Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย กรณีศึกษาเรื่องความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทย 4 ภาค

การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย กรณีศึกษาเรื่องความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทย 4 ภาค

Published by Guset User, 2022-07-27 18:19:23

Description: การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย กรณีศึกษาเรื่องความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทย 4 ภาค

Search

Read the Text Version

ความรเู้ กย่ี วกับ ดนตรีไทย 4 ภาค การพัฒนาสอ่ื มัลติมีเดีย กรณีศกึ ษา นายณัฐวรรธน์ ประเสริฐชยั กร 6121414022

การพัฒนาส่อื มลั ตมิ ีเดยี กรณีศึกษา เรือ่ ง ความรู้เกยี่ วกับดนตรไี ทย คำ�น�ำ ปัจจุบันเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยท่ีแสดงถึงความเป็นไทย ต่างกล็ บเลอื นไปตามกาลเวลา และหากไมม่ ีการสบื สานให้คงอยู่ สิ่ง สำ�คัญของชาตเิ หล่านก้ี ็จะเลอื นหายไปจากคนไทย ดงั นัน้ ดนตรีไทย เล่มน้ี จงึ ไดร้ วบรวมและเรียบเรียงเนือ้ หา ท่ีเก่ียวกับดนตรีไทยอันเป็นเอกลักษณ์สำ�คัญของชาติท่ีควรค่าแก่ การอนุรกั ษ์และรกั ษาไว้ เพื่อให้นอ้ ง ๆ เยาวชนมีโอกาสไดร้ ู้จกั และภาคภูมิใจกับความเป็นไทยท่ีสื่อผ่านเครื่องดนตรีและวงดนตรี ชนิดต่าง ๆ รวมท้ังไดเ้ รยี นรปู้ ระวตั คิ วามเป็นมาของดนตรีไทยท่ี ถ่ายทอดสืบผ่านกนั มา ต้ังแตส่ มัยสโุ ขทัย สมัยอยธุ ยา สมยั ธนบรุ ี และสมยั รตั นโกสินทรต์ ลอดถึงปัจจุบนั และหวงั เป็นอย่างย่งิ หนงั สอื ดนตรไี ทย จะช่วยใหน้ ้อง ๆ เยาวชนทุกคนเกิดความรักและหวงแหนในวฒั นธรรมไทย และร่วม มอื รว่ มใจกันอนรุ กั ษด์ นตรีไทยให้คงอยู่ค่กู บั คนไทยตลอดไป ณฐั วรรธน์ ประเสรฐิ ชยั กร

การพัฒนาสอื่ มลั ตมิ เี ดีย กรณีศึกษา เรอ่ื ง ความรเู้ กย่ี วกับดนตรีไทย สารบัญ หน้า เครอื่ งดนตรีภาคกลลาง 1 ซออู้ 3 ซอด้วง 5 ระนาดเอก 7 ระนาดทมุ้ 8 ระนาดเอกเหลก็ 10 ระนาดท้มุ เหล็ก 11 ฆ้อง 11 โหมง่ 12 ฉ่ิง 13 ฉาบ 14 กรับ 15 กรับค่ ู 15 กรับพวง 16 กรับเสภา 17 ขลยุ่ 18 ป ่ี 19 ปนี่ อก 20

การพฒั นาสอื่ มลั ตมิ ีเดยี กรณศี ึกษา เรื่อง ความรเู้ กี่ยวกับดนตรีไทย สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ ปก่ี ลาง 20 ป่ีใน 22 เครอ่ื งดนตรภี าคเหนือ 23 กลองร�ำ มะนา 25 ร�ำ มะนามโหร ี 26 ร�ำ มะนาล�ำ ตัด 27 กลองยาว 28 กลองแอว 28 กลองมองเชงิ 29 กลองสองหนา้ 29 ตะโพนมอญ 30 เคร่ืองดนตรภี าคตะวันออกเฉียงเหนอื (อสี าน) 31 หมากขอลอ 34 โหวด 35 พิณ 26 โปงลาง 38 แคน 39

การพฒั นาส่ือมลั ตมิ เี ดีย กรณศี กึ ษา เรอื่ ง ความร้เู กีย่ วกบั ดนตรีไทย สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ เครอื่ งดนตรีภาคใต ้ 40 แตระ 43 กลองทัด 43 กลองโนรา 43 ทับ 43

เคร่อื งดนตรี ภาคกลาง

การพฒั นาสอ่ื มัลตมิ เี ดยี กรณีศึกษา เร่ือง ความร้เู ก่ยี วกับดนตรไี ทย “ เครอ่ื งดนตรี ภ าค กล าง ” ประกอบดว้ ยเคร่ืองดนตรีประเภท ดดี สี ตี เปา่ โดยเคร่ืองดดี ไดแ้ ก่ จะเขแ้ ละ จอ้ งหน่อง เครือ่ งสี ได้แก่ ซอด้วงและซออู้ เครื่องตไี ดแ้ ก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาด ทอง ระนาดทุ้มเล็ก ฆ้อง โหมง่ ฉงิ่ ฉาบและ กรับ เคร่อื งเป่า ได้แก่ ขลยุ่ และปี่ 1

การพฒั นาสอ่ื มัลติมเี ดีย กรณศี กึ ษา เร่ือง ความรูเ้ ก่ียวกบั ดนตรีไทย ลักษณะเดน่ ของเครื่องดนตรภี าคกลาง คอื วงปีพ่ าทยข์ องภาคกลาง จะมกี ารพัฒนาในลักษณะผสมผสานกบั ดนตรีหลวง โดยมีการพัฒนาจาก ดนตรีปี่และกลองเป็นหลักมาเป็นระนาดและฆ้องวงพร้อมท้ังเพ่ิมเครื่อง ดนตรี มากขึ้นจนเปน็ วงดนตรที ่ีมีขนาดใหญ่ รวมทง้ั ยังมีการขับร้องที่ คลา้ ยคลงึ กบั ปีพ่ าทย์ของหลวง ซึ่งเป็นผลมาจากการถา่ ยโยงทางวัฒนธรรม ระหว่างวัฒนธรรมราษฎร์และหลวง 2

การพฒั นาส่ือมัลติมเี ดีย กรณศี กึ ษา เรอื่ ง ความร้เู กยี่ วกบั ดนตรไี ทย ซออู้ เปน็ ซอสองสาย ตัวกะโหลกท�ำ ดว้ ยกะลามะพรา้ ว โดยตดั ปาดกะลา ออกเสยี ดา้ นหน่งึ และใชห้ นงั ลูกวัวขงึ ขนึ้ หน้าซอ กวา้ งประมาณ 13 - 14 ซม เจาะกะโหลกใหท้ ะลตุ รงกลาง เพอ่ื ใส่คันทวนทีท่ ำ�ดว้ ยไม้จรงิ ผ่านกะโหลกลงไป ออกทะลุรตู อนล่างใกล้กะโหลก คนั ทวนซออูน้ ี้ ยาวประมาณ 79 ซม ใชส้ ายซอส องสายผูกปลายทวนใต้กะโหลก แล้วพาดผ่านหนา้ ซอ ข้ึนไปผูกไว้กบั ลูกบดิ สอง อนั ลกู บดิ ซออู้น้ยี าวประมาณ 17 -18 ซม โดยเจาะรคู นั ทวนด้านบน แล้วสอด ลูกบดิ ใหท้ ะลุผา่ นคนั ทวนออกมา และใช้เชอื กผกู รั้งกับทวนตรงกลางเปน็ รัดอก เพอื่ ให้สายซอตงึ และส�ำ หรับเปน็ ท่กี ดสายใตร้ ดั อกเวลาสี ส่วนคนั สขี องซออนู้ ั้น ท�ำ ดว้ ย ไมจ้ รงิ ยาวประมาณ 70 ซม ใช้ขนหางม้าประมาณ 160 - 200 เส้น ตรง หนา้ ซอใชผ้ า้ ม้วนกลมๆ เพือ่ ท�ำ หน้าท่เี ป็นหมอนหนุน สายให้พน้ หนา้ ซอ ดา้ น หลังของกะโหลกซอ แกะสลักเป็นรปู ลวดลายสวยงาม และเปน็ ช่องทางให้เสยี ง ออกด้านน้ดี ว้ ย 3

การพฒั นาส่ือมลั ตมิ เี ดยี กรณศี ึกษา เรอื่ ง ความรู้เกยี่ วกับดนตรไี ทย ซออู้มีรูปร่างคล้ายๆกับ ซอของจีนทีเ่ รยี กว่า ฮู , ฮู้ (Hu- hu) เหตทุ เ่ี รยี กวา่ ซออกู้ เ็ พราะ เรียกตามเสียงท่ีได้ยินน่ันเอง ซอดว้ งและซออู้ ไดเ้ ขา้ มามี บทบาทในวงดนตรีเคร่ืองสาย ตงั้ แต่ปลายรัชกาลที่ 4 นเ่ี อง โดยได้ดดั แปลงมาจาก วง กลองแขกเครื่องใหญ่ ซงึ่ มี เคร่ืองดนตรีที่ทำ�ลำ�นำ�ประกอบ ด้วย ซอด้วง ซออู้ จะเข้ และ ปี่ อ้อ ตอ่ มาได้เอากลองแขก ปอี่ อ้ ออก และเอา ทบั กับร�ำ มะนา และขลุย่ เข้ามาแทน เรียกวง ดนตรชี นิดนี้วา่ วงมโหรีเครอ่ื ง สาย มีคนเลน่ ทัง้ หมด 6 คน รวมทงั้ ฉงิ่ ด้วย 4

การพัฒนาสือ่ มลั ติมเี ดยี กรณีศกึ ษา เรอ่ื ง ความรูเ้ กยี่ วกับดนตรีไทย ซอดว้ ง เป็นซอสองสาย มีเสยี งแหลม กอ้ งกงั วาน คันทวน ยาวประมาณ 72 ซม. คนั ชกั ยาวประมาณ 68 ซม. ใชข้ นหางม้า ประมาณ 120 - 150 เสน้ กะโหลกของ ซอดว้ งน้ัน แต่เดิมใช้ กระบอกไมไ้ ผม่ าทำ� ปากกระบอกของซอดว้ งกวา้ งประมาณ 7 ซม. ตวั กระบอกยาวประมาณ 13 ซม. กะโหลกของซอด้วงนี้ ในปจั จุบนั ใช้ไมจ้ รงิ หรอื  งาช้างทำ�ก็ได้ 5

การพฒั นาส่อื มัลตมิ ีเดีย กรณีศกึ ษา เร่ือง ความรู้เกย่ี วกับดนตรีไทย แตท่ น่ี ิยมว่าเสยี งดีน้นั กะโหลกซอด้วงตอ้ งทำ�ดว้ ยไมไ้ ม้เนือ้ แข็ง  สว่ นหน้า ซอนิยมใช้หนงั งเู หลอื มขงึ เพราะทำ�ให้เกิดเสียงแกว้ เกดิ ความไพเราะอยา่ งยิง่ ลักษณะของซอดว้ ง มีรปู ร่างเหมือนกบั ซอของจีนที่เรียกว่า “หฉู ิน” ทุกอยา่ ง เหตุ ท่ีเรียกวา่ ซอด้วง กเ็ พราะมรี ปู ร่างคลา้ ยเครอ่ื งดกั สัตว์ เพราะตวั ด้วงดกั สตั ว์ ทำ� ด้วยกระบอกไมไ้ ผ่เหมอื นกนั จงึ ไดเ้ รียกช่อื ไปตามลักษณะน้ันนั่นเอง สายซอดว้ งนั้น มีเพียงสองสาย คือ สายเอก เสยี งเปลา่ เปน็ เสียง “เร” นวิ้ ชี้ กดเป็นเสียง “ม”ี ไลไ่ ปจนถึงน้ิวกอ้ ยเปน็ เสียง “ลา” สูง สายทมุ้ เสียงเปลา่ เป็น เสียง “ซอล” ต่ำ� น้วิ ช้ีกดเปน็ เสียง “ลา”ตำ�่ ไลไ่ ปจนถึงน้ิวนางเปน็ เสียง “โด” ซอด้วงใช้ในวงเครื่องสาย  วงมโหร ี โดยทำ�หนา้ ท่ีเปน็ ผนู้ ำ�วงและเป็นหลัก ในการด�ำ เนนิ ท�ำ นองอา้ งองิ 6

การพฒั นาสื่อมัลติมเี ดยี กรณีศกึ ษา เร่ือง ความรูเ้ กี่ยวกับดนตรีไทย ระนาดเอกเป็นเครอ่ื งตีชนดิ หนึ่ง ทว่ี วิ ัฒนาการมาจากกรบั   แต่เดมิ คงใช้ กรับสองอันตเี ปน็ จังหวะ ตอ่ มากเ็ กดิ ความคดิ ว่า ถา้ เอากรับหลาย  ๆ อันวาง เรยี งราดลงไป แลว้ แกไ้ ขประดษิ ฐ์ใหม้ ขี นาดลดหล่ันกัน แลว้ ทำ�รางรองอุม้ เสียง และใช้เชือกรอ้ ยไมก้ รับขนาดตา่ ง ๆ กันนั้นให้ตดิ กัน และขงึ ไวบ้ นราง ใช้ไม้ตใี หเ้ กดิ เสียง นำ�ตะก่วั ผสมกับข้ีผึง้ มาถ่วงเสียงโดยน�ำ มาตดิ หัวทา้ ยของ ไมก้ รบั น้นั ใหเ้ กดิ เสยี งไพเราะยงิ่ ขนึ้ เรียกไม้กรับท่ปี ระดิษฐ์เปน็ ขนาดตา่ งๆ กันน้ันว่า ลกู ระนาด เรียกลกู ระนาดท่ผี ูกตดิ กนั เปน็ แผ่นเดียวกนั ว่า ผืน ระนาด เอกใช้ในงานมงคล เปน็ เครอ่ื งดนตรีที่เปน็ มงคลในบา้ น บรรเลงในวงปพ่ี าทย์ และวงมโหร ี โดยระนาดเอกนที้ �ำ หน้าทเ่ี ปน็ ผ้นู ำ�วงดนตรี 7

การพฒั นาสื่อมลั ตมิ ีเดยี กรณีศึกษา เร่ือง ความรู้เกยี่ วกับดนตรไี ทย ระนาดท้มุ   เปน็ เคร่ือง ด น ต รี ที่ ส ร้ า ง ขึ้ น ม า ใ น ส มั ย รัชกาลพระบาทสมเด็จพระน่ัง เกล้าเจ้าอย่หู ัว  เป็นการสรา้ ง เลียนแบบระนาดเอก  ใช้ไม้ ชนดิ เดียวกนั กับระนาดเอก ลกู ระนาดทุม้ มีจ�ำ นวน 17 ลกู ลกู ตน้ ยาวประมาณ 42 ซม กว้าง 6 ซม และลดหลนั่ ลงมาจนถึง ลกู ยอด ที่มีขนาดยาว 34 ซม กว้าง 5 ซม รางระนาดทุ้มนัน้ ประดิษฐ์ให้มีรูปร่างคล้ายหีบไม้ แตเ่ วา้ ตรงกลางให้โคง้ โขน ปดิ หวั ทา้ ยเพื่อ เป็นทแ่ี ขวน ผืนระนาดนั้น ถ้าหากวัดจาก โขนด้านหน่ึงไปยังโขนอีกด้าน หนึง่ รางระนาดท้มุ จะมขี นาด ยาวประมาณ 124 ซม ปาก ราง กว้างประมาณ 22 ซม มีเท้าเตี้ย รองไว้ 4 มุมราง 8

การพฒั นาส่ือมลั ติมเี ดีย กรณีศกึ ษา เรือ่ ง ความรเู้ ก่ยี วกับดนตรไี ทย หน้าท่ีในวงของระนาดทุ้มน้ัน ท�ำ หนา้ ทเี่ ดนิ ท�ำ นองรอง ในทางของ ตนเองซ่งึ จะมจี ังหวะโยน ล้อ ขัด ที่ ทำ�ให้เกิดความไพเราะสนุกสนาน และเติมเต็มช่องวา่ งของเสียง อนั เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของระนาด ทุ้ม ส่วนมากในการเด่ยี วเครอ่ื งดนตรี ระนาดทมุ้ นิยมเลน่ คู่กับฆอ้ งวงเลก็ และฉาบเสยี มากกวา่ 9

การพัฒนาสื่อมัลตมิ เี ดยี กรณีศึกษา เรอ่ื ง ความรเู้ กยี่ วกับดนตรไี ทย ระนาดเอกเหลก็   เปน็ เคร่อื งดนตรที ปี่ ระดษิ ฐข์ นึ้ ในสมยั รัชกาลพระบาท สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว  แตเ่ ดิมลูกระนาดทำ�ด้วยทองเหลอื ง  จึงเรยี กกนั ว่า ระนาดทอง ในเวลาต่อมาได้มีการประดษิ ฐล์ กู ระนาดด้วยเหล็ก ระนาดเอกเหล็กมี จำ�นวน 20 หรอื 21 ลูก โดยวางไวบ้ นรางทม่ี ีไม้ระก�ำ วางพาดไปตามของราง ก็ อาจใช้ผา้ พนั ไมแ้ ล้วนำ�มารองลกู ระนาดกไ็ ด้ ลูกต้น ของระนาดเอกเหล็กมีขนาด 23.5 ซม กวา้ งประมาณ 5 ซม ลดหลนั่ ขน้ึ ไปจนถงึ ลูกยอดที่มีขนาด 19 ซม กว้าง ประมาณ 4 ซม รางของระนาดเอกเหลก็ น้ัน ทำ�เปน็ รูปสี่เหลี่ยม มีเท้ารองรบั ไว้ทง้ั 4 ดา้ นหรืออาจใสล่ ูกล้อเพ่ือสะดวกในการขนยา้ ยก็ได้ ระนาดเอกเหลก็ บรรเลงเหมือนระนาดเอกทุกประการ เพียงแตไ่ มไ่ ดท้ ำ� หนา้ ท่ผี ู้น�ำ 10

การพัฒนาสอ่ื มลั ตมิ ีเดยี กรณศี กึ ษา เรื่อง ความรู้เกย่ี วกับดนตรีไทย ระนาดทมุ้ เหล็ก  เป็นเครอื่ งดนตรีทพ่ี ระบาท สมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยหู่ วั   ในรัชกาลท่ี 4  มพี ระ ราชด�ำ รใิ หส้ รา้ งข้ึน ลูกระนาดท�ำ อยา่ งเดียวกบั ระนาด เอกเหล็ก ระนาดทมุ้ เหล็กมีจำ�นวน 16 หรือ 17 ลกู ลกู ตน้ ยาวประมาณ 35 ซม กว้างประมาณ 6 ซมและลด หล่นั ลงไปจนถงึ ลกู ยอดซง่ึ ยาวประมาณ 29 ซม กว้าง ประมาณ 5.5 ซม ตัวรางระนาดยาวประมาณ 1 เมตร ปากราง กวา้ งประมาณ 20 ซม มชี านยื่นออกไปสอง ข้างราง ถา้ นบั ส่วนกวา้ งรวมท้งั ชานทงั้ สองข้างด้วย รางระนาดทุ้มเหลก็ จะกว้าง ประมาณ 36 ซม มีเท้ารอง ติดลกู ลอ้ 4 เท้า เพอ่ื ให้เคลอ่ื นทไ่ี ปมาไดส้ ะดวก ตัว รางสงู จากพ้ืนถึงขอบบนประมาณ 26 ซมระนาด ทกุ ชนิดทกี่ ล่าวมาน้นั จะใช้ไมต้ ี 2 อัน ฆอ้ ง  เปน็ เครอื่ งดนตรปี ระเภทเพอร์คัชชนั ทำ�ดว้ ยโลหะท่ีมีหลายรูปแบบ ค�ำ วา่ ฆอ้ งนั้นมที ีว่ า่ จากภาษาชวา  ปรากฏการใชฆ้ ้องในหลายชาตใิ น ทวปี เอเชีย เช่น จีน อนิ โดนเี ซยี  ไทย มาเลเซยี   เปน็ ตน้ ปจั จบุ นั ฆอ้ งเขา้ ไปมสี ว่ นในดนตรตี ะวนั ตก ด้วยเชน่ กนั 11

การพัฒนาส่อื มัลตมิ เี ดีย กรณีศกึ ษา เร่ือง ความรเู้ กย่ี วกับดนตรีไทย โหม่ง  เปน็ เครอื่ งดนตรปี ระเภทตชี นิดหน่ึง ใชต้ ีประกอบจังหวะ โหมง่ คือ ฆอ้ งคู่ เสียงตา่ งกันท่ีเสียงแหลมเรียกว่า “เสียงโหม่ง” ทีเ่ สยี ง ทุ้มเรียกว่า”เสยี งหม่งุ ” หรอื บางครั้งอาจจะเรียกวา่ ลกู อกและลูกทุ้มซ่งึ มี เสียงแตกตา่ งกนั เปน็ คู่ห้า แต่ปัจจบุ ันเป็นคู่แปด วิธีตโี หม่งในวงเคร่ืองสาย หรอื ปี่พาทย์ ผตู้ นี งั่ ขัดสมาธิ ให้โหมง่ วางอยู่ตรงหนา้ จบั ไม้ตตี ตี รง กลางปุ่ม ด้วยนำ�้ หนกั พอประมาณเนื่องจากโหมง่ ชนิดนีม้ ีเสียงดงั กงั วานยาวนาน จึง นยิ มตีหา่ งๆ คอื สองฉิ่งสอง ฉบั ต่อการตโี หมง่ คร้ังหนงึ่ แต่ถ้าเป็นวงกลอง ยาวหรอื วงมังคละ จะนยิ มตลี งที่จงั หวะหนกั (ฉับ) ตลอดโดยไม่เว้น 12

การพัฒนาสอ่ื มลั ติมเี ดยี กรณีศึกษา เรือ่ ง ความรเู้ กี่ยวกับดนตรีไทย ฉ่ิง เปน็ เครื่องดนตรีไทยประเภท ตี ท�ำ ด้วยทองเหลอื ง หล่อหนา ปากผาย กลม 1 ชุด มี 2 ฝา ฉง่ิ มี 2 ชนิดคอื  ฉง่ิ ส�ำ หรับวงปพ่ี าทย์  และ  ฉิง่ ท่ใี ช้ส�ำ หรับ วงเคร่ืองสายและวงมโหรี  ฉ่ิงสำ�หรบั วงป่ีพาทย์มีขนาดที่วัดผ่านศูนย์กลาง จากขอบข้างหนึ่งไปสุดขอบอีกข้างหน่ึง กวา้ งประมาณ 6 - 6.5 ซม เจาะรตู รง กลางส�ำ หรับร้อยเชอื ก เพ่อื ใหจ้ ับสะดวก ขณะตี สว่ นฉ่งิ ส�ำ หรับวงเคร่ืองสายและ วงมโหรีนน้ั มีขนาดเลก็ กว่า วัดผา่ น ศนู ย์กลางไดข้ นาดประมาณ 5.5 ซม เนอ่ื งจากการตฉี ิ่ง ต้องเอาขอบ ของฝาข้างหน่ึงกระทบกับอีกฝากหน่ึง แล้วยกขึน้ กจ็ ะมเี สียงดงั กงั วานยาว ดงั   ฉิง่   แต่ถา้ เอาทงั้ 2 ฝานั้นกระทบ และประกบกนั ไว้ จะไดย้ ินเสยี งดัง สั้นๆดัง  ฉับ  ดงั น้นั การเรียกช่อื เครอื่ ง ดนตรีชนดิ นีว้ ่า ฉง่ิ กเ็ พราะเรยี กตาม เสียงที่เกิดขึน้ น่นั เอง 13

การพฒั นาสื่อมลั ตมิ เี ดยี กรณีศึกษา เรือ่ ง ความรู้เกี่ยวกับดนตรไี ทย ฉาบ  เป็นเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเพอรค์ ชั ชัน  มีลักษณะเป็น แผ่นโลหะบาง ๆ รูปร่างคล้ายจาน โดยสว่ นมากจะเปน็ เคร่ืองดนตรี ไมม่ ีระดับเสยี ง 14

การพฒั นาสอ่ื มัลติมเี ดีย กรณีศึกษา เรอื่ ง ความรเู้ กี่ยวกบั ดนตรไี ทย กรับ เปน็ เครื่องดนตรีไทยชนดิ หน่ึง ซึ่งกรบั นน้ั มอี ยู่ 3 ชนิดดว้ ยกัน คอื   กรับ คู ่ กรบั พวง และกรับเสภา กรบั คู่ ท�ำ ดว้ ยไมไ้ ผ่ซกี 2 อนั เหลาให้เรยี บและเกลย้ี ง  หนาตามขนาดของเนอ้ื ไม้  หัว และท้ายกวา่ ใหญล่ ดหล่ันกนั เลก็ นอ้ ย  ตดี ้วยมอื ทั้งสองขา้ ง  โดยจับข้างละอนั ให้ดา้ นทเี่ ปน็ ผิวไม้กระทบกนั ตลี งบรเิ วณใกลก้ ับตอนหัว   มีเสียงดงั กรับ กรับ   โดยมากจะใช้ตีก�ำ กับ จังหวะในวง ปพ่ี าทย์ชาตรี ประกอบการแสดงละครชาตรี โดยเฉพาะ   ในเพลงรา่ ยตา่ งๆ   ในวงกลางยาวก็นยิ มใช้กรบั คไู่ ปตีกำ�กบั จงั หวะหนกั ท่ีเรียกวา่ กรับคู่คงเปน็ เพราะมีเป็นคู่ 2 อัน บางทกี เ็ รยี กว่า “กรับไม”้ 15

การพฒั นาสือ่ มลั ตมิ เี ดยี กรณีศกึ ษา เรอ่ื ง ความรเู้ ก่ียวกบั ดนตรไี ทย กรับพวง เปน็ กรบั ชนิดหนึ่งตอนกลางท�ำ ดว้ ยไม้บางๆหรือแผน่ ทองเหลือง  หรอื งาหลายๆ อนั และทำ�ไม้แกน่ 2 อนั เจาะรูตอนหวั ร้อยเชือก ประกบไว้ 2 ขา้ งเหมอื นด้ามพัด เวลาตีใชม้ ือ หน่งึ ถอื ตรงหัวทางเชอื กร้อย แล้วฟาดลงไปบน อีกฝา่ มอื หนึ่ง เกิดเปน็ เสียงกรบั ข้ึนหลายเสียง จงึ เรยี กวา่ กรับพวงใช้เปน็ อานตั สญั ญาณ เชน่ ในการเสด็จออกในพระราชพิธีของพระเจ้าแผ่นดนิ เจา้ พนกั งานจะรวั กรบั   และใช้กรับพวงตเี ปน็ จังหวะ ใน การขับรอ้ ง เพลงเรอื ดอกสร้อยและใชบ้ รรเลงขบั รอ้ ง ในการแสดง นาฏกรรมดว้ ย 16

การพฒั นาส่อื มัลตมิ เี ดยี กรณีศกึ ษา เรื่อง ความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทย กรบั เสภา ท�ำ ดว้ ยไมแ้ กน่ เช่นไม้ชิงชัน ยาวประมาณ 20 ซม หนา ประมาณ 5 ซม เหลาเปน็ รูป 4 เหล่ียมแตล่ บเหลีย่ ม ออกเพอ่ื มิให้บาด มอื และให้สามารถกล้ิงตัวของมันเองกลอก กระทบกันได้โดยสะดวก ใช้ บรรเลงประกอบในการขบั เสภา  เวลาบรรเลงผขู้ บั เสภาจะใชก้ รบั เสภา 2 คู่ รวม 4 อนั ถือเรียงกนั ไวบ้ นฝา่ มอื ของตนข้างละคู่ กลา่ วขับเสภา ไปพลาง มือทั้ง 2 ข้างกข็ ยบั กรับแตล่ ะขา้ งใหก้ ลอกกระทบกนั เข้าจังหวะ กับเสียงขับเสภา จงึ เรยี กกรับชนดิ น้ีวา่ กรบั เสภา 17

การพัฒนาสอ่ื มัลติมีเดยี กรณศี ึกษา เรื่อง ความรู้เก่ยี วกับดนตรไี ทย ขลุ่ย เปน็ เครอื่ งดนตรีโบราณของไทยชนิดหน่ึง สนั นิษฐานว่า อาจ จะเกิดขนึ้ กอ่ นหรือในสมัยกรงุ สุโขทยั เปน็ ราชธานี รว่ มสมัยกับเครื่อง ดนตรปี ระเภท กลอง ฆอ้ ง กรบั พิณเพียะ แคน ขลยุ่ ป่ี ซอ และกระจบั ป่ี แตม่ หี ลกั ฐานชดั เจนปรากฏ ในกฎมนเฑยี รบาลสมยั พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) แหง่ กรุงศรีอยุธยาวา่ หา้ มรอ้ งเพลงหรือเป่าขลยุ่ เป่า ป่ี สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีตะโพนในเขตพระราชฐานก่อนทจ่ี ะมา เปน็ ขลยุ่ อย่างท่ปี รากฏรปู ร่างในปจั จุบัน ขลุ่ยไดผ้ า่ นการววิ ัฒนาการมา เปน็ ระยะเวลายาวนาน มาจากปอี่ อ้ ซึง่ ตัวปห่ี รอื เลาท�ำ จากไม้รวกท่อนเดยี ว ไมม่ ีขอ้ และมลี ้นิ ซึง่ ทำ�ด้วยไม้อ้อล�ำ เลก็ ส�ำ หรับเป่าใหเ้ กิดเสียง หลงั จาก น้ันจึงปรับเปลย่ี นรูปรา่ ง และวธิ ีเป่าจนกลายมาเปน็ ขลุย่ อยา่ งทเี่ รยี กกันใน ปจั จบุ ันน้วี ่าเป็นขลุ่ยเพยี งออ 18

การพฒั นาสื่อมลั ตมิ ีเดีย กรณีศกึ ษา เรือ่ ง ความรู้เก่ยี วกับดนตรีไทย ป่ี เป็นเครอ่ื งดนตรีไทย  ทำ�ดว้ ยไมจ้ ริงเชน่ ไมช้ งิ ชันหรือไม้พยุง กลงึ ให้ เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลางป่อง เจาะภายในใหก้ ลวงตลอดเลา ทางหวั ของ ปเ่ี ป็นช่องรูเล็กส่วนทาง ปลายของปี่ ปากรใู หญใ่ ชช้ นั หรือวัสดุอย่างอน่ื มาหล่อ เสรมิ ข้นึ อกี ราวขา้ งละ คร่ึงซม ส่วนหัวเรยี ก ทวนบน ส่วนท้ายเรียก ทวนลา่ ง ตอน กลางของปี่ เจาะรูนว้ิ ส�ำ หรบั เปล่ียนเสียงลงมาจำ�นวน 6 รู แตส่ ามารถเปา่ ได้ เสยี งตรง 24 เสยี ง กับเสยี งควงหรอื เสียงแทนอกี 8 เสียง รวมเป็น 32 เสยี ง รู ตอนบนเจาะเรยี งลงมา 4 รู เว้นระยะหา่ งเลก็ นอ้ ย เจาะรูลา่ งอกี 2 รู ตรงกลาง ของเลาป่ี กลึงขว้นั เป็นเกลียวค่ไู ว้เปน็ จ�ำ นวน 14 คู่ เพื่อความสวยงามและกนั ล่ืน อีกด้วย ตรงทวนบนนนั้ ใสล่ ิน้ ปที่ ท่ี ำ�ดว้ ยใบตาลซ้อนกัน 4 ชน้ั ตดั ให้กลมแลว้ นำ� ไปผกู ติดกบั ทอ่ ลมเล็กๆท่ี เรียกว่า  กำ�พวด  เรยี วยาวประมาณ 5 ซม. กำ�พวดนี้ ทำ�ดว้ ยทองเหลอื ง เงิน นาก หรือโลหะอย่างอ่ืนวิธผี กู เชือกเพ่อื ให้ใบตาลตดิ กับ กำ�พวดนนั้ ใชว้ ิธผี กู ท่เี รยี กว่า ผูกตะกรุดเบ็ด สว่ นของกำ�พวดทจี่ ะตอ้ งสอดเขา้ ไป เลาป่นี ั้นเขาใชถ้ กั หรอื เคียน ด้วยเส้นด้าย สอดเขา้ ไปในเลาปีใ่ ห้พอมิดทพี่ นั ด้าย จะท�ำ ใหเ้ กดิ ความแน่นกระชับย่ิงข้นึ 19

การพัฒนาสอื่ มลั ตมิ เี ดยี กรณีศกึ ษา เร่ือง ความรู้เกย่ี วกบั ดนตรีไทย ปข่ี องไทยจัดได้เป็น 3 ชนดิ ได้แก่ ปนี่ อก มีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 31 ซม. กว้าง 3.5 ซม. เป็นป่ที ใ่ี ช้กนั มาแตเ่ ดิม เสียงของปีน่ อกจะมีเสียงที่เล็กแหลม 20

การพฒั นาสอื่ มัลติมเี ดีย กรณศี ึกษา เรือ่ ง ความรูเ้ กยี่ วกบั ดนตรีไทย ปี่กลาง  มขี นาดกลาง ยาวประมาณ 37 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. สำ�หรับเล่นประกอบ การแสดงหนงั ใหญ่ มีส�ำ เนียงเสียงอยรู่ ะหว่าง ป่ี นอก กับป่ีใน เสยี งของป่กี ลางจะ ไมแ่ หลมหรอื ว่าต่ำ�เกินไปแต่จะอยใู่ นระดับปานกลาง 21

การพฒั นาสอื่ มัลติมีเดยี กรณีศึกษา เร่อื ง ความรูเ้ กย่ี วกบั ดนตรไี ทย ปใ่ี น มีขนาดใหญ่ มคี วามยาวประมาณ 41 - 42 ซม. กว้าง ประมาณ 4.5 ซม. เปน็ ปีท่ ่พี ระอภยั มณีใช้ส�ำ หรบั เปา่ ให้นางผีเสื้อ สมทุ ร (ในวรรณกรรมของสุนทรภู่) ขาดใจตายน่ันเอง โดยเสียง ของปีในจะเป็นเสยี งท่ีต่�ำ และเสยี งใหญ่ 22

เครอ่ื งดนตรี ภาคเหนอื

การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย กรณีศกึ ษา เร่อื ง ความรู้เก่ียวกับดนตรีไทย √⁄º ในยคุ แรกจะเป็นเครื่องดนตรปี ระเภทตี ไดแ้ ก่ ท่อนไมก้ ลวง ท่ี ใช้ประกอบพธิ ีกรรม ในเรอ่ื งภตู ผีปศี าจและเจา้ ปา่ เจ้าเขา จากน้ัน ได้มี การพัฒนาโดยนำ�หนังสัตว์มาขึงท่ีปากท่อนไม้กลวงไว้กลายเป็นเคร่ือง ดนตรีท่เี รียกวา่ กลอง ตอ่ มามีการพัฒนารูปแบบของกลองให้แตกตา่ งออก ไป เช่น กลองท่ขี งึ ปิดด้วยหนังสัตว์เพียงหน้าเดียว ได้แก่ กลองร�ำ มะนา กลองยาว กลองแอว และกลองท่ขี ึงด้วยหนงั สตั วท์ ัง้ สองหน้า ได้แก่ กลองมองเซิง กลองสองหน้า และตะโพนมอญ 23

การพฒั นาสอ่ื มลั ตมิ ีเดีย กรณีศึกษา เรื่อง ความรเู้ กยี่ วกบั ดนตรไี ทย นอกจากนย้ี ังมเี ครอ่ื งตที ที่ �ำ ดว้ ยโลหะ เช่น ฆอ้ ง ฉง่ิ ฉาบ ส่วน เคร่ืองดนตรีประเภทเป่า ได้แก่ ขลยุ่ ย่ะเอ้ ปแี่ น ป่ีมอญ ปีสรไน และ เครอ่ื งสี ไดแ้ ก่ สะล้อลกู 5 สะล้อลูก 4 และ สะล้อ 3 สาย และเครื่อง ดดี ได้แก่ พณิ เป๊ียะ และซงึ 3 ขนาด คอื ซึงน้อย ซงึ กลาง และซึง ใหญ่ สำ�หรบั ลกั ษณะเดน่ ของเครือ่ งดนตรภี าคเหนอื คือ มกี ารน�ำ เครอ่ื ง ดนตรปี ระเภท ดดี สี ตี เปา่ มาผสมวงกันให้มีความสมบูรณแ์ ละไพเราะ โดยเฉพาะในด้านส�ำ เนยี งและทำ�นองทีพ่ ล้วิ ไหวตามบรรยากาศ ความ นมุ่ นวลออ่ นละมนุ ของธรรมชาติ นอกจากน้ยี ังมกี ารผสมทางวฒั นธรรม ของชนเผ่าตา่ ง ๆ และยงั เชื่อมโยงกบั วฒั นธรรมในราชสำ�นักทำ�ให้เกิด การถ่ายโยง และการบรรเลงดนตรีได้ทั้งในแบบราชสำ�นักของคมุ้ และวงั และแบบพืน้ บา้ นมีเอกลักษณเ์ ฉพาะถิ่น √⁄º 24

การพฒั นาส่อื มลั ตมิ ีเดยี กรณีศกึ ษา เรอื่ ง ความร้เู กีย่ วกับดนตรไี ทย “ กลองรำ�มะนา ” รำ�มะนา (มลายู: Rebana) เปน็ กลองท่ขี ึงหนังหนา้ เดยี ว หน้า กลองทข่ี งึ หนงั ผายออก ตัวกลอง สัน้ รปู ร่างคล้ายชามกะละมงั มอี ยู่ 2 ชนิด คอื “ร�ำ มะนามโหร”ี และ “รำ�มะนาลำ�ตัด” 25

การพัฒนาส่ือมัลติมีเดีย กรณศี กึ ษา เรือ่ ง ความรเู้ กย่ี วกับดนตรไี ทย ร�ำ มะนามโหร ี มขี นาดเลก็ หนา้ กวา้ งประมาณ 26 ซม ตวั ร�ำ มะนา ยาว ประมาณ 7 ซม หนังท่ีขนึ้ หน้า ตรงึ ดว้ ยหมดุ โดยรอบ จะเร่งหรอื ลด เสียงให้สูงตำ่�ไม่ได้ แตม่ เี ชอื กเสน้ หนง่ึ ที่เรยี กว่า สนบั  สำ�หรบั หนนุ ขา้ ง ในโดยรอบ ชว่ ยทำ�ใหเ้ สยี งสูงได้ บรรเลงใชต้ ดี ้วยฝ่ามือคู่กับโทนมโหรี 26

การพฒั นาสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี กรณีศกึ ษา เรอื่ ง ความรเู้ กยี่ วกับดนตรีไทย ร�ำ มะนาล�ำ ตัด มีขนาดใหญ่ หน้ากว้างประมาณ 48 ซม. ตวั รำ�มะนา ยาวประมาณ 13 ซม. ขึน้ หนังหนา้ เดียว โดยใชเ้ ส้นหวายผา่ ซีกโยงระหวา่ ง ขอบปนา้ กับวงเหลก็ ซง่ึ รองกน้ ใช้เปน็ ขอบ ของตวั ร�ำ มะนา และใช้ล่มิ หลายๆ อันตอกเรง่ เสยี งระหวา่ งวงเหล็กกบั ก้นร�ำ มะนา ร�ำ มะนาชนิดน้ีเขา้ ใจวา่ ได้ แบบอย่างมาจากชวาและเขา้ มาแพร่หลายในสมัยรัชกาลที่ 5  ใช้ประกอบ การเลน่ ล�ำ ตดั และลิเกล�ำ ตดั   ในการประกอบการเลน่ ลำ�ตัดนัน้ จะใช้รำ�มะนา กลี่ กู ก็ได้ โดยใหค้ นตนี ง่ั ล้อมวงและเปน็ ลูกครู่ ้องไปด้วย 27

การพัฒนาสอ่ื มัลตมิ ีเดีย กรณีศึกษา เรื่อง ความรูเ้ ก่ยี วกบั ดนตรีไทย กลองแอว เปน็ กลองท่มี ีลกั ษณะ กลองยาว  เป็นเครื่อง คล้ายกับกลองหลวงแต่ขนาดเล็กกว่า ดนตร ี ส�ำ หรับตดี ว้ ยมือ ตวั กลอง คือประมาณ 1 ใน 4 ของกลอง หลวง ทำ�ดว้ ยไม้ มีลกั ษณะกลมกลวง ขึง ขึงดว้ ยหนงั ขา้ งเดียว ตวั กลองท�ำ ด้วย ดว้ ยหนังมหี ลายชนิด ถา้ ท�ำ ดว้ ย ไม้เนอื้ แขง็ เช่น ไมช้ งิ ชนั ไม้ประดู่ หนังหนา้ เดยี ว มรี ปู ยาวมากใช้ และไมแ้ ดง เป็นตน้ กลอง แอวมีชอ่ื สะพายในเวลาตี เรียกวา่ กลองยาว เรียกขานตา่ งกันไป บางแห่งอาจเรียก หรือเถิดเทิง ตามรปู ลกั ษณ์ท่ีพบเห็น เรียกตามเสียง ทห่ี ูไดย้ นิ หรอื เรียกตาม ต�ำ นานเล่า 28 ขานสบื กันมา อยา่ งไรกต็ ามพอสรปุ ได้ว่า กลองแอว เปน็ ชื่อเรยี กตามรปู ลกั ษณ์ท่พี บเห็นคือ มี ลักษณะคอดก่วิ ตรงกลางคลา้ ยสะเอว ซงึ่ ภาษาล้าน นาเรียก “แอว” จึงได้ชอ่ื วา่ “กลอง แอว” ซง่ึ นิยมเรยี กกนั ในเขตจงั หวัด เชยี งใหม่

การพฒั นาสือ่ มัลติมีเดีย กรณศี ึกษา เรอื่ ง ความรูเ้ กย่ี วกบั ดนตรไี ทย กลองมองเซิง คอื กลองที่ขึงด้วย หนังท้งั สองหนา้ มีสายโยงเร่งเสียง รปู ร่างคลา้ ยตะโพนมอญ ไม่มีขา ตั้ง แต่มีสายร้อยสำ�หรับคล้องคอเวลาตี เฉพาะคำ�ว่า “มองเซงิ ” เปน็ ภาษา ไทใหญ่ โดยทีค่ ำ�วา่ “มอง” แปลวา่ “ฆ้อง” ส่วน “เซิง” แปลว่า “ชุด” กลองมองเซงิ จึงหมายถงึ กลองทีใ่ ช้ ฆอ้ งเป็นชุด เพราะวงกลองมองเซิงจะ เนน้ เสยี งฆอ้ งเป็นหลักใหญ่ กลองสองหนา้   สนั นษิ ฐาน วา่ เรมิ่ นำ�มาใชใ้ นสมัยรัชกาลที่ 2  มี ลักษณะคลา้ ยลกู เปิงมาง  แตใ่ หญ่ กวา่ หน้ากลองดา้ นกว้างเสน้ ผา่ น ศูนย์กลาง 21 - 24 เซนตเิ มตร ดา้ น เลก็ เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 20 - 22 เซนติเมตร ตวั กลองยาว 55 - 58 เซนตเิ มตร ใช้ในวงปีพ่ าทย์เสภา และใช้ตีประกอบจังหวะการเดี่ยว เครอ่ื งดนตรตี า่ ง ๆ ดว้ ย 29

การพัฒนาสือ่ มัลติมีเดยี กรณีศึกษา เรื่อง ความร้เู กยี่ วกับดนตรีไทย ตะโพนมอญ มีลักษณะคล้ายตะโพนของไทย แตใ่ หญ่กว่า และ ตรงกลางหนุ่ ป่องนอ้ ยกว่า มีเสียงกงั วานลึกกว่าตะโพนไทย หนา้ ใหญ่ เรียกว่า “เมกิ โหนก่ ” หน้าเล็กเรียกว่า “เมกิ โด้ด” เป็นภาษามอญ ตะโพนมอญใช้บรรเลงผสมกับวงปี่พาทย์มอญ มีหนา้ ท่บี รรเลงหน้าทบั และกำ�กบั จงั หวะตา่ ง ๆ 30

เคร่อื งดนตรภี าค ตะวันออกเฉียง เหนอื (อีสาน)

การพฒั นาสอ่ื มัลติมเี ดยี กรณีศึกษา เรอ่ื ง ความรูเ้ ก่ยี วกับดนตรีไทย มีวิวัฒนาการมายาวนานนบั พนั ปี เรม่ิ จากในระยะต้น มีการใช้วสั ดุทอ้ งถนิ่ มาท�ำ เลยี นสยี งจากธรรมชาติ ป่าเขา เสยี งลมพัดใบไมไ้ หว เสียงน�ำ้ ตก เสียง ฝนตก ซึ่งส่วนใหญ่จะเปน็ เสยี งส้ันไมก่ ้อง ในระยะตอ่ มาไดใ้ ช้วัสดุพนื้ เมอื ง จากธรรมชาตมิ าเป่า เช่น ใบไม้ ผิวไม้ ต้นหญา้ ปล้องไมไ้ ผ่ ท�ำ ใหเ้ สียงมคี วาม พลวิ้ ยาวข้ึน จนในระยะท่ี 3 ได้นำ�หนังสัตวแ์ ละเครอื่ งหนังมาใช้เป็นวัสดสุ ร้าง เครื่องดนตรีทม่ี ีความไพเราะและรูปร่างสวยงามขน้ึ เชน่ กรับ เกราะ ระนาด ฆอ้ ง กลอง โปง โหวด ปี พิณ โปงลาง แคน เป็นต้น โดยน�ำ มาผสมผสานเปน็ วง ดนตรีพนื้ บ้านภาคอสี านทีม่ ลี กั ษณะเฉพาะตามพ้นื ที่ 3 กลุ่ม คือ กลมุ่ อสี านเหนือ และอีสานกลางจะนิยมดนตรีหมอลำ�ท่ีมีการเป่าแคนและดีดพิณประสานเสียง ร่วมกับการขบั ร้อง ส่วนกล่มุ อีสานใต้จะนิยมดนตรีกนั ตรมึ ซง่ึ เปน็ ดนตรีบรรเลงท่ี ไพเราะของชาวอสี านใตท้ ่ีมีเชอ้ื สายเขมร 32

การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย กรณีศึกษา เรอื่ ง ความรู้เก่ยี วกบั ดนตรไี ทย นอกจากน้ียังมีวงพิณพาทย์และวงมโหรีด้วยชาวบ้านแต่ละ กลุม่ กจ็ ะบรรเลงดนตรีเหล่านี้กนั เพอ่ื ความสนกุ สนานครื้นเครง ใช้ ประกอบการละเล่น การแสดง และพิธีกรรมตา่ ง ๆ เช่น ลำ�ผฟี ้า ท่ี ใชแ้ คนเป่าในการรกั ษาโรค และงามศพแบบอสี านที่ใชว้ งตุ้มโมง บรรเลง นบั เปน็ ลกั ษณะเด่นของดนตรีพนื้ บ้านอสี านท่แี ตกต่างจาก ภาคอื่น ๆ 33

การพฒั นาสอ่ื มัลตมิ เี ดยี กรณศี กึ ษา เร่อื ง ความรเู้ ก่ียวกับดนตรไี ทย หมากขอลอ หรือ เกราะ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่อง ประกอบจังหวะในวงดนตรีพ้ืน เมอื งของอสี าน แตเ่ ดมิ นนั้ ใช้ เปน็ เคร่ืองตีทีบ่ อกสญั ญาณ มกั ทำ�จากไมเ้ นื้อแข็ง หรอื ไมไ้ ผ่ น�ำ มาเจาะรูร้อยเชือกสำ�หรับแขวน โดยบากส่วนปล้องไม้ไผ่ให้เป็น รใู นแนวยาว เพ่ือใหเ้ กิดเสียงท่ี ดงั กงั วาน ในการบรรเลงนั้น จะใช้ ไมแ้ นช้นิ เลก็ ๆ เคาะเพือ่ ใหเ้ กิด จังหวะ หรือสญั ญาณท่ตี อ้ งการ 34

การพฒั นาส่อื มัลตมิ ีเดีย กรณศี ึกษา เรื่อง ความรู้เก่ียวกบั ดนตรีไทย โหวด  หรอื “โบด” เปน็ เคร่อื งดนตรีไทยภาคอสี านประเภท เครื่องเปา่ หรือแกว่ง มรี ูปรา่ งเป็นทรงกระบอกคลา้ ยกบั บ้ังไฟ ทำ�จาก ไม้กู่แคนซ่ึงเป็นไม้ซางชนิดเดียวกับที่ใช้ทำ�แคนด้านบนมีชันโรง (ขี้สูด) มีลักษณะคล้ายกบั เครื่องดนตรกี รกี โบราณ  ที่เรยี กวา่ “Pan Pipe” ในสมยั โบราณมกั จะใชผ้ ูกกบั เชอื กแล้วแกวง่ ให้เกิดเสยี ง โหวดเป็นเครอื่ งดนตรีประจำ�จังหวดั รอ้ ยเอด็   ผ้คู ดิ ค้นพฒั นาให้โหวด มีลกั ษณะแบบที่เห็นในปัจจบุ ันคือ นายทรงศกั ด์ิ ประทุมสินธุ ์ อาจารย์ ประจ�ำ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  เคร่อื งดนตรีชนดิ นีไ้ ดร้ บั ความนิยม ในเพลงลกู ทุ่งในชว่ งหลงั นบั ตั้งแตช่ ว่ งปี 2540 เปน็ ตน้ มา 35

การพฒั นาสอื่ มัลตมิ เี ดีย กรณีศกึ ษา เรอ่ื ง ความรเู้ กี่ยวกบั ดนตรไี ทย พิณ  เปน็ เคร่ืองดนตรีประเภท เครือ่ งดดี แบบหนึ่ง มหี ลายชนดิ แตก ตา่ งตามท้องที่ ในภาคอีสานของ ประเทศไทย พณิ อาจมชี ่อื เรยี กแตก ต่างกนั ไปตามท้องถ่นิ เชน่ “ซุง” หรอื “เตง่ ” และมีลักษณะคล้าย “ซงึ ” ของ ภาคเหนอื หรือมีรูปร่างคลา้ ยกีตารแ์ ต่ มขี นาดเล็กกวา่ จดั เปน็ เครื่องดนตรี ประเภทเคร่อื งสาย โดยท่วั ไปมี 3 สาย ในบางท้องถิ่นอาจมี 2 หรอื 4 สาย บรรเลงโดยการดีดดว้ ยวสั ดทุ ี เปน็ แผ่นบาง เช่นไมไ้ ผ่เหลา หรืออาจ ใช้ปิก้ กีตาร์ดีดก็ได้ สมัยกอ่ นจะเลน่ เครือ่ งเดียวเพือ่ เกีย้ วสาว ปัจจบุ ันมกั ใช้ บรรเลงในวงดนตรีโปงลาง วงดนตรี ลำ�ซง่ิ หรือวงดนตรีลูกทุ่ง 36

การพัฒนาสื่อมลั ตมิ เี ดยี กรณศี ึกษา เรอื่ ง ความรเู้ ก่ยี วกบั ดนตรไี ทย โปงลาง  ดนตรพี นื้ เมืองอสี าน ถอื วา่ จงั หวะส�ำ คัญมาก เคร่ือง ดนตรีประเภทตีใช้ดำ�เนินทำ�นอง อยา่ งเดียวคอื โปงลาง โปงลางมี วิวฒั นาการมาจากระฆังแขวนคอสัตว์ เพื่อให้เกิดเสียงโปงลางท่ีใช้บรรเลง อยู่ในภาคอสี านม2ี ชนิด คือ โปงลาง  ดนตรพี ืน้ เมอื งอสี านถือวา่ จงั หวะส�ำ คัญมาก เครื่องดนตรี ประเภทตีใชด้ �ำ เนนิ ทำ�นองอยา่ งเดยี วคอื โปงลาง โปงลางมีวิวัฒนาการมา จากระฆังแขวนคอสัตว์เพ่ือให้เกิดเสียงโปงลางที่ใช้บรรเลงอยู่ในภาคอีสาน มี2 ชนดิ คอื 38

การพฒั นาส่อื มลั ติมเี ดยี กรณีศกึ ษา เรอ่ื ง ความรเู้ กย่ี วกบั ดนตรีไทย แคน  เป็นเครอ่ื งดนตรพี ืน้ เมืองชนิด หนึ่งของประเทศลาวและภาคตะวันออกเฉียง เหนือ  (อีสาน) ในประเทศไทย  และถือเป็น สัญลกั ษณ์ประจำ�กลมุ่ ชาติพันธุ์ลาวอีกด้วย เคร่อื ง ดนตรชี นดิ นจี้ ะใชไ้ มซ้ างขนาดต่าง ๆ ประกอบ กันเข้าเปน็ ตัวแคน แคนเป็นเครื่องเปา่ มีลิ้นโลหะ เสียงเกิดจากลมผ่านล้ินโลหะไปตามลำ�ไม้ท่ีเป็น ลกู แคน การเปา่ แคนตอ้ งใชท้ ัง้ เป่าลมเข้าและดูด ลมออกดว้ ย จงึ เป่ายากพอสมควรและแคนมหี ลาย ขนาด ถือเปน็ เคร่ืองดนตรีชนดิ หนงึ่ ที่ให้เสยี ง ไพเราะ เป็นเอกลักษณเ์ ฉพาะตวั สร้างเสยี ง ประสานไดใ้ นตัวเอง บง่ บอกถึงวิถีชวี ิตของชาว พนื้ เมอื งบริเวณลุ่มแม่นำ�้ โขงได้เป็นอยา่ งดี ใคร เปน็ ผคู้ ิดประดิษฐเ์ คร่อื งดนตรที ี่เรยี กว่า “แคน” เป็น คนแรก และทำ�ไมจงึ เรียกว่า “แคน” น้นั ยังไม่มีหลกั ฐานทแี่ นน่ อนยนื ยนั ได้ 39

เครือ่ งดนตรี ภาคใต้

การพฒั นาสอื่ มัลติมเี ดีย กรณีศกึ ษา เรอื่ ง ความรูเ้ กยี่ วกบั ดนตรไี ทย การประดิษฐ์เครื่องดนตรีจากวัสดุใกล้ตัวซ่ึงสันนิษฐานว่าดนตรีพื้นบ้าน ดง้ั เดิมของภาคใตน้ ่าจะมาจากพวกเงาะซาไก ท่ีใชไ้ มไ้ ผ่ลำ�ขนาด ต่าง ๆ กนั ตดั ออกมาเปน็ ทอ่ นส้ันบา้ งยาวบ้าง แลว้ ตัดปากของกระบอกไม้ไผใ่ หต้ รงหรือเฉยี ง พรอ้ มกับหุ้มด้วยใบไมห้ รือกาบของต้นพชื ใช้ตปี ระกอบการขบั รอ้ งและเต้นรำ� จากนัน้ กไ็ ดม้ กี ารพัฒนาเป็นเคร่อื งดนตรีแตร กรับ กลองชนดิ ตา่ ง ๆ เชน่ รำ�มะนา ที่ไดร้ บั อิทธิพลมาจากชาวมลายู กลองชาตรีหรือกลองตุ๊กท่ีใช้บรรเลง ประกอบการแสดงมโนรา ซึ่งไดร้ ับอิทธพิ ลมาจากอินเดีย 41

การพัฒนาส่อื มลั ตมิ ีเดีย กรณศี ึกษา เรือ่ ง ความรเู้ กี่ยวกับดนตรีไทย ตลอดจนเคร่อื งเป่าเชน่ ปีน่ อกและเครอ่ื งสี เชน่ ซอด้วง ซออู้ รวม ทั้งความเจริญทางศิลปะการแสดงและดนตรีของเมืองนครศรีธรรมราช จนได้ชอ่ื วา่ ละคร ในสมยั กรุงธนบรุ นี น้ั ล้วนไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากภาคกลาง นอกจากนี้ยังมีการบรรเลงดนตรีพ้นื บ้านภาคใต้ ประกอบการละเล่นแสดง ต่างๆ เช่น ดนตรโี นรา ดนตรีหนังตะลงุ ท่ีมีเคร่ืองดนตรหี ลกั คอื กลอง โหม่ง ฉิ่ง และเคร่ืองดนตรีประกอบผสมอ่ืน ๆ ดนตรีลิเกปา่ ท่ใี ช้เครอื่ ง ดนตรีร�ำ มะนา โหมง่ ฉ่งิ กรบั ป่ี และดนตรีรองเง็ง ท่ไี ด้รับแบบอย่างมา จากการเต้นร�ำ ของชาวสเปนหรือโปรตุเกสมาต้ังแต่สมัยอยุธยา โดยมีการ บรรเลงดนตรีที่ประกอบดว้ ย ไวโอลนิ รำ�มะนา ฆอ้ ง หรอื บางคณะก็เพม่ิ กีต้ารเ์ ข้าไปดว้ ย 42

การพฒั นาส่อื มัลตมิ ีเดีย กรณศี กึ ษา เร่ือง ความรู้เกย่ี วกับดนตรไี ทย แตระ หรือกลับนน่ั เอง โดยจะมีเพียงแคก่ ลับ ชนั้ เดยี ว ทใ่ี ช้ตกี ระทบกับรางโหมง่ หรือกลับคู่ อกี ทงั้ ยังมีกลับทีร่ อ้ ยเรยี งเป็นพวงหนง่ึ พวง ทีเ่ รยี กวา่ กระปกุ พวง อีกทง้ั ยังสามารถใชไ้ ม้ หรอื ลวดขนาดเลก็ กไ็ ด้ น�ำ แต่ละอนั มาเรียงรอ้ ยเข้าด้วยกนั เมื่อน�ำ มาตแี ล้วก็ จะทำ�ใหป้ ลายกระทบกนั ท�ำ จากไม้เนื้อแขง็ กลองทดั มลี ักษณะเป็นกลองขนาดเล็ก โดย มีขนาดใหญ่โตกว่ากลองของหนังตะลุงเพียงเล็ก นอ้ ย กลอง 1 ใบ ใช้ในการเสรมิ เน้นจังหวะ และ ล้อเสยี งทับ กลองโนรา มกั นำ�มาใชใ้ นการ ประกอบการแสดงโนรา หรอื หนังตะลุง ตามปกติทั่วไปแลว้ มีขนาดเสน้ ผา่ ศนู ย์กลางของหนา้ ค่อนขา้ งใหญ่ 43

การพัฒนาสือ่ มลั ตมิ ีเดีย กรณีศกึ ษา เร่ือง ความรูเ้ กี่ยวกบั ดนตรีไทย ทับ อีกชอ่ื หน่งึ เรียกว่า ทบั โนรา เครอ่ื งดนตรชี นิดนี้ จะตอ้ งเล่นเปน็ คูโ่ ดย นักดนตรเี พยี งแค่คนเดียว โดยความแตก ตา่ งของของเครือ่ งดนตรีท้งั 2 ช้นิ นั้น ก็ มีความแตกตา่ งกนั เพียงเล็กน้อย แตจ่ ะ ใช้คนตีเพียงแค่คนเดียวเทา่ นนั้ ซงึ่ ถือได้ ว่าเป็นเครื่องดนตรีท่ีมีความสำ�คัญท่ีสุด เนือ่ งจากใชใ้ ชค้ มุ จงั หวะ อกี ทงั้ ยังใชเ้ ปน็ ตัวนำ�ในการเปลี่ยนจังหวะท่วงทำ�นอง อกี ด้วย โดยผู้ทจี่ ะเลน่ ทับน้ี จะต้องมี ความรู้ และประสบการณ์สังเกตการณ์ เป็นอยา่ งมาก เน่อื งจากวา่ การเลน่ พบั จะ ตอ้ งมีการเปลย่ี นแปลงตามผู้รำ� ไมใ่ ช่ผู้ รำ�เปลย่ี นแปลงตามจงั หวะของทบั เพราะ ฉะนั้นผู้เล่นทีด่ ี จะตอ้ งมสี มาธิ จดจ�ำ ทา่ ทาง และนัง่ ในตำ�แหนง่ ท่มี องเหน็ ผู้ ร่ายรำ�ตลอดเวลา และจะตอ้ งตาม ทว่ งท่า ของผู้ร�ำ ใหท้ ัน 44