Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จิตวิทยาสำหรับครู

จิตวิทยาสำหรับครู

Published by เนียเนีย, 2023-03-10 11:02:00

Description: จิตวิทยาสำหรับครู

Search

Read the Text Version

หน้าที่ของการศึกษา (Education Function) 1.หน้าที่เชิงอนุรักษ์ (Conservative Function) การศึกษามีหน้าที่ในการบำรุงรักษาข้อมูลตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆไว้ ตั้งแต่เรื่องค่านิยม ความเชื่อ ศิลปะ วัฒนาธรรม วิทยาศสตร์ มนุ ษศสตร์ ไปจนถึงวิทยาต่างๆอาจมีการเผยเเพร่ ถ่ายทอด สืบทอด องค์ ความรู้ให้แก่กันได้ และเก็บรักษาไว้ได้ด้วยเช่นกัน 2.หน้าที่เชิงสร้างสรรค์และสรรสร้างนวัตกรรม (Creative & Innovative Function) การศึกษามีหน้าที่เปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม ตลอดจนวัฒนธรรมให้เจริญก้าวไปข้างหน้า อีกมุมหนึ่งของการศึกษาก็ คือการค้นคว้าหาสิ่งใหม่ สร้างสรรค์สิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น เพื่อเป็น นวัตกรรมแห่งอนาคต และ กลายเป็นวัฒนานธรรมใหม่ขึ้นได้ด้วย ซึ่ง การศึกษาถือเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาและยังเป็นนวัตกรรมแห่ง อนาคต และกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ขึ้นได้ด้วย ซึ่งการศึกษาถือเป็น ปัจจัยสำคัญของการพัฒนาและยังเป็นเครื่องมือที่ใช้เผยเเพร่องค์ความรู้ ใหม่ๆได้อีกด้วย 47

ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 นักตั้งแต่การก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา โลกมีการเปลี่ยนแปลงหลายทิ่ง หลายอย่างอย่างรวดเร็วมากตั้งแต่เรื่องของการปฎิวัติเทคโนโลยีดิจิตอล ไปจนถึง เรื่องของการปฎิวัติอาชีพ หลายสิ่งหลายอย่างทำให้วิถีชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนไปเพื่อ ก้าวให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงเรื่องการศึกษาที่เริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบบ ตลอดจนมีสาขาวิชาใหม่ๆที่น่าสนใจผุดขึ้นมามากมาย การก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นั้นแม้แต่องค์เองก็ต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงแรงงานทั้งหลายที่ ก็ต้องพัฒนาประชากรให้เหมาะสำหรับโลกในยุคใหม่ ไปจนถึงพัฒนาศักยภาพ ประชากรและแรงงานให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย ซึ่งว่ากันว่าทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 ที่มีความจำเป็นและเป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรชาติในทุก ระดับนั้นก็คือทักษะ 8 ที่ ประกอบไปด้วยรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.Creativity Skill - ทักษะการสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์นั้นหมายถึงตั้งแต่การสร้างสิ่งใหม่ๆไปจนถึงสร้างสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ สนใจในรูปแบบใหม่ๆซึ่งปัจจุบันความคิดสร้างสรรค์เริ่มถูกนำมาใช้กับแทบทุก ศาสตร์ที่ำม่ใช่แค่ด้านศิลปะและการออกแบบเหมือนแต่แต่ก่อน ทุกอน่าง สามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดมูลค่าและประสิทธิภาพขึ้นได้ ที่สำคัญ ความคิดสร้างสรรค์นี่แหละเป็นจุดกำเนิดของการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆด้วยนั่นเอง 48

2.Computers Technology Skill - ทักษะทางด้านโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทักษะด้านนี้ถือเป็นพ์้นฐานสำคัญของเทคโนโ,ยีไปจนถึงนวัตกรรมต่างๆที่เกิด ขึ้น โดยเฉพาะระบบอินเตอร์เน็ตที่เสมือนกุจแจสำคัญในการพลิกโฉมโลกใบนี้ ยุคดิจิตอล (Digital Age) ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านต่างๆมากมายวิถีชีวิต มนุษย์ที่ 21 นี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอยู่ 3.Cross - cultural Relationship - ทักษะทางด้านความสัมพันธ์ข้าม วัฒนธรรม ศตวรรษที่ 21 ไม่เพียงแต่เป็นยุคของการผสมผสานหลากวัฒนธรรม (Multi Culture) เท่านั้น แต่ยุคนี้ยังเป็น ยุคขอความสัมพันธ์ข้ามวัฒนธรรม (Cross Cultural) ที่ทั้งโลกเชื่อมถึงกันได้อย่างง่ายดายอีกด้วย รวมไปถึงโลกทั้งใบต่าง ก็มีวัฒนธรรมใหญ่ร่วมกันมากขึ้นทุกทีการเรียนรู้สังคมต่างวัฒนธรรมนั้นทำให้ เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การมีทักษะในด้านการสร้างสรรค์ไปจนถึงร่วม กันสร้างนวัฒกรรมใหม่ๆตลอดจนการเกิดธุรกิจการค้าระหว่างกัน การมี ทักษะในด้านนี้ทำให้วัฒนธรรมย่อยเกิดความเข้าใจระหว่างกัน สามารถ ทำงานตอบสนองกันได้ รวมถึงผลิตสินค้าและนวัฒกรรมเพื่อตอบสนองความ ต้องการของแต่ละวัฒนธรรมได้ด้วยนั่นเอง 49

4.Communicatรon - ทักษะทางด้านการสื่อสาร ทักษะนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากในโลกยุคที่ไร้พรมแดนขึ้นทุกวัน นอกจากการฟัง พูด อ่าน เขียน แล้วปัจจุบันยังต้องใส่ใจในสื่อ ตลอดจนช่องทางการสื่อสารต่างๆด้วย ยุคนี้มนุษยุมีสื่อและช่องทางการสื่อสารกันมากมายทั้งเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและ ประโยชน์ทางธุรกิจ ตลอดจนประโยชน์ด้านอื่นๆการเข้าใจการสื่อสารกันที่ถูกต้อง และถูกวิธีจะทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน 5.Collaboration - ทักษะในการสร้างความราวมมือ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้มีการร่วมมือกันระหว่างประเทศหรือข้ามองค์กร ข้าม วัฒนธรรมกันมากมายในขณะที่สงครามการแข่งขันทางธุรกิจยิ่งทำให้แต่ละฝ่าย ต่างแย่ ยุคนี้ก็เลยเกิดการร่วมมือจับมือกันพัฒนาธุรกิจที่ได้ประโยชน์ด้วยกันฝ่าน การร่วมมือกันนั้นก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และช่วยพัฒนากัน สามัคคี กันและสร้างประโยชน์ต่างๆได้มากมาย การร่วมมือกันนี้ยังหมายถึงการทำงานเป็น ทีม การร่วมแรงร่วมใจกัน สามัคคีกันแลัสร้างประโยชน์ร่วมกันฝ่าย เป็นยุคที่ไม่ใช่ มุ่งแข่งขันกันโดยไม่ใส่ใจปัญหาที่สร้างขึ้น แต่เป็นยุคที่ผนึกกำลังเพื่อ่อสู่กับอุป สรรค์หรือสร้างประโยชน์เสียมากกว่า 50

6.Critical Thinking - ทักษะในการเผชิญวิกฤตและการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะยุคไหนๆหรือการทำอะไรก็ตาม ย่อมมีโอกาสเจอปัญหาเจอวิกฤติที่ คาดไม่ถึงมากมาย สิ่งสำคัญคือต้องเรียมรับมืออย่างไร มีการเผชิญกันวิกฤติ อย่างไร และมีทักษะในการแก้ปัญหาที่ดีอย่างไร ไม่ใช่วิ่งหนีปัญหาหรือหวั่น กลวัววิกฤติ แต่ต้องรู้จักลุกขึ้นเผชิญกับปัญหา มีสติในการเผชฺิญหน้ากันวิกฤต และต้องมีความรอบคอบในการแก้ปัญาหด้วย ปัญหานี้ยังรวมไปถึงอุปสรรค์ ต่างๆในการทดลอง การคิดค้นนวัตกรรม หากสามารถหาวิธีการแก้ปัญหา (Problem Solution) ได้ก็คือหนทางในการเกิดสิ่งประดิษฐ์หรือนวัฒกรรม ใหม่ๆขึ้นมาได้ด้วยนั่นเอง หรือแม่แต่การเผชิญกับวิฤกติด้านสังคมไปจน ปัญหาด้านมนุษย์ชาติการยุติปัญหา หาทางแก้ไข หาทางออกที่ดีที่สุด ก็คือ ทักษะที่ดีที่โลกยุคใหม่ต้องการ 51

7.Continuous Learning - ทักษะการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง โลกในยุคศตวรรษที่ 21 นี้มีการส่งเสริมสังคมทั่งโลกให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Society)เพราะการเรียนรู้นั้นไม่มีวันสิ้นสุด เราสามารถเรียนรู้ได้ทุก อย่าง เรียนรู้ได้เสมอและเรียนรู้ได้ตลอดเวาลา การเรียนรู้ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ วัย เพศ การศึกษา หรือแม้แต่เชื่อชาติ ทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ได้ตั้งแต่เรื่องใกล้ ตัวไปจนถึงเรื่องต่างวัฒนธรรม สังคมแห่งการเรียนรู้นั้นถือเป็นต้นทุนที่ดีในการ พัฒนาชาติโลกบุคคากรที่มีเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาและนำการเรียนรู้นั้นมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ก็ย่อมทำให้องค์การหรือสังคมนั้นเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปด้วยซึ่งเราควรม ส่งเสริมการการเรียนรู้ให้กลายเป็นปกติวิสัยของมนุษย์เพื่อที่จะทำให้กลาย ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าและศักยภาพนั่นเอง 8.Career in Deep Skill - ทักษะวิชาชีพเชิงลึก เมื่อโลกมีความหมายด้านอาชีพขึ้น ในขณะที่ศาสตร์อาชีพเดิมก็เริ่มมีความลึกขึ้น กัน ในยุคศตวรรษที่ 21 นี้ทุกคนแข่งขันกันพัฒนาศักยภาพตนเองในสาขาวิชาชีพ ตนศึกษาให้ลึกซึ้ง และเพิ่มทักษะความชำนาญทางวิชาให้ลึกขึ้นเรื่อยๆจนกลาย เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะสาขาวิชาชีพใดในโลกยุคนี้ล้วนต้องการผู้เชี่ยวชาญ ผู้รู้ จริง ดังนั้นเทรนด์ในการพัฒนาบุคลากรจึงเป็นการพัฒนาวิชาชีพเชิงลึก และเป็น ที่ต้องการของตลาดแรงงานสากล ในขณะที่สาขาวิชาชีพใหม่ๆต่างก็แข่งขันกัน พัฒนาในเชิงลึกด้วยเช่นกัน ใครที่ยิ่งเป็นผู้ชาญก็ยิ่งมีโอกาสได้งานสูง และสามารถ นำไปใช้ประโยชน์ได้ชัดเจน 52

บุคคลแห่งศตวรรษที่ 21 Learner – ผู้รักการเรียนรู้ รักที่จะเรียนรู้อยู่เสมอตั้งแต่สิ่งเล็กๆ รอบตัวไปจนถึง สิ่งใหญ่ๆ ระดับโลก การ เรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และอยู่กับตัวเราตลอดเวลา การมี นิสัยการเรียนรู้คือคุณสมบัติที่ดีเบื้องต้นของมนุษย์ที่มี ศักยภาพต่อการพัฒนาใดๆ ก็ตาม Leader – ผู้นำ การเป็นผู้นำในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตำแหน่ง หรืออำนาจเท่านั้น แต่คือการเป็นผู้ที่สามารถนำ กลุ่ม ควบคุมการทำงาน กล้าเสนอแนะ กล้าต่อสู้ กับสิ่งต่างๆ มีความคิดก้าวไกล คิดรอบคอบ มีภาวะการ ตัดสินใจดีเยี่ยม เป็นต้น ภาวะผู้นำจะเป็นเสมือนตัวเร่งปฎิกิริยาที่ดีในการปฎิบัติงานตลอดจนสร้างการ เปลี่ยนแปลงต่างๆ Innovator – นวัตกร ผู้สร้างนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ อำนวยความสะดวกในทางที่ดี ขึ้น การเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ สามารถชี้วัดการพัฒนาขององค์กรหรือแม้แต่โลกใบนี้ได้ 53

Developer – นักพัฒนา นักพัฒนานั้นบางครั้งก็เป็นนวัตกรในตัวเอง หรือเป็นผู้ ที่นำนวัตกรรมมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในวงกว้าง ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์หลาย ด้าน หรือพัฒนาในสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์ มากมายหลายด้านด้วยเช่นกัน นักพัฒนานี้มีส่วนช่วยขยายประโยชน์ให้สู่องค์กว้างมากขึ้น และมีเป้าหมายใน การ ทำทุกอย่างให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนั่นถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของประชากรโลกเลยทีเดียว Creator – นักสร้างสรรค์ บางครั้งเรื่องของการสร้างสรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องของศิลปะ หรือนักประดิษฐ์ แต่คุณสมบัติ ของนักสร้างสรรค์นั้นสามารถมีอยู่ได้ในตัวทุกคน และสามารถนำไปใช้ได้กับทุกสาขาอาชีพ การคิดหาวิธีการ ใหม่ๆ การสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ หรือแม้แต่การปรับปรุงสิ่งเดิมให้น่าสนใจขึ้นก็คือเป็นวิสัยแห่งการ สร้างสรรค์ที่ดี ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรในอนาคตได้เช่นกัน หากมนุษย์มี ความเป็นนักสร้างสรรค์อยู่ในตัวเยอะ ก็จะจะ เป็นคนที่อยากแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น ไปโดยปริยาย Coordinator – นักประสานงาน นักประสานงานนี้คือตัวเชื่อมที่ดี การที่แต่ละ คนมีความโดดเด่นในปัจเจก บุคคลนั้นก็อาจไม่เกิดประโยชน์ หรืออาจทำให้เกิด การต่อสู้แข่งขันที่สร้างปัญหาได้ 54

บทที่ 10 ปรัชญาแนวคิดทฤษฎีตาม จิตวิทยา 55

ปรัชญาและแนวคิดด้านการศึกษา ปรัชญา คือ ศาสตร์ที่ศึกษาความรู้ ความจริงของมนุษย์โลก ธรรมชสติและ ชีวิต อย่างลึกซึ่งเพื่ออธิบายเหตุการณ์และสิ่งต่างๆโดยใช้หลักการของ เหตุผลในวิชาตรรมวิทยา เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงความจริงหรือความรู้ที่ แน่นอน ปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษา คือ การศึกษาที่ปัจจัยสำคัญยิ่งในการ พัฒนาประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง เครื่องมือในการเตรี ยมประชากรให้มีคุณภาพ คือ การศึกษาการจัดการศึกษาของชาติจะต้อง สอดคล้องกับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แนวคิดหรือ ความเชื่อในการจัดการศึกษาก็คือ ปรัชญาการศึกษา ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่ในการ จัดการศึกษาจะยึดแนงทางในการจัดการศึกษาหรือปรัชญาของการศึกษา ต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของสังคมและสถานการณ์ทางสัวคมในแต่ละยุค แต่ลัสมัย แนวคิดและความสำคัญจิตวิทยา แนวคิดทางจิตวิทยามีจุดมุ่งหมายของการเรียนจิตวิทยาการศึกษา คือ เพื่อ ให้เข้าใจ เพื่อการทำงานและเพื่อควบคุมพฤติกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์ใน สถานการณ์ต่างๆ 56

กู๊ดวินและคลอส ไมเออร์ (Goodwill & Cross Mier,1975) มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญของการเรียนจิตวิทยา ไว้ดังนี้ 1.เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบทั้งด้านทฤษฎี หลัก การและสาระอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 2.เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการ เรียนการสอน 3.เพื่อให้ครูสอนสามารถนำเทคนิคและวิธีการการเรียนรู้ไปใช้ในการ เรียนการสอน การแก้ไขปัญหาในชั้นเรียน คุณค่าของปรัชญาการศึกษา การจะศึกษาสิ่งใดนั้น มนุษย์มักตั้งคำถามว่า ศึกษาไปแล้วจะได้อะไร หมายถึง สิ่งที่ได้ศึกษานั้นก่อให้เกิด คุณค่าอย่างไรกับชีวิต วิชาปรัชญาก็เช่นกัน ย่อมถูก ตั้งคำถามจากผู้ศึกษาว่า “เรียนปรัชญาแล้วได้ อะไร” เพราะวิชาปรัชญาไม่ใช่ วิชาที่สอนทักษะในการประกอบอาชีพโดยตรง ไม่ใช่วิชาที่เอาไว้ประดับความ รู้ ว่าตนเองเป็นผู้มีปัญญา เพราะนั่นไม่ใช่เนื้อแท้ของวิชาปรัชญา ปัญหาดัง กล่าวนี้ก็จะวกกลับมาเพื่อค้นหา คำตอบที่แท้จริง ด้วยการประเมินคุณค่าทาง ปรัชญาให้ตรงกับเป้าหมาย เพื่อจะได้ตอบตนเองได้อย่างมั่นใจ ว่า “จะเรียน ปรัชญาไปทำไม” ในหัวข้อนี้จึงได้รวบรวมแนวคิดของนักปราชญ์ที่ช่วย ประเมินคุณค่าของปรัชญา เอาไว้ เพื่อให้ผู้ศึกษาได้วิเคราะห์ เป้าหมาย 3 อย่างดังกล่าวได้แก่ 57

1.เพื่อรู้จักมองเห็นปัญหาที่คนธรรมดามองเองไม่เห็น 2) เพื่อรู้จักมองหาคำตอบทุกคำตอบที่เป็นไปได้ 3) เพื่อรู้จักเก็บส่วนดีของทุกคำตอบมาเป็นหลักยึดเหนี่ยวของตน ส่วนผลพลอยได้จากการได้ศึกษาปรัชญานั้นมีอยู่ไม่น้อย นอกจากจะมีโอกาสบรรลุ เป้าหมาย 3 ประการ ข้างต้นแล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลพลอยได้อีก 3 ประการ 1) เพื่ออ่านใจคน 2) เพื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาต่าง ๆ 3) เพื่อเห็นความสืบเนื่องของความคิดมนุษย์ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ทฤษฎีการศึกษา คือ การผสมผสานทฤษฎีการศึกษาต่างๆ (Eclecticism) การประยุกต์เอาหลักการและทฤษฎีทางการศึกษาไปใช้เป็นหลักในการจัดการ ศึกษานั้นกระทำกันหลายวิธี โดยทั่วไปมักจะใช้วิธีผสมผสานโดยเลือกสรร หลักการที่ดีของหลายทฤษฎีที่พอจะประมวลเข้าด้วยกันได้โดย ไม่ ขัดแย้งกัน มาใช้เป็นแนวการจัดการศึกษา ปรัชญาทางการศึกษา เป็นสิ่งกำหนดทิศทางของการจัดการศึกษา หรือเป้า หมายของการศึกษาที่กำหนดให้ ผู้เรียนมีลักษณะเป็นอย่างไร กล่าวได้ว่า ปรัชญาของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 มีเป้าหมาย เพื่อสร้างคนไทยให้เป็นคนดี มี ปัญญา มีความสุข มีศักยภาพพร้อมที่จะแข่งขัน และร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในเวทีโลกได้ เพื่อให้การจัด การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นไปตามแนวนโยบายการจัดการศึกษาของประเทศ จึงกำหนดหลักการของ หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน ไว้ดังนี้ 58

1. เป็นการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มุ่งเน้นความเป็นไทยควบคู่ กับความเป็นสากล 2. เป็นการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนจะได้รับการศึกษาอย่างเสมอ ภาคและเท่าเทียมกัน โดยสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา 3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยถือว่า ผู้เรียนมี ความสำคัญที่สุด สามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็ม ตามศักยภาพ 4. เป็นหลักสูตรที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระ เวลา และการจัดการ เรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรที่จัดการศึกษาได้ทุกรูปแบบ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการ เรียนรู้ และประสบการณ์ 59

ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ (Skinner) วางเงื่อนไขแบบการกระทำหรือแบบปฏิบัติการ ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน คือ Operant Conditioning Theory หรือ Instrumental conditioning theory หรือ Type – R Conditioning Theory สกินเนอร์ได้ เสนอแนวความคิดโดยจำแนกทฤษฎีทาง พฤติกรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type S (Response Behavior) ซึ่งมีสิ่งเร้า (Stimulus) เป็น ตัวกำหนดหรือดึงออกมา เช่น น้ำลายไหลเนื่องจากใส่อาหารเข้าไปในปาก สะดุ้งเพราะถูกเคาะที่ สะบ้าข้างเข่า หรือ การหรี่ตาเมื่อถูกแสงไฟ พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ 2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type R (Operant Behavior) พฤติกรรมหรือ การตอบ สนองขึ้นอยู่กับการเสริมแรง (Reinforcement) การตอบสนองแบบนี้จะต่าง กับ แบบแรก เพราะอินทรีย์เป็น ตัวกำหนดหรือเป็นผู้สั่งให้กระทำต่อสิ่งเร้า ไม่ใช้ให้สิ่ง เร้าเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของอินทรีย์ เช่น การถาง หญ้า การเขียนหนังสือ การรีด ผ้า พฤติกรรมต่าง ๆ 60

บทที่ 11 สติปัญญา 61

แมคเนมาร์ ได้สรุปความหมายของสติปัญญา ที่นักวิจัยกลุ่มต่างๆ ได้กล่าวไว้ ว่าแบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่1 ให้ความหมายของสติปัญญา ในแง่ของความสามารถใน การปรับตัว ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ผู้มีสติปัญญาสูงจะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ได้ดีกว่า ผู้มี สติปัญญาต่ำ กลุ่มที่2 ให้ความหมายของสติปัญญาว่า เป็นความสามารถในการแก้ปัญหา ผู้มี สติปัญญาสูงจะแก้ใขได้ดีกว่าผู้มีสติปัญญาต่ำ กลุ่มที่3 ให้ความหมายของสติปัญญาว่า เป็นเรื่องของความสามารถ ในการคิด แบบ นามธรรม ผู้มีสติปัญญาสูงจะคิดแบบนามธรรมได้ดีกว่าผู้มีสติปัญญาต่ำ กลุ่มที่4 ให้ความหมายของสติปัญญาว่า เป็นความสามารถในการเรียนรู้ ผู้ที่มี สติปัญญาสูงจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ที่มีสติปัญญาต่ำ ได้มีการศึกษาและสรุปเป็นทฤษฎีเกี่ยงข้องกับสติปัญญาหลายทฤษฎีแต่ละ ทฤษฎีก็พยายามอธิบายสติปัญญาว่ามีองค์ประกอบใดบ้าง สเบียร์แมน (Spearman) ผู้ตั้งทฤษฎี 2 องค์ประกอบ ซึ่งสรุปว่าสติปัญญา ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบได้แก่ 1. องค์ประกอบทั่วไป (General factor หรือ g factor) คือ ความ สามารถพื้นฐานในการกระทำต่างๆที่ทุกคนต้องมี 2. องค์ประกอบเฉพาะ (Specific factor หรือ s factor) คือ ความ สามารถเฉพาะที่แต่ละคนมีแต่ต่างออกไป หรือเรียกกันว่า ความถนัดหรือพรสวรรค์ 62

เธอร์สโตน (Thurstone) เจ้าของทฤษฏีหลายองค์ประกอบ แยกองค์ ประกอบของสติปัญญามนุษย์ออกเป็น 7 ด้านได้แก่ 1.ด้านความเข้าใจในภาษา (Verbal comprehension) 2.ด้านความคล่องแคล่วในการใช้ถ้อยคำ (Word fluency) 3.ด้านตัวเลข การคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ (Number) 4.ด้านมิติสัมพันธ์ การรับรู้รูปทรง ระยะ พื้นที่ ทิศทาง (Spatial) 5.ด้านความจำ (Memory) 6.ด้านความรวดเร็วในการรับรู้ (Perceptual speed) 7.ด้านการให้เหตุผล (Reasoning) สเทิร์นเบอร์ก (Sternberg. 1985 : 342-344) ผู้คิดทฤษฎีสามศรเสนอ ว่าองค์ประกอบของสติปัญญามี 3 องค์ประกอบอธิบายเป็น 3 ทฤษฎีย่อย ดังนี้ 1.ทฤษฎีย่อยด้านสิ่งแวดล้อม (Contextual subtheory) เป็นความสามารถ ทางสติปัญญาในการเลือกสิ่งแวดล้อม ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและการ ปรับแต่งสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับสภาพของตน 2.ทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์ (Experiential subtheory) เป็นความ สามารถทางสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาแปลกใหม่ และความคล่องแคล่วใน การจัดลำดับขั้นตอนต่างๆ 3.ทฤษฎีย่อยด้านกระบวนการคิด (Componential subtheory) เป็นความ สามารถทางสติปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรู้ความคิดของตนเอง การปฏิบัติ ตามความคิด และด้านการแสวงหาความรู้ 63

สิ่งที่มีอิทธิพลต่อสติปัญญา 1. พันธุกรรม เป็นการถ่ายทอดลักษณะทางสายพันธ์จากบรรพบุรุษไปยังลูก หลาน ซึ่งพิจารณาได้จาก ระดับของสติปัญญา เพศ วัย และเชื้อชาติ 2. สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสติปัญญานั้น เริ่มตั่งแต่การปฏิสนธิ จนถึงการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งแวดล้อมที่สำคัญได้แก่ ความพร้อมในการ ตั้งครรภ์ อาหาร โรคภัยไข้เจ็บ การประสบอุบัติเหตุ การอบรมเลี้ยงดู ฐานะ ทางเศรษฐกิจของ ครอบครัว การจัดสิ่งแวดล้อมหรือเงื่อนไขในการเรียนรู้ การวัดสติปัญญา การวัดสติปัญญา เป็นการใช้แบบทดสอบเพื่อวัดสติปัญญาว่าอยู่ในระดับใด ประเภทของแบบทดสอบจำแนกออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้ ได้แก่ 1.แบบทดสอบรายบุคคล ที่นิยมใช้กันในประเทศไทยได้แก่ 1.1 แบบทดสอบสติปัญญาของสแตนฟอร์ด-บิเนท์ (Stanford-Binet IntelligenceScale) ใช้วัดเพื่อแยกเด็กที่มีปัญหาด้านสติปัญญาออกจากเด็กปกติ แบบทดสอบประกอบ ด้วยแบบทดสอบชุดย่อยๆที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ (Judgment) การหาเหตุผล Reasoning) และความเข้าใจ (Comprehension) 1.2 แบบทดสอบสติปัญญาของเวคสเลอร์ (Wechsler Scales) ใช้วัดระดับสติ ปัญญาของบุคคลในวัยต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็น 3ชุด ได้แก่ 64

1.2.1 Wechsler Preschool and Primary Scale of Intelligence ใช้กับเด็กอายุ 4-6 ปี 1.2.2 Wechsler Intelligence Scale for Children-Revise (WISC-R) ใช้ทดสอบเด็กอายุ 6-16 ปี 1.2.3 Wechsler Adult Intelligent Scale (WAIS) ใช้ทดสอบบุคคลอายุ 16-75 ปี 2. แบบทดสอบเป็นกลุ่ม ใช้ในการทดสอบพร้อมกันเป็นกลุ่ม ที่ใช้ใน ประเทศไทย จะเป็นแบบทดสอบเชาว์ปัญญาวัฒนธรร มเสมอภาค เพราะ ใช้ได้กับบุคคลทุกชาติ ทุกภาษา และทุกวัฒนธรรม เป็นแบบทดสอบที่ไม่ใช้ ภาษาถ้อยคำได้แก่ แบบทดสอบโปรเกสสีพเมตริคส์ของRaven 65

บทที่ 12 การจัดการเรียนรู้สำหรับ เด็กปกติและเด็กพิเศษ 66

การศึกษาพิเศษ การศึกษาพิเศษ หมายถึง การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่อง ทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสาร และการเรียนรู้ หรือ มีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือ ไม่มีผู้ดูแล หรือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งเด็กกลุ่มนี้มักไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการ ศึกษาที่จัดให้ตามระบบปกติ เป็นการศึกษาที่มีความแตกต่างไปจากทั่วไป ทั้ง ในด้านวิธีสอน กระบวนการ หลักสูตร เนื้อหาวิชา เครื่องมือ อุปกรณ์การ เรียน และเทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวก คุณลักษณธที่ดีของครูการศึกษาพิเศษ 1.เข้าใจเด็ก คือ การเข้าใจวิธีการคิดและความรู้สึกของเด็กแต่ละคนมีพฤติกรรม อย่างไร 2.ใฝ่คุณธรรม คือ ให้เด็กมีพฤติกรรมที่มี มีคุณธรรม จริยธรรมปฎิบัติในสิ่งดีงาม 3.มีศรัทธาความเป็นครู คือ รักในอาชีพและตั้งใจปฎิบัติหน้าที่ 4.อยู่ด้วยศีลสมาธิและปัญญา คือ สติ จิตไม่ฟุ้งซ่านและจะทำให้เกิดปัญญา 67

ยกตัวอย่าง การจัดการเรียนการสอน สำหรับเด็กกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถพบสภาวะที่พัฒนาของสมอง ชะงักหรือพัฒนาไม่สมบูรณ์วึ่งมีลักษณธะเฉพาะ คือ มีความบกพร่องของ ทักษะต่างๆในช่วงระยะวัยพัฒนาการทักษะต่างๆเหล่านี้ได้ก่ทักษะในการ เรียนรู้คิดภาษาการเคลื่อนไหวและความสามารถทางสังคม ปัญหาและพฤติกรรมที่พบ 1.มีปัญหาการควบคุมอารมณ์ 2.ความเข้าใจกฎเกณฑ์ไม่ดีเพราะด้านภาษา 3.มีลักษณะเพ้อฝันพูดมากพูดกับตีวเอง 4.มักมีปัญหาเรื่องสมาธิสั้นและหุนหันพลังแล่น 68

วิธีการสอนเด็กบกพร่องทางสติปัญญ่ ด้านการเรียนต้องแยกย่อยเนื้อหาสอนทีละขั้นตอน คือ ช่วยทำให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ได้ง่ายขึ้นและเข้าใจเนื้อหามากขึ้น ด้านสังคมฝึกให้เล่นกับเพื่อนการปฏิบัติทางสังคมการรอคอย คือ การทำ ให้เด็กๆเข้ากับคนในสังคมได้รอคอย เช่น การรอรับอาหารหรือสิ่งของ ด้านพฤติกรรมหากมีปัญหาก้าวร้าวเกเรต้องชี้แนะ คือ ต้องชี้แนะเด็กว่า พฤติกรรมนี้ไม่ดีไม่ควรทำ เทคนิคการสอน ครูจึงต้องสร้างแรงจูงใจก่อนเข้าบทเรียน คือ การทำกิจกรรมก่อน เข้าสู่บทเรีนทำให้เด็กผ่อยคลายไม่เครียดที่จะเรียน หลังจากนั่นใช้เทคนิคอื่นๆตามความเหมาะสม คือ สอนเข้าเนื้อหา ก่อนการสอนครูจำเป็นต้องเรียนเรื่องพัฒนาการทั้งพร้อมตัวครูเอง และอุปกรณ์ที่จะสอนเนื้หา 69

การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กปกติ การจัดการเรียนรู้ หมายถึง การออกแบบ กระบวนการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่ คาดหวัง โดย นำเอาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้วิธีสอน กิจกรรม เทคนิคการสอนและ สื่อเทคโนโลยี ต่างๆ มาเป็น ส่วนประกอบ เพื่อให้เกิด กระบวนการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ลักษณะของการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ลักษณะของการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมความแตกต่างจากรูปแบบการ จัดการศึกษาเด็กพิเศษและเด็กปกติ คือ จะต้องถือหลักการดังนี้ เด็กแต่ละคนมีความแตกตต่างกัน เด็กทุกคนเข้าเรียนในโรงเรียนพร้อมกัน โรงเรียนจะต้องปรับสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ทุกด้ายเพื่อให้ สามารถสอนเด็กได้ทุกคน โรงเรียนจะต้องให้บริการสื่ออำนวยความสะดวกและความช่วยเหลือ ต่างๆทางการศึกษาให้แก่ เด็กที่มีความสะดวกและความช่วยเหลือ ต่างๆทางการศึกษาให้แก่ เด็กที่มีความการจำเป็นนอกเหนือจากเด็ก ปกติทุกคน โรงเรียนสามารถจัดการศึกษาได้หลายรูปแบบในโรงเรียนปกติทั่วไป โดยจัดให้มีสภาพแวดล้อมที่มีขีดจำกัด 70

หลักการการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ลักษณะความแตกต่างกันระหว่างบุคคลมีผลต่อระดับความสำเร็จในการเรียนรู้ ทั้งนี้ เพราะการเรียนรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปจากเดิมเพื่อไปสู่พฤติกรรมใหม่ที่ ค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจาก ประสบการณ์หรือการฝึกฝน ซึ่งการเรียนรู้ของคน เราอาศัยประสาทสัมผัส ได้แก่ หู ตา จมูกลิ้น กาย และใจ เป็นองค์ประกอบหลักของ การเรียนรู้และการรับรู้ หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งสูญเสียหรือบกพร่องไปย่อมมีผลต่อ การเรียนรู้และการรับรู้ตามไปด้วย ทำให้การเรียนรู้ของเด็กต้องล้อมเหลว เรียนไม่ได้ ดีเท่าที่ควร หรือเกิด ข้อขัดข้องเสียก่อน ซึ่งอาจจัดเป็นองค์ประกอบใหญ่ๆ ได้ 3 ประการดังนี้ 1. องค์ประกอบด้านเสรีวิทยา ได้แก่ สาเหตุที่สืบเนื่องจากการทำงานผิดปกติของ ระบบการทำงาน ของร่างกาย เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางร่างกายของเด็กเอง 2. องค์ประกอบด้านจิตวิทยา ได้แก่ สติปัญญา ความสามารถในการเรียนรู้ ความรู้ นึกคิดเกี่ยวกับ ตนเอง การปรับตัวทางอารมณ์และสังคม และความสัมพันธ์ระหว่าง ครอบครัวและเพื่อน 3. องค์ประกอบด้านสภาพแวดล้อม ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆ เด็กที่มีความ ต้องการพิเศษย่อม ได้รับผลกระทบต่อการเรียนรู้ในด้านต่างๆ และหากเป็นเด็กที่มี ความบกพร่องทางด้านต่างๆ ซ้ำซ้อนจะมีผลกระทบต่อการเรียนรู้มากขึ้นไปอีก ซึ่ง แยกพิจารณาถึงผลกระทบของความ บกพร่องที่มีต่อการเรียนรู้ของเด็กที่มีความ ต้องการแต่ละประเภท 71

รูปแบบการจัดการเรียนร่วม มี 6 รูปแบบ ดังนี้ 1. ชั้นเรียนปกติเต็มวัน จัดเด็กที่มีความต้องการรพิเศษเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติ และเหมือนกับเด็ก ปกติทุกประการ ยึดชั้นเรียนประจำชั้น ครูประจำชั้นดูแล แต่ควรเสริม (1) จัดบริการสื่อ (2) จัดครูครู การศึกษาพิเศษ (3) จัดอบรมครูทั้ง โรงเรียน 2. ชั้นเรียนปกติเต็มวันและมีครูการศึกษาพิเศษให้คำปรึกษา เหมือนข้อ 1 แต่มีครู การศึกษาพิเศษ คอยช่วยเหลือครูประจำชั้นในฐานะครูที่ปรึกษา ไม่ทำการสอน โดยตรงแต่ให้คำแนะนำแก่ครูประจำชั้น ช่วยทุก อย่างจัดหาสื่อประเมินผลพัฒนาการ 3. ชั้นเรียนปกติเต็มวันและบริการครูเดินสอน เป็นการจัดการเรียนตามปกติใน ห้องเรียนปกติอยู่ใน ความดูแลของครูประจำชั้น แต่ได้รับบริการด้านการสอนเสริม (จากครูเดินสอน) โรงเรียนและประมาณ 3-4 คน โดยต้องไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ (เรียกกว่าเดินสอน) 4. ชั้นเรียนปกติเต็มวันและบริการสอนเสริม เป็นการเรียนตามปกติและได้รับ บริการสอนเสริมจาก ครูการศึกษาพิเศษบางวิชา ตามความต้องการของเด็กใน ห้องสอนเสริมวิชาการ (Resource Room) 72

5. ชั้นเรียนพิเศษในโรงเรียนปกติและเรียนร่วมบางวิชา จัดชั้นเรียนพิเศษโดยรวม ประเภทของเด็ก พิเศษไว้เป็นกลุ่มห้องเดียวกัน มีครูการศึกษาพิเศษเป็นผู้ดูแลและ สอนแทบทุกวิชา มีบางวิชาให้เด็กพิเศษเข้า เรียนร่วมในชั้นเรียนปกติกับเด็กปกติ เช่น วิชาดนตรี และนาฏศิลป์ เป็นต้น 6. ชั้นเรียนพิเศษในโรงเรียนปกติเป็นการจัดเด็กพิเศษที่มีความพิการค่อนข้างมาก เรียนอยู่ในชั้น เรียนพิเศษตลอดเวลา โดยมีครูการศึกษาพิเศษสอนทุกวิชา ซึ่งเด็กจะ ได้รับโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมไปกับเด็ก ปกติในโรงเรียน เช่น เข้าเคารพธงชาติ และ วันไหว้ครู เป็นต้น 73

PSYCHOLOGY


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook