42 วรณุ นาค มึงว่าจั่งได๋เกาะ... มึงสิเอาเมียกูสีดาจันทร์ไปกับมึงซั่นบ่ บักเด็กนอ้ ย สนิ ไซ แม่นแล้ว... อาสุมณฑามาดานางประสงค์ ส่งนางมาแล้ว เฮาสจิ ากไป วรุณนาค มงึ นม้ี าสหาวกล้า เมยี กูเคียงบ่ใหม้ งึ แท้ (วรุณนาคต่อสู้กับสินไซ พระยาวรุณราชไม่ยอมปล่อย สินไซหลบหนี และ วรณุ นาคออกตามสนิ ไซไปติด ๆ) (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) เนื้อหาที่ยกมาข้างต้นมาจากฉากที่ 3 สินไซขอแข่งสกากับ พระยาวรุณราช พบว่าผู้ประพันธ์บทยังคงโครงเรื่องหลักของวรรณกรรมต้นฉบับไว้ คือการต่อสู้ ระหว่างสินไซกับพระยาวรุณราช โดยรายละเอียดที่ลดทอนออกไปนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ต้องใช้ ตวั ละครมาก ซง่ึ เปน็ ข้อจำกัดประการหนึ่งของการแสดงละครหนุ่ รว่ มสมัย และแมว้ า่ ผู้ประพันธ์บทจะ ยังคงเนื้อหาที่สินไซแผลงศรเพื่อเรียกพญาครุฑมาร่วมรบไว้ แต่ก็มีการลดทอนตัวละครกองทัพครุฑ ให้เหลือเพียงพญาครุฑเพียงตัวเดียว เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนผู้แสดง เช่นเดียวกับการลดทอน เหตุการณก์ ารตอ่ สู้กับกองทพั ชาวนาค ดงั ตัวบท ฉาก 4 สินไซรบกบั พระยาวรุณราช (สงครามขยายความรนุ แรงขน้ึ พระยาวรุณราชต่อส้กู บั สินไซ สินไซตดั สนิ ใจ ยิงธนูศรขึ้นไปบนทอ้ งฟ้าเพ่ือสง่ สญั ญาณเรยี กพญาครุฑมารว่ มตอ่ สู้) (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) ในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม พบว่า ผู้ประพันธ์บทได้ลดทอนรายละเอียดเนื้อหาเหตุการณ์การสู้รบระหว่างสินไซกับพระยาวรุณราช และ กองทัพครุฑกับกองทัพนาค เนื่องจากในวรรณกรรมต้นฉบับ เหตุการณ์การสู้รบครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ ยิ่งใหญ่และมีตัวละครมาก ถึงแม้ว่าจะมีการลดความในบทละครหุ่นร่วมสมัยไปอย่างไรก็ตาม แต่ผู้ประพันธ์บทก็ยังคงรักษาโครงเรื่องหลักคือเหตุการณ์การแผลงศรเพื่อเรียกครุฑมาช่วยต่อสู้ ซ่ึงเป็นฉากสำคญั และเปน็ ลกั ษณะเฉพาะของวรรณกรรมต้นฉบับเอาไว้ และเนอ้ื หาทถี่ ูกลดทอนไปนั้น กไ็ มส่ ง่ ผลตอ่ การดำเนินเร่อื งแต่อย่างใด เนื้อหาที่ผู้ประพันธ ์บทลดทอนไปนั้นเป็นเหตุการณ์ ที่ต้องใช้ ตัวละครมาก ซึ่งเป็นข้อจำกัดประการหนึ่งของการแสดงละครหุ่นร่วมสมัย หากมีตัวละครมาก จำนวนผู้แสดงหรือผู้เชิดก็ต้องมากตามไปด้วย อีกทั้งเหตุการณ์ที่ลดทอนไปนั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่ต้อง
43 ใช้ฉากที่หลากหลายเพื่อดำเนินเรื่อง ซึ่งจะเป็นปัญหาในการแสดงที่ต้องเปลี่ยนหรือสลับฉาก การลดความจึงเป็นการลดทอนรายละเอียดเนื้อหาบางส่วนของวรรณกรรมต้นฉบับ เพื่อให้เหมาะสม กบั รูปแบบของการแสดง และเพือ่ เป็นการกระชบั เวลาในการแสดง 2) การเพ่ิมความ การเพิ่มความ เป็นการเพิ่มเนื้อหาหรือรายละเอียดบางส่วนใน บทการแสดงให้ต่างไปจากวรรณกรรมตน้ ฉบบั แตย่ งั คงรกั ษาโครงเร่ืองหลักของวรรณกรรมต้นฉบับไว้ โดยเนื้อหาในวรรณกรรมสังข์สิลป์ชัยที่ผู้ประพันธ์บทคัดมาใช้เพื่อนำมาสร้างสรรค์เป็นบทละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คือเนื้อหาในบทที่ 11 นาคะยุทกัมม์บ้ัน ผู้ประพันธ์บทได้ใช้ วิธีการเพิ่มความบทละครหุ่นร่วมสมัยใน 3 ลักษณะ คือ การเพิ่มเนื้อหา การเพิ่มตัวละคร และ การเพมิ่ การลา ก. การเพิ่มเนอื้ หา ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการเพิ่มเนื้อหาบางส่วน ให้ต่างไปจากวรรณกรรมต้นฉบับ เพื่อให้การแสดงมีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยในช่วงก่อนการดำเนิน เรื่องราวทั้งหมด ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มเนื้อหาเรื่องย่อของวรรณกรรมสินไซก่อนเข้าสู่เหตุการณ์ การต่อสู้กับพระยาวรุณราช เพื่อเป็นการเกริ่นให้ผู้ชมทราบถึงที่มาที่ไปการผจญภัยของสินไซ ซึ่งจะนำมาสู่เรื่องราวที่ผู้ประพันธ์บทได้นำมาสร้างสรรค์เป็นบทละครหุ่นร่วมสมัย คือการตาม นางสีดาจันทร์กลบั คนื เมืองเปง็ จาล และการสู้รบกับพระยาวรุณราช ในการแสดงชุด นาคะยุทธกรรม ดังตวั บท บัดน้.ี .. พวกผ้ขู า้ สิเรมิ่ เลน่ เรอื่ งสินไซ ฮ่าตอนไดม๋ นั ผดิ นดิ เดียวอภยั ดว้ ย ผูเ้ ขยี นกลอนกบั คนเหลน่ ขออภยั ไวก้ ่อน หนุ่ ละครมือ้ น่ขี อเรม่ิ เร่อื งไป หมอลำ โอ่โอ้ย ละน้อ สิได้ขอกล่าวเรื่องนิทานเก่าเดิมดา วรรณกรรม อีสานสืบมาแต่นานล้ำ วรรณกรรมล้านช้างสังศิลป์ชัยเด้อ แมพ่ ่อ สไิ ด้ขอกล่าวร้องทำนองเอื้อนวา่ ส่ฟู งั ยังมีสามพี่น้องเป็นชาติหน่อแนวกษัตริย์ เทววาชอินตา ส่งลงเมืองใต้ ให้มาเป็นบุตราแก้วพระยากุศราชผู้เป็นพ่อ เปง็ จาลน้อเป็นเขตก้ำเมอื งบา้ นถ่นิ นคร
44 บาดนี้เถิงคาวแล้วคือมีแนวมาบังเบียด คิดว่าเป็นเสนียดห้าย เมืองบ้านแม่นบ่ดี หมอโหรชี้เป็นแนวใหม่ใส่ความหลง ให้พระองคไ์ ล่มันหนีลกู บด่ กี าลีบ้าน … สามหนอ่ ไท้ใหญ่เป็นบาบา่ ว วา่ มีสาส์นฮอดท้าวพอ่ เจ้าได้ส่งมา ในสาส์นไซ้เขียนลงออกมาว่า ให้ทั้งสามนำเอาอาสุมณฑา แจ่มเจ้าคืนเข้านั่งนคร เดียวนี้ตกตอนเบื้องอโนราชเมืองยักษ์ ยากสำ่ ได๋ให้คอ่ ยไปนำเด้อท้าว พากันเดินดุ่งด้าวยาวยานดั้นป่า ผ่านเก้าด่านอันตรา มหาภัย เจ็ดย่านน้ำ นำฮอดบ่อนอยู่อา จั่งได้มาพบพ้อสุมณฑาอาทาน นำอากลับคนื บา้ นเมอื สร้างน่ังเมอื ง กมุ ภัณฑย์ ักษ์เขา้ ต้านโวเกิดสงคราม ทำเรวรบยกั ษ์มรณังเม้ียน สามบาท้าวพาเอาอาคืนเมือส่ง สมประสงค์ใจพ่อท้าว พาอาเข้าสนู่ คร... (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) บทละครหุ่นร่วมสมัยที่ยกมาข้างต้น เป็นการ เกริ่นนำก่อนเข้าสู่การดำเนินเรื่อง โดยผู้ประพันธ์บทได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการ ให้สัญญาณแก่ผู้ชมว่าการแสดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และผู้แสดงออกตัวขออภัยหากการแสดง มีข้อผิดพลาด ในส่วนที่สองเป็นการเล่าเรื่องย่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์การต่อสู้กับ พระยาวรุณราช ตั้งแต่ที่นางจันทา นางลุน สินไซ สังข์ทอง และสีโห ถูกขับออกจากเมืองเป็งจาล เพื่อให้ผู้ชมที่ไม่เคยรู้จักวรรณกรรมสินไซได้ทราบถึงเนื้อหาของเรื่องโดยย่อ และเพื่อให้เข้าใจเนื้อหา ในตอนที่ผู้แสดงจะทำการแสดง การเพิ่มเนื้อหาเกริ่นนำเช่นนี้จึงเป็นการสร้างความเข้าใจในเนื้อหา การแสดงใหแ้ กผ่ ้ชู ม และเปน็ การแนะนำตวั ละครหลกั ให้ผู้ชมได้รู้จักกอ่ นชมการแสดง นอกจากนี้ ในฉากที่ 1 สุมณฑาขอหลาน ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มรายละเอียดเนื้อหาเหตุการณ์ที่สินไซและสังข์ทองออกเดินทางไปยังเมืองบาดาล เพอ่ื ใหเ้ หน็ ถึงการผจญภยั ของตวั ละครท้งั สอง ดังตวั บท (บทพากย-์ หมอลำ) ท้าวกะขึ้นขีน่ อ้ งสมสะอาดสังขท์ องพาผู้มลี ่องลอยในนำ้ ไปเดอ้ นอ้ งสังขใ์ ห้ล่องลอยลัด ตดั กระแสสินปินหันพนั คล่นื
45 ยามกลางคืนดังก้องลมผยองปัดเป่า ตื่นมื่อเซ้าใสเกลี้ยง พากเพยี ร ใสเขียวเกี้ยงเพียงกระดานปานแวน สังข์แลนต้องฟองไค้ ตะไนแดง แลงลงลับเหียกขันหาชู้ กูนี่เดินเดี่ยวดั้นสันจรนอนป่า ขา้ มแม่นำ้ … สองหลา่ ... ไดค้ ่อยไป… เดอ้ ... (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) จากตัวบทข้างต้น สินไซออกเดินทางโดยการข่ี สังข์ทอง ทั้งสองเดินทางข้ามวันข้ามคืนเพื่อให้ไปถึง ณ เมืองบาดาล ของพระยาวรุณราช ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มการกล่าวถึงรายละเอียดเหตุการณ์ในการเดินทาง เพื่อเป็นการเสริมเนื้อหา การผจญภัยของตัวละครทั้งสองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้เนื้อหาเหตุการณ์ในบทละครหุ่นร่วมสมยั มีรายละเอยี ดต่างไปจากวรรณกรรมตน้ ฉบบั นอกจากการเพิ่มเนื้อหาเกริ่นนำก่อนเข้าสู่ การดำเนินเรื่อง และการเพิ่มรายละเอียดเนื้อหาเหตุการณ์แล้ว ผู้ประพันธ์บทยังได้เพิ่มเนื้อหา ในช่วงท้ายของเรื่อง โดยเนื้อหาในตอนจบของวรรณกรรมสังข์ศิลป์ชัย บทที่ 11 นาคะยุทกัมม์บั้น กล่าวเพียงว่า หลังจากที่สิลป์ชัยพานางสีดาจันทร์ไปพบนางสุมุนทา ณ เมืองอโนราท และเหตุการณ์ ความวุ่นวายต่าง ๆ เสร็จสิ้นลงแล้ว จึงจัดพิธีส่งสการกุมพันท์และแต่งตั้งให้ท้าววันนุลาพี่ชายของ กมุ พนั ท์ขึ้นครองเมืองแทน กอ่ นกลบั เมืองเปง็ จาล นางสุมนุ ทาได้รำ่ ลาเมืองอโนราทและเผ่าพันธุ์ยักษ์ เปน็ ครั้งสดุ ท้าย ดงั ตัวบท ๏ เมื่อน้ันผุจ่ งิ่ หนา้ นางนาตสมุ นุ ทา เตินลงุ อา สั่งฝูงซมุ เซอื้ ๏ ญ่ดู เี ญอฝงู เผ่าเซื้อ ซ้นั ซาตของผวั ขอ้ ยเอย เจ้าหากเนาเมืองสวาง หม่ันคะนิงเถงิ ข้อยแดถ่ อ้ น เฮยี มจกั ลาเมอื หอ้ ง เปง้ จาลของเก่ากอ่ นแล้ว คนั วา่ คึดฮอดขอ้ ย เขือเจ้าหมนั่ ญามแดเ่ นอ … เป็นเอกมะหาวงสเ์ ทยี่ งเนอ ๏ ขอใหไ้ ด้หน่อท้าว ญา่ ไลลืมข้อย แดเ่ นอ เถิงทอี่ าเกยี นยงั
46 ฝูงพงษ์ก้ำ กมุ พนั ทพ์ ูวะนาถ เปน็ กง่ิ ก้ำ แนวนอ้ ยทัว่ ทะรา แทแ้ ลว้ (มั่น จงเรยี น, ม.ป.ป. : 277) จากตัวบท เป็นเหตุการณ์ที่นางสุมุนทาลาเมือง อโนราทและญาติพี่น้องของยักข์กุมพันท์ด้วยความอาลัย นางได้ฝากฝังให้เผ่าพันธุ์ยักษ์อย่าลืมนาง และหากคิดถึงก็ให้ไปเยี่ยมที่เมืองเป็งจาล พร้อมกันนั้น เหล่ายักษ์ได้อวยพรให้นางสีดาจันทร์จงมี คู่ครองเป็นพระยาผู้ยิ่งใหญ่ และจงอย่าได้ลืมพวกตน เพราะแม้ว่าพวกตนจะเป็นญาติพี่น้องของ กุมพันท์ แต่ก็ถือเป็นญาติของนางสีดาจันทร์ด้วยเช่นกัน ในตอนจบของวรรณกรรมต้นฉบับ บทที่ 11 นาคะยุทกัมม์บั้น มีเนื้อหากล่าวถึงเพียงเท่านี้ แต่ในบทละครหุ่นร่วมสมัยผู้ประพันธ์ได้เพิ่มเนื้อหา ให้ต่างไปจากวรรณกรรมต้นฉบับ โดยเนื้อหาที่เพิ่มเข้าใหม่เป็นเหตุการณ์ที่สินไซนำตัวนางสีดาจันทร์ มาพบนางสุมณฑา ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มบทสนทนาระหว่างนางสุมณฑากับนางสีดาจันทร์ และสินไซ กับนางสีดาจันทร์ในตอนจบเรื่อง ก่อนที่ตัวละครสินไซ สังข์ทอง นางสุมณฑา และนางสีดาจันทร์ จะออกเดินทางเพอ่ื ไปพบกับสโี หและพี่ท้ังหกท่ีรออยู่ ดงั ตวั บท (หน้าเมืองอโนราช สินไซ สังข์ทอง และสีดาจันทร์ เหาะลงตรงหน้า สุมณฑา) … สุมณฑา มาแลว้ ... ลกู แม่ มาแล้ว สดี าจนั ทร์ แม่จ๋า... ลกู คดึ ฮอดแมห่ ลาย (กราบสมุ ณฑา) สมุ ณฑา ลกู กลับมาหาแมไ่ ด้ แม่กะดใี จแล้ว ลูกไดย้ ินเรอื่ งพ่อรยึ งั สีดาจนั ทร์ (พยักหนา้ ) รแู้ ลว้ ลกู เลยบ่ลังเลกลบั มาหาแม่ สนิ ไซ โกรธเฮาอยูบ่ ่ สีดาจนั ทร์ เฮาฮู้ว่าทุกสิ่งอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขบไ่ ด้แม่นบ่ สินไซ ขอบคุณเจ้าหลาย (พูดกับทุกคน) เฮาออกเดินทางกันเถาะ ปานนี้อ้ายสีโหกับอ้ายทั้งหก กำลังถ่าพวกเฮากลับเมือง เปง็ จาลนำกนั อยู่ (ทง้ั หมดคอ่ ย ๆ เคลอื่ นออกจากฉาก) (พชญ อัคพราหมณ์, 2562)
47 บทละครหุ่นร่วมสมัยที่ยกมาข้างต้น มาจาก ฉากที่ 6 กลับเมืองเป็งจาล ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มบทสนทนาเข้ามาเพื่ออธิบายให้เห็นถึงอารมณ์ของ ตัวละครทั้งสาม และเพิ่มเหตุการณ์ที่ตัวละครสินไซ สังข์ทอง นางสุมณฑา และนางสีดาจันทร์ ออกเดนิ ทางเพือ่ ไปพบกบั สีโหและพที่ งั้ หกทีร่ ออยู่ ท้ังน้ี เนื้อหาทผี่ ูป้ ระพนั ธบ์ ทเพ่มิ เขา้ มายงั สอดคล้อง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีเหตุผลมารองรับการกระทำของตัวละคร คือการที่สินไซถาม นางสดี าจนั ทรว์ ่า โกรธหรือไม่ที่ตนลงไปสู้รบกบั สวามีของนางเพ่ือชิงตวั นางกลับมา แต่นางสีดาจันทร์ ไม่โกรธ เนื่องจากเข้าใจได้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแต่ถูกกำหนดไว้แล้ว หรือบทสนทนาที่แม่กับลูก พูดคุยถามไถ่ข่าวคราวซึ่งกันและกันเนื่องจากทั้งสองพรากจากกันไปนาน โดยบทสนทนานี้เป็นการ เพิ่มรายละเอียดเนื้อหาเพื่ออธิบายอารมณ์ของตวั ละคร และเป็นการสื่อสารอารมณ์ของตัวละครไปยัง ผู้ชม นอกจากนี้ บทสนทนาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลต่อการดำเนินเรื่องหรือกระทบต่อโครงเรื่องหลัก แต่อย่างใด แตเ่ ป็นการเพิ่มเข้ามาเพ่ือใหเ้ นือ้ หาในบทละครห่นุ ร่วมสมัยมีความสมบูรณม์ ากย่งิ ขึน้ อย่างไรก็ตาม ผู้ประพันธ์บทได้ตัดเนื้อหา ตอนท้ายของวรรณกรรมต้นฉบับออกไป คือเหตุการณ์หลังจากสิลป์ชัยพานางสีดาจันทร์ไปพบ นางสมุ นุ ทา โดยมีท้าววะรนุ นะราชตามมาส่งดว้ ย เม่ือศึกสงครามต่าง ๆ เสรจ็ ส้ินลง ได้จัดพิธีส่งสการ กุมพันท์และแต่งตั้งให้ไวยุเวทหลานชายของกุมพันท์ปกครองเมืองอโนราท แต่ไวยุเวทคัดค้าน เน่ืองจากเห็นว่าทา้ ววันนุลาพ่ีชายของกุมพันท์เหมาะสมมากกว่าตน กอ่ นจะเดนิ ทางกลับเมืองเป็งจาล นางสุมุนทาได้ลาเมืองอโนราทและเผ่าพันธุ์ยักษ์ ผู้ประพันธ์บทได้ตัดเนื้อหาส่วนนี้ออกไป คงเหลือเพียงเหตุการณ์ที่สินไซพานางสีดาจันทร์มาพบนางสุมณฑา และเพิ่มบทสนทนาเพื่ออธิบาย อารมณข์ องตวั ละครท้ังสามแทน ซึ่งรายละเอยี ดการตัดเน้ือหาของวรรณกรรมต้นฉบับจะนำไปอธิบาย ในขอ้ ท่ี 3) การตดั ความ ตอ่ ไป ข. การเพ่ิมตวั ละคร ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มตัวละคร “เต่า” เข้ามาใน ฉากท่ี 2 สินไซ สงั ข์ทอง ท่องเมอื งบาดาล เพื่อใหเ้ นอื้ หาและบทสนทนาของตวั ละครทปี่ รากฏในฉากมี ความสนุกสนานมากยิง่ ข้ึน การเพิ่มตัวละครเข้าไปเชน่ นี้นอกจากจะช่วยเพิ่มสีสันให้กับการแสดงแลว้ ยังเป็นการเสริมเนื้อหาการผจญภัยของตัวละคร ผู้ประพันธ์บทจึงจำเป็นต้องเพิ่มตัวละครเข้ามา ให้เกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาท่ีต้องการนำเสนอใหม่ ซึ่งย่อมส่งผลให้เนื้อหามีรายละเอียดต่างไปจาก วรรณกรรมตน้ ฉบบั ดงั ตัวบท สังข์ทอง ป้าด... มางามคกั แท้ สนิ ไซ สัตว์น้อยใหญ่เพลิดเพลินตาดีแถะเนาะ (เจอเต่า) ถามทาง แหนไ่ ดบ้ ่ เต่า พากนั มาแต่ได๋
48 สนิ ไซ เฮาสองมาแต่เทิงพุ่น สิไปเมืองนาคซ่ันเด้ เต่า ไปหาไผ๋ คอื จง่ั ลงมาฮอดพ้ี สินไซ พระยาวรุณนาคราช เฮามแี นวสเิ ว้ากบั เพิน่ เต่า เหวย ๆ คอื ซา่ งกล้าเจรจานำพอ่ พระยาบาดาลนอ้ สงั ขท์ อง ใกล้ฮอดไป่เกาะ ข่อยหนกั เต่า ออ้ื ... (ช้ไี ปดา้ นข้าง) ทางพุน่ อกี บ่ไกลดอก สินไซ ขอบใจหลาย เฮาไปก่อนเด้อ เต่า โชคดีเดอ้ (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) จากตัวบท สินไซกล่าวก ับส ัง ข์ ท อ ง ว่ า ในเมืองบาดาลเต็มไปด้วยเหล่าสัตว์น้อยใหญ่มากมาย การเพิ่มเข้ามาของตัวละครเต่าจึงช่วยเน้นย้ำ ให้เห็นถึงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในเมืองบาดาลนอกเหนือจากนาค และเป็นตัวละครท่ี เกี่ยวข้องกับฉากใต้บาดาล อีกทั้งยังช่วยเสริมเรื่องราวการผจญภัยและการพบเจอสิ่งใหม่ ๆ ของ ตัวละครทั้งสอง โดยผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มบทสนทนาระหว่างสินไซและเต่า ให้สินไซถามทางไปพบ พระยาวรุณราชเพื่อให้บทสนทนาวกกลับมาสู่เหตุการณ์หลัก คือการไปพบกับพระยาวรุณราช เพื่อท้าพนันสกา การเพิ่มเข้ามาของตัวละครจึงไม่ทำให้การดำเนินเรื่องขาดความต่อเนื่อง และต่างไปจากโครงเร่อื งเดมิ ในวรรณกรรมต้นฉบับ ค. การเพิ่มการลา การลา เป็นขนบที่มักจะปรากฏในการแสดง โดยเฉพาะการแสดงหมอลำของภาคอีสาน ก่อนจะสิ้นสุดการแสดงหมอลำจะมีการอำลาผู้ชม หรือการเต้ยลา เพื่อเป็นการขอบคุณและสร้างความสนุกสนานก่อนจะจบการแสดง โดยทั่วไปแล้ว การเต้ยลาในการแสดงหมอลำนิยมใช้ทำนองเต้ย ซึ่งเป็นทำนองที่มีจังหวะเร็ว สนุกสนาน และอาจ ร้องสลับกับทำนองลำทางสั้น ลำทางยาว ตลอดจนการนำเอาบทเพลงตามสมัยนิยมมาร่วมร้องด้วย (ปริยัติ นามสง่า, 2553 : 126) โดยผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มเนื้อหาการลา คือการนำเอาขนบการแสดง เช่นนี้มาใช้ในบทละหุ่นร่วมสมัย เพื่อให้เป็นไปตามธรรมเนียมในการสิ้นสุดการแสดง และเพื่อสร้าง ความสนกุ สนานแกผ่ ู้ชมก่อนจบการแสดง บทพากย์ ไดม้ าเพ่งิ ครง่ึ เร่ืองบ่อาจกลา่ วไปไกล ย่อนวา่ เวลาเหมิดหนุ่ ละครขอหยดุ ไว้ ขออภยั ในบางเรื่องบางตอนฮา่ มีพลาด ถือวา่ พวกผู้ขา้ ปัญญาหน่อยใหป้ ลอ่ ยไป
49 ฝากลกู หลานนอ้ เอาไว้บไ่ ปใหถ้ ืกปลอ่ ง คณุ อาจารยย์ อยกยอ่ งใสเ่ กลา้ อย่าสลิ ืม (เต้ยลา) สมควรแลว้ หนา สมควรแลว้ หนา ลูกหลานขอลาญาติพนี่ ้อง ท่ีได้มาฟังร้องมื่อน้ซี ะแมนดี บ่อยากหนีไกลกันแต่แสงตะวนั นนั้ ส่องฟา้ บอ่ ยากหนไี กลหนา้ ขอจงได้ชว่ ยอำนวยอวยพร ๆ กอ่ นสไิ ดจ้ ากจร ๆ ลูกขออวยพรทกุ ทา่ นสุขี จงอยูด่ ว้ ยกนั ดี ๆ โรคภยั อย่ามขี อใจอย่าหม่น ขอทา่ นทกุ คนนน้ั จงเจรญิ ๆ ลาสิลาแลว้ ลาสลิ าแลว้ คือเรือแจวออกไกลจากฝงั่ ดอกสะมั่งล่ะสิไกลจากต้น จากต้นโอ้ยจากต้นจากต้น คงเหลือไว้แต่กลิ่นหอม โอ้ยนั่นละนานวลนา ละนานวลนา... นวัตศลิ ป์ขอลาไปแล้ว มันสมพอควรกระบวนแล้ว (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) ตัวบทข้างต้นเป็นเนื้อหาการลาของบทละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง โดยเนื้อหาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ บทพากย์และเต้ยลา เนื้อหาในส่วนของบทพากย์เป็นการขอจบการแสดงเนื่องด้วย ข้อจำกัดด้านเวลา พร้อมทั้งขออภัยผู้ชมหากการแสดงมีข้อผิดพลาด หรือการแสดงไม่ราบรื่น และขอให้ผ้ชู มอยา่ ได้ถือสา เนอ้ื หาการเตย้ ลา เปน็ การกลา่ วถึงความรู้สึกของ ผู้แสดงที่ได้มาทำการแสดงในครั้งนี้ แม้ไม่อยากอำลาผู้ชมแต่การแสดงก็จำเป็นต้องสิ้นสุดลง ก่อนจะ จากกันไปจึงขออวยพรให้ผู้ชมทั้งหลายมีความสุข ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน โดยเนื้อหาในเต้ยลา ผู้ประพันธ์บทได้ใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงการจากลา ความเสียดาย คือคำว่า บ่อยากหนีไกลกันแต่ แสงตะวันนั้นส่องฟ้า ซึ่งหมายถึง ผู้แสดงไม่อยากจบการแสดง แต่ท้องฟ้าเริ่มมีแสงอาทิตย์สว่างขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการแสดงกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ดังเช่นการแสดงหมอลำที่มักจะแสดงจน ซอดแจ้ง คือแสดงจนฟ้าสว่าง การกล่าวเช่นนี้จึงเป็นการนำเอาขนบการลาแบบการแสดงหมอลำมาใช้ใน การแสดงละครหุ่นรว่ มสมัย การลา หรือเต้ยลา เป็นธรรมเนียมในการแสดง ที่ผู้แสดงจะต้องบอกกล่าวและขอบคุณเจ้าภาพหรือผูช้ ม ผู้ประพันธ์บทจึงได้เพิ่มเนื้อหาการลาเข้ามา ในบทละครหุ่นร่วมสมัยหลังจากสิ้นสุดการดำเนินเรื่องราวทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามขนบของ
50 การแสดง อกี ทัง้ ยงั เปน็ การสรา้ งสีสันและความเพลดิ เพลินแกผ่ ู้ชม และเพ่ือใหผ้ ู้ชมเกิดความประทับใจ ในการแสดง 3) การตดั ความ การตัดความ เป็นการตัดเนื้อหาหรือรายละเอียดบางส่วนจาก วรรณกรรมต้นฉบับออก แต่ยังคงรักษาเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของวรรณกรรมต้นฉบับไว้ โดยเนื้อหาใน วรรณกรรมสังข์สิลป์ชัยที่ผู้ประพันธ์บทคัดมาใช้เพื่อนำมาสร้างสรรค์เป็นบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่อง สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คือเนื้อหาในบทที่ 11 นาคะยุทกัมม์บ้ัน ซึ่งผู้ประพันธ์บทได้ตัดเนื้อหา สว่ นทา้ ยของวรรณกรรมตน้ ฉบับออกไป เนื้อหาตอนท้ายของวรรณกรรมต้นฉบับเป็นเหตุการณ์หลังจาก สิลป์ชัยสู้รบจนชนะท้าววะรุนนะราชและเวนคืนเมืองให้แล้ว จึงพานางสีดาจันทร์ไปพบนางสุมุนทา โดยมีท้าววะรุนนะราชตามมาส่งด้วย เมื่อสงครามต่าง ๆ เสร็จสิ้นลง ได้จัดพิธีส่งสการกุมพันท์และ แต่งตั้งให้ไวยุเวทหลานชายของกุมพันท์ปกครองเมืองอโนราท แต่ไวยุเวทคัดค้านเนื่องจากเห็นว่า ท้าววันนุลาพี่ชายของกุมพันท์เหมาะสมมากกว่าตน จึงสมควรให้ท้าววันนุลาขึ้นครองเมืองแทน จากนั้นสิลป์ชัยจึงสั่งสอนหลักธรรมในการปกครองแก่ท้าววันนุลา ก่อนจะเดินทางกลับเมืองเป็งจาล นางสุมุนทาได้ลาเมืองอโนราทและเผ่าพันธุ์ยักษ์ด้วยความอาลัย ซึ่งผู้ประพันธ์บทได้ตัดเนื้อหาส่วนนี้ ออกไป คงเหลือเพียงเหตุการณ์ที่สินไซพานางสีดาจันทร์กลับมาพบนางสุมณฑา จากนั้นสินไซ สังขท์ อง นางสุมณฑา และนางสีดาจันทร์ จึงออกเดินทางเพื่อไปพบสีโหและพ่ีทั้งหกที่รออยู่ ๏ นางญาดนำ้ ฮวายเฮยี่ ฮำดิน บนุ ยบ์ ามี จ่ืจำยาพัง้ พอเม่ือเฮือง ๆ เขม้ สูรย์แสงฮอ้ นเฮ่ือ เขากญ็ ายเผียกมา้ ตามไต้จูดคะนวน ๏ มา้ แผดตอ้ ง ตำถกื พะนมหลวง ไฟลามลุก พุงแสงสนู ไหม้ กมุ พันท์เมย้ี น เมือดินดบั ฮบู เขาก็ฝังเฮ่วทา้ ว หนิ ล้านเลขมี (มน่ั จงเรียน, ม.ป.ป. : 270) ตัวบทข้างต้น กล่าวถึงพิธีส่งสการของกุมพันท์ นางสุมุนทา ได้กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้สวามี เมื่อได้เวลาจึงทำการเผาศพโดยปักเสาแล้วขึง เผียกม้า ซึ่ง
51 หมายถึง สายลวดหรือหวายเป็นทางว่ิงของบั้งไฟม้า9 ให้ปลายของสายพุ่งไปยัง พะนม คือ ยอดเมรุ10 แล้วจุดเผียกม้าตรงบริเวณท้ายของบั้งไฟม้า เมื่อไฟลามเข้าไปถึง คะนวน ซึ่งหมายถึง ชนวนดินปืน11 ก็จะเกิดระเบิดและดันบั้งไฟม้าให้วิ่งไปข้างหน้าอย่างแรง พอสุดสายลวดหรือหวาย บั้งไฟม้าก็ พุ่งเข้าชนยอดเมรุและไฟก็โหมไหม้ร่างของกุมพันท์ จากนั้นจึงนำกระดูกกุมพันท์ไปฝัง พิธีฌาปนกิจศพเชน่ นเี้ ปน็ วิธีการเดยี วกับประเพณีการจดุ ลูกหนู ซ่ึงเปน็ ประเพณีการฌาปนกิจศพของ พระสงฆ์ชาวรามัญ (สำนักงานวัฒนธรรมจงั หวัดปทุมธานี, 2562) ๏ ฝงู ใดเป็นหนอ่ ทา้ ว เฮวเฮยี กมาพลันเถ่ียวเถี้น ญา่ ให้ฮงั เวรา แก่กันหมายหมนั้ เม่ือน้ันฮม ๆ พอ้ ม ฝูงซายซมซื่น หลานทา่ นผู้ เป็นตน้ ป่าวเปือง ๏ ฝูงแก่นต้น มนั ปูกเปน็ หลัก บดั น้ีกุมพันท์ตาย จากเฮอื นสามสา้ ง กมุ มารผู้ หลานลงุ ไวยเุ วท ฟอ้ มเพอ่ื นเข้า ปะนมนอ้ ยหนอ่ อินทร์ (มัน่ จงเรียน, ม.ป.ป. : 267-268) ๏ เมอื่ นั้นพระบาทเจ้า ซมซื่นยนิ ดี ท่านจ่งเป็นพระยาผี สืบพงส์พนั ทเ์ ซื้อ ๏ เมอ่ื นั้นไวยเุ วทต้าน ทนู บาทบงั คม อันว่าวนั นุลาเป็น พี่คงี บาทา้ ว ท่อว่า มันหากนอนหลับแท้ แต่จอมทันมาฮอด ยังไปท่ ันตื่นแท้ ปานน้จี ิ่งพวม พระเอย ๏ คนั ว่าขา้ จกั ทงแท่นแก้ว กัวแต่วนั นลุ านัน้ แลว้ ยามเมื่อมันมารหลวง ตื่นมาซิเคอื งแค้น (มั่น จงเรียน, ม.ป.ป. : 270-271) 9 มน่ั จงเรยี น. (ม.ป.ป.). สงั สลิ ปช์ ยั . กรุงเทพฯ: พิทักษอ์ ักษร. หนา้ 409. 10 ________. (ม.ป.ป.). สังสิลป์ชัย. กรงุ เทพฯ: พิทักษ์อกั ษร. หน้า 411. 11 ________. (ม.ป.ป.). สงั สิลป์ชัย. กรุงเทพฯ: พทิ กั ษ์อักษร. หน้า 393.
52 จากตัวบทข้างต้น สิลป์ชัยเรียกตัวเชื้อสายของยักข์กุมพันท์มาพบ เพ่อื จะแตง่ ต้ังให้เป็นเจ้าผู้ครองเมืองอโนราท และเปน็ ผู้ปกครองผี ยักษ์ และมารทั้งหลาย ซึง่ ทายาทท่ี เหลืออยู่ก็คือไวยุเวท หลานชายที่กุมพันท์ชุบเลี้ยงมาแต่เล็ก แต่ไวยุเวทคัดค้านเนื่องจากเห็นว่า ท้าววันนุลาพี่ชายของกุมพันท์เหมาะสมมากกว่าตน อีกทั้งขณะนี้ท้าววันนุลากำลังหลับอยู่ หากตื่นมาแลว้ พบวา่ สิลป์ชัยแต่งตั้งให้ตนปกครองเมอื งอโนราทจะเป็นการไม่ไว้หน้า และไม่ให้เกียรติ ผอู้ าวโุ ส ร้งั แตจ่ ะทำให้ทา้ ววันนลุ าแคน้ เคืองตน จึงเหน็ สมควรให้ทา้ ววนั นลุ าขึน้ ครองเมืองแทน นอกเหนือจากสองเหตุการณ์ที่ยกมาข้างต้น ยังมีรายละเอียด เนื้อหาที่ผู้ประพันธ์บทตัดออกไปจากบทละครหุ่นร่วมสมัยอีก คือ ท้าววะรุนนะราชและชาวนาค ตามมาส่งนางสีดาจนั ทร์ถึงเมืองอโนราท สลิ ปช์ ัยสงั่ สอนหลักธรรมในการปกครองแก่ท้าววันนลุ า และ เหตุการณท์ น่ี างสุมุนทาร่ำลาเมืองอโนราทและเผ่าพนั ธุ์ยักษ์ โดยผปู้ ระพนั ธ์บทยงั คงเหตุการณ์ท่ีสินไซ พานางสดี าจันทรม์ าพบนางสมุ ณฑาไวเ้ ช่นเดิม ผปู้ ระพันธ์บทไดต้ ดั เนื้อหาส่วนท้ายของวรรณกรรมตน้ ฉบับออกไป จากบทละครหุ่นร่วมสมัย เนื่องจากเล็งเห็นว่าผู้ชมอาจไม่เข้าใจเนื้อหา และยากต่อการปะติดปะต่อ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการต่อสู้ของสินไซและพระยาวรุณราช นอกจากนี้ ผู้ชมอาจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีตัวละครใหม่อย่างไวยุเวทและท้าววันนุลาปรากฏในการแสดง เนื่องจากไม่มี การกลา่ วถึงตัวละครท้ังสองตวั น้ีในบทละครหนุ่ ร่วมสมยั อกี ทัง้ เนอ้ื หาที่ถกู ตดั ออกไปก็ไม่เกี่ยวข้องกับ การรบระหว่างสินไซกับพระยาวรุณราชซึ่งเป็นเส้นเรื่องหลัก และเป็นเหตุการณ์สำคัญของการแสดง ชุดนี้ โดยเนื้อหาที่ถูกตัดไปนั้นก็ไม่ได้มีความสำคัญต่อรายละเอียดของเรื่องตามที่ผู้ประพันธ์บท ได้ตีความและนำเสนอใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากผู้ประพันธ์บทต้องการนำเสนอเพียงเหตุการณ์ การสู้รบของสินไซกับพระยาวรุณราชเป็นสำคัญ การตัดเนื้อหาเหล่านี้ออกไปจึงเป็นการลดความ ไมเ่ ข้าใจในเนอ้ื หาและความสับสนของผู้ชม อย่างไรก็ตาม ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มเนื้อหาตอนท้ายเรื่องให้ ต่างไปจากวรรณกรรมต้นฉบับ โดยเนื้อหาที่เพิ่มเข้าใหม่เป็นเหตุการณ์ที่สินไซนำตัวนางสีดาจันทร์ มาพบนางสุมณฑา ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มบทสนทนาระหว่างนางสุมณฑากับนางสีดาจันทร์ และสินไซ กับนางสีดาจันทร์ในตอนจบเรื่อง และเหตุการณ์ที่ตัวละครสินไซ สังข์ทอง นางสุมณฑา และ นางสีดาจันทร์ ออกเดินทางเพื่อไปพบกับสีโหและพี่ทั้งหกที่รออยู่ ซึ่งรายละเอียดการเพิ่มเนื้อหา ดงั กลา่ ว ไดอ้ ธิบายไวแ้ ลว้ ในขอ้ ที่ 2) การเพิม่ ความ จากการศึกษาการแปรรูปตัวบท พบว่า ผู้ประพันธ์บทนำเนื้อหาจาก วรรณกรรมต้นฉบับมาใช้ในการแสดง แต่ได้นำมาปรับและเปลี่ยนเนื้อหาหรือรายละเอียดบางส่วนให้ ต่างไปจากเดิม โดยผู้ประพันธ์บทใช้วิธีการลดความ การเพิ่มความ และการตัดความ เพื่อเป็นการ กระชับเวลาในการแสดง เพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบของการแสดง และเพื่อให้การแสดง
53 มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แม้ว่าผู้ประพันธ์บทจะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาบางส่วน แต่เนื้อหา ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก็ไม่กระทบต่อการดำเนินเรื่อง โดยยังคงรักษาเหตุการณ์สำคัญของเรื่อง หรือโครงเรื่องหลักของวรรณกรรมต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วน ดังที่ พชญ อัคพราหมณ์ (2565) ไดอ้ ธบิ ายถงึ กระบวนการในการสร้างสรรคบ์ ทละครหุ่นรว่ มสมัยเร่ืองสินไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม ไวว้ ่า “กระบวนการที่ใช้ในการสร้างเนื้อหาในบทละครหุ่นเป็นการดัดแปลง (Adaptation) มาจากตัววรรณกรรมเดิม ไม่ใช่เพียงเอาวรรณกรรมมาปรับบริบท หรือเปลี่ยนแปลง รายละเอียดบางอย่างแล้วนำมาแสดงได้เลย แต่ต้องใช้วิธีการที่ทำให้คุณค่าหรือความเป็นจริงของ ตัวละครภายในเรื่องเชื่อมต่อกับผู้ชม ในการสร้างบทละครหุ่นตอนนาคะยุทธกรรม อาจารย์ดึงเอา แก่นความคิดหลักหรือหัวใจของเรื่องมาวาง แล้วกลับไปอ่านตัววรรณกรรมซ้ำอีกครั้งเพื่อตีความ ลองถอดบางบทออกมา แล้วตัดสลับวางใหม่ เพื่อให้บทที่นำมาประกอบกันใหม่สามารถสื่อสาร ความคิดหลักให้เด่นชัดมากขึ้น ซึ่งบทท่ีหยิบมาใช้ก็เลือกเฉพาะส่วนที่ขับเคลื่อนใจความหลัก (Main Idea) ของเรื่องได้ จึงใช้วิธีการดึงแล้ววาง บางบทไม่ลงสัมผัสก็ต้องแต่งคำเข้าไปใหม่ เพื่อให้ภาษาลื่นไหล แต่ยังคงเป็นภาษาโบราณตามตัวบทวรรณกรรมเดิมอยู่ และต้องระวังไม่ให้ ความหมายเดิมเปลี่ยนไป” 4.2 แนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุน่ นวตั ศิลป์มอดินแดง จากการศึกษาและวิเคราะห์ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ผู้วิจัยพบว่า ผู้ประพันธ์บทได้ นำเสนอแนวคิดเชิงสังคม ในด้านต่าง ๆ ผ่านบทละครหุ่นร่วมสมัย โดยพบแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัย เร่ืองสนิ ไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรมใน 2 ประเด็น คือ 4.2.1 แนวคดิ ดา้ นระบบครอบครวั และสังคม 4.2.2 แนวคิดด้านการปกครอง 4.2.1 แนวคิดด้านระบบครอบครวั และสังคม จากการศึกษาวิเคราะห์ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง พบว่า ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิดด้านระบบครอบครัวและ สังคม ผ่านการกระทำของตัวละครต่าง ๆ ตลอดจนบทพากย์ และบทสนทนาของตัวละคร โดยพบ แนวคิดด้านระบบครอบครัวและสังคม 3 แนวคิด คือ ระบบปิตาธิปไตย ระบบอาวุโส และ ความกตัญญูตอ่ บุพการีและผู้มพี ระคุณ ซ่งึ มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี
54 4.2.1.1 ระบบปิตาธปิ ไตย ปิตาธิปไตย หรือแนวคิดชายเป็นใหญ่ เป็นลักษณะของสังคมที่กำหนด บรรทัดฐานว่าเพศชายคือศูนย์กลางของสังคมมนุษย์ และแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างเพศชาย และหญิง โดยระบุว่าผู้ชายเปน็ เพศที่เข้มแข็ง มีความเป็นผู้นำ มีเหตุผล ส่วนผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ ใช้อารมณ์ ดังนั้นสถานะของผู้หญิงจึงตกเป็นรอง อีกทั้งยังถูกจำกัดอำนาจและบทบาทเอาไว้ ตามที่ผู้ชายต้องการ (พลากร เจียมธีระนาถ, 2554 : 1-6 อ้างถึงใน ใกล้รุ่ง ภูอ่อนโสม, และรัญชนีย์ ศรีสมาน, 2563 : 45) แนวคิดดังกล่าวยังคงปรากฏอยู่ในแทบทุกสังคม และส่งผลให้เกิด ความไม่เท่าเทียมและการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิด ชายเป็นใหญ่หรือระบบปิตาธปิ ไตย ผา่ นบทพากยแ์ ละบทสนทาของตัวละคร ดงั ตัวบท … สไิ ดข้ อกล่าวรอ้ งทำนองเออื้ นวา่ สู่ฟงั ยังมีสามพี่น้องเป็นชาติหน่อแนวกษัตริย์ เทววาชอินตาส่งลงเมืองใต้ ให้มาเป็นบุตราแก้วพระยากุศราชผู้เป็นพ่อ เป็งจาลน้อเป็นเขตก้ำ เมืองบา้ นถน่ิ นคร บาดนี้เถิงคาวแล้วคือมีแนวมาบังเบียด คิดว่าเป็นเสนียดห้ายเมืองบ้าน แม่นบ่ดี หมอโหรชี้เป็นแนวใหม่ใส่ความหลง ให้พระองค์ไล่มันหนีลูกบ่ดี กาลีบา้ น นา่ สงสารกุมารเจา้ ผู้แพงท้ังสามหน่อ เทงิ จันทามิ่งเหง้ามเหสที ้าวนั่งเทียม กบั ทัง้ นางลนุ นอ้ ยสนมนางเทยี มอาจ วาสนาต่ำต้อยพลอยข้างหา่ งเมือง … (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) จากตัวบทข้างต้น เป็นเรื่องย่อของวรรณกรรมสินไซที่ผู้ประพันธ์บทได้เพ่ิม เน้ือหาเกริน่ นำก่อนเขา้ สู่การดำเนินเร่ือง โดยเปน็ เหตกุ ารณ์ที่พระยากุศราชเนรเทศนางจนั ทา นางลุน สินไซ สังข์ทอง และสีโห ออกจากเมือง เนื่องจากพระองค์เชื่อคำทำนายของโหรหลวงว่า ลูกของ นางจนั ทาและนางลนุ ทีเ่ กดิ มานน้ั เปน็ กาลกณิ ี และเดก็ ทง้ั สามคนนี้จะทำใหบ้ ้านเมอื งเกิดอาเพศ สุมณฑา สุมณฑานางกะเหลียวไปก้ำ เป็งจาลคำสังมาแจ้งจ่ายค่าย (ลำ) มองเห็นปลายไผบ่ ้านหัวลมต้องกอ่ งกวย นางกะฮนฮ้วยฮ้องเฮฮนฮ้องฮำ พระจอมธรรมธิราชเจ้า คงหาข่อยจ่อยผอม
55 สุมณฑา นางได่มาดอมกั้วผัวแพงยักษ์ใหญ่ มันไปลักแก่ไท้อินางน้อย (พูด) ออ้ ยเอา คันสิคืนเมียบ้านหาพงศ์พันธุ์พี่น้องเก่า นางบ่ฮู้เหตุเบี้ยง หนหอ้ งแห่งสไิ ป ทางกะไกลยาวเยิ้นหลายวั นพันธะโยชน์ ได้แต่โอย โอดฮอ้ งอินางน้องแม่นหอดหวิ … นอ... นอ นับตั้งแต่สินไซเอาข่อยมาไว้เขาคิดซะกูดแล้วกลับไปรบกับ อา้ ยกุมภัณฑ์ หลังจากนั้นบ่โดน ข่อยกะได้ยินข่าวว่าอ้าย กมุ ภณั ฑต์ าย ข่อยบเ่ หลอื ไผแล้ว ยงั แต่ลกู หลา่ สีดาจันทร์นน่ั แหล่ว ผ้เู ปน็ หนอ่ แนวเซอ้ื ยึดเหน่ียว ใจได้ แตข่ ่อยบไ่ ดพ้ ้อลูกโดนเติบ ผัดแต่อ้ายกุมภัณฑ์เอานางไปกาลันตีแข่งหมากรุก หมากสกา กับพระยาวรุณนาคราช ย้อนว่าเลาอยากได้เมืองบาดาล มาครองไว้ แต่กลายเป็นฝ่ายแพ้ เลยต้องยกนางให้เป็นสะใภ้ เมืองนาค ข่อยสิเมียเมืองเป็งจาลผู้เดียวบ่ นางสิฮู้บ่ว่าพ่อตาย นางหล่า ของขอ่ ยคือเป็นตะเหลือโตนแทน้ อ้ (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) ตัวบทข้างต้น เป็นเหตุการณ์ในฉากที่ 1 สุมณฑาขอหลาน เนื้อหากล่าวถึง นางสุมณฑาได้มองไปเห็นเมืองเป็งจาลที่ตนจากมา จึงคิดเป็นห่วงพี่ชายว่าขณะนี้อาจจะกำลัง ตามหาตนจนร่างกายซูบผอม เหตุที่นางได้มาอยู่ที่เมืองอโนราชก็เพราะยักษ์กุมภัณฑ์ลักพาตัวมา แมต้ นจะคิดถึงญาติพน่ี ้องที่เมืองเปง็ จาลก็กลบั ไปหาไม่ไดเ้ พราะระยะทางไกลกันมาก หลงั จากที่สวามี ตายนางก็เหลือแค่บุตรสาวเพียงคนเดียว คือนางสีดาจันท์ แต่ก็ต้องมีเหตุให้พรากจากกัน เนื่องจาก กุมภัณฑ์เอาตัวนางสีดาจันท์ไปเป็นเดิมพันการแข่งพนันสกากับพระยาวรุณนาคราช เพราะอยากได้ เมืองบาดาลมาครองไว้ แตก่ มุ ภัณฑ์กลบั เป็นฝ่ายแพ้ จึงตอ้ งยกลกู สาวให้แก่เจา้ บาดาลตามกติกา ระบบปิตาธิปไตยได้กำหนดบทบาทให้ผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว ได้รับ อำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจและควบคุมผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง ผู้หญิงต้องอยู่แต่ภายในบ้าน ทำหน้าที่แม่บ้านแม่เรือน เป็นทั้งภรรยาที่ดีของสามี และเป็นแม่ที่ดีของลูก ดังนั้น ผู้ชายที่เป็น หัวหน้าครอบครัวจึงสามารถกดข่ีหรือใช้อำนาจกับผู้ที่อยู่ในสถานะต่ำกว่าหรือด้อยกว่าตนได้ (คมกฤษณ์ วรเดชนัยนา, 2557 : 56) ดังเช่นเหตุการณ์ทั้ง 2 เหตุการณ์ที่ยกมาข้างต้น ซึ่งแสดง ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสถานะของเพศชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว คือ ตัวละครพระยา
56 กุศราชและยักษ์กุมภัณฑ์ และสถานะของเพศหญิงที่อยู่ภายใต้การปกครอง คือ ตัวละครนางจันทา นางลนุ นางสุมณฑา และนางสีดาจันทร์ ไดอ้ ยา่ งชัดเจน เมื่อพิจารณาบทบาทของตัวละครเพศชายในเรื่องที่มีสถานะเป็นหัวหน้า ครอบครัว อย่างพระยากุศราชและยกั ษ์กุมภัณฑ์จะพบว่า ตัวละครทั้งสองได้แสดงใหเ้ ห็นภาพอำนาจ ของสามีเป็นใหญ่ได้อย่างชัดเจน โดยมองว่าผู้หญิงที่อยู่ภายใต้การควบคุมถือเป็นสมบัติของตน ซึ่ง ตนมีสิทธิ์ที่จะกระทำการใด ๆ ก็ย่อมได้ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่พระยากุศราชขับไล่นางจันทา และนางลุนออกไปจากเมือง เพราะให้กำเนิดบุตรที่ผิดไปจากธรรมชาติของมนุษย์ เหตุการณ์ที่ ตัวละครยักษ์กุมภัณฑ์ได้นำตัวลูกสาวไปวางเดิมพันการแข่งพนันสกา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็เป็นฝ่ายแพ้ และต้องยกลูกสาวให้แก่ผู้อื่นไป และการที่ยักษ์กุมภัณฑ์ไปลักพาตัวนางสุมณฑามาเป็นมเหสีของตน ก็แสดงให้เห็นถึงสถานะของผู้หญิงที่ตกเป็นรองผู้ชาย จึงมักจะถึงถูกกดขี่ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ ไม่มีปากเสียงในการเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง มีอภิสิทธ์ิทางสังคมน้อยกว่า ผู้ชาย อีกทั้งยังถูกจำกัดอำนาจและบทบาทเอาไว้ตามที่ผู้ชายต้องการ ตลอดจนเป็นวัตถุทางเพศของ ผู้ชาย ซ่งึ ส่ิงเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากระบบปิตาธปิ ไตยท้ังสิน้ 4.2.1.2 ระบบอาวุโส ระบบอาวุโส เป็นระบบทางความคิดที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยและ สังคมอีสานมาอย่างชา้ นาน โดยเปน็ ระบบท่ีใหค้ วามสำคัญกับความอาวโุ ส กล่าวคอื ความสมั พนั ธ์ของ คนในสังคมจะแบ่งเป็น “ผู้ใหญ่กับผู้น้อย” ผู้น้อยจะต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความเคารพและ ความนอบน้อมตอ่ ผอู้ าวุโสกวา่ มเิ ช่นนน้ั จะถูกมองวา่ เป็นผไู้ ม่มีไม่มสี ัมมาคารวะ ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิดระบบอาวุโสในบทละครหุ่นร่วมสมัย ดังเหตุการณ์ที่สินไซลงไปยังเมืองบาดาลเพื่อท้าพนันสกากับพระยาวรุณราช พระยาวรุณราชซึ่งเป็น เจ้าเมืองบาดาลเมื่อเห็นดังนั้นจึงนึกหยามในตัวสินไซ เนื่องจากเห็นว่าสินไซเป็นเพียงเด็ก แต่บังอาจ หาญกล้ามาพนันสกากับตน ท้ายที่สุดพระยาวรุณราชกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เจ้าบาดาลรู้สึกเสียหน้า และไม่อยากทำตามข้อตกลงจึงไปปรึกษาขุนนาค เพราะตนไม่อยากเสียเมืองบาดาลให้กับเด็ก ดงั ตวั บท วรณุ นาค ปา้ ดโธ๊!!! กมู าซ่างแพเ้ ด็กน้อยเม่ือวานซนื วะ สินไซ พอ่ เอ๊ย... อย่าสลิ ืมเดมิ พนั เดอ้ วรณุ นาค (เสียหนา้ ) เออ้ ... กูบล่ มื ดอก มึงถา่ อย่นู ซ่ี ะก่อน (วรุณนาคกลับเข้าไปในฉาก ปรกึ ษากบั ขนุ นาค) วรุณนาค กูสเิ ฮ็ดจง่ั ได๋บา้ นเมืองกูสิเป็นของมันอหี ลีบ่
57 ขนุ นาค ท่านสใิ หม้ ันเฮ็ดหยัง ซำ่ ปะสาเดก็ นอ้ ย จดั การมนั โล้ด วรุณนาค มึงคอื ว่าแนวนน่ั ฮ้ไู ปฮอดไส สิบ่อายไปฮอดน่ันติ ขุนนาค เฮากะอย่าให้มันได้หลุดรอดไปตั้ว... อย่าเฮ็ดให้มันเว้าให้ผู้อน่ื ฟงั ได้ (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) ตวั บทขา้ งต้นเปน็ เหตุการณ์ในฉากท่ี 3 สินไซขอแขง่ สกากบั พระยาวรุณราช โดยคำที่พระยาวรุณราชลั่นออกมานั้นเป็นคำที่แสดงถึงการด้อยค่าความสามารถ และหยามว่า สนิ ไซเป็นเพยี งเด็ก คอื คำว่า เดก็ นอ้ ยเม่อื วานซนื และการท่ีตนซง่ึ เป็นถึงเจ้าบาดาลตอ้ งมาพนันแพ้เด็ก ที่เกิดทีหลังอย่างสินไซ ก็ทำให้พระยาวรุณราชถึงกับต้องเสียหน้าและอับอาย นอกจากน้ี ในบทสนทนาระหว่างขุนนาคกับพระยาวรุณราชก็มีลักษณะเช่นเดียวกับคำว่า เด็กน้อยเมื่อวานซืน โดยขุนนาคยุยงว่า เจ้าบาดาลจะยอมยกเมืองให้แก่สินไซทำไม ซ่ำปะสาเด็กน้อย ซึ่งหมายถึง สินไซ เป็นเพียงเด็กธรรมดาเท่านั้น หากเกรงว่าสินไซจะนำเรื่องที่เล่นพนันสกาชนะเจ้าบาดาล ไปปา่ วประกาศแก่ผอู้ ืน่ ให้พระองค์อับอาย กจ็ งจดั การฆ่าทิง้ เสีย ด้วยสถานภาพของตัวละครพระยาวรณุ ราชและวัยวุฒิของขุนนาคที่สูงกวา่ สินไซ จึงเป็นเหตุให้ตัวละครทั้งสองถือว่าตนอาวุโสกว่า และได้แสดงอำนาจเหนือผู้อาวุโสน้อยกว่า ผ่านการใชค้ ำทีแ่ สดงถึงการหยามผ้นู ้อย อกี ท้งั ยงั เป็นการด้อยค่าและมองข้ามความสามารถของสินไซ ซึ่งบทสนทนาที่ยกมาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงลำดับชั้นความสัมพันธ์ของคนในสังคม โดยเด็กหรือ ผูอ้ าวโุ สนอ้ ยกวา่ จะอยูใ่ นช้นั ล่างสดุ ไม่วา่ จะในระดบั ครอบครัว หรอื ระดับสงั คมขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลให้ เกดิ ค่านยิ มผู้นอ้ ยต้องเคารพและให้เกยี รติผู้ใหญ่ และระบบอาวุโสน้ีก็ยังคงมีอยใู่ นสงั คมปจั จุบนั 4.2.1.3 ความกตัญญตู ่อบพุ การแี ละผมู้ พี ระคณุ กตัญญู หมายถึง ซึ่งรู้อุปการะที่ท่านทำให้ ซึ่งรู้คุณท่าน เป็นคำคู่กันกับ กตเวที12 ดังนั้น ความกตัญญู จึงหมายถึงการรู้คุณของผู้อุปการะหรือผู้ที่มีพระคุณ ความกตัญญู เป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์โดยเฉพาะในสังคมไทยและสังคมอีสาน ซึ่งถูกปลูกฝังอบรม คุณลักษณะด้านนี้มาตั้งแต่อดีต เนื่องจากการใช้ชีวิตในสังคมจำเป็นต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ไม่เพียงแต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่คอยเลี้ยงดูผู้อุปการะ แต่ยังรวมไปถึงบุคคลแวดล้อมต่าง ๆ ที่มี ส่วนสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ส่งผลให้บุคคลนั้นเป็นผู้มีพระคุณ ดังเช่นเหตุการณ์ที่สินไซไปตามหา นางสีดาจนั ทรท์ ีเ่ มืองบาดาล ตามความประสงค์ของนางสุมณฑาผ้เู ป็นอา ดังตวั บท 12 สำนักงานราชบณั ฑิตยสภา. (ม.ป.ป.). พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554.
58 สนิ ไซ อาคือโทมนงั แท้ กลัวยา่ นเย้อื นยาก ซั่นบ้อ หรือแมค่ ดึ แนวได๋ ซ่อยบอกหลานดว้ ย หลานสชิ ว่ ยผ่อนแก้ แมต่ รสั แจ้งเฮาโล้ด โปรดอย่าเก็บกำไว้ ให้ลกู สางซอ่ ยเถิด แม่เนอ้ … สนิ ไซ แม่นผูไ้ ดล๋ ะ่ อา สมุ ณฑา สีดาจนั ทร์ลกู สาวอานลี่ ะ่ ตกไปเป็นเมยี ของพระยา วรุณนาคราชอยู่เมืองบาดาล สังข์ทอง อาอยากใหห้ ลานไปนำเอานางกลับมาแม่นบ่ สมุ ณฑา แมน่ ล่ะหลาน อาคดึ นำนาง สนิ ไซ บดั ห่านางบก่ ลับนน่ั เด่ สังข์ทอง คือว่าแนวนน่ั สินไซ นางเป็นเมียพญานาคราชเมืองบาดาล เจ้าคึดว่าสิได้โตนางมา งา่ ย ๆ อยู่ติ (สังขท์ องทำทีหา้ มปรามสินไซไมใ่ ห้พดู ) สมุ ณฑา ขน่ั นางบ่กลับ อากะสบิ ไ่ ปนำซุมหลาน นางบ่มีพ่มี นี ้อง นางบ่มี พอ่ แล้วกะยงั สิบม่ ีแม่นำซ่ันติ สงั ข์ทอง เฮากะลองไปถามนางเบง่ิ ก่อนบ่สินไซ สินไซ ถ้าจง่ั ซนั่ หลานกะสไิ ปนำเอานางมาให้อา (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) ตัวบทข้างต้นเป็นเหตุการณ์ในฉากที่ 1 สุมณฑาขอหลาน สินไซเห็นว่า นางสุมณฑามีสีหน้าเศร้าโศก ไม่สดชื่น จึงได้ทราบว่านางสุมณฑาคิดถึงและเป็นห่วงลูกสาวที่อยู่ เมืองบาดาล นางสุมณฑากลา่ ววา่ ลกู สาวของตนไม่มญี าตพิ น่ี ้องคอยดูแล พอ่ กต็ ายจาก เหลือเพียงนาง ที่เป็นแม่อยู่ผู้เดียว หากนางสีดาจันทร์ไม่กลับมาเมืองอโนราช นางก็จะไม่ยอมกลับเมืองเป็งจาล พร้อมสินไซและสังข์ทอง แม้ว่าการลงไปยังเมืองบาดาลเพื่อชิงตัวนางสีดาจันทร์มาจากเจ้าบาดาล จะเป็นส่ิงท่ที ำได้ยาก แตส่ ินไซก็อาสาจะทำเพอื่ ใหอ้ าสบายใจ แม้ว่าการกระทำของสินไซจะทำไปเพื่อให้นางสุมณฑารู้สึกสบายใจ และ เพื่อให้นางยอมกลับเมืองเป็งจาลพร้อมตน อีกทั้งผู้ประพันธ์บทก็ไม่ได้สื่อสารให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า สิ่งที่สินไซทำไปนั้นเป็นเพราะความกตัญญู แต่จากตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยอนุมานได้ว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการตอบแทนคุณของพระยากุศราชผู้เป็นพ่อ เนื่องจากนางสุมณฑา เป็นน้องสาวที่พระยากุศราชรักและหวงแหนมาก ความกตัญญูที่ตัวละครสินไซแสดงออกจึงเป็นการ
59 ระลึกถึงและซาบซึ้งในพระคุณของบุพการี โดยการลงไปยังเมืองบาดาลเพื่อตามหานางสีดาจันทร์ และหากนางสีดาจันทร์ยอมมาด้วย นางสุมณฑาก็จะกลับไปยังเมืองเป็งจาลพร้อมตน อันจะนำ ความยินดีมาสู่พระยากุศราชที่รอคอยการกลับมาของน้องสาว เหตุการณ์และบทสนทนาที่ยกมา ข้างต้นแสดงให้เหน็ ถึงแนวคดิ ความกตญั ญู ทส่ี ่งผลให้เกดิ คา่ นยิ มการตอบแทนบุญคุณของบุพการีและ ผ้มู พี ระคุณ และค่านยิ มนกี้ ็ยังคงยดึ ถือปฏิบัติกันอยู่ในสังคมปัจจบุ ัน แนวคิดด้านระบบครอบครัวและสังคมที่ถูกนำเสนอผ่านบทละครหุ่นร่วมสมัย เรือ่ งสนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ผปู้ ระพันธ์บทไดถ้ ่ายทอดแนวคิดระบบปิตาธปิ ไตย ระบบอาวุโส และ ความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณ เพื่อให้เห็นระบบความคิด ระบบโครงสร้างทางสงั คม ค่านิยม ตลอดจนอุดมการณท์ างสังคม อนั สง่ ผลต่อการประพฤติปฏิบัตติ นของคนในสังคม ผ่านการกระทำและ บทสนทนาของตัวละคร เนื่องจากตัวละครเป็นตัวกลางสำคัญในการสื่อสารความคิดและ แนวคดิ ดงั กล่าวสผู่ ูช้ ม โดยแนวคดิ ต่าง ๆ ที่ถกู นำเสนอในบทการแสดงนนั้ แสดงให้เห็นถึงค่านิยมและ ความเป็นไปในสงั คมยุคปัจจุบนั ได้เป็นอย่างดี 4.2.2 แนวคดิ ดา้ นการปกครอง จากการศึกษาวิเคราะห์ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเร่ืองสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง พบว่า ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิดด้านการปกครอง ในเหตุการณ์ที่พระยาวรุณราชยอมแพ้การสู้รบเนื่องจากต่อสู้ครุฑไม่ได้ และได้ยกเมืองให้แก่สินไซ ตามกตกิ า แตส่ นิ ไซเวนคืนเมืองให้เจ้าบาดาลและขอรบั เพียงตัวนางสีดาจันทร์ไปเพยี งเท่านั้น ก่อนไป สินไซได้สั่งสอนคุณธรรมให้แก่พระยาวรุณราช แล้วจึงพานางสีดาจันทร์ออกเดินทางไปพบ นางสมุ ณฑา ณ เมอื งอโนราช ฉาก 5 สนิ ไซสอนพระยาวรุณราช สนิ ไซ เฮาจักแต่งตัง้ ทา่ นเป็นเจา้ เมอื งบาดาล ขอใหท้ า่ นรกั ษาคณุ ธรรมไว้ รักษาศีล ให้ทานอยา่ ไดข้ าด ดีชว่ั แท้เหน็ แจ้งอย่าเหลิง ไผ๋เฮ็ดดีใหช้ น่ื ชอบ ไผเ๋ ฮด็ ช่วั อย่าเอานำ สจั จะนั้นเปน็ สิ่งประเสรฐิ ทา่ นจงรกั ษาไว้อย่าให้อยา่ ใหเ้ สียสญู วรณุ นาค เฮาหลงผิดเองล่ะท่าน ยอ้ นว่าฟังความผูอ้ นื่ กบั ใจมวั มดื ขอบคณุ ทา่ นบม่ า้ งเมืองถิ่ม ยังยกเมอื งให้เฝา้ โตเฮาซมซน่ื แทเ้ ด้
60 (กับสีดาจันทร์) น้องถ่าอ้ายแหน่เด้อ อ้ายสิเฮ็ดให้น้องเห็นว่า อ้ายเปน็ คนฮ้คู ือน้องว่าใหไ้ ด้ (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) เนื้อหาที่ยกมาข้างต้นมาจากฉากที่ 5 สินไซสอนพระยาวรุณราช เป็นเหตุการณ์ที่ สินไซได้สั่งสอนคุณธรรมของนักปกครองแก่พระยาวรุณราช เพื่อให้เจ้าบาดาลนำไปใช้เป็นแนวทาง ในการปฏิบัติตนให้เป็นนักปกครองที่ดี จากตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัย พบแนวคิดด้านการปกครอง 3 แนวคิด คือ ความประพฤติของนักปกครอง การรักษาสัจจะวาจา และความเที่ยงธรรม ซึ่งมรี ายละเอียดดงั ต่อไปน้ี 4.2.2.1 ความประพฤติของนักปกครอง ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า สินไซได้สั่งสอนคุณธรรมด้านต่าง ๆ อันเป็น พื้นฐานของนักปกครองให้แก่พระยาวรุณราช นอกเหนือจากคุณธรรมพื้นฐานแล้ว สินไซยังได้สอน เรื่องคุณสมบตั ิและข้อควรประพฤติปฏิบตั ิตนของนกั ปกครองทดี่ ี ดงั ตัวบท สินไซ เฮาจักแต่งตงั้ ท่านเปน็ เจ้าเมืองบาดาล ขอให้ทา่ นรักษาคุณธรรมไว้ รักษาศลี ให้ทานอยา่ ไดข้ าด … (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) ตัวบทข้างต้น สินไซได้เน้นย้ำให้พระยาวรุณราช รักษาคุณธรรม รักษาศีล ให้ทาน ซึ่งข้อปฏิบัติเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการครองตนและดำเนินชีวิต ไม่เพียงแต่ ผปู้ กครองเท่าน้ัน แตย่ ังรวมไปถึงทุกคนในสังคม โดยเฉพาะในกรณีน้ีทีส่ ินไซม่งุ เจาะจงไปที่เจ้าบาดาล หรือพระยาวรุณราช เนื่องจากเมื่อผู้ปกครองมีความประพฤติที่ดีงาม มีศีลธรรมอันเป็นหลักการ พื้นฐาน คือการมีคุณธรรม รักษาศีล และให้ทานอยู่เป็นนิจ ก็ย่อมนำมาซึ่งการปกครองบ้านเมืองและ ประชาชนอยา่ งเปน็ ปกตสิ ุข การที่นกั ปกครองปฏบิ ัตติ นตามกรอบของศีลธรรมเชน่ น้ี จึงเป็นการสร้าง ความไว้ใจและความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครอง ว่าผู้ปกครองนั้นเป็นผู้ยึดมั่น ในความถูกต้องชอบธรรมเพียงไร มีพฤติกรรม การประพฤติปฏิบัติตน และการครองตนในสังคม อย่างไร ซ่ึงสง่ิ เหลา่ นีย้ ่อมส่งผลต่อการบริหารและการปกครองบ้านเมือง
61 4.2.2.2 การรักษาสัจจะวาจา สัจจะ หมายถึง ความจริง ความจริงใจ เช่น ทำงานร่วมกันต้องมีสัจจะ ตอ่ กนั 13 โดยเหตกุ ารณ์ที่สนิ ไซสอนศลี ธรรมแก่พระยาวรณุ ราชมีการกลา่ วถึงการรักษาสัจจะ ซ่ึงสัจจะ ในทน่ี ้ีหมายถงึ สจั จะตอ่ วาจา คือ จริงต่อวาจา หรือจริงใจต่อวาจา ดังตวั บท … สจั จะนัน้ เปน็ สงิ่ ประเสรฐิ ทา่ นจงรกั ษาไวอ้ ยา่ ใหอ้ ยา่ ให้เสยี ศูนย์ … (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) จากตัวบท สินไซได้กล่าวถึงการรักษาสัจจะวาจาหรือการรักษาคำพูด เนื่องจากพระยาวรุณราชแพ้พนันสกาสินไซทั้ง 3 กระดาน จึงต้องยกเมืองบาดาลให้ตามกติกา แต่ พระยาวรุณราชไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ จนทำให้เรื่องราวบานปลายและเกิดการสู้รบในที่สุด การกระทำของเจ้าบาดาลเป็นการไม่รักษาคำพูด ไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับสินไซ และไม่ปฏิบัติตาม กติกาที่ตนวางไว้ สินไซจึงได้สั่งสอนเรื่องความซื่อสัตย์ต่อคำพูด หรือการรักษาสัจจะวาจาของ นักปกครอง ดังคำกล่าวที่ว่า “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ” กล่าวคือ เมื่อบุคคลใดลั่นวาจาออกไปแล้ว ก่อนพูดย่อมไตร่ตรองในคำพูดของตน โดยเฉพาะหากบุคคลนั้นเป็นกษัตริย์ ผู้ปกครอง หรือเป็นผู้มี ตำแหน่งยศถาบรรดาศักด์ิดว้ ยแล้ว ย่อมต้องไตร่ตรองคำพูดอย่างถ้วนถ่ีมากขึ้น นอกจากนี้ การรักษา สัจจะวาจายังเป็นคุณสมบัติอันพึงปฏิบัติของนักปกครอง เพราะจะช่วยสร้างความเชื่อถือและ ความไว้วางใจให้แก่ประชาชน อีกทั้งการรักษาคำพูดยังเป็นหัวใจหลักของความซื่อสัตย์สุจริต ซง่ึ เปน็ คุณธรรมสำคญั ประการหนง่ึ ของนักปกครอง 4.2.2.3 ความเที่ยงธรรม คุณสมบัติประการสำคัญของนักปกครองคือ ความเที่ยงธรรม กล่าวคือ นักปกครองควรยึดถือความถูกต้อง เที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูดหรืออารมณ์ ดังเช่นท่ี สนิ ไซไดส้ ่งั สอนพระยาวรุณราชในเรอ่ื งของการปกครองบา้ นเมอื งดว้ ยความเท่ียงธรรม ดงั ตัวบท … ดชี ั่วแท้เห็นแจ้งอยา่ เหลิง ไผเ๋ ฮด็ ดใี หช้ ื่นชอบ ไผ๋เฮด็ ชั่วอย่าเอานำ 13 สำนักงานราชบัณฑติ ยสภา. (ม.ป.ป.). พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554.
62 วรณุ นาค … เฮาหลงผดิ เองละ่ ทา่ น ยอ้ นวา่ ฟังความผูอ้ ่นื กับใจมวั มดื ขอบคณุ ท่านบ่มา้ งเมืองถม่ิ ยงั ยกเมืองใหเ้ ฝา้ โตเฮาซมซน่ื แท้เด้ … (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) จากตัวบทข้างต้น สินไซกล่าวแก่พระยาวรุณราชว่า นักปกครองที่ดี ควรยึดถือความเที่ยงธรรมเป็นสำคัญ ไม่เห็นสิ่งผิดเป็นชอบ หากผู้ใต้บังคับบังชากระทำการใด อันเป็นสิ่งที่ดีก็ควรชมเชย สนับสนุน แต่หากกระทำสิ่งที่ไม่สมควรก็ให้ตักเตือน และไม่ควรเอาตาม เป็นเยี่ยงอย่าง โดยการสู้รบในครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะเจ้าบาดาลหูเบาหลงเชื่อคำยุยงของขุนนาค และตอ้ งการเอาชนะพนนั สกาสนิ ไซ จงึ ตัดสนิ ใจกอ่ สงครามข้ึน จนทำใหเ้ มอื งบาดาลเกิดความเสียหาย และตนก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ แต่ท้ายที่สุด พระยาวรุณราชก็ยอมรับว่าตนนั้นหลงผิด และ เป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองต้องเสียหาย เพราะตนหลงเชื่อคำพูดของผู้ใต้บังคับบังชา ดังท่ี พระยาวรุณราชสำนึกผิดและกลา่ วว่า เฮาหลงผดิ เองล่ะท่าน ย้อนว่าฟงั ความผูอ้ ื่นกับใจมัวมืด นอกจากเหตุการณ์ที่ยกมาข้างต้นแล้ว ในเนื้อหาเกริ่นนำเรื่องย่อของ วรรณกรรมสินไซที่ผู้ประพันธ์บทได้เพิ่มเข้ามาก่อนเข้าสู่การดำเนินเรื่อง ก็พบการนำเสนอแนวคิด ความเท่ยี งธรรมของนักปกครอง ผา่ นเหตกุ ารณท์ ี่พระยากุศราชเนรเทศนางจนั ทา นางลุน สินไซ และ บุตรทั้งสาม เน่อื งจากพระองค์เชื่อคำทำนายของโหรหลวงวา่ ลูกของนางจนั ทาและนางลุนที่เกิดมานั้น เป็นกาลกิณี และเดก็ ทงั้ สามคนนจี้ ะทำใหบ้ ้านเมอื งเกดิ อาเพศ ดงั ตัวบท … สไิ ดข้ อกล่าวร้องทำนองเอ้อื นวา่ สูฟ่ งั ยังมีสามพี่น้องเป็นชาติหน่อแนวกษัตริย์ เทววาชอินตาส่งลงเมืองใต้ ให้มาเป็นบุตราแก้วพระยากุศราชผู้เป็นพ่อ เป็งจาลน้อเป็นเขตก้ำ เมืองบ้านถ่ินนคร บาดนี้เถิงคาวแล้วคือมีแนวมาบังเบียด คิดว่าเป็นเสนียดห้ายเมืองบ้าน แม่นบ่ดี หมอโหรชี้เป็นแนวใหม่ใส่ความหลง ให้พระองค์ไล่มันหนีลูกบ่ดี กาลีบา้ น น่าสงสารกุมารเจ้าผู้แพงทั้งสามหน่อ เทิงจันทามิ่งเหง้ามเหสีท้าวนั่งเทียม กบั ทั้งนางลุนน้อยสนมนางเทยี มอาจ วาสนาต่ำตอ้ ยพลอยข้างหา่ งเมือง … (พชญ อัคพราหมณ์, 2562)
63 จากเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ที่ยกมาข้างต้น พบว่า ตัวละคร พระยาวรุณราชและพระยากุศราชมีลักษณะเชน่ เดียวกันในด้านการขาดความเที่ยงธรรม โดยกษัตริย์ ทั้งสองหูเบาหลงเชื่อคำพูดของคนรอบข้าง คือโหรหลวงและขุนนาค จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ เหตุการณ์ต่าง ๆ อันนำมาซึ่งความเสียหายทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในภายหลัง อาจกล่าวได้ว่า ความเที่ยงธรรมเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักปกครอง โดยนักปกครองต้องมีความหนักแน่น ยึดถือความถูกต้อง มีวิจารณญาณในการคำนึงถึงเหตุผลที่เหมาะสมสมควร มีความซื่อตรง ในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง และไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูดหรืออารมณ์ อันจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่น และสงั คมส่วนรวม แนวคิดด้านระบบการปกครองที่ถูกนำเสนอผ่านบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม ผ้ปู ระพนั ธ์บทได้ถา่ ยทอดแนวคิดความประพฤติของนักปกครอง การรกั ษาสัจจะ วาจา และความเที่ยงตรง เพื่อนำเสนอให้เห็นถึงข้อปฏิบัติในการครองตนของนักปกครอง และ คุณธรรมของนักปกครอง ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิดเหล่านี้ผ่านการกระทำของตัวละคร พระยาวรุณราชและการสั่งสอนศีลธรรมของสินไซ โดยแนวคิดด้านระบบการปกครองในประเด็น ตา่ ง ๆ ที่กล่าวมานน้ั ล้วนสง่ ผลต่อการปกครองคนในสงั คม ชว่ ยให้สังคมเกิดความปกติสุข และมั่นคง กา้ วหน้าต่อไป อีกทั้งยังนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานในการครองตนและดำเนนิ ชีวิตของคนในสังคม แนวคิดเรอ่ื งความเทย่ี งธรรมในการปกครอง เป็นแนวความคิดหลักของการแสดงชุด นาคะยุทธกรรม ที่ผู้ประพันธ์บทต้องการนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละครพระยาวรุณราช ดังท่ี พชญ อัคพราหมณ์ (2565) ได้อธิบายว่า แนวความคิดนี้ได้นำเสนอสภาพปัจจุบันของหลายสังคม ที่ผู้นำในสังคมนั้น ๆ หูเบาและเลือกเชื่อคำพูดของผู้อื่นโดยง่าย ส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้ การปกครองต้องเดือดร้อน ซึ่งตนเห็นว่าประเด็นดังกล่าวควรหยิบยกมาถ่ายทอดให้เห็นในเชิงคุณค่า หรือในเชิงความคิดของวรรณกรรม โดยการนำเสนอผ่านศิลปะการแสดงที่ทำหน้าที่สื่อสารข้อความ เพ่อื สร้างความตระหนกั รู้หรอื ให้ขอ้ คิดบางประการแก่ผชู้ ม “แนวคิดในตอนนาคะยุทธกรรมมีสาระสำคัญคือเรื่องคุณธรรมของนักปกครอง เราหยิบเอาหัวใจนี้มานำเสนอแล้วเล่าผ่านตัวละครหลักคือพระยาวรณุ นาคราช แล้วใชต้ ัวละครสินไซ เข้ามาเป็นตัวกระทำ และสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุดการที่คุณจะเป็นผู้นำที่ดี จะต้องไม่หูเบา ไม่เลือกเชื่อคนรอบข้างง่าย ๆ ควรมีสติในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ถึงเหตุและผล การท่ีตัวละครพระยาวรุณราชเลือกเชื่อข้าราชบริพาร นำมาสู่การเกิดเป็นยุทธกรรม เป็นการรบ ครั้งใหญ่จนแทบจะทำให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ในเมืองบาดาลตายหมด อาจารย์มองว่าความคิดน้ี สะท้อนความเป็นปัจจุบันของบ้านเมืองเรา ผู้นำหรือผู้ปกครองในทุก ๆ สังคม ก็มีหลายคนที่หูเบา
64 เลอื กเช่ือคนอื่นง่าย ซ่งึ สง่ ผลใหค้ นท่ีอยูภ่ ายใต้การปกครองต้องเดือดร้อน ประเดน็ นี้จึงควรหยิบมาพูด ในเชิงคณุ ค่าหรือในเชิงความคิด เพอื่ สร้างความตระหนกั รู้ (Awareness) บางอยา่ งใหก้ บั ผชู้ ม” จากการศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ และศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏ ในบทละครหนุ่ รว่ มสมัยเร่อื งสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุน่ นวตั ศลิ ป์ พบว่า ในการแปรรูป วรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นรว่ มสมัย ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการแปรรปู ตัวบทและการแปรรูปเนื้อความ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้ประพันธ์บทในการนำตัวบท วรรณกรรมต้นฉบับมาปรับและเปลี่ยนรายละเอียดบางส่วนให้ต่างไปจากเดิม เพื่อให้เหมาะสมกับ รูปแบบของการแสดง แต่ยังคงรักษาโครงเรื่องหลักของวรรณกรรมต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ ในด้านแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัย พบแนวคิดด้านระบบครอบครวั และสังคม และแนวคิดด้านการปกครอง โดยแนวคิดต่าง ๆ ที่ถูกนำเสนอในบทการแสดงนั้น แสดงให้เห็นถึงระบบความคิด ค่านิยม การประพฤติปฏิบัติตนของนักปกครอง ตลอดจน สภาพความเปน็ ไปในสงั คมยคุ ปจั จุบนั ได้เปน็ อยา่ งดี
65 บทที่ 5 สรุปและอภปิ รายผลศกึ ษา รายงานวิจัยเรื่อง สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม : การแปรรูปวรรณกรรมอีสานและแนวคิด เชิงสงั คมทป่ี รากฏในบทละครหุน่ ร่วมสมัย คณะละครหุ่นนวัตศลิ ปม์ อดินแดง มีวัตถุประสงคเ์ พอ่ื ศึกษา การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม และ เพื่อศึกษาแนวคิดเชิงสังคมท่ีปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง การดำเนินงานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาและวิเคราะห์ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ประพันธ์บทโดย พชญ อัคพราหมณ์ (2562) และใช้วรรณกรรม สังข์สิลป์ชัย ฉบับปริวัตรโดย มั่น จงเรียน (ม.ป.ป.) เป็นตัวบทต้นฉบับในการศึกษาการแปรรูป วรรณกรรมสู่การสร้างสรรค์บทละครหนุ่ รว่ มสมัย โดยสามารถสรุปและอภปิ รายผลการศกึ ษาได้ ดงั น้ี 5.1 สรุปผลการศึกษา จากการศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม และศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง สามารถแบ่งประเด็นในการสรุปผลการศึกษา ตามวัตถุประสงคไ์ ด้ 2 ประเดน็ ดงั น้ี 5.1.1 การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยทุ ธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลปม์ อดนิ แดง ในการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม พบว่า ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ ซงึ่ เป็นวรรณกรรมเพื่อการอ่าน ไปสู่วรรณกรรมเพื่อการแสดง คือการสร้างสรรคบ์ ทละครหุ่นร่วมสมัย ของละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง โดยพบการแปรรูปวรรณกรรมใน 2 ลักษณะ คือ การแปรรูปตวั บท และการแปรรูปเน้ือความ ซ่ึงมีรายละเอียดดังน้ี 5.1.1.1 การแปรรูปตัวบท เปน็ วธิ ีการทผ่ี ปู้ ระพันธ์บทคัดลอกตวั บทวรรณกรรมต้นฉบับเพื่อนำมาใช้ใน การแสดง แต่ได้ปรับรูปแบบหรือโครงสร้างตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับให้ต่างไปจากเดิม หรืออาจ
66 คัดลอกตัวบทเดิมที่ปรากฏในบทอื่นหรือเหตุการณ์อื่นจากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับมาใส่ใน บทละครหุ่นร่วมสมัย โดยตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่น นวัตศิลป์มอดินแดง พบการแปรรูปตัวบท 2 ลักษณะ คือ การเพิ่มประณามบท และการปรับรูปแบบ ตวั บทวรรณกรรมตน้ ฉบับ ดงั นี้ 1) การเพิม่ ประณามบท ผู้ประพันธ์บทได้หยิบยกเอาบทนมัสการพระรัตนตรัยจากตัวบท วรรณกรรมต้นฉบับ ซึ่งผู้ปริวัตรได้ประพันธ์ไว้ก่อนการดำเนินเรื่องตามแบบแผนในการแต่ง คำประพันธ์ มาใช้เปน็ บทไหว้ครูในบทละครหุ่นร่วมสมัยก่อนเข้าสู่เน้ือหาการแสดง เพื่อให้เป็นไปตาม ขนบการไหวค้ รกู อ่ นเริ่มการแสดง เพอื่ ให้เกิดสริ ิมงคล และเป็นการเรยี กขวัญกำลังใจให้แกน่ กั แสดง 2) การปรับรูปแบบตัวบทวรรณกรรมตน้ ฉบับ เป็นวิธีการสร้างสรรค์ตัวบทใหม่โดยใช้ฐานของตัวบทเดิมที่มีอยู่ โดยผู้ประพันธ์บทนำบทกลอนจากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับในแต่ละบทมาตัดสลับกัน และนำมา ประกอบเป็นตัวบทใหม่ แต่ยังคงเนื้อหาและสาระสำคัญของตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับไว้เช่นเดิม พร้อมทั้งได้ปรับคำบางคำให้ไพเราะต่อการนำมาเป็นกลอนลำ เพื่อให้บทละครหุ่นร่วมสมัย มคี วามสมบูรณ์ เหมาะสมตอ่ การนำไปแสดง และเพ่อื ให้การแสดงมคี วามกระชบั ขึ้น 5.1.1.2 การแปรรปู เนอื้ ความ เป็นวิธีการที่ผู้ประพันธ์บทนำเนื้อหาจากวรรณกรรมต้นฉบับมาใช้ใน การแสดง แต่ได้ปรับและเปลี่ยนเนื้อหาหรือรายละเอียดบางส่วนให้ต่างไปจากเดิม เพื่อให้เหมาะสม กับรูปแบบของการแสดง โดยบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่น นวัตศิลป์มอดินแดง พบการแปรรูปเนื้อความใน 3 ลักษณะ คือ การลดความ การเพิ่มความ และ การตดั ความ ดงั นี้ 1) การลดความ ผ ู ้ ป ร ะ พ ั น ธ ์ บ ท ไ ด้ ล ด ท อ น ร า ย ล ะ เ อ ี ย ด เ น ื ้ อ ห า บ า ง ส ่ ว น ข อ ง วรรณกรรมต้นฉบับ แต่ยังคงรักษาเหตุการณ์สำคัญของเรื่องไว้ เพื่อเป็นการกระชับเวลาในการแสดง และเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบของการแสดง โดยเนื้อหาที่ลดทอนไปนั้น เป็นเหตุการณ์ท่ีไม่มี ความสำคัญต่อโครงเรื่องหลัก อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่ต้องใช้ฉากที่หลากหลายและตัวละคร จำนวนมาก ซ่งึ เปน็ ข้อจำกดั ประการหนง่ึ ของการแสดงละครหุ่นรว่ มสมัย 2) การเพม่ิ ความ เป็นการเพิ่มเนื้อหาหรือรายละเอียดบางส่วนในบทการแสดง ให้ต่างไปจากวรรณกรรมต้นฉบับ แต่ยังคงรักษาโครงเรื่องหลักของวรรณกรรมต้นฉบับไว้ โดย
67 ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการเพิ่มความบทละครหุ่นร่วมสมัยใน 3 ลักษณะ คือ การเพิ่มเนื้อหา การเพ่ิม ตัวละคร และการเพ่ิมการลา 3) การตัดความ ผูป้ ระพันธบ์ ทได้ตัดเน้ือหาสว่ นท้ายของวรรณกรรมตน้ ฉบับออกไป เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีความสำคัญต่อรายละเอียดของเรื่อง อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ เก่ียวข้องกับเส้นเร่ืองหลักของการแสดงชุดน้ี การตดั เนอ้ื หาเหล่าน้ีออกไปจึงเป็นการลดความไม่เข้าใจ ในเนอ้ื หาและความสบั สนของผู้ชม 5.1.2 แนวคดิ เชงิ สังคมทป่ี รากฏในบทละครหนุ่ ร่วมสมัยเร่ืองสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวตั ศลิ ปม์ อดินแดง จากการศึกษาและวิเคราะห์ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง พบว่า ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิดเชิงสังคม ในด้านต่าง ๆ ผ่านบทละครหุ่นร่วมสมัย โดยพบแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัย เร่อื งสนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรมใน 2 ประเดน็ คือ แนวคดิ ดา้ นระบบครอบครัวและสงั คม และแนวคิด ด้านการปกครอง ซ่งึ มีรายละเอียดดังนี้ 5.1.2.1 แนวคิดด้านระบบครอบครัวและสังคม ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิดด้านระบบครอบครัวและสังคม ผ่าน การกระทำของตัวละครต่าง ๆ ตลอดจนบทพากย์ และบทสนทนาของตัวละคร โดยพบแนวคิดด้าน ระบบครอบครัวและสังคม 3 แนวคิด ได้แก่ 1) ระบบปิตาธิปไตย 2) ระบบอาวุโส และ 3) ความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณ โดยแนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้ แสดงให้เห็นระบบความคิด ระบบโครงสร้างทางสังคม ตลอดจนอุดมการณ์ทางสังคม อันส่งผลต่อค่านิยมและการประพฤติ ปฏิบัตติ นของคนในสงั คม 5.1.2.2 แนวคิดดา้ นการปกครอง ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิดด้านการปกครอง ผ่านการกระทำของ ตัวละครพระยาวรณุ ราชและการสั่งสอนศีลธรรมของสนิ ไซ โดยพบแนวคิดด้านการปกครอง 3 แนวคดิ ได้แก่ 1) ความประพฤติของนักปกครอง 2) การรักษาสัจจะวาจา และ 3) ความเที่ยงธรรม โดยผู้ประพันธ์บทได้ถ่ายทอดแนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อนำเสนอให้เห็นถึงข้อปฏิบัติในการครองตน ของนักปกครอง และคุณธรรมของนักปกครอง ซึ่งส่งผลต่อการปกครองคนในสังคม อีกทั้งยังสามารถ นำมาใช้เป็นบรรทัดฐานในการครองตนและดำเนินชวี ติ ของคนในสงั คม
68 5.2 อภิปรายผลการศกึ ษา จากการศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย เรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม และศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่อง สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ผู้วิจัยพบว่า วรรณกรรมสินไซ นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าท่ีมีความสำคัญต่อสังคมอีสานนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการทผี่ สู้ ร้างสรรคง์ านมักจะหยิบยกเอาวรรณกรรมเร่ืองน้ีมาตีความ และนำเสนอใหม่ ในรูปแบบอื่นหรือสื่อประเภทอื่นอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงละครหุ่นอีสานของ คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ซึ่งผู้ประพันธ์บทได้แปรรูปจากวรรณกรรมเพื่อการอ่านไปสู่ การสร้างสรรค์ผลงานการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมที่มีความร่วมสมัย เพื่อนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ตลอดจนสื่อสารแนวคิดอันเป็นความดีงามจากวรรณกรรม ผ่านศิลปะการแสดงที่ทำหน้าที่ เปน็ ตวั กลางในการสื่อสารความคดิ ไปยงั ผ้ชู มในปจั จบุ ัน ดังท่ี พชญ อัคพราหมณ์ (2565) กล่าววา่ “วรรณกรรมเรื่องสินไซถือได้ว่าเป็นมหากาพย์ของคนลุ่มน้ำโขง คล้ายกับเรื่องรามเกียรติ์ มีจำนวน 15 บั้น โดยในแต่ละบั้นแต่ละตอนก็จะมีหัวใจของเรื่องที่นำเสนอแนวความคิดในเชิง จริยธรรม พุทธศาสนา หรือมองในแง่ของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความเป็นสากลมาก ตลอดจนมีคติสอนใจที่ลึกซึ้งและมีแง่มุมที่สามารถหยิบเอามาสร้างสรรค์ได้อีกมากมาย และที่สำคัญ ก็คือ วรรณกรรมเรื่องนี้ข้ามเวลาได้ ไม่ว่าจะเมื่อ 300 หรือ 500 ปีที่แล้ว ที่วรรณกรรมเรื่องน้ี ถูกประพันธ์ขึ้นจนกระทั่งปัจจุบัน ประเด็นบางอย่างที่เป็นความคิดหลักที่อยู่ในแต่ละตอน ก็สามารถ นำมาสื่อสารกับคนยุคปัจจุบันได้ ฉะนั้น หน้าที่ของเราในฐานะนักการละคร ก็คือการเช่ื อมต่อ ความดงี ามจากวรรณกรรม ใหส้ ่อื สารผ่านการแสดงไปยงั ผชู้ มในสังคมทีห่ ลากหลาย” วรรณกรรมสินไซ เป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าทั้งในด้านสารัตถะ หลักพุทธธรรม แนวคิดด้าน การปกครอง การนำเสนอสภาพสังคม ค่านิยม และคุณค่าในเชิงวรรณศิลป์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำเอาวรรณกรรมสินไซมาผลิตซ้ำแนวความคิดดังกล่าวเพื่อถ่ายทอดไปยัง กลุ่มคนในสังคม อีสานมาทุกยุคสมัย โดยการนำเสนอวรรณกรรมสินไซในรูปแบบการแสดงละครหุ่น ของ คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง เป็นการผลิตซ้ำการนำเสนอวรรณกรรมสนิ ไซในบริบทสังคมอีสาน เพื่อสื่อสารแนวคิดเชิงสังคมบางประการแก่คนในสังคม และเพื่อนำเสนอคุณค่าและความสำคัญของ วรรณกรรมสนิ ไซ ใหย้ งั คงดำรงอยู่ในสังคมอีสานในรปู แบบใหม่ ทา่ มกลางบริบททางสังคมที่เปล่ียนไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสืบทอดและพัฒนาการของวรรณกรรมสินไซในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม ทห่ี ยงั่ รากฝังแน่นอย่ใู นสงั คม และปรากฏในสายธารวัฒนธรรมของสังคมอีสานมาช้านาน
69 ในดา้ นการแปรรูปวรรณกรรมเพื่อการอ่านไปสกู่ ารสร้างสรรคบ์ ทละครหุน่ รว่ มสมยั เร่ืองสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ผู้ประพันธ์บทไดใ้ ช้ทั้งวิธกี ารแปรรูปตัวบทและการแปรรูปเน้ือความวรรณกรรม ต้นฉบับ โดยในด้านการแปรรูปตัวบท ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการเพิ่มประณามบท และการปรับ รูปแบบตัวบทวรรณกรรม โดยการนำเอาบทนมัสการพระรัตนตรัยจากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ มาใช้เปน็ บทไหว้ครูในบทละครหุ่นร่วมสมยั เพือ่ ใหเ้ ป็นไปตามขนบของการแสดง อกี ทัง้ ยังได้ใช้วิธีการ สร้างสรรค์ตัวบทใหม่โดยใช้ฐานของตัวบทเดิม คือการนำบทกลอนจากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ ในแต่ละบทมาตัดสลับกัน และนำมาประกอบเป็นตัวบทใหม่ สอดคล้องกับผลการศึกษาของ ชุติมา เลิศนันทกิจ (2554) เรื่อง คณะคำนาย: การสร้างภาพลักษณ์และการปรับประยุกต์เรื่อง รามเกียรติ์ในการแสดงหุ่นละครเล็ก ที่ได้อธิบายว่า ในการปรับประยุกต์วรรณกรรมมาเป็นการแสดง ผู้ประพันธ์บทจะนำเรื่องรามเกียรติ์ฉบับต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในบริบทใหม่ ด้วยวิธีการปรับรูปแบบ คำประพันธ์ การคัดลอกคำประพันธ์บางบท และการแต่งบทขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นการนำตัวบทวรรณกรรม แต่ละฉบับมาใชใ้ นจุดประสงค์ท่เี หมอื นและต่างไปจากเดมิ ด้านการแปรรูปเนื้อความ ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการลดความ เพิ่มความ และตัดความ โดยการปรับและเปลี่ยนเนื้อหา หรือรายละเอียดบางส่วนให้ต่างไปจากเดิม แต่ยังคงเนื้อหาและ เหตุการณ์สำคัญของตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วน อีกทั้งเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ก็ไม่กระทบต่อการดำเนินเรื่อง สอดคล้องกับผลการศึกษาของ สุดารัตน์ มาศวรรณา (2553) เรื่อง การเปลีย่ นแปลงของนิทานสู่หนงั สือการต์ ูนนิทานไทย ทอี่ ธิบายวา่ เมอ่ื มกี ารนำเสนอนิทานในรูปแบบ ใหม่ ผู้เขียนได้เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องในลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ การเปลี่ยนรายละเอียดของเรื่อง การเพิ่มความ ลดความ สับสนความ สลับความ และการยืมความ และสอดคล้องกับการศึกษาของ สุภัค มหาวรากร (2556) เรื่อง การแปรรูปบทละครเรื่องอิเหนา ผลการศึกษาพบว่า บทเจรจา เรื่องอิเหนา บทละครดึกดำบรรพ์เรื่องอิเหนา และละครโทรทัศน์เรื่องสุดหัวใจเจ้าชายเทวดา ได้รับ อิทธิพลจากบทละครในเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดย ยังคงลักษณะสำคัญ คือ โครงเรื่อง ตัวละครสำคัญ และฉากสำคัญไว้ ขณะเดียวกันก็มีการสร้างสรรค์ ลักษณะเด่นของแต่ละสำนวนให้เหมาะสมกับยุคสมัยและประเภทของบทละคร โดยการปรับเปลี่ยน รายละเอยี ดเนอ้ื หาบางตอนใหเ้ ข้าใจงา่ ย และเหมาะสมกับบรบิ ทของสังคม ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการแปรรูปวรรณกรรมต้นฉบับสู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย ใน 2 ลกั ษณะ ดงั ทีก่ ลา่ วขา้ งต้น คอื การแปรรปู ตัวบท และการแปรรูปเน้ือความ เพือ่ เป็นการกระชับ ระยะเวลาในการแสดง และเพื่อให้เหมาะสมกับรปู แบบของการแสดง เนื่องจากรปู แบบของการแสดง ละครหุ่นเช่นนี้มีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนของตัวละคร จำนวนผู้เชิดหุ่น การสลับฉาก และเวลาในการแสดง ดังนั้นผู้ประพันธ์บทจึงจำเป็นต้องหาวิธีการในการปรับเปลี่ยน รายละเอียดบางส่วนของตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ โดยการลดทอนเหตุการณ์ที่ต้องมีการสลับฉาก
70 หรือต้องใช้ตัวละครจำนวนมาก และรายละเอียดเนื้อหาเหตุการณ์บางส่วนที่กระทบกับข้อจำกัดของ การแสดง ตลอดจนการเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ เช่น บทพากย์ บทสนทนา และตัวละครที่ช่วยสร้าง สีสัน เพื่อให้บทละครหุ่นร่วมสมัยมีความสมบูรณ์และเหมาะสมกับรูปแบบการแสดง สอดคล้องกับ ผลการศึกษาของ บุษดี อรสิริวรรณ (2551) เรื่อง กลวิธีการดัดแปลงวรรณกรรมสามก๊กเป็นการ์ตูน สามก๊กฉบับบรรลือสาส์น ผลการศึกษาพบว่า ในการดัดแปลงวรรณกรรมสามก๊กและละครโทรทัศน์ สามก๊กให้เป็นการ์ตูนฉบับบรรลือสาส์น ผู้เขียนการ์ตูนได้กลวิธีต่าง ๆ ในการดัดแปลง ได้แก่ การตัดออก การเพิ่มเข้า การสลับตำแหน่ง และการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางส่วน ซึ่งส่งผลให้ การ์ตูนสามก๊กฉบับน้ีมีความร่วมสมัย เนื้อหากะทัดรัด ดำเนินเรื่องได้เร็ว มีตัวละครเท่าที่จำเป็น เหมาะแก่การนำเสนอในรูปแบบคอมิกสตรปิ และยังสร้างอารมณ์ขันใหแ้ กผ่ ู้อา่ น โดยผู้เขียนการ์ตูนได้ ดัดแปลงองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่ การดัดแปลงเนื้อหา ตัวละคร บทสนทนา และฉาก ทั้งยังมี การเพิ่มเติมองค์ประกอบต่าง ๆ จากจินตนาการของผูเ้ ขียนการ์ตูนเอง เพื่อให้มีความรว่ มสมัยเข้ากบั ผอู้ า่ นในปัจจบุ ัน ในด้านแนวคิดเชิงสังคมที่นำเสนอผ่านบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิดด้านระบบครอบครัวและสังคม และแนวคิดด้านการปกครอง โดย แนวคิดด้านระบบครอบครัวและสังคม พบการนำเสนอประเด็นเรื่องระบบปิตาธิปไตย ระบบอาวุโส และความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณ เพื่อให้เห็นระบบความคิด ระบบโครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ตลอดจนอุดมการณ์ทางสังคม อันส่งผลต่อการประพฤติปฏิบัติตนของคนในสังคม ซึ่ง การนำเสนอแนวคิดด้านระบบปิตาธิปไตย สอดคล้องกับผลการศึกษาของ คมกฤษณ์ วรเดชนัยนา (2557) เรื่อง พหุลักษณ์ของอำนาจในวรรณกรรมเรื่องสินไซ ที่ได้อธิบายว่า วรรณกรรมสินไซ ได้นำเสนอค่านิยมและอุดมการณ์ทางสังคม โดยเฉพาะประเด็นของอำนาจแบบปิตาธิปไตย คือ การนำเสนอให้เหน็ ถึงความแตกตา่ งระหวา่ งสถานะของเพศชายและหญิง ตัวละครเพศหญิงมกั ถูกกดข่ี ปิดกั้น ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ มีอภิสิทธิ์น้อยกว่า ตลอดจนเป็นวัตถุทางเพศของตัวละครเพศชาย ทั้งนี้ อำนาจด้านต่าง ๆ ท่ีผู้เขียนได้สรา้ งสรรค์และซ่อนแฝงไว้ในวรรณกรรมเรื่องสินไซ ยังช่วยให้เห็น ปรากฏการณแ์ ละความเป็นไปทางสังคม แนวคิดด้านการปกครอง ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอประเด็นเรื่องความประพฤติของ นักปกครอง การรักษาสัจจะวาจา และความเที่ยงธรรม เพื่อให้เห็นถึงข้อปฏิบัติในการครองตนของ นักปกครอง และคุณธรรมของนักปกครอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการปกครองคนในสังคม อีกท้ัง ยงั ชว่ ยใหส้ งั คมเกิดความปกติสุข โดยข้อปฏิบตั ิเหล่านี้ยังสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการครองตน และการดำเนินชีวิตของทุกคนในสังคม ไม่เพียงแต่ผู้ปกครองเท่านั้น สอดคล้องกับการศึกษาของ พิดสะพง วงพะจัน (2562) เรื่อง สินไซ : บทบาทหน้าที่และปฏิสัมพันธ์ระหว่างวรรณคดีมรดก กับสังคมวัฒนธรรมลาว ผลการศึกษาพบว่า สินไซเป็นวรรณคดีที่มีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญต่อสังคม
71 วัฒนธรรมลาว 6 ประการ คือ ด้านความบันเทิง ด้านการศึกษาและคำสอน ด้านประเพณีพิธีกรรม ด้านการปกครอง ด้านการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นลาว และด้านภาพสะท้อนทางสังคมและ วัฒนธรรม โดยเฉพาะในด้านการปกครองนั้น พิดสะพง วงพะจัน (2562 : 174-176) กล่าวว่า หลักคำสอนทางการเมืองที่ปรากฏในวรรณกรรมสินไซ เป็นหลักคำสอนที่เอื้อให้ผู้ปกครองใช้เป็น บรรทัดฐานในการดำเนินการปกครองผู้ใต้ปกครอง โดยปรากฏในตอนสินไซสอนวลุนนาค (พระยา วรุณราช) ปกครองเมืองบาดาล ที่มีแนวคิดเน้นให้ผู้ปกครองดำเนินนโยบายการปกครองบ้านเมือง อย่างมีวิจารณญาณ ต้องรักษาสัจจะเป็นสำคัญ มีความเที่ยงธรรม ยุติธรรม ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม อันดีงาม ตลอดจนการเลือกคบและเลือกใช้คนให้เหมาะสม ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ล้วนถูกนำเสนอ ผ่านบทละครหุน่ ร่วมสมยั เร่อื งสนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ทั้งสน้ิ การศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเร่ืองสนิ ไซ สู่การสร้างสรรค์บทละครห่นุ ร่วมสมัยเรื่อง สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม และศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่อง สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ผู้ประพันธ์บทได้ปรับเปลี่ยนงานจาก วรรณกรรมเพื่อการอ่านไปสู่การแสดงละครหุ่น ซึ่งมีลักษณะ หน้าที่ เงื่อนไข และข้อจำกัด บางประการในการสร้างสรรค์งาน ดังนั้น บทละครหุ่นร่วมสมัยอันเป็นผลลัพธ์จากการแปรรูป วรรณกรรมต้นฉบับ จึงมีรายละเอียดของเนื้อหา และลักษณะของการนำเสนอที่แตกต่างไปจากเดิม เพอื่ ให้เหมาะสมกบั รูปแบบของการนำเสนอ นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์บทยังได้นำวรรณกรรมต้นฉบับมาตีความใหม่ผ่านมุมมองของตน เพื่อ สื่อสารแนวคิดหรือประเด็นต่าง ๆ ทางสังคม แต่ยังคงสารัตถะ แนวคิด และคุณค่าของวรรณกรรมไว้ ดังเดมิ การถา่ ยทอดวรรณกรรมในสื่อรูปแบบใหมเ่ ช่นนี้ จึงเป็นการผลิตซ้ำแนวคิดในวรรณกรรมสินไซ และเป็นการผลติ ซำ้ การนำเสนอวรรณกรรมสินไซในบริบทสงั คมอสี าน เพอ่ื ให้สอดคลอ้ งกับส่อื รูปแบบ ใหมแ่ ละบรบิ ทร่วมสมยั ดังที่ รน่ื ฤทัย สัจจพนั ธ์ุ (2558 : บทนำ) กล่าวว่า การแปรรูปวรรณกรรม เป็น ศาสตร์หน่งึ ของการสบื ทอดและสร้างสรรค์วรรณกรรมใหด้ ำรงอยใู่ นรูปแบบใหม่ ท่ามกลางบริบทใหม่ และจดุ มุ่งหมายใหม่ แตย่ งั คงรักษาเนื้อหา ความคดิ สำคญั และคณุ ค่าของวรรณกรรมต้นฉบับไว้อย่าง ครบถ้วน 5.3 ข้อเสนอแนะ 1) ควรศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมสู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย ในการแสดง ชุดอืน่ ๆ ของคณะละครห่นุ นวตั ศิลป์มอดนิ แดงเพม่ิ เติม อาทิ การแสดงชุด สที น-มะโนรา และอนุภาค นาคา เพื่อใหเ้ ห็นถงึ วธิ ีการในการแปรรูปวรรณกรรมทีห่ ลากหลาย 2) ควรศึกษาปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อวิธีการแปรรูปวรรณกรรมเพื่อการอ่าน ไปสู่ วรรณกรรมเพ่ือการแสดง เชน่ ชว่ งอายุของผชู้ ม เพือ่ นำมาประกอบการศึกษาและวเิ คราะหต์ ัวบท
72 บรรณานกุ รม ภาษาไทย ใกล้รุ่ง ภูอ่อนโสม, และรัญชนีย์ ศรีสมาน. (2563). อำนาจของผู้หญิง : การท้าทายความสัมพันธ์ เชิงอำนาจกับแนวคิดปิตาธิปไตย ในนวนิยายสมัยใหม่. วารสารมนุษย์กับสังคม คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 6(1), 43-61. คมกฤษณ์ วรเดชนัยนา. (2557). พหุลักษณ์ของอำนาจในวรรณกรรมเรื่องสินไซ. เอกสาร ในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ครั้งที่ 10 (The 10th International Conference on Humanities and Social Sciences 2014 : IC-HUSO 2014) จัดโดยคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , 20-21 พฤศจิกายน 2557, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ขอนแก่น. 47-59. จกั รกฤษณ์ ดวงพตั รา. (2544). แปล แปลง และแปรรปู บทละคร. กรงุ เทพฯ: ศยาม. จารุวรรณ ธรรมวัตร. (2521). ลักษณะวรรณกรรมอีสาน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทร- วโิ รฒ มหาสารคาม. __________. (ม.ป.ป.). วรรณกรรมท้องถิ่น : อีสาน-ล้านช้าง. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. ชุติมา เลิศนันทกิจ. (2554). คณะคำนาย: การสร้างภาพลักษณ์และการปรับประยุกต์เรือ่ งรามเกียรติ์ ในการแสดงหนุ่ ละครเล็ก. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวชิ าภาษาไทย ภาควชิ าภาษาไทย. คณะอักษรศาสตร์. จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ตสั นมี อาลี, พัชลนิ จ์ จนี นนุ่ , และวราเมษ วัฒนไชย. (2562). การสร้างสรรค์นทิ านไกรทองในรูปแบบ การ์ตูนโทรทัศน์. เอกสารในการประชุมหาดใหญ่วิชาการระดับชาติและนานาชาติครั้งที่ 10 จัดโดยมหาวิทยาลัยหาดใหญ่, 12-13 กรกฎาคม 2562, หอ้ งประชุมอาคารคณะบรหิ ารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่. สงขลา. 38-48. ทรงวิทย์ พิมพะกรรณ์. (2557). อรัมภกถา. ใน ทรงวิทย์ พิมพะกรรณ์, และซายสะหมุด จำปาอุทุม (บรรณาธิการ), สนิ ไซสองฝ่งั โขง. ขอนแกน่ : ขอนแก่นการพิมพ์. ธวัช ปณุ โณทก. (2525). วรรณกรรมท้องถิน่ . กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์. นัทธห์ ทยั วนาเฉลมิ . (2558). สะกดรอยสินไซ. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรพ์ ริน้ ตงิ้ แอนด์พบั ลิชชง่ิ .
73 น้ำมนต์ อยู่อินทร์. (2556). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์เร่ือง พัฒนาการของนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ สภู่ าพยนตรไ์ ทยแนวแฟนตาซีในสงั คมไทย. นครปฐม: หอภาพยนตร์ (องคก์ ารมหาชน). บุษดี อรสิริวรรณ. (2551). กลวิธีการดัดแปลงวรรณกรรมสามก๊กเป็นการ์ตูนสามก๊กฉบับบันลือ- สาส์น. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชา ภาษาไทย. คณะอักษรศาสตร์. จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ประคอง เจริญจิตรกรรม. (2519). วรรณกรรมอีสาน : สังข์ศิลป์ชัย. วิทยานิพนธ์ปริญญา อักษรศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทย. คณะอักษรศาสตร์. จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ประคอง นิมมานเหมินท์. (2551). นิทานพื้นบ้านศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ ผลงานวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ปริดา มโนมัยพิบูลย์. (2564). การศึกษาดัดแปลงวรรณกรรมเป็นบทละครเพลง : กรณีศึกษา หลายชีวติ . วารสารไทยศกึ ษา, 17(1), 47-86. ปริยัติ นามสง่า. (2553). ชีวิต ผลงาน บทบาทต่อสังคม และอัตลักษณ์ของหมอลําสําอาง เจียงคํา บ้านขามเรียง อําเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม. ปริญญานิพนธ์ปริญญาศิลปกรรม- ศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชามานุษยดุริยางควิทยา. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัย ศรีนครนิ ทรวิโรฒ. ปรีชา พิณทอง. (2532). สารานุกรม ภาษาอสี าน-ไทย-อังกฤษ. อบุ ลราชธานี: ศริ ธิ รรม. พชญ อคั พราหมณ.์ (2559). รายงานวิจัย โครงการสนิ ไซเดก็ เทวดา-มหาวิทยาลัยขอนแก่น: ฝึกทักษะ ชีวิตและความเข้าใจตน ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์การแสดงหุ่นร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: สำนกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั (สกว.). __________. (2561). สังข์ศิลป์ชัย: การใช้วรรณกรรมพื้นบ้านในกระบวนการสร้างสรรค์งานละคร ฐานชุมชน. วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , 10(2), 124-142. __________. (2562). บทการแสดงหุ่นเรื่องสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม (รบกับนาค). (เอกสาร อดั สำเนา). พรรัตน์ ดำรุง. (2561). ความเป็นละครของ สินไซรู้ใจตน : เรื่องเล่าที่ใช้จินตนาการและความจริง (Truth) ทางศิลปะการแสดง. แก่นดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 1(1), 129- 142. พิดสะพง วงพะจัน. (2562). สินไซ : บทบาทหน้าที่และปฏิสัมพันธ์ระหว่างวรรณคดีมรดกกับสังคม วัฒนธรรมลาว. วิทยานิพนธ์ปริญญาปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. สาขาวิชาภาษาไทย. คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์. มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. มนั่ จงเรยี น. (ม.ป.ป.). สงั สิลป์ชัย. กรุงเทพฯ: พิทกั ษ์อกั ษร.
74 ราชันย์ นิลวรรณาภา, และพิพัฒน์ ประเสริฐสังข์. (2558). วรรณกรรมชาดกพื้นบ้านอีสาน : ภาพสะท้อนอัตลักษณ์ด้านความเชื่อ วิถีชีวิต ประเพณีและพิธีกรรม. วารสารวิจัยเพื่อพัฒนา สงั คมและชุมชน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม, 3(1), 85-97. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (2558). บทนำ การแปรรูปวรรณกรรม การสืบสานและสร้างสรรค์วรรณศิลป์. ใน มารศรี สอทิพย์, และอาทิตย์ ดรุนัยธร (บรรณาธิการ), การแปรรูปวรรณกรรม เล่ม 3 : วรรณกรรมแปรรูปและหนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์. ขอนแกน่ : ขอนแก่นการพิมพ์. วรรณธริ า วริ ะวรรณ, และวรี วัฒน์ อนิ ทรพร. (2558). ประณามบทในวรรณคดีไทย : ความหมาย ท่ีมา และความสําคัญ. เอกสารในการประชุมวิชาการเสนอผลงานวจิ ัยระดับบัณฑติ ศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 34 (The 34th National Graduate Research Conference) จัดโดยบัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 27 มีนาคม 2558, อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . ขอนแกน่ . 1619-1628. วิศปัตย์ ชัยช่วย. (2557). กระบวนการสร้างสรรค์บทการแสดงประกอบแสง เสียง เรื่อง อุรังคธาตุ ปกรณัม. วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 6(1), 130-155. สุดสาคร ญาณวีโร (จนั ทาทิพย์), พระ. (2561). ศกึ ษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในวรรณกรรม อีสานเรื่อง ปู่สอนหลาน. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชา พระพุทธศาสนา. บณั ฑติ วิทยาลัย. มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . สุดารัตน์ มาศวรรณา. (2553). การเปลี่ยนแปลงของนิทานสู่หนังสือการ์ตูนนิทานไทย. วารสาร ชอ่ พะยอม, 21(1), 82-94. สุภัค มหาวรากร. (2556). รายงานผลการวิจัยเรื่อง การแปรรูปบทละครเรื่องอิเหนา. กรุงเทพฯ: วิทยาลยั นวัตกรรมสอ่ื สารสงั คม มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ. สุมาลี พลขุนทรัพย์. (2561). อัตลักษณ์ชาวอีสานในนวนิยายเรื่อง “คำอ้าย” ของ ยงค์ ยโสธร. เอกสารในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ครั้งที่ 14 (The 14th International Conference on Humanities and Social Sciences 2018 : IC-HUSO 2018) จัดโดยคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 22-23 พฤศจิกายน 2561, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ขอนแก่น. 271-287. สุรชัย ชินบุตร. (2560). ภาพสะท้อนสังคมอีสานที่ปรากฏในวรรณกรรมเรือ่ งนางสิบสอง. ใน รัตนพล ชื่นค้า (บรรณาธิการ), นางสิบสอง-พระรถเมรีศึกษา. กรุงเทพฯ: สถาบันภาษาศาสตร์และ วัฒนธรรมศึกษาราชนครินทร์ ภาควิชาวรรณคดี ภาควิชาภาษาไทย ภาควิชาดนตรี และ คณะกรรมการฝ่ายวจิ ยั คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.
75 โสวิทย์ บำรุงภักดิ์. (2561). วิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์ในวรรณกรรมสินไซ. วารสารมหาจุฬาวิชาการ, 5(2), 18-27. อัญมาศ ภู่เพชร. (2560). นิทานเรื่องศรีธนญชัยในสื่อสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัย. วิทยานิพนธ์ปริญญา อักษรศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทย. คณะอักษรศาสตร์. จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ภาษาต่างประเทศ ດາລາ ວີຣະວົງ ກັນລະຍາ. (ບັນນາທິການ). (2011). ສັງສິນໄຊ ຄໍາກອນ ຄູ່ ຮ້ອຍແກ້ວ ເຫັຼ້ມ 2 (ບັ້ຼນ 10-15). ນະຄອນຫລວງວຽງຈັນ: ພະໄຊ ກຣາບຟິກ. Hutcheon, L. (2006). A Theory of Adaptation. London: Routledge. สัมภาษณ์ พชญ อัคพราหมณ์. (2565, 17 มกราคม). สัมภาษณ์. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาการแสดง ภาควชิ าศิลปะการแสดง คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . เวบ็ ไซต์ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (ม.ป.ป.). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. ค้นเมื่อ 28 มนี าคม 2565. จาก https://dictionary.orst.go.th/index.php สำนกั งานวฒั นธรรมจังหวดั ปทุมธานี. (2562). ประเพณีการจุดลกู หนู. คน้ เมอ่ื 20 มีนาคม 2565. จาก https://www.m- culture.go.th/phatumthani/ewt_news.php?nid=403&filename=index สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา. (2562). ตัวอย่างการต่อยอดงานวรรณกรรม. ค้นเมื่อ 6 มกราคม 2565. จาก http://www.ipthailand.go.th/th/copyright-011/item/ตัวอย่าง การตอ่ ยอดงานวรรณกรรม.html อีสานมอนิเตอร์. (2562). นักศึกษา มข. แสดงละครหุ่นกระติบขา้ ว รังสรรค์วฒั นธรรมอีสาน. ค้นเมื่อ 20 กมุ ภาพันธ์ 2565. จาก https://kk.esanbiz.com/24218 Dercksen, D. E. (2 0 1 5) . The Art of Adaptation. Retrieved January 14, 2 0 22, from http://writingstudio.co.za/the-art-of-adaptation/ Hutcheon, L. (2 0 0 7 ) . In Defence of Literary Adaptation as Cultural Production. M/C Journal, 1 0 ( 2 ) . Retrieved January 16, 2 0 22, from https://journal.media- culture.org.au/index.php/mcjournal/article/view/2620
76 ภาคผนวก
77 ภาคผนวก ก บทการแสดงห่นุ เรื่องสินไซ ตอน นาคะยทุ ธกรรม (รบกบั นาค)
78 บทการแสดงหนุ่ เรือ่ งสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม (รบกับนาค) บทการแสดงโดย พชญ อัคพราหมณ์ ประพันธก์ ลอนลำ พ่อครสู มบัติ ยอดประทุม (โป้งเปง้ สุดสะแนน) ไหวค้ รู ศรีสุมงั คละเลิศลำ้ สิทธิเดชลอื ซา นาโถสุด ยอดญาณไตรแก้ว สวัสดีนอ้ ม ในธรรมพุทธบาท คุณยอยกใสเ่ กลา้ ซุลลี ้ำยอดญาณ บัดน.้ี .. พวกผู้ข้าสิเร่ิมเลน่ เรอื่ งสนิ ไซ ฮา่ ตอนไดม๋ ันผดิ นดิ เดียวอภยั ดว้ ย ผเู้ ขยี นกลอนกบั คนเหล่นขออภัยไว้กอ่ น หุ่นละครมือ้ น่ีขอเร่ิมเรือ่ งไป หมอลำ โอโ่ อย้ ละน้อ สิไดข้ อกล่าวเร่อื งนทิ านเก่าเดมิ ดา วรรณกรรมอสี านสบื มาแตน่ านล้ำ วรรณกรรมลา้ นชา้ งสงั ศิลปช์ ัยเด้อแม่พอ่ สไิ ดข้ อกลา่ วร้องทำนองเอ้ือนว่าสูฟ่ งั ยังมสี ามพี่น้องเปน็ ชาติหน่อแนวกษตั รยิ ์ เทววาชอนิ ตาสง่ ลงเมอื งใต้ ใหม้ าเปน็ บุตราแกว้ พระยากุศราชผูเ้ ปน็ พอ่ เปง็ จาลน้อเป็นเขตกำ้ เมอื งบ้านถน่ิ นคร บาดนเ้ี ถงิ คาวแล้วคอื มีแนวมาบังเบยี ด คิดวา่ เป็นเสนยี ดหา้ ยเมอื งบา้ นแม่นบด่ ี หมอโหรชี้เปน็ แนวใหมใ่ ส่ความหลง ใหพ้ ระองคไ์ ลม่ นั หนีลกู บด่ กี าลีบา้ น น่าสงสารกมุ ารเจา้ ผแู้ พงทัง้ สามหน่อ เทิงจนั ทาม่งิ เหงา้ มเหสีทา้ วนั่งเทยี ม กับท้ังนางลนุ น้อยสนมนางเทยี มอาจ วาสนาตำ่ ต้อยพลอยขา้ งห่างเมือง ผา่ นทเี่ บ้อื งเขา้ ป่าดงหนา พระอินทาแยงยงั ส่องลงเมอื งใต้ มาเหน็ ใจสงสารเจ้าจัง่ กลบั แปลงเปลี่ยน ใหเ้ ป็นปราสาทกวา้ งเชยี งศลิ ป์นว้ี ่าช่อื เมือง ทุกทีเ่ บ้อื งมคี รฑุ นาคปกปัก เพน่ิ ฮกั ษาเขตขนั ธ์ให้อยู่ดเี จรญิ ได้ สามหน่อไทใ้ หญเ่ ป็นบาบ่าว วา่ มีสาสน์ ฮอดท้าวพอ่ เจ้าได้ส่งมา ในสาสน์ ไซ้เขียนลงออกมาวา่ ให้ท้งั สามนำเอาอาสมุ ณฑาแจม่ เจา้ คนื เขา้ นัง่ นคร เดยี วนตี้ กตอนเบอ้ื งอโนราชเมอื งยักษ์ ยากส่ำไดใ๋ หค้ ่อยไปนำเดอ้ ทา้ ว พากันเดินด่งุ ด้าวยาวยานด้นั ปา่ ผา่ นเกา้ ด่านอันตรา มหาภยั เจ็ดยา่ นน้ำ นำฮอดบอ่ นอย่อู า จ่ังได้มาพบพ้อสุมณฑาอาทาน นำอากลบั คืนบา้ นเมอื สรา้ งน่ังเมอื ง
79 กมุ ภณั ฑย์ กั ษ์เขา้ ตา้ นโวเกดิ สงคราม ทำเรวรบยกั ษม์ รณงั เมย้ี น สามบาทา้ วพาเอาอาคนื เมือสง่ สมประสงค์ใจพ่อท้าว พาอาเข้าสู่นคร... ฉาก 1 สมุ ณฑาขอหลาน สมุ ณฑา สุมณฑานางกะเหลียวไปกำ้ เป็งจาลคำสงั มาแจง้ จ่ายคา่ ย มองเหน็ ปลายไผบ่ ้านหวั ลมต้อง (ลำ) กอ่ งกวย นางกะฮนฮ้วยฮอ้ งเฮฮนฮ้องฮำ พระจอมธรรมธิราชเจา้ คงหาข่อยจอ่ ยผอม นางไดม่ าดอมกั้วผัวแพงยกั ษใ์ หญ่ มันไปลกั แก่ไท้อินางนอ้ ยอ้อยเอา คันสิคืนเมยี บ้านหาพงศ์พนั ธ์ุพ่นี ้องเก่า นางบ่ฮ้เู หตเุ บ้ียงหนหอ้ งแห่งสิไป ทางกะไกลยาวเยน้ิ หลายวันพนั ธะโยชน์ ได้แต่โอยโอดฮ้องอินางน้องแม่นหอดหิว… นอ... นอ สมุ ณฑา นบั ตั้งแตส่ นิ ไซเอาข่อยมาไวเ้ ขาคิดซะกดู แล้วกลับไปรบกบั อ้ายกุมภัณฑ์ (พดู ) หลังจากนั้นบ่โดน ข่อยกะได้ยนิ ขา่ วว่าอา้ ยกุมภัณฑต์ าย ขอ่ ยบเ่ หลือไผแล้ว ยังแต่ลูกหล่าสีดาจันทร์นั่นแหล่ว ผู้เป็นหน่อแนวเซื้อยึดเหนี่ยวใจได้ แต่ข่อยบ่ได้พ้อลูก โดนเติบ ผดั แตอ่ ้ายกุมภณั ฑ์เอานางไปกาลันตแี ข่งหมากรุก หมากสกา กบั พระยาวรุณนาคราช ย้อนว่าเลาอยากได้เมืองบาดาลมาครองไว้ แต่กลายเป็นฝ่ายแพ้ เลยต้องยกนางให้เป็น สะใภ้เมืองนาค ข่อยสเิ มียเมืองเป็งจาลผเู้ ดียวบ่ นางสฮิ ้บู ่ว่าพ่อตาย นางหล่าของข่อยคือเป็นตะเหลือโตน แทน้ อ้ (สินไซ สังขท์ อง เขา้ มาในฉาก) สนิ ไซ อาครบั ... เตรยี มของไวเ้ หมดิ ทกุ แนวไป่ เฮาต้องไปแลว้ เด้ครับ (สุมณฑาพยักหนา้ ) สังขท์ อง (พดู กับสินไซ) สหี น้าอาสมุ ณฑาคือบ่ชื่นบาน สนิ ไซ อาคอื โทมนงั แท้ กลัวยา่ นเย้อื นยาก ซน่ั บอ้ หรือแม่คึดแนวได๋ ซอ่ ยบอกหลานด้วย หลานสชิ ่วยผอ่ นแก้ แมต่ รสั แจ้งเฮาโลด้ โปรดอย่าเก็บกำไว้ ใหล้ ูกสางซอ่ ยเถิด แม่เน้อ สมุ ณฑา ผ่อเห็นพ่างพ่างฟ้า ชะยยุ้ ยืง่ ยามงาย พุน่ เยอ คดึ ใครเ่ มอื งนาคี คอบนางนงหน้า อากะโทมนสั แท้ ทงั กลัวเยอ้ื นยาก หลานจักมอบแมด่ ว้ ย ดอมเสื้อสว่ นวาย แม่แล้ว
80 สนิ ไซ แม่นผูไ้ ดล๋ ะ่ อา สุมณฑา สดี าจนั ทร์ลกู สาวอาน่ีล่ะ ตกไปเป็นเมียของพระยาวรุณนาคราชอยู่เมืองบาดาล สงั ข์ทอง อาอยากใหห้ ลานไปนำเอานางกลับมาแม่นบ่ สมุ ณฑา แม่นละ่ หลาน อาคึดนำนาง สินไซ บัดหา่ นางบก่ ลับนัน่ เด่ สังขท์ อง คอื ว่าแนวน่นั สนิ ไซ นางเป็นเมียพญานาคราชเมืองบาดาล เจา้ คดึ วา่ สิไดโ้ ตนางมางา่ ย ๆ อยู่ติ (สงั ข์ทองทำทหี า้ มปรามสินไซไม่ให้พดู ) สมุ ณฑา ขั่นนางบ่กลับ อากะสิบ่ไปนำซุมหลาน นางบ่มีพี่มีน้อง นางบ่มีพ่อ แล้วกะยังสิบ่มีแม่นำ ซั่นติ สังขท์ อง เฮากะลองไปถามนางเบิง่ ก่อนบ่สนิ ไซ สินไซ ถา้ จงั่ ซน่ั หลานกะสไิ ปนำเอานางมาให้อา สุมณฑา หลานเอ้ย... ขอให้ได้นอ้ งแก้ว เจา้ เถี่ยวมามือ อายงั หวงั ใครค่ อยคองหนา้ หากจกั ปุนแปม่ า้ ง ฝงู หมู่มพี ษิ คนั วา่ มาเบยี ดใกล้ พระองค์นา้ วซัดไป (สินไซและสังข์ทองกราบลา) ใหเ้ จ้าไปดีถอ่ น อย่าอาวรณฮ์ อนฮำ เจ้าผคู้ ำค่าลา้ น ไกลบา้ นห่างเมือง สนิ ไซท้าว สังขท์ องให้สู้ตอ่ สมพอพระพอ่ ใหส้ องหลา่ ดว่ นมา (สมุ ณฑาออกจากฉาก สงั ขท์ องร่ายมนต์เปิดทอ้ งทะเล สินไซขน้ึ ขี่สงั ข์ทอง) สังขก์ อ่ นไท้ ทวนฮอดมหาสมุทร ทมทมนอง สนนั่ เต็งตีก้อง บาวางน้อง สงั ขท์ องทวยทอด สมุทรยะหว่างไว้ พันเส้นช่วงสบาย (บทพากย-์ หมอลำ) ท้าวกะข้นึ ขน่ี ้องสมสะอาดสังข์ทองพาผมู้ ีล่องลอยในน้ำ ไปเดอ้ นอ้ งสงั ขใ์ หล้ ่องลอยลัด ตดั กระแสสนิ ปินหันพันคล่นื ยามกลางคนื ดงั ก้องลมผยองปดั เป่า ต่นื ม่อื เซา้ ใสเกล้ียงพากเพียร
81 ใสเขยี วเกีย้ งเพียงกระดานปานแวน สงั ขแ์ ลนตอ้ งฟองไค้ตะไนแดง แลงลงลับเหียกขันหาชู้ กูนี่เดินเดี่ยวดั้นสันจรนอนป่า ข้ามแม่น้ำ… สองหล่า ... ไดค้ อ่ ยไป… เดอ้ ... ฉาก 2 สินไซ สังขท์ อง ท่องเมืองบาดาล (สินไซกับสังข์ทองเดินทางลงไปเมืองบาดาล เห็นบรรยากาศใต้ท้องทะเลสวยงามและน่าอัศจรรย์ จนกระทง่ั ไปถึงเมอื งบาดาล สงั ข์ทองแปลงกายเปน็ หอยสังข์ สินไซเจอขนุ นาค) สังข์ทอง ปา้ ด... มางามคักแท้ สนิ ไซ สัตวน์ อ้ ยใหญ่เพลดิ เพลนิ ตาดแี ถะเนาะ (เจอเต่า) ถามทางแหน่ไดบ้ ่ เต่า พากนั มาแต่ได๋ สนิ ไซ เฮาสองมาแต่เทิงพนุ่ สไิ ปเมืองนาคซน่ั เด้ เต่า ไปหาไผ๋ คือจงั่ ลงมาฮอดพ้ี สินไซ พระยาวรุณนาคราช เฮามแี นวสิเว้ากับเพิ่น เต่า เหวย ๆ คอื ซา่ งกล้าเจรจานำพ่อพระยาบาดาลน้อ สังขท์ อง ใกล้ฮอดไป่เกาะ ข่อยหนกั เต่า อื้อ... (ชไ้ี ปดา้ นขา้ ง) ทางพุ่น อกี บ่ไกลดอก สินไซ ขอบใจหลาย เฮาไปกอ่ นเดอ้ เต่า โชคดเี ดอ้ บทพากย์ มเี ผ่าเชื้อ สาวนาคนาคี ปนุ โฉมเสงย่ี ม เง่ือนแมนมาตา้ น ดูราชายฮามดั้น แดนใดมาฮอด ซะซอ่ นหน้า ขาวแจ้งสอ่ งใส นาคี 1 ผู้ใดน่นั ๆ นาคี 2 มนุษยต์ ั้ว... มาซา่ งลงมาฮอดพี้ ฟา้ วไปบอกขุนนาคเถาะเฮา บทพากย์ เมอ่ื นน้ั ฝูงเผ่าเชือ้ นามนาคนางสมทุ ร ยินดีสงวน ชืน่ ชมดอมเจา้ คำเคยตา้ น กระบวนคนคนุ้ แกว่น แหนงวา่ ชเู้ ก่าเยือ้ น ยังฮ้ฮู อ่ มอาย นาคี 1 มาหาไผ๋นอ้ จ้า สินไซ เฮามาหาพระยาวรุณนาคราช เฮาสมิ าแข่งสกากบั เพิ่น นาคี 2 ฟ้าวไปบอกขุนนาคเถาะเฮา
82 (นาคีรบี ไปหาขุนนาค พูดกับขุนนาค) นาคี 1+2 มีมนษุ ย์รูปงามลงมาฮอดประตเู มือง ทา่ นฟา้ วไปเบ่งิ เดอ้ ขนุ นาค มันเปน็ ไผ๋ คอื กล้ามาฮอดเมืองนาค (ขุนนาคออกไปหนา้ ถำ้ เจอสินไซ) มึงนลี่ ูกเผา่ เซอื้ แนวหน่อราชา น้นั รอื ปลอมปนุ ประสงค์ เย่ืองรอื บานอ้ ย ใครจ่ กั มาตอ่ ต้งั พะนันลูกชนสกา เซง็ ต่อซาวนาคา กลา่ วดเี ดมิ เฮ้อื ง สนิ ไซ เฮาบ่มีเวลามาเจรจากับขุนนาคจ่งั เจ้าดอก พาเฮาไปหาพระยาวรณุ นาคราชสา ขุนนาค มงึ ซา่ งกล้า กะได.้ .. ซั่นมงึ กะตามกูมา บทพากย์ เมอ่ื นัน้ นาคหนุ่มตา้ น เชงิ ชอบเดมิ คดี กูบเ่ คยเชงิ ชม ช่วงกันกินจ้าง เยียววา่ ราชาผู้ ทรงเมืองหลกั โลก เจา้ ใคร่ค้ำ เคยเหล่นซู่วนั แท้นา ฉาก 3 สินไซขอแข่งสกากับพระยาวรณุ ราช (สินไซเขา้ พบพระยาวรุณราชท่ที อ้ งพระโรง และเกดิ การท้าพนนั ขันแขง่ สกาข้ึน) ขนุ นาค ท่านพระยาผู้ยงิ่ ใหญ่ มมี นุษย์หนา้ ใสมาพนนั ขนั ต่อสกากับทา่ น วรณุ นาค มนุษยธ์ รรมดาคือสลิ งมาฮอดเมอื งบาดาลพี้ ขนุ นาค คนั ซัน่ มนั กะบ่ธรรมดาแหล่วท่าน วรุณนาค มนั ซา่ งกลา้ มาต่อตีพนันสะกา กสู เิ บง่ิ หน้ามนั ซาติเซื้อไผปอ้ ง ไปพามันมา (สนิ ไซเข้ามาในฉาก การแสดงหนุ่ เกดิ ข้ึนหนา้ จอ) วรณุ นาค กุมารมา แต่ใดเถิงขอ้ ย นน่ั เด จกั ว่าเป็นแนวเช้ือ กะกลุ นามในทวีป ใดเด เจา้ พ่อทรงเดชได้ เดนิ ดนั้ ฮฮดเฮา นนี้ า พ่อจ่งึ ด้ันดงุ่ ฟ้า เถิงข้อยแคน่ ัทที สินไซ เขากะลือกษัตรยิ ์เจ้า จอมธรรมฮู้มาก จรงิ แลว้ ลูกใครท่ ลู แทบพน้ื ลองเลน่ ชว่ งชงิ พระเอย วรณุ นาค ลกู จกั เอาอันใด ค่าพอพลนั ต้งั สินไซ สังข์ศรดาบ สามสิง่ นี้วางพนัน พระเอย วรณุ นาค ฝงู นัน่ มีเตโช สิง่ ใดเดน้อย
83 สนิ ไซ ตามแตค่ ดึ ใคร่ฮู้ โดยได้ด่งั คนิง เจา้ เอย บทพากย์ เมือ่ นั้นนาโคเหลอ้ื ม ดอมสงั ข์ศรดาบ พระจักเวนมอบบ้าน นครคุม้ ค่าพะลนั วรณุ นาค ถา้ สามส่งิ นี้มคี า่ หลายจัง่ เจา้ ว่า เฮากะสเิ อาเมืองบาดาลมาพนันต่อเจ้า (หันไปหาขนุ นาค) วรุณนาค ไปเอาสกามากูสิเร่มิ บัดนี้ บทพากย์ แล้วอวา่ ยหน้า แหนพวกชาวสกา ราชาหมาย เขตพะลันสามแป้น เมอื่ นนั้ บญุ เพง็ เจา้ ศิลปช์ ยั ยา้ ยออก หมากแจม่ เจา้ เตง็ แทแ้ มน่ ตา (ทัง้ สองแขง่ พนันสกากันอยา่ งออกรส และพระยาวรณุ นาคกพ็ ่ายแพ้) วรณุ นาค ป้าดโธ๊!!! กูมาซ่างแพเ้ ดก็ น้อยเมือ่ วานซืนวะ สนิ ไซ พอ่ เอ๊ย... อย่าสลิ มื เดิมพันเด้อ วรุณนาค (เสยี หนา้ ) เออ้ .. .กูบ่ลืมดอก มงึ ถา่ อย่นู ี่ซะก่อน (วรุณนาคกลบั เข้าไปในฉาก ปรกึ ษากับขุนนาค) วรณุ นาค กูสเิ ฮด็ จ่งั ได๋บา้ นเมืองกสู ิเปน็ ของมนั อหี ลีบ่ ขุนนาค ท่านสใิ ห้มันเฮ็ดหยงั ซ่ำปะสาเดก็ น้อย จัดการมนั โลด้ วรณุ นาค มงึ คือวา่ แนวนนั่ ฮไู้ ปฮอดไส สิบอ่ ายไปฮอดนัน่ ติ ขุนนาค เฮากะอย่าใหม้ ันไดห้ ลุดรอดไปตว้ั ... อยา่ เฮด็ ใหม้ นั เว้าให้ผอู้ ่นื ฟังได้ บทพากย์ เมื่อนั้นฝูงแก่นไท้ ฮฮี ่ำฮมถวาย เซน็ เซน็ ขุน ขาบทลู เทวะท้าว มันนัน้ ตนเดยี วค้าง แกมพงศพ์ ันธ์นุ าค เฮาบ่ให้ ลางแล้ววา่ เปน็ น่ันเด้ สินไซ เมือ่ นัน้ บากล่าวตา้ น ขนุ นาคทงั้ หลาย คันว่าราชาขนี บ่ไลเมอื งบา้ น เฮาขอกษัตริย์แก้ว กมุ ภณั ฑป์ องปลกู มานั้น นางเอกตน้ นงหนา้ ผู้เดียว นั้นเทนิ วรณุ นาค มึงว่าจัง่ ไดเ๋ กาะ... มึงสเิ อาเมียกสู ดี าจันทร์ไปกับมงึ ซั่นบ่ บกั เด็กนอ้ ย สินไซ แมน่ แลว้ ... อาสมุ ณฑามาดานางประสงค์ สง่ นางมาแลว้ เฮาสจิ ากไป วรุณนาค มึงนม้ี าสหาวกล้า เมียกเู คียงบ่ให้มึงแท้
84 (วรุณนาคต่อสู้กับสินไซ พระยาวรุณราชไม่ยอมปล่อย สินไซหลบหนี และวรุณนาคออกตามสิ นไซ ไปติด ๆ) ฉาก 4 สนิ ไซรบกบั พระยาวรณุ ราช (สงครามขยายความรุนแรงขึน้ พระยาวรุณราชต่อสู้กับสินไซ สินไซตัดสินใจยิงธนูศรขึ้นไปบนท้องฟา้ เพอ่ื สง่ สญั ญาณเรียกพญาครฑุ มารว่ มต่อสู้) บทพากย์ ฮอยจักเสียเดชก้ำ การช่ัวทรามผาง ดงั่ นี้ ภธู รตรสั เหตเุ หน็ หายฮอ้ น พระก็ปนุ สารใช้ ตีตราลายเลข ธนูแนบนา้ ว ผยองข้วมหมน่ื ดอย ครุฑใหญเ่ ข้า เถงิ นาถในสนาม เองชลุ ปี ระดับ ขาบเลยี นระวงั ลอ้ ม พลคามทา้ ว ฉมิ พลีลอื เดช ทูลแจ่มเจ้า จอมช้อยชอบคดี พันครฑุ เข้า ไหลมามวั มืด นาคต่นื เต้น หนลี ่าบ่าเบา วรณุ นาค พอแลว้ ทา่ นเฮาพอแล้ว อยา่ ใหบ้ า้ นเมอื งเฮาแตกสลายลงตรงหนา้ ถ่อน เฮายอมแลว้ ... เฮายอมแลว้ ... เฮายอมยกเมอื งใหท้ า่ นแล้ว (กม้ ลงกับพน้ื ยอมแพ้สนิ ไซ) สนิ ไซ พระยาวรุณนาคเฮาขอรับเมืองจากท่าน แต่เฮามอบเมืองให้ท่านคืนเพื่อแลกกับนาง สีดาจันทร์ ท่านจะว่าจ่งั ได๋ (สดี าจนั ทร์ออกมาจากฉาก) สีดาจันทร์ เฮาสไิ ปกับท่าน สนิ ไซ วรุณนาค น้องหลา่ สีดาจนั ทร์ นอ้ งคอื วา่ แบบนั้น สีดาจันทร์ ถา้ ปกบ้านป้องเมอื งไวไ้ ด้ น้องกะสิเฮด็ น้องทนบไ่ ด้ถา้ จะเหน็ ชาวนาคาตายลงตรงหน้า นอ้ งหลงเชอื่ ว่าอ้ายคอื กษตั รยิ ท์ รงธรรม บดั แท้แล้วอา้ ยนัน้ ใจมดื ตามวั วรุณนาค อา้ ย... อ้าย... เฮด็ ไปกะเพื่อบ้านเมืองเฮา สีดาจันทร์ ซัน่ กะให้นอ้ งไป วรณุ นาค เจ้าบ่คิดฮอดอ้ายแลว้ บ่
85 สดี าจันทร์ อา้ ยเปน็ คนฮคู้ นปอ่ ง หวงั ว่าใจสวา่ งแลว้ อ้ายสิแจง้ ประจักษใ์ จ (สีดาจนั ทรเ์ ดนิ ไปหาสนิ ไซ) ไปกนั เถาะสินไซ ฉาก 5 สนิ ไซสอนพระยาวรณุ ราช สนิ ไซ เฮาจักแต่งต้งั ทา่ นเปน็ เจา้ เมอื งบาดาล ขอใหท้ ่านรกั ษาคณุ ธรรมไว้ รกั ษาศลี ให้ทานอยา่ ไดข้ าด ดชี ่ัวแท้เหน็ แจ้งอย่าเหลิง ไผ๋เฮ็ดดใี ห้ชน่ื ชอบ ไผ๋เฮ็ดชั่วอยา่ เอานำ สัจจะนั้นเปน็ ส่ิงประเสริฐ ทา่ นจงรักษาไวอ้ ย่าให้อย่าใหเ้ สียสูญ วรุณนาค เฮาหลงผดิ เองล่ะทา่ น ยอ้ นวา่ ฟงั ความผ้อู ื่นกบั ใจมวั มืด ขอบคณุ ท่านบ่ม้างเมอื งถิ่ม ยงั ยกเมืองใหเ้ ฝ้าโตเฮาซมซื่นแทเ้ ด้ (กับสดี าจันทร)์ น้องถา่ อ้ายแหนเ่ ด้อ อา้ ยสิเฮด็ ใหน้ อ้ งเหน็ วา่ อา้ ยเป็นคนฮู้คือน้องว่าใหไ้ ด้ สินไซ เฮาไปกันเถาะสีดาจันทร์ (สนิ ไซรา่ ยมนต์) สงั ขท์ อง... เฮาต้องออกเดนิ ทางแล้ว (สังขท์ องแปลงกาย และพาสนิ ไซกบั สีดาจนั ทร์กลบั สพู่ ้นื โลก) ฉาก 6 กลับเมืองเป็งจาล (หน้าเมืองอโนราช สนิ ไซ สังข์ทอง และสีดาจนั ทร์ เหาะลงตรงหน้าสุมณฑา) บทพากย์ เม่ือน้นั ผูจ้ ่งิ หน้า นางนาฏสุมณฑา เตนิ ลวั อา สงั่ เขาซมุ เซอื้ แซวแซวพร้อม เสียงสวงไห่ฮ่ำ ฝูงข้าเหน็ หน้านอ้ ย คนงิ ก้ำน้ันเด สุมณฑา มาแล้ว... ลกู แม่ มาแล้ว สีดาจันทร์ แม่จา๋ ... ลกู คึดฮอดแม่หลาย (กราบสมุ ณฑา) สมุ ณฑา ลกู กลับมาหาแม่ได้ แมก่ ะดใี จแล้ว ลกู ไดย้ ินเรือ่ งพอ่ รึยัง สดี าจนั ทร์ (พยกั หน้า) รู้แล้ว ลกู เลยบ่ลงั เลกลบั มาหาแม่ สนิ ไซ โกรธเฮาอยูบ่ ่ สดี าจันทร์ เฮาฮวู้ า่ ทกุ ส่ิงอย่างถกู กำหนดไวแ้ ล้ว มันเปน็ สงิ่ ท่ีเกิดข้ึนแลว้ แก้ไขบ่ได้แม่นบ่ สนิ ไซ ขอบคุณเจ้าหลาย (พูดกับทุกคน) เฮาออกเดินทางกันเถาะ ปานนี้อ้ายสีโหกับอ้ายทั้งหก กำลังถ่าพวกเฮากลบั เมอื งเปง็ จาลนำกนั อยู่
86 (ท้ังหมดคอ่ ย ๆ เคล่ือนออกจากฉาก) บทพากย์ อนั นเี้ ป็นหว่างให้ เห็นเหตุสงสาร ไผอย่าพาลพาโล วา่ สิขีนเสยี ได้ ยตุ บิ ้นั บางประถมสอนสั่ง แลว้ ทอ่ น้ี ถวายไท้พระยอดคุณ ก่อนแลว้ บทพากย์ ได้มาเพ่งิ ครึ่งเรือ่ งบ่อาจกลา่ วไปไกล ยอ่ นว่าเวลาเหมิดหุน่ ละครขอหยดุ ไว้ ขออภัยในบางเร่ืองบางตอนฮ่ามพี ลาด ถือวา่ พวกผู้ข้าปัญญาหน่อยให้ปล่อยไป ฝากลูกหลานนอ้ เอาไวบ้ ไ่ ปให้ถกื ปลอ่ ง คุณอาจารย์ยอยกย่องใส่เกลา้ อยา่ สิลืม (เตย้ ลา) สมควรแลว้ หนา สมควรแล้วหนา ลูกหลานขอลาญาติพนี่ ้อง ทไ่ี ดม้ าฟังร้องมอื่ นี้ซะแมนดี บอ่ ยากหนไี กลกนั แต่แสงตะวนั นั้นส่องฟ้า บ่อยากหนีไกลหน้า ขอจงได้ชว่ ยอำนวยอวยพร ๆ กอ่ นสิได้จากจร ๆ ลกู ขออวยพรทุกทา่ นสขุ ี จงอย่ดู ้วยกันดี ๆ โรคภัยอยา่ มขี อใจอย่าหมน่ ขอท่านทกุ คนนน้ั จงเจริญ ๆ ลาสลิ าแลว้ ลาสิลาแลว้ คือเรือแจวออกไกลจากฝัง่ ดอกสะมงั่ ล่ะสิไกลจากตน้ จากตน้ โอย้ จากต้นจากตน้ คงเหลอื ไว้แต่กลิ่นหอม โอ้ยน่ันละนานวลนา ละนานวลนา... นวตั ศิลปข์ อลาไปแลว้ มันสมพอควรกระบวนแลว้ -- จบเร่อื ง --
87 ภาคผนวก ข การแสดงละครห่นุ ร่วมสมัยเร่ืองสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม
88 ภาพท่ี 5 ตัวละครสนิ ไซ ทีม่ า : ชยานุพงษ์ ต้นสีดา จันทร์จริ า สภุ าแสน และพชั ราภรณ์ พมิ พกุ ภาพท่ี 6 ตวั ละครสังข์ทอง ท่ีมา : ชยานพุ งษ์ ต้นสีดา จนั ทรจ์ ริ า สภุ าแสน และพัชราภรณ์ พมิ พกุ
89 ภาพที่ 7 ตวั ละครพระยาวรณุ ราช ทม่ี า : ชยานพุ งษ์ ต้นสีดา จนั ทร์จริ า สภุ าแสน และพชั ราภรณ์ พิมพกุ ภาพที่ 8 ตัวละครนางสีดาจันทร์ ที่มา : ชยานุพงษ์ ต้นสีดา จนั ทรจ์ ริ า สภุ าแสน และพชั ราภรณ์ พิมพกุ
90 ภาพที่ 9 ตัวละครนางสุมณฑา ที่มา : ชยานุพงษ์ ต้นสดี า จันทร์จริ า สุภาแสน และพัชราภรณ์ พิมพกุ ภาพที่ 10 ตวั ละครพญาครุฑ ท่ีมา : ชยานพุ งษ์ ตน้ สีดา จันทร์จริ า สุภาแสน และพัชราภรณ์ พิมพกุ
91 ภาพที่ 11 การแสดงละครหนุ่ รว่ มสมยั เรอื่ งสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ณ โรงละครคณะศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ท่ีมา : สรุ างคณา เฮา้ มาชัย ภาพท่ี 12 ฉากที่ 1 สมุ ณฑาขอหลาน ท่มี า : สุรางคณา เฮา้ มาชยั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105