ทฤษฎีของพาฟลอฟ

ชอ่ื สมาชกิ กลมุ่ 1. นายธวัชชัย อตุ สาสาร 63941900604 2. นางสาววรรณิศา ณ น่าน 63914900611 3. นางสาวธนั ญชญา แดงมูล 63914900614

2 ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขแบบคลาสสิคของพาฟลอฟ พาฟลอฟมีชื่อเตม็ ว่า Ivan Petrovich Pavlov เป็นชาว รสั เซีย มชี ่วงชีวิตอยรู่ ะหวา่ ง ปี ค.ศ. 1849 - 1936 ถึงแก่ กรรมเม่อื อายปุ ระมาณ 87 ปี พาฟลอฟ เป็ นนั กวิทยาศ าส ตร์ ครั้งแ รก เขา สนใจศึ กษาระบบการหมุนเวียนโลหิตและระบบหัวใจ ตอ่ มาได้หันไปสนใจศึ กษา เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร จนทาให้เข้าได้รับรางวัลโนเบิลสาขาสรีรวิทยา ในปี ค.ศ.1904 ต่อม าพ า ฟลอ ฟ ไ ด้ หั นม าส น ใจ เ ก่ียว กับ ด้ านจิ ตเว ช (Psychiatry) และในบั้นปลายของชีวิต เขาได้อทุ ิศเวลา ทั้งหมดในการสั งเกตความเป็นไปในโรงพยาบาลโรค จิต และพยายามนาการสั งเกตเข้ามาเกี่ยวข้องกับการ ทดลองสุนั ขในห้องปฏิบัติการจนได้รับชื่อเสี ยงโด่งดัง แ ล ะ ไ ด้ ชื่ อ ว่ า เ ป็ น ผู้ ตั้ง ท ฤ ษ ฎี ก า ร ว า ง เ งื่ อ น ไ ข แ บ บ คลาสสิ กข้ึน

3 หลักการของพาฟลอฟ เช่อื วา่ การเรยี นรู้ ของส่ิงมชี วี ติ จานวนมากเกิดจากการวางเงอ่ื นไข

แนวคิดการทดลองทฤษฏีวางเงอื่ นไขของพาฟลอฟ แบ่งเป็น 3 ข้ันตอน 1. ข้ันก่อนวางเงอื่ นไข 2. ข้ันวางเงอ่ื นไข 3. ข้ันการเรยี นรูจ้ ากการวางเงอ่ื นไข

5 ขนั้ ที่ 1 ขัน้ กอ่ นวางเงอื่ นไข เป็นขนั้ ทศ่ี ึกษาภมู ิหลังของสนุ ัขกอ่ นการเรยี นรู้ จากการวางเงอ่ื นไข

6 ขั้นท่ี 2 ขั้นวางเงอ่ื นไข เป็นขั้นทใี่ ส่กระบวนการเรยี นรู้ โดยการวาง เงอื่ นไขแบบคลาสสิค

7 ขั้นท่ี 3 ข้ันการเรยี นรูจ้ ากการวางเงอื่ นไข เป็นขั้นท่ีทดสอบวา่ สุนัขเรยี นรู้ หรอื ยงั ในวิธกี ารวางเงอ่ื นไขบบคลาสสิคน้ี

8 ดงั นั้นจึงสรุปไดว้ า่ การสั่นกระด่งิ กอ่ นทจี่ ะเอาอาหาร (ผงเน้ื อ) ให้แกส่ นุ ั ข การสั่นกระด่งิ และการให้ผงเน้ือแกส่ นุ ั ข ต้องเป็นเวลาทกี่ ระชนั้ ชดิ มากประมาณ.25 ถึง.50 วินาที

9 กฎการเรยี นรูจ้ ากส่ิงทเ่ี กดิ ข้ึนในการ ทดลอง พาฟลอฟ สรุปได้ 4 ข้อ คือ 1. กฎการลบพฤตกิ รรม 2. กฎแห่งการคืนกลบั 3. กฎความคลา้ ยคลงึ กนั 4. การจาแนก

10 องค์ประกอบสาคัญในการเรียนรูท้ ีเ่ กดิ ข้ึนแต่ละครง้ั ตอ้ งประกอบดว้ ย 1. ส่ิงเรา้ เป็นตวั การทที่ าให้บคุ คลมปี ฏิกริ ยิ า โต้ตอบออกมา 2. แรงขับ จะทาให้เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าหรอื พฤตกิ รรม ทจ่ี ะนาไปสู่การเรยี นรูต้ อ่ ไป 3. การตอบสนอง เป็นปฏิกิรยิ าหรอื พฤตกิ รรมท่ี แสดงออกมาเมอ่ื ไดร้ บั การ กระตุน้ จากส่ิงเรา้ 4. ส่ิงเสรมิ แรง เป็นส่ิงมาเพ่ิมกาลงั ให้เกดิ การ เชอื่ มโยงระหวา่ งส่ิงเรา้ กบั การตอบสนองให้มแี รงขับ เพ่ิมข้ึน

11 (Classical Conditioning Theory) ของ อีวาน พาฟลอฟ .

12 ลกั ษณะของทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขแบบคลาสสิค 1.การตอบสนองเกดิ จากส่ิงเรา้ หรอื ส่ิงเรา้ เป็นตัวดงึ การ ตอบสนองมา 2.การตอบสนองเกิดข้ึนโดยไม่ได้ตง้ั ใจ หรอื ไม่ไดจ้ งใจ 3.ให้ตัวเสรมิ แรงก่อน แล้วผู้เรยี นจึงจะตอบสนอง เชน่ ให้ผงเน้ื อ ก่อนจึงจะมนี า้ลายไหล 4.รางวัลหรอื ตัวเสรมิ แรงไม่มีความจาเป็นต่อการวางเงอื่ นไข 5.ไมต่ ้องทาอะไรกับผู้เรยี น เพียงแตค่ อยจนกระทัง่ มีส่ิงเรา้ มา กระตุ้นจึงจะเกิดพฤติกรรม 6.เก่ียวข้องกับปฏิกิรยิ าสะท้อนและอารมณ์ ซ่งึ มรี ะบบประสาท อัตโนมตั ิเข้าไปเก่ียวข้องในแงข่ องความแตกตา่ งระหว่างบุคคล

13 กฎแห่งการเรยี นรูต้ ามทฤษฎขี องพาฟลอฟ

14 1. นาไปใชใ้ นการศึกษาสาหรบั เด็กบกพรอ่ งการสมั ผสั รับรู้ เช่นหหู นวก ตาบอด 2. การนาไปสร้างพฤตกิ รรมทีพ่ ่ึงประสงค์ 3. นาไปใชป้ ลกู ฝังเจตคติท่พี งึ ประสงคเ์ ช่นปลกู ฝังให้ผเู้ รียนมี เจตคตทิ ี่ดตี ่อผูส้ อน 4. นาความต้องการทางธรรมชาตขิ องครูผ้สู อนมาใชเ้ ปน็ ส่ิงเรา้ 5. การสอนให้ผ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้ในเรื่องใดอาจใชว้ ิธเี สนอสิ่งท่จี ะสอนไปพร้อมกบั สิ่งเรา้ ท่ีผู้เรยี นชอบตามธรรมชาตเิ ชน่ ผู้ สอนรู้ว่าผู้เรยี นชอบฟงั นทิ าน

15 6. การนาเรื่องทีเ่ คยสอนไปแลว้ มาสอนใหม่สามารถให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ตามท่ีต้องการ 7. การจัดกิจกรรมการเรียนให้ตอ่ เน่ืองและมีลกั ษณะคล้ายคลงึ กนั สามารถให้ผเู้ รียนเกิดการ เรยี นรไู้ ดง้ ่ายขนึ้ 8. การเสนอส่งิ เร้าใหช้ ดั เจนในการสอนสามารถให้ชว่ ยผเู้ รียนเกิดการเรยี นรแู้ ละตอบสนองได้ ชดั เจน 9. หากต้องการใหผ้ เู้ รยี นเกดิ พฤติกรรมใดควรมีการใชส้ ิง่ เร้าแบบน้นั แต่ตอ้ งมสี ง่ิ เรา้ ท่ีตอบสนอง โดยมเี ง่อื นไข

16 อา้ งองิ ข้อมลู จากเวบ็ ไซต/์ แหล่งทีม่ าของขอ้ มูล 1. จติ วทิ ยาสาหรบั ครู(502 204)รศ.มณั ฑรา ธรรมบศุ ย์ หนงั สอื จติ วทิ ยาสาหรบั ครู ผศ.อัมเรศ เนตาhttps://youtu.be/3Nq3r2wWu6E 2. https://sites.google.com/site/thvsdikarreiynru/home

17 Thank you