhaLak PhaLam. To decorate homes and prosperity for the family.As a souvenir it is worshiped teacher. Therefore, the art of making a khon mask is sustainable only when we see the value and act. The day will disappear over time. The art of making a Khon mask not popular. Obviously, in modern times, people are turning to new things. The process of making the Khon mask in quite complicated and detailed. Because it is a work that requires exquisite workmanship with the intention and patience. In the past, people will learn to do the Khon mask. The teacher must have a method of selection. Endurance test of fresh water of Laos to create a Khon mask. the properties of Laos acid the effect is quite intense. If anyone can go through these steps, the teachers will be accepted as a disciple and to make the Khon mask. It's not too difficult for this test of the teacher try to be an actor in the theater about 36 times. By how to remember when the teacher went to that \"people are taller than cattle, if dead, there is not someone left. Therefore, people are more valuable than animals. Man is a noble animal, But people will see the value when the people have done well. See less personal interest than the collective. We make it worthwhile to take time to recruit others that do not benefit society.\" Keyword : mask, dance phraluk phralam, Teacher ceremony
3 บทนา : หวั โขนในหลวงพระบางเมืองมรดกโลก เมอื งหลวงพระบาง เดมิ ช่อื เมอื งเชยี งทองเชยี งดง ลกั ษณะเฉพาะของภมู ทิ ศั น์ของเมอื งหลวงพระบางบ่งบอกถึง การอนุรกั ษ์อย่างดเี ยย่ี ม แสดงออกถงึ ภาพวาดแห่งขนั้ ตอนสาคญั ของการผสมผสานกนั อยา่ งลงตวั ของทงั้ สองวฒั นธรรม” นบั จากวนั ท่ไี ดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเป็นเมอื งมรดกโลกจนกระทงั่ ถึงปัจจุบนั เป็นเวลากว่า 15 ปี ทเ่ี มอื งหลวงพระบางตกอยู่ ภายใต้ระเบียบ กฎเกณฑข์ องคณะกรรมการมรดกโลกหรอื ยเู นสโก จากการศกึ ษาในหลวงพระบางเมอื งมรดกโลก ราชธานี แห่งความทรงจาและพน้ื ทพ่ี ธิ กี รรมในกระแสโลกาภวิ ฒั น์ ของศุภชยั สงิ หย์ ะบุศย์ (2553) กล่าววา่ พระเจา้ วชิ ุนราชเมอ่ื ครงั้ ท่ี ยงั ดารงตาแหน่งเจา้ เมอื งเวยี งคา ไดอ้ ญั เชญิ พระบางมาส่เู มอื งเชยี งทองในปลายรชั สมยั พระเจา้ หลา้ แสนไท และประดษิ ฐาน ไวท้ ว่ี ดั เชยี งกลาง ก่อนจะยา้ ยมาประดษิ ฐานทว่ี ดั มโนรมย์ ซ่งึ ทงั้ สองวดั น้ีตงั้ อย่นู อกกาแพงพระราชธานี ครนั้ พระยาวชิ ุน ราชขน้ึ ครองราชย์ ไดท้ รงสรา้ งวดั วชิ ุนราชข้นึ ท่บี รเิ วณด้านหลงั ภูสี ซง่ึ อยใู่ นเขตกาแพงชนั้ ในของราชธานี และไดอ้ ญั เชญิ พระบางมาประดษิ ฐาน ณ อารามวดั วชิ ุนราชในปี ค.ศ.1503 จากนนั้ พระบางกไ็ ดก้ ลายเป็นพระพทุ ธประตมิ ากรรม ทส่ี าคญั ท่สี ุดในเขตกาแพงราชธานี เป็นศูนย์กลางความเช่อื ทางศาสนาและช่วยส่งเสรมิ บทบาทและสถานภาพของเจ้ามหาชวี ติ ใหก้ บั พระเจา้ วชิ นุ ราชไปพร้อมกนั ต่อมา ในสมยั พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช ปี ค.ศ.1559 พระเจา้ บุเรงนองแหง่ กรงุ หงสาวดมี ี อานาจกลา้ แขง็ ขน้ึ และแผ่อานาจรกุ รานไปจนถงึ กรุงศรอี ยุธยาและลา้ นนา ดว้ ยเหตุน้ีพระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชจงึ ทรงตดั สนิ พระทยั ย้ายราชธานีจากศนู ย์กลางการปกครองของอาณาจกั ร จากนครเชยี งทอง ไปยงั เมอื งเวยี งจนั ทร์ และไดน้ าเอาพระ แกว้ มรกตลงไปประดษิ ฐานทเ่ี วยี งจนั ทรด์ ว้ ย พระองคไ์ ดป้ ระกอบพระราชพธิ อี าราธนาพระบางใหเ้ ป็นผปู้ กปักษ์รกั ษาเมอื ง เชยี งทอง และพระราชทานนามใหเ้ ป็นเมอื งแหง่ พุทธศาสนาว่า “หลวงพระบางราชธานศี รสี ตั นาคนหตุ ลา้ นชา้ งร่มขาว” และ เป็นทม่ี าของการเปลย่ี นช่อื เรยี ก “เมอื งเชยี งทอง” มาเป็น “เมอื งหลวงพระบาง” ตงั้ แต่นนั้ มานอกจากน้คี ณะกรรมการมรดก โลกแห่งสหประชาชาตทิ ไ่ี ดก้ ล่าวสรุปในคาประกาศใหเ้ มอื งหลวงพระบางขน้ึ ทะเบยี นเป็นเมอื งมรดกโลก ดงั ท่ี ศุภชยั สงิ ห์ ยะบุศย์ กลา่ วไวใ้ นบทความเรอ่ื งหลวงพระบาง : ความเปลย่ี นแปลงและกระบวนการกลายเป็นเมอื งมรดกโลก สมาคมไทย- ลาวเพ่อื มติ รภาพ (2554) วา่ “หลวงพระบางเป็นกรณีของความยงั่ ยนื แห่งวฒั นธรรมอนั เก่าแกท่ ่ยี งั ไม่ถกู ทาลายในปัจจุบนั เป็นความสาเรจ็ แห่งการหลอมรวมวฒั นธรรมประเพณี สถาปัตยกรรม โครงสร้างของชุมชน และอิทธพิ ลของอาณานิคม ยุโรปในคริสต์ศตวรรษท่ี 19-20 ศิลปะวฒั นธรรมท่ีหลากหลายในพ้ืนท่ีแห่งน้ีต่างมีความสาคัญและน่าค้นหา ของ นกั ท่องเท่ยี วหรือแม้กระทงั่ ผคู้ นท่อี าศยั อยู่ในพ้นื ท่แี ห่งน้ี เพ่อื ให้มกี ารสืบทอด การคงอยู่ต่อไป ดงั เช่นศลิ ปะในการทา หวั โขน ซง่ึ ถอื เป็นศลิ ปะชนั้ สงู ท่มี ปี ระโยชน์มากมาย เช่น หวั โชนเพ่อื การแสดง เพอ่ื เป็นเคร่อื งสกั การะบชู า เพอ่ื เป็นของท่ี ระลกึ เพ่อื ประดบั ตกแต่งบ้านเรอื นเพ่อื ความเป็นสริ มิ งคล ปัจจุบนั ผทู้ ่ใี หค้ วามสนใจในการสรา้ งหวั โขนนนั้ ลดน้อยลง จาก การลงพ้นื ท่สี ารวจพบไม่ก่รี า้ นท่สี นใจและให้ความสาคญั ในเร่อื งน้ี “ดุ้ม ดุ่ม” คอื หนุ่มชายวยั รุ่นมีอายุน้อยคนหน่ึง ท่ใี ห้ ความสาคญั และมใี จรกั ในศลิ ปะการทาหวั โขน ใช้เวลาส่วนใหญ่กบั การเล่นดนตรแี สดงในโรงละครและทาหวั โขนเพ่อื ให้ นกั แสดงในโรงละครเช่นกนั นบั ว่าเป็นบุคคลหน่ึงทใ่ี ห้ความสาคญั ในการอนุรกั ษ์ศลิ ปะวฒั นธรรมท่ดี ใี นทุกวนั น้ี การศกึ ษา วธิ กี ารทาหวั โขนนนั้ จะต้องใช้ระยะเวลาในการศกึ ษากบั ครบู าอาจารย์นานพอสมควร และเรยี นรทู้ ่มี าและความสาคญั ของ การทาหวั โขนดว้ ยเช่นกนั ดงั ท่ี ผศู้ กึ ษาจะขอกล่าวถงึ ทม่ี าและความสาคญั ของการทาหวั โขนไวด้ งั น้ี กรมศิลปากร (1977) โขนเป็นมหรสพหลวงท่แี สดงในพระราชพิธีสาคญั ๆมาตงั้ แต่สมยั กรุงศรอี ยุธยา ถือเป็น เคร่อื งประกอบราชอสิ รยิ ยศอยา่ งหน่งึ ของพระมหากษตั รยิ ์ และปัจจยั สาคญั ยง่ิ ท่ที าใหน้ าฏศลิ ป์ ชนั้ สงู แขนงน้ีรงุ่ เรอื ง ยงั่ ยนื เป็นมรดกชน้ิ เอกของชาตสิ บื มาถึงทกุ วนั น้ี โขนเป็นมหรสพทก่ี ่อรปู หลอ่ หลอมขน้ึ จากศลิ ปะวทิ ยาการหลายสาขาทม่ี มี ากอ่ น ได้แก่ ระบา รา เต้น กระบ่กี ระบอง หนงั (หนังใหญ่) การเล่นดกึ ดาบรรพห์ รอื ชกั นาคดกึ ดาบรรพ์ รวมทงั้ คตคิ วามเช่อื ของ สงั คมในอดตี กาล จากทม่ี าของโขนนนั้ ยงั มกี ารกลา่ วถงึ การแต่งกายสวมศรี ษะเทวดา ยกั ษ์ ลงิ อนั เป็นศลิ ปะชนั้ สงู หรอื งาน ประณีตศลิ ป์ ซง่ึ หวั โขนไดถ้ ูกนามาใชใ้ นการละเล่นชกั นาคดกึ ดาบรรพ์แลว้ ในสมยั อยุธยาเป็นอย่างน้อย และจากหลกั ฐาน
4 ทางประวตั ิศาสตร์ (กฎมณเฑียรบาล) ได้มกี ารกล่าวถึงการใชห้ วั โขนในพิธกี รรมต่าง ๆ ของการละเล่นชนั้ สงู ของไทยแต่ โบราณ ดงั นัน้ การสร้างหวั โขนนอกจากสรา้ งข้นึ เพ่อื ใช้แสดงแล้วยงั ถูกสรา้ งข้นึ เพ่อื สกั การะบู ชา (เศยี รครูเทพเจ้า) อัน หมายถงึ ศรี ษะเทพเจา้ ต่าง ๆ เช่น พระอศิ วร พระนารายณ์พระพรหม พระฤๅษี และพระคเณศ เป็นตน้ สว่ นหวั โขนซง่ึ ถอื เป็นเครอ่ื งศริ าภรณ์ท่สี าคญั อกี อย่างหน่งึ มผี ใู้ หค้ วามหมายของคาว่าหวั โขนไว้อย่างชดั เจน เช่น อมร ศรพี จนารถ (2536) ให้ความหมายของคาว่าหวั โขนไว้ 2 ความหมาย คอื ศรษี ะโขนทส่ี รา้ งด้วยกระดาษข่อย มรี กั สาหรบั ปัน้ หน้า ลวดลาย ประดบั ด้วยทองและกระจก มีไว้เพ่อื สวมใส่ในการแสดงโขน อีกคาหน่ึงคอื คาว่า หวั โขนเรอื ซ่งึ หมายถึงรูปแกะสลกั ท่ี ประดบั ไวบ้ รเิ วณหวั เรอื มรี ปู เป็นตวั ละครในเรอ่ื งรามเกยี รติ ์ สมทรง เจอื จนั ทร์ (2539) ไดก้ ล่าววา่ หน้าตาของตวั ละครใน การแสดงโขนนนั้ จะแตกต่างกนั ไป แบ่งเป็น 3 ลกั ษณะใหญ่ๆ คอื หน้ามนุษย์ หรอื หน้าเทพยดา หน้าอมนุษย์หรอื หน้าลงิ และหน้าสตั ว์ อจั ฉรา กอ้ นแกว้ (2539) ไดก้ ล่าวถงึ ประเภทของหวั โขนว่า สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คอื ฝ่ายเทพเจ้า ไดแ้ ก่เทพยดาทอ่ี ย๋ใู นมเหศวรพงศ์ มใี บหน้าเหมอื นกบั ศรษี ะของฝ่ายมนุษยแ์ ตกต่างกนั เพยี งสแี ละยอดมงกุฎเท่านนั้ ฝ่าย มนุษย์ หรอื พระ มตี วั ละครอยหู่ ลายตวั ตามท่ปี รากฏในพงศาวดารเร่อื งรามเกยี รติ์ แต่ท่สี าคญั คอื พระราม พระลกั ษณ์ พระพรต และพระสตั รุด ฝ่ายยกั ษ์ ซง่ึ สามารถแยกได้ 4 ลกั ษณะ คอื ปากแสยะตาโพง ปากแสยะตาจระเข้ ปากขบตาโพง และปากขบตาจระเข้ ซ่งึ ยกั ษบ์ างตวั กย็ งั มลี กั ษณะพเิ ศษอ่นื ๆ อกี ฝ่ายสดุ ทา้ ยกค็ อื ฝ่ายลงิ สว่ นใหญม่ หี น้าคลา้ ยกนั ต่างกนั ก็ เพยี งทป่ี ากคอื มปี ากอา้ ลากหุบ และสง่ิ ต่างอกี อย่างหน่งึ คอื ลงิ ท่มี ีมงกุฎหรอื ลงิ ยอด และลงิ ทม่ี มี งกุฎหรอื ลงิ โลน้ นอกจาก ประเภทของหวั โขนทม่ี ผี กู้ ล่าวไวข้ า้ งตน้ นนั้ สามารถสรุปไดว้ ่าลกั ษณะของหวั โขนแต่ละประเภทมลี กั ษณะทแ่ี ตกต่างกนั เช่น สี ลกั ษณะใบหน้าและยอดทใ่ี ชป้ ระดบั ดงั เช่นกบั หวั โขนทใ่ี ชแ้ สดงฟ้อนพะลกั - พะลาม ของหลวงพระบางหวั โขนทใ่ี ชใ้ นการ แสดงฟ้อนพระลกั พระลาม ถูกแบ่งประเภทตลอดจนลกั ษณะต่างๆ หลายประเภท เช่น หวั โขนพระลกั หวั โขนพระลาม หวั โขนหนุมาน หวั โขนทศกนั ฑ์ หวั โขนทา้ วราพพะนาสวน ยอดนางสดี า เป็นตน้ ซง่ึ มหี ลายรูปแบบ แต่จากการศกึ ษาพบว่า มกี ารกาหนดรปู แบบทเ่ี ป็นจารตี ประเพณีไว้อยา่ งเคร่งครดั ซง่ึ ผสู้ รา้ งหวั โขนต้องมคี วามรเู้ ร่อื งรูปแบบและคติความเช่อื ต่างๆ ทค่ี รชู า่ งท่านไดก้ าหนดไวอ้ กี ทงั้ ยงั ต้องมคี วามรเู้ ร่อื งบทละครทใ่ี ช้ในการแสดงโขนแต่ละตอนอกี ด้วย เพราะหวั โขนแต่ละหวั มลี กั ษณะใบหน้า ลวดลาย สแี ละเคร่อื งประดบั ตกแต่งทต่ี ่างกนั ทงั้ น้ขี น้ึ อย่กู ับบทบาทของตวั ละครในตอนนนั้ ๆ ภายหลงั ยุค การปลดปล่อย วฒั นธรรมท่เี ป็นมรดกตกทอดมาจากเจา้ มหาชวี ติ หรอื กษตั รยิ ก์ ลายเป็นสง่ิ ต้องหา้ ม แม้การแสดงตวั วา่ เป็น คนของเจา้ มหาชวี ติ ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วไปแลว้ ขา้ งต้น แต่สง่ิ เหล่าน้ีกลบั มาไดร้ บั การรอ้ื ฟ้ืนในรูปการประดษิ ฐส์ รา้ งเป็นการเฉพาะ สาหรบั อุตสาหกรรมทอ่ งเทย่ี ว การแสดงพะลกั พะลามเป็นราชศลิ ปะค่รู าชบลั ลงั กห์ ลวงพระบาง จดั แสดงปีละครงั้ ในช่วงบุญ ปีใหม่ และจดั แสดงสาหรบั รบั รองแขกบา้ นแขกเมอื งและเจา้ นายชนั้ สงู เท่านนั้ เมอ่ื เปลย่ี นแปลงการปกครองการแสดงทเ่ี ป็น ราชประเพณีต่างๆ กลายเป็นสง่ิ ทไ่ี ม่พึงปรารถนา แต่ในบรบิ ทของการเป็นเมอื งมรดกโลก ทาใหเ้ กดิ การร้อื ฟ้ืนโรงละคร หอประชุมภูสี กเ็ ปล่ยี นมาเป็นโรงละครพะลกั พะลาม และมกี ารเปิดแสดงใหม่อกี ครงั้ ในวนั ท่ี 25 มกราคม 2002 (ศุภชยั สงิ หย์ ะบุศย์ (2553) นอกจากน้หี วั โขนไม่เพยี งแต่ถกู สรา้ งขน้ึ เพ่อื ใชใ้ นการแสดงเท่านัน้ ยงั ใช้เป็นเครอ่ื งสาหรบั สกั าระบูชา เพราะหวั โขนทุกชน้ิ ทุกศรษี ะถอื เป็นหวั ครูทงั้ สน้ิ ถือเป็นเคร่อื งศริ าภรณ์ชนั้ สูง มกี ารนาหวั โขนมาใชเ้ พ่อื การกราบไหว้ใน พธิ ไี หวค้ รโู ขนละคร
5 ภาพท่ี 1 โรงละครพะลกั พะลาม ในหลวงพระบาง ทม่ี า : ยุวดี พลศริ ิ หวั โขน รบั ใช้โขนราชสานัก การแสดงฟ้อนพะลกั พะลาม มคี ่าใชจ้ ่ายในการเข้าชม แบ่งท่ี นงั่ ได้ 7 ระดบั จาก โซนA-โซนG แบ่งราคาเป็น 3 ระดบั ดงั น้ี 1) ราคา 150,000 กบี 2) ราคา 120,000 กบี และ 3) ราคา 100,000 กบี (ข้อมลู ปี 2018) สาหรบั ผทู้ ม่ี าเยอื นเมอื งหลวงพระบางจะต้องมาชมการแสดงฟ้อนพะลกั พะลาม ซง่ึ เป็นกจิ กรรมทจ่ี ะต้องมาช่นื ชม ศลิ ปวฒั นธรรมของ สปป.ลาว จากการสมั ภาษณ์ เผย สามะปะดดิ (สมั ภาษณ์ 24 พฤศจกิ ายน 2561) เลา่ ว่า “ถ้าวนั ไหน คนชมน้อยกจ็ ะไม่แสดงแต่ถ้าวนั ไหนมคี นชมมากจงึ จดั การแสดง ซง่ึ การแสดงส่วนใหญ่จะแสดงในจนั ทร์ วนั ศุกร์ และวนั เสาร์ การแสดงจะแสดงเวยี นกนั ไปตามลาดบั ” ซง่ึ นิยมแสดงทงั้ หมด 9 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 สงสนานสานกั พระอศิ วร ตอนท่ี 2 กวางคาและการลกั พาตวั นางสดี า ตอนท่ี 3 ตามหานางสดี า ตอนท่ี 4 ถวายแหวนของพะลามใหแ้ ก่นางสดี า ตอนท่ี 5 กอ่ ขวั ขา้ มไปเมอื งพไิ ชลงั กา ตอนท่ี 6 หนุมานลกั ดวงใจของลาวนั หะ(ยกั ) การต่อสแู้ ละการมรณะของยกั ตอนท่ี 7 การกลบั คนื มาของนางสดี าหาพะลาม ตอนท่ี 8 นางสดี าพสิ จู น์ดว้ ยการลยุ ไฟ ตอนท่ี 9 การกลบั มาครอบครองราชยข์ องพะลามส่พู ระราชวงั ศ์ (สายเพด็ คาพาสดิ . 2557) เม่อื แสดงจบตอนท่ี 9 แลว้ กจ็ ะเรมิ่ แสดงตอนท่1ี ใหม่จะวนการแสดงเช่นน้ีไปตลอด จากการลงพน้ื ทพ่ี บว่าในการ แสดงแต่ละรอบจะมกี ลุ่มนักทอ่ งเทย่ี วเข้าชมประมาณ 15-20 คน ส่วนใหญ่แลว้ เป็นนกั ท่องเท่ยี วชาวต่างชาติทม่ี าเป็นกรุ๊ป ทวั ร์ จากการสอบถามกล่มุ นกั ทอ่ งเทย่ี วพบว่า ตอนทไ่ี ดร้ บั ความนิยมมากทส่ี ดุ คอื ตอนท่ี 8 นางสดี าพสิ จู น์ดว้ ยการลุยไฟ
6 ภาพท่ี 2 เอกสารการแสดงพะลกั พะลาม และเวทกี ารแสดง ทม่ี า : ยุวดี พลศริ ิ จากการท่ผี ศู้ กึ ษามโี อกาสเขา้ ชมการแสดงพบว่าสว่ นใหญ่จะเป็นนกั ท่องเทย่ี วชาวไทยและชาวต่างชาติ คนลาวจะ มนี ้อยมากซ่งึ อาจะเป็นไปไดว้ ่าราคาคา่ เขา้ ชมสูง ถ้ามองงานดา้ นทางดา้ นแสง สี เสยี ง ทใ่ี ชใ้ นการแสดงยงั คงมนี ้อยฉากไม่ สมจรงิ แต่ถ้ามองเพยี งแต่การแสดงท่าทางการรา่ ยราตามละครจะพบว่ามคี วามสวยงามดว้ ยท่วงท่าทเ่ี ป็นแบบฉบบั ของลาว เอง เชน่ รปู แบบการเคลอ่ื นทแ่ี ปรแถวของการแสดงทงั้ เขา้ และออก เวทจี ะเคลอ่ื นท่ีเป็นลกั ษณะแถววงกลมวงเดยี วเป็นแนว ยาวตามกนั มาของตวั ละครโดยเรยี งจากตวั ละเอกเป็นคนแรก และสน้ิ สุดทเ่ี หล่าทหารและวานร อกี ทงั้ เสอ้ื ผา้ เครอ่ื งแต่งกาย ยงั คงใชร้ ปู แบบทเ่ี รยี บงา่ ย แต่ทส่ี วยงามและสามารถบ่งบอกถงึ ลกั ษณะของตวั ละครไดด้ กี ค็ อื “หวั โขน” เพราะหวั โขนแต่ละ ตอนจะมลี กั ษณะทแ่ี ตกต่างกนั ไป ทงั้ น้ีขน้ึ อย่กู บั บทบาทของตวั ละครและบทละครท่กี าหนดไว้ จากการศกึ ษาพบว่าหวั โขน โบราณนนั้ ไดถ้ กู สรา้ งขน้ึ ดว้ ยวตั ถุประสงคใ์ หญ่ๆอยู่ 2 ประการ 1) สาหรบั ใส่แสดงฟ้อนพะลกั พะลาม ละครในโอกาสต่างๆ เช่น การแสดงรบั ใชเ้ จ้าชวี ติ ปัจจุบนั มจี ดั แสดงในเทศกาลสาคญั เช่นวนั ปีใหม่ เป็นตน้ นอกจากน้ีการแสดงนาฏศลิ ป์ ทาให้ เหน็ ลกั ษณะเคร่อื งแต่งกายได้ชดั เจนมากยิ่งข้นึ 2) สาหรบั ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่นการไหว้ครโู ขน ดงั นัน้ ทงั้ นกั แสดงและผ้สู รา้ งหวั โขนจงึ ต้องมคี วามร้คู วามเขา้ ใจในบทบาทส่วนน้ีเป็นอย่างดี ดงั นนั้ การสรา้ งหวั โขน จงึ ต้องทคี วาม เช่อื ความศรทั ธาในเร่อื งการแสดงถึงความเคารพครบู าอาจารย์ ข้อห้าม และจารีตของการสรา้ งหวั โขนซ่งึ คนทจ่ี ะสร้าง หวั โขนไดจ้ ะต้องมคี วามเชอ่ื ศรทั ธา และมุ่งมนั่ ในวชี าชพี ของตนเอง การทค่ี รบู าอาจารยจ์ ะถ่ายทอดวชิ าให้นนั้ ไมใ่ ชจ่ ะสอน ใครกไ็ ด้ แต่จะต้องมวี ธิ กี ารคดั เลอื กบุคคลทม่ี คี วามสนใจอยา่ งจรงิ จงั เพราะถือวา่ เป็นศลิ ปะชนั้ สงู ซง่ึ จะต้องใชแ้ รงกาย แรงใจ การสรา้ งหวั โขนในหลวงพระบางมกี ารสบื ทอดต่อกนั มาแต่โบราณ ด้มุ ด่มุ ผสู้ รา้ งหวั โขนรนุ่ สดุ ท้าย ชายวยั ร่นุ คนหน่ึงทม่ี ใี จรกั ในศลิ ปะการทาหวั โขนมนี ามวา่ “ดมุ้ ดุ่ม” เป็นช่างผทู้ ่ี ได้รบั การถ่ายทอดมาจากลกู ชายของธุลุงมะนี ซง่ึ มบี ุตรอยู่ 2 คน บุตรชายเรยี นจบปรญิ ญาตรแี ต่หนั มาประกอบอาชพี หถั ตกรรม เป็นรุ่นสุดทา้ ยปัจจุบนั อายุ 25 ปี มปี ระสบการณ์ในการทาหวั โขนมารว่ ม 18 ปี โดยการเล่าเรยี นจากครอู าอาจารย์ ผเู้ ชย่ี วชาญโดยตรงใชเ้ วลาศกึ ษาเล่าเรยี นอยู่ 2 เดอื น เวลาทอ่ี าจารยจ์ ะสอนให้ใครไม่ไดส้ อนไดง้ า่ ยๆท่านจะสงั เกตกอ่ นว่า เรามคี วามสนใจมากน้อยแค่ไหน รกั ทจ่ี ะทาจรงิ หรอื ไม่? เพราะถา้ เรยี นไปกก็ ลายเป็นศษิ ยฮ์ ่าง (ฮา่ ง หมายถงึ เกเรไม่สนใจ) โดยใชว้ ธิ กี ารลองใจทดสอบความอดทน โดยการให้เราเอาน้าเกล้ียงสดทท่ี าจากประเทศลาวโดยเฉพาะเลยเพราะสารน้า เกล้ยี งมนั มสี ารกดั กร่อนผวิ เราเวลาทางาน ถ้าอดทนกบั ขนั้ ตอนน้ีไดก้ ถ็ ือว่าผ่านขนั้ แรก ท่านจะสอนให้เป็นช่างน้าเกลย้ี ง ไม่ได้สอนลวดลายเก่ยี วกบั หวั โขน ลวดลายเราต้องศกึ ษาเองและศกึ ษากบั ลูกชายและลูกสาวท่านทม่ี คี วามรูด้ ้านน้ีซ่งึ ใช้
7 ระยะเวลานานอยพู่ อสมควรพยายามเขา้ ไปเรยี นกบั ลกู ชายท่านดว้ ยการเขา้ ไปแสดงในโรงละครถงึ 36 ครงั้ กว่าจะได้โอกาส น้มี า โดยใชว้ ธิ กี ารครูพกั ลกั จา เพราะสมยั ก่อนจะไม่ให้ถ่ายรูปต้องหารวธิ ศี กึ ษาเอง เพราะคนส่วนใหญ่ทไ่ี ปเรยี นเวลาได้ ความรจู้ นสรา้ งหวั โขนเป็นอาชพี จะไม่บอกวา่ เป็นลายของตนเองไม่ไดใ้ หค้ วามสาคญั กบั ครบู าอาจารย์เป็นศษิ ยล์ า้ งครู จงึ ทา ใหต้ นเองมองเหน็ คุณค่าและความสาคญั ในศลิ ปะแขนงและเคารพครบู าอาจารยค์ อื สงิ่ สาคญั การสรา้ งหวั โขนต้องใช้ความ พยายามเป็นอย่างมากท่จี ะสร้างหวั โขนให้ได้สวยงาม ต้องมคี วามตงั้ ใจจรงิ “ดุ้มดุ่ม” ใช้วธิ กี ารจดจาจากภาพถ่ายของ ฝรงั่ เศสในชว่ งสมยั นนั้ เน่อื งจากฝรงั่ เศสเขา้ มายดึ อานาจและไดม้ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ภาพหวั โขนของลาวไวใ้ นหอ้ งสมุด ตนเองจงึ ไดม้ โี อกาสเขา้ ไปดภู าพหวั โขนแลว้ นากลบั มาออกแบบลวดลายจากขอ้ มลู เหลา่ นนั้ ปัจจุบนั เอกสารฉบบั น้ไี ดห้ ายไป ซง่ึ การทาหวั โขนใช้เวลาในการทา 12 หวั ใน 1 เดอื น การซง่ึ หวั โขนแต่ละหวั จะมคี วามยากและง่ายต่างกนั เชน่ หวั พระราม จะยากตรงการแต่งหน้าและลวดลาย ภาพท่ี 3 หวั ทศกณั ฑ์ ทม่ี า : ยุวดี พลศริ ิ หวั ยกั ษ์ จะยากท่ลี วดลายทว่ี าดให้ดอู อกมาน่ากลวั และตอ้ งออกแบบให้เหมาะสมกบั บทบาทของตวั ละครวา่ จะใช้ แบบไหน เช่น หน้ายม้ิ หน้าโกรธ ว่าควรใชอ้ ารมณ์แบบไหน ซง่ึ ผู้ออกแบบจะต้องมคี วามรู้เร่อื งบทของการแสดงดว้ ย ซ่งึ หวั โขนในการแสดงพระลกั พระลาม ในหลวงพระบางมหี วั โขนทงั้ หมด 365 หวั ทงั้ น้ใี นการทาหวั โขนเป็นศลิ ปะชนั้ สูงเร่อื ง ทล่ี ะเอยี ดอ่อนนอกจากจะมที กั ษะทางดา้ นศลิ ปะการวาดเขยี นแลว้ ยงั ต้องมใี จรกั และความพยายามเป็นอยา่ งสงู และขน้ึ อยู่ กบั การแบ่งเวลาในการทางานภายใน 1 วนั เพราะการหวั โขนในสมยั น้ีไม่ไดร้ บั การสนับสนุนทางดา้ นงบประมาณจงึ ตอ้ งมี การทางานอ่นื ๆ เพ่อื หาเงนิ มาจุนเจอื และสรา้ งสรรค์งานศลิ ป์ กิจกรรมทม่ี าสนบั สนุนงบในการทาหวั โขนคอื การรบั สกั ลาย บนร่างกายและพาคณะแสดงออกทาการแสดงตามโรงแรมในหลวงพระบาง เช่น โรงแรมสุวรรณภูมิ โรงแรมเชยี งทอง และ ตามงานบายศรสี ่ขู วญั เป็นตน้ ซง่ึ มที มี งานทงั้ หมดราว 30-50 คน หลกั จากหกั คา่ ใชจ้ ่ายในสว่ นต่างๆ แลว้ กจ็ ะนาเงนิ ทเ่ี หลือ มาซอ้ื วสั ดอุ ุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นการทาหวั โขน
8 ภาพท่ี 4 แมพ่ มิ พห์ วั โขนแต่ละประเภท ทม่ี า : ยุวดี พลศริ ิ หวั โขนจะทาอยู่ 2 ลกั ษณะคอื หวั โขนเพ่อื ใชใ้ นการแสดงฟ้อนพะลกั –พะลาม ในโรงละคร และหวั โขนเพ่อื ของท่ี ระลกึ สง่ ออกต่างประเทศเพ่อื ใชใ้ นการประดบั ตกแต่งบ้านเรอื นเพ่อื ความเป็นสริ มิ งคล ซง่ึ มวี ธิ กี ารทาหวั โขนคอื จะขน้ึ รปู ดว้ ย กระดาษสาผสมผสานกบั ข้วี วั ข้คี วายซ่งึ เป็นวสั ดุทไ่ี ดม้ าจากธรรมชาติ ซ่งึ ขนั้ ตอนวธิ กี ารทาหวั โขน ฝ่ายช่างสบิ หมู่ กอง หตั ถศลิ ป์ กรมศลิ ปากร (2530) ไดศ้ กึ ษาเกย่ี วกบั ขนั้ ตอนการทาหวั โขนในแนวอนุรกั ษ์แบบโบราณไว้ 12 ขนั้ ตอนดงั น้ี 1. การวดั ขนาดศรษี ะวดั รอบศรษี ะของผทู้ จ่ี ะสวมใส่กอ่ นนามาออกแบบ การวดั รอบศรษี ะคอื การวดั ในส่วนท่ี กวา้ งทส่ี ุดของศรษี ะโดยวดั ตามแนวระดบั แลว้ ใชศ้ รษี ะจรงิ น้เี ป็นส่วนออกแบบหวั โขนต่อไป 2. การออกแบบของชา่ งจะตอ้ งคานงึ ถงึ 3 อยา่ ง คอื 2.1. ตอ้ งออกแบบหวั โขนทต่ี ้องการ 2.2. ต้องคานงึ ถงึ ขนาดทเ่ี หมาะสมกบั ขนาดศรษี ะของผทู้ ส่ี วมใส่ 2.3. การแตกแต่งลวดลายใหส้ วยงามซง่ึ ขน้ึ อยกู่ บั ชา่ งผผู้ ลติ 3. ปัน้ หุ่น ทาพมิ พ์ ถอดพมิ พน์ าดนิ ทใ่ี ชป้ ัน้ ภาชนะมาปัน้ หุ่นมลี กั ษณะหน้าตาแสดงตาแหน่งอย่างหยาบๆ พอ เป็นเค้าโครงตามต้องการ และต้องปั้นให้โตกว่าท่ีต้องการเลก็ น้อย เผ่อื ดนิ ยุบตวั เม่อื หุ่นแหง้ สนิทแลว้ นาไปเผาไฟ เม่อื เผาแลว้ หุน่ นนั้ จะแขง็ ตวั ทาเป็นหุ่นไวพ้ อกกระดาษต่อไป สาหรบั หุ่นเคร่อื งประดบั ศรษี ะอ่นื ๆ ท่ใี ชใ้ บหน้าจรงิ ของผแู้ สดงก็ กลงึ ไมส้ กั เป็นหุน่ ทรงกลมแลว้ พอกกระดาษเฉพาะสว่ นยอดเพ่อื ต้องการใหม้ คี วามเบา 4. ใชก้ ระดาษรองทองคาเปลว หรอื กระดาษฟางแผ่นใหญ่ตดั เป็นชน้ิ เลก็ ๆ ชบุ น้าใหเ้ ปียกปิดลงบนหนุ่ เพ่อื เป็น การรองพน้ื ชนั้ แรกไม่ใหก้ ระดาษทจ่ี ะปะดว้ ยแป้งเป้ียกตามมาตดิ กบั หุ่นแกนในฉีกกระดาษข่อยซง่ึ ทางแป้งเปียกซอ้ นกนั 3 ชนั้ และชนั้ บนสุดทาแป้งเปียกใหท้ วั่ ทเ่ี ตรยี มไว้กอ่ นแลว้ แบบแฉลบปิดทบั โคง้ พาดหุ่นเกยกนั แบบสาแหรกเพ่อื กนั ตดิ กบั หุ่น ต่อไปกฉ็ กี กระดาษข่อยแบบแฉลบเป็นชน้ิ ๆ ปิดซอ้ นเกยกนั เลก็ น้อย จะไดไ้ มเ่ ป็นสน้ นูนของหุ่นส่วนทเ่ี หลอื จนทวั่ เสรจ็ แล้ว ใช้มอื ลบู ไลแ้ ป้งเปียกทต่ี ิดอย่ขู า้ งบนนนั้ ให้ทวั่ อีกครงั้ หน่ึง แลว้ นาไปผง่ึ แดด พอหมาดๆ จงึ นามารดี กวดด้วยไมเ้ นียนรกั หรอื ไมก้ วดรกั ใหก้ ระดาษแนบเขา้ ไปทวั่ ถงึ ทุกซอกทกึ มมุ ของห่นุ แลว้ ทาแป้งเปียกบางๆแลว้ ปิดกระดาษข่อยทฉ่ี กี แฉลบเป็น ช้นิ ๆให้ซอ้ นเกยกนั นาไปฝ่ึงแดดและรดี กวดอีกทาเช่นน้ีสกั 5 ครงั้ จนหนาประมาณ 15 ชนั้ หรอื ตามต้องการ ขอ้ สาคญั ระหว่างชนั้ ต่อชนั้ ของกระดาษขอ่ ยทซ่ี อ้ นกนั นนั้ ต้องทาแป้งเปียกใหป้ ระสานเสมอกนั ชนั้ สดุ ทา้ ยทาแป้งเปียกบางๆใหท้ วั่ 5. การผ่าหุ่น เยบ็ หนุ่ ตดิ หู ผมไหว้ กุณฑลเม่อื กระดาษทพ่ี อกหนุ่ นนั้ แหง้ สนทิ ดแี ลว้ ใชม้ ดี ปลายแหลมกรดี ผ่านทางด้านหลงั จากกลางศรษี ะหุ่ตลอดท้ายทอย แล้วถ่างออกดงึ หุ่นกระดาษออกทางด้านหน้าของหุ่นในใชด้ า้ ยอย่าง เหนียวเยบ็ ประสานรอยผ่าให้ติดกนั และปิดกระดาษข่อยทบั ตะเขบ็ รอยเย็บนัน้ ให้เรยี บรอ้ ยผ่งึ แดดจนแห้งอกี ครงั้ หน่ึง
9 จากนนั้ ถ้าเป็นหวั โขนทต่ี อ้ งตดิ จอนหู เช่น พระฤาษี หรอื เงาะกน็ าไปตดิ หู หวั โขนยอด ลงิ โลน้ และหวั ยกั ษ์จะติดหกู บั เสรมิ ปลายหางคว้ิ เป็นช้นิ หนงั เยบ็ เขา้ กบั หนุ่ กระดาษดว้ ยรกั สมดุ เฉพาะลงิ โล้นตดิ ผมไหว้ เสรจ็ แล้วทาน้ามนั ยางชนซมึ ซาบทวั่ ทงั้ ดา้ นนอกดา้ นใน น้ามนั ยางจะป้องกนั ตวั สตั วจ์ าพวกแมลงกดั กนิ หนุ่ กระดาษได้เป็นอยา่ งดแี ละเพ่อื เชอ่ื มประสานเป็นเน้ือ เดยี วกนั ดว้ ย 6. เกลย่ี หน้าจากหนุ่ กระดาษทข่ี น้ึ ไวม้ คี วามเรยี บหรอื นูนยงั ไมเ่ พยี งพอเป็นบางแห่ง จงึ ต้องเกลย่ี หน้ารองพน้ื ดว้ ยรกั สมุก ช่วยเพม่ิ ความเรยี บหรอื นูน เมอ่ื แหง้ แลว้ ขดั แต่งใหเ้ รยี บรอ้ ยปัน้ หน้าขดั ผวิ เมอ่ื เกลย่ี หน้าและแหง้ ดแี ลว้ จงึ ขดั แต่งและใช้รกั กระแหนะปัน้ สรมิ สว่ นต่างๆ เชน่ คว้ิ รมิ ฝีปากใหค้ มชดั นูนเด่นขน้ึ ตามลกั ษณะของใบหน้าโขนนนั้ ๆ รอจนแห้ง จงึ ขดั แต่งบรเิ วณท่ปี ัน้ เสรมิ แลว้ ทารกั น้าเกลย้ี งรองพ้นื ทงั้ ด้านนอกดา้ นในของหวั โขน และทาด้านนอกอีกครงั้ หน่ึงสาหรบั ปิดทองหน้าหัวโขนส่วนท่หี น้าท่รี ะบายสไี ม่ต้องทารกั น้าเกล้ยี งซ้าแต่ใช้กระดาษว่าวทาแป้งเปียกให้เสมอปิดจนทวั่ อีก ชนั้ หน่งึ เรยี กวา่ ปิดผวิ แลว้ กวดใหเ้ รยี บรอ้ ย 7. การประดบั ลวดลายต่างๆใชร้ กั สมกุ ทก่ี วนดแี ลว้ กดลงบนแบบลวดลายทแ่ี กะพมิ พด์ ว้ ยหนิ รกั กระแหน่ะโดยใช้ น้าทาพมิ พห์ นิ เสยี กอ่ น กนั รกั ตดิ พมิ พ์ แล้วนามาติดประดบั บรเิ วณทต่ี ้องการเสรจ็ แลว้ ใช้น้าเกลย้ี งทาเพอ่ื ยดึ ตวั กระจงั และ ลวดลายต่างๆกบั ตวั หุ่นจนทวั่ แลว้ ทง้ิ ไวใ้ หแ้ หง้ 8. การทาเครอ่ื งประกอบสลกั ฉลทุ บั จอนและกรรเจยี กจอน ใชห้ นงั ววั ตากแหง้ ขดู ขนใหเ้ กลย้ี ง นาแบบทเ่ี ขยี น ไวม้ าปะตดิ กบั หนงั สตั วด์ งั กลา่ วแลว้ นามาฉลุตามแบบเสรจ็ แล้วเขา้ ลวดคอื ตรงึ ดา้ นในกบั ลวดดว้ ยดา้ นเสน้ โตเป็นระยะๆ กนั หนงั บดิ จนทวั่ แลว้ เยบ็ ตดิ กบั หุ่นกระดาษบางชา่ งจะประดบั ลวดลายจนแลว้ เสรจ็ จงึ นาไปตดิ กบั หวั โขนหายหลงั กม็ ี สาหรบั ทบั จอนและกุณฑลของยกั ษ์กบั ลงิ ใหต้ ิดก่อนประดบั ลวดลายทก่ี รอบหน้า และเก้ยี วมาลยั สว่ นกรรเจยี กจรของพระและ นางจะปิดทองและประดบั แววก่อนแลว้ จงึ ไปตดิ กไ็ ด้ 9. การลงรกั ปิดทองเมอ่ื ประดบั ลวดลายเสรจ็ ทง้ิ ไวจ้ นแหง้ จงึ ใชร้ กั น้าเกลย้ี งทาบางๆจนทวั่ ปล่อยใหแ้ หง้ แลว้ ทา ซ้าอกี ครงั้ หน่งึ เม่อื ผวิ รกั หมาดๆกป็ ิดทองคาเปลวในสว่ นทต่ี อ้ งการ 10. การระบายสเี ขยี นหน้าเม่อื ปิดทองแลว้ กร็ ะบายสเี หมอื นผวิ หน้าบนกระดาษว่าวตามพงศข์ องหน้าโขนรวมทงั้ เขยี นเสน้ ฮอ่ ประกอบดว้ ยสี 4 สี ดว้ ยกนั คอื สลี น้ิ จ่ี แดงชาด ชมพู และทอง วธิ เี ขยี นใชส้ ชี มพเู ขยี นกอ่ นกะดเู อาเสน้ หนาตาม ต้องการ จากนนั้ จงึ ใชส้ แี ดงชาดอกี ครงั้ หน่งึ ส่วนสชี มพขู า้ งบนใชย้ างมะเดอ่ื ชุมพรทางแบ่งครง่ึ สชี มพู เสรจ็ แลว้ ใชส้ ลี น้ิ จต่ี ดั ทบั แบ่งครง่ึ แดงชาดอกี ครงั้ หน่งึ สว่ นสชี มพขู ้างบนใช้ยางมะเด่อื ชุมพรทาแบ่งคร่งึ พอหมาดปิดทองเป็นส่วนบนสุดของเส้น ฮอ่ ถา้ สหี น้าโขนสเี ขม้ คลา้ ยสลี น้ิ จ่ี ใชแ้ ดงชาดเป็นสลี า่ งสดุ แลว้ ใหใ้ ชส้ ขี าวเขยี นเหนือเสน้ สชี มพู หน้ามสี ชี มพหู รอื หงชาด กใ็ ชข้ าวแทนชมพสู าหรบั หน้าสที องใชช้ าดตดั เหนอื ทองเน้นใหเ้ หน็ เป็นเสน้ เลก็ ๆอกี เสน้ หน่งึ ต่างหาก 11. การประดบั แวว ตดิ ฟัน ตาและเขย้ี วเมอ่ื เขยี นระบายสเี สรจ็ กป็ ระดบั แววทล่ี วดลายซง่ึ ปิดทองไวต้ ามไสข้ อง กระจงั และลวดลายต่างๆ ด้วยกระจกทต่ี ดั มนเลก็ ๆ กะดใู หไ้ ดข้ นาดกบั กระเปาะของกระจงั โดยใช้รกั เมอื กเป็นส่อื ตดิ ตดิ ฟัน ตาและเขย้ี วซง่ึ ทาดว้ ยมุก หวั ยกั ษ์บางหวั เขย้ี วทาดว้ ยไม้ทาสี สว่ นตาและฟันกใ็ ชส้ รี ะบายตามความเหมาะสม ทโ่ี คน เขย้ี วยกั ษพ์ อกดว้ ยรกั กระแหน่ะปิดทองแลว้ เขยี นแรเป็นเสน้ 12. การประกอบเครอ่ื งยอดทงั้ หมดในขนั้ ตอนน้จี ะเป็นการประกอบเคร่อื งประกอบทเ่ี หลอื ทงั้ หมด เช่น ยอดมงกฎุ ใหเ้ สรจ็ และสามารถนาไปใชไ้ ด้ จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ จะเหน็ ว่าขนั้ ตอนการทาหวั โขนของไทยนนั้ มคี วามละเอยี ดอ่อนหลายขนั้ ตอน ข้ึนอยกู่ บั ความ ยากงายของหวั โขนแต่ละประเภทขนั้ ตอนท่ี1-9 หวั โขนทุกประเภทจะทาเหมอื นกนั แต่ขนั้ ตอนท่ี 10-12 จะมรี ายละเอียดท่ี แตกต่างกนั ยากทส่ี ุดคอื การวาดลวดลายและขนั้ ตอนของการใชส้ ซี ่งึ ต้องใชเ้ ทคนึเฉพาะตวั ของช่างด้วย เฉกเช่นเดยี วกบั กรรมวธิ กี ารทาหวั โขนในสปป.ลาว แขวงหลวงพระบาง จากการลงพน้ื ทส่ี มั ภาษณ์ ผศู้ กึ ษาพบวา่ ขนั้ ตอนของการทาหวั โขน ดงั น้ี
10 1. ขนั้ ตอนแรกเรมิ่ จากการปัน้ ห่นุ โดยวดั ขนาดของศรษี ะผแู้ สดง (ในกรณที น่ี าไปใชเ้ พอ่ื การแสดง) ถา้ เป็น เครอ่ื งประดบั ตกแต่งจะใชโ้ ครงสรา้ งสดั ส่วนโดยฝีมอื ช่างลว้ นๆ 2. ปัน้ หนุ่ โดยใชด้ นิ เผาขน้ึ รปู เป็นลกั ษณะโครงสรา้ งหยาบๆ 3. ใชก้ ระดาษสาแบบแขง็ และทาแปะดว้ ยขว้ี วั ขค้ี วายทห่ี าไดต้ ามธรรมชาตใิ นทอ้ งถน่ิ ตนเองจากนนั้ นามาผง่ึ แดด 4. ขน้ึ รปู ตดิ โครงสรา้ งและวดั ขนาดของหวั คนทใ่ี ชใ้ นการแสดง เน่อื งจากขนาดของหวั โขนและหวั ของนกั แสดงมี ลกั ษณะแตกต่างกนั บางครงั้ จะทาให้ความยากและซบั ซอ้ นมากขน้ึ หวั โขนจงึ มลี กั ษณะทเ่ี หมาะสมกบั นกั แสดง 5. เกลย่ี หน้าจากหนุ่ กระดาษทข่ี น้ึ ไว้ เม่อื แหง้ แลว้ ขดั แต่งใหเ้ รยี บรอ้ ย ปัน้ หน้า ขดั ผวิ โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื และ กระดาษขดั เมอ่ื เกลย่ี หน้าและแหง้ ดแี ลว้ จงึ ทาสี ตกแต่งลวดลายตามตวั ละคร เช่น หวั โขนลงิ ใชส้ ขี าววาดลวดลายสเี ขยี ว ทศกนั ฑใ์ ชพ้ น้ื สเี ขยี ววาดลวดลายดว้ ยสนี ้าเงนิ เป็นตน้ 6. การตกแต่งลวดลายจะใชก้ ระจกเมด็ เลก็ ๆประดบั ตกแต่งใหม้ คี วามแวววาวสวยงามตามฝีมอื ช่าง และปิดทอง ใหส้ วยงามอีกทงั้ การออกแบบลวดลายจะต้องใหม้ คี วามเหมาะสม ซง่ึ แต่เดมิ หน้าลงิ หน้ายกั ษ์แต่เดมิ ลวดลายจะแตกต่าง ลวดลายทเ่ี หน็ ในการแสดงปัจจบุ นั เช่น หวั โขนทใ่ี ชแ้ สดงตอนทศกนั ฑ์ แปลงกายเป็นพระรามจะมหี วั ท่แี ตกต่างไปจากเดมิ และการใชส้ ตี ามตวั ละครจะต้องใหม้ คี วามสมจรงิ เพราะบทบาทของตวั ละครแต่ละตวั ไม่เหมอื นกนั เชน่ เดยี วกบั ใบหน้าของ คนเรา หน่ึงคนกม็ ีลกั ษณะสีหน้าและอารมณ์กม็ อี ย่างหลากหลาย ขนั้ ตอนต่อไปคอื การข้ึนลวดลาย และลงสี (ดุ้มดุ่ม สมั ภาษณ์, ยุวดี พลศริ ิ 24 พฤศจกิ ายน 2561) นอกจากน้ีแล้วหวั โขนยงั ใชป้ ระดบั ตกแต่งบ้านเรอื นในกรณีทใ่ี ช้ประดบั ตกแต่งจะมกี ารยอ่ ส่วนใหเ้ ลก็ ลงเพ่อื ง่ายต่อการโยก้ ยา้ ย และในปัจจุบนั หวั โขนยงั สามารถจกั เป็นของทร่ี ะลกึ ไดเ้ ชน่ กนั ภาพท่ี 5 ลกั ษณะหวั โขน (ยกั ษ)์ ทม่ี ใี บหน้าทแ่ี ตกต่างกนั ทม่ี า : ยุวดี พลศริ ิ
11 ภาพท่ี 6 หอ้ งทาหวั โขน ทม่ี า : ยุวดี พลศริ ิ บรเิ วณพน้ื ท่ใี นการทาหวั โขนจะแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คอื ในหอ้ งและพ้ืนท่ดี า้ นนอก พน้ื ทด่ี ้านในจะเป็นพน้ื ทใ่ี น การเขยี นลวดลายและการขน้ึ โครงใบหน้า และเกบ็ อุปกรณ์และวสั ดตุ ่างๆ ส่วนพน้ื ทด่ี ้านนอกจะเหมาะสาหรบั การพ่นสแี ละ ขน้ึ รูป ตดั โครงไมซ้ ง่ึ จะต้องเป็นพ้นื ท่โี ล่ง การทาหวั โขนจะเป็นบรเิ วณภายในบ้านซ่งึ ถูกออกแบบไว้สาหรบั การทาหวั โขน และรบั สกั ลายแยกกนั อย่างชดั เจน ไม่มหี น้ารา้ นถ้ามลี ูกค้าสามารถตดิ ต่อสอบถามไดท้ ่บี ้านนาหลวง และสอบถามได้ทาง เฟสบุ๊คเป็นต้น ตวั อย่างการแสดงทใ่ี ชแ้ สดงในโรงละครฟ้อนพะลกั – พะลาม ผศู้ กึ ษาได้ลงพน้ื ทใ่ี นการสมั ภาษณ์จรงิ และชม การแสดงจรงิ พบว่าศลิ ปะการแสดงของหลวงพระบางท่ีความเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั เจนคอื กระบวนท่าราของ ตวั ละครและบทบาทของตวั ละคร จะมีแบบฟ้อนทา่ ราหลกั ของตวั ละครทุกตวั ดงั น้ี แบบฟ้อนทา้ วหรอื พะลกั พะลามมที ่ารา ทงั้ หมด 11 กระบวนท่า แบบฟ้อนท่าราของทศกณั ฑ์ยกั ษามที งั้ หมด 10 กระบวนท่า แบบฟ้อนของหนุมาน มีทงั้ หมด 8 กระบวนท่า และแบบฟ้อนนางแกว้ มที งั้ หมด 17 กระบวนท่า ภาพท่ี 7 ตวั อย่างการแสดงฟ้อนนางแกว้ และตอนหนุมานลกั ดวงใจของลาวนั หะ(ยกั ) การต่อสแู้ ละการมรณะของยกั ทม่ี า : ยวุ ดี พลศริ ิ อาชีพรองท่สี ามารถนารายได้จากส่วนน้ีมาบรหิ ารจดั การซ้อื วสั ดุ อุปกรณ์ในการทาหวั โขนได้อย่างไม่น่าเช่อื ลวดลายท่สี กั จะเน้นลายลาวและลายรูปตวั ละครในวรรณกรรม พะลกั -พะลาม กลุ่มคนท่มี าใช้บรกิ ารมี 2 กลุ่มคอื 1)กลุ่ม นกั ท่องเท่ยี วชาวต่างชาติ (ชาวต่างชาตจิ ะเน้นใหอ้ อกแบบลายลาวและทศกณั ฑ์) 2) กลุ่มคนลาว (ลายทน่ี ิยมคอื ลายกราฟ
12 ฟิคและสกั ยนั ต์) เป็นต้น และนอกจากน้ียงั รบั งานแสดงทวั่ ไปโดยใชเ้ วลาว่างจากทาหวั โขน โดยพานกั แสดงในกลมุ่ ตวั เอง แสดงตามโรงแรม และงานมงคล ดมุ้ ดมุ่ รบั บทบาทเป็นนกั ดนตรแี ละหวั หน้าทมี นกั แสดง ดงั ภาพประกอบต่อไปน้ี ภาพท่ี 8 ออกงานแสดงตามโรงแรมต่างๆในหลวงพระบาง ทม่ี า : ยุวดี พลศริ ิ บทสรปุ : ลมหายใจสดุ ท้ายของศิลปะช่างสรา้ งหวั โขน การอนุรกั ษ์ศลิ ปะการสรา้ งหวั โขนไมเ่ พยี งแต่ใชฝ้ ีมอื ของชา่ งเพยี งอยา่ งเดยี วหากแต่ยงั ตอ้ งใชจ้ ติ ใจมุ่งม่นุ และรกั ใน งานศลิ ป์ การทจ่ี ะสอนให้ใครสกั คนมารกั ษ์ในการศลิ ปะการสรา้ งหวั โขนนนั้ กย็ ากยงิ่ นกั เพราะเดก็ สมยั น้ีไม่ได้มองเหน็ ถงึ ความสาคญั ของการอนุรกั ษ์ศิลปะวฒั นธรรมชนั้ สูงช้นิ น้ี หนั ไปสนใจเร่อื งอ่นื มากกว่า และใช้เวลาไปกบั สงิ่ อ่นื ซ่งึ ส่งผล กระทบต่อการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมท่มี ตี ่อหวั โขน ปัจจยั เสย่ี งท่ศี ลิ ปะช้นิ น้จี ะสญู หายไปการจากสารวจ ลงพน้ื ทแ่ี ละศกึ ษา จากเอกสารพบว่า ผู้คนหนั มาให้ควานิยมในการดูโขนลดน้อยลง ถ้าประชาชนไม่นิยมนกั ท่องเทย่ี วไม่ให้ความสาคญั แลว้ การผลติ หวั โขนจะอย่ไู ด้อย่างไร ปัญหาของช่างท่มี ฝี ีมอื ลดน้อยลงถอื ว่ามนี ้อยมากเม่อื เทยี บกบั ช่วงอายขุ องคนในปัจจุบนั และสงิ่ ยวั่ ยุ จากแสง สี เสยี ง ทงั้ หลายภายในเมอื งหลวงพระบางแห่งน้ี ซง่ึ ขน้ึ ช่อื ว่าเป็นเมอื งแห่งมรดกโลกท่มี วี ฒั นธรรมอนั หลากหลาย อีกทงั้ วสั ดุอุปกรณ์นัน้ บางส่วนต้องนาเข้าจากต่างประเทศหรอื ประเทศเพ่อื นบ้าน ซ่งึ ค่าใช้จ่ายค่อนขา้ งสูง อย่างไรก็ตามการทาหวั โขนของ หลวงพระบางยงั คงมีการใช้วสั ดุจากธรรมชาติอยู่ด้วย ผลกระทบจากวฒั นธ รรมและ เทคโนโลยี กระบวนการถ่ายทอดกระบวนการสอนของครูบาอาจารย์ ซง่ึ ไม่มกี ารเรยี นเป็นหลกั สูตรในสถาบนั แต่เป็นเพยี ง การเล่าเรยี นตวั ต่อตวั กบั ครอู าจารย์ทต่ี ้องผ่านกระบวนการทดสอบ ทาใหก้ ารถ่ายทอดความรขู้ องผสู้ รา้ งกบั ศษิ ย์ค่อนข้าง ลา่ ชา้ และซบั ซอ้ น ทาใหก้ ารถ่ายทอดนนั้ เกดิ ปัญหา เช่นเดยี วกนั สภาพเศรษฐกจิ สงั คมในปัจจุบนั ผคู้ นให้ความสนใจคา้ ขาย การแลกเปล่ยี นสนิ คา้ มากกว่ามานงั่ ประดดิ ประดอย เพราะไดค้ ่าตอบแทนเรว็ กว่า ทงั้ หมดน้ีจงึ เป็นประเดน็ ทฉ่ี ุดใหค้ ดิ และ หาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนัน้ ศลิ ปะการทาหวั โขนจะหายสาบสูญ แต่เม่ือเรามองเห็นคุณค่าและลงมอื ทา เช่นเดยี วกบั เสยี งสะท้อนจาก “ดุม้ ดุ่ม” หนุ่มวยั รุ่นผ้มู ีใจอนุรกั ษ์ศลิ ปะวฒั นธรรมของ สปป.ลาวในหลวงพระบาง ไดแ้ สดง ทศั นคตถิ งึ คนลาวไวว้ ่า “คนเหน็ คุณคา่ ด้านน้ีน้อย คนลาวท่อี ย่ใู นอเมรกิ าจะนิยมสงิ่ เก่าๆวฒั นธรรมอนั เก่าแก่ แต่คนลาวท่ี อาศยั อยใู่ นประเทศลาวปัจจุบนั จะแสวงหาแต่สงิ่ ใหม่จนลมื ของเก่า” ทศั คตมิ นั ยอ้ นแยง้ กนั สุดทา้ ยน้ผี ศู้ กึ ษาขอทง้ิ ท้ายดว้ ย คติของ “ดุ้มดุ่ม” เพ่ือสร้างแรงบันดาลใจสาหรบั ผู้อ่าน “คนสูงกว่า ววั ควายอยู่แล้ว ถ้าตายไปก็ไม่เหลือใครสกั คน เพราะฉะนนั้ คนมคี ่ามากกว่าสตั ว์ คนคอื สตั ว์ชนั้ สงู แต่คนจะเหน็ ค่ากต็ ่อเมอ่ื คนๆนนั้ ไดท้ าดใี หด้ เี ตม็ ท่ี เหน็ ประโยชน์ส่วนตน น้อยกว่าส่วนรวม ทาตวั เราใหม้ คี ุณค่าดกี ว่าจะเอาเวลาไปสรรหาสงิ่ อ่นื ทไ่ี ม่เกดิ ประโยชน์ต่อสงั คม” ในฐานะผู้เรยี บเรยี ง
13 บทความฉบบั น้ที ่เี ป็นคนไทยแต่มหี วั ใจในการอนุรกั ษ์ศลิ ปวฒั นธรรมทด่ี ีงามของสปป.ลาวซ่งึ ถือว่าเป็นประเทศบ้านพเ่ี มอื ง น้องทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั มายาวนาน ผศู้ กึ ษาขอเป็นสว่ นหน่งึ ในการอนุรกั ษ์ศลิ ปะการสรา้ งหวั โขนใหค้ งอย่สู บื ไป “สน้ิ ดมุ้ ดุ่ม สน้ิ หวั โขนจรงิ หรอื ” ภาพท่ี 6 สมั ภาษณ์ ดมุ้ ด่มุ วนั ท่ี 24 พฤศจกิ ายน 2561 ทม่ี า : ยุวดี พลศริ ิ
14 อ้างอิง กรมศลิ ปากร. (1977). โขน อจั ฉริยลกั ษณ์แห่งนาฏศิลป์ ไทย, พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพ: รงุ่ ศลิ ป์ การพมิ พ.์ 8 หน้า ดมุ้ ดุม่ (2561). 24 พฤศจกิ ายน 2561. ช่างทาหวั โขนในหลวงพระบาง. สมั ภาษณ์. เผย สามะปะดดิ (2561). 24 พฤศจกิ ายน 2561. ผฝู้ ึกซอ้ มการแสดงฟ้อนพะลกั -พะลาม ในหลวงพระบาง. สมั ภาษณ์. ฝ่ายชา่ งสบิ หมู่ กองหตั ถศลิ ป์ กรมศลิ ปากร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2530). เครอื่ งศิราภรณ์ (ศึกษาเฉพาะกรณีหวั โขน). กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร. ศภุ ชยั สงิ หย์ ะบุศย.์ (2553) .หลวงพระบางเมืองมรดกโลก ราชธานีแห่งความทรงจาและพืน้ ท่ีพิธีกรรมในกระแส โลกาภิวตั น์. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พส์ ายธาร. 320 หน้า ศลิ ปากร, กรม. ความร้ทู วั ่ ไปงานช่างศิลป์ ไทย. กรุงเทพฯ : ครเี อทฟี คอรเ์ นอร,์ 2545. . โขนอจั ฉริยะแห่งนาฏศิลป์ , พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2 กรงุ เทพฯ : รุง่ ศลิ ป์ การพมิ พ,์ 1997 สายเพด็ คาพาสดิ และคณะ. (2557). บทฟ้อนพะลกั พะลาม. โรงพมิ พห์ ลวงพระบาง. 81หน้า สมทรง เจอื จนั ทร์ (2539). หวั โขนเอกลกั ษณ์ความงามไทย. ผาสกุ ,12(70), 60-71. อมร ศรพี จนารถ (2536). หวั โขน หวั คร.ู ศลิ ปากร. 36(4),27-51
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: