บทความ อปั สรา : ผู้หญิงท่ีอยู่ในอุดมคติ อาณาจกั รเขมร มัธยม ออ่ นจันทร์ รหสั นกั ศกึ ษา 657220008-7 สาขาวิจยั วฒั นธรรม ศิลปกรรม และการออกแบบ รนุ่ 13 คณะศลิ ปะกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่
อปั สรา : ผู้หญงิ ที่อยใู่ นอุดมคติ อาณาจักรเขมร นายมธั ยม ออ่ นจนั ทร์ ความงามเป็นวัฒนธรรมของผ้คู นในสงั คม ทีม่ กี ารสบื ทอดกนั มาอย่างตอ่ เนอื่ ง ยาวนาน เปล่ยี นแปลงไปตามกาลเวลาในกระแสของคา่ นยิ มทางสงั คม วัฒนธรรมท่ีมนษุ ยส์ รา้ งขึ้นตาม มมุ มอง สถานที่ เวลา และบริบทของการกลา่ วถงึ ความงามนน้ั ๆ กำหนดความงามโดยกฎเกณฑ์ ทางสงั คม วัฒนธรรมเป็นปจั จัย ที่มคี วามสำคญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ การมีตวั ตนและคณุ คา่ ของผ้หู ญิง Goffman กลา่ ววา่ “ความงามเป็นเหมือนระบบ (Beauty System) ถูกทำใหม้ คี วามเปน็ ธรรมชาติ โดยอุดมการณข์ องความแตกต่างระหวา่ งเพศ (Sexual Differences) และถูกทำ ใหร้ สู้ ึกว่าเป็นส่งิ จำ เป็น(Essential) ผูห้ ญิงถูกทำให้รสู้ ึกว่าเม่อื ตนไม่เปน็ ไปตามทสี่ งั คมคาดหวงั ในเพศสภาพ (Gender) ของตน ร่างกายท่ีปลอ่ ยปะละเลยกจ็ ะไม่น่าชนื่ ชมและกลายเป็นความน่าละอาย ความรสู้ กึ เชิงลบต่างๆ ซึ่งอุดมการณร์ ะหวา่ งเพศสภาพ เปน็ ปฏิบัติการทางวัฒนธรรม ที่กผลติ จาก โครงสรา้ งความสมั พนั ธ์เชิงอำนาจในการยอมรับในมายาคติ” ผ้หู ญิงจะมองวา่ “งาม” และเป็นท่ี ยอมรับในสงั คม ผหู้ ญิงจะถกู กำหนดให้เรียนรู้บทบาทของตนเองผ่านกระบวนการขดั เกลาทาง สังคม ถูกทำใหเ้ ชื่อว่า “ความงามเป็นสงิ่ ทส่ี ามารถจัดการได้” จนกลายเปน็ แรงกระตุน้ ให้เกดิ การ ปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลงรปู ลักษณข์ องตนเอง เลือกหาวิธกี ารต่างๆ เพ่ือใหไ้ ด้มาซ่ึงความงามตามอดุ ม คติ ที่พงึ พอใจ ทำใหค้ วามงามกลายเป็นความต้องการและความจำเปน็ ของผู้หญิง (Essential) (Freedman, 1986) เชน่ ความงามของ “นางอปั สรา”ที่นำเสนอความหมายผ่านการแกะสลกั เปน็ ภาพตวั แทนในการส่อื สารกับบุคคลอืน่ เนอ่ื งจากมกี ารส่งผา่ นความคิดจากยุคสยู่ ุค หรือการ ถา่ ยทอดผา่ นวรรณคดีสุภาษติ คำพังเพย และคำสอนต่างๆ นางอัปสราจึงเป็นส่ืออย่างหน่งึ ท่ี สง่ ผา่ นความคดิ ทศั นะความรสู้ ึกทถี่ ูกนำเสนอในวฒั นธรรม เพลโตมที ัศนะความเหน็ ความงามทางด้านงานศลิ ปะ คือ การเลยี นแบบสิง่ เฉพาะบนโลก แหง่ ผัสสะและการเลยี นแบบของศิลปนิ เปน็ เพยี งความคล้ายคลึง หรอื เป็นเพยี งบางสว่ นของ ต้นแบบ
รูปที่ 1 ความงาม Erotic ของอัปสรา ปราสาทนครวดั สมยั พระเจา้ สรุ ิยวรมนั ท่ี 2 ผ้คู รองอาณาจกั รขอม ในช่วงตน้ คริสตศ์ ตวรรษ ที่ 12 ณ ที่แห่งนีม้ ีทง้ั ความอลังการ ความมหัศจรรย์แห่งศรัทธา อีกความงามหนึ่งเปน็ อมตะ เคียงคู่ นครวดั กค็ อื “นางอปั สรา” รูปแกะสลักหญงิ สาว ผู้ร่ายรำ อยูบ่ นผนงั ปราสาท ไมใ่ ช่เพยี งปราสาท นครวัด ที่มรี ปู แกะสลักนี้ ปราสาทอนื่ กม็ ีรปู นางอัปสราอยู่เตม็ ไปหมด ในเสียมเรยี บ เขาว่ากนั ว่า ในตวั ปราสาทนครวัด มีนางอปั สรามากกวา่ 1,000 องค์ แต่ละองค์จะมลี ลี าทา่ ทางแตกตา่ งกนั ไป ตามความเช่ือของชาวเขมร นางอัปสรา คอื นางฟ้า หรือ เทพธิดา ทอี่ ยู่คอยรบั ใช้ ดแู ลศาสน สถาน รูปแกะสลกั ของนางอปั สรา ที่ผนังแตล่ ะองค์ไม่สวมเสอ้ื อกี ทงั้ รูปรา่ ง หน้าตา ก็แตกต่างกัน รวมท้ังทรงผมหรอื การแตง่ กาย ก็มีรายละเอียดทไ่ี ม่เหมือนกัน ทงั้ นี้ขึน้ อยกู่ ับจิตนาการ ของช่าง แกะสลกั ในยคุ นนั้ จดั เปน็ ความสวยงาม และความเพลิดเพลินของผไู้ ด้พบเหน็ น่อี าจจะเปน็ สาเหตุ ท่ีให้คนหลงใหล ในความงามของ นางอปั สรา
รปู ท่ี 2 ความงาม Erotic ของอัปสราเน้นสดั ส่วนเกินจรงิ
ในดินแดนเขมร มีเร่อื งเล่า นิทาน ตา่ งๆของ “อัปสร” หรอื “อัปสรา” นางรำ ท่ีมี ความสามารถด้านคีตศิลป์ และนาฎศลิ ป์ ทำให้ผู้ท่ีศึกษา เร่อื งราวของ “นางอัปสรา” รวมถึงงาน ศกึ ษาเชงิ วิชาการตา่ งๆ ได้วเิ คราะห์เก่ียวกบั ความเชอื่ และสภาพสังคมของชาวเขมร ผ่านภาพ “สลักอปั สรา” โดนนยิ ามว่า “นางอปั สรา” คอื เทพธดิ าแหง่ ความร่นื รมยข์ องสรวงสวรรค์ หรืออีก นยั หนงึ่ คอื “นางบำเรอ” อีกนยั หนึ่ง คำวา่ \"อปั สร\" คอื การเคลื่อนไป ดงั นนั้ \"อัปสร\" หมายถึง ผู้ ที่ เคลอ่ื นไปในนำ้ ตามมหากาพยม์ หาภารตะอนิ เดีย เหลา่ เทพมักจะสง่ อัปสรลงไปโลกมนุษย์เพื่อ ทำลายตะบะฤาษี เพราะกลัววา่ จะเกง่ กวา่ เทวดา และยั่วยวนเหล่าอสรู ให้มกี ารลมุ่ หลงในกาม บำเรอ นางอัปสรจงึ ถูกจัดเป็นเทพชั้นต่ำของสวรรค์เพราะยงั ติดอยู่กับรูป รส กลน่ิ และเสียง รปู ท่ี 3 ความงาม Erotic ของอัปสรา ความงามทจ่ี ินตนาการ “นางอัปสร” มอี ำนาจแปลงกาย ระบำ รำ เต้น และเล่นดนตรี ซึง่ แตล่ ะนางมคี วามสามารถ และเคร่ืองแตง่ กายงดงามแตกตา่ งกนั อย่างไรกต็ าม “นางอปั สร” หรือ “นางอัปสร” ถกู ยกยอ่ งให้ เป็น เทพสตรที ีม่ ีความสามารถ เช่น ปราสาทนครวดั ในกมั พชู ามีภาพสลักของ “นางอปั สร”
มากมาย และเปน็ เทพแห่งความดีงาม ซึ่งผูท้ ี่ตอ้ งการมีบุตรกใ็ ห้ไปลบู ทีเ่ ตา้ นมของ“นางอัปสร” รับ อิทธิผลตามความเชอ่ื ทางศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู และถกู สลกั ไว้บนหนิ ของปราสาทโบราณต่างๆ ที่ เกี่ยวโยงกับชน้ั วรรณะ และสะท้อนมติ ิ ความสัมพันธ์เชงิ อำนาจ และเพศสถานะ บนสรวงสวรรค์ ท่ี ได้รบั อิทธิพลจาก ความเช่อื ทางศาสนา ความเช่อื ของชาวเขมรที่ พวกเขาต่างยกย่อง “นางอัปส รา” เป็นเทพธิดา ผดู้ แู ลศาสนสถาน และเปน็ เทพธดิ าแหง่ ความดีงาม ส่วน”นางอปั สรา” ท่สี วย ทสี่ ุด จริงๆแล้ว ขนึ้ อยูก่ ับความชอบส่วนตัว ว่าใครชอบแบบไหน แตท่ หี่ ลายๆ คนยกใหว้ ่าเปน็ “นางอัปสรา” ทม่ี คี วามสวยสงา่ มอี งคป์ ระกอบแห่งความงามมากทส่ี ดุ กค็ ือ “อัปสรา”นางหนง่ึ ที่ แอบอยู่ ในหลืบ ข้างช่องประตู ใจกลาง ปรางค์ประธานที่ มีใบหน้าอมยิ้ม ยกสองมอื มอื ประคอง ถือดอกไม้ “อปั สรามหาชน” คนเขมรท่นี ับถือ”นางอปั สรา” ต่างเชือ่ ว่าใครท่ีอยากมลี ูก หรือมีลูก ยาก หากไปลบู จบั ถันของ “อปั สรา” นางน้กี ็จะได้ลูกสมดงั ปรารถนา รปู ที่ 4 ความงาม Erotic ของอัปสรา ท่ียงั เหลอื เค้าโครงทงี่ ดงาม Erotic คอื เร่อื งท่เี ก่ียวกับ ความหลงใหล การเร่งเร้า ใคร่รกั แรงปรารถนา ภาษาอังกฤษ เรยี กว่า “sexual love and desire” รากศัพท์เดิมของ อีโรติก มาจากคำว่า “eros” ซ่ึงด้ังเดิมมี
ความหมายในทางบวก คือ เทพอีรอส ท่งี ามพรอ้ ม แตต่ ่อมาเปล่ยี นพฤตกิ รรมเป็นช่วั ร้ายจน กลายเป็น “ปศี าจ” ปัจจุบนั เรามกั จะพดู ถึง “อโี รตกิ ” ในแง่การแสดงออกถึง ความปรารถนาทาง เพศ ท่ีแสดงออกทาง ศิลปะ บทกวี ความรัก เร่อื งลึกลับ และ จติ วญิ ญาณ คำว่า อีโรตกิ จึงไม่ได้ หมายถึง เร่ืองท่ี โปๆ๊ เปลือยๆ หรอื เรื่องลามก เพียงอย่างเดียวเพราะตามชั้นเชงิ แลว้ จะมคี ำวา่ \" รัก \" ปนอยดู่ ว้ ย อย่างไรกต็ าม นางอัปสรา ถอื วา่ เป็นผูห้ ญิงที่อยู่ในอุดมคติของเขมร โดย เปรียบเทย่ี บกบั ความงามทสี่ รา้ งสรรค์ เกินจริง ทีย่ ังคงเหลอื อยู่ ในปัจจบุ ัน ไมว่ า่ จะมองแบบ Erotic กง็ ดงามไมแ่ พ้ กันเปน็ การเลยี นแบบส่ิงเฉพาะบนโลกแห่งผัสสะและการเลยี นแบบของศิลปนิ เปน็ เพียงความ คล้ายคลงึ และเปน็ เพียงบางสว่ นของตน้ แบบ เพ่อื สร้างเปน็ ผู้หญงิ ท่อี ยู่ในอดุ มคตขิ องเขมร ------------------------
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: