ไขปริศนา \"ลานศิลาแลงรปู กากบาท\" ของอโรคยาศาลในอีสาน SOLVE THE PUZZLE \"LATERITE CROSS-SHAPED COURTYARD\"OF AROGAYASALA IN ISAAN ฮาวา วงศพ์ งษค์ า Hawa Wongpongkham สาขาวิชาวฒั นธรรม ศิลปกรรมและการออกแบบ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น Culture Fine Arts and Design Faculty of Fine and Applied Arts , Khon Kaen University บทคดั ย่อ บทความน้มี งุ่ เน้นศกึ ษาเกย่ี วกบั \"ลานศลิ าแลงรปู กากบาท\" ของอโรคยาศาลในภาคอสี านทส่ี รา้ งขน้ึ ในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 ซง่ึ ลานศลิ าแลงน้อี าจเป็นองคป์ ระกอบหลกั ทส่ี าคญั เพมิ่ อกี ประการหน่งึ ของอโรคยาศาล หรอื ลาน ศลิ าแลงน้อี าจเป็นการบรู ณะสรา้ งขน้ึ เองจากคนรุน่ หลงั จากการศกึ ษาพบวา่ ร่องรอย \"ลานศลิ าแลงรปู กากบาท\" อโรคยา ศาลในอสี าน สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ การไดร้ บั อทิ ธพิ ลของขอมโบราณทแ่ี พร่กระจายเขา้ มาในภาคอสี าน ประมาณพทุ ธ ศตวรรษท่ี 16-18 โดย โดยเฉพาะสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 อทิ ธพิ ลของขอมไดแ้ พรก่ ระจายเขา้ มาในภาคอสี านเป็น จานวนมาก ทาใหส้ ถาปัตยกรรมในสมยั น้ียงั คงรกั ษาคตคิ วามเช่อื ในการกอ่ สรา้ งแบบเดมิ อยู่ รวมไปถงึ คตคิ วามเชอ่ื ใน การก่อสรา้ งลานศลิ าแลงรปู กากบาท หากจะแตกต่างกนั ทก่ี ารนบั ถอื ศาสนาเท่านนั้ หลงั จากสน้ิ สดุ รชั สมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 กไ็ มพ่ บจารกึ ทแ่ี สดงถงึ อานาจของราชอาณาจกั รขอมในภาคอสี านอกี เน่อื งจากอาณาจกั รขอมเสอ่ื ม อานาจลง และไดถ้ กู สยามตเี มอื งในทส่ี ดุ สง่ ผลให้ \"อโรคยาศาล\" เป็นศาสนสถานแห่งสดุ ทา้ ยของพระองค์ ดงั นนั้ ลาน ศลิ าแลงรปู กากบาทของอโรคยาศาลในอสี านอาจเป็นองคป์ ระกอบหลกั ของอโรคยาศาล หรอื อาจเป็นการบรู ณะสรา้ งขน้ึ เองจากคนรุน่ หลงั หากมองถงึ ประโยชน์ใชส้ อย ลานศลิ าแลงสามารถตอบโจทยป์ ระโยชน์ใชส้ อยไดเ้ ป็นอย่างดี ไม่ว่าจะ เป็นการแกไ้ ขปัญหาของชา่ งในทอ้ งถน่ิ ในการขน้ึ ลงบนั ได เพอ่ื ใหง้ า่ ยต่อการใชง้ าน หรอื เพ่อื ใชป้ ระกอบพธิ กี รรมต่างๆ ก่อนเขา้ มายงั ปราสาทประธาน แต่ดว้ ยการกอ่ สรา้ งอโรคยาศาลเป็นไปดว้ ยความรบี เรง่ กาลงั พลและเสบยี งอาหารทม่ี ี จากดั ทาใหอ้ โรคยาศาลบางแห่งจงึ ไมป่ รากฏรอ่ งรอยของลานศลิ าแลงรปู กากบาท หากมกี าลงั พลและเสบยี งมากพอ อาจทาใหช้ ่างในสมยั นนั้ ไม่ตอ้ งก่อสรา้ งดว้ ยความรบี เรง่ ซง่ึ อโรคยาศาลในสมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 อาจจะมคี วาม สมบรู ณ์มากยง่ิ ขน้ึ คาสาคญั : ลานศลิ าแลงรปู กากบาท , อโรคยาศาลในอสี าน
2 Abstract This article is focused on academic studies. \"Laterite cross-shaped courtyard “of the drug treatment court in the Northeast which was built in the reign of King Jayavarman 7. Actually, this laterite courtyard can be another important element that the drug treatment court has to have, or the laterite courtyard may be reconstructed from the later generations to benefit something. The study found that the traces “Laterite cross- shaped courtyard “in the Northeast, reflections on the influence of ancient Khmer, which spread into the Northeast. It is assumed that it was influenced during the 16th-18th century, especially during the reign of King Jayavarman 7. The influence of Khmer has spread again. In the present time, the traditional belief in the construction of the castle, as well as the construction of the lateral cross-shaped courtyard. If the only difference is religion. After the end of the reign of King Jayavarman 7, did not find inscriptions that show the power of the Kingdom of Cambodia in Thailand. Since assuming power, the Khmer empire into decline and was hit the city by Siam. And speculated that \"drug treatment courts\" is a religious place the final piece of his reign. So, Laterite cross-shaped courtyard of the drug treatment court in the Northeast can be a major component of the drug treatment courts, or it may be a reconstruction of the later generations. If you look at the benefits, the laterite courtyard is the answer, the benefits are very good. Whether it is to solve the problem of local technicians to climb up - down the stairs to easy to walk and easy to use or to use the perform ritual before entering the castle president. But with the construction of the drug treatment court is a rush with a factor in the troops and restricted food supplies. Some make a drug treatment court, no visible signs of Laterite cross-shaped courtyard. If there are enough troops and supplies. May make the technician in those days, do not be built with the rush. The drug treatment court during the reign of King Jayavarman 7, there may be more complete. Keywords: Laterite cross-shaped courtyard , Arogayasala in Isaan
3 บทนา ภาคอสี าน เป็นภมู ภิ าคหน่งึ ในประเทศไทย มพี น้ื ทป่ี ระมาณ 170,226 ตารางกโิ ลเมตร หรอื มพี น้ื ทเ่ี ป็น 1 ใน 3 ของพน้ื ทใ่ี นประเทศไทย ตงั้ อย่บู นแอ่งสกลนครและแอง่ โคราช ภูมปิ ระเทศเป็นสนั ยกขอบแยกตวั ออกจากภาคกลาง อยา่ งชดั เจน ประกอบดว้ ยเทอื กเขาสงู ทางทศิ ตะวนั ตกและทศิ ใต้ เทอื กเขาทศิ ตะวนั ตกมคี วามสงู เฉลย่ี 500 - 1,000 เมตร เหนือระดบั น้าทะเล มยี อดเขาทส่ี งู ทส่ี ดุ คอื ยอดภหู ลวง มคี วามสงู ประมาณ 1,571 เมตร ซง่ึ เป็นยอดเขาทส่ี งู ทส่ี ดุ ในภาคอสี าน รองลงมาคอื ภูกระดงึ มคี วามสงู ประมาณ 1,325 เมตร เป็นแหล่งตน้ น้าของแมน่ ้าสาคญั หลายสาย ไดแ้ ก่ แม่น้าพอง แม่น้าเลย แม่น้าพรม แม่น้าชแี ละลาตะคอง สว่ นทางดา้ นทศิ ใตม้ เี ทอื กเขาสนั กาแพง และเทอื กเขาพนมดงรกั มคี วามสงู เฉลย่ี 400 - 700 เมตร เหนือระดบั น้าทะเล มยี อดทส่ี งู ทส่ี ดุ คอื ยอดเขาเขยี ว มสี งู ประมาณ 1,292 เมตร การแบง่ เขตการปกครองในภาคอสี านประกอบดว้ ย 20 จงั หวดั ไดแ้ ก่ จ.กาฬสนิ ธุ์ จ.ขอนแก่น จ.ชยั ภมู ิ จ.นครพนม จ.นครราชสมี า จ.บุรรี มั ย์ จ.มหาสารคาม จ.มุกดาหาร จ.ยโสธร จ.รอ้ ยเอด็ จ.เลย จ.ศรสี ะเกษ จ.สกลนคร จ.สรุ นิ ทร์ จ.หนองคาย จ.หนองบวั ลาภู จ.อานาจเจรญิ จ.อุดรธานี จ.อบุ ลราชธานี และจ.บงึ กาฬ (รณสทิ ธิ์ แสงสวุ อ. 2521) ภาคอสี านถอื วา่ เป็นแหลง่ โบราณคดที ส่ี าคญั และมคี วามยาวนานดา้ นวฒั นธรรมมาหลายรอ้ ยปี เพราะไดพ้ บหลกั ฐาน ทางโบราณคดที แ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ การอยอู่ าศยั ของมนุษย์ โดยเฉพาะแหล่งชมุ ชนโบราณ เช่น กลมุ่ โบราณคดบี า้ นเชยี ง .อุดรธานี กลุ่มชมุ ชมบา้ นโนนวดั จ.นครราชสมี า เป็นตน้ หลกั ฐานทางรปู แบบของศลิ ปะสมยั ทวารวดสี นั นิษฐานว่าไดร้ บั อทิ ธพิ ลในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 12-14 เชน่ เมอื งฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสนิ ธุ์ วดั พระพุทธมงคล จ.มหาสารคาม เป็นตน้ นอกจากนนั้ พน้ื ทแ่ี ห่งน้ยี งั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลและรปู แบบสถาปัตยกรรมขอมโบราณ สนั นิษฐานวา่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลในชว่ งพุทธ ศตวรรษท่ี 16-18 ซง่ึ เป็นการปกครองของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ทเ่ี ป็นอาณาจกั รของทร่ี ุ่งเรอื งอานาจมากทส่ี ดุ รวมไป ถงึ โบราณวตั ถุ เคร่อื งปัน้ ดนิ เผา และเทวรปู ทก่ี ระจายอยทู่ วั่ ๆไปในเขตพน้ื ทภ่ี าคอสี าน (ทางอสี าน. 2556) อทิ ธพิ ลและรปู แบบทางสถาปัตยกรรมขอมโบราณแพรก่ ระจายเขา้ มาในภาคอสี าน เม่อื พจิ ารณาจากหลกั ฐาน ทพ่ี บสนั นษิ ฐานไดว้ า่ อทิ ธพิ ลขอมเรม่ิ เขา้ มาราวพทุ ธศตวรรษท่ี 16 โดยไดพ้ บหลกั ฐานทางโบราณคดหี ลายแห่ง น่าจะมี อายุในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 16-18 เช่น ปราสาทหนิ พมิ าย ปราสาทพนมวนั จ.นครราชสมี า ปราสาทหนิ พนมรงุ้ ปราสาท เมอื งต่า จ.บุรรี มั ย์ ปราสาทเปือยน้อย กแู่ กว้ กู่ประภาชยั จ.ขอนแก่น เทวสถานและประตมิ ากรรมกนู่ ้อย ศลิ าจารกึ จาก ศาลานางขาว ก่สู นั ตรตั น์ ก่บู า้ นเขวา จ.มหาสารคาม เป็นตน้ ทงั้ หมดทก่ี ลา่ วมาน้ไี ดต้ งั้ อยบู่ นพน้ื ฐานความเชอ่ื ของ ศาสนาฮนิ ดู ต่อมาพทุ ธศตวรรษท่ี 18 โดยเฉพาะสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 อทิ ธพิ ลของขอมไดแ้ พรก่ ระจายเขา้ มาอกี ครงั้ หน่งึ ซง่ึ ในสมยั น้ีพระองคไ์ ดห้ นั มานบั ถอื พทุ ธศาสนาลทั ธมิ หายานเป็นหลกั (อรุณศกั ดิ์ กงิ่ มณี. 2543) มชี อ่ื ตาม รปู แบบศลิ ปะว่า \"สมยั บายน\" ขอ้ มลู จารกึ จากปราสาทพระขรรค์ และจารกึ ปราสาทตาพรหม กล่าวไวว้ ่า พระเจา้ ชยั วร มนั ท่ี 7 โปรดใหส้ รา้ งพระชยั พทุ ธมหานาถอนั เป็นพระพทุ ธรปู ฉลองพระองคไ์ ปไวใ้ นวหิ ารทต่ี ่างๆ จานวน 23 แหง่ และ กลา่ วถงึ การสรา้ งธรรมศาลา จานวน 17 แหง่ บนเสน้ ทางจากเมอื งพระนครหลวงไปยงั เมอื งวมิ ายปรุ ะ ต่อมาพระองคไ์ ด้ ทรงโปรดใหส้ รา้ งอโรคยาศาล จานวน 102 แหง่ ทวั่ เขตราชอาณาจกั รของพระองค์ ซง่ึ ปัจจุบนั เราไดค้ น้ พบอโรคยาศาล ในประเทศไทย จานวน 31 แหง่ (กฤช เหลอื ลมยั . 2547) หลงั จากสน้ิ สดุ รชั สมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 กไ็ ม่พบจารกึ ทแ่ี สดงถงึ อานาจของราชอาณาจกั รขอมในประเทศไทยอกี เลย เน่อื งจากสนั นษิ ฐานวา่ อาณาจกั รของเสอ่ื มอานาจลง และ ไดถ้ ูกสยามตเี มอื งในทส่ี ดุ (นยิ ม วงศพ์ งษ์คา. 2545) และสนั นษิ ฐานวา่ \"อโรคยาศาล\" เป็นศาสนสถานชน้ิ สดุ ทา้ ยของ พระองค์
4 อโรคยาศาลในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 มที งั้ หมด 102 แหง่ สาหรบั ในพน้ื ทภ่ี าคอสี านของประเทศไทยพบ อโรคยาศาลจานวน 31 แห่ง โดยกระจายอย่เู ป็นจานวนมากในเขตภาคอสี านจานวน 29 แหง่ และพบอโรคยาศาล เพมิ่ เตมิ อกี จานวน 2 แหง่ ในพน้ื ทภ่ี าคตะวนั ออกของประเทศไทย (ศริ พิ นั ธ์ ตาบเพช็ ร.์ 2555) จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ ่าอโรคยาศาลในอสี านมจี านวนมากทส่ี ดุ ในประเทศไทย ไดร้ บั อทิ ธพิ ลเชงิ ชา่ งและมกี ารแพร่กระจายเขา้ มาในพน้ื ท่ี ภาคอสี านดว้ ย อโรคยาศาลในอสี านมที งั้ ทส่ี รา้ งขน้ึ พรอ้ มกบั ชมุ ชนทอ่ี พยพเขา้ ไปอยใู่ หม่ และมที งั้ ทอ่ี ย่ใู กลก้ บั ชมุ ชน เดมิ แต่อโรคยาศาลทกุ แห่งมผี งั ทแ่ี น่นอน ประกอบดว้ ย \"ปราสาทประธาน\" ผงั เป็นรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ตงั้ อยตู่ รงกลาง ของศาสนสถาน มปี ระตเู ขา้ ออกเพยี งดา้ นเดยี วคอื ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออก \"บรรณาลยั \" จะตงั้ อยทู่ างทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ของปราสาทประธาน เป็นอาคารทรงสเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ มปี ระตอู ยทู่ างดา้ นทศิ ตะวนั ตก \"กาแพงแกว้ \" จะลอ้ มรอบปราสาท ประธานและบรรณาลยั เอาไว้ มซี มุ้ ประตูทางเขา้ เรยี กวา่ \"โคปรุ ะ\" ตงั้ อยกู่ ง่ึ กลางทางดา้ นทศิ ตะวนั ออกของกาแพงแกว้ บรเิ วณดา้ นนอกกาแพงแกว้ ตรงมุมทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ มี \"สระน้า\" ผงั เป็นรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ กอ่ ลดระดบั เป็น ขน้ึ บนั ไดลงไป (กฤช เหลอื ลมยั . 2547) แตใ่ นบางแห่ง กย็ งั พบร่อยรอยรปู แบบสถาปัตยกรรมทไ่ี ม่ปรากฏตามแผนผงั มาตรฐานทวั่ ๆไป ดงั ต่อไปน้ี 1. ลานกากบาทหน้าปราสาทประธาน เชน่ กสู่ นั ตรตั น์ อ.นาดนู จ.มหาสารคาม ก่คู นั ธนาม อ.โพนทราย จ.รอ้ ยเอด็ กโู่ พนระฆงั อ.เกษตรวสิ ยั จ.รอ้ ยเอด็ และปรางคก์ ู่ อ.เมอื ง จ.ชยั ภมู ิ 2. ลานกากบาทหน้าปราสาทประธานและลานกากบาทขนาดใหญ่อยดู่ า้ นนอกโคปุระ เชน่ กฎุ ฤิ าษหี นองบวั ลาย อ.ประโคนชยั จ.บุรรี มั ย์ ปราสาทตาเมอื นโต๊ด อ.พนมดงรกั จ.สรุ นิ ทร์ และกบู่ า้ นเขวา อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม (ศริ พิ นั ธ์ ตาบเพช็ ร.์ 2555) จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ พบว่า รปู แบบและองคป์ ระกอบหลกั ๆของอโรคยาศาลเป็นแผนผงั ทม่ี คี วามชดั เจนและมี มาตรฐาน ซง่ึ สนั นิษฐานว่าเป็นการกอ่ สรา้ งทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากสว่ นกลาง สงั เกตไดจ้ ากแผนผงั การวางตาแหน่ง องคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมทงั้ 5 สว่ นมคี วามคลา้ ยคลงึ กนั บทความน้จี งึ เป็นการนาเสนอใหเ้ หน็ ถงึ ร่อยรอยรปู แบบ สถาปัตยกรรมทไ่ี มป่ รากฏตามแผนผงั มาตรฐานการก่อสรา้ งอโรคยาศาลทวั่ ๆไป โดยเฉพาะลานกากบาทบรเิ วณหน้า ปราสาทประธาน รวมไปถงึ คตคิ วามเช่อื ในการสรา้ ง การใชป้ ระโยชน์ใชส้ อย หรอื อาจจะเป็นความรบี เรง่ ของช่างในสมยั นนั้ เพ่อื ใหเ้ หน็ ถงึ การพฒั นาการทางดา้ นรปู แบบทางสถาปัตยกรรมของอโรคยาศาลในอสี าน การรบั สง่ อทิ ธพิ ลเชงิ ชา่ ง ตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปัจจุบนั
5 ความเป็ นมาและความหมายของอโรคยาศาล อโรคยาศาล เป็นเทวสถานตามพระราชประสงคข์ องพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 แห่งเมอื งนครหลวง พระองคท์ รงมี อานาจทางการเมอื งมากในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี 18 เมอ่ื ศกึ ษาขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตรส์ นั นษิ ฐานว่าในอดตี ในเขตพน้ื ท่ี ภาคอสี านไดม้ ที างเชอ่ื มโยงทางดา้ นวฒั นธรรม และการคา้ จากเมอื งนครหลวงมาสภู่ าคอสี านของประเทศไทย โดยมี ศนู ยก์ ลางอย่ทู เ่ี มอื งพมิ าย พระองคท์ รงโปรดใหส้ รา้ งเสน้ ทาง \"ราชมรรคา\" เพ่อื เป็นเสน้ ทางการเช่อื มต่อระหว่างเมอื งทงั้ สอง ทาใหม้ คี วามเจรญิ ทงั้ ทางดา้ นการเมอื งและทางดา้ นเศรษฐกจิ นอกจากน้พี ระองคย์ งั สรา้ งธรรมศาลากระจายอยู่ ตามเสน้ ทางดงั กล่าว วตั ถุประสงคใ์ นการสรา้ งอโรคยาศาลนนั้ (รุ่งโรจน์ ธรรมรงุ่ เรอื ง. 2548) หลายคนต่างให้ ความหมายแตกต่างกนั ไป แตถ่ า้ ศกึ ษาขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตร์ และจารกึ ต่างๆในสมยั พระองค์ อาจสนั นษิ ฐานไดว้ ่า อโรคยาศาลสรา้ งขน้ึ เพอ่ื ใชเ้ ป็นสถานทร่ี กั ษาพยาบาลของคนในชมุ ชน และเป็นทพ่ี านักของผทู้ างานในโรงพยาบาล ดว้ ย แต่อาคารเหล่าน้อี าจจะสรา้ งดว้ ยไมแ้ ละผุพงั ตามกาลเวลาจนไมเ่ หลอื หลกั ฐานใหเ้ หน็ (ทพิ ยว์ รรณ วงศอ์ สั ส ไพบลู ย.์ 2555) สยาม กงิ่ เมอื งเก่า. (2558) ไดใ้ หค้ วามหมายของอโรคยาศาลว่า สถานทท่ี ใ่ี ชส้ าหรบั ประกอบพธิ กี รรมทางพทุ ธ ศาสนาและรกั ษาโรคใหก้ บั คนในชุมชนคลา้ ยกบั สถานพยาบาลในปัจจบุ นั และวโิ รจน์ ชวี าสขุ ถาวร. (2553) ไดใ้ ห้ ความหมายของอโรคยาศาลวา่ อาคารทส่ี รา้ งขน้ึ ในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 เพ่อื ประดษิ ฐานพระไภษชั ยคุรุไวฑรู ย ประภาและรปู เคารพอ่นื ๆ โดยสถานทต่ี งั้ จะตงั้ ใกลเ้ มอื งโบราณทม่ี ขี นาดใหญ่ เพอ่ื ใช้เป็นสถานทร่ี กั ษาผปู้ ่วยในชุมชน บรเิ วณโดยรอบ จากหลกั ฐานทป่ี รากฏในจารกึ ปราสาทตาพรหมในประเทศกมั พชู า กลา่ ววา่ พระองคท์ รงโปรดให้ สรา้ งอโรคยาศาล จานวน 102 แห่งทวั่ ราชอาณาจกั ร ภายในประดษิ ฐานพระไภษชั ยครุ ไุ วฑรู ยประภา รปู แบบทาง สถาปัตยกรรมคลา้ ยคลงึ กนั อาจมคี วามคลาดเคล่อื นกนั เพยี งเลก็ น้อย ประกอบดว้ ย ปราสาทประธานหนั หน้าทางทศิ ตะวนั ออก มบี รรณาลยั อยมู่ มุ ทศิ ตะวนั ออกเฉียงใตข้ องปราสาทประธานหนั หน้าไปทางทศิ ตะวนั ตก โคปรุ ะอยดู่ า้ นหน้า ตรงกลางกาแพงแกว้ ทศิ ตะวนั ออก มุมกาแพงแกว้ ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื มสี ระน้ารปู สเ่ี หลย่ี ม ปากผายกน้ สอบลกึ ลง ไป กรุดว้ ยศลิ าแลง (กติ นิ นั ท์ ชว่ ยคงทอง. 2553) กลา่ วโดยสรปุ ความหมายของอโรคยาศาล หมายถงึ โบราณสถานทม่ี ี แผนผงั และองคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรม ประกอบดว้ ย ปราสาทประธานตงั้ อยตู่ รงกลางภายในกาแพงแกว้ หนั หน้าไป ทางทศิ ตะวนั ออก บรรณาลยั ตงั้ อยทู่ างทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใตข้ องปราสาทประธานหนั หน้าไปทางทศิ ตะวนั ตก ลอ้ มรอบ ดว้ ยกาแพงแกว้ มโี คปรุ ะอยตู่ รงกลางกาแพงแกว้ ตงั้ อยทู่ างทศิ ตะวนั ออก และดา้ นนอกกาแพงแกว้ มสี ระน้าอยมู่ มุ ทาง ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ กรุดว้ ยศลิ าแลง ถูกสรา้ งขน้ึ ในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 เพ่อื ใชส้ าหรบั ประกอบพธิ กี รรมและ เป็นทร่ี กั ษาโรคทางใจใหก้ บั คนในชุมชน หรอื ทเ่ี รยี กกนั ว่า \" ศาลในโรงพยาบาล \" นนั่ เอง จะสงั เกตไดว้ า่ \" อโรคยาศาล \" มรี ปู แบบผงั มาตรฐานทช่ี ดั เจน หากศาสนสถานใดทบ่ี ดิ เบอื นไปจากแผนผงั และองคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมท่ี กล่าวมาขา้ งตน้ บทความน้จี ะไมข่ อเรยี กว่า \" อโรคยาศาล \" สาหรบั ในพน้ื ทภ่ี าคอสี านพบอโรคยาศาลจานวน 29 แหง่ โดยมที ต่ี งั้ กระจายอยใู่ น 10 จงั หวดั คอื 1. จงั หวดั อดุ รธานี จานวน 1 แหง่ ไดแ้ ก่ กแู่ กว้ บา้ นจตี 2. จงั หวดั สกลนคร จานวน 1 แหง่ ไดแ้ ก่ กพู่ นั นา 3. จงั หวดั ชยั ภมู ิ จานวน 2 แหง่ ไดแ้ ก่ ปรางคก์ บู่ า้ นหนองบวั และปรางคก์ ่บู ้านแทน่ 4. จงั หวดั ขอนแก่น จานวน 2 แหง่ ไดแ้ ก่ ก่ปู ระภา ชยั และก่แู กว้ 5. จงั หวดั มหาสารคาม จานวน 2 แห่ง ไดแ้ ก่ กสู่ นั ตรตั น์ และกบู่ า้ นเขวา 6.จงั หวดั รอ้ ยเอด็ จานวน 3 แหง่ ไดแ้ ก่ กคู่ นั ธงาม ปรางคก์ มู่ ะอึ และกโู่ พนระฆงั 7. จงั หวดั นครราชสมี า จานวน 8 แหง่ ไดแ้ ก่ กุฏฤิ ๅษนี ้อย ปราสาทบา้ นปราสาท ปราสาทเมอื งเก่า ปรางคค์ รบุรี ปรางคบ์ า้ นปรางค์ ปรางคพ์ ลสงคราม ปราสาทนางรา และ ปราสาทบา้ นโคกงว้ิ 8.จงั หวดั บรุ รี มั ย์ จานวน 3 แหง่ ไดแ้ ก่ กฏุ ฤิ ๅษหี นองเยอื ง กฏุ ฤิ ๅษบี า้ นโคกเมอื ง กุฏฤิ ๅษหี นองบวั ราย 9.จงั หวดั สรุ นิ ทรจ์ านวน 5 แหง่ ไดแ้ ก่ ปราสาทกงั แอน ปราสาทชา่ งป่ี ปราสาทบา้ นเฉลยี ง ปราสาทจอมพระ และ ปราสาทตาเมอื นโต๊ด 10. จงั หวดั ศรษี ะเกษ จานวน 2 แหง่ ไดแ้ ก่ ปราสาทบา้ นสมอ และปราสาทสระกาแพงน้อย (ศริ ิ พนั ธ์ ตาบเพช็ ร.์ 2555)
6 ภาพท่ี 1 แสดงพน้ื ทต่ี งั้ อโรคยาศาลในอสี าน ภายในมกี ารจดั วางตาแหน่งของรปู เคารพทส่ี มั พนั ธก์ บั ความเช่อื ทางศาสนา และสอดคลอ้ งกบั การออกแบบ สถาปัตยกรรมทเ่ี ป็นสถานทเ่ี คารพสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธติ์ ามความเช่อื ของศาสนาพุทธมหายาน บรเิ วณภายในปราสาทประธาน จะประดษิ ฐานรปู เคารพ 3 องค์ คอื พระวชั รธรหรอื พระไภษชั ยคุรุไวฑรู ยประภา ขนาบขา้ งดว้ ยพระสรุ ยิ ไวโรจนะและ จนั ทรไวโรจนะ (วโิ รจน์ ชวี าสขุ ถาวร. 2553) โดยรปู เคารพทงั้ 3 องคน์ ้จี ะตงั้ อย่บู นฐานรปู สเ่ี หลอื มผนื ผา้ เจาะรู 3 รู ขนาดประมาณ 150x30x75 ซม. บรเิ วณภายในหอ้ งกลางบรรณาลยั จะประดษิ ฐานรปู เคารพชนั้ รอง คอื พระโพธสิ ตั ว์ 4 กร ประทบั นงั่ ตงั้ อย่บู นฐานรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ขนาดประมาณ 38x15x56 ซม. ต่อมาดา้ นนอกหอ้ งกลางของบรรณาลยั จะประดษิ ฐานรปู เคารพชนั้ รองอกี 2 องค์ คอื พระยมทรงกระบอื ตงั้ อยบู่ นฐานรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ขนาดประมาณ 13x26x45 ซม. และพระวชั รปาณที รงครฑุ ตงั้ อยบู่ นฐานรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ขนาดประมาณ 21x12x35 ซม. บรเิ วณโคปรุ ะ จะเป็นทป่ี ระดษิ ฐานของพระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวร 4 กร ประทบั ยนื ตงั้ อย่บู นฐานรปู สเ่ี หลย่ี มจตั ุรสั ขนาดประมาณ 25x25x15 ซม. (ทพิ ยว์ รรณ วงศอ์ สั สไพบลู ย.์ 2555) ภาพท่ี 2 แสดงตาแหน่งของโบราณวตั ถุทพ่ี บภายในอโรคยาศาลในอสี าน
7 รปู แบบและองคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรม แผนผงั และองคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมของอโรคยาศาล จะประกอบดว้ ย 1. ปราสาทประธาน 2. บรรณาลยั 3. โคปุระ 4. กาแพงแกว้ 5. สระน้า โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี ภาพท่ี 3 แสดงแผนผงั และองคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมของอโรคยาศาล ทม่ี า : (ทพิ ยว์ รรณ วงศอ์ สั สไพบลู ย.์ 2555) ปราสาทประธาน หนั หน้าไปทางทศิ ตะวนั ออก สว่ นใหญ่จะสรา้ งไวต้ รงกบั แนวโคปุระ แผนผงั เป็นรปู สเ่ี หลย่ี ม จตั ุรสั ขนาดประมาณ 7x7 เมตร ประตูดา้ นทศิ ตะวนั ออกทาเป็นมขุ ยน่ื ออกมา โดยตวั ปราสาทประธานและมขุ ตงั้ อย่บู น ฐานศลิ าแลงเดยี วกนั เรอื นธาตุของปราสาทประธานเจาะประตทู างเขา้ ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออก มมี ขุ ย่นื ออกมา เรอื นธาตุ ทางดา้ นทศิ เหนอื ทศิ ใต้ และทศิ ตะวนั ตกกอ่ เป็นประตูหลอก ซง่ึ การก่อสรา้ งประตหู ลอกจะแตกต่างกนั ออกไปขน้ึ อยกู่ บั ช่างแต่ละทอ้ งท่ี หรอื วสั ดุทห่ี าไดใ้ นเวลานนั้ มากอ่ สรา้ งใหเ้ พอ่ื ใหเ้ กดิ ความสะดวกและรวดเรว็ (ทพิ ยว์ รรณ วงศอ์ สั ส ไพบลู ย.์ 2555) การนาหนิ ทรายขนาดใหญ่มาใชท้ าเป็นกรอบประตูรปู ทรงสเ่ี หลย่ี ม สว่ นพน้ื ทภ่ี ายในกรอบใชก้ อ้ นศลิ า แลงเรยี งซอ้ นกนั เพอ่ื ความแขง็ แรง ซง่ึ เป็นการรบั อทิ ธพิ ลเชงิ ชา่ งมาจากรปู แบบการสรา้ งปราสาทขอม เช่น ปราสาท นางรา ปรางคบ์ า้ นปรางค์ ปรางคพ์ ลสงคราม จ.นครราชสมี า และก่ปู ระภาชยั จ.ขอนแกน่ เป็นตน้ แต่โดยทวั่ ไปกรอบ ประตมู กั จะใชห้ นิ ศลิ าแลงมาใชท้ าเป็นกรอบประตแู ทนกรอบประตูหนิ ทราย สนั นษิ ฐานว่าอาจจะเป็นวสั ดุทห่ี าไดใ้ น ทอ้ งถน่ิ นนั้ ๆ หรอื เป็นกุศโลบายในการก่อสรา้ งผนงั รบั น้าหนกั ของช่างในสมยั นนั้ เชน่ ปรางคค์ รบุรี จ.นครราชสมี า ปราสาทจอมพระ ปราสาทบา้ นชา่ งป่ี จ.สรุ นิ ทร์ กสู นั ตรตั น์ และก่บู า้ นเขวา จ.มหาสารคาม เป็นตน้ สว่ นบนของปราสาท ประธานกอ่ ดว้ ยศลิ าแลงซอ้ื กนั ขน้ึ ไป 4-5 ชนั้ ลดหลนั่ ลงไปดามลาดบั ทเ่ี รยี กว่า \"ชนั้ เชงิ บาตร\" มหี น้าทเ่ี สมอื นหลงั คา คลมุ ตวั ปราสาท โดยสว่ นใหญ่รปู แบบสว่ นยอดของสถาปัตยกรรมของจะเป็นรปู ทรงขา้ วโพด (ทรงพุ่ม) ดา้ นบนสกุ จะ ประดบั ดว้ ย \"หมอ้ บรู ณะคตะ\" หรอื \"อมลกะ\" (รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรอื ง. 2548)
8 ภาพท่ี 4 แสดงกรอบประตหู ลอก ภาพท่ี 5 แสดงกรอบประตหู ลอก ก่ปู ระภาชยั จ.ขอนแก่น ก่สู นั ตรตั น์ จ.มหาสารคาม บรรณาลยั หนั หน้าไปทางทศิ ตะวนั ตก ตงั้ อย่ทู างทศิ ตะวนั ออกเฉียงใตข้ องปราสาทประธาน ลกั ษณะเป็น อาคารรปู ทรงสเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ มขี นาดประมาณ 5x8 เมตร มปี ระตเู ขา้ ออกทางเดยี วอยทู่ างดา้ นทศิ ตะวนั ตก ดา้ นหน้าทา เป็นมขุ ยน่ื ออกมา ผนงั ทางดา้ นทศิ เหนอื ทศิ ใต้ และทศิ ตะวนั ออกก่อทบึ สว่ นของหลงั คาก่อดว้ ยศลิ าแลงเชน่ กนั หลงั คา เป็นรปู ทรงโคง้ การกอ่ สรา้ งหลงั คาจะใหศ้ ลิ าแรงกดทบั กนั ซอ้ นชนั้ ขน้ึ ไป (ทพิ ยว์ รรณ วงศอ์ สั สไพบลู ย.์ 2555) ซง่ึ เป็น ความฉลาดในการก่อสรา้ งของชา่ งขอมโบราณทต่ี อ้ งไมต่ อ้ งการใชเ้ สาหรอื คาน ทงั้ ยงั ประหยดั เวลาในการก่อสรา้ งและยงั ลดตน้ ทนุ ในการผลติ อกี ดว้ ย ภาพท่ี 6 แสดงลกั ษณะการก่อหลงั คาของบรรณาลยั ก่สู นั ตรนั ต์ จ.มหาสารคาม
9 สระน้า ตงั้ อยบู่ รเิ วณดา้ นนอกของกาแพงแกว้ อยทู่ างทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ มแี ผนผงั เป็นรปู ส่เี หลย่ี มผนื ผา้ ขนาดประมาณ 14x18 เมตร ขอบสระกรดุ ว้ ยศลิ าแลงเรยี งลดหลนั่ ลงไปเป็นขนั้ บนั ไดสอบลงสกู่ น้ สระ การสรา้ งสระน้า ประจาอโรคยาศาลน้ี สนั นษิ ฐานว่าสรา้ งขน้ึ เพ่อื เกบ็ น้าไวใ้ ชเ้ พอ่ื ประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา (วโิ รจน์ ชวี าสขุ ถาวร. 2553) ภาพท่ี 7 แสดงสระน้าประจาอโรคยาศาล กแู่ กว้ จ.ขอนแกน่ โคปรุ ะ ตงั้ อยบู่ นแนวกาแพงแกว้ ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออก แผนผงั เป็นรปู กากบาท กอ่ สรา้ งดว้ นศลิ าแลง (ยกเวน้ ปราสาทเมอื งเกา่ จ.นครราชสมี า ) ภายในโคปุระแบง่ พน้ื ทอ่ี อกเป็น 3 คหู า คอื คหู าดา้ นทศิ ใต้ คหู าดา้ นทศิ เหนอื และ คหู ากลาง โคปรุ ะบางแห่งปรากฏรอ่ งรอยการสลกั ของผนงั ทใ่ี ชท้ าเป็นบ่าสาหรบั วางฝ้าเพดานทท่ี าดว้ ยไม้ โดยพบ ร่องรอยบา่ ทช่ี ดั เจน เช่น ปราสาทตาเมอื นโต๊ด จ.สรุ ินทร์ ก่คู นั ธนาม จ.ร้อยเอด็ เป็นต้น ประตทู างเขา้ อย่ทู างดา้ นทศิ ตะวนั ตกหนั หน้าเขา้ สศู่ าสนสถาน สว่ นทางดา้ นทศิ เหนอื และทศิ ใตก้ ่อเป็นประตูเลก็ ๆทต่ี ่อเป็นกระเปาะเลก็ ๆยน่ื ออกมา คหู ากลาง สนั นิษฐานว่า ในอดตี ใหเ้ ป็นหอ้ งพานกั ของฤาษี ผนงั อาคารของโคปรุ ะนยิ มกอ่ สรา้ งดว้ ยหนิ ทราย บางแหง่ มี การแกะสลกั ลวดลายเลยี นแบบซโ่ี ครงลกู มะหวด เช่น ปราสาทกงั แอน จ.สรุ นิ ทร์ เป็นตน้ สว่ นการเจาะชอ่ งหน้าต่างนนั้ ไมมกี ฎเกณฑห์ รอื แบบแผนตายตวั ในการก่อสรา้ ง ขน้ึ อย่กู บั รปู แบบการใชส้ อยหรอื จุดประสงคข์ องชา่ งในแต่ละพน้ื ท่ี (ศริ พิ นั ธ์ ตาบเพช็ ร.์ 2555) ภาพท่ี 8 แสดงซมุ้ โคปุระทก่ี อ่ สรา้ งดว้ ยหนิ ทราย ปราสาทเมอื งเก่า จ.นครราชสมี า ทม่ี า : ( พุทธศลิ ป์ อสี าน. 2561)
10 ภาพท่ี 9 แสดงซมุ้ โคปุระทก่ี อ่ สรา้ งดา้ นศลิ าแลง กแู่ กว้ จ.ขอนแกน่ กาแพงแก้ว ก่อดว้ ยศลิ าแลง มผี งั เป็นรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ขนาดประมาณ 24x33 เมตร ลกั ษณะกาแพงกอ่ บน ฐานเขยี งเตย้ี ๆ ดา้ นบนกาแพงมที บั หลงั โดยทวั่ ไปครบี มกั สลกั เป็นรปู สามเหลย่ี มเรยี งต่อกนั หรอื บางแห่งครบี มกี าร แกะสลกั เป็นประตมิ ากรรมนูนต่า เช่น พระพทุ ธรปู ปางสมาธอิ ย่ภู ายในซมุ้ เชน่ ปราสาทเมอื งเก่า จ.นครราชสมี า ปรางคก์ ู่ จ.ชยั ภมู ิ (ทพิ ยว์ รรณ วงศอ์ สั สไพบลู ย.์ 2555) ภาพท่ี 10 แสดงซมุ้ โคปรุ ะทก่ี ่อสรา้ งดา้ นศลิ าแลง ก่แู กว้ จ.ขอนแกน่ จากการศกึ ษาขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตรเ์ บอ้ื งตน้ ทาใหท้ ราบว่าการสรา้ งอโรคยาศาลนนั้ มรี ปู แบบและแผนผงั ท่ี มคี วามชดั เจนและมมี าตรฐาน ซง่ึ สนั นษิ ฐานว่าเป็นการกอ่ สรา้ งทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากสว่ นกลาง สงั เกตไดจ้ ากแผนผงั การวางตาแหน่งองคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมทงั้ 5 สว่ นมคี วามคลา้ ยคลงึ กนั ซง่ึ การกอ่ สรา้ งอโรคยาศาลน้ไี ดร้ บั อทิ ธพิ ลเชงิ ชา่ งของขอมโบราณ มกี ารผสมผสานระหวา่ งรปู แบบเกา่ และรปู แบบใหม่อยเู่ สมอ (อรณุ ศกั ดิ์ กงิ่ มณี. 2543)
11 นอกเหนือจากองคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมหลกั ทงั้ 5 สว่ นทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ แลว้ ยงั มรี ่องรอยอาคารทไ่ี ม่ ปรากฎในผงั มาตรฐานทวั่ ไป ไดแ้ ก่ \"ลานศลิ าแลงรปู กากบาท\" หรอื ในรายงานการขดุ แต่งบางฉบบั เรยี กว่า \"ชาลารปู กากบาท\" หรอื \" ชาลาทางเดนิ \" มกั นิยมสรา้ งไว้ 2 จุด คอื 1. ลานกากบาทหน้าปราสาทประธาน นิยมสรา้ งเป็นลานศลิ า แลงเช่อื มระหว่างมขุ ดา้ นหน้าทศิ ตะวนั ออกของปราสาทประธานกบั ประตูดา้ นทศิ ตะวนั ตกของโคปุระ เช่นกสู่ นั ตรตั น์ อ.นาดนู จ.มหาสารคาม กคู่ นั ธนาม อ.โพนทราย จ.รอ้ ยเอด็ กโู่ พนระฆงั อ.เกษตรวสิ ยั จ.รอ้ ยเอด็ และปรางคก์ ู่ อ.เมอื ง จ.ชยั ภมู ิ (กฤช เหลอื ลมยั . 2547) สนั นษิ ฐานไดว้ า่ ลานศลิ าแลงอาจใชส้ าหรบั ประกอบพธิ กี รรมกอ่ นเขา้ ไปยงั ปราสาท ประธาน เน่อื งจากพบหลกั ฐานหลมุ เสาทม่ี มุ ทงั้ 4 ดา้ น ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั การเจาะรอยสกดั บนหน้าบนั ของมุขปราสาท ประธาน และบรเิ วณน้ไี ดพ้ บเศษกระเบอ้ื งมมุ หลงั คาจานวนมาก (วโิ รจน์ ชวี าสขุ ถาวร. 2556) แต่หลกั ฐานทก่ี ล่าวมาน้ี ไมส่ ามารถระบุไดช้ ดั เจนว่า วตั ถุทพ่ี บเป็นหลกั ฐานในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 18 หรอื ไม่ 2.ลานกากบาทหน้าปราสาท ประธานและลานกากบาทขนาดใหญ่อย่ดู า้ นนอกโคปรุ ะ เป็นลานศลิ าแลงยน่ื ยาวออกไปนอกกาแพงแกว้ ทเ่ี ชอ่ื มจาก ประตูมขุ ดา้ นทศิ ตะวนั ออกของโคปุระและลานศลิ าแลงเชอ่ื มระหวา่ งมขุ ดา้ นหน้าทศิ ตะวนั ออกของปราสาทประธานกบั ประตูดา้ นทศิ ตะวนั ตกของโคปุระ เช่น กฎุ ฤิ าษหี นองบวั ลาย อ.ประโคนชยั จ.บุรรี มั ย์ ปราสาทตาเมอื นโต๊ด อ.พนมดงรกั จ.สรุ นิ ทร์ และก่บู า้ นเขวา อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม (ศริ พิ นั ธ์ ตาบเพช็ ร.์ 2555) สนั นษิ ฐานไดว้ า่ ลานศลิ าแลงอาจใช้ สาหรบั ประกอบพธิ กี รรมกอ่ นเขา้ ไปยงั ปราสาทประธาน แต่เพม่ิ ลานดา้ นหน้าโคปรุ ะ เพ่อื ใชเ้ ป็นลานเตรยี มการในการ ประกอบพธิ กี รรมกอ่ นเขา้ สศู่ าสนสถาน ภาพท่ี 11 แสดงผงั ลานศลิ าแลงรปู กากบาทจดุ ท1่ี กโู่ พนระฆงั จ.รอ้ ยเอด็ ทม่ี า : (ศริ พิ นั ธ์ ตาบเพช็ ร.์ 2555)
12 ภาพท่ี 12 แสดงผงั ลานศลิ าแลงรปู กากบาทจดุ ท2่ี ปราสาทตาเมอื นโต๊ด จ.สรุ นิ ทร์ ทม่ี า : (ศริ พิ นั ธ์ ตาบเพช็ ร.์ 2555) ประเดน็ คาถามทน่ี กั วชิ าการหลายคนตงั้ ขอ้ สงสยั คอื \"ลานศลิ าแลงรปู กากบาท\" จรงิ ๆแลว้ ลานศลิ าแลงน้อี าจ เป็นองคป์ ระกอบหลกั ทส่ี าคญั อกี สว่ นหน่งึ ทอ่ี โรคยาศาลจะตอ้ งมี แต่ดว้ ยความรบี เรง่ จงึ ก่อสรา้ งไม่เสรจ็ หรอื ลานศลิ า แลงน้อี าจเป็นการบรู ณะสรา้ งขน้ึ เองจากคนร่นุ หลงั (หลงั จากสมยั บายนของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 ) เพ่อื ประโยชน์ใชส้ อย อะไรบางอย่าง ในบทความนจ้ี งึ ขอวเิ คราะหจ์ ากหลกั ฐานขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตร์ หลกั ฐานทางโบราณคดี และจากการ ตงั้ ขอ้ สมมุตฐิ านของทงั้ ทงั้ นกั วชิ าการ ถงึ ประเดน็ คาถามขอ้ สงสยั ดงั น้ี 1. ลานศลิ าแลงรปู กากบาทอาจเป็นองคป์ ระกอบหลกั ของอโรคยาศาล หากมองเรอ่ื งการใชป้ ระโยชน์ใชส้ อย ลานศลิ าแลงน้ตี อบโจทยถ์ งึ ประโยชน์ใชส้ อยไดเ้ ป็นอยา่ งดี โดยนกั วชิ าการสว่ นใหญ่สนั นิษฐานวา่ ลานศลิ าแลงอาจใช้ สาหรบั ประกอบพธิ กี รรมกอ่ นเขา้ ไปยงั ปราสาทประธาน เน่อื งจากพบหลกั ฐานหลุมเสาทม่ี ุมทงั้ 4 ดา้ น ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั การเจาะรอยสกดั บนหน้าบนั ของมขุ ปราสาทประธาน และบรเิ วณน้ไี ดพ้ บเศษกระเบอ้ื งมมุ หลงั คาจานวนมาก (วโิ รจน์ ชวี าสขุ ถาวร. 2556) หรอื เป็นการแกไ้ ขปัญหาของชา่ งในทอ้ งถนิ่ ในการขน้ึ ลงบนั ได เพอ่ื ใหง้ า่ ยต่อการเดนิ และงา่ ยต่อ การใชง้ าน ดว้ ยปัจจยั ในเร่อื งกาลงั พล เสบยี งอาหารทม่ี จี ากดั ทาใหก้ ารกอ่ สรา้ งทต่ี อ้ งการทาดว้ ยความรบี เรง่ จงึ ทาเหน็ รอ่ งรอยการขาดหายของลานศาลาแลงบางสว่ น หากมกี าลงั พลและเสบยี งมากพอ อาจทาใหช้ ่างในสมยั นนั้ ไม่ตอ้ ง ก่อสรา้ งดว้ ยความรบี เรง่ อโรคยาศาลในสมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 อาจจะมคี วามสมบรู ณ์มากยง่ิ ขน้ึ 2. ลานศลิ าแลงรปู กากบาทอาจเป็นการบรู ณะสรา้ งขน้ึ เองจากคนรุ่นหลงั กล่าวคอื เป็นการไขปัญหาของผใู้ ช้ สอยหลกั เน่อื งจากอโรคยาศาลเป็นศาสนสถาน มไี วใ้ หป้ ระชาชนสกั การบชู า กราบไหว้ จากพธิ กี รรมความเช่อื ยงั คงสบื ทอดต่อกนั มาเป็นเวลานาน สนั นษิ ฐานวา่ อาจมกี ารคดิ พฒั นาในการก่อสรา้ งลานศลิ าแลงน้ีเพมิ่ เตมิ เพ่อื ใชใ้ นการ ประกอบพธิ กี รรมและใชเ้ ป็นทางเดนิ เช่อื มระหวา่ งโคปรุ ะไปยงั ปราสาทประธาน
13 ภาพท่ี 13 แสดงลานศลิ าแลงรปู กากบาท ก่สู นั ตรตั น์ จ.มหาสารคาม ภาพท่ี 14 แสดงลานศลิ าแลงรปู กากบาท ปราสาทตาเมอื นโต๊ด จ.บุรรี มั ย์
14 บทสรปุ จากการศกึ ษาพบวา่ รอ่ งรอย \"ลานศลิ าแลงรปู กากบาท\" อโรคยาศาลในอสี าน สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ การไดร้ บั อทิ ธพิ ลของขอมโบราณทแ่ี พร่กระจายเขา้ มาในภาคอสี าน สนั นิษฐานวา่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 16-18 โดย ไดพ้ บหลกั ฐานทางโบราณคดหี ลายแห่งทป่ี รากฏร่องรอย \"ลานศลิ าแลงรปู กากบาท\" น่าจะมอี ายุในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 16-18 เช่น ปราสาทหนิ พมิ าย ปราสาทพนมวนั จ.นครราชสมี า ปราสาทหนิ พนมรงุ้ ปราสาทเมอื งต่า จ.บรุ รี มั ย์ เป็นตน้ ทงั้ หมดทก่ี ลา่ วมาน้ไี ดต้ งั้ อย่บู นพน้ื ฐานความเชอ่ื ของศาสนาฮนิ ดู ต่อมาพุทธศตวรรษท่ี 18 โดยเฉพาะสมยั พระเจา้ ชยั วร มนั ท่ี 7 อทิ ธพิ ลของขอมไดแ้ พร่กระจายเขา้ มาอกี ครงั้ หน่งึ ทาใหใ้ นสมยั น้ยี งั คงคตคิ วามเชอ่ื แบบเดมิ ในการกอ่ สรา้ ง ปราสาทอยู่ รวมไปถงึ การสรา้ งลานศลิ าแลงรปู กากบาทดว้ ย หากจะแตกต่างกนั ทก่ี ารนบั ถอื ศาสนาเทา่ นนั้ ต่อมา พระองคไ์ ดห้ นั มานบั ถอื พทุ ธศาสนาลทั ธมิ หายานเป็นหลกั มชี อ่ื ตามรปู แบบศลิ ปะว่า \" สมยั บายน \" ขอ้ มลู จารกึ จาก ปราสาทพระขรรค์ และจารกึ ปราสาทตาพรหม กลา่ วไวว้ ่า พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 โปรดใหส้ รา้ งพระชยั พทุ ธมหานาถอนั เป็นพระพุทธรปู ฉลองพระองคไ์ ปไวใ้ นวหิ ารทต่ี ่างๆ จานวน 23 แหง่ และกลา่ วถงึ การสรา้ งธรรมศาลา จานวน 17 แหง่ บนเสน้ ทางจากเมอื งพระนครหลวงไปยงั เมอื งวมิ ายปุระ หลกั จากนนั้ พระองคไ์ ดท้ รงโปรดใหส้ รา้ งอโรคยาศาล จานวน 102 แห่ง ทวั่ เขตราชอาณาจกั รของพระองค์ ซง่ึ ปัจจุบนั เราไดค้ น้ พบอโรคยาศาลในประเทศไทย จานวน 31 แหง่ โดย รอ่ ยรอยลานศลิ าแลงรปู กากบาท ดงั น้ี 1. ลานกากบาทหน้าปราสาทประธาน เช่น กสู่ นั ตรตั น์ อ.นาดนู จ.มหาสารคาม ก่คู นั ธนาม อ.โพนทราย จ.รอ้ ยเอด็ กโู่ พนระฆงั อ.เกษตรวสิ ยั จ.รอ้ ยเอด็ และปรางคก์ ู่ อ.เมอื ง จ.ชยั ภมู ิ 2.ลานกากบาทหน้าปราสาทประธานและลานกากบาทขนาดใหญ่อย่ดู า้ นนอกโคปรุ ะ เชน่ กฎุ ฤิ าษหี นองบวั ลาย อ.ประ โคนชยั จ.บรุ รี มั ย์ ปราสาทตาเมอื นโต๊ด อ.พนมดงรกั จ.สรุ นิ ทร์ และก่บู า้ นเขวา อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม หลงั จากสน้ิ สดุ รชั สมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 กไ็ มพ่ บจารกึ ทแ่ี สดงถงึ อานาจของราชอาณาจกั รขอมในประเทศไทยอกี เน่อื งจาก สนั นษิ ฐานว่าอาณาจกั รของเสอ่ื มอานาจลง และไดถ้ ูกสยามตเี มอื งในทส่ี ดุ และสนั นิษฐานวา่ \"อโรคยาศาล\" เป็นศาสน สถานชน้ิ สดุ ทา้ ยของพระองค์ ดงั นนั้ ลานศลิ าแลงรปู กากบาทของอโรคยาศาลในอสี านอาจเป็นองคป์ ระกอบหลกั ของอโรคยาศาล หรอื อาจ เป็นการบรู ณะสรา้ งขน้ึ เองจากคนร่นุ หลงั หากมองเร่อื งการใชป้ ระโยชน์ใชส้ อย ลานศลิ าแลงน้ตี อบโจทยถ์ งึ ประโยชน์ใช้ สอยไดเ้ ป็นอยา่ งดี ไมว่ า่ จะเป็นการแกไ้ ขปัญหาของชา่ งในทอ้ งถนิ่ ในการขน้ึ ลงบนั ได เพ่อื ใหง้ ่ายต่อการเดนิ และง่ายต่อ การใชง้ าน หรอื เพ่อื ใชป้ ระกอบพธิ กี รรมต่างๆก่อนเขา้ มายงั ปราสาทประธาน แต่ดว้ ยการกอ่ สรา้ งอโรคยาศาลเป็นไป ดว้ ยความรบี เรง่ ดว้ ยปัจจยั ในเร่อื งกาลงั พล เสบยี งอาหารทม่ี กี ากดั ทาใหอ้ โรคยาศาลบางแห่งไม่ปรากฏรอ่ งรอยของ ลานศลิ าแลงรปู กากบาท หากมกี าลงั พลและเสบยี งมากพอ อาจทาใหช้ ่างในสมยั นนั้ ไม่ตอ้ งกอ่ สรา้ งดว้ ยความรบี เร่ง อโรคยาศาลในสมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 อาจจะมคี วามสมบรู ณ์มากยงิ่ ขน้ึ
15 เอกสารอ้างอิง กฤช เหลอื ลมยั . (2547). อโรคยาศาลในอีสาน. วารสารเมอื งโบราณ ปีท่ี 30 ฉบบั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ. ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ.์ กติ นิ นั ท์ ชว่ ยคงทอง. (2553). หลกั ฐานใหมจ่ ากอโรคยาศาลปราสาทสระกาแพงน้อย. วารสารเมอื งโบราณ ปีท่ี 36 ฉบบั ท่ี 4. กรุงเทพฯ. ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ.์ ทพิ ยว์ รรณ วงศอ์ สั สไพบลู ย.์ (2555). การศึกษารอ่ งรอยของบ้านเมอื งโบราณบริเวณใกลเ้ คียงศาสนสถาน ประจาโรงพยาบาลสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 ในเขตจงั หวดั นครราชสีมา สุรินทร์ และบรุ รี มั ย.์ วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ . สาขาวชิ าโบราณคดสี มยั ประวตั ศิ าสตร์ ภาควชิ าโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. กรงุ เทพฯ. ทางอสี าน. (2556). ประวตั ิศาสตรอ์ ีสาน - ลา้ นช้าง. สบื คน้ เมอ่ื 4 พฤศจกิ ายน พ.ศ 2561, จาก http://e-shann.com/?p=4989 นิยม วงศพ์ งษ์คา. (2545). ปราสาทขอมหายไปไหน เขมรทาลายหรอื ใครกนั แน่. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ปีท่ี 26 ฉบบั ท่ี 3 ธนั วาคม 2545 - กุมภาพนั ธ์ 2546. ขอนแกน่ . พทุ ธศลิ ป์ อสี าน. (2561). ปราสาทเมอื งเกา่ . สบื คน้ เมอ่ื 8 พฤศจกิ ายน พ.ศ 2561, จาก http://isan.tiewrussia.com/khom/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA %E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B 8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%B2/ รณสทิ ธ์ แสงสวุ อ. (2521). ประวตั ิศาสตรแ์ ละโบราณคดีอีสาน. กรงุ เทพฯ. เรอื นแกว้ การพมิ พ.์ ร่งุ โรจน์ ธรรมรุ่งเรอื ง. (2547). ปราสาทขอมในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ. มตชิ น. วโิ รจน์ ชวี าสขุ ถาวร. (2553). ก่สู นั ตรตั น์ อโรคยาศาลแห่งหนึ่งในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ. วารสารสงั คมลุม่ น้าโขง ปีท6่ี ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - เมษายน 2553. มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. วโิ รจน์ ชวี าสขุ ถาวร. (2556). การสนั นิษฐานรปู แบบสถาปัตยกรรมศาสนสถานประจาอโรคยาศาล (โรงพยาบาล) ในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 กรณีศกึ ษาก่สู นั ตรตั น์ จ.มหาสารคาม. บทความวชิ าการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผงั เมอื งและนฤมติ ศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ศริ พิ นั ธ์ ตาบเพช็ ร.์ (2555). ทาเนียบอโรคยาศาลในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ. สมาพนั ธ์ จากดั . สยาม กง่ิ เมอื งเก่า. (2558). อโรคยาศาล : ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อในจงั หวดั ขอนแก่น. วทิ ยานิพนธปรญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ . สาขาวชิ าวจิ ยั ศลิ ปะและวฒั นธรรมมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . ขอนแก่น. อรณุ ศกั ดิ์ กง่ิ มณ.ี (2543). ตามหารอ่ งรอยขอมและมอญในมหาสารคาม. สถาบนั ราชภฏั มหาสารคาม. ศริ ภิ ณั ฑ์ ออฟเซท็ .
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: