ทำไมตอ้ ง หม้อ\"ปรู ณฆฏะ\" ณฏั ฐฑ์ กฤษณ์ ไชยจินดา* \"ปรู ณฆฏะ\" หมายถึง หมอ้ นา้ แห่งความอดุ มสมบรู ณ์ ตรงตวั ตามรากศพั ทท์ ่ีผกู ขึน้ จาก ภาษาสนั สกฤตสองคา คือคาวา่ \"ปรู ณะ\" ท่ีหมายถงึ ความบรบิ รู ณ์ และ \"ฆฏะ\" ท่ีแปลวา่ หมอ้ นา้ ซ่ึงไดป้ รากฎเร่ืองราวดงั กล่าวในคมั ภีรม์ ีตริของอินเดียโดยขอ้ ความเปรียบเปรยว่า โลกผุดขึน้ มา เหนือนา้ เปรียบประดจุ กบั ดอกบวั โดยแกนของดอกบวั หลวงท่ีโผลพ่ น้ เหนือนา้ ดงั ท่ีปรากฏในหมอ้ ปรู ณฆฏะ ส่ิงนีจ้ ึงเปรียบเสมือนเขาพระสเุ มรุท่ีแกนของโลกและแกนของจกั รวาลตามความเช่ือ ของในคมั ภีร์ และหม่พู รรณไมน้ า้ นานาชนิดท่ีงอกงามออกมาปกคลมุ อย่โู ดยรอบแกนของดอกบวั หลวงนั้นบางครัง้ ก็ปรากฏรูปนกน้า หรือสัตว์นา้ นานาพันธุ์ประดับแซมอยู่ด้วย ส่ิงเหล่านี้ เปรียบเสมือนกบั ความอดุ มสมบรู ณท์ ่ีบงั เกิดขนึ้ โดยมีแกนของโลกเป็นศนู ยก์ ลาง (สรุ พล ดารหิ ก์ ลุ . ,2562). ในบรรดากลมุ่ เชิงชา่ งอินเดียไดใ้ ชเ้ ป็นศพั ทน์ ีเ้ รียกลวดลายรูปหมอ้ นา้ ท่ีมีดอกบวั หลวงโผล่ พน้ ออกมาเหนือปากหมอ้ อนั ถือเป็นสญั ลกั ษณแ์ หง่ ความมงคลและความอดุ มสมบรู ณ์ *นายณฏั ฐ์ฑกฤษณ์ ไชยจินดา นกั ศกึ ษาหลกั สตู รดษุ ฎีบณั ฑติ สาขาวฒั นธรรม ศลิ ปกรรม และการออกแบบ (ศลิ ปะการแสดง) คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจาปีการศกึ ษา 2/2563.
ท่ีพบไดต้ งั้ แตส่ มยั อินเดยี โบราณก่อนราชวงศก์ ษุ าณะในชว่ งก่อน พ.ศ.600 เป็นตน้ มา ส่ิง นีจ้ ะปรากฏอย่ทู งั้ งานชา่ งใน ศาสนาพทุ ธ พราหมณ์ และไชนะ อีกทงั้ ยงั มีเร่ืองเล่าเก่ียวกบั หมอ้ \" ปรู ณฆฏะ\" ผ่านเทพปกรณมั ในบางเร่ือง ท่ีเล่าขานกันมาในดินแดนชมพูทวีป เร่ืองราวกล่าวถึง พระแม่คงคาและพระแม่ยมนา เทพีแห่งแม่นา้ สาคญั ทั้งสองสายถือหม้อท่ีเอ่อล้นไปด้วยนา้ เหมือนกับพลงั ท่ีก่อเกิดขึน้ มาเพ่ือถ่ายทอดถึงอานาจอันเหนือธรรมชาติ ในขณะเดียวกันหมอ้ ปู รณฆฏะในรูปแบบของงานช่างลงั กา (สนั ติ เล็กสขุ มุ ,2534) สมยั อนรุ าธปรุ ะ อายรุ าว พ.ศ. 1000- 1300 ลวดลายรูปหมอ้ นา้ อนั มงคลท่ีส่ือถึงความอดุ มสมบรู ณ์ มกั จะถกู ประดบั อยทู่ ่ีตาแหน่งประตู ทางเขา้ ศาสนสถานท่ีสาคญั ๆในพระนครหรอื ตามหวั เมืองสาคญั ๆ โดยมงุ่ ลเนน้ การส่ือความหมาย ท่ีมีมาแตด่ งั้ เดมิ ถึงการอวยพรใหแ้ กผ่ ทู้ ่ีเขา้ มาสกั การะศาสนสถาน เพ่ือใหป้ ระสบแตค่ วามสมบรู ณ์ พนู สขุ ทงั้ ยงั เหมาะสมสวยงามอยา่ งสมมาตรในรูปลกั ษณข์ องรูปแจกนั ท่ีปักดว้ ยดอกไมอ้ นั วิจิตร ประดบั อยทู่ งั้ ขา้ งประตทู างเขา้ ศาสนสถาน (สอนสพุ รรณ,2553) ลวดลายรูปหมอ้ ปรู ณฆฏะ จงึ มีความหมายท่ีส่ือถงึ ความอดุ มสมบรู ณ์ หรือการก่อกาเนิด ของผลิตผลต่างๆ โดยมี \"นา้ \" ท่ีบรรจุอยู่ภายในหม้อเป็นมูลเหตุแห่งพลังงาน ทั้งนีง้ านช่าง โดยท่วั ไปของอินเดีย โดยเฉพาะทางใต้แถบแควน้ อานธรประเทศรวมไปถึงในดินแดนลงั กาทวีป จงึ นิยมจาหลกั รูปหมอ้ ปรู ณฆฏะประดบั อย่ทู ่ีประตทู างเขา้ ศาสนสถานดงั ท่ีกล่าวมาแลว้ อีกทงั้ ยงั เป็นการใหโ้ ชคลาภแกศ่ าสนกิ ชนผมู้ าบชู าศาสนสถานนนั้ ๆ ซ่งึ มีปรากฏนยิ มมาตงั้ แตเ่ ม่ือ พ.ศ.600 เป็นอยา่ งนอ้ ย แตใ่ นขณะเดยี วกนั ก็นยิ มสลกั เป็นลวดลายประดบั อยทู่ ่ีฐานเสาประหนง่ึ ว่าเสาทงั้ ตน้ งอกเงยออกมาจากหมอ้ นา้ และใหค้ วามหมายถึงการคา้ จนุ จกั รวาล โดยจาลองจากอาคารศา สนสถานท่ีประกอบขนึ้ จากหม่ืนโลกธาตุ (สรุ พล ดารหิ ก์ ลุ . ,2562). ส่วนในกลุ่มงานช่างของอินเดียเหนือ มักปรากฏรูปหมอ้ ปรู ณฆฏะอยู่ร่วมกับลวดลาย มงคลประเภทอ่ืนๆ ไดแ้ ก่ ลายตรีรตั น์ สงั ข์ จกั ร ศรีวตั สะ ปลาคู่ สวสั ดิกะ และดอกบวั รวม เป็นชดุ ลวดลายเดียวกนั ตามความเช่ือเก่ียวกบั มงคลแปดประการ โดยเรียกวา่ อษั ฏมงคล และใน บางครงั้ ลายหมอ้ ปรู ณฆฏะไดถ้ กู นาเขา้ ไปอยรู่ ว่ มกบั ลายมงคลชนิดอ่ืนๆในรูปแบบของครบจานวน แปดอยา่ ง โดยเรยี กวา่ เป็นชดุ วา่ อษั ฏมงคล ดว้ ยเหมือนกนั (วิยะดา ตานี,2544) ลวดลายชุดเหล่านีไ้ ดถ้ ูกประดับอยู่ทั้งในงานช่างท่ีเก่ียวขอ้ งกับศาสนาและข้าวของ เคร่ืองใชต้ ่างๆ ซ่ึงเป็นท่ีนิยมอยู่มากทงั้ ในเขตพืน้ ท่ีเอเชียกลางเร่ือยไปจนกระท่งั ถึงในเขตพืน้ ท่ี
ประเทศจีน ซ่ึงความนิยมในการประดับรูปหม้อปูรณฆฏะนีไ้ ด้ปรากฏเร่ือยมาจนถึงดินแดน อุษาคเนย์ ท่ีมีพืน้ ฐานความคิด และสนุ ทรียภาพตามอย่างศาสนาพราหมณเ์ ขา้ มาสอดแทรกใน กระบวนการดาเนินชีวิตดา้ นความเช่ือและพิธีกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มงานชา่ งของพกุ ามท่ีอยู่ใน ปี พ.ศ.1500 - 1700 ถึงแมว้ า่ ความเช่ือดงั กลา่ วจะแพรก่ ระจายไปยงั ดนิ แดนตา่ งๆ แตค่ วามเช่ือก็ ยงั คงไวต้ ามคตขิ องอนิ เดยี ลวดลายรูปหมอ้ นา้ ดงั กล่าวยังปรากฏอยู่ในวฒั นธรรมทวารวดีในพืน้ ท่ีภาคกลางและ ทวารวดีในพืน้ ท่ีภาคอีสาน ซ่งึ ถกู ประกอบขึน้ เป็นส่วนองคร์ ะฆงั ท่ีตอ่ ยอดฉัตรขนึ้ ไปเป็นองคพ์ ระ สถปู เรียกว่า สถปู ทรงหมอ้ นา้ ซ่งึ ยงั คงใหค้ วามหมายเก่ียวเน่ืองถึงความเช่ือเร่ืองแกนโลกตาม คตเิ ร่อื งศนู ยก์ ลางจกั รวาล (หนงั สือพิมพล์ านนาโพสต,์ 2561) ในประเทศไทยนนั้ ไดพ้ บลายหมอ้ ปรู ณฆฎะนีม้ าเป็นเวลานานแลว้ ดงั หลกั ฐานลายหมอ้ ปู รณฆฎะท่ีปรากฏอยู่ในดา้ นหน่ึงของเหรียญเงินสมยั ทวารวดี ท่ีพบในแหล่งโบราณคดีท่ีอู่ทอง นครปฐม สิงหบ์ รุ ีและลวดลายในรอยพระพทุ ธบาทศลิ ปะสโุ ขทยั ท่ีสรา้ งขนึ้ ในรชั สมยั พญาลิไทใน ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 20 ซ่งึ ไดป้ รากฏลวดลายหมอ้ ปรู ณฆฎะ เป็นลายมงคลหน่งึ ในลายมงคลรอ้ ย แปดประการ สาหรบั ในลา้ นนา มกั เรียกลวดลายดงั กลา่ วนีว้ ่า “หมอ้ ดอก” หรือ “ลายหมอ้ ดอก” ปรากฏขึน้ เป็นครงั้ แรกเป็นงานลายคาประดบั อย่ภู ายในวิหารพระพทุ ธ วดั พระธาตลุ าปางหลวง จงั หวดั ลาปาง ในตอนตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี 21 (สรุ พล ดารหิ ก์ ลุ ,2562). ภาพประตมิ ากรรมมนษุ ยนาคถือหมอ้ ปรู ณฆฎะ วดั เจดียส์ ่ีหอ้ ง จงั หวดั สโุ ขทยั
ลายปรู ณฆฎะ หรอื ลายหมอ้ ดอก ท่ีปรากฏอยใู่ นวหิ ารพระพทุ ธนนั้ จะเป็นงานลายคาปิด ทองลายฉลทุ ่ีมีลกั ษณะเป็นภาพกอดอกไมท้ ่ีมีกา้ น 7 กา้ นออกมาจากหมอ้ นา้ ท่ีมีปากกวา้ ง และมี เถาไมท้ ่ีเลือ้ ยออกมาจากปากหมอ้ ทงั้ สองขา้ ง มีนกบนิ ประกอบอยดู่ า้ นบน คาดวา่ จะไดร้ บั คติมา จากการประดบั ลวดลายหมอ้ ปรู ณฆฎะในศลิ ปะลงั กา ภาพจติ รกรรมลวดลายหมอ้ ปรู ณฆฎะ ในปลายพทุ ธศตวรรษท่ี 23 ลายหมอ้ ดอกจะเป็นท่ีนิยมใชใ้ นงานประดบั มากย่ิงขนึ้ และมี พฒั นาการขนั้ สงู สดุ ปรากฏในวหิ ารวดั ปงยางคก จงั หวดั ลาปาง ซ่งึ จะเป็นลายหมอ้ ดอกท่ีงดงาม และซบั ซอ้ นมากย่งิ ขนึ้ ลกั ษณะจะเป็นหมอ้ ทรงสงู ท่ีมีชอ่ ดอกบวั บาน และกา้ นลายใบไมป้ ระกอบ กนั และมีเถาไมเ้ ลือ้ ยประกอบอย่ดู า้ นขา้ งมีหลายรูปแบบ ซ่งึ จะเนน้ ให้ความสาคญั อยทู่ ่ีลายใบไม้ ประกอบ ซ่งึ รูปแบบหน่งึ จะเป็นลายใบไมจ้ ะเป็นแบบธรรมชาติใบคอ่ นขา้ งใหญ่ คลา้ ยลายใบไม้ ในศิลปะแบบตะวนั ตก ท่ีคาดว่าจะเป็นรูปแบบของศิลปะอยุธยาตอนปลายท่ีแพรห่ ลายเขา้ มาสู่ ลา้ นนาในช่วงเวลานี้ กับอีกรูปแบบหน่ึง จะใชล้ ายกระหนกหวั มว้ นโคง้ ปลายแหลมแทนท่ีลาย ใบไม้ (สนั ติ เล็กสขุ มุ ,2534) ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี 24 เป็นต้นมา ลายหม้อดอกเปล่ียนแปลงไปเป็นอย่างมาก เน่ืองจากศลิ ปะรตั นโกสินทรไ์ ดม้ ีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ตวั อยา่ งเช่น ลายหมอ้ ทรงสงู ท่ีมีกา้ นดอก จานวนมากปักและเลือ้ ยลงมาดา้ นขา้ งทงั้ สองขา้ ง ท่ีปลายกา้ นดอกเป็นลายพมุ่ ขา้ วบณิ ฑ์ และอีก แบบหน่งึ เป็นลายเถาไมแ้ ละตน้ ไมท้ ่ีออกมาจากปากหมอ้ ทรงสงู คลา้ ยตน้ ไมด้ ดั ของจีนและมีหงส์ แบบจีนจบั อยบู่ นก่ิงไม้ เป็นตน้ (นิดดา หงสว์ วิ ฒั น,์ 2555)
การสรา้ งลวดลายหมอ้ ดอกประดบั ศาสนสถานของลา้ นนานนั้ อาจหมายถึง การถวาย ดอกไมเ้ พ่ือเป็นพุทธบชู า เป็นท่ีน่าสงั เกตว่าในระยะแรกลายหมอ้ ดอกจะมีปรากฏอย่แู ต่ในงาน ลายคา แต่ต่อมาพบว่าลวดลายหม้อดอกจะไดร้ ับความนิยมมากขึน้ และปรากฏอยู่ในงาน ศลิ ปกรรมแบบอ่ืนๆ ทงั้ ปนู ปั้น สลกั ไม้ ปั้นรกั และเขียนสี รวมทงั้ ยงั เป็นหมอ้ ดอกไมล้ อยตวั ท่ีตงั้ ประดบั อย่ตู ามมุมขององคพ์ ระธาตเุ จดียอ์ ีกดว้ ย ความหลากหลายของลายปรู ณฆฎะ หรือ ลาย หมอ้ ดอก ท่ีปรากฏในงานศิลปกรรมลา้ นนา สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงคตินิยมและเอกลกั ษณส์ าคญั ใน ศลิ ปะลา้ นนา (เฉลียว ปิยะชน, 2540) หลงั พ.ศ.1800 ลายหมอ้ ปรู ณฆฏะ ในงานช่างอษุ าคเนยไ์ ดป้ รบั เปล่ียนทงั้ ความหมาย และรูปทรงกลายเป็นแค่ลวดลายประดบั ลายคาท่ีผนังวิหารนา้ แตม้ วดั พระธาตลุ าปางหลวง จงั หวดั ลาปาง เขียนรูปหมอ้ ทรงสงู คลา้ ยแจกนั ประดบั ไวด้ ว้ ยดอกบวั หลวง เรียงรายอย่เู ป็นแถว เหนือพืน้ ท่ีทาสีแดง คลา้ ยขา้ วของท่ีถวายเป็นพทุ ธบูชา คงจะมีอายุไมเ่ ก่าไปกว่า พ.ศ.2200 ท่ีมี รอ่ งรอยของการปฏิสงั ขรณว์ หิ ารครงั้ ใหญ่ ดงั นนั้ ลวดลายรูปหมอ้ ปรู ณฆฏะจงึ เก่ียวขอ้ งกบั กาเนดิ แห่งความอดุ มสมบรู ณเ์ ม่ือราวสอง พนั ปีท่ีแลว้ คอ่ ยๆ คลายความเขา้ ใจ และเคล่ือนคลอ้ ยไปจากความหมายดงั้ เดิมในแตล่ ะทอ้ งท่ี ตามแตก่ ระแสแห่งความนิยมในแบบแผนของงานช่างจะพดั พาไปตามเครือข่ายของการคา้ และ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในแต่ละยุคสมัย ท้ายสุดความเขา้ ใจในความหมายดงั้ เดิมก็เจือจาง กลายเป็นเพียงงานประดบั ใหเ้ หมาะสมกบั สนุ ทรยี รส เอกสำรอ้ำงอิง เฉลียว ปิยะชน. (2540). ประตมิ ำกรรมเทวดำและกนิ นรแห่งล้ำนนำ, กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พป์ ราณ. นดิ ดา หงษว์ วิ ฒั น.์ (2555). พระพทุ ธรูปและเทวรูป : ศลิ ปะล้ำนนำ สุโขทยั อยธุ ยำ และ รัตนโกสนิ ทร.์ กรุงเทพฯ: คต.ิ วยิ ะดา ตานี. (2544). วทิ ยำนิพนธ์ เร่ือง “กำรเชือ่ มโยงควำมในจำรึกสุโขทัย. ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรม์ หาบณั ฑติ สาขาวชิ าจารกึ ภาษาไทยบณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. ศกั ดชิ์ ยั สายสิงห.์ (2556). ศลิ ปะล้ำนนำ. กรุงเทพ: มตชิ น, 2556.
สนั ติ เลก็ สขุ มุ . (2534). ศลิ ปะเชียงแสน (ศลิ ปะล้ำนนำ) และศิลปะสุโขทัย. กรุงเทพฯ: ภาควชิ าประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะคณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. สรุ พล ดารหิ ก์ ลุ . (2562). “ปูรณฆฎะ” หรือ “ลำยหม้อดอก” คตนิ ิยมและเอกลักษณส์ ำคัญ ของล้ำนนำ. สืบคน้ จาก https://www.facebook.com/pg/AppreciationinArtandArchaeologyinThailand/post หนงั สือพิมพล์ านนาโพสต.์ (2561). ปรู ณฆฏะ หม้อดอกทแ่ี สนชดช้อยน่ำชม. สืบคน้ จาก http://www.lannapost.net/2018/04/blog-post_97.html สอนสพุ รรณ. (2553). บูรณฆฏะ...วัดปงยำงคก. สืบคน้ จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=621866
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: