ความงดงามและการสร้างคุณค่าของผ้าซิ่นทอมอื เอกลกั ษณ์เมอื งน่าน พศิ ณภุ งศ์ ศรีศากยวรางกรู * บทนา “ผา้ ซิ่น ผา้ ทอ” อนั เป็นเอกลกั ษณ์คบู่ า้ นคเู่มอื งนา่ นมาชา้ นา่ น ซ่งึ เมอื งนา่ นหรือนันทบุรีศรีนครนา่ น น้ันมคี วามเป็นมาอนั ยาวนานวิวฒั นาการมาจนถงึ ปัจจุบนั ในทา่ มกลางการอพยพของหลากหลายชาติพนั ธุ์ มาอาศยั อยรู่ ว่ มกนั มกี ารปฏสิ มั พนั ธ์กนั เกดิ การผสมผสานดา้ นวฒั นธรรม ที่ถา่ ยทอดออกมาเป็นงานฝี มอื อยา่ งผา้ ซ่ินทอมอื ที่เป็นสญั ลกั ษณส์ าคญั ท่ีอยูค่ กู่ บั เมืองนา่ นมาชา้ นาน ถงึ กาลเวลาจะเปล่ยี นไป แตย่ งั คง ความเป็นอตั ลกั ษณ์และเอกลกั ษณไ์ วใ้ ห้เราไดเ้ ห็นและศึกษา นบั วา่ นา่ นเป็นเมอื งทขี่ ้ึนชื่อในเรื่องของ วฒั นธรรม ซ่งึ ปัจจุบนั เมอื งนา่ นเป็นอกี จงั หวดั หน่ึงทางภาคเหนือท่ีมีความสวยงามทางธรรมชาติทา่ มกลาง หุบเขาและมธี รรมชาติทส่ี วยงามเป็นจุดทน่ี า่ สนใจ และยงั มคี วามโดดเดน่ ในเร่ืองของศลิ ปะ วฒั นธรรม วถิ ี ชีวติ ประเพณี ท้งั งานศิลป์ จิตรกรรม ประตมิ ากรรม การแสดง สิ่งปลกู สร้าง ตลอดถึงการจดั การสงั คม ชมุ ชน รวมทง้ั ความงดงาม ของวถิ ีชวี ติ ผคู้ นและชมุ ชนบนพื้นฐานทางวฒั นธรรมท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ ทแี่ ฝงไป ดว้ ยคณุ คา่ และแฝงไปดว้ ยความหมาย และหน่ึงในเอกลกั ษณข์ องจงั หวดั นา่ นที่ปรากฏและสืบทอดมาควบคู่ กบั ความเจริญรุง่ เรืองทางวฒั นธรรม ที่เป็นสัญลกั ษณอ์ นั บง่ บอกถงึ ความเป็นเอกลกั ษณ์ของจงั หวดั นา่ นอีก อยา่ งหน่ึง “ผา้ ซน่ิ ทอมอื ” ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีแสดงให้เห็นถึง เอกลกั ษณด์ า้ นศาสตร์และศลิ ป์ ท่แี สดงออกบนผนื ผา้
ทอ อนั เป็นภมู ปิ ัญญาของคนทอ้ งถิ่นท่สี ืบทอดกนั มาจากรุน่ สูร่ ุน่ จนถึงปัจจุบนั ท่ีคนโบราณสอดแทรกความ งดงาม ความหมาย ทส่ี ามารถ บง่ บอกไดท้ ้งั สถานะและชนเผา่ ซ่งึ ปัจจุบนั กไ็ ดร้ บั การฟ้ืนฟูจนเป็นทนี่ ิยม อยา่ งแพรห่ ลาย ถงึ แมว้ า่ การสวมใสใ่ นปัจจุบนั จะตา่ งเหตุผลและวาระซ่ึงผา้ ซ่ินเมอื งนา่ นกล็ ้วนแตม่ ี ความหมายและล้าคา่ ทุกผืน ทา่ มกลางกาลเวลาท่เี ปลยี่ นผา่ น แตช่ าวเมอื งนา่ นยงั รักษาเอกลกั ษณผ์ า้ ทอไวม้ ามาจนถึงยุคปัจจุบนั นับวา่ เป็นศิลปะการทอผา้ ของเมอื งนา่ นน้นั มคี วามสาคญั และมบี ทบาทในการเป็นส่ือแทนสัญลกั ษณ์ของ วฒั นธรรมวถิ ชี ีวติ ความเป็นอยู่ และสังเกตไดจ้ ากภาพจิตรกรรมฝาผนงั ที่ หนานบวั ผนั ไดถ้ า่ ยทอดผา่ นภาพ ไว้และชา่ งทอผา้ ยงั สามารถจดจาและนามาแกะลวดลายข้นึ ผสมผสานถา่ ยทอดบนผา้ ทอมอื กลายเป็นผา้ ที่ล้า คา่ นบั วา่ ผา้ ซนิ่ และผา้ ทอเมอื งนา่ นน้ันมคี วามสาคญั อยา่ งมากตอ่ วิถีชวี ติ ของคนชาวเมอื งนา่ น เป็นตวั กลาง ในสื่อสารผา่ นเอกลกั ษณแ์ ละลวดลายบนผืนที่ ทท่ี าผคู้ นเขา้ ใจใน ความเป็นมา วฒั นธรรม ประเพณี วถิ กี าร ดาเนินชีวติ รวมถงึ สภาพแวดลอ้ ม ท่ีทกุ คนเห็นความสาคญั และมีความสนใจ เป็นทร่ี ูจ้ กั ในความเป็น เอกลกั ษณ์ของผา้ ซ่นิ หรือผา้ ทอเมอื งนา่ น โดยทีเ่ หตุผลอะไรเป็นส่ิงทที่ าใหผ้ คู้ นเห็นคณุ คา่ ความหมายและ ความสาคญั ของผา้ ซ่ินเมอื งนา่ น และเหตุผลจากสิ่งใดที่สรา้ งและกระตนุ้ ใหเ้ กดิ คณุ คา่ บนผนื ผา้ ซิ่นเมืองนา่ น มกี ระบวนการสรา้ งคณุ คา่ อยา่ งที่ทาผา้ ซนิ่ หรือผา้ ทอเมอื งนา่ น ยงั คงเสนห่ ์ เป็นทน่ี ิยมและตอ้ งการ ครอบครองท้งั ในเมอื งนา่ น จนแพรห่ ลายไปทวั่ ประเทศและตา่ งประเทศ
องค์ความรู้ผ้าทอและผ้าซน่ิ เมอื งน่าน เมอื งนา่ น มคี วามเป็นมาและประวตั ิศาสตร์อนั ยาวนาน โดยการรวมกลุม่ ตัวกนั ของกลุม่ ชน “กาว” ซ่ึงถือไดว้ า่ เป็นกลุม่ ชนพนื้ เมอื งดง้ั เดิม ต้งั แตป่ ลายพทุ ธศตวรรษท่ี 18 ตอ่ กบั ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ 19 ไดพ้ ากนั สร้างหลกั ฐานบา้ นเรือนในบริเวณทร่ี าบลุม่ แมน้ านา่ นตอนบน และมกี ารพฒั นาการอยา่ งชา้ ๆ เร่ือยมา จนมี ความเจริญและขยายเมอื งลงมาทางทศิ ใตต้ ดิ กบั แมน่ ้านา่ น โดยเรียกชอื่ “เมอื งนา่ น”อนั เป็นชอื่ เรียกตาม แมน่ ้า(สรัสวดี อ๋องสกลุ , 2555: 111) ตลอดระยะเวลา 600 ปี เรื่องราวประวตั ศิ าสตร์เมอื งนา่ นน้ันไดแ้ สดงให้ เห็น ถงึ การอพยพโยกยา้ ยถนิ่ ฐานเขา้ มาของกลุม่ ชาติพนั ธุ์ตา่ งๆการคา้ ขาย การศกึ สงคราม ความสัมพนั ธ์ทาง เครือญาติ รวมทง้ั การสืบทอดพระพทุ ธศาสนา (ทรงศกั ดิ ปรางคว์ ฒั นากลุ และแพทรีเซยี ซีแมน, 2531: 10- 12) ซ่งึ กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์เหลา่ น้ีไดน้ าเอาอตั ลกั ษณท์ างวฒั นธรรมของตนเองเขา้ มาสูเ่ มอื งนา่ น มกี ารผสมผสาน แลกเปลีย่ นทางวฒั นธรรมจนเกดิ เป็นรูปแบบ “วฒั นธรรมเมอื งนา่ น” (ทรงศกั ดิ ปรางค์วฒั นากลุ ,2530) การ เคล่ือนตวั อพยพเขา้ มาของกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์ ไทตา่ งๆ ในอดีต โดยเฉพาะกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุไทยลื้อ และไทยวน ของ เมอื งนา่ น อาศยั อยบู่ นพ้นื ทรี่ าบลมุ่ รู้จกั การสร้างภมู ปิ ัญญา การทาฝาย และทานาดา (สรัสวดี อ๋องสกลุ , 2555: 47) ” และเป็นกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ทม่ี วี ถิ ชี ีวติ อนั เป็นเอกลกั ษณ์และมลี กั ษณะทางวฒั นธรรมเป็นของตนเอง โดยเฉพาะวฒั นธรรมในดา้ นการทอผา้ ” (เรณูเหมอื นจนั ทร์เชย, 2548: 6-7) ซ่งึ มวี ธิ ีการและรูปแบบอนั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงเป็นอตั ลกั ษณข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ รวมถงึ สะทอ้ น ความเป็นมา วถิ ีชีวติ สงั คมและ วฒั นธรรม ที่เกดิ การผสมผสานและมคี วามสัมพนั ธ์ท่ีเกย่ี วเนื่องกนั จนหลอ่ หลอมให้เกดิ วฒั นธรรม “การ ทอผา้ ”ระหวา่ งสองกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์น้ีข้นึ จนเกดิ เอกลกั ษณก์ ารทอผา้ แบบเฉพาะวฒั นธรรมเมอื งนา่ น (ทรง ศกั ดิ ปรางค์วฒั นากลุ , 2559) ดว้ ยความหลากหลายทางวฒั นธรรมที่มารวมกนั ของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุตา่ งๆและได้มกี ารปฏสิ ัมพนั ธ์ แลกเปลย่ี นเรียนรู้ซ่งึ กนั และกนั จนเกดิ ความกลมกลืนทางวฒั นธรรม มวี ถิ ีการดารงชวี ติ อยูร่ ว่ มกนั ชาวนา่ นมี ขนบธรรมเนียม ประเพณี วฒั นธรรม ความเช่ือ และศาสนาเป็นของตนเอง ถงึ แมว้ า่ ในปัจจุบนั จะมกี าร ปรับตวั ไปตามวถิ ีของโลก แตว่ ฒั นธรรมประเพณีทเี่ กา่ แกบ่ างอยา่ ง อนั สืบทอดมาแตอ่ ดีตยงั คงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องเกย่ี วกบั ความเช่ือพื้น ฐานของชวี ติ ไดแ้ ก ่ ความเชอื่ ในพทุ ธศาสนาและ ความเชื่อในการนบั ถอื ผี (มณี พยอมยงค์, 2527: 27) ทง้ั ยงั มลี กั ษณะการดารงชวี ติ อยแู่ บบสงั คมเกษตรกรรม มกี ารสร้างท่อี ยู่ อาศยั อยรู่ ว่ มกนั สามารถผลิตปัจจยั ส่ีไดเ้ อง เพอื่ ใชเ้ ป็นอาหาร มกี ารใชย้ ารกั ษาโรคจาก ปลูกพืชสมนุ ไพร เพื่อรักษาโรค และมกี ารผลิตเครื่องนุง่ หม่
จากเหตุผลประวตั ิศาสตร์ ของเมอื งนา่ นขา้ งตน้ เมอื่ หลากหลายชาตพิ นั ธุ์มาอาศยั อยูร่ ว่ มกนั มวี ถิ ี ชีวติ ความเป็นอยู่ ตามพ้ืนถนิ่ ธรรมชาตเิ ดียวกนั มกี ารแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ปฏสิ ัมพนั ธ์กนั มกี ารผสมผสาน กลมกลนื วฒั นธรรมซ่งึ กนั และกนั มกี จิ กรรมความเป็นอยูท่ ่เี ก้อื กลู อาศยั กนั มกี ารประดิษฐ์คดิ คน้ ส่ิงของ เครื่องใชต้ า่ งๆกอ่ เกดิ ภมู ปิ ัญญา และความคิดสร้างสรรค์ ในการสรา้ งสิ่งของเพอื่ อานวยความสะดวก ตลอด ถงึ เครื่องนุง่ หม่ เพอื่ ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั สตรีเมอื งชาวนา่ นมกี ารทอผ้าถุงเพื่อสวมใส่ ในเบ้อื งตน้ น้ันเป็น เพยี งสีพน้ื ไมม่ ลี วดลายหรือสีสันมากมายเป็นเพียงสีท่ีไดจ้ ากธรรมชาติ ตอ่ มาเพอื่ ความสวยงามแกก่ ารท่ีจะ นาไปใชส้ อยและแสดงถึงความรูค้ วามสามารถ จงึ มกี ารคิดคน้ ลวดลาย สีสันตา่ งๆ จนนาไปสูก่ ารเป็นเกดิ “เอกลกั ษณ์ลายผา้ เมอื งนา่ น” ดว้ ยเหตุผลดงั กลา่ ว เมอ่ื สตรีชาวนา่ น ไดม้ โี อกาสไดเ้ ห็นภาพจติ รกรรมฝาผนัง เร่ืองราวตามชาดก และพทุ ธประวตั ิ การไดเ้ ขา้ วดั ฟังธรรม ฟังเรื่องราวของสัตวต์ า่ งๆในป่าหิมพานต์ และ เมอ่ื ศรัทธาคณะสตรีไดฟ้ ังเชน่ น้นั จึงไดเ้ กบ็ รวบรวมองคค์ วามรู้ทต่ี นได้มโี อกาสพบเห็นได้ยินไดฟ้ ัง และได้ จดจานามาแปลความเหลา่ น้ี ถา่ ยทอดลงบนผนื ผา้ ดว้ ยกระบวนการทอผา้ ตามความถนัดและเทคนิคของตน เป็นลวดลายในงานหตั ถกรรม สิ่งทอตา่ งๆทง้ั เป็นลายปราสาท ลายนก ลายหงส์ เป็นตน้ และดว้ ยสภาพสังคม ทีม่ ลี กั ษณะรว่ มทางวฒั นธรรมทน่ี บั ถอื พระพุทธศาสนารว่ มกนั ของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุในเมอื งนา่ นน้ีเอง ทาให้ ลวดลาย สี บนผนื ผา้ มลี กั ษณะและรูปแบบท่ีคล้ายกนั ถึงแมว้ า่ ผา้ ทอเมอื งนา่ นจะมกี ารแบง่ หน้าท่ีการใช้ สอยอยา่ งชดั เจน แตล่ วดลายบนผืนผา้ ไมไ่ ด้มหี นา้ ที่ใชส้ อยทางความเชือ่ จากหลกั ฐานตา่ งๆผา้ โบราณสามารถพบเห็นสามารถพบเห็นวา่ มกี ารทอลวดลายนกในผา้ ตนี จก เมอื งนา่ น รวมทง้ั การทอลวดลายตา่ งๆที่ผสมผสานแฝงลงบนผืนผา้ มกี ารถา่ ยทอดและสอดแทรกเอาส่ิงตา่ งๆ ท้งั วถิ ชี วี ติ ส่ิงแวดลอ้ มลงบนผนื ผา้ ดว้ ย เชน่ การทอลวดลายดอกไมต้ า่ งๆ ตน้ ไมร้ ูปแบบตา่ งๆ ในผา้ เช็ด (ผา้ พาดบา่ ) ผา้ หลบ (ผา้ ปทู ่นี อน) ผา้ ตมุ้ (ผา้ หม่ ) หรือแมแ้ ตก่ ารทอท่เี อาตน้ แบบจากสายแมน่ ้า มาเป็นลวดลายน้า ไหลหรือลายเกาะลว้ ง บนผา้ ซนิ่ เชยี งแสนสามดูก ลวดลายผา้ เมอื งนา่ นจะเลียนแบบจากธรรมชาติ และลาย เรขาคณิต ซ่งึ ลกั ษณะการทอจะแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท 1) ลายลว้ ง หมายถงึ ผา้ ลายในเนื้อเกดิ จากการใชม้ อื จบั เส้นดา้ ย หรือไหมตา่ งสีสอด (ลว้ ง) ให้เกดิ ลายท่ีตอ้ งการขณะที่ทอ มชี ่อื ลายเรียกตา่ งกนั ออกไป เชน่ ลายใบมดี ลายน้าไหล ลายดอกไม้ ลายธาตุ ลายปู และลายจรวดทีพ่ ฒั นาข้ึนในระยะหลงั เป็นตน้ 2) ลายเกบ็ มกุ มวี ธิ ีทอที่สลบั ซบั ซอ้ นกวา่ ลายธรรมดา คลา้ ยวธิ ีท่ที าลายขดิ ภาคอิสาน ชา่ งทอจะเกบ็ ลายที่ตอ้ งการไวก้ อ่ นดว้ ยไมต้ า่ งขนาด คลา้ ยกบั การสานเส่ือ เมอื่ ถงึ เวลาทอจงึ ใชเ้ สน้ ดา้ ยพงุ่ ไปแทนทไ่ี มเ้ก็บ มกุ ทเ่ี กบ็ ลายไว้ ลวดลายมหี ลายชนิดดว้ ยกนั คอื ลายดอกไม้ เชน่ ลายดอกจนั ทร์แปดกลีบ ดอกแกว้ ดอก มะเฟือง ดอกกหุ ลาบ ดอกหมาก ดอกเปา (เตง็ รัง) ผกั กดู และขา้ วลีบ ฯลฯ ลายของใช้ เชน่ ลายโดม ผาสาท
(ปราสาท)ลายสตั ว์ เชน่ ลายนก นกกนิ น้าตน้ (คณโฑ) พญานาค นาคชน นาคหวนั (กระหวดั ) ชา้ ง ชา้ งตา่ งมา้ มา้ ตา่ งหงส์ กระตา่ ย ฯลฯ ลายเรขาคณิต เชน่ ลายเส้นตรง ลายเหลย่ี ม ส่ีเหลี่ยมผนื ผา้ ส่ีเหล่ยี มขนมเปียกปูน ขอน้อย ขอลวง ขอเหลียว ฯลฯ ลายอืน่ ๆ เชน่ ลายกาบ กาบหลวง กาบซอ้ น เข้ียวหมา (ลายยอด) รวมทง้ั ลาย ลื้อชนิดตา่ งๆ 3) ลายคาดกา่ น วธิ ีทาคลา้ ยกบั “มดั หมอี่ สิ าน” คอื มดั ยอ้ มลายทต่ี อ้ งการอยา่ งงา่ ยๆ ดว้ ยเชอื กกลว้ ย ลวดลายที่สาคญั ไดแ้ ก ่ ลายกา่ นแบบด้งั เดิม คาดกา่ นน้าไหล และคาดกา่ นชนิดลายประดิษฐ์ ฯลฯ จากลวดลายตา่ งๆทชี่ า่ งทอไดร้ ับการสืบทอดจากโบราณ ท้งั จากการประดษิ ฐ์คิดคน้ และประยกุ ต์ ลวดลายและสีสัน ลงบนผืนผา้ ตลอดถงึ ข้นั ตอนและวธิ ีการทา การรวมเอาลวดลายตา่ งๆมาผสมผสานจดั วาง รวมกนั ให้กลมกลนื ลงบนผนื ผา้ ไดแ้ สดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของเมอื งนา่ นใน ขณะน้ัน ท่ีเหลา่ ชา่ งทอผา้ ไดเ้ ห็นไดส้ ัมผสั รับรู้มาถา่ ยทอดไดอ้ ยา่ งชดั เจน อาทเิ ชน่ ลายดอกแกว้ แทนดอกแกว้ ความหมายของลายคอื ดอกไมม้ งคล ลายบวั ควา่ บวั หงาย แทนดอกบวั ความหมายของลายคือ ส่ิงเกา่ และส่ิงใหม ่
ลายน้าไหล แทนสายน้า แมน่ ้า ความหมายของลายคือ สายน้าและความราบรื่นจากอุปสรรค ลายดาวลอ้ มเดือน แทนดวงดาว และเดือน ความหมายของลายคอื ทอ้ งฟ้าและดวงดาว และ ลายหยอ่ มตีนหมา แทนรอยเทา้ หมา ความหมายของลาย คือ แทนความสัตย์ซ่ือ เป็นตน้
เห็นไดจ้ ากลวดลายตา่ งๆเหลา่ น้ีที่มกี ารประดษิ ฐ์คิดคน้ มาเพ่อื ผสมผสานถกั ทอลงบนผนื นอกจาก จะมองดูสวยงามตามสุนทรียแ์ ล้วยงั แฝงไปดว้ ยคติความ เชอื่ เร่ือง “มงคล” ในตวั ลายทท่ี อ ลงบทผืนผา้ เมอื ง นา่ นเกอื บทุก ชนิดในทุกอาเภอ (นาวนิ ปัญญาหาญ, 2551: 42-45) โดยทล่ี ายผา้ ทอเมอื งนา่ นน้นั ไดร้ ับมาจาก หลายกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุที่มาอาศยั อยูร่ วมในเมอื งนา่ น จึงทาให้เกดิ เป็นลวดลายทห่ี ลากหลาย โดย ลวดลายของผา้ ทอหรือผา้ ซิ่นโดยแบง่ ตามรูปแบบได้ 7แบบ ไดแ้ ก ่ซ่ินลายน้าไหล ซนิ่ มา่ น ซิ่นคาเคบิ ซ่นิ ปอ้ ง ซ่ินคาดกา่ น ซน่ิ เชยี งแสน ซิ่นล้อื โดยซ่ินแตล่ ะแบบกม็ คี วามแตกตา่ งของลวดลายในแตกละพื้นที่ ดงั น้ี 1.ซ่นิ ลายน้าไหล ผา้ ทอเป็นเอกลกั ษณ์ของชาวไทล้ือ สาเหตุท่เี รียกชือ่ วา่ ผา้ ทอลายน้าไหล เพราะ ลวดลายบนพื้นผา้ มลี กั ษณะเหมอื นสายน้าไหล ซ่ินลายน้าไหลแบบไทล้ือเป็นลวดลายท่ีควรคา่ แกก่ าร อนุรกั ษ์อยา่ งย่ิง และปัจจุบนั มกี ารพฒั นาลวดลายตา่ งๆ เพ่มิ ข้นึ อกี มาก แตย่ งั คงเรียกช่อื เดิมวา่ ผา้ ลายน้าไหล เชน่ เดิม ถอื เป็นการขยายพ้ืนท่แี วดวงการทอผา้ ใหก้ วา้ งข้ึน 2.ซ่ินมา่ น เอกลกั ษณข์ องซ่ินมา่ น คอื ความถห่ี า่ งของระยะชอ่ งไฟแนวนอนไมเ่ทา่ กนั ใหญบ่ า้ งเล็ก บา้ งสลบั กนั ไป ซ่งึ จะงดงามดว้ ยการจดั โครงสร้างสีใหส้ ลับกนั อยา่ งกลมกลืน สีทนี่ ิยมเลือกใชจ้ นเป็น เอกลกั ษณข์ องซิ่น คอื สีชมพแู ละสีน้าเงินหรือภาษาพืน้ เมอื งเรียกวา่ “การจด๊ั ออนจดั๊ แล” หมายถงึ ความ เดน่ ชดั ของสีชมพแู ละสีน้าเงินมกั นิยมสวมใสใ่ นงานพิธีสาคญั เชน่ การฟ้อนลอ่ งนา่ น เป็นตน้ 3.ซน่ิ คาเคิบ ผา้ ซิ่นคาเคบิ คือสุดยอดของซิน่ เมอื งนา่ นในอดตี เป็นซิ่นทใี่ ชเ้ ฉพาะในราชสานกั เจา้ ผู้ ครองนครนา่ นเทา่ น้ัน มลี กั ษณะสงา่ งาม ดว้ ยศิลปะการทอทใ่ี ชเ้ สน้ ทองหรือเส้นเงินเป็นเสน้ พมุ่ ในการทอ ประกอบลวดลายละเอยี ด เชน่ เกบ็ ขิดขนาดเลก็ และเชิงซิ่นมกั ตอ่ ดว้ ยตีนจก ซ่ินคาเคบิ มที ง้ั “เคิบไหมคา” และ “เคบิ ไหมเงิน” เป็นซิ่นท่มี รี าคาสูง เป็นทน่ี ิยมของคนท่ีชอบเกบ็ สะสมผา้ 4.ซน่ิ ปอ้ งโครงสร้างโดดเดน่ ของซนิ่ ประเภทน้ี คือการวางชอ่ งไฟแนวนอนมรี ะยะสมา่ เสมอกนั ตลอดทง้ั ผืน อาจมกี ารทอลายมกุ สลบั บา้ ง แตเ่มอื่ มองโดยรวมจะเห็นความเป็นระเบียบของชอ่ งไฟ ซ่งึ ดูเป็น ความงดงามทมี่ แี บบแผน ผา้ ซน่ิ ป้องปัจจบุ นั นิยมสวมใสใ่ นงานพิธีสาคญั ตา่ งๆ ทใี่ ห้ความสวยงามแกผ่ ู้สวม ใส่ซ่ึงอาจมกี ารประยุกต์ การตอ่ ตีนจก ทาใหไ้ ดช้ ิน้ งานทมี่ คี วามสวยงามย่ิงข้ึน 5.ซิ่นคาดกา่ น การทอซิ่น ประเภทน้ีเริ่มตน้ ดว้ ยการมดั ยอ้ มเส้นใยกอ่ นทอ อาจจะมดั ยอ้ มเฉพาะเสน้ ยนื หรือเสน้ พงุ่ หรือมดั ยอ้ มทง้ั สองเส้นเลยกไ็ ด้ ในภาคอสี านจะเรียกวธิ ีเชน่ น้ีวา่ “มดั หม”่ี แตท่ างเมอื งนา่ น เรียก “คาดกา่ น” ความสวยงามของซิน่ คาดกา่ นอยูท่ ี่การผูกลวดลายตอนมดั ยอ้ ม ในอดตี ใชเ้ ชือกกลว้ ยเป็น เชือกมดั เสน้ ดา้ ยกอ่ นนาไปยอ้ ม นิยมใชเ้ ทคนิคการยอ้ มเย็นเพือ่ ใหล้ วดลายไมผ่ ิดเพ้ยี น 6.ซน่ิ เชียงแสน เป็นซ่นิ ที่มลี กั ษณะเป็นพนื้ ผา้ สีแดงและมรี ้ิวสีเข้ม เชน่ สีดา สีครามเป็นลายขวางทอ ดว้ ยเทคนิคขดั สานธรรมดาตลอดท้งั ผนื ชือ่ ของซ่ินชนิดน้ีแสดงถงึ แหลง่ กาเนิดวา่ เป็นเอกลกั ษณเ์ กา่ แกข่ อง
ชาวไทยเชียงแสนในอดตี ซ่งึ อพยพยา้ ยมาตง้ั ถ่ินฐานในเมอื งนา่ น ผา้ ซ่ินเชียงแสนถอื เป็นผา้ ซน่ิ ใชไ้ ดห้ ลาย โอกาส 7.ซ่นิ ล้อื เป็นลวดลายผา้ ของไทล้อื ทอ่ี พยพมาจากสิบสองปันนา ใชผ้ า้ ไหมท่ีมสี ีสันสวยงามสะดดุ ตา มกี ารตกแตง่ ดว้ ยเทคนิคการขดิ จก และลว้ งมาก ซ่งึ ลกั ษณะของซิ่นล้อื จะมลี วดลายแตกตา่ งกนั ตามวยั ของผู้ นุง่ ไดแ้ ก ่วยั สาวรุน่ แมเ่รือน ผูส้ ูงอายุ และคนชรา ซ่ึงซิ่นดงั กลา่ วจะมเี ทคนิคการทอดว้ ยฝา้ ยพ้ืน สว่ นมากจะ เป็นสีดาสลบั แดง เหลือง เขียวขาว และยงั สอดแทรกลวดลายการเกบ็ มุกเป็นรูปขอ รูปหงส์ รูปมา้ รูปปลา เกดิ เป็นลวดลายทีส่ วยงาม การทอผา้ ของชาวเมอื งนา่ นน้นั จะไมเ่ดน่ และไมเ่นน้ เรื่องการทอผา้ ด้วยไหม จะเน้นการทอผา้ ดว้ ย ฝา้ ยธรรมชาติที่ ปลูกในทอ้ งถ่ิน เน้นการใสส่ ีสนั ให้สดใส ฝีมอื ชา่ งท่เี รียบรอ้ ย ชา่ งจะบอกประสบการณข์ อง ตวั ชา่ งเองบนผืนผา้ (ภทั ราภรณ์ ปราบริปู,สัมภาษณ์,2563)โดยที่ขน้ั ตอนและวธิ ีการทอผา้ ของชาวเมอื งนา่ น น้ันมกี ระบวนในการทอผา้ ดงั น้ี เมอ่ื เกบ็ ดอกฝ้ายท่ีแกแ่ ล้วนามาตากใหแ้ หง้ แลว้ เก็บส่ิงสกปรกออกจากดอก ฝา้ ยใหห้ มดดอกฝ้าย นาดอกฝา้ ยไปแยกเมล็ดจากดอกฝ้ายทีเ่ คร่ืองอดั ฝ้าย อีดฝา้ ย(การบีบเมล็ดออก) เมอื่ ได้ ฝ้ายที่แยกเมล็ดออกมาแลว้ กน็ ามาตใี นโขงฝา้ ยแล้วใชก้ ง๋ ดดี ให้ฝ้ายแตกตวั นาฝา้ ยท่ตี ีแลว้ มามว้ นกลับไมห้ าง ฝ้ายบนไมแ้ ปน้ ฝา้ ย ชาวไทลือ้ จะเรียกข้นั ตอนน้ีวา่ การ \"ลอ่ ฝ้าย\" ฝ้ายที่ลอ่ เสร็จแลว้ กน็ ามาเขา้ เคร่ืองป่ันให้ เป็นเส้น และนามายอ้ มสีตามทีต่ ้องการ แลว้ นาเส้นดา้ ยที่ยอ้ มแลว้ มากรอใสห่ ลอด สามารถนาไปทอตาม ขน้ั ตอนและลายทีก่ าหนดไวไ้ ดเ้ ลย(สมพศิ เทพศริ ิ,สัมภาษณ์,2563) จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ที่ปรากฏในภาพจิตรกรรม ฝาผนงั วดั ภูมนิ ทร์ จงั หวดั นา่ น ซ่งึ เขยี น ข้นึ ประมาณตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี 25 (จริ ศกั ดิ เดชาวงคญ์ า, 2539: 10-25) ชา่ งเขยี นได้ ถา่ ยทอดวถิ ีชีวติ สงั คม และวฒั นธรรมของชาวเมอื งนา่ นในชว่ งเวลาน้ัน ผา่ นงานจิตรกรรมบนฝาผนงั ของพระวหิ ารท้งั 4 ทศิ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ไดถ้ า่ ยทอดลกั ษณะเคร่ืองแตง่ กายของสตรีเมืองนา่ นใน ชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 25 เชน่ ภาพ สตรีทยี่ นื จบั กลมุ่ อยใู่ นอริ ิยาบถท่ีแตกตา่ งกนั โดยมสี ตรีอีกคนหน่ึงกาลงั หาบกระบุง (สมเจตน์ วมิ ลเกษม, 2556: 30)เห็นไดจ้ ากในภาพจิตรกรรมฝาผนงั ทปี่ รากฏอยูท่ ี่วดั ภูมนิ ทร์น้นั ซ่งึ วาดโดยหนานบวั ผนั ได้ สอดแทรกเอาวถิ ชี วิ ติ ความเป็นอยูข่ องชาวนา่ นลงในภาพวาด มกี ารวาดลวดลายท่ีแฝงดว้ ยวฒั นธรรม ส่ือ ความหมายเพ่อื ใหค้ นไดเ้ ขา้ ใจสภาพเหตุการณ์สงั คมชุมชนใน ขณะน้ัน รวมทง้ั วาดทง้ั เคร่ืองแตง่ กายอนั เป็ น เอกลกั ษณ์ของชาวนา่ น และทส่ี าคญั โดยเฉพาะผา้ ซิ่นของสตรีชาวเมอื งนา่ นทีห่ นานบวั ผนั ได้ ไดว้ าดออกมา สอดแทรกลวดลายความงดงามของผา้ ซิ่น และสีสันของผา้ ท่ีปรากฏเป็นเคร่ืองอธิบายและบง่ บอกถงึ ความหมายและความสาคญั ของผา้ ซ่นิ นา่ นอนั มมี าแตโ่ บราณ โดยท่แี ตล่ ะจดุ ของภาพวาดน้ันเคร่ืองแตง่ กาย สตรีท่ีนุง่ ผา้ ซิ่นจะมคี วามแตกตา่ งกนั ท้งั ลวดลาย สีสนั ที่หลากหลายในภาพวาด เป็นการนาเสนอและสื่อสาร
ใหผ้ ูไ้ ดพ้ บเห็นมคี วามเขา้ ใจวฒั นธรรม ลวดลายอนั วจิ ติ รบนผา้ ซ่นิ ที่ตวั ละครในภาพจติ รกรรมท่สี วมใส่ ผา้ ซิ่น ทาให้เกดิ ความสาคญั และอธิบายความหมายของผืนผา้ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี เป็นจุดท่ที าให้คนเห็น ความสาคญั เรื่องผา้ ซนิ่ ผา้ ทอ อนั แสดงให้เห็นวา่ ผา้ ซ่ินเมอื งนา่ น น้นั เป็นเอกลกั ษณ์และมคี วามสาคญั กบั ชาวเมอื งนา่ นมากเพียงใด จากภาพจติ รกรรมฝาผนังท่ี หนานบวั ผนั ไดถ้ า่ ยทอดลงบนงานศลิ ป์ ในวหิ ารวดั ภมู นิ ทร์ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี จากภาพขา้ งตน้ เป็นภาพสตรีชาวนา่ นทากจิ กรรมร่วมกนั มกี ารสวมเส้ือผา้ เครื่องแตง่ กาย โดย สงั เกตการนุง่ ผา้ ซนิ่ อนั เป็นเอกลกั ษณเ์ มอื งนา่ น มลี วดลาย สีสันสดใส และงดงาม ซ่ึงจากสตรีในภาพแตล่ ะ คนน้นั จะนุง่ ผา้ ซิน่ ที่มคี วามหลากหลาย มลี วดลายสีสันท่แี ตกตา่ งกนั ออกไปในแตล่ ะคน แตถ่ งึ แมว้ า่ ความ แตกตา่ งของผา้ ซ่ินทแี่ ตล่ ะคนสวมใสจ่ ะมคี วามแตกตา่ งกนั แตย่ งั คงไวซ้ ่ึง รูปแบบ การจดั วางลวดลายบนผืน ผา้ และความเป็นเอกลกั ษณข์ องผา้ ซน่ิ เมอื งนา่ นที่ หนานบวั ผนั ได้ สอดแทรกและแฝงไวบ้ นภาพจติ รกรรมฝา ผนัง
จากภาพจติ รกรรมฝาผนงั ขา้ งตน้ กท็ าใหเ้ ราไดเ้ ห็นถึงความหลากหลายของผา้ ซนิ่ เมอื งนา่ น เน้นการ จดั วางรูปแบบทีเ่ ป็นเอกลักษณแ์ ละมีสีสันที่สดใส และความหลากสี ซ่ึงส่ือให้เห็นคณุ คา่ ของผา้ ซนิ่ ซ่ึงเมอื่ จะ นามาถา่ ยทอดลงบนผืนผา้ จริงแลว้ จะมีกรรมวธิ ีทาที่ยากมาก หลายข้นั ตอน กวา่ จะไดผ้ า้ ซิน่ ทีม่ คี วามงดงาม ส่ือให้เห็นถงึ ภูมปิ ัญญาของคนโบราณทป่ี ระดิษฐ์คิดคน้ ลวดลาย และการใสส่ ีสันบนผนื ผา้ ใหอ้ อกมามคี วาม เดน่ ชดั และกลมกลืน จนมกี ารพฒั นาการอนั เป็นแบบอยา่ งถา่ ยทอดจากรุน่ สู่รุน่ มาจนถึงปัจจบุ นั ลายผา้ ซน่ิ ในภาพจิตรกรรมทห่ี นานบวั ผนั ได้ ถา่ ยทอดไวบ้ นฝาผนงั และเมอ่ื ชา่ งทอผา้ ไดม้ โี อกาสพบเห็น กไ็ ดน้ าเอา รูปภาพผา้ ซน่ิ ไปเป็นตน้ แบบ โดยถอดรูปแบบ ลวดลายและสีสัน จากภาพวาด มาถา่ ยทอดลงบนผืนผา้ จริง กลายเป็นลวดลายผา้ ซิ่นทีท่ รงคณุ คา่ งดงามและเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะ ซ่งึ จากโบราณดง้ั เดมิ การทอผา้ สมยั โบราณกจ็ ะเป็นลวดลายตา่ งๆทีเ่ ป็นพ้นื ฐาน เชน่ ลายน้าไหล ลายปลอ้ ง ลายมา่ น เป็นตน้ ตอ่ มาไดน้ าเอา ลวดลายจากจิตรกรรมฝาผนงั วดั ภมู นิ ทร์มาแกะ และออกแบบ ประยกุ ต์ ใหค้ นทอชว่ ยกนั หลายๆคน จน สาเร็จและเกดิ เป็นลวดลายออกมา คอื “ลายปลอ้ งหนานบวั ผนั ” และ “ลายมา่ นหนานบวั ผนั ” ซ่งึ หนานบวั ผนั เป็นศิลปินวาดภาพไวก้ บั ฝาผนัง สองลายน้ีกลายเป็นผา้ สวยงามและมชี อ่ื เสียงมากและราคาคอ่ นขา้ งสูง เป็นท่ีตอ้ งการของนกั สะสมผา้ ลายโบราณ(สมพิศ เทพศิริ,สัมภาษณ์,2563) ตวั อยา่ งลายผา้ ซน่ิ “ผา้ ซ่นิ นางพญาวเิ ศษเมอื งนา่ น” “ผา้ ซิน่ ลายปลอ้ งหนานบวั ผนั ” “ผา้ ซน่ิ ลายมา่ นหนานบวั ผนั ”
ดว้ ยภูมปิ ัญญาอนั เป็นเอกลกั ษณ์และความสามารถ ท่ถี า่ ยทอดลงบนพืน้ ผา้ เกดิ จากความสร้างสรรค์ ผสมผสาน ความกลมกลืน การคดิ คน้ ดดั แปลงมา เอาลวดลายผา้ จากสภาพแวดลอ้ มรอบตัว ทง้ั ทาง ธรรมชาติ วถิ ีชวี ติ อารมณ์ความรูส้ ึก วฒั นธรรมและสงั คม คตคิ วามเชื่อ ดงั น้นั ลวดลายบนผนื ผา้ ซิ่นจึง สามารถอธิบายวถิ ชี ีวิตความเป็นอยูผ่ า่ นลวดลายบนผนื ผา้ ท่ี สตรีชาวนา่ น มกี ารคดิ คน้ จากองค์ความรู้ รอบตวั และความสามารถความถนัดของตน ถา่ ยทอดลงบนผนื ผา้ ซ่นิ ทีต่ นไดท้ อข้ึน ไมเ่พียงแตก่ ารสวมใส่ หรือการใชง้ านเทา่ น้ัน สิ่งเหลา่ น้ียงั สง่ ผลกอ่ ให้เกดิ เป็นเอกลกั ษณ์ลวดลายและเป็นงานฝีมอื อนั ล้าคา่ ทส่ี ืบ ทอดจากรุน่ สูร่ ุน่ มวี วิ ฒั นาการปรับปรุงพฒั นา ดดั แปลง ผสมผสาน ลวดลายตา่ งๆให้มเี พ่มิ มากข้นึ จน กลายเป็นผา้ ทอหรือผา้ ซิ่นเอกลกั ษณเ์ มอื งนา่ น กลไกการสร้างคณุ ค่าให้กบั ผ้าซน่ิ เอกลักษณ์เมืองน่าน ทา่ มกลางกาลเวลาท่ีเปลี่ยนผา่ น งานหัตถกรรมฝีมอื อนั ทรงคณุ คา่ ของเมอื งนา่ น ซ่งึ สืบทอดจากรุน่ สู่ รุน่ กาลเวลาทเ่ี ปลีย่ นไป สภาพแวดลอ้ มในดา้ นตา่ งๆเริ่มหันเหไปสูส่ งั คมเมอื งท่ีมคี วามศรีวไิ ลมากข้ึน ชา่ ง ทอผา้ ผทู้ ่มี ฝี ีมอื กเ็ ริ่มทยอยจากไป โดยมอบไวเ้พียงมรดกทางวฒั นธรรมกรรมวธิ ีการทอผา้ และลวดลายแบบ โบราณทม่ี กี ารสืบสานและพฒั นาเพิม่ เติมเอาไว้ ดว้ ยกระแสวฒั นธรรมที่ไหลบา่ เขา้ มาอยา่ งรวดเร็ว ท้งั เทคโนโลยคี วามทนั สมยั ตา่ งๆ อุปกรณเ์ คร่ืองมอื เครื่องใช้ การคมนาคมที่สะดวกสบาย เคร่ืองอานวยความ สะดวกมมี ากข้ึน เครื่องมอื ใชส้ อยเสื้อผา้ ปัจจยั 4มหี ลากหลายสะดวกสบายหาซือ้ มาสวมใสไ่ ด้ตามใจชอบ เกดิ สังคมการแขง่ ขนั และเป็นสังคมเมอื งในทสี่ ุด ผูค้ นเกดิ ทางเลือกท่ตี อ้ งดิน้ รนและรวดเร็วเพ่ือหาเล้ียงชพี เมอื่ ถงึ จดุ หน่ึงของการเปล่ยี นแปลงผูค้ นเริ่มไมส่ นใจงานฝี มอื การทอผา้ แบบโบราณ หาผูส้ ืบทอดแทบจะไม ่ มี โดยมองวา่ เป็นส่ิงท่ยี าก และตอ้ งใชเ้ วลาในการทางาน หรืออาจจะมองเป็นส่ิงลา้ หลงั การทอผา้ รวมทง้ั วสั ดุอุปกรณ์การทอผา้ ทไี่ ด้รับสืบทอดกรรมวิธีมาแตบ่ รรพบรุ ุษถูกเกบ็ เขา้ ที่โดยไมเ่ห็นความสาคญั หันไป ใชเ้ ครื่องจกั ร เครื่องมอื ทีสะดวกและรวดเร็วแทนเพอ่ื ใหท้ นั ตอ่ ความต้องการและตอบสนองเจตจานงให้ ทนั เวลา การเปลยี่ นแปลงทท่ี าใหก้ ารนิยมผา้ ทอมือเมอื งนา่ นลดลง ณ ชว่ งเวลาหน่ึง (สมพศิ เทพศริ ิ ,สมั ภาษณ์,2563) แตด่ ว้ ยมเี หตุปัจจยั ทสี่ าคญั หลายประการ ทท่ี าใหศ้ ิลปะการทาผา้ พ้ืนเมอื งของเมอื งนา่ นไดก้ ลับฟื้น ตวั อกี และไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพรห่ ลายอีกคร้งั หน่ึง จนทาใหผ้ า้ ซ่ินเมอื งนา่ นเป็นทร่ี ูจ้ กั ไดร้ ับความนิยม ผูค้ นสนใจเป็นอยา่ งมาก เห็นคณุ คา่ และมคี วามตอ้ งการของทอ้ งตลาดอยา่ งมากมาย คนทอ้ งถิน่ เริ่มหันเหมา ฟื้นฟูศลิ ปะการทอผา้ ซ่ินพ้นื เมอื งแบบโบราณอยา่ งแพรห่ ลาย คนภายนอกมคี วามตอ้ งการเลือกซอื้ ผา้ ซ่ิน พน้ื เมอื งทอมอื เพือ่ ไปสวมใสแ่ ละนักเกบ็ สะสมผา้ พ้ืนเมอื ง(แมอ่ อ้ ย ผา้ ทอเมอื งนา่ น,สัมภาษณ์,2563) ซ่งึ
ปรากฏการณ์น้ีมที มี่ า อนั เกดิ จากเหตุและผลของการให้ความหมายและสร้างคณุ คา่ ให้กบั ผา้ ทอและผา้ ซ่นิ เมอื งนา่ นจนไดร้ บั ความนิยมเป็นอยา่ งมาก โดยสามารถสรุปเหตุปัจจยั ตา่ งๆดงั ตอ่ ไปน้ี 1. อตั ลกั ษณ์เมอื งนา่ นท่ีเป็นเมอื งท่ีรักษาขนบธรรมเนียมวฒั นธรรมและเป็นเมอื งทอ่ งเท่ยี ว และมี นกั ทอ่ งเที่ยวเดนิ ทางไปมาไมข่ าดสาย เพือ่ ดูดดื่มกบั บรรยากาศและวฒั นธรรม ประเพณี วถิ ีชวี ติ แบบด้งั เดมิ ซ่ึงสง่ ผลใหม้ กี ารนาศลิ ปะการทอผา้ ซิน่ พ้นื เมอื งแบบดง่ั เดิมมาเพื่อแสดงให้นักทอ่ งเท่ยี วไดเ้ ห็นความงาม ดา้ นศลิ ปะการทอผา้ และการนาเสนอส่ิงทเี่ ป็นเอกลกั ษณส์ อดคล้องกบั ความเป็นอยูข่ องชุมชน จนผา้ ซนิ่ เกดิ คณุ คา่ และมกี ารฟ้ืนฟู จนกลายเป็นเอกลกั ษณข์ องเมอื งนา่ น(สมพิศ เทพศิริ,สมั ภาษณ์,2563) 2. การสื่อความหมายและตคี วามจากลายผา้ เร่ืองความเป็นมงคล บนผืนผา้ ซ่งึ แตล่ ะลวดลายทช่ี า่ งทอ ผา้ ไดถ้ า่ ยทอดลงไปล้วนมคี วามหมายอนั เป็นมงคลแกผ่ สู้ วมใส่ เชน่ การให้ความหมาย ลายบวั ควา่ บวั หงาย คือ เป็นการทาใหส้ ่ิงร้ายกลายเป็นดี เป็นตน้ ดว้ ยการสื่อความหมายผา่ นลวดลายผา้ และตคี วามให้ผทู้ ่สี นใจ ไดร้ ับรูเ้ รื่องราวและความหมายอนั เป็นมงคล ทาให้เกดิ ความเขา้ ใจ และทีส่ ุดกม็ คี วามสนใจทจี่ ะเลือกซื้อ นาไปใช้ และทาใหผ้ ืนผา้ ซ่ินเกดิ คณุ คา่ และมคี วามหมาย(ภทั ราภรณ์ ปราบริปู,สมั ภาษณ์,2563) 3. ความสวยงามและสีสันสดใส ความประณีต ความละเอยี ด บนผืนผา้ ซนิ่ เมอื งนา่ น ทีเ่ ป็นเสนห่ ์ทา ใหค้ นหลงใหลและมคี วามสนใจอยากซื้อหาไปใชส้ วมใส่ เพราะเอกลกั ษณข์ องผา้ ซ่ินนา่ นน้ัน มคี วาม สวยงามมรี ายละเอยี ดการผสมผสานของลวดลายแตล่ ะอยา่ งมารวมกนั บนผืนผ้า กระการให้สีสนั ท่สี ดใส เป็นทต่ี อ้ งตาตอ้ งใจของผไู้ ดพ้ บเห็นมคี วามประณีตวจิ ิตรงดงามทาใหผ้ คู้ นมคี วามสนใจเป็นอยา่ งมาก 4. กรรมวธิ ีการทอผา้ ทีม่ หี ลายข้นั ตอน โดยในแตล่ ะขน้ั ตอนน้นั ตอ้ งใชฝ้ ีมอื ทีเ่ กดิ จากการเรียนรู้ ฝึกฝนจนชานาญและรูจ้ กั ข้นั ตอน ซ่ึงในแตล่ ะข้นั ตอนน้ันกระทาไดย้ าก ชา่ งทอตอ้ งใชท้ ้งั ความพยายาม เวลา และประสบการณข์ องชา่ งทอผา้ เอง เมอื่ ทาไดย้ ากเนื่องจากแตล่ ะข้นั ตอนตอ้ งใชเ้ วลา วธิ ีการทา สลบั ซบั ซอ้ น ทาใหค้ นท่ไี ดส้ มั ผสั เห็นคณุ คา่ ของงานผา้ ทอมือที่ทาไดย้ าก เหตุผลน้ีกส็ ง่ ผลทาให้เกดิ คณุ คา่ เหมาะสมกบั ผลงานและการรอคอย 5. เหตุผลจากภาพจติ รกรรมฝาผนงั ทเี่ ป็นการสร้างความหมายและอธิบายความสาคญั ของผา้ องค์ ความรู้ผา่ นภาพวาด ทีช่ า่ งไดน้ ามาเป็นแบบฉบบั ของลวดลาย นาเสนอเหตแุ ละผลตามภาพจนเกดิ ความเชื่อ ตามเห็นตาม เมอ่ื ผคู้ นทเี่ ดินทางเขา้ ไปชมจิตรกรรมฝาผนังและกจ็ ะเห็นลวดลายความงดงามของผา้ ส้ินท่ชี า่ ง วาดไดถ้ า่ ยทอดเอาไวก้ จ็ ะนึกถงึ ผา้ ซน่ิ มคี วามตอ้ งการซ้อื หา เพราะมองความล้าคา่ ของผนื ผา้ ผา่ นภาพวาด 6.เอกลกั ษณข์ องตวั ผา้ ซิน่ ที่ไมม่ พี ื้นถิ่นใดเหมอื น มคี วามหลากหลายของลวดลาย สีสันท่ชี า่ งใสล่ ง ไปในลายผา้ และบนลวดลายผา้ ส่ือวถิ ชี ีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม สภาพสังคมชมุ ชน ของเมอื งนา่ น ทถี่ า่ ยทอดลง ไปบนผนื ผา้ ซ่ิน
7.การโฆษณา การฟื้นฟู อนุรกั ษ์ สง่ เสริม เกยี่ วกบั ผา้ ซ่ินผา้ ทอมือ สง่ ผลทาใหค้ นภายนอกหรือ นักทอ่ งเทย่ี วรูจ้ กั ความสาคัญและความสวยงามของเอกลกั ษณผ์ า้ ซน่ิ เมอื งนา่ น เกดิ ความสนใจ มกี ารฟื้นฟู ถา่ ยทอดรวมกลุม่ เพือ่ ทาใหเ้ กดิ ธุรกจิ ชมุ ชน เป็นศนู ยก์ ารเรียนรูด้ า้ นการทอผา้ สาหรับผทู้ ี่สนใจและอยาก ฝึกฝน มกี ารฟ้ืนฟรู ูปแบบกระบวนการทอผา้ แบบโบราณ เพ่อื ที่จะให้นักทอ่ งเท่ียวไดเ้ ห็น ไดเ้ รียนรู้ สง่ เสริม รายไดใ้ นทอ้ งถ่ินเป็นการกระตนุ้ เศรษฐกจิ ทาใหเ้ ยาวชนผสู้ นใจอยากจะฝึกฝนและทาเป็นธุรกจิ ทาง หนว่ ยงานภาครฐั กส็ ง่ เสริม สนบั สนุนใหเ้ กดิ กลมุ่ การทอผา้ รว่ มกนั มกี ารปลกู ฝังให้ใหเ้ ยาวชนรุน่ ใหมเ่ห็น คณุ คา่ และความสาคญั 8. ทางราชการสนบั สนุนการสวมใสผ่ า้ ไทยทุกวนั ทว่ั จงั หวดั นา่ นเกดิ อตั ลกั ษณใ์ หมร่ ว่ มกนั เป็ นการ แสดงให้นักทอ่ งเท่ยี วและผคู้ นไดเ้ ห็นประจกั ษแ์ กส่ ายตา ทาใหเ้ กดิ ความสนใจรูปแบบเครื่องกายพืน้ เมอื ง โดยเฉพาะผา้ ซน่ิ ไดเ้ ห็นรูปแบบตน้ แบบการแตง่ กาย ลวดลายผา้ ซนิ่ ที่หลากของคนทอ้ งถิ่น เกดิ การเห็น คณุ คา่ จนตอ้ งมคี วามต้องซือ้ หาผา้ ซน่ิ หรือผา้ ทอมอื ไปเพื่อสวมใส่ จากเหตุผลตา่ งๆดงั กลา่ วขา้ งตน้ เป็นกระบวนการสร้างคณุ คา่ และให้ความหมายของผา้ ซิ่นทอมอื เมอื งนา่ น เป็นแรงผลกั ดนั และกระตนุ้ จนทาใหผ้ า้ ทอมอื และผา้ ซิ่นที่เป็นเอกลกั ษณเ์ มอื งนา่ นไดร้ ับความ นิยมอยา่ งแพรห่ ลายทง้ั ในพ้นื ที่และนอกพ้ืนที่ในปัจจุบนั มกี ารสนบั สนุนสง่ เสริมการทอ่ งเที่ยว นกั ทอ่ งเทยี่ ว มคี วามสนใจ เกดิ ความนิยม ความสนใจผา้ ซน่ิ พน้ื เมอื งนา่ นทอมอื เห็นคณุ คา่ มกี ารเลือกซอ้ื เลือกหาไปใช้ อยา่ งแพรห่ ลาย ซ่งึ เป็นทีน่ า่ สงั เกตวา่ ผา้ ทที่ อดว้ ยวสั ดุจากธรรมชาติ ทอผา้ แบบพื้นเมอื งโบราณหรือทอมอื จะมรี าคาสูงกวา่ กลมุ่ ผา้ ทอทเี่ ป็นกรรมวธิ ีสมยั ใหมแ่ ละวสั ดุที่ใชส้ ังเคราะห์ข้ึนตามวธิ ีทางวทิ ยาศาสตร์จะมี ราคาถูกกวา่ ผา้ ทอมอื (แมอ่ อ้ ย ผา้ ทอเมอื งนา่ น,สมั ภาษณ,์ 2563) จนในปัจจบุ นั เมอื งนา่ นมกี ลุม่ สง่ เสริมการทอ ผา้ พื้นเมอื งหลายแหง่ ท่ีมชี อื่ เสียงและผูค้ นให้ความสนใจผา้ ซ่ินทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์เมอื งนา่ น ในการไปเยย่ี มชม กระบวนการและวธิ ีการทา ตลอดจนเลือกซื้อผลผลิตผ้าทอจากกลุม่ ในปัจจุบนั นิยมนุง่ ผา้ พืน้ เมอื งกนั อยา่ ง แพรห่ ลาย และดว้ ยความงดงาม ความเป็นเอกลกั ษณ์ สีสัน ความหมายของลวดลาย การผสมผสานลวดลาย บนผืนผา้ การถา่ ยทอดภูมปิ ัญญาท่ีสืบทอดจากรุน่ สู่รุน่ ทาให้ผา้ ทอหรือผา้ ซิน่ เมอื งนา่ น ไดร้ บั ความนิยมและ พฒั นาควบคกู่ บั วถิ ีชีวติ วฒั นธรรมเมอื งนา่ นมาจนถงึ ปัจจบุ นั สรปุ ผล เมอื งนา่ น เป็นเมอื งในหุบเขาทมี่ ปี ระวตั ิศาสตร์ความเป็นมายาวนาน และนา่ นมอี ตั ลกั ษณห์ ลายอยา่ ง ทีน่ า่ สนใจ ชาวบา้ นมวี ถิ ชี วี ติ การดาเนินชวี ติ บนพ้ืนฐานการมวี ฒั นธรรมที่งดงาม ทา่ มกลางธรรมชาติ เมอื ง นา่ นเร่ิมตน้ ต้งั บริเวณทางภาคเหนือของจงั หวดั แถบ อาเภอปัวในปัจจบุ นั ตอ่ มากข็ ยายถ่ินฐานลงมาแถบ
อาเภอเมอื งในปัจจบุ นั นา่ นมกี ารผลิตเกลือแหลง่ เดยี วในเขตลา้ นนา มภี ูมปิ ัญญาที่สืบสานสืบทอดมาต้งั แต่ บรรพบรุ ุษ โดยมกี ารบนั ทึกเรื่องราวท่ีเป็นระบบต้งั แตอ่ ดตี จึงมหี ลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์มากมาย ซ่งึ อาณาจกั รนา่ นมคี วามเป็นอิสระทางการเมอื งการปกครอง มสี กลุ เงินตราใชเ้ ป็นของตวั เอง โดยที่เมอื งนา่ น น้นั ตง้ั อยูเ่ป็นอิสระนาน คนนา่ นจงึ เรียกตนเองวา่ “นาน” แมน้ า่ นเคยเป็นถูกปกครองโดยเชยี งใหมแ่ ละพมา่ เป็นบางคร้งั และทา้ ยสุดกม็ าข้ึนกบั รัตนโกสินทร์ มาจนถงึ ในปัจจุบนั แตน่ า่ นกไ็ ดร้ ับอทิ ธิพลจากสุโขทัยมาก เพราะมคี วามสมั พนั ธ์ทางเครือญาติ ดว้ ยนา่ นต้งั อยหู่ า่ งไกล เป็นเมอื งชายขอบ การตดิ ตอ่ กบั คนภายนอก ลา่ ชา้ และมคี วามยดึ มน่ั ในพทุ ธศาสนา ทาให้นา่ นสามารถรักษาเอกลกั ษณ์ของตนไดอ้ ยา่ งโดดเดน่ มาจนถงึ ปัจจบุ นั โดยเมอื งนา่ นน้ันมกี ลมุ่ ชาติพนั ธุ์ท่ีอาศยั อยูร่ ว่ มกนั ท่ีหลากหลาย เชน่ ไทยลือ้ ไทยวน เมย่ี น ขมุ ลวั ะ ญวน มง้ และมลาบรี แตท่ ุกฝ่ายกม็ กี ารรวมตัวกนั และมีการรักษาวฒั นธรรมของตนอยา่ งดี นครนา่ นนับเป็น ตวั อยา่ งของพฒั นาการแหง่ รฐั ที่เป็นตวั ของตนเอง มกี ารเติบโตอยา่ งชา้ ๆและมน่ั คงมาจนถึงปัจจุบนั ดว้ ยเมอื งนา่ นเป็นแหลง่ รวมวฒั นธรรมจากหลากหลายชาติพนั ธุ์ ที่อพยพมาอาศยั อยูร่ ่วมกนั มวี ถิ ชี ีวติ ความ เป็นอยตู่ ามภมู ปิ ระเทศ ภูมศิ าสตร์เดียวกนั มกี ารปฏสิ มั พนั ธ์กนั แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทาให้เกดิ การผสมผสาน กลมกลนื เรียนรูว้ ฒั นธรรมซ่งึ กนั และกนั มกี จิ กรรมความเป็นอยูร่ ว่ มกนั มกี ารใชภ้ มู ปิ ัญญาประดษิ ฐ์คิดคน้ เคร่ืองมอื เคร่ืองใช้ เคร่ืองอานวยความสะดวกสาหรับใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ในสังคมชมุ ชนท่ีอยอู่ าศยั การมี ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละการไดอ้ ยรู่ วมกนั นาเอาวฒั นธรรมตา่ งๆทตี่ ิดตวั มาหลอ่ มหลอมรวมกนั เกดิ เป็นอตั ลกั ษณท์ อ้ งถ่ินของเมอื งนา่ น ทีโ่ ดดเดน่ และท่สี าคญั เมอื งนา่ นยงั รกั ษาขนบธรรมทีย่ ึดถือปฏิบตั ิมาแตโ่ บราณ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ยดึ มน่ั ในความเช่ือและความศรัทธาของตน รวมท้งั ยดึ ถอื ในหลกั พระพทุ ธศาสนา มปี ระเพณี ท่ยี ดึ ถือปฏิบตั ิทีง่ ดงาม และดว้ ยความมอี ตั ลกั ษณเ์ ฉพาะในหลายๆองคป์ ระกอบทาใหเ้ มอื งนา่ นยงั รักษาส่ิง ตา่ งๆท่ียดึ ถอื มาไวไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี ทง้ั เอกลกั ษณด์ า้ น ศลิ ปะ ท้งั จิตรกรรม ประติมากรรม สิ่งปลูกสร้าง ระเบยี บ วธิ ีปฏิบตั ิตามความเช่อื หรือแมแ้ ตเ่ครื่องแตง่ กาย ที่เป็นเอกลกั ษณ์ โดยเฉพาะเครื่องแตง่ กายสตรีชาวนา่ น มี ผา้ ทอ อนั เป็นเครื่องนุง่ หม่ ท่ีดมู คี ณุ คา่ และ มลี วดลายท่ีวจิ ิตร งดงาม เป็นเอกลกั ษณข์ องเมอื งนา่ น คอื “ผา้ ซนิ่ ทอมอื เมอื งนา่ น”ท่ีข้นึ ช่ือในเร่ืองความวจิ ติ รและงดงาม มี กระบวนการผลติ และวธิ ีทาทหี่ ลากหลายข้นั ตอน ซ่งึ แตเ่ดมิ สตรีชาวเมอื งนา่ นน้นั มกี ารทอผา้ ถงุ เพอื่ สวมใส่ ในเบอ้ื งตน้ น้นั เป็นเพียงสีพ้นื ท่ีไดจ้ ากฝ้าย ธรรมชาติ ไมม่ ลี วดลายหรือสีสันมากมาย ตอ่ มาเพื่อความสวยงามแกก่ ารที่จะนาไปใชส้ อย จึงมกี ารคิดคน้ ลวดลาย สีสันตา่ งๆ จนนาไปสูก่ ารเป็นเกดิ “เอกลกั ษณล์ ายผา้ เมอื งนา่ น” เกดิ จากการประดิษฐ์คดิ คน้ และมี การพฒั นาฝีมอื อยูต่ ลอดเวลา เมอื งนา่ นจะเดน่ เรื่องผา้ ฝ้ายท่ปี ลกู ในทอ้ งถน่ิ ซ่ึงนามาผา่ นกระบวนการผลิต ตามข้นั ตอน จนกระทงั่ เป็นผืนผา้ จดุ กาเนิดลวดลายตา่ งๆของผา้ ทอ ผา้ ซน่ิ เมอื งนา่ นน้ัน เบื้องตน้ เกดิ จากการ ที่สตรีชา่ งทอ มองเห็น ธรรมชาติทอ้ งถ่ินทีต่ นเองอาศยั มสี ายน้าหลอ่ เล้ยี ง กท็ าลายผา่ ใสส่ ีสนั ใหเ้ ป็นดงั่ สายน้า ไหลเช่ียวหรือไมน่ ้ันอยูท่ ี่การใสส่ ี ไดก้ ลายเป็นลาย “น้าไหล” และยงั มลี วดลายอ่นื ๆทเ่ี กดิ จาก ธรรมชาตแิ ละวถิ ีชวี ติ รวมทง้ั การไดย้ นิ ไดฟ้ ังเรื่องราวจากนิทาน ชาดก สตั วห์ ิมพานต์ ที่ชา่ งทอผา้ ถา่ ยทอด
ลงบนผืนผา้ ตามความถนัดของตน อาทิ เชน่ ลายคาเคบิ ลายมา่ น ลายปลอ้ ง ลายมดั กา่ น เชียงแสน ลายจกไท ลื้อ เป็นตน้ และผา้ ซิน่ เอกลกั ษณช์ นิ้ สาคญั ของชาวเมอื งนา่ นทบี่ ง่ บอกความทีห่ ลากหลายชาตพิ นั ธุ์มาอยู่ รวมกนั การผสมผสานกลมกลืนกนั ทางวฒั นธรรม หลอมรวมมาปรากฏบนผืนผา้ ซ่นิ ซ่งึ จดั วา่ เป็นนางพญา ผา้ ซิ่นของลา้ นนา คอื “ซิน่ วเิ ศษเมอื งนา่ น” ข้นึ ชื่อในความล้าคา่ และหายาก ดว้ ยเทคนิคการทอเป็นพเิ ศษ ท้งั ขิดและเกาะลว้ งของชาวไทลือ้ มดั กา่ นหรือมดั หมี่ ของชาวลาว จกลายของชาวไทยวน ผา้ ซนิ่ วเิ ศษเมอื ง นา่ น เป็นตวั แทนบอกเลา่ ถึงการ ผสมสานทางวฒั นธรรมอยา่ งลงตวั ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุไทยวนและไทล้ือ แต่ เดิมอาจจะไมไ่ ดท้ อเพ่อื สวมใส่ แตท่ อเพอ่ื ใชใ้ นพธิ ีกรรมเกยี่ วกบั การเกษตร การทาขวญั ขา้ วถวายแดแ่ ม ่ โพสพ เป็นตน้ และบางคร้งั ชา่ งทอผา้ ไดม้ โี อกาสไดเ้ ห็นภาพจติ รกรรมฝาผนงั กเ็ รื่องราวเกบ็ รวบรวมองค์ ความรู้ทตี่ นไดม้ ีโอกาสพบเห็น เชน่ ภาพทีห่ นานบวั ผนั ไดเ้ ขยี นลวดลายตา่ งๆรวมทง้ั รูปผา้ ซิน่ ไวบ้ น จิตรกรรมฝาผนัง ณ วดั ภมู นิ ทร์ ซ่งึ ชา่ งทอผา้ กไ็ ดจ้ ดจานามาแปลความแกะออกมาเป็นลวดลาย ถา่ ยทอดลง บนผืนผา้ ทเ่ี รียกวา่ “ลายปลอ้ งหนานบวั ผนั ” และ “ลายมา่ นหนานบวั ผนั ” จากกระบวนการวธิ ีการ สรา้ งสรรค์ผลงานผา้ ผา้ ทอ ผา้ ซน่ิ เมอื งนา่ น ที่เกดิ จากการผสมผสานทางวฒั นธรรมของหลากหลายชาติพนั ธุ์ หลากหลายองคค์ วามรู้ รูปแบบการถา่ ยทอดภมู ิปัญญา ดา้ นลวดลายตา่ งๆ สีสัน การสอดแทรกเร่ืองราว ธรรมชาติสิ่งแวดลอ้ ม และวถิ ีชวี ติ ของชาวเมอื งนา่ น ลงบนผนื ผา้ ซ่นิ จนกลายมาเป็นเอกลกั ษณข์ องเมอื ง นา่ น เพราะการอธิบายและการให้ความหมายในเชิงสัญลกั ษณ์ พยายามที่อธิบายสิ่งตา่ งๆใหส้ อดคล้องกบั ประเพณวี ฒั นธรรม การทพ่ี ยายามยกเอาภมู ปิ ัญญาการทอผา้ ซิ่นพื้นเมอื งและลวดลายอนั สรา้ งข้ึนบนผนื ผา้ ยกข้ึนมาเพื่อสื่อความหมายให้เป็นท่ีรู้จักทั่วไปวา่ เป็นสญั ลักษณ์และเอกลกั ษณ์ของวฒั นธรรมเมอื งนา่ น ผา่ น ลวดลายบนผา้ ซน่ิ หรือแมแ้ ตก่ ารนุง่ ซิน่ ของสตรีชาวเมอื งนา่ น ซ่ึงเมอื่ วเิ คราะห์เหตแุ ละผลดงั กลา่ ว ทาให้เรา เห็นวา่ สญั ลกั ษณแ์ ละอตั ลกั ษณ์ของชาวเมอื งนา่ น ถูกสรา้ งและนาเสนอเพอื่ อธิบายถงึ วถิ ีชวี ติ สังคม วฒั นธรรม สภาพแวดลม้ ทางธรรมชาติ เพ่ือใหเ้ ป็นเอกลกั ษณ์และสื่อความหมายให้โลกภายนอกไดร้ ับรูถ้ ึง ความเป็นเมอื งนา่ นท่มี วี ฒั นธรรมขนบธรรมเนียมท่ีดงี าม มกี ารสรา้ งสรรค์ภมู ปิ ัญญาและเป็นอตั ลกั ษณ์ของ ชาวเมอื งนา่ น ซ่งึ ปรากฏการณด์ งั กลา่ วมคี วามสอดคล้องกบั ทฤษฎสี ัญวทิ ยา ของ โรลอ็ งด์ บาร์ตส์(Roland Barthes) ไดศ้ ึกษาสัญญะประเภท ความหมายโดยนยั (Connotative Meaning) เน่ืองจากมองวา่ เป็น ความหมายท่ีมคี วามสาคญั อยา่ งแทจ้ ริงในแงข่ องการรับรู้ และความหมายโดยนัยน้ียงั สามารถอธิบายไปได้ อกี หลายแนวคดิ ซ่ึงการความหมายในข้นั น้ีจะเป็นการตีความหมายในระดบั ท่ีมปี ัจจัยทางวฒั นธรรมเขา้ มา เกยี่ วขอ้ งดว้ ยซ่ึง ไมไ่ ดเ้ กดิ จากตวั ของสัญญะเอง เป็นการอธิบายถึงปฏิสมั พนั ธ์ที่เกดิ ข้นึ เม่อื สญั ญะกระทบ กบั ความรูส้ ึกหรืออารมณ์ของผูใ้ ชแ้ ละคณุ คา่ ทางวฒั นธรรมของเขาซ่งึ สัญญะในข้นั น้ีจะทาหนา้ ที่2 ประการ คือ ถา่ ยทอดความหมายโดยนัยแฝง และถา่ ยทอดความหมายในลกั ษณะมายาคติ (Myths) ซ่งึ Barthes เรียก กระบวนการในการเปลีย่ นแปลง ลดทอน ปกปิด บดิ เบอื นฐานะการเป็นสญั ญะของสรรพสิ่งในสงั คมให้ กลายเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นสิ่งปกติธรรมดา หรือเป็นส่ิงท่มี บี ทบาท \"ความคนุ้ ชนิ \"(กาญจนา แกว้ เทพ, 2552)
และเมอื่ วเิ คราะห์จากเหตุและผลเบ้อื งตน้ น้ันเมอื งนา่ น ไดร้ บั วฒั นธรรมท่ีไหลบา่ เขา้ มารอบทศิ ทาง เน่ืองจากการอพยพเขา้ มาของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุตา่ งๆที่มาอาศยั อยรู่ ว่ มกนั มกี ารปฏิสมั พนั ธ์กนั เกดิ เป็นสงั คม ชมุ ชน และแตล่ ะกลมุ่ กม็ กี ารนาเอาวฒั นธรรมพนื้ เมอื งของตนเขา้ มาดว้ ย เกดิ การแลกเปลย่ี นเรียนรู้ ผสมผสานทางวฒั นธรรมซ่งึ กนั และกนั เกดิ ซ่งึ จากเหตผุ ลและปรากฏการณ์ดงั กลา่ วมีความสอดกบั ทฤษฎี การแพรก่ ระจายทางวฒั นธรรมของของ Ralph Linton(1893-1953) ท่เี ช่ือวา่ การเปล่ยี นแปลงทางสังคมและ วฒั นธรรมเกดิ จากการแพรก่ ระจายทางวฒั นธรรม โดยผา่ นการตดิ ตอ่ สื่อสารระหวา่ งสงั คมท่ตี า่ งวฒั นธรรม และตา่ งแพรก่ ระจายวฒั นธรรมไปสูก่ นั และกนั สังคมท่เี จริญกวา่ อาจรับวฒั นธรรมบางอยา่ งที่ดอ้ ยกวา่ กไ็ ด้ และสังคมทีด่ อ้ ยกวา่ อาจไมร่ ับวฒั นธรรมทเ่ี จริญกวา่ กเ็ ป็นได้ การเปลีย่ นแปลงทางสงั คมสว่ นใหญ่ เกดิ จาก การแพรก่ ระจายของวฒั นธรรมจากภายนอกเขา้ มามากกวา่ การประดิษฐ์คดิ คน้ ใหมใ่ นสงั คม หรือถา้ มกี ม็ กั นาสิ่งตา่ งๆจากภายนอกมาผสมผสานกบั ของท่ีมอี ยกู่ อ่ นแลว้ เป็นของใหม ่ ทีไ่ มเ่คยมมี ากอ่ น เห็นไดจ้ าก สงั คมและวฒั นธรรมของชาวเมอื งนา่ น และการทอผา้ วเิ ศษเมอื งนา่ น ท่ีรวมเอาภูมปิ ัญญาการทอผา้ จากหลาย ชนเผา่ มารวมกนั ไวใ้ นผนื เดยี ว แตใ่ นปัจจบุ นั ผา้ ซิ่น ผา้ ทอ เมอื งนา่ น รวมถึงวฒั นธรรมการนุง่ ผา้ ซนิ่ พื้นเมอื ง ทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ทาง วฒั นธรรมของชาวเมอื งนา่ น ความงดงาม คณุ คา่ ลวดลายบนผนื ผา้ ไดไ้ หลบา่ ออกสูภ่ ายนอกและเป็นทน่ี ิยม กนั อยา่ งแพรห่ ลายที่ ซ่งึ สวนทางกบั ทฤษฎีแพรก่ ระจายทางวฒั นธรรมของ Ralph Linton(1893-1953) ที่วา่ การเปลี่ยนแปลงทางสงั คมสว่ นใหญ่ เกดิ จากการแพรก่ ระจายของวฒั นธรรมจากภายนอกเขา้ มามากกวา่ การ ประดษิ ฐ์คดิ คน้ ใหมใ่ นสงั คม เห็นไดจ้ าก คนภายนอกพยายามท่ีจะนาเอาผา้ ซิน่ ผา้ ถุงอนั ไปเอกลกั ษณ์จาก เมอื งนา่ นออกสูภ่ ายนอก และเห็นไดจ้ าก คณะทวั ร์หรือนักทอ่ งเทยี่ วมาเท่ียวเย่ียมชมตอ้ งซื้อหาติดมอื ไปเพือ่ ใชส้ วมใสห่ รือเป็นของฝาก ดว้ ยคณุ คา่ เสนห่ ์ของลวดลาย สีสันสดสนั และความโดดเดน่ สวยงามทีเ่ ป็น เอกลกั ษณแ์ ละสัญลกั ษณข์ องชาวเมอื งนา่ น ทผ่ี คู้ นให้ความสนใจ และแพรก่ ระจายความนิยมทางภูมิปัญญา วฒั นธรรมผา้ ซ่ินสูโ่ ลกและสังคมภายนอกอยา่ งเห็นไดช้ ดั ในปัจจุบนั ดว้ ยคณุ คา่ และเอกลกั ษณ์ของผา้ ทอและผา้ ซิ่นเมืองนา่ นเป็นทลี่ ้าลือมาชา้ นาน สืบทอดผา่ นจากรุน่ สู่ รุน่ ถา่ ยทอดมาจนถึงปัจจบุ นั แตใ่ นทา่ มกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคสมยั ใหม ่ วฒั นธรรมตะวนั ตก แทรกซึมเขา้ มา ทางเลอื กดา้ นอุปกรณ์เคร่ืองแตง่ กายมีมากข้ึน เทคโนโลยี เครื่องอานวยความสะดวกมีมาก ข้ึน ถึงแมว้ า่ ชาวเมอื งนา่ นจะพยายามทจ่ี ะรักษาขนบธรรมเนียมวฒั นธรรมอนั ด้งั เดิมเอาไวแ้ ตก่ ็ดว้ ยเหตุและ ผลของการเปลย่ี นไปของโลกกม็ ีการเปลย่ี นแปลงบา้ ง ประกอบกบั บคุ ลากรชา่ งทอผา้ รุน่ เกา่ กเ็ ร่ิมทยอยจาก ไป มกี ารใชผ้ า้ พ้ืนเมอื งเพยี งบางกลมุ่ การถา่ ยทอดภมู ปิ ัญญาการเรียนรูส้ ืบทอดน้อยลง ขาดการดูแลตอ่ เนื่อง อยใู่ นหว้ งเวลาท่วี ฒั นธรรมการทอผา้ ซ่นิ แบบโบราณและการนุง่ ผา้ พนื้ เมอื งเส่ือมถอยไมน่ านนกั กไ็ ดร้ บั การ
ฟ้ืนฟูสง่ เสริม จนความนิยมผา้ ซิน่ เมอื งนา่ นไดก้ ลบั ฟ้ืนตวั อีกและไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพรห่ ลายอีกคร้งั หน่ึง มาจนถึงปัจจบุ นั และทาใหผ้ า้ ซนิ่ เมอื งนา่ นเป็นที่รู้จกั ไดร้ ับความนิยม ผคู้ นสนใจเป็นอยา่ งมาก เห็นคณุ คา่ และมคี วามตอ้ งการของทอ้ งตลาดอยา่ งมากมาย มกี ารประดิษฐ์คดิ คน้ ลวดลายตา่ งๆเพ่ิมมากข้นึ มีการอนุรักษ์ ลวดลายด้งั เดมิ แตน่ ามาผสมสานกนั ให้เกดิ ความสวยงาม คนทอ้ งถ่ินเร่ิมหันเหมาฟ้ืนฟูศลิ ปะการทอผา้ ซ่ิน พื้นเมอื งแบบโบราณอยา่ งแพรห่ ลาย อนั มเี หตุปัจจยั ทสี่ ง่ ผลทาใหผ้ า้ ซิน่ พื้นเมืองนา่ นมคี นสนใจจานวนมาก เห็นคณุ คา่ และไดร้ ับความนิยมที่จะนาไปใชส้ วมใสแ่ ละเพือ่ เกบ็ อนุรักษ์ ปรากฏการณ์ที่เกดิ ข้ึนน้นั มเี หตุละ ผลจากทางเมอื งนา่ นมี อตั ลกั ษณ์ของท่ีเป็นเมอื งท่ีรักษาขนบธรรมเนียมวฒั นธรรม มบี รรยากาศ สภาพแวดลอ้ มดี ประเพณี วถิ ชี วี ติ แบบดง้ั เดมิ การสื่อความหมายและตีความจากลายผา้ เร่ืองความเป็นมงคล แกผ่ สู้ วมใส่ ความสวยงามและสีสนั สดใส ความประณีต ความละเอียดของผืนผา้ ซนิ่ ตลอดจนกรรมวธิ ีการ ทอผา้ ทม่ี หี ลายข้นั ตอน มเี หตผุ ลจากภาพจิตรกรรมฝาผนงั ที่เป็นการสรา้ งความหมายและอธิบาย ความสาคญั ของผา้ องคค์ วามรู้ผา่ นภาพวาด รวมถงึ เอกลกั ษณข์ องตัวผา้ ซนิ่ ท่ีความหลากหลายของลวดลาย สีสัน มกี ารประชาสมั พนั ธ์ การโฆษณา การฟ้ืนฟู อนุรักษ์ สง่ เสริม ทางราชการสนับสนุนการสวมใสผ่ า้ ไทย ทุกวนั ของจงั หวดั นา่ นนาไปสูก่ ารเกดิ เป็นอัตลกั ษณ์ใหมร่ ่วมกนั จากเหตุผลตา่ งๆดงั กลา่ วขา้ งตน้ เป็น กระบวนการสรา้ งคณุ คา่ และให้ความหมายของผา้ ซ่ินทอมือ ของเมอื งนา่ น เป็นแรงผลกั ดนั และกระตนุ้ จน ทาให้ผา้ ทอมอื และผา้ ซิน่ ท่ีเป็นเอกลกั ษณ์เมอื งนา่ นไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพรห่ ลายท้งั ในพ้นื ทีแ่ ละนอกพนื้ ที่ ในปัจจุบนั ทางราชการมกี ารสนบั สนุนสง่ เสริมการเป็นเมอื งทอ่ งเทย่ี วเชงิ วฒั นธรรม นกั ทอ่ งเทย่ี วเห็น ความสาคญั และเกดิ ความสนใจผา้ ซ่นิ พ้ืนเมืองนา่ นทอมอื รวมท้งั เห็นถึงคณุ คา่ บนผนื ผา้ ทา่ มกี ารเลอื กซ้ือหา เพ่ือนาไปใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย ซ่งึ เป็นท่ีนา่ สังเกตวา่ ผา้ ทท่ี อดว้ ยวสั ดุจากธรรมชาติ ทอผา้ แบบพ้ืนเมอื งโบราณ หรือทอมอื จะมรี าคาสูงกวา่ กลุม่ ผา้ ทอทเ่ี ป็นกรรมวธิ ีสมยั ใหมแ่ ละวสั ดทุ ใี่ ชส้ ังเคราะห์ข้ึนตามวธิ ีทาง วทิ ยาศาสตร์จะมรี าคาถูกกวา่ ผา้ ทอมอื จนในปัจจบุ นั เมอื งนา่ นมกี ลมุ่ สง่ เสริมภูมิปัญญาการทอผา้ พ้นื เมือง หลายแหง่ ที่มชี ื่อเสียงกระจายไปในหลายอาเภอ ซ่งึ ผคู้ นใหค้ วามสนใจผา้ ซ่ินท่ีเป็นเอกลักษณ์ลวดลายของ เมอื งนา่ น มสี ง่ เสริมประชาสัมพนั ธ์ให้นกั ทอ่ งเทย่ี วไปเย่ียมชม กระบวนการและวธิ ีการทา ตลอดจนเลือกซื้อ ผลผลติ ผา้ ทอจากกลุม่ มตี ลาดและพืน้ ท่ีสาหรบั วางชน้ิ งานเพอื่ จาหนา่ ยสูผ่ ู้คนท่ีสนใจ ในปัจจบุ นั นิยมนุง่ ผา้ พืน้ เมอื งกนั อยา่ งแพรห่ ลาย และดว้ ยความงดงาม ความเป็นเอกลกั ษณ์ สีสัน ความหมายของลวดลาย การ ผสมผสานลวดลายบนผืนผา้ การถา่ ยทอดภูมปิ ัญญาที่สืบทอดจากรุน่ สูร่ ุน่ ทาให้ผา้ ทอหรือผา้ ซ่ินเมอื งนา่ น ไดร้ ับความนิยมและพฒั นาควบคกู่ บั วถิ ีชีวติ เชงิ วฒั นธรรมของเมืองนา่ นมาจนถงึ ปัจจุบนั
อ้างองิ ขนั คา สายใจ.(2545). บนั ทึกความทรงจา...ในอดีตอนุสรณ์งานฌาปนกจิ ศพ เจา้ ขนั คา สายใจ(ณ นา่ น). มปป คณะทางานเอกลกั ษณน์ า่ น.( 2553).เอกลกั ษณ์นา่ น. เชียงใหม:่มรดกลา้ นนา : สานกั พมิ พ์. 107-125 จริ ศกั ด์ิ เดชวงศ์ญา.(2539). เจดียเ์ มอื งเชียงแสน.กรุงเทพมหานคร : ตรัสวนิ ชยานันทมนุ ี,ดร.พระ.(2557). ประชมุ พงษาวดาร ภาค 10 เร่ือง ราชวงษ์ปกรณพ์ งษาวดาร เมอื งนา่ น ฉบบั พระเจา้ สุริยพงษ์ผริตเดช พระเจา้ นา่ น ใหแ้ สนหลวงราชสมภารแตง่ . นา่ น : นา่ นออฟเซท็ . 185 ชลลดา สังวร .(2553). สังคมและหลกั ฐานโบราณคดีสมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร์ จ.นา่ น . (หนังสือเอกลกั ษณ์ นา่ น).เชยี งใหม:่มรดกลา้ นนา : สานกั พมิ พ์. 15-19 ชมุ ชนนา่ น.วทิ ยาลยั . (2558) . แขง่ เรือลือเลือ่ งเมอื งงาชา้ งด า. หนังสือที่ระลกึ เนื่องในโอกาสสมเด็จพระเทพ รตั นราชสุดาฯ เสด็จพระราชดาเนินยกแผน่ ทองจงั โกลายดอกประจายามประดบั พระธาตุทา่ ลอ้ อ.ภเู พียง จ.นา่ น : นา่ น:อิงค์เบอร่ี . 9-27 ทรงศกั ด์ิ ปรางคว์ ฒั นากลุ .(2530). ผา้ ลานนา ยวน ลือ้ ลาว.เชียงใหม ่: โครงการศูนยส์ ง่ เสริมศิลปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ ทรงศกั ด์ิ ปรางค์วฒั นากลุ .(2559). พิพธิ ภณั ฑ์ล้ือลายคา สืบสานสายใยผา้ ทอไทล้อื . เชยี งราย : พพิ ธิ ภณั ฑล์ อ้ื ลายคา เธียรชาย อกั ษรดษิ ฐ์ และคณะ. ( 2551 ). ลวดลายพทุ ธศิลป์ นา่ น. เชยี งใหม ่: สันตภิ าพแพ็คพริ้นซ์. 14 นา่ น.จงั หวดั ทหารบก.คณะกรรมการจดั ทาหนังสือพระเจา้ นครนา่ น.2552. พระเจา้ นครนา่ น.กรุงเทพ : เอบอยซ.์ 34-48 นาวนิ ปัญญาหาญ.(2551). สุนทรียศาสตร์เชิงพทุ ธในผา้ ทอเมอื งนา่ น.เชยี งใหม ่ : มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม ่ มณี พยอมยงค์.(2527). “ความเชอื่ และประเพณลี า้ นนาไทย” ใน ลา้ นนาไทย. เชียงใหม:่ ทพิ ยเ์ นตร การพิมพ์ ยทุ ธพร นาคสุข. (2550). วงกลองเมอื งนา่ น : วงกลองคมุ วงกลองอืด วงกลองลอ่ งนา่ น (มงสืดส่ึง)และฟ้อน ลอ่ งนา่ น. เชียงใหม:่ สานกั พมิ พม์ รดกลา้ นนา. 47-85 เรณู เหมอื นจนั ทร์เชย. ( 2548 ). สารานุกรมกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ในประเทศไทย: ไทยยวน. กรุงเทพฯ: สหธรรมมกิ จากดั วฒั นธรรม.กระทรวง. (2555). ปกณิ กวฒั นธรรมจงั หวดั นา่ น. กรุงเทพฯ: รุง่ ศิลป์ การพมิ พ์. 122-133 สุริยพงษ์ ผริชเดช.พระเจา้ นครนา่ น. (มปป). ราชวงษปกรณ์ พงษาวดารเมอื งนา่ น ฉบบั พระเจา้ สุริยพงษ์ ผริตเดช พระเจา้ นครนา่ น ให้แตง่ ไวส้ าหรบั บา้ นเมอื ง. มปพ.สาเนา สิริกร ไชยมา. (2543). ซอเพลงพนื้ บา้ นลา้ นนาภูมปิ ัญญาชาวเหนือ. แพร:่ แพรไ่ ทยอตุ สาหกรรมการพิมพ์. 9
สรสั วดี อ๋องสกลุ . (2555).ประวตั ิศาสตร์ลา้ นนา.กรุงเทพฯ : อมรินทร์. 111 สถติ ิจงั หวดั นา่ น. ส านักงาน.(2554). สรุปผลการสารวจการทอ่ งเท่ยี วและภาพลักษณข์ องจงั หวดั นา่ น. นา่ น: สานักงานสถิตจิ งั หวดั นา่ น. 14 สมเจตน์ วมิ ลเกษม.(2558). ถอดรหสั วดั ภมู นิ ทร์.นา่ น : อิงคเ์ บอร์ร่ี นา่ น สาราญ จรุงจิตรประชารมณ.์ (2542). บนั ทกึ ความทรงจา สาราญ จรุงจติ รประชารมณ์ ท่ีระลึกครบ 7 รอบนักษตั ร 9 มนี าคม 2542. (มปพ.). อดั สาเนา. 4-11 องค์การบริหารการพฒั นาพืน้ ทพ่ี ิเศษเพอ่ื การทอ่ งเที่ยวอยา่ งยง่ั ยนื : อพท.(องค์กรมหาชน). (2557). “พน้ื ที่ พิเศษนา่ น” (ออนไลน์). แหลง่ ทมี่ า www.Dasta.co.th.15 ธนั วาคม 2557). องคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวดั นา่ น. (2549). เลา่ เรื่องวรนคร. กรุงเทพ:อัมรินทร์พร้ินตงิ้ แอนดพ์ บั ลิซซ่ิง: 49 อา้ งอิงบุคคลผใู้ ห้สมั ภาษณ์ - คณุ ภทั ทราภรณ์ ปราปริปู ผดู้ ูแลโฮงเจา้ ฟองคา บา้ นเลขที่ 8 ซอย 2 ต.ในเวยี ง อ.เมอื ง จ.นา่ น - คณุ สมพศิ เทพศริ ิ วราภรณผ์ า้ ทอ อาเภอเวยี งสา จงั หวดั นา่ น - แมอ่ อ้ ย ผา้ ทอเมอื งนา่ น ตลาดเชา้ เมอื งนา่ น อ.เมอื ง จ.นา่ น
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: