Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สัญญะและความงามจากวิถีขุนเขาในลวดลายผ้าปักม้ง เมืองหลวงพระบาง

สัญญะและความงามจากวิถีขุนเขาในลวดลายผ้าปักม้ง เมืองหลวงพระบาง

Published by kanikl, 2020-08-03 00:16:07

Description: สัญญะและความงามจากวิถีขุนเขาในลวดลายผ้าปักม้ง เมืองหลวงพระบาง

Keywords: ผ้าปักม้ง

Search

Read the Text Version

ช่ือเร่ือง สัญญะและความงามจากวถิ ีแห่งขุนเขาในลวดลายผ้าปักม้ง เมืองหลวงพระบาง ผ้วู ิจัย นางสาวเอกนารี แก้ววิศิษฎ์ รายวชิ า การวิจยั ทางวฒั นธรรม ศิลปกรรมและการออกแบบข้ันสูง รหัสรายวชิ า 890911

คานา การปักผา้ เป็ นวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่ามง้ ที่ใชเ้ วลาว่างหลงั จาก ทาํ งานเกษตรกรรมในแต่ละวนั ผา้ ปักมง้ เป็นงานฝี มือท่ี สืบทอดมาจาก บรรพบุรุษนบั หลายร้อยปี ส่วนใหญ่จะปักลวดลายลงบนผา้ ฝ้ายทอมือและผา้ ใยกญั ชง หญิงสาวชาวมง้ ทุกคนจะร่าํ เรียนวิชาปักผา้ จากผเู้ ป็นมารดา การปักผา้ เป็น ส่ิงที่อยู่คู่กบั เผา่ มง้ กนั มานาน ผา้ ปักมง้ มีเอกลกั ษณ์ดา้ นลวดลายสวยงาม มีลวดลายหลากหลายและ เป็นศิลปะการปักผา้ ท่ีปรากฏบนผืนผา้ นบั เป็นมรดกตกทอดกนั มาจากบรรพบุรุษ โดยผวู้ ิจยั ใชค้ าํ ว่า “ วิถีแห่งขุนเขา” น่ันคือ ลวดลายของผา้ ปัก เป็ นสัญญะและความงามสะทอ้ นวิถีการดาํ รงชีวิตและ แรงบนั ดาลใจ ความเชื่อ วฒั นธรรมของชนเผ่าท่ีอาศยั บนภูเขาสูงไดเ้ ป็นอย่างดี ผา้ ปักชาวเขาเผา่ มง้ ในเมืองหลวงพระบาง เป็นปักชาวเขาท่ีปัจจุบนั สภาพแวดลอ้ มทางสังคม เริ่มเปล่ียน แปลงไป ทาํ ให้ ชนเผา่ มง้ มีการปรับเปล่ียนวิถีชีวิตเขา้ สู่ สังคมเมืองมากข้ึน จะเห็นไดจ้ ากกลมุ่ แมค้ า้ พ่อคา้ ในตลาดมืด หลวงพระบาง จาํ นวนไม่นอ้ ยที่เป็นชาวเผา่ มง้ และเผา่ อ่ืนๆ มาประกอบอาชีพและหารายได้ อีกท้งั ผา้ ปักม้งจึงเร่ิ มกลายเป็ นสินค้าท่ีเข้าสู่กระบวนการ แปรรู ปเป็ นผลิตภัณฑ์เพ่ือการใช้สอยใน ชีวติ ประจาํ วนั ในเชิงพาณิชยม์ ากข้ึน ดงั น้นั การนาํ ผา้ ปักมง้ ไปใช้ ประโยชนจ์ ึงอาจเริ่มขาดความเขา้ ใจ ในเอกลกั ษณ์ลวดลายด้งั เดิมท่ีบรรพบุรุษไดส้ ร้างสรรคแ์ ละแสดงถึงความเป็นชนเผา่ มง้ อยา่ งไรกต็ าม สัญญะและความงามที่ปรากฏบนลวดลายผา้ ปักมง้ ยงั คงสะทอ้ นภาพลกั าร์และเอกลกั ษณ์ของมง้ ได้ เป็นอยา่ งดี แมจ้ ะอยบู่ นผลิตภณั ฑส์ มยั ใหม่และมีการปรับเปล่ียนหรือประยุกตล์ วดลายให้เหมาะสม กับสินคา้ ก็ตาม ในวิถีของมง้ ท่ียงั คงดาํ รงอยู่ และศิลปะการปักผา้ ก็เป็ นส่วนหน่ึงของวิถีมง้ อย่าง แทจ้ ริง ผูว้ ิจยั หวงั ว่า บทความเร่ือง สัญญะและความงามจากวิถีในลวดลายผา้ ปักมง้ เมืองหลวง พระบาง จะเป็ นประโยชน์ต่อผูส้ นใจศึกษาเร่ืองราวการถอดสัญญะและความงามจากลวดลาย ท่ีสะทอ้ นวิถีและการแทนค่า แทนความหมายยจากลวดลายผา้ ปักต่อไป ผวู้ จิ ยั เอกนารี แกว้ วิศิษฎ์

สัญญะและความงามจากวิถีแห่งขุนเขาในลวดลายผ้าปักม้ง เมืองหลวงพระบาง เมืองหลวงพระบาง หรือ นครลา้ นชา้ ง เมืองแห่งมรดกโลก \"หลวงพระบาง \" เมืองแห่งมรดก โลก ซ่ึงเคยเป็นนครหลวงและเป็น ท่ีประทบั ของกษตั ริยล์ าวมาถึงศตวรรษที่ 16 ไดร้ ับการอนุรักษ์ ไว้ เป็นอย่างดีจนไดร้ ับการข้ึนทะเบียนใหเ้ ป็นหน่ึงในมรดกโลก ในสมยั โบราณน้นั เมืองหลวงพระบาง เคยเป็ นที่ต้งั ของแว่นแควน้ ต่างๆของชนเผ่าไท-ลาว ในเขตลุ่มแม่น้าํ โขง-แม่น้าํ คาน แม่น้ําอู และ แม่น้าํ เชืองมาก่อนในปี ค.ศ.1353 เจา้ ฟ้างุม้ ไดม้ ีการรวบรวมแผ่นดิน ก่อต้งั อาณาจกั รลา้ นช้างข้ึนใน บริเวณเมืองหลวงพระบาง ซ่ึงเป็นสมยั ท่ีเรียกวา่ \"เมืองชวา\"เพระามีชาวชวาเขา้ มาอาศยั อยู่มาก คร้ัน ในปี ค.ศ.1357 จึงไดเ้ ปล่ียนช่ือเป็นเมือง \"เชียงทอง\" ภาพแสดงทศั นียภาพเมืองหลวงพระบาง ท่ีมาภาพ: https://www.airmosphere.net มง้ ในหลวงพระบาง เป็นกลุ่มชนเผา่ ที่สืบเช้ือสายมาจากบรรพบุรุษที่อาศยั อย่ใู น ประเทศ จีน เม่ือแพส้ งครามจึงค่อยๆ ถอยร่นอพยพ เขา้ ไปอาศยั อยู่ใน ประเทศพม่า ประเทศลาว อาจแบ่งได้ เป็น 2 กลุ่มหลกั คือ มง้ ขาวและมง้ ลาย มง้ อพยพมาจากที่ราบสูงธิเบต ไซบีเรีย และมองโกเลียง เขา้ สู่ ประเทศจีนและต้ังหลักแหล่งอยู่แถบแม่น้ําเหลือง(ฮวงโห) เม่ือราว 3,000 ปี มาแล้ว (http://www.stateless4child.net) สันนิษฐานว่าชนชาติมง้ น่าจะอพยพมาจากท่ีราบสูงทิเบต ไซบีเรีย และมองโกเลียเขา้ สู่ประเทศจีน และต้งั หลกั แหล่งอยู่แถบลุ่มแม่น้าํ เหลือง (แม่น้าํ ฮวงโห) เม่ือราว 3,000 ปี มาแล้ว กษัตริย์จีนในราชวงศ์เหม็งได้ปราบปรามทําให้ชาวม้งยอมจํานนและยอมรับ วฒั นธรรมของจีน แต่ในท่ีสุดชาวมง้ เริ่มอพยพถอยร่นสู่ทางใตแ้ ละกระจายเป็นกล่มุ มีลกั ษณะนิสัยมี ความขยนั ขนั แข็งมีความอุตสาหะเป็ นพิเศษ ชีวิตประจาํ วนั ปกติ พวกเขาแทบจะไม่มีเวลาว่างจาก การทาํ งานเลยท้งั หญิงและชาย นอกจากงานในไร่แลว้ ผูช้ ายยงั ตอ้ งรับผิดชอบในการซ่อมแซม บ้านเรือน วสั ดุ เคร่ืองมือ เครื่องใช้ ในครัวเรือน ตลอดจนการติอต่อค้าขาย ทาํ ธุรกิจกับคน

ภายนอก เมื่อวา่ งจาการงานกจ็ ะออกไปล่าสัตวน์ าํ มาเป็นอาหารบา้ ง สาํ หรับผหู้ ญิงแมว้ นอกจากงาน ในไร่ยงั จะตอ้ งรับผิดชอบในเรื่องจดหาอาหาร เล้ียงสัตว์ ทาํ ความสะอาดเส้ือผา้ เครื่องนุ่งห่ม ยาม ว่างก็จะเยบ็ ปักถกั ร้อย ประดิษฐ์ลวดลายต่างๆ ลงบนลายผา้ เอาไวใ้ ช้ตดั เยบ็ ใส่เส้ือผา้ เป็ นตน้ จาก การศึกษาขอ้ มูลชาวมง้ มีนิสัยรักความเป็ นอิสระ ซ่ึงเป็นลกั ษณะท่ีเด่นชดั ประวตั ิศาสตร์ของมง้ หรือ แมว้ จะเห็นไดว้ า่ พยายามหลีกเล่ียงการถูกกดข่ีและครอบงาํ จากจีนมาตลอดมาจนบางคร้ังทาํ ให้เกิด การต่อสู้และเป็ นผลทาํ ให้มีการอพยพลงมาทางใตข้ องชาวมง้ เช่นในปัจจุบนั เผ่ามง้ มีความเชื่อ เก่ียวกบั อาํ นาจเหนือธรรมชาติ วิญญาณต่างๆ และยงั มีการปฏิบตั ิการเซ่นไหวเ้ ช่นเดิม โดยท่ีมง้ ถือว่า การลงมาในเมืองเชียงใหม่เป็นการลงมาทาํ มาหากินเทา่ น้นั บา้ นพิธีกรรมจริงๆ กค็ อื ชุมชนด้งั เดิม ( ลี ศึก ฤทธ์ิเนติกลุ ,2540) ภาพแสดงครอบครัวของเผา่ มง้ ชาวมง้ ที่อาศยั อยู่บริเวณรอบหลวงพระบาง เป็นชนกลุ่มน้อย กลุ่มผหน่ึงท่ีมีความสําคญั และ มีบทบาทในประเทศลาวมาก ตลาดมง้ เป็นตลาดที่ เป็นสินคา้ จากชาวเขาเผา่ มง้ ของลาว เช่น ผา้ ทอปักลวดลายตา่ งๆ เช่น ปลอกหมอน กระเป๋ า ผา้ ห่ม เส้ือผา้ และเคร่ืองเงินท่ีมีความสวยงาม ปัจจุบนั เรียกกนั ว่า ตลาดมือหลวงพระบาง หากไปหลวงพระบางจะพบเห็นมง้ มาประกอบอาชีพต่างๆ ตาม สถานท่ีท่องเที่ยว ภาพแสดงตลาดมง้ หรือตลาดมืด

เส้ือผา้ ประจาํ ชนเผา่ มง้ มกั จะใชส้ ีดาํ เป็นหลกั ชาวมง้ ไม่วา่ จะ เป็นกลุ่มมง้ ขาวหรือมง้ ลายจึง นิยมสร้างลวดลายบน เส้ือผา้ ของตนดว้ ย งานปักท่ีใชเ้ ส้นดา้ ยสีสันสดใส อยา่ งไรก็ตาม ชาวมง้ จะ ไม่นิยมใชส้ ีแดง ประดบั บนเส้ือผา้ เพราะ มีความเช่ือว่าสีแดงเป็ นสีรุนแรง เป็ นสีท่ีเก่ียวขอ้ ง กบั อุบตั ิเหตุไม่เป็นมงคล จะใชเ้ ฉพาะในงานศพเท่าน้นั ในอดีตชาวมง้ ทุกครอบครัวจะปลูกตน้ กัญชง เพื่อนาํ เส้นใยมาทอเป็น เส้ือผา้ ประจาํ เผ่า แมป้ ัจจุบนั การทอผา้ ดว้ ยใยกญั ชงจะลดลงแต่ตามความ เช่ือของชาวเผ่ามง้ จะตอ้ งเตรียมเส้ือผา้ ประจาํ เผ่าชุดใหม่ที่ทาํ จากผา้ ใยกัญชงไวส้ วม ใส่ในวนั เสียชีวติ (เงาศิลป์ คงแกว้ ,2537) เอกลกั ษณ์ผา้ ปักมง้ ในเมืองเหลืองพระบางน้นั สาํ หรับนกั ท่องเที่ยวสามารถพบเห็นไดอ้ ยู่ 3 มิติ คือ 1. ลวดลายด้ังเดิมบนผลิตภณั ฑ์ด้ังเดิม ตามวิถีเดิมของมง้ อย่างแท้จริง 2.ลวดลายเดิมบน ผลิตภณั ฑใ์ หม่ นนั่ คือการนาํ ลวดลายมาใชใ้ นผลิตภรั ฑแ์ ปรรูป 3. ลวดลายท่ีถูกประยุกตใ์ ห้ร่วมสมยั บนผลิตภณั ฑส์ มยั ใหม่ นนั่ คือการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นการสร้างมูลค่าใหก้ บั ผลิตภณั ฑแ์ ต่เอกลกั ษณ์ ของมง้ อาจหายไป แมว้ า่ ยงั ไม่มีนโนบายการอนุรักษศ์ ิลปะการปักผา้ ของเผา่ มง้ ในหลวงพระบางอยา่ ง จริงจังนัก แต่จากการลงพ้ืนที่ศึกษาภาคสนามในคร้ังน้ี ผูว้ ิจัยเกิดสนใจเร่ืองราวเก่ียวกับมุมมอง ดา้ นสัญญะและความงามจากวถิ ีในลวดลายผา้ ปักมง้ เป็นการตีความหมายจากสัญญะและความงามที่ สะทอ้ นออกมาผ่านงานศิลปะอนั ทรงคุณค่าของชนเผ่าน้ี โดยผูว้ ิจยั ใช้คาํ ว่า “ วิถีแห่งขุนเขา” ใน ความหมายคือ ลวดลายของผา้ ปัก เป็นสัญญะและความงามสะทอ้ นวิถีการดาํ รงชีวิตและแรงบนั ดาล ใจ ความเชื่อ วฒั นธรรมของชนเผ่าที่อาศยั อยู่บนภูเขาสูงไดเ้ ป็ นอย่างดี ซ่ึงเอกลกั ษณ์การสร้าง เทคนิคการในการสร้างสรรคล์ วดลายของชนเผ่ามง้ โดยหลกั แลว้ มีอยู่ 3 เทคนิคดว้ ยกนั คือ การปัก หญิงชาวม้งท้งั กลุ่มม้งลายและมง้ ขาว ต่างมีทกั ษะความเชี่ยวชาญ ในด้านการปักผา้ เช่นเดียวกนั ผหู้ ญิงชาวมง้ จะใชเ้ ข็มเล่มเล็กๆ ค่อยๆ ปัก ลวดลายพร่างพราวจนเต็มผืนผา้ อยา่ งไรก็ตาม ศิลปะการ ปักผา้ ของหญิง ชาวเผา่ มง้ ยงั อาจแบ่งเทคนิคในการปักออกไดเ้ ป็นหลายรูปแบบดว้ ยกนั เช่น เทคนิค การตดั ผา้ เป็นลวดลาย แลว้ นาํ มาเยบ็ ติด ซอ้ นกบั ผา้ พ้ืน อีกช้นั หน่ึงที่เรียกวา่ เจ้ีย ความยากของเทคนิค น้ีอยูท่ ี่ความละเอียด โดยตอ้ งใชเ้ ขม็ เยบ็ ผา้ เบอร์เลก็ สุด ปักดว้ ยเส้นดา้ ยท่ีเลก็ บางที่สุด โดยนาํ เส้นดา้ ย ธรรมดามาแยกเป็น 3 เสน้ ตวั อยา่ งเช่น การปักลายก๊าซ้ือ (กน้ หอย) ซ่ึง นบั เป็นลายที่ยากมาก ช่างฝีมือ ตอ้ งมีทกั ษะความเชี่ยวชาญ ใชค้ วามละเอียดและความอดทนมากเป็ นพิเศษจึงจะปัก ลวดลายน้ีได้ สาํ เร็จ ถือเป็นเทคนิคที่เก่าแก่และยากที่สุด การเยบ็ ตดิ คอื การนาํ เสษผา้ หรือผา้ ท่ีมีพ้นื ผิวต่างกนั หรือ ลวดลายต่างกนั นาํ มาเยบ็ ติดกนั เป็นผืน หรือทบั ซ้อนกนั เพื่อให้เกิดมิติ และการเขียนเทียน เทคนิค การเขียนเทียนมีลกั ษณะคลา้ ยการทาํ ผา้ บาติกที่รู้จกั กนั แพร่หลายในปัจจุบนั ท้งั 3 วธิ ีแมจ้ ะมีอุปกรณ์ ข้นั ตอน หรือวิธีทาํ ท่ีแตก ต่างกนั แต่หลกั สาํ คญั ที่ปรากฏให้เห็นจนเป็นเอกลกั ษณ์เดียวกนั ในมง้ ทุก

กลุ่มอย่างชัดเจนนั่นก็คือความละเอียดของชิ้นงาน จะเห็นได้ ไดว้ ่า ศิลปะลวดลายบนผืนผา้ ของ ชาวมง้ จะนิยมลวดลายท่ีมีความละเอียด และจะนิยมการปัก การเยบ็ หรือเขียนลวด ลายต่อเนื่องจนเต็ม แน่นตลอด ผืนผา้ งานของชาวมง้ ไม่นิยมการเวน้ ท่ีวา่ งโล่งบนผืนผา้ อย่างไร้ความหมาย การจดั ลวด ลายท่ีดีและสมบูรณ์ตามศิลปะของชาวมง้ จะตอ้ งมีท้งั ลายหลกั ลายประกอบเลก็ นอ้ ยตา่ งสีสนั ลดหลนั่ กนั ไปจนเตม็ ตลอดผืนผา้ ลวดลาย เอกลกั ษณ์ในผา้ 1 ผืนของชาวมง้ ไม่วา่ จะสร้างสรรคด์ ว้ ยเทคนิค ใดมกั จะมีลวดลายปรากฏอยู่ ไม่นอ้ ยกวา่ 3-4 ลวดลาย กลายเป็นเอกลกั ษณ์ ศิลปะลวดลายบนผืนผา้ ท่ี มีสีสันแพรวพราวสะดุดตาเป็นอยา่ งยง่ิ ซ่ึงผวู้ จิ ยั จะขอยกตวั อยา่ งลวดลาย ดงั น้ี 1.สัญญะการสร้างสรรค์ลวดลายจากธรรมชาติ ลายกากื้อ (ก้นหอย) Ka Kue Pattern (spiral) ก๊าก้ือ เป็ นภาษาชนเผ่ามง้ ความหมายใน ภาษาไทยหมายถึง กน้ หอย เป็นลายหลกั ท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ที่โดดเด่นและมีค วามชดั เจนของ ชาวมง้ ใน แทบทุกกลุ่ม เป็นลายโบราณด้งั เดิมท่ีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ของมง้ หลายชว่ั อายคุ น พบไดท้ ้งั ใน งานปัก แบบเยบ็ 2 ช้นั หรือที่ชาวมง้ เรียกว่าเจ้ีย และงานเขียนเทียนของชาว มง้ ลาย ลวดลายน้ีตาม สญั ญะของลวดลายลายกน้ หอยหรือลายกาก้ือ ของชาวเผา่ มง้ สะทอ้ นความเชื่อทางศาสนาเชื่อวา่ มีที่มา จากหอยสังข์ ซ่ึงมกั ถกู นาํ มาใชใ้ นการ ประกอบพิธีกรรมสาํ คญั ๆ ทาง ศาสนา ลกั ษณะการวนของกน้ หอยเปรียบเสมือนการโคจรของพระอาทิตย์ พระจนั ทร์และดวงดาว รวมถึงแรงบันดาลใจจาก ธรรมชาติ เอกลกั ษณ์ลายกน้ หอยน้ียงั คงมีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบนั (ขจดั ภยั บุรุษพฒั น์, 2538) ภาพแสดงลวดลายปักกน้ หอยหรือกาก้ือ ของชาวเผา่ มง้ ลายโหร่วซร้ัว (ผักกูด) Row Saruo Pattern (vegetable fern) โหร่วซร้ัว เป็ นภาษาชน เผ่ามง้ ภาษาไทยหมายถึง ผกั กูด ใชเ้ รียก ลายปักผา้ โบราณด้งั เดิม จากการศึกษาขอ้ มูลพบว่าลกั ษณะ การเรียกชื่อเป็ นไปตามลกั ษณะเด่นของลวดลาย สัญญะท่ีสะทอ้ นออกมาผ่านลวดลายที่มีความโคง้ งอสวยงาม ละมา้ ยคลา้ ยความโคง้ ออ่ นตามธรรมชาติของยอดผกั กูดหรือท่ีคนไทยเรียกวา่ ยอดฟักแมว้

ซ่ึงเป็ นผกั พ้ืนบ้านชนิดหน่ึงที่รับประทานได้ ชาวมง้ จึงนิยมนําลายโหร่วซร้ัวหรือลายผกั กูดมา สร้างสรรค์เป็ นลวดลายประดับบนเคร่ืองแต่งกายท้งั ชายและหญิง เป็ นอีกหน่ึงลวดลายซ่ึงได้แรง บนั ดาลใจจากธรรมชาติ ภาพแสดงลวดลายผา้ ปัก ลายผกั กดู หรือยอดฟักแมว้ แน้งหน่า(ตีนหมู) เป็นภาษาชนเผา่ มง้ ความหมายในภาษาไทยหมายถึง ตีนหนู เป็นลาย โบราณด้งั เดิมท่ีบรรพบุรุษชาว มง้ จินตนาการมาจาก ลกั ษณะรอยเทา้ ของหนู มกั นิยมใชเ้ ป็นลายเสริม เพื่อคนั่ สลบั กบั ลายหลกั พบไดใ้ นผา้ ปักชาวมง้ แทบทุกผืน เทคนิคการสร้างสรรคล์ ายแนงหน่า หรือ ลายตีนหนูน้ีใช้เทคนิคป้านโต๊วตวั คือการตดั เศษผา้ เป็ นชิ้น เลก็ ๆ แลว้ นาํ มาเยบ็ ติดเป็ นลวดลายบน ผืนผา้ หลกั การสร้างสรรค์ลวดลายดว้ ยเทคนิค ลกั ษณะน้ีค่อนขา้ งยาก เป็ น เทคนิคแบบโบราณที่ ไดร้ ับการถ่ายทอดมา จากบรรพบุรุษ สัญญะที่ปรากฏจากลายตีนหมูสันนิษฐานไดว้ ่า จะมีลวดลายี่ เก่ยวขอ้ งกบั หมอู ยู่ 2 ลายคือ ลายตีนหมูและลายคอกหมู ซ่ึงจะนาํ เสนอเป็นลายต่อไป สะทอ้ นใหเ้ ห็น วา่ หมูเป็นสตั วท์ ่ีพบมากและมีความสาํ คญั ในชนเผา่ มง้ หากไดไ้ ปท่ีเหมบู า้ นมง้ จะเห็นวถิ ีการเล้ียงหมู เพ่ือใชป้ ระกอบอาหาร ดงั น้นั สัญญะของลสยตีนหฒุและลสยคอหมูคือแรงบนั ดาลใจจากสัตวเ์ ล้ียงท่ี พบเห็นไดม้ ากในพ้ืนท่ีชุมชนน่ันเอง ชนเผ่าจึงยงั สามารถ พบลวดลายแนงหน่าหรือลายตีนหนูใน มง้ บางกลมุ่ บางพ้ืนท่ีท่ียงั คง สืบทอดเอกลกั ษณ์ลวดลายด้งั เดิมเพราะตอ้ งใช้ ความชาํ นาญมาก ภาพแสดงลวดลายแนง้ หน่า(ตีนหม)ู ลายปักของเผา่ มง้

ลายกั่วป่ ว (คอกหมู) Kuo Puo Pattern (pigsty) ก้วั ป้ัว เป็ นภาษาชนเผ่ามง้ ความหมายใน ภาษาไทยหมายถึง คอกหมู เป็นลายผา้ โบราณท่ีมีการถ่ายทอดสืบต่อกนั มา ต้งั แต่สมยั บรรพบุรุษ การ เรียกขานช่ือลายเป็นไปตามลกั ษณะของลวดลายท่ี สัญญะมีลกั ษณะเป็นส่ีเหล่ียมคลา้ ยคอกหมูท่ี มีอยู่ ตามบา้ นของชาวมง้ ในสมยั โบราณที่มกั เล้ียงหมูไวเ้ ป็ นอาหารในครัวเรือน หญิงเผ่ามง้ ยงั คงรักษา เอกลกั ษณ์ลวด ลายเช่นน้ีเป็ นลวดลายปักบนผืนผา้ จนถึงทุกวนั น้ี ลายก้วั ป้ัว หรือลายคอกหมู ใช้ เทคนิคการเยบ็ ผา้ ปะติดร่วมกบั การปัก เดินเส้น มกั นิยมนาํ ไปเป็ นลวดลายประดบั ผา้ คาดเอวของ ผหู้ ญิงชาวมง้ ซ่ึงหากสังเกตุการสร้างลวดลายแลว้ มีการจดั วางเส้นและองค์ประกอบไดอ้ ย่างลงตวั เป็นลกั ษณะคลา้ ยมุมมองจากดา้ นบนแบบ bird eye view จากคอกหมูท่ีมีมากในชุมชน ภาพแสดงลกั าณะลายกวั่ ป่ าหรือลายคอกหมู ค้อมวนเจ (ลายตาปลา) เป็นภาษาชนเผา่ มง้ ความหมายในภาษาไทยหมายถึง ดวงตาของ ปลา เป็นลายปักโบราณที่หญิงชาว มง้ ไดร้ ับการถ่ายทอด เอกลกั ษณ์ลวดลายมาต้งั แต่สมยั บรรพบรุ ุษ นิยมปักเป็นลายตกแตง่ แทรกอยกู่ บั ลายอ่ืนๆ บน ผืนผา้ อาจดูไม่โดดเด่นเหมือนลายกน้ หอย แต่กเ็ ป็น ลายท่ีมีการสืบทอดต่อกนั มาจากโบราณกาล ลายคอ้ มวนเจ สัญญะท่ีมาจากการสงั เกตรูปร่างของปลา ซ่ึงเป็นสตั วน์ า้ํ ในธรรมชาติ อนั สืบเน่ือง จากวถิ ีชีวติ ในอดีตของชาวมง้ ที่มกั จะออกจบั ปลานา้ํ จืดหรือ ที่ชาวมง้ เรียกว่าปลานา้ํ เยน็ เพ่ือนาํ มาเป็นอาหารหลกั ของครอบครัว ลกั ษณะของลายคอ้ มวนเจเป็ น จุดเล็กๆ อยู่ตรงกลางลวดลายคลา้ ยดวงตาของปลา จึงมีการเรียกช่ือลายน้ีว่าคอ้ มวนเจ หรือตาปลา นน่ั เอง

ภาพแสดงลวดลายตาปลาของเผา่ มง้ ป้ันโต๊วโต่ว (ฝักถ่ัว) เป็ นภาษาชนเผ่ามง้ ความหมายในภาษาไทยหมาย ถึง ฝักถวั่ ลายป้ัน โต๊วโต่ว หรือลายฝักถว่ั ใชเ้ ทคนิค เยบ็ ผา้ ปะติดผสมกบั การปักเดินเส้นคลา้ ยลูกโซ่จึงเกิดเป็นลวดลาย ที่มีความชดั เจนเรียกขานช่ือลายตามลกั ษณะของงานปักสัญญะที่สะทอ้ นวฒั นธรรมการกินและพืช พรรณที่นิยมปลูกในชุมชนลวดลายที่ดูคลา้ ยฝักถว่ั แขก ซ่ึงเป็นพชื ผกั พ้ืนบา้ นที่ชาวมง้ มกั จะปลูกผสม อยู่ในไร่กาแฟ เพ่ือนาํ มารับประทานกนั ในครอบครัว มกั นิยมนาํ ไปเป็ นลวดลายบนผา้ สี่เหลี่ยม ผืน เล็กที่เรียกว่าดกอ่อ ที่ติดประดบั อยู่บริเวณด้านหลงั ปกเส้ือ ของชุดแต่งกายประจาํ เผ่าผูห้ ญิงเผ่ามง้ ลกั ษณะของผนื ผา้ ส่ีเหลี่ยมน้ีคลา้ ย ปกเส้ือกลาสีแต่มีขนาดเลก็ กวา่ ภาพแสดงลวดลายป้ันโตว๊ โต่วและภาพฝักถว่ั (ถว่ั แขก) 2. สัญญะและแรงบันดาลใจจากความเชื่อ นอกจากลวดลายปักสญั ญะที่สะทอ้ นแรงบนั ดาลใจจากธรรมชาติแลว้ ลวดลายผา้ ปักมง้ ก็ยงั มีลวดลายท่ีแสดงมิติมุมมมองสัญญะด้านความเช่ือท่ีเกี่ยวข้อง ผูว้ ิจยั ของยอกตวั อย่าง 2 ลาย ไดแ้ ก่ ต้งั กือ (กลบี กระโปรง) เป็นภาษาชนเผ่ามง้ แปลเป็นภาษาไทยวา่ กลีบกระโปรง ลายน้ีจะใช้ เทคนิคการเขียนเทียน ซ่ึงสัญญะของลวดลายน้ีสะทอ้ นความเช่ือและลายเขียนเทียนโบราณท่ีเช่ือกนั วา่ บรรพบุรุษมง้ สร้างสรรคแ์ ละจินตนาการ ต้งั ชื่อลวดลาย ตามตาํ นานปรัมปราของชาวมง้ ท่ีเล่าต่อกนั

มาวา่ เม่ือหลายพนั ปี ก่อนมีนางฟ้าตนหน่ึงช่ือวา่ ติ้งโหงวนิ้ว เดินทางลงมายงั โลกมนุษย์ คร้ังน้นั นางฟ้า ทิ้งโหงวนิ้วเกิดความคิดที่จะมองหาและสร้างสิ่งที่จะเป็ นเอกลกั ษณ์ให้กบั ชาวมง้ ลาย จึงได้เขียน ลวดลายท่ีมีลกั ษณะกากบาท อยู่ตรงกลาง ลอ้ มกรอบดว้ ยลวดลายสี่ เหล่ียมที่เขียนให้เห็นเหมือน เถาวลั ย์ คลอ้ งเชื่อมต่อกนั ไปท้งั 4 ดา้ นลงบนผนื ผา้ กระโปรง ซ่ึงกลายเป็นชุดเครื่องแต่ งกายประจาํ เผา่ ของหญิงชาวมง้ ลายนบั ต้งั แต่น้นั มา และใชล้ ายเขยี นเทียนบนกระโปรงท่ีมีลกั ษณะลวดลายเช่นน้ี จึง ถูกชาวเผ่ามง้ ลายเรียกว่า ลายต้งั กือ หรือลายกลีบกระโปรง กลายเป็ นลายเอกลกั ษณ์เคร่ือง แต่งกาย ของผหู้ ญิงชาวมง้ ลายทุก คนจวบจนถึงปัจจุบนั สามารถพบเห็นไดท้ ้วั ไปโดยในตลาดมืดหลวงพระ บางกม็ ีกระโปรงจากเผา่ มง้ จาํ หน่ายอยมู่ ากมาย ภาพแสดงลวดลายต้งั กือ หรือลายกลบี กระโปรง เหง้าฟัง (แม่หม้าย) เป็ นภาษาชนเผ่ามง้ ความหมายในภาษาไทยหมายถึง แม่หมา้ ย ใช้ เทคนิคลายเขียนเทียนโบราณท่ีไดร้ ับความนิยมในกลุ่มมง้ ลาย แต่เดิมเรียกกนั ว่า ลายตาแพะ ซ่ึงเป็น การเรียกตามลกั ษณะ ของลวดลายที่เป็ นจุดดาํ เล็กๆ ดูคลา้ ยกบั ดวงตาของแพะ แต่ต่อมามี แม่ม่าย ชาวมง้ ลายคนหน่ึงรีบร้อนที่จะวาดลวดลายเขยี นเทียนในผืนผา้ กระโปรงของตนใหส้ วยงาม เพื่อสวม ไปให้ชายหนุ่มได้ดูตวั แม่ม่ายคนน้ัน จึงได้เลือกใช้ลวดลายตาแพะเพียงลายเดียวเขียนจนทั่วผา้ กระโปรงท้งั ตวั (ปกติ ในผืนผา้ กระโปรงของหญิงชาวเผา่ มง้ ลาย 1 ตวั จะมีลายเขียนเทียน หลายลาย ผสมกนั ) ต้งั แต่น้นั มาลายเขียนเทียนลกั ษณะเช่นน้ี จึงไดร้ ับ การเรียกอีกชื่อหน่ึงตามหญิงมา่ ยท่ีเป็ นผู้ นาํ ไปเขียนว่า ลายเหงา้ ฟัง หรือ ลายแม่ม่ายน่ันเอง สัญญะของลวดลายแม่หมา้ ยน้ี สะทอ้ นให้เห็น วฒั นธรรมการแต่งงานตามตาํ ราของหญิงแม่หมา้ ยท่ีมาของชื่อลายน้ีว่า หญิงชาวมง้ ท่ีตกในฐานะแม้ หมา้ ยสามารถแตง่ งานใหมไ่ ด้ แต่ตอ้ งมีชายมาดูตวั (บญุ ช่วย ศรีสวสั ด์ิ,2545)

ภาพแสดงลวดลายเหงา้ ฟัง หรือลายแม่หมา้ ย สัญญะและความงามที่แสดงผา่ นเอกลกั ษณ์ลวดลายท่ีปรากฏบนผืนผา้ ชาวเขาเผ่ามง้ สะทอ้ น ใหเ้ ห็นวิถีแห่งขุนเขา ที่ผวู้ ิจยั ไดน้ ิยามไวว้ า่ คือ เป็นสัญญะและความงามสะทอ้ นวิถีการดาํ รงชีวิตและ แรงบนั ดาลใจ ความเชื่อ วฒั นธรรมของชนเผ่าท่ีอาศยั บนภูเขาได้เป็ นอย่างดี โดยนาํ เสนอในมิติ ของสัญญะท่ีไดร้ ับรับบนั ดาลใจจากธรรมชาติ เช่นลายกากื้อ (ก้นหอย) ลายโหร่วซร้ัว (ผักกูด) แน้ง หน่า(ตีนหมู) ลายกวั่ ป่ ว (คอกหมู) ค้อมวนเจ (ลายตาปลา) ลายป้ันโต๊วโต่ว (ฝักถั่ว) เหล่าน้ีเป็นสัญญะ และความงามดา้ นลวดลายที่เกี่ยวขอ้ งกบั การดาํ รงชีวิตและธรรมชาติที่อยู่รอบตวั ทาํ การเกษตรและ เพาะปลูกพืชตามลกั ษณะภูมิประเทศ ความพิเศษอยู่ที่การนาํ แรงบนั ดาลใจน้ีมาใชก้ บั เทคนิคซ่ึงเป็ น ลกั ษณะเฉพาะแลว้ ประดิษฐ์ลงบนพ้ืนผา้ หากสังเกตุแลว้ ลวดลายส่วนมากจะมีการตดั ทอนตามหลกั ศิลปะ เกิดเป็นความงามในเชิงสุนรียะท่ีมีรากฐานความเป็นมาจากสิ่งแวดลอ้ ม ส่วนลวดลายสญั ญะ และแรงบนั ดาลใจจากความเช่ือ ไดแ้ ก่ ต้ังกือ (กลีบกระโปรง) และ เหง้าฟัง (แม่หม้าย) เป็นสัญญะท่ี สะทอ้ นประเพณี วฒั นธรรมและความเชื่อของชนเผา่ มง้ เชื่อมโยงกบั ตาํ นาน ลวดลายท้งั หมดน้ีแมจ้ ะ เป็นเพียงส่วนหน่ึงของลวดลายโบราณด้งั เดิมที่ชนเผา่ มง้ ไดม้ ีการสืบทอดต่อกนั ต้งั แต่สมยั บรรพบุรุษ จากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบนั แตล่ วดลายเหลา่ น้ียงั คงปรากฏใหพ้ บเห็นในวถิ ีของเผา่ มง้ ด้งั เดิม ตามความ เช่ือ ประเพณีและวฒั นธรรมอย่างไรก็ตามท่ีมา ความเชื่อ หรือตาํ นาน การเกิด ข้ึนของลวดลาย ตลอดจนการเรียกชื่อลวดลายเอกลกั ษณ์โบราณ ดว้ ยภาษาของชนเผ่ามง้ ในทอ้ งถิ่นดงั กล่าว จึงอาจมี ความผิดเพ้ยี น หรือแตกต่างจากชาวมง้ ในทอ้ งถิ่นอื่นอยบู่ า้ ง อาทิเช่น เผา่ มง้ ในหลวงพระบาง กบั มง้ ท่ี อพยพไปอยู่ในประเทศไทย ท้ังน้ีก็สืบเนื่องมาจากการเปล่ียนแปลงและพัฒนาการทางภาษา วฒั นธรรม และประเพณี ของชนเผา่ มง้ ที่มีความหลากหลายและแตกต่างกนั ในแต่ละท้องถิ่น นนั่ เอง อีกท้ังลวดลายเหล่าน้ีเราสามารถพบเห็นได้ในผลิตภณั ฑ์ด้ังเดิมของมง้ หรือการนําลวดลายไป ประยกุ ตล์ งบนผลิตภณั ฑส์ มยั ใหม่ ที่มีจาํ หน่ายทว่ั ไปในทอ้ งตลาด

อ้างองิ ลีศึก ฤทธ์ิเนติกลุ .(2540).การปรับตวั กบั วิถีใหม่ในชุมชนเมืองของชาวเขาเผ่าม้ง : กรณีศึกษาเขตอาเภอเมืองเชียงใหม่.ศูนยพ์ ฒั นาและสงเคราะห์ชาวเขาจงั หวดั เชียงใหม่ :สาํ นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ ขจดั ภยั บรุ ุษพฒั น์.( 2538) . ชาวเขา. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา. เงาศิลป์ คงแกว้ .(2537).ชีวติ บนเส้นด้ายของ 13 เผ่าไทย บุญช่วย ศรีสวสั ด์ิ.(2545). ชาวเขาในประเทศไทย.กรุงเทพฯ: ส านกั พมิ พม์ ติชน.